ประกาศผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่อง รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ประกาศผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่อง รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ประกาศผู้ตรวจการแผนดิน เรื่อง รายงานผู้ตรวจการแผนดิน ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2564 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วย ผู้ตรวจการแผนดิน พ.ศ. 2560 โดยการปรึกษาหารือและเห็นชอบรวมกัน จึงประกาศรายงานผู้ตรวจการแผนดิน ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว ดังมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบทายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565 สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผนดิน ้ หนา 2 ่ เลม 139 ตอนที่ 89 ง ราชกิจจานุเบกษา 24 พฤศจิกายน 2565
รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 180 x 240 mm Sun 23.5 mm
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (2)
ลักษณะของสัญลักษณ์ องค์ประกอบของสัญลักษณ์ สี เป็นดวงตรารูปอาร์ม ชั้นใน ตรงกลางมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประดิษฐานอยู่บนพานสองชั้นมีช่อชัยพฤกษ์ ประกอบอยู่ด้านข้างทั้งสอง ชั้นนอก ใต้พานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นแถบแพรมีอักษรข้อความว่า “ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน” มีซุ้มบุษบกประกบอยู่ ด้านบน สีแดงชําด ใช้เป็นสีพื้น หมายถึง อ�านาจอันชอบธรรม ภายในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตราธิราช อันทรงไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพและ ทศพิธราชธรรมจริยา ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ สีทอง ใช้เป็นสีส�าหรับองค์ประกอบของสัญลักษณ์ หมายถึง ความรุ่งเรือง มีศักดิ์ศรี สง่างาม สูงส่ง หมายเหตุ : ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนพิเศษ 147 ง วันที่ 3 ตุลาคม 2550 หน้า 17 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (3)
สารจาก ประธานรัฐสภา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (4)
สารจากประธานรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีการจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยขณะนั้นใช้ชื่อว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” ต่อมา เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 255o ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” และใช้ ชื่อนี้จวบจนถึงรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยรัฐธรรมนูญได้ก�าหนดให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” มีฐานะเป็นองค์กรอิสระ ท�าหน้าที่ ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชน อันเนื่องมาจาก การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจตามกฎหมายของ หน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อ�านาจเกินขอบเขตที่กฎหมายก�าหนดไว้ บทบาท หน้าที่ และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีความส�าคัญครอบคลุมปัญหา ต่าง ๆ ในการพิจารณาเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการตรวจสอบการใช้ อ�านาจรัฐและการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมให้เกิดแก่ประชาชน ซึ่งผลส�าเร็จจะเกิดขึ้นได้โดย ผู้ปฏิบัติจะต้องตระหนักในหน้าที่ของตนอย่างถ่องแท้ และปฏิบัติการด้วยความรับผิดชอบ และความสุจริตยุติธรรมอย่างแท้จริง ผมขอชื่นชมและสนับสนุนงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ประสบความส�าเร็จ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง (นายชวน หลีกภัย) ประธานรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน (5)
ในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2564 ถือเป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติงานภายใต้ภาวะ วิกฤต โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปี พ.ศ. 2564 ได้เกิดการระบาดอย่างรุนแรง ขึ้นอีกครั้งของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ส่งผลกระทบในทุกมิติของ การปฏิบัติงานขององค์กร ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องยอมรับและหาวิธีหรือแนวทาง ในการแก้ไข / ปรับปรุง หรือแนวทางการด�าเนินงานในรูปแบบใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจการแผ่นดินยังคงด�าเนินการตามเจตนารมณ์ ที่มุ่งหวังให้เป็นกลไกในการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชน การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ โดยมี ความมุ่งมั่น ใส่ใจในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้ภาวะวิกฤตนี้ อาทิเช่น การพัฒนา เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน การก�าหนดระเบียบ / มาตรการ / แนวปฏิบัติต่าง ๆ ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเร่งรัดการด�าเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน และการด�าเนินกิจกรรม / โครงการต่าง ๆ ที่สามารถด�าเนินการได้ภายใต้ข้อจ�ากัดและ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนการพัฒนาประสิทธิภาพการด�าเนินงานด้านต่าง ๆ ด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง สารจาก ผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (6)
อีกทั้งองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินยังค�านึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น กระแสโลกาภิวัตน์ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของโลก กระแสความเป็นประชาธิปไตย การให้ความส�าคัญกับสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่พลเมือง ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม กระแสธรรมาภิบาล การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี การน�าคุณธรรม จริยธรรม น้อมน�า ค�าสอนของศาสนามาเป็นหลักในการท�างาน และ กระแสสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค การไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิของประชาชน สิทธิของชุมชน เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปฏิบัติหน้าที่ ภารกิจต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุ ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ ทั้งด้านการเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มี การปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระ แก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ และการแสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่า มีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อน หรือ ความไม่เป็นธรรม รวมไปถึงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ การเสริมสร้างและขยาย ความร่วมมือเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี ให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี จึงอาจกล่าวได้ว่า ความส�าเร็จในการปฏิบัติภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผล มาจากความรับผิดชอบและความร่วมมือกันของทั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้บริหาร บุคลากร ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนาองค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้เป็นองค์กรแห่งธรรมาภิบาล องค์กร แห่งการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (7)
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พลเอก สุดท้ายนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมที่จะช่วยเหลือ แก้ไขความเดือดร้อนหรือ ความไม่เป็นธรรมของประชาชน รวมถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และ ปฏิบัติหน้าที่และอ�านาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างกล้าหาญและเที่ยงตรง ภายใต้หลักการท�างาน “สุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ ปราศจากอคติ” และ “ความล่าช้า คือความไม่เป็นธรรม” เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติมีความสงบสุขอย่างยั่งยืนต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (8)
บทสรุป ผู้บริหาร ผู้ตรวจการแผ่นดิน (9)
ผลการด�าเนินงานด้านเรื่องร้องเรียน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ด�าเนินการ ทั้งสิ้น 4,866 เรื่อง โดยได้พิจารณาตรวจสอบ ประสานงาน แสวงหาข้อเท็จจริง จนมี ค�าวินิจฉัยหรือมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่งหรือขั้นตอนใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนเป็น จ�านวน 2,675 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 54.97 ของเรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการในรอบปี และอยู่ระหว่างด�าเนินการจ�านวน 2,191 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 45.03 และไม่เพียง การพิจารณาแก้ไขปัญหาในเรื่องร้องเรียนตามอ�านาจหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ความส�าคัญกับ การแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนในเชิงระบบ นั่นหมายถึง การแก้ไขความเดือดร้อน เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง หรือเรื่องใดที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิด ความไม่เป็นธรรม ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถหยิบยกและน�ามาศึกษาและแก้ไขความเดือดร้อน เพื่อหามาตรการป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหา โดยเน้นการแก้ไขปัญหาเชิงรุก ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการ ศึกษาแก้ไขความเดือดร้อนเชิงระบบในหลายกรณี อาทิ 1. การสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากร สาธารณสุขทุกระดับในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 2. โครงการการบริหารจัดการที่ดินของประเทศไทย กรณีศึกษาปัญหาการออก เอกสารสิทธิในการถือครองที่ดินให้กับประชาชน 3. การแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขของประชาชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่ เกาะพะงัน 4. โครงการศึกษาเรื่องความเหมาะสมในการเก็บค่าธรรมเนียมการติดตั้งประปาใหม่ ให้กับผู้ขอใช้น�้า กรณีศึกษาการประปานครหลวง 5. การศึกษาผลกระทบจากการด�าเนินโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (10)
- การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ตามนโยบาย “ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยกระดับความปลอดภัยทางน�้า” และการด�าเนินงานของศูนย์การแพทย์เขาหลัก จังหวัด พังงา และโครงการจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล (Andaman Hub Medical Network) ทั้งนี้ ตัวอย่างผลการด�าเนินการในเรื่องร้องเรียนเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะรายบุคคล ได้น�าเสนอไว้ในรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แล้ว อย่างไรก็ดี การมุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม ถือเป็น เป้าหมายหลักในการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเน้นการท�างานให้ประชาชน เป็นศูนย์กลางการท�างาน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ผลจาก การด�าเนินงานดังกล่าว ได้สะท้อนผ่านผลการส�ารวจความพึงพอใจของผู้ร้องเรียน ที่มี การออกแบบส�ารวจให้ผู้ร้องเรียนได้สะท้อนความคิดเห็นอย่างอิสระ เพื่อน�าผลการส�ารวจ ดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินให้เกิดมาตรฐานและเป็นที่พึงพอใจต่อประชาชนผู้มาร้องเรียนมากที่สุด โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนของความพึงพอใจของ ผู้ร้องเรียน พบว่า ผู้ร้องเรียนมีความพึงพอใจต่อการด�าเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน ในทุกด้านอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย = 3.91 คิดเป็นร้อยละ 78.20 โดยมีรายละเอียดของ ความพึงพอใจในแต่ละด้าน ดังนี้ 1. ด้านการยื่นและรับเรื่องร้องเรียน ร้อยละ 82.60 2. ด้านการพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงตามค�าร้องเรียน ร้อยละ 74 3. ด้านการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน ร้อยละ 72.80 4. ด้านการด�าเนินการหลังการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน ร้อยละ 64.60 5. ด้านความพึงพอใจต่อการแสวงหาข้อเท็จจริงและพิจารณาเรื่องร้องเรียน ร้อยละ 71.40 6. ด้านภาพลักษณ์และการให้บริการของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้อยละ 84.40 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (11)
ผลการด�าเนินงานในด้านการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ ของหน่วยงานของรัฐ ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 230 (3) บัญญัติ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่และอ�านาจในการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่ หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ โดยก�าหนด ให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชน เพื่อให้รัฐต้องด�าเนินการในเรื่องที่ก�าหนดให้ประชาชน “ทุกคน” หรือ “ทุกชุมชน” เป็นการทั่วไป โดยที่ประชาชนหรือชุมชน “ไม่ต้องใช้สิทธิร้องขอ” ถ้ารัฐ ไม่กระท�าตามหน้าที่ก็จะเป็นกรณีจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง ครบถ้วน ประชาชนและชุมชนย่อมมีสิทธิติดตามและเร่งรัดให้รัฐด�าเนินการ และฟ้องร้อง หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้นได้ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ท�าการศึกษาและจัดท�ารายงานพร้อมข้อเสนอแนะ ต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ไปแล้วจ�านวน 5 เรื่อง ประกอบด้วย 1. เรื่องขยะพลาสติกล้นทะเลไทย 2. เรื่องการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก 3. เรื่องกระทรวงพลังงานให้บริษัทเอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น จนท�าให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐมีน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด 4. เรื่องผลกระทบจากการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของคนต่างด้าวในประเทศไทย 5. เรื่องการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (12)
ผลการด�าเนินงานในการเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อ ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ใน 2 กรณี ได้แก่ 1. กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 23 (1) - ได้รับเรื่องร้องเรียน จ�านวน 48 เรื่อง - ไม่มีการเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ - ยุติการพิจารณา จ�านวน 48 เรื่อง 2. กรณีกฎ ค�าสั่ง หรือการกระท�าอื่นใด ของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ตามมาตรา 23 (2) - ได้รับเรื่องร้องเรียน จ�านวน 34 เรื่อง - เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง จ�านวน 1 เรื่อง - ยุติการพิจารณา จ�านวน 33 เรื่อง ผลการด�าเนินงานด้านความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ 1. ผลการด�าเนินงานด้านความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภายในประเทศ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและพัฒนาเครือข่าย การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จ�านวนหน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ) ในการขับเคลื่อนการด�าเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและ ความไม่เป็นธรรม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจ�านวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นในการด�าเนินงาน ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน จ�านวน 14 เครือข่าย ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (13)
1.1 เครือข่ายตามภารกิจผู้ตรวจการแผ่นดิน จ�านวน 2 เครือข่าย จาก การด�าเนินงานตามความร่วมมือกับศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง 1.2 เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ จ�านวน 7 เครือข่าย 1.2.1 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นเครือข่ายในการเผยแพร่หน้าที่ และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงผลการด�าเนินงาน ที่ส�าคัญของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม 1.2.2 ส�านักงานมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.) ซึ่งจะเป็นเครือข่ายในการเผยแพร่หน้าที่และอ�านาจของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญของ ผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม 1.2.3 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์บนรูปแบบจอ LCD และรูปแบบอื่น ๆ ผ่านเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐ / เอกชน จ�านวน 5 เครือข่าย ดังนี้ (1) บริษัท บีเอ็นโอ กรุ๊ป จ�ากัด ท�าการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผ่านจอ LCD ตามสี่แยกการจราจร ณ กรุงเทพมหานคร เทศบาลเมืองพัทยา และเทศบาล เมืองหัวหิน จ�านวน 15 แห่ง (2) บริษัท ขนส่ง จ�ากัด ในรูปแบบผ่านจอ LCD และติดตั้ง ป้ายไวนิล รวมถึงจัดวางเอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามสถานีขนส่งทั่วประเทศ จ�านวน 123 แห่ง (3) ส�านักงานจังหวัดทั่วประเทศในรูปแบบผ่านจอ LCD จ�านวน 113 แห่ง (4) เครือข่ายสหกรณ์การเกษตรในจังหวัดเพชรบุรีในรูปแบบ ป้ายไวนิล จ�านวน 83 แห่ง (5) สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อออนไลน์ของสถาบัน การศึกษาในระดับอุดมศึกษา จ�านวน 155 แห่ง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (14)
1.3 เครือข่ายธรรมาภิบาลผู้ตรวจการแผ่นดิน จ�านวน 6 เครือข่าย จากการด�าเนินโครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อต่อต้านการทุจริต กิจกรรมขยายผลการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อความเป็นธรรมในสังคม (อ�าเภอคุณธรรม) (ขยายผล 6 ต�าบล) เป็นการด�าเนินการพัฒนาต�าบลคุณธรรมของต�าบลต่าง ๆ ในอ�าเภอ ลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จ�านวน 6 ต�าบล ประกอบด้วย ต�าบลลาดบัวหลวง ต�าบลหลักชัย ต�าบลสามเมือง ต�าบลสิงหนาท ต�าบลคู้สลอด และต�าบลคลองพระยาบันลือ 2. ผลการด�าเนินงานด้านความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่างประเทศ ผู้ตรวจการแผ่นดินมุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ของประเทศคู่ภาคีระหว่างประเทศต่าง ๆ และสามารถน�าไปพัฒนางาน ในมิติการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน และการเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งระดับประเทศ และระดับสากล โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ต่างประเทศ ดังนี้ 2.1. การจัดท�าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การลงนามบันทึกเจตนารมณ์ว่าด้วยการก่อตั้งเวทีผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asian Ombudsman Forum: SEAOF) 2.2 กิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศ จ�านวน 5 กิจกรรม คือ (1) การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดิน ระหว่างประเทศ ในหัวข้อ “โควิด 19 และผู้ตรวจการแผ่นดิน – ความท้าทาย ต่อสถานการณ์โรคระบาด (COVID - 19 and the Ombudsperson: Rising to the Challenge of a Pandemic)” ผู้ตรวจการแผ่นดิน (15)
(2) การเข้าร่วมการสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “ข้อมติสหประชาชาติ ว่าด้วยบทบาทองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ไกล่เกลี่ย”การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นโดย ความร่วมมือระหว่างสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI) และศูนย์วิจัย ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งแอฟริกัน (African Ombudsman Research Centre (AORC)) (3) การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมกลุ่มภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศผ่านระบบออนไลน์ (4) การเข้าร่วมสัมมนา ในหัวข้อ “การสอบสวนเชิงระบบ” (Systemic Investigations) จัดโดย ศูนย์วิจัยผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งแอฟริกัน (African Ombudsman Research Centre (AORC)) (5) การด�าเนินการเพื่อสมัครรับเลือกตั้งต�าแหน่ง Asian Regional Director ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน 2.3 กิจกรรมความร่วมมือที่มีการปฏิบัติภายใต้กรอบ MOU ด�าเนินกิจกรรมภายใต้กรอบข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ได้ลงนาม ไปแล้ว จ�านวน 7 กิจกรรม จาก 8 MOU ดังนี้ (1) กิจกรรมร่วมกับประเทศคู่ภาคี MOU ครบทั้ง 8 ประเทศ (ประเทศ นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐ ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน เครือรัฐออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น) โดยจัดกิจกรรม สัมมนาออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “บทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างและหลัง วิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนา 2019” ในวันที่ 2 เมษายน 2564 ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI) และประเทศคู่ภาคี MOU ครบทั้ง 8 ประเทศ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (16)
(2) กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้ บันทึกความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน จ�านวน 2 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินบันทึกเทปการบรรยาย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ หัวข้อ “หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในช่วงสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID – 19)” (National Human Rights Institutions During the COVID – 19 Pandemic) เพื่อใช้เผยแพร่ในงานสัมมนานานาชาติ ผ่านระบบ Video conference เรื่อง “Digitalization of the Ombudsman’s activities : innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” กิจกรรมที่ 2 การเข้าร่วมงานสัมมนานานาชาติผ่านระบบ Video conference เรื่อง “Digitalization of the Ombudsman’s activities: innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” ซึ่งจัดโดย ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน บรรยายหัวข้อ “หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา COVID – 19” (National Human Rights Institutions During the COVID – 19 Pandemic) (3) กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้ บันทึกความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งประเทศนิวซีแลนด์ จ�านวน 3 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 การประชุมคณะท�างานร่วมเชิงเทคนิคระดับเจ้าหน้าที่ (Joint Technical Working Group) กับส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ ผ่านระบบออนไลน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (17)
กิจกรรมที่ 2 การเข้าร่วมสัมมนาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Webinar) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดโดยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ หัวข้อ “OPCAT Prison Inspection Practice” แนวปฏิบัติในการตรวจสอบทัณฑสถาน ตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการกระท�าอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี กิจกรรมที่ 3 การเข้าร่วมสัมมนาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Webinar) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดโดยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ หัวข้อ “Making Disability Rights Real in a Pandemic” (การส่งเสริมสิทธิของผู้พิการท่ามกลาง วิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 ) (4) กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้ บันทึกความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการตรวจสอบ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (NCS) จ�านวน 1 กิจกรรม คือ การส่งพนักงาน จ�านวน 3 ราย เข้าร่วมการสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “Seminar on Anti-Corruption for Belt and Road Countries” จัดโดย วิทยาลัยการตรวจสอบวินัยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Academy of Discipline Inspection and Supervision: CADIS) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (18)
ผลการด�าเนินงานของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 โดยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประเภทงบเงินอุดหนุน จ�านวน 320,886,100.00 บาท ผลเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น จ�านวน 276,902,854.56 บาท คิดเป็นร้อยละ 86.29 มีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 1 งบประมาณที่ได้รับจัดสรรและผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนงาน /หมวดค่าใช้จ่าย งบประมาณที่จัดสรร (ไตรมาสที่ 1 - 4) ผลการเบิกจ่าย ผลการเบิกจ่าย ร้อยละ เบิกจ่าย งบประมาณ คงเหลือ ร้อยละ คงเหลือ แผนงานบุคลากร 239,300,200.00 226,618,033.54 94.70 12,682,166.46 5.30 1. ค่าใช้จ่ายบุคลากร 221,501,300.00 210,298,980.34 94.94 11,202,319.66 5.06 2. ค่าใช้จ่ายด�าเนินงาน (บุคลากร) 17,798,900.00 16,319,053.20 91.69 1,479,846.80 8.31 แผนงานพื้นฐาน ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบ บริหารจัดการภาครัฐ 78,171,700.00 50,086,160.32 64.07 28,085,539.68 35.93 1. ค่าใช้จ่ายด�าเนินงาน 73,725,500.00 45,688,460.32 61.97 28,037,039.68 38.03 2. ค่าใช้จ่ายลงทุน 4,446,200.00 4,397,700.00 98.91 48,500.00 1.09 แผนบูรณาการ ป.ป.ช. 3,414,200.00 198,660.70 5.82 3,215,539.30 94.18 รวมทั้งสิ้น 320,886,100.00 276,902,854.56 86.29 43,983,245.44 13.71 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (19)
ทั้งนี้ ในส่วนของเงินคงเหลือข้างต้น ตามระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วย การงบประมาณ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ข้อ 14 ที่ก�าหนดให้ “เมื่อสิ้นปีงบประมาณแล้ว หากมีเงินเหลือจ่ายให้น�าเงินดังกล่าวไปเป็นเงินสะสมของส�านักงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการบริหารงานตามวัตถุประสงค์และภารกิจผู้ตรวจการแผ่นดินและส�านักงาน” ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้น�าเงินดังกล่าวมาสมทบในกิจกรรม / โครงการที่ส�าคัญและจ�าเป็น เร่งด่วน และไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หรือได้รับจัดสรร แต่ไม่เพียงพอต่อการด�าเนินงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของสิทธิและสวัสดิการของ เจ้าหน้าที่ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินที่ไม่รับจัดสรรงบประมาณ คือ เงินบ�าเหน็จ ตอบแทนส�าหรับเจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุราชการ และค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับการจัดสรร ไม่เพียงพอในแต่ละปี โดยการด�าเนินงานข้างต้น ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินค�านึงถึง วินัยการเงินการคลัง และผลประโยชน์ที่ประชาชนและสาธารณชนจะได้รับจากการด�าเนิน กิจกรรม / โครงการเป็นส�าคัญ ด้านความส�าเร็จในการพัฒนาองค์กร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เข้ารับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 5 โดยได้ด�าเนินโครงการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการและยกระดับธรรมาภิบาล ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และเพื่อเป็นการยกระดับและขับเคลื่อนการด�าเนินงาน ITA ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีการจัดท�ามาตรการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใส ภายในหน่วยงาน โดยวิเคราะห์ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อพัฒนางานของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสอดรับกับหลักเกณฑ์การประเมินที่ก�าหนด เน้นการมีส่วนร่วมการด�าเนินงานของบุคลากรทุกคนในการบริหารงานและพัฒนาองค์กร รวมถึงเปิดเผยข้อมูลในการพัฒนาประสิทธิภาพการด�าเนินงานของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (20)
ทั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้น�ามาตรการเพื่อส่งเสริมคุณธรรมและ ความโปร่งใสภายในหน่วยงานข้างต้นไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อน และยกระดับการด�าเนินงาน ITA ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ITA ได้รับคะแนนประเมิน 90.44 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 3.85 คะแนน ผลการประเมินอยู่ในระดับ A และ ล�าดับที่ 3 ในกลุ่มองค์กรอิสระ นอกจากนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินด�าเนินการ การพัฒนาคุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (Public Sector Management Quality Award : PMQA) ภายใต้ แผนยุทธศาสตร์ของส�านักงานฯ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) ซึ่งเป็นแนวทาง การปรับปรุงการด�าเนินการพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ และการยกระดับองค์กร ให้ครอบคลุมทั้ง 3 มิติของการพัฒนาระบบราชการ 4.0 การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA 4.0) ของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน มีผลการด�าเนินงานการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA 4.0) อยู่ในระดับที่ดีมาก ซึ่งในมิติระบบราชการที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกันบรรลุเป้าหมาย ทั้ง 3 โครงการ / กิจกรรม มิติระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางบรรลุเป้าหมาย 4 โครงการ / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้าหมาย 1 โครงการ / กิจกรรม และในมิติระบบราชการ ที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บรรลุเป้าหมาย 3 โครงการ / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้าหมาย 1 โครงการ / กิจกรรม ด้านความส�าเร็จในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามที่ยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ เพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้มุ่งเน้นในการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะที่จ�าเป็นส�าหรับต�าแหน่งและสายงาน เพื่อให้บุคลากร เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีศักยภาพสูง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถปฏิบัติงานสนับสนุนผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (21)
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตระหนักถึง ความปลอดภัยของบุคลากรและให้ความส�าคัญต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ต้องได้รับ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากการจัดอบรมภายในองค์กร (In-House Training) แล้ว ยังได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเป็นแบบผสมผสาน เน้นการ พัฒนาศักยภาพผ่านระบบออนไลน์หรือระบบการสื่อสาร เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดและการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่บุคลากรยังคงได้รับการพัฒนา ศักยภาพและได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่นเดิม ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้ด�าเนินการพัฒนาศักยภาพ บุคลากร แบ่งเป็น (1) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายใน จ�านวน 3 โครงการ และ (2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายนอก โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปเข้ารับการอบรมกับหน่วยงาน ภายนอก จ�านวน 31 หลักสูตร / โครงการ ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส่งผลให้ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ การท�างานให้สอดรับกับแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว โดยสามารถ วิเคราะห์รูปแบบการด�าเนินงาน / ผลกระทบภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวผ่านกรอบแนวทาง การบริหารความเสี่ยงตามแนวทาง COSO-ERM ดังนี้ 1. ด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) ด้านนโยบายการปฏิบัติงาน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจ�าเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายและรูปแบบ การด�าเนินงานการปฏิบัติงานโดยมีสาระส�าคัญ คือ การก�าหนดให้ผู้บริหาร และพนักงาน ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) ตลอดจนการปรับเปลี่ยนรูปแบบ การท�างานผ่านช่องทางดิจิทัล (Virtual Platform) มากขึ้น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (22)
การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการแต่งตั้งคณะท�างานศูนย์บริหาร สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอ�านาจหน้าที่ศึกษาค้นคว้า รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพิจารณา กลั่นกรอง และ เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลกระทบ ต่อการด�าเนินชีวิต การปฏิบัติงานและการด�าเนินงานของบุคลากรภายในส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีการประกาศแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการด�าเนินงาน ด้านการจัดการ COVID – 19 เพื่อถือปฏิบัติ 2. ด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) 2.1 ด้านการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ส�าหรับประชาชนที่ต้องการมายื่นเรื่องร้องเรียน ณ ที่ท�าการส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินด้วยตนเอง (Walk-In) พบว่า เรื่องร้องเรียนที่ยื่นด้วยตนเองมีจ�านวน ลดลงจากไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีงบประมาณ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และนโยบายของรัฐบาล / ศบค. ที่ขอให้ ประชาชนงดเว้นการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ พัฒนา ช่องทางออนไลน์เพื่ออ�านวยความสะดวกในการบริการประชาชน การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินยังคงเปิดให้ประชาชนยื่นเรื่องร้องเรียน ณ ที่ท�าการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยด�าเนินการตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิให้กับ ประชาชนที่เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียน การจัดให้มีแอลกอฮอล์เจล 70% ส�าหรับ ท�าความสะอาดมือไว้บริการตามจุดต่าง ๆ นอกจากนี้ ในห้องรับเรื่องร้องเรียนจะมีฉาก อะคริลิคกั้นระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องร้องเรียนกับประชาชน เพื่อเป็นการรักษาระยะห่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (23)
(Social distancing) ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน ทั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีการจัดให้มีการอบโอโซน เพื่อท�าความสะอาดบริเวณที่รับเรื่องร้องเรียนของประชาชน และพื้นที่ปฏิบัติงานของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในส่วนงานต่าง ๆ อย่างสม�่าเสมอ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งถือเป็นระลอกที่ 3 ของการแพร่ระบาดโรคดังกล่าว ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้เตรียมความพร้อมรองรับการรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงการให้บริการของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดยก�าหนดช่องทางในการเข้าถึงส�านักงานฯ ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (24)
ส่งผลให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีประชาชนร้องเรียนมายังส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 – 4 เมื่อเปรียบเทียบจาก ไตรมาสที่ 1 – 2 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการขอใช้ บริการจากหน่วยงานภาครัฐผ่านช่องทางออนไลน์ / Call Center มากยิ่งขึ้น 2.2 การจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ท�าให้ไม่สามารถด�าเนินการจัดประชุมได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามแนวทางที่ ศบค. ก�าหนด ตลอดจนการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล (Social distancing) ดังนั้น ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินจึงต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีการจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายใน และต่างประเทศผ่านช่องทางดิจิทัล การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการด�าเนินงาน กิจกรรม / โครงการต่าง ๆ ให้เป็นในรูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เช่น การประชุมผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์แทนการด�าเนินกิจกรรมลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ผ่าน โปรแกรมต่าง ๆ อาทิ ระบบ Webinar และ Zoom Meeting 3. ด้านการเงิน (Financial Risk) การวิเคราะห์ผลกระทบความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) ในมิติ ของหน่วยงานภาครัฐ หมายถึง การเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบ เศรษฐกิจ เมื่อพิจารณาผลการเบิกจ่ายงบประมาณของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พบว่าผลการเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ก�าหนด ผู้ตรวจการแผ่นดิน (25)
การบริหารจัดการ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูง ได้ส่งผลกระทบรุนแรงมากในทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในระดับ นานาชาติ และระดับมหภาค และเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น การเบิกจ่าย งบประมาณที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ท�าให้ส�านักงานฯ ไม่สามารถด�าเนินงานในบางกิจกรรม / โครงการ แต่ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการด�าเนินงานในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถด�าเนินการ ได้บรรลุตามเป้าหมายที่ก�าหนด ซึ่งการด�าเนินงานในรูปแบบดังกล่าวเป็นลักษณะค่าใช้จ่าย ประจ�าของหน่วยงาน จึงเป็นปัจจัยที่ท�าให้ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่ก�าหนด 4. ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Risk) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ท�าให้หน่วยงานภาครัฐจ�าเป็นต้องปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานให้สอดรับกับสถานการณ์ (New Normal) ดังนั้นจึงจ�าเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อรองรับต่อผลกระทบ ของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 อาทิ การปรับรูปแบบการลงพื้นที่แสวงหา ข้อเท็จจริง รูปแบบการประชุม อบรม สัมมนาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น การบริหารจัดการ จากสถานการณ์ดังกล่าว ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้ประกาศใช้ ระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 และมีผลบังคับใช้วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยมีสาระส�าคัญ คือ การประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งภายในและประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้อง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (26)
ทั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินพยายามบริหารจัดการความเสี่ยง / แก้ไข ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) อาทิ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการด�าเนินงานให้สอดรับกับ สถานการณ์ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน การก�าหนดระเบียบ / มาตรการ / แนวปฏิบัติต่าง ๆ ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเร่งรัดการด�าเนินการ แสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนและการด�าเนินกิจกรรม / โครงการต่าง ๆ ที่สามารถ ด�าเนินการได้ภายใต้ข้อจ�ากัดและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนการพัฒนา ประสิทธิภาพการด�าเนินงานด้านต่าง ๆ ด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (27)
Handling Complaint In fiscal year 2021, the Ombudsman received a total of 4,866 complaints. After fact-finding investigation, decisions and recommendations to relevant State agencies were made on 2,675 (56.97 percent) of these complaints, especially those concerning revisions and amendment of laws, rules, regulations, orders or operative procedures that cause grievances or unfairness to people. The remaining 2,191 complaints (45.03 percent) are still under investigation. Apart from redressing grievances and complaints under the powers and duties under the provisions of the Constitution of the Kingdom of Thailand, 2021 (B.E. 2560), the Ombudsman has attached importance to solving people’s grievances in a systematic way namely problems affecting the majority of people or any issues inclining to cause unfairness. The Ombudsman can conduct a study to solve systemic problem and to find preventive measures proactively. In the fiscal year 2021, a number of systematic problem-solving studies were conducted as follows: 1. Assistance provided to the performance of medical professionals and public health personnel at all levels during the Corona Virus Disease 2019 (COVID-19) pandemic. 2. Land management in Thailand: a case study of the problem of issuing documents of right. 3. The solving of public health problems of people and tourists in Ko Pha-Ngan. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (28)
- A study on the suitability of fee rate defined for water supply system installation: a case study of the Metropolitan Waterworks Authority. 5. A Study of impacts from the Bang Sue Central Station development project. 6. The development of a maritime medical emergency system, according to the policy of “Ombudsman enhances water safety” and the operation of the Khao Lak Medical Center, Phang Nga Province, and the establishment of the Maritime Emergency Response Center (Andamun Hub Medical Network). Examples of Ombudsman resolutions to protect public interest and redress individual grievances have been summarised in the Annual Report of the Ombudsman 2021 (B.E. 2564). In addition to considering and investigating complaints, the Ombudsman administered a questionnaire to survey the satisfaction of complainants. The results of the survey have been used to improve operation of the Ombudsman and the Office of the Ombudsman and to enhance the satisfaction of complainants with the services provided. In fiscal year 2021, satisfaction of complainants was at a high level averaging 3.91 (78.20 percent) for the following matters: 1. Lodging and receiving complaints (82.60 percent); 2. Fact-finding and investigation of complaints (74.00 percent); 3. Consideration and handling of complaints (72.80 percent); 4. Following-up on complaints (64.60 percent); 5. Satisfaction with fact-finding and consideration of complaints (71.40 percent); 6. Image and service of the Office of the Ombudsman (84.40 percent). ผู้ตรวจการแผ่นดิน (29)
Monitoring the performance of State agencies Pursuant to Chapter V - Duties of the State as stipulated in the Constitution Section 230 (3) of the Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2560 (2017) stipulates that the Ombudsman has the duty and power to submit a report to the Cabinet regarding State agencies that have not complied correctly and completely with Chapter V - Duties of the State which prescribes that “the State has a duty to the people” and is committed to performing its obligations for “all people” or “all communities” in general. Each person or community does not have to exercise the “right to appeal” but if the State does not comply with the said provisions of the Constitution, or does not fulfill its obligations to its full capacity, the people and the community have the right to follow up and urge the State to perform its obligations as well as to take legal proceedings against any relevant State agency. In fiscal year 2021, the Ombudsman made five recommendations to the Cabinet regarding State agencies that did not fulfill their duties in compliance with Chapter V - Duties of State as follows: 1. Plastic debris overflowing in the seas of Thailand; 2. The children’s lunch management programme; 3. The prominent role of private electricity generation companies, granted by the Ministry of Energy, resulting in a significant drop in the proportion of electricity generation by the state-owned enterprises to less than fifty-one percent; 4. Impacts from foreign-owned tourism business in Thailand; 5. Effective prevention and reduction of road accidents. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (30)
Referring matters to the Constitutional Court or the Administrative Court Section 23 of the Organic Act on Ombudsmen, B.E. 2560 (2017) prescribes that the Ombudsman may submit a case to the Constitutional Court or the Administrative Court in the following cases: 1. Case of any provision of a law begging the question of constitutionality, according to Section 23 (1); - There were 48 complaints received for consideration, according to Section 23 (1), none was submitted to the Constitutional Court with the Ombudsman’s opinion, and all of these complaints were ceased with no further action being taken. 2. Case of any rule, order or action of a Government agency or State official begging the question of constitutionality or legality, according to Section 23 (2). - There were 34 complaints received for consideration, according to Section 23 (2). Of these complaints, 1 case was submitted to the Administrative Court with the Ombudsman’s opinion, and 33 complaints were ceased with no further action being taken. Cooperation with local networks and international organisations 1. Cooperation with local networks The Ombudsman created and developed a network of participation of all sectors (private sector, civil society, government agencies, etc.) to promote good public governance in order to redress people’s grievance and to deliver justice. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (31)
In the fiscal year 2021, there were an increasing number of networks operating in accordance with the principles of good governance as a mechanism for redressing people’s grievance. There were total 14 networks established as follows: 1.1 Networks according to the mission of the Ombudsman – there were 2 networks established in cooperation with the Constitutional Court and the Administrative Court. 1.2 Increasing 7 public relations networks were as follows: 1.2.1 The Government Public Relations Department – to assist the ombudsman to widely publicise information of the Ombudsman regarding duties and powers, complaint submission channel, including important performance of the Ombudsman contributing to the society. 1.2.2 The Office of the Princess Mother’s Medical Volunteer Foundation (the Volunteer Medical Doctors Mobile Units, PMMV) - to disseminate information of the Ombudsman regarding duties and powers, complaint submission channel, important performance of the Ombudsman contributing to the society. 1.2.3 The following 5 networks of government/private sectors – to assist the Ombudsman to work in public relations by advertising on LCD screens and other formats: (1) BNO Group Co., Ltd. – to disseminate publicly through LCD screens at 15 locations at road intersection in Bangkok, Pattaya, and Hua Hin. (2) Transport Co., Ltd. – to advertise on LCD screens and vinyl banners, and to distribute brochures and leaflets at 123 bus stations countrywide. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (32)
(3) The Governor’s office of every province – to advertise on 113 LCD screens across the country. (4) Network of agricultural cooperatives in Phetchaburi province – to publish in the form of vinyl banners at 83 locations. (5) The higher education institutions – to publicise the print, electronic, and online media at 155 locations. 1.3 Developing 6 networks of good governance of the Ombudsman as follows: According to the Project of Promoting Good Governance to Fight Corruption (Moralistic district), the project implementation continued to develop additional 6 Sub-Districts in Lat Bua Luang, Phra Nakhon Si Ayutthaya province, namely; the sub-district of Lat Bua Luang, Lakchai, Sam Mueang, Singhanat, Khu Salot, and Khlong Phraya Banlue to achieve further success. 2. Cooperation with the international organisations The Ombudsman has committed to building a network of international cooperation as a mechanism for solving people’s problems, promoting the exchange of knowledge among the international partners to develop their work system to be increasingly effective in monitoring of the exercise of administrative power, in fulfilment of the principles of good governance, the protection of civil rights and freedoms, and enhancing good governance, both at the domestic and international levels. In the fiscal year 2021, the Ombudsman cooperated with foreign network partners as follows: 2.1 The Memorandum of Understanding (MOU) for cooperation with the international Ombudsman organisations ผู้ตรวจการแผ่นดิน (33)
The Memorandum of Intent on the Establishment of the South East Asian Ombudsman Forum (SEAOF) was signed by three Ombudsman originations, namely Ombudsman Republik Indonesia (ORI), the Office of the Ombudsman of the Republic of the Philippines (OMB); and the Office of the Ombudsman, Thailand, in order to enhance the multilateral cooperation among regional Ombudsman organization. 2.2 The participation in international cooperation activities: 2.2.1 The participation in the international webinar on the topic of “COVID-19 and the Ombudsperson - Challenges to the Pandemic”, hosted by the International Ombudsman Institute (IOI). 2.2.2 The participation in the international webinar of “UN Resolution on the role of the Organization of the International Ombudsman (IOI) and the African Ombudsman Research Center (AORC) 2.2.3 The arrangement of the International Ombudsman Institute’s Asian Region General Meeting by means of teleconferencing. 2.2.4 The participation in a seminar on “Systemic Investigations” , organized by the African Ombudsman Research Center (AORC). 2.2.5 The arrangements for the Chief Ombudsman of Thailand to apply for the position of Asian Regional Director of the International Ombudsman Institute. 2.3 Collaborative activities with partners under the Memorandum of Understanding (MOU) There were 7 important collaborative activities carried out with MOU partners under the Memorandum of Understanding (MOU) as follows: รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (34)
2.3.1 The Office of the Ombudsman hosted the live webinar, streamed on Zoom programme on the topic “The Ombudsman’s Roles during and after the COVID-19 Pandemic” commemorating the 21st Anniversary of the establishment of the Ombudsman of Thailand, on April 2, 2021. All of MOU partners from the Republic of Korea, Republic of Indonesia, People’s Republic of China, Republic of Uzbekistan, Japan, Republic of the Philippines, Western Australia, and New Zealand, together with the International Ombudsman Institute’s executive committees and board of directors, as well as Chief Ombudsman of Republic of Turkey, were invited to be speakers and participants at the webinar. 2.3.2 The participation in the Bilateral academic cooperation activities under the Memorandum of Understanding between the Ombudsman of the Kingdom of Thailand and the Authorized Person of the Oliy Majlis of the Republic of Uzbekistan for Human Rights (Ombudsman), as follows: Activity 1: The presentation of the Chief Ombudsman of Thailand with a video presentation on the topic “National Human Rights Institutions during the COVID-19 Pandemic” in an international seminar, entitled “Digitalization of the Ombudsman’s activities: innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” Activity 2: The participation in the International Video Conference on “Digitalization of the Ombudsman’s activities: innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” organized by the Institute of the Authorized Person of the Oliy Majlis of the Republic of Uzbekistan for Human Rights (Ombudsman) on the topic “National Human Rights Institutions during the COVID-19 Pandemic” ผู้ตรวจการแผ่นดิน (35)
2.3.3 The participation in the bilateral academic cooperation activities under the Memorandum of Understanding between the Ombudsman of the Kingdom of Thailand and the Ombudsman of New Zealand as follows: Activity 1: Joint Technical Working Group meetings with the Office of the New Zealand Ombudsman were organized via Zoom programme. Activity 2: The Office of the Ombudsman, Thailand participated in a knowledge exchange webinar, titled “OPCAT Prison Inspection Practice”, the Optional Protocol-Based Inspection Guidelines for the Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Acts” hosted by the Office of the Ombudsman of New Zealand, MOU partner. Activity 3: The Office of the Ombudsman, Thailand participated in a knowledge exchange webinar, titled “Making Disability Rights Real in a Pandemic” (Promoting the Rights of Persons with Disabilities Amid the Coronavirus 2019 Crisis), hosted by the Office of the Ombudsman of New Zealand, MOU partner. 2.3.4 The Office of the Ombudsman, Thailand participated in a bilateral academic cooperation development activity under the Memorandum of Understanding between the Ombudsman of the Kingdom of Thailand and the National Commission of Supervision of the People’s Republic of China (NCS), by sending 3 officers to attend the online seminar on “Anti-Corruption for Belt and Road Countries” organized by the China Academy of Discipline Inspection and Supervision (CADIS). รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (36)
Operations of the Office of the Ombudsman Budget disbursement In pursuance with the Budget Expenditure Act for fiscal year 2021 as published in the Government Gazette, on 7 October B.E. 2563 (2020), coming into force as from 1 October 2020, the Office of the Ombudsman was allocated an expenditure budget for fiscal year 2021 of 320,886,100 baht. The total disbursement was 276,902,854.56 baht (86.29 percent) covering the following expenses: Table 1: Allocated budget and budget disbursement results of the fiscal year 2021 Work plan / Expense category Budget allocated (Quarter 1 - 4) Disbursement Results Disbursement Disbursement percentage Remaining budget Remaining percentage Costs for manpower and operations 239,300,200.00 226,618,033.54 94.70 12,682,166.46 5.30 1. Cost of manpower 221,501,300.00 210,298,980.34 94.94 11,202,319.66 5.06 2. Cost of operations 17,798,900.00 16,319,053.20 91.69 1,479,846.80 8.31 Costs for undertaking activities and projects to develop public sector management 78,171,700.00 50,086,160.32 64.07 28,085,539.68 35.93 1. Cost of operations 73,725,500.00 45,688,460.32 61.97 28,037,039.68 38.03 2. Cost of investment 4,446,200.00 4,397,700.00 98.91 48,500.00 1.09 NACC Integration plan 3,414,200.00 198,660.70 5.82 3,215,539.30 94.18 Total 320,886,100.00 276,902,854.56 86.29 43,983,245.44 13.71 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (37)
For the total remaining budget shown in the above table, according to the Ombudsman Regulation on Budget (No. 2) B.E. 2563, Article 14, it states that “at the end of the fiscal year if there is money left to pay, the said money will be used as the office’s savings for administrative expenses in accordance with the objectives and mission of the Ombudsman and the Office”. The Office of the Ombudsman has allocated such money to contribute to important and urgently needed activities / projects, which has not been granted the budget for the fiscal year 2022 or has been partially allocated for implementation. It was also spent for cost of officials’ benefits and welfare which has not been granted each year the annual budget, i.e. retirement pension and medical welfare. In order to achieve the implementation of such budget management, plan, the Office of the Ombudsman always strictly recognises and considers financial and fiscal discipline fiscal discipline and the benefits of activities/projects implementation to the general public. In respect to the achievement of organizational development, in the fiscal year 2021, the Office of the Ombudsman has participated in the Integrity and Transparency Assessment (ITA) for the fifth consecutive year. The process development project was initiated to enhance the Office’s Good Governance. In order to emphasise its integrity and transparency according to ITA indicators, the Office of the Ombudsman set up measures to promote integrity and transparency within the organisation and to improve the Office’s performance by analyzing the results of ITA by criteria of the previous year. In taking the measure, emphasis has been placed on the participation of officials of all levels, the organization and management development, public information disclosure. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (38)
In this regard, the Office of the Ombudsman has effectively adopted the abovementioned measures to promote morality and transparency within the organisation. Thereafter, according to the results of ITA in the fiscal year 2021, it was found that the Office of the Ombudsman, passing the ITA assessment criteria, received a score of 90.44, 3.85 points higher than the fiscal year 2020. The Office of the Ombudsman received A rating level, in other words, was the third-ranking among the independent organizations. In addition, according to the Office of the Ombudsman Strategic Plan, 4th edition (2018 - 2022), the Office of the Ombudsman has also adopted the approach of Public Sector Management Quality Award (PMQA) covering all three dimensions of the national development strategy of “Thai Bureaucracy 4.0”, to be a guideline to for improvement of service delivery and management. T he assessment of the Public Sector Management Quality Development (PMQA 4.0) showed that the performance of the Office of the Ombudsman was rated at “very good” level. In particular, in the dimension of “Open & Connected Government”, there were 3 projects / activities, passing the criteria. In the dimension of “Citizen-Centric Government”, there were 4 projects / activities passing the criteria and 1 project / activity failing to meet such criteria. In the dimension of “Smart & High Performance Government”, 1 projects / activities fulfilled the criteria while other 3 projects / activities did not. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (39)
Regarding the achievement of human resource development, according to the Office of the Ombudsman Strategic Plan, 4 th edition (2018 - 2022), Strategy 3, - “Building the Office to be a Learning Organisation”, it has focused on the capacity building for officials to develop and strengthen their knowledge, skills and key competencies to have specialisation, great potential, and adaptability to technological change and digital transformation, to effectively support the Ombudsman. In the fiscal year 2021, during the COVID-19 pandemic, the Office of the Ombudsman realised the safety of staff and also attached great importance to the continuous staff development to their highest potential. In addition to organizing internal training (In-House Training), method of staff development was changed to a combination with online training through electronic communication systems in order to comply with COVID-19 prevention and social distancing measures and relevant strategies. The Office of the Ombudsman conducted staff development programmes, including 3 projects of In-house staff development and 31 external training courses/ projects. Challenges, Obstacles and Recommendations for operation Due to the situation of the COVID-19 pandemic in the fiscal year 2021, the Office of the Ombudsman has to adjust its work procedures to be in line with the guidelines of the Centre for the Administration of the Situation due to the Outbreak of the Communicable Disease Coronavirus 2019 (COVID-19). The risk management analysis of work procedures / impacts of the circumstance can be done in accordance with the COSO-ERM framework as follows: รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (40)
- Strategic Risk Operational Policy The Office of the Ombudsman must adjust work policies and methods by assigning all executives and staff to work remotely at their residences (work from home policy) and focusing on incessant working via digital means (virtual platforms). Operations The Office of the Ombudsman has appointed a working group, called “The Office of the Ombudsman Centre for the Administration of the Situation due to the Outbreak of the Communicable Disease Coronavirus 2019 (COVID-19)”, authorised to study, research, collect and analyze data for considering and sharing opinions on the COVID-19 pandemic, along with making announcements on operational guidelines towards COVID-19 for staff of the Office of the Ombudsman – whose living and work affected by COVID-19. 2. Operational Risk 2.1 Receiving complaints in order to redress grievances of people. In terms of walk-in complaints of the complainants entering at the Office, it was found that the number of complaints decreased from the 1 st and 2 nd quarter of the fiscal year, due to the COVID-19 pandemic as well as the government’s policies requiring all people refrain from traveling and asked all agencies to utilise their online channels to facilitate public services. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (41)
Operations The Office of the Ombudsman has remained open for submitting complaints at the office under the pandemic control measures of the Centre for the Administration of the Situation due to the Outbreak of the Communicable Disease Coronavirus 2019 (COVID-19). For example, people who come to the office are requested to measure body temperature, the office provides hand sanitizer (70% alcohol gel) in several areas. Additionally, the acrylic partition shields have been installed in the complaint rooms - to keep a social distance between officials and complainants. The office has also conducted a regular operation for air and surface disinfection with ozone generator in complaint rooms and all working space of executives and officers. Regarding the COVID-19 pandemic in April 2021 - the third wave of the pandemic, the Office of the Ombudsman has prepared for supporting people who submit the complaints, as well as improving accessibility and efficiency services in terms of convenience, fast and simple. The channels for services accessibility are as follow: รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (42)
As a result, in fiscal year 2021, there were a greater number of people submitting complaints to the Office through electronic means in the 3 rd and 4 th quarter compared to the 1 st and 2 nd quarter. It showed a significant change in people’s behaviors of requesting more services from government agencies via online channels / Call Center. 2.2 Organizing domestic and international conferences. In accordance with the guidelines set by the Centre for the Administration of the Situation due to the COVID-19 pandemic, as well as the government’s policy (Social Distancing), all on-site conferences cannot be held due to the COVID-19 pandemic situation. Thus, the Office of the Ombudsman has to adjust the format of meeting - both inside and outside the country - into digital means. Operations The Office of the Ombudsman has changed various activities/ projects into digital formats, such as hosting online meetings instead of field works, holding meetings with several agencies through online programs, i.e., Webinar and Zoom Meeting. 3. Financial Risk The analysis of financial risk of government agencies has focused on the budget disbursement - which is an economic stimulus in the economy. In connection with the budget disbursement of the Office of the Ombudsman, it was found that the disbursement results did not meet defined goals. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (43)
Operations The situation of COVID-19 pandemic has been a high-risk and unmanageable factor which severely affected all sectors of society, both at international and national level. Under this circumstance, it is acceptable that budget disbursement could not meet the target defined. Due to the COVID-19 pandemic, the Office of the Ombudsman has changed some activities / projects to be carried out in the digital / online format to attain the goals budget. However, as expenditure arising from such activities / projects implementation was included in the Office’s running costs, the disbursement of cost of operation could not be made to meet the planned disbursement target. 4. Compliance Risk Due to the COVID-19 pandemic, government agencies need to improve their operating procedures in response to the situation. Thus, all regulations need to be revised and updated, for instance, adjusting the method of field fact-finding, changing the meeting format as well as training and seminar into electronic system. Operations According to the above-mentioned situation, the Office of the Ombudsman has announced the Regulations of the Ombudsman on Meetings through Electronic Media B.E. 2564 (2021) - came into force on May 14, 2021 - authorising meetings conducted through electronic means could be arranged with both internal and external meetings. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (44)
Furthermore, the Office of the Ombudsman has intently managed the risk and solve various problems arising from the COVID-19 pandemic crisis. For instance, the adapting of operation format in accordance with the situation, such as the development of digital technology in office routine operation; the determination of regulations, measures, and practices in accordance with current situation; the acceleration of complaint investigations and activities / projects undertaking in limited circumstances and in accordance with government policies; and the constant improvement of digital technology execution in various fields of work. ผู้ตรวจการแผ่นดิน (45)
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (1) ตราสัญลักษณ์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (2) สารจากประธานรัฐสภา (4) สารจากผู้ตรวจการแผ่นดิน (6) บทสรุปผู้บริหาร (9) Executive Summary (28) บทที่ 1 บทน�า 1 1. ผู้ตรวจการแผ่นดิน 8 1.1 ความเป็นมาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 9 1.2 หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน 10 1.3 การด�าเนินการกรณีเป็นเรื่องเฉพาะตัว หรือเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ 12 และอ�านาจของหน่วยงานของรัฐ 1.4 เรื่องที่กฎหมายห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา 13 1.5 การพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามค�าร้องเรียน 14 1.6 การแสวงหาข้อเท็จจริงและกระบวนการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน 16 1.7 การเสนอแนะและการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน 17 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (46)
-
ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 20 3. วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 30 3.1 วิสัยทัศน์ 31 3.2 พันธกิจ 32 3.3 ยุทธศาสตร์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 33 3.4 ทรัพยากรบุคคลของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 37 3.5 งบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 38 ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 3.6 ความเชื่อมโยงความสอดคล้องกับการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน 41 กับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทย่อย และแผนปฏิรูปประเทศ บทที่ 2 ภาพรวมผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน 49 1. สถิติผลการด�าเนินงานเรื่องร้องเรียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 50 1.1 สถิติผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดิน 51 1.2 สถิติผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดินเปรียบเทียบ 61 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 1.3 วิเคราะห์ผลการด�าเนินงานเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดิน 69 2. ผลการแก้ไขปัญหาหรือการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน 72 2.1 การเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอน 73 การปฏิบัติงานใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน 2.2 การเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับ 80 ความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่บุคคล 2.3 ผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจในกรณีหน่วยงานของรัฐยังมิได้ 128 ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ 2.4 ผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วน 146 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (47)
-
ผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจในการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ 154 หรือศาลปกครอง กรณีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย 3.1 กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 157 3.2 กรณีกฎ ค�าสั่ง หรือการกระท�าอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ 162 ของรัฐมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย 4. ผลการด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจในการพิจารณาค�าร้องของบุคคล 166 ซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บทที่ 3 การวิเคราะห์รายละเอียดผลการด�าเนินงาน 183 1. สัมฤทธิผลของผลการด�าเนินงานในภาพรวม 184 1.1 ความส�าเร็จในการบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร 185 1.2 การวิเคราะห์ต้นทุน-ประสิทธิผลการด�าเนินงานตามภารกิจการอ�านวย 253 ความเป็นธรรมให้กับประชาชนของผู้ตรวจการแผ่นดิน 1.3 การประเมินประสิทธิภาพด้านงบประมาณในการด�าเนินงาน 259 1.4 การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของส�านักงาน 264 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (Public Sector Management Quality Award : PMQA) 1.5 ระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อประโยชน์ที่ได้จากการใช้บริการ 267 และกระบวนการให้บริการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 2. สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีทั้งในระดับ 274 ประเทศและต่างประเทศ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 2.1 การด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีในประเทศ 275 2.2 การด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีต่างประเทศ 299 2.3 ความส�าเร็จในการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล 323 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 (48)
-
ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะในการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน 334 3.1 ด้านการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน 335 3.2 ด้านอัตราก�าลังของเจ้าหน้าที่สอบสวน 336 3.3 ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ 337 ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) บทที่ 4 ผลการด�าเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของรัฐสภา 351 ภาคผนวก 373 1. ค�าสั่งส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ 219 / 2564 เรื่องแต่งตั้งคณะท�างาน 375 เพื่อจัดท�ารายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปี 2564 2. รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 377 ส�าหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 3. รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 395 ส�าหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 5. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 420 ผู้ตรวจการแผ่นดิน (49)
บทที่ บทน�ํา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 1
ประวัติการศึกษา - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย - โรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 11) - โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (วิทยาศาสตรบัณฑิต) (รุ่นที่ 22) - โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจ�า (ชุดที่ 61) - รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาการปกครอง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ประกาศนียบัตร หลักสูตร Senior International Defense Resource Management สถาบัน DEFENSE RESOURCE MANAGEMENT INSTITUTE สหรัฐอเมริกา (รุ่นปี 1999) - ปริญญาบัตรการป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่น 48) - ประกาศนียบัตร หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง ส�านักงานศาลยุติธรรม (รุ่นที่ 17) - ประกาศนียบัตร หลักสูตรนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ (รุ่นที่ 3) - ประกาศนียบัตร หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านวิทยาการพลังงาน สถาบันวิทยาการพลังงาน (รุ่นที่ 8) ประวัติการท�างาน พ.ศ. 2518 ผู้บังคับหมวด กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 2 พ.ศ. 2521 นายทหารข่าวกรอง กองทัพภาคที่ 1 พ.ศ. 2529 นายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจ�าเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2533 ผู้อ�านวยการกองประชาสัมพันธ์ ส�านักงานเลขานุการ ส�านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2534 ผู้อ�านวยการกองนโยบายและแผน กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร พ.ศ. 2535 รองเลขานุการส�านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2539 นายทหารประสานภารกิจทางทหารกับส�านักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ราชองครักษ์เวร พ.ศ. 2540 ผู้ช่วยผู้อ�านวยการส�านักนโยบายและแผนกลาโหม ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ พ.ศ. 2542 รองผู้อ�านวยการศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม พ.ศ. 2544 รองผู้อ�านวยการส�านักนโยบายและแผนกลาโหม ตุลาการศาลทหารกลาง พ.ศ. 2547 ผู้อ�านวยการศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม พ.ศ. 2551 เจ้ากรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม พ.ศ. 2551 ผู้อ�านวยการส�านักนโยบายและแผนกลาโหม และเลขาธิการสภากลาโหม ตุลาการศาลทหารสูงสุด ราชองครักษ์พิเศษ พ.ศ. 2553 รองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภากลาโหม พ.ศ. 2555 รองปลัดกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงกลาโหม 18 พฤศจิกายน 2557 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 18 กันยายน 2559 – 17 พฤศจิกายน 2561 ผู้ตรวจการแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน 18 พฤศจิกายน 2561 – 24 พฤษภาคม 2564 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประวัติการศึกษา - ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ - รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การปกครอง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.) รุ่นที่ 2 สถาบันพระปกเกล้า - ประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหารและพัฒนานักบริหาร (Graduate Research Instute of policy Studies, Japan) - ประกาศนียบัตร หลักสูตรรับรองความเป็นมืออาชีพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล IPMA-EP ส�านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับองค์กร IPMA-HR - ปริญญาบัตร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.รุ่นที่ 48) ประวัติการท�างาน พ.ศ. 2521 เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล 3 ส�านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2522 ปลัดอ�าเภอ อ�าเภอเกาะคา จังหวัดล�าปาง พ.ศ. 2534 นายอ�าเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2536 นายอ�าเภอลอง จังหวัดแพร่ พ.ศ. 2538 นายอ�าเภอเชียงค�า จังหวัดพะเยา พ.ศ. 2540 นายอ�าเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร พ.ศ. 2541 ผู้อ�านวยการกองวิชาการและแผนงาน กรมการปกครอง พ.ศ. 2544 ผู้อ�านวยการส�านักบริหารการปกครองท้องที่ กรมการปกครอง พ.ศ. 2546 รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2547 รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2549 รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พ.ศ. 2551 ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พ.ศ. 2552 รองอธิบดีกรมการปกครอง พ.ศ. 2552 ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวล�าภู พ.ศ. 2553 ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2554 ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พ.ศ. 2555 ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2557 หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2558 ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง 18 พฤศจิกายน 2561 - 24 พฤษภาคม 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 25 พฤษภาคม 2564 - ปัจจุบัน ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน การด�ารงต�าแหน่งส�าคัญของผู้ตรวจการแผ่นดิน 25 สิงหาคม 2564 – ปัจจุบัน กรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute)
รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประวัติการศึกษา - วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี - วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา (ทุนรัฐบาล) - วิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา (ทุนรัฐบาล) - หลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง รุ่นที่ 3 สมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร - หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยส�าหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า (ปปร. รุ่นที่ 13) - ปริญญาบัตรการป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ 49) - หลักสูตรกฎหมายมหาชนในระบอบประชาธิปไตยส�าหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า (ปรม. รุ่นที่ 4) ประวัติการท�างาน พ.ศ. 2531 หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2539 รองคณบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2540 ผู้จัดการส�านักงานโครงการเงินกู้ธนาคารโลก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2540 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2547 ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและฝึกอบรม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 25 พฤษภาคม 2564 - ปัจจุบัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน
- ผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 8
1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 228 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 229 1.1 ความเป็นมาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ก�าหนดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภา” จัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติ มาตรา 196 – 198 ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ได้เปลี่ยนชื่อ “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ต่อมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เข้าควบคุมอ�านาจการปกครองประเทศ และได้มีประกาศ ฉบับที่ 5/2557 เรื่อง การสิ้นสุด ชั่วคราวของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และได้มี ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เรื่อง การสิ้นสุดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความสงบเรียบร้อยในการปกครอง ประเทศ จึงให้ยกเลิกการประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เรื่อง การสิ้นสุดชั่วคราวของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ ได้มีบทบัญญัติให้องค์กรอิสระ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ยังคงปฏิบัติ หน้าที่ต่อไป และเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ได้มีการประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” ซึ่งบัญญัติให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดินมีจ�านวน สามคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามค�าแนะน�าของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหา โดยผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ ประจักษ์ และมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการ แผ่นดินไม่ต�่ากว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ที่เทียบได้ไม่ต�่ากว่ากรมตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศก�าหนด โดยต้องด�ารงต�าแหน่ง ดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีจ�านวนสองคน และเป็นผู้มีประสบการณ์ในการด�าเนิน กิจการอันเป็นสาธารณะมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบปี จ�านวนหนึ่งคน” 1 และก�าหนดให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีวาระการด�ารงต�าแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ด�ารงต�าแหน่งได้เพียงวาระเดียว” 2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 9
3 ประกาศราชราชกิจจานุเบกษา เรื่อง แต่งตั้งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน 4 ประกาศราชราชกิจจานุเบกษา เรื่อง แต่งตั้งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน ปัจจุบันผู้ตรวจการแผ่นดินประกอบด้วย 1. พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ต�าแหน่ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 และได้รับ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 - วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 2. นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ต�าแหน่ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 3 3. รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ต�าแหน่ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 4 1.2 หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในปัจจุบัน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มีสาระส�าคัญ ดังต่อไปนี้ (1) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือ เกินสมควรแก่เหตุ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 10
(2) แสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจ ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมนั้น (3) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ (4) หน้าที่และอ�านาจอื่นตามที่ก�าหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอื่น การด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจข้างต้น ต้องมุ่งหมายที่จะส่งเสริมสนับสนุน และให้ค�าแนะน�า เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล�้า อ�านวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างทัดเทียมกัน และลดภาระที่เกิดขึ้นกับประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ รวมทั้งขจัดหรือ ระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมที่หน่วยงานของรัฐปฏิบัติต่อประชาชน ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ด�าเนินการตามข้อเสนอแนะของ ผู้ตรวจการแผ่นดินตาม (1) หรือ (2) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป อนึ่ง ในกรณี การด�าเนินการตามหน้าที่ข้างต้น พบว่า เป็นกรณีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด�าเนินการต่อไป 5 นอกจากนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่สามประการข้างต้น ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอ เรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่า 5 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 230 ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 22 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 11
(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอ เรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย โดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ (2) กฎ ค�าสั่ง หรือการกระท�าอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็น ต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วย การจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 6 1.3 การด�าเนินการกรณีเป็นเรื่องเฉพาะตัว หรือเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจ ของหน่วยงานของรัฐ ในการด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจ ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมเรื่องใดเป็นเรื่องเฉพาะตัวเป็นรายกรณี หรือเป็นเรื่อง ที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของหน่วยงานของรัฐที่จะขจัดความเดือดร้อนหรืออ�านวย ความเป็นธรรมได้ตามหน้าที่และอ�านาจของหน่วยงานของรัฐนั้นอยู่แล้ว ให้ด�าเนินการ ดังต่อไปนี้ (1) ในกรณีที่การด�าเนินการในเรื่องนั้นมีกฎหมายก�าหนดให้มีการร้องทุกข์หรือ อุทธรณ์ไว้แล้ว ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องดังกล่าวให้หน่วยงานของรัฐนั้นพิจารณา ด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจต่อไป (2) ในกรณีที่เป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลหรือการด�าเนินการ ทางวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ผู้มีอ�านาจด�าเนินการเกี่ยวกับ การบริหารงานบุคคลหรือการด�าเนินการทางวินัยในกรณีนั้นด�าเนินการต่อไป แต่ทั้งนี้ 6 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 230 (1) (2) ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 23 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 12
ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น เพื่อประโยชน์ในการเสนอแนะ ให้มีการแก้ไขกฎหมาย กฎ หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าว อย่างเป็นระบบได้ (3) ในกรณีที่การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจ ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต ให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณา ด�าเนินการต่อไปแล้วแต่กรณี 7 1.4 เรื่องที่กฎหมายห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 37 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้ว เห็นว่ามีลักษณะดังต่อไปนี้ ไว้พิจารณา (1) เรื่องที่เป็นนโยบายที่คณะรัฐมนตรีก�าหนด เว้นแต่นโยบายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือมีผลให้มีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ (2) เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือเรื่องที่ศาลมีค�าพิพากษา ค�าสั่ง หรือ ค�าวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว เว้นแต่เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการเสนอแนะให้มี การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม (3) เรื่องที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน (4) เรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจขององค์กรอิสระอื่น หรือที่องค์กรอิสระอื่น รับไว้ด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจขององค์กรอิสระนั้นแล้ว แต่ไม่ตัดอ�านาจในการที่จะ ขอรับทราบผลการพิจารณาขององค์กรอิสระที่รับเรื่องไว้ด�าเนินการ 7 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 36 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 13
(5) เป็นการร้องเรียนโดยใช้สิทธิไม่สุจริตและการพิจารณาจะไม่เป็นประโยชน์ต่อ ประชาชนโดยส่วนรวม (6) เรื่องที่ผู้ร้องเรียนได้รับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอย่าง เหมาะสมแล้ว (7) เรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเคยสรุปผลการพิจารณาแล้ว เว้นแต่จะปรากฏพยาน หลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่อันอาจท�าให้ผลการพิจารณาเปลี่ยนแปลงไป (8) เรื่องอื่นตามมติที่ผู้ตรวจการแผ่นดินก�าหนด ในกรณีที่ความปรากฏในภายหลังว่าเป็นเรื่องที่มีลักษณะตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ตรวจการ แผ่นดินสั่งยุติเรื่อง 1.5 การพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามค�าร้องเรียน ผู้มีสิทธิร้องเรียน ได้แก่ ผู้ที่ได้พบหรือได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจ ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือ ความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากหน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ หรือมีกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ อาจแจ้งหรือ ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อพิจารณาด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจต่อไปได้ อย่างไรก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถพิจารณาเรื่องโดยไม่มีการแจ้งหรือการร้องเรียน ก็ได้ การแจ้งหรือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจกระท�าได้ทั้งที่เป็นลายลักษณ์ อักษรหรือกระท�าด้วยวาจา ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้พัฒนาช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียน ให้มีความหลากหลายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างเท่าเทียมกัน และเพื่อเป็นการอ�านวยความสะดวกในการใช้สิทธิร้องเรียน ประชาชนสามารถแจ้งหรือ ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 14
(1) ร้องเรียนทางโทรศัพท์ สายด่วน 1676 (โทรฟรีทั่วประเทศ) (2) ร้องเรียนทางโทรสาร หมายเลข 0 2143 8341 (3) ร้องเรียนผ่านระบบโมบายแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นการบริการบนระบบ IOS และ Android โดยสามารถติดตั้งแอปพลิเคชัน “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ผ่านทาง App Store หรือ Play Store หรือติดตั้งผ่านการแสกน QR Code (4) ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (5) ส่งทางไปรษณีย์ โดยท�าหนังสือร้องเรียนส่งไปยังส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 หรือ ตู้ ปณ.333 ปณฝ.ศูนย์ราชการ เฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ 10215 (6) ร้องเรียนด้วยตนเอง ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ (7) แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ (8) มอบหรือส่งโดยบุคคล หรือองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 15
1.6 การแสวงหาข้อเท็จจริงและกระบวนการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐที่มีลักษณะ เฉพาะบางประการที่แตกต่างจากหน่วยงานตรวจสอบอื่นของทางราชการ กล่าวคือ ผู้ตรวจการ แผ่นดินเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มิได้สังกัดฝ่ายบริหาร โดยมีส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินที่ท�าหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและอ�านวยความสะดวก ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงเชื่อมั่นได้ว่าการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ผู้ร้องเรียนหรือผู้ถูกร้องเรียนก็ตาม โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและ การมุ่งส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาครัฐตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ทั้งนี้ ในขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถด�าเนินการ ตามกฎหมายได้ ดังนี้ 8 (1) ให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลใดมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง ให้ความเห็นในการปฏิบัติงาน หรือมาให้ถ้อยค�า หรือส่งวัตถุ เอกสาร หลักฐาน หรือพยาน หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา (2) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรวบรวม พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่เคหสถานหรือสถานที่ที่จะเข้าไปนั้น มิได้อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ และเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยินยอม ให้เข้าไปได้เมื่อมีหมายของศาล อนึ่ง กระบวนการท�างานของผู้ตรวจการแผ่นดินมีความแตกต่างจากศาลตรงที่ ผลของค�าพิพากษาของศาลจะมีฝ่ายแพ้–ชนะ มีการเผชิญหน้ากันระหว่างคู่ความ และมี ค่าใช้จ่าย ในการด�าเนินการ ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน มุ่งเน้นการแก้ไขความเดือดร้อนและ เยียวยาความทุกข์ร้อนของประชาชนหรือผู้ร้องเรียนมากกว่าการมุ่งชี้ความผิดและ 8 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 25 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 16
การลงโทษ มิได้พิจารณาปัญหา โดยยึดถือเพียงแต่ความถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย แต่เพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นธรรมแก่ประชาชนด้วย นอกจากนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังให้ความส�าคัญกับการพัฒนาระบบการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อให้ประชาชนสามารถร้องเรียน ได้สะดวก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการร้องเรียน และด�าเนิน กระบวนการพิจารณาโดยเร็วเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ด้วยความโปร่งใสและ ตรวจสอบได้ โดยใช้แนวทางสันติวิธีในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐกับประชาชน 1.7 การเสนอแนะและการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อความปรากฏต่อผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ว่าจะมีผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียนหรือไม่ก็ตาม ว่าบุคคลใดได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอ�านาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีกรณีที่การปฏิบัติงานใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐเป็นภาระ แก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ให้เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงหรือด�าเนินการอื่นใดด้วยความรอบคอบ เพื่อเสนอแนะ ต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมนั้น หรือ ปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ ต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ ของหน่วยงานของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล�้า อ�านวยประโยชน์ ให้แก่ประชาชนอย่างทัดเทียมกันและลดภาระที่เกิดขึ้นกับประชาชนโดยไม่จ�าเป็น ก่อนการเสนอแนะดังกล่าว ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องหารือร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้อง โดยค�านึงถึง ประสิทธิภาพ ความสามารถ และอุปสรรคของหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะด�าเนินการตามแนวทางที่เสนอแนะประกอบด้วย 9 9 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 32 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 17
ภายหลังจากการหารือ เมื่อหน่วยงานของรัฐได้รับข้อเสนอแนะจากผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่ จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ให้หน่วยงานของรัฐนั้นด�าเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่ง ร้อยยี่สิบวัน ในกรณีมีเหตุจ�าเป็นไม่อาจแก้ไขได้แล้วเสร็จภายในก�าหนดเวลา จะขยายเวลา ออกไปอีกก็ได้เมื่อได้แจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบแล้ว โดยจะขยายเวลาได้อีกไม่เกินหก สิบวัน เมื่อพ้นก�าหนดเวลาดังกล่าวแล้วหน่วยงานของรัฐนั้นยังด�าเนินการไม่แล้วเสร็จโดย ไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อันท�าให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบเพื่อด�าเนินการตามหน้าที่ และอ�านาจโดยเร็ว โดยให้ถือว่ารายงานของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นส�านวนการสอบสวน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 10 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่า ข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไม่อาจ ด�าเนินการได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐนั้นที่จะแจ้งให้ผู้ตรวจการ แผ่นดินทราบภายในก�าหนดเวลาข้างต้น และปรึกษาหารือร่วมกับผู้ตรวจการแผ่นดินและ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคนั้นโดยเร็ว และเมื่อได้ ข้อยุติประการใดให้หน่วยงานของรัฐด�าเนินการไปตามข้อยุตินั้น ในกรณีที่ไม่อาจหา ข้อยุติได้ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ ตามที่เห็นสมควร และให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด�าเนินการไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าว โดยให้ด�าเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวัน และด�าเนินการเช่นเดียวกับ กรณีที่ได้รับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น 11 10 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 33 วรรคหนึ่ง 11 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 33 วรรคหนึ่ง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 18
หากเป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัด หรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่บุคคลใด ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ด�าเนินการให้เป็นไปตามค�าเสนอแนะนั้นภายในสามสิบวัน เว้นแต่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เห็นว่า การด�าเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวจะขัดต่อกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่ง หรือ ขั้นตอนการปฏิบัติงานให้แจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบก่อนพ้นก�าหนดเวลาสามสิบวัน ดังกล่าวและให้ผู้ตรวจการแผ่นดินหารือร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อยุติ โดยเร็วต่อไป แต่หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร และให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด�าเนินการไปตาม มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และด�าเนินการตามเงื่อนไขระยะเวลาดังที่ได้กล่าวไปแล้วต่อไป 12 อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ความปรากฏต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากหน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานพร้อมข้อเสนอแนะ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อพิจารณาด�าเนินการต่อไปโดยเร็ว โดยผู้ตรวจการแผ่นดิน จะรายงานให้รัฐสภาและเผยแพร่ให้ประชาชนทราบด้วยก็ได้ 13 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 34 13 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 35 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 19
- ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 20
14 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 40 วรรค 1 15 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 41 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 จึงก�าหนดให้มีส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีฐานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ภายใต้การบังคับ บัญชา ก�ากับดูแล และรับผิดชอบร่วมกันของผู้ตรวจการแผ่นดิน 14 และมีหน้าที่และอ�านาจ ดังต่อไปนี้ 15 (1) รับผิดชอบงานธุรการและด�าเนินการเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินบรรลุภารกิจ และหน้าที่ตามที่ก�าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่น (2) อ�านวยความสะดวก ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (3) ศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และสนับสนุนให้มีการวิจัยเกี่ยวกับงานของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (4) ด�าเนินการหรือส่งเสริมและสนับสนุนหรือประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ หรือภาคเอกชน ในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการด�าเนินการ ตามหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่มีกฎหมายก�าหนดหรือที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติ มอบหมาย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะผู้บริหารของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกอบด้วย (1) พันต�ารวจโท กีรป กฤตธีรานนท์ ต�าแหน่ง เลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (2) นายวทัญญู ทิพยมณฑา ต�าแหน่ง รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (3) นายกมลธรรม วาสบุญมา ต�าแหน่ง รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (4) นายอดิศร ร่มสนธิ์ ต�าแหน่ง รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (5) นางสาวรอยพิมพ์ ถีระวงษ์ ต�าแหน่ง รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 21
นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน นายอดิศร ร่มสนธิ์ รองเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน นายกมลธรรม วาสบุญมา รองเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน นางสาวรอยพิมพ์ ถีระวงษ์ รองเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พันต�ารวจโท กีรป กฤตธีรานนท์ เลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน คณะผู้บริหํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 22
ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้จัดแบ่งส่วนงํานและขอบเขตหน้ําที่ของส่วนงําน ในส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินประกอบด้วย 16 ส�ํานัก 1 สถําบัน และ 1 หน่วย ดังต่อไปนี้ (1) ส�ํานักบริหํารกลําง มีภํารกิจเกี่ยวกับงํานสํารบรรณ งํานพิธีกําร งํานบริหําร ทั่วไป งํานประชุม งํานอําคํารสถํานที่และควํามปลอดภัย งํานยํานพําหนะ งํานข้อมูลข่ําวสําร งํานธุรกํารกลํางและงํานอื่นซึ่งไม่ได้ก�ําหนดให้เป็นหน้ําที่และอ�ํานําจของส่วนงํานอื่นใด ในส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินเป็นกํารเฉพําะ (2) ส�ํานักบริหํารกํารคลัง มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารบริหํารกํารเงิน กํารบัญชี กํารพัสดุ และทรัพย์สินของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (3) ส�ํานักบริหํารทรัพยํากรมนุษย์ มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารบริหํารและพัฒนํา ทรัพยํากรมนุษย์ งํานสวัสดิกํารและประโยชน์เกื้อกูล งํานวินัยและจริยธรรม และงํานเลขํานุกําร ของคณะกรรมกํารบริหํารงํานบุคคล ผู้ตรวจการแผ่นดิน 23
(4) ส�ํานักนโยบํายและแผน มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารจัดท�ํานโยบําย ยุทธศําสตร์ และค�ําของบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปี กํารบริหํารงบประมําณ กํารติดตํามและประเมินผล กํารปฏิบัติงําน กํารบริหํารควํามเสี่ยง (5) ส�ํานักสื่อสํารองค์กรและประชําสัมพันธ์ มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารประชําสัมพันธ์ กํารสื่อสํารองค์กร กํารสื่อสํารมวลชนสัมพันธ์ กํารพัฒนํากํารผลิตสื่อประชําสัมพันธ์ กํารจัดกํารเว็บไซต์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับงํานโสตทัศนูปกรณ์ (6) ส�ํานักเทคโนโลยีสํารสนเทศและกํารสื่อสําร มีภํารกิจเกี่ยวกับงํานพัฒนํา ออกแบบ วํางระบบ และบ�ํารุงรักษําระบบเทคโนโลยีสํารสนเทศและกํารสื่อสําร และ กํารจัดกํารข้อมูลสํารสนเทศของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (7) ส�ํานักกฎหมํายและคดี มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริง กํารเสนอเรื่อง ต่อศําลรัฐธรรมนูญหรือศําลปกครอง กํารวิเครําะห์กฎหมําย และงํานนิติกําร (8) ส�ํานักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ กลั่นกรอง แสวงหําข้อเท็จจริง และจัดท�ําควํามเห็นเพื่อเสนอผู้ตรวจกํารแผ่นดินวินิจฉัย ในกรณีกํารรับหรือไม่รับไว้เป็นเรื่องร้องเรียน ตลอดจนส่งมอบเรื่องร้องเรียนที่ให้รับไว้ พิจํารณําให้ส่วนงํานที่รับผิดชอบด�ําเนินกํารแสวงหําข้อเท็จจริง กํารด�ําเนินกํารเรื่องที่ไม่ยุ่งยําก ไม่ซับซ้อน สํามํารถประสํานงํานเพื่อแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมด้วยควํามรวดเร็ว และเรื่องอื่นที่กฎหมํายบัญญัติ งํานติดตําม รํายงํานผลกํารด�ําเนินกํารตํามค�ําวินิจฉัยของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน งํานให้ค�ําปรึกษํา ตอบข้อซักถํามแก่ประชําชน หน่วยงํานของรัฐ และ เจ้ําหน้ําที่ของรัฐเกี่ยวกับหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (9) ส�ํานักสอบสวน 1 มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริง และจัดท�ํา ควํามเห็นเพื่อเสนอผู้ตรวจกํารแผ่นดินวินิจฉัย งํานติดตําม และรํายงํานผลกํารด�ําเนินกําร ตํามค�ําวินิจฉัยของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเรื่องอื่นที่กฎหมํายบัญญัติ (10) ส�ํานักสอบสวน 2 มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริง และจัดท�ํา ควํามเห็นเพื่อเสนอผู้ตรวจกํารแผ่นดินวินิจฉัย งํานติดตําม และรํายงํานผลกํารด�ําเนินกําร ตํามค�ําวินิจฉัยของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเรื่องอื่นที่กฎหมํายบัญญัติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 24
(11) ส�ํานักสอบสวน 3 มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริง และจัดท�ํา ควํามเห็นเพื่อเสนอผู้ตรวจกํารแผ่นดินวินิจฉัย งํานติดตําม และรํายงํานผลกํารด�ําเนินกําร ตํามค�ําวินิจฉัยของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเรื่องอื่นที่กฎหมํายบัญญัติ (12) ส�ํานักสอบสวน 4 มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริง และด�ําเนินกําร เกี่ยวกับกํารแสวงหําข้อเท็จจริงและจัดท�ําควํามเห็นเพื่อเสนอผู้ตรวจกํารแผ่นดินวินิจฉัย โดยเฉพําะเรื่องที่มีลักษณะพิเศษ เรื่องที่ส�ําคัญเร่งด่วน เรื่องที่มีควํามสลับซับซ้อนเกี่ยวเนื่อง หลํายพื้นที่หรือหลํายหน่วยงําน ตลอดจนเรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมอบหมํายให้ด�ําเนินกํารเป็นกรณีพิเศษ งํานติดตําม และรํายงํานผล กํารด�ําเนินกํารตํามค�ําวินิจฉัยของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเรื่องอื่นที่กฎหมํายบัญญัติ (13) ส�ํานักตรวจสอบหน้ําที่ของรัฐ มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารส่งเสริม สนับสนุน ตรวจสอบ วิเครําะห์ข้อมูล แสวงหําข้อเท็จจริง จัดท�ํารํายงํานและพิจํารณําเสนอควํามเห็น เพื่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามรัฐธรรมนูญหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ และเรื่องอื่น ที่กฎหมํายบัญญัติให้เป็นหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (14) ส�ํานักเครือข่ํายและกํารมีส่วนร่วม มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารให้ควํามรู้เรื่องสิทธิ และเสรีภําพของประชําชน หน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ธรรมําภิบําล กํารสร้ําง และส่งเสริมเครือข่ํายเพื่อสนับสนุนกํารปฏิบัติตํามหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง (15) ส�ํานักวิเทศสัมพันธ์ มีภํารกิจเกี่ยวกับงํานวิเทศสัมพันธ์ กํารสร้ํางควํามร่วมมือ ระหว่ํางประเทศ กิจกํารล่ํามและภําษําต่ํางประเทศ งํานรับรองและงํานพิธีกํารที่เกี่ยวกับ กํารต่ํางประเทศ งํานวิจัยและวิชํากํารระหว่ํางประเทศ ตลอดจนกํารเผยแพร่ผลงํานที่เป็น ภําษําต่ํางประเทศ (16) สถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินศึกษํา มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารวิจัย วิชํากําร กํารบริกําร วิชํากํารและเผยแพร่ งํานจัดท�ํารํายงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินประจ�ําปี งํานห้องสมุด จดหมํายเหตุ และพิพิธภัณฑ์ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 25
(17) หน่วยตรวจสอบภํายใน มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารตรวจสอบกํารด�ําเนินงํานภํายใน และสนับสนุนกํารด�ําเนินงํานของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และรํายงํานผลกํารตรวจสอบ ให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินทรําบ (18) ส�ํานักกิจกํารผู้ตรวจกํารแผ่นดินและเลขําธิกําร มีภํารกิจเกี่ยวกับกํารสนับสนุน กํารปฏิบัติหน้ําที่ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เลขําธิกําร รองเลขําธิกําร และคณะผู้สนับสนุน กํารปฏิบัติงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 26
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 27
ส่วนงาน อัตราก�าลัง (คน) เลขําธิกํารและรองเลขําธิกําร 5 ส่วนงํานที่ขึ้นตรงเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 4 หน่วยตรวจสอบภํายใน 4 ส่วนงํานภํารกิจด้ํานงํานสอบสวนและนิติกําร 133 1. ส�ํานักกฎหมํายและคดี 12 2. ส�ํานักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน 17 3. ส�ํานักสอบสวน 1 23 4. ส�ํานักสอบสวน 2 21 5. ส�ํานักสอบสวน 3 23 6. ส�ํานักสอบสวน 4 20 7. ส�ํานักตรวจสอบหน้ําที่ของรัฐ 17 ส่วนงํานภํารกิจด้ํานวิชํากํารและสนับสนุน 151 1. ส�ํานักบริหํารกลําง 37 2. ส�ํานักบริหํารกํารคลัง 12 3. ส�ํานักบริหํารทรัพยํากรมนุษย์ 12 4. ส�ํานักนโยบํายและแผน 12 5. ส�ํานักเทคโนโลยีสํารสนเทศและกํารสื่อสําร 11 6. ส�ํานักสื่อสํารองค์กรและประชําสัมพันธ์ 14 ภาพรวมโครงสร้างการแบ่งส่วนงานและอัตราก�าลังของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 1. ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแบ่งส่วนงํานออกเป็น 3 กลุ่ม จ�ํานวน 18 ส่วนงําน ดังนี้ 1.1 ส่วนงํานที่ขึ้นตรงเลขําธิกํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จ�ํานวน 1 ส่วนงําน 1.2 ส่วนงํานภํารกิจด้ํานงํานสอบสวนและนิติกําร จ�ํานวน 7 ส่วนงําน 1.3 ส่วนงํานภํารกิจด้ํานวิชํากํารและสนับสนุน จ�ํานวน 10 ส่วนงําน 2. อัตรําก�ําลังแบ่งตํามส่วนงําน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยํายน 2564) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 28
ส่วนงาน อัตราก�าลัง (คน) 7. ส�ํานักเครือข่ํายและกํารมีส่วนร่วม 11 8. ส�ํานักวิเทศสัมพันธ์ 8 9. สถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินศึกษํา 12 10. ส�ํานักกิจกํารผู้ตรวจกํารแผ่นดินและเลขําธิกําร 22 หมายเหตุ : 1. จ�ํานวนอัตรําในส่วนงํานภํารกิจด้ํานงํานสอบสวนและนิติกํารมีอัตรําลูกจ้ํางประจ�ํา ในต�ําแหน่งพนักงํานธุรกํารส่วนงํานละ 1 คน รวม 7 คน 2. มีเจ้ําหน้ําที่สอบสวนที่ปฏิบัติงํานในส�ํานักกิจกํารผู้ตรวจกํารแผ่นดินและเลขําธิกําร จ�ํานวน 6 คน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 29
- วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 30
3.1 วิสัยทัศน์ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้เล็งเห็นถึงควํามส�ําคัญในกํารวํางแผนระยะยําว โดยค�ํานึงถึง ทุกภําคส่วนที่มีส่วนร่วมในกํารปฏิบัติงํานให้บรรลุถึงผลส�ําเร็จตํามภํารกิจในกํารเสริมสร้ําง ควํามเป็นธรรมให้กับประชําชนและสังคม จึงได้จัดท�ํายุทธศําสตร์ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ขึ้น โดยเป็นกํารจัดท�ําภํายใต้หน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกําร แผ่นดินตํามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนไม่เพียงให้ควํามคุ้มครองให้กับประชําชนภํายใน ประเทศเท่ํานั้น แต่ใช้กลไกควํามร่วมมือระหว่ํางประเทศในกํารให้ควํามคุ้มครองและแก้ไข ปัญหําควํามเดือดร้อนให้กับประชําชนคนไทยที่อยู่ในต่ํางประเทศ และให้ควํามคุ้มครอง ชําวต่ํางชําติที่เข้ํามําอยู่ในประเทศไทย เป็นกํารเสริมสร้ํางให้เกิดควํามเป็นธรรม แก่ประชําชนในระดับประชําคมโลก ซึ่งจะส่งผลต่อควํามเป็นธรรมที่ยั่งยืน เพื่อให้กํารด�ําเนินงํานตํามกรอบแนวทํางและกํารขับเคลื่อนยุทธศําสตร์ผู้ตรวจกําร แผ่นดิน ให้บรรลุตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินซึ่งเป็นองค์กร ที่จะขับเคลื่อนภํารกิจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้บรรลุตํามหน้ําที่และอ�ํานําจที่มี จึงได้ก�ําหนดให้ มีกํารขับเคลื่อนแผนยุทธศําสตร์ระยะ 5 ปี หรือแต่ละช่วง ภํายใต้กรอบยุทธศําสตร์ฯ ระยะ 20 ปี โดยก�ําหนดวิสัยทัศน์และเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงําน ในระยะ 5 ปีแรก (พ.ศ. 2561 – 2565) คือ “เป็นกลไกหลักในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐเพื่อความเป็นธรรมของแผ่นดิน” อันหมํายถึง กํารมุ่งเน้นแก้ไขควํามเดือดร้อนและควํามไม่เป็นธรรมให้แก่ประชําชน โดยก�ําหนดกลไกกํารตรวจสอบกํารใช้อ�ํานําจรัฐ เน้นรูปแบบกํารท�ํางํานแบบกัลยําณมิตร กํารให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงํานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนของประชําชน อย่ํางเป็นระบบ กํารสร้ํางเครือข่ํายควํามร่วมมือจํากภําคส่วนต่ําง ๆ ได้แก่ หน่วยงํานภําครัฐ ภําคเอกชน ประชําชน สื่อมวลชน กํารพัฒนําระบบกํารบริหํารจัดกํารและกํารน�ําเทคโนโลยี ดิจิทัลมําใช้ในกํารบริหํารจัดกํารและกํารให้บริกํารเพื่อควํามสะดวก รวดเร็ว กํารพัฒนํา บุคลํากรให้มีศักยภําพสูง กํารพัฒนํางํานด้ํานวิชํากํารส่งเสริมและพัฒนําเป็นองค์กรแห่ง กํารเรียนรู้ และเพิ่มประสิทธิภําพกํารปฏิบัติงํานมํากขึ้น ใช้เวลําท�ํางํานน้อยลง แต่เสร็จสมบูรณ์ และเกิดผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 31
3.2 พันธกิจ “ตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่ยั่งยืน” (1) กํารแสวงหําข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขควํามเดือดร้อนของประชําชนอย่ํางเป็นธรรม (2) กํารเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐเพื่อปรับปรุง แก้ไขกฎหมําย ที่ก่อให้เกิด ควํามเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรม (3) กํารติดตํามและรํายงํานกํารปฏิบัติตํามรัฐธรรมนูญหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ กํารด�ําเนินงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินเป็นไปตํามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 โดยเน้นกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนหรือ ควํามไม่เป็นธรรม อันเนื่องมําจํากกํารไม่ปฏิบัติตํามกฎหมําย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่ และอ�ํานําจตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐ โดยกํารแสวงหําข้อเท็จจริง เมื่อเห็นว่ํามีผู้ได้รับควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรม เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมนั้น หรือเสนอแนะต่อ หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีกํารปรับปรุงกฎหมําย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือค�ําสั่ง หรือขั้นตอนกํารปฏิบัติงํานใด ๆ บรรดําที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรม แก่ประชําชน หรือเป็นภําระแก่ประชําชนโดยไม่จ�ําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ กํารเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ กํารด�ําเนินงํานดังกล่ําว ใช้กลไกในกํารบูรณํากํารควํามร่วมมือจํากทุกภําคส่วน ทั้งภํายในประเทศและระหว่ํางประเทศ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 32
3.3 ยุทธศาสตร์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้สํามํารถบรรลุวิสัยทัศน์ และพันธกิจ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ก�ําหนด ยุทธศําสตร์ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) และน�ํากรอบ ประเด็นยุทธศําสตร์ที่จะด�ําเนินกํารในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2565 ดังต่อไปนี้ ยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับและเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน วัตถุประสงค์ - เพื่อสร้ํางกลไกให้หน่วยงํานภําครัฐมีส่วนร่วม ในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนแก่ประชําชน กํารปรับปรุงรูปแบบกํารด�ําเนินงํานในกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชนโดยน�ําเทคโนโลยี ดิจิทัลมําประยุกต์ใช้ให้มํากขึ้น สร้ํางกํารรับรู้และ เข้ําถึงผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ประสํานงํานและท�ํางํานร่วมกับ องค์กรอิสระอื่นในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน ให้แก่ประชําชน เป้าประสงค์ - ประชําชนได้รับกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน และควํามไม่เป็นธรรมจํากกํารปฏิบัติหน้ําที่ของ หน่วยงํานของรัฐ ตัวชี้วัดระดับยุทธศาสตร์ - ร้อยละควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนต่อกํารปฏิบัติงําน เกี่ยวกับกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนหรือ ควํามไม่เป็นธรรม กลยุทธ์ที่ 1.1 พัฒนาแนวทางในการให้หน่วยงาน ภาครัฐแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน เพื่อพัฒนําระบบกํารปฏิบัติงําน กํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนของประชําชนจํากกํารไม่ปฏิบัติ หน้ําที่ หรือกํารปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจ ตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ ของรัฐตลอดจนกํารปรับปรุงกฎหมํายที่เป็นภําระ แก่ประชําชน โดยมุ่งเน้นกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียน ในเชิงระบบ กลยุทธ์ที่ 1.2 ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ เพื่อด�ําเนินกํารตรวจสอบและพัฒนํากํารปฏิบัติงําน ของหน่วยงํานของรัฐให้มีกํารปฏิบัติเป็นไปตําม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ อย่ํางถูกต้องครบถ้วน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 33
กลยุทธ์ที่ 1.3 พัฒนาการแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการอ�านวยความเป็นธรรม เพื่อพัฒนํากระบวนกํารด�ําเนินงํานด้ ําน กํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้มีประสิทธิภําพและ คุณภําพโดยพัฒนําระบบกํารปฏิบัติงํานด้ําน กํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนให้กับประชําชน ให้มี ควํามรวดเร็วและมีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น กํารจัดท�ํา มําตรฐํานเรื่องร้องเรียนในแต่ละประเด็น ให้มีมําตรฐํานกลําง ส่งผลต่อควํามพึงพอใจของ ประชําชนต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กลยุทธ์ที่ 1.4 สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึง กลไกการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจาก ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ประชําชนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน อย่ํางเท่ําเทียมและทั่วถึงผ่ํานกลไกและวิธีกําร รวมทั้งกํารให้ควํามรู้ควํามเข้ําใจหน้ําที่และอ�ํานําจ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินกํารให้ค�ําปรึกษําและแก้ไข ควํามเดือดร้อนแก่ประชําชนผ่ํานกํารด�ําเนิน กิจกรรมในพื้นที่ต่ําง ๆ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 34
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม วัตถุประสงค์ - เพื่อเสริมสร้ํางควํามรู้ควํามเข้ําใจและสร้ําง เครือข่ํายกํารมีส่วนร่วมของทุกภําคส่วนในกําร ขับเคลื่อนกํารด�ําเนินงํานตํามหลักธรรมําภิบําล เป็นกลไกในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนให้แก่ ประชําชน กํารจัดท�ําและพัฒนํารูปแบบวิธีกําร ปฏิบัติ และแนวทํางกํารมีส่วนร่วมของทุกภําคส่วน เป้าประสงค์ - ทุกภําคส่วนทั้งภํายในประเทศและระหว่ําง ประเทศมีควํามรู้และเข้ําใจหน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และให้ควํามร่วมมือในกําร ขับเคลื่อนภํารกิจด้ํานกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ตัวชี้วัดระดับยุทธศาสตร์ - ระดับควํามรู้ควํามเข้ําใจและกํารบูรณํากําร ควํามร่วมมือกับผู้ตรวจกํารแผ่นดินทั้งภํายใน ประเทศและระหว่ํางประเทศ กลยุทธ์ที่ 2.1 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ แก่ทุกภาคส่วนและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการอ�านวย ความเป็นธรรม เพื่อให้ทุกภําคส่วนของสังคมมีควํามรู้ควํามเข้ําใจ หน้ ําที่และอ�ํานําจของผู้ ตรวจกํารแผ่ นดิน หน่วยงํานของรัฐให้ควํามร่วมมือในกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนของประชําชน และทุกภําคส่วน มีควํามเชื่อมั่นต่อกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน และควํามไม่เป็นธรรม กลยุทธ์ที่ 2.2 บูรณาการความร่วมมือกับ หน่วยงานและทุกภาคส่วน เพื่อสร้ํางเครือข่ํายกํารมีส่วนร่วมของทุกภําคส่วน (ภําครัฐ เอกชน ประชําชน) ในกํารขับเคลื่อน กํารด�ําเนินงํานตํามหลักธรรมําภิบําลเพื่อแก้ไข ปัญหําควํามเดือดร้อนและควํามไม่เป็นธรรม กลยุทธ์ที่ 2.3 สร้างและขับเคลื่อนความร่วมมือ ระหว่างประเทศ เพื่อสร้ํางเครือข่ํายควํามร่วมมือระหว่ํางประเทศ เพื่อเป็นกลไกในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน ให้แก่ประชําชน และกํารส่งเสริมกํารแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่ํางเจ้ําหน้ําที่ของประเทศคู่ภําคีระหว่ําง ประเทศ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 35
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ วัตถุประสงค์ - เพื่อพัฒนําทักษะและส่งเสริมกํารเรียนรู้ของ บุคลํากรในทุกระดับอย่ํางต่อเนื่อง เพื่อเพิ่ม ขีดควํามสํามํารถของบุคลํากรให้มีควํามเชี่ยวชําญ ในแต่ละด้ําน กํารคิดค้นและพัฒนํานวัตกรรม ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนําระบบบริหํารจัดกํารงํานของ องค์กร กํารพัฒนํางํานด้ํานวิชํากําร กํารพัฒนํา เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน ขององค์กรให้มีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น พัฒนํา ระบบข้อมูลและเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลสํารสนเทศ กับหน่วยงํานและองค์กรอื่น ๆ เป้าประสงค์ - บุคลํากรมีควํามรู้ควํามสํามํารถ มีกํารจัดท�ําและ เชื่อมโยงองค์ควํามรู้ มีระบบเทคโนโลยีดิจิทัล และกํารบริหํารจัดกํารที่ทันต่อกํารเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนําไปสู่องค์กรแห่งกํารเรียนรู้ และ สํามํารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรอื่นในบริบท ที่แตกต่ํางกันไป และตอบสนองต่อภํารกิจของ องค์กรผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตัวชี้วัดระดับยุทธศาสตร์ - ระดับกํารพัฒนํากํารบริหํารจัดกํารเพื่อเป็น องค์กรแห่งกํารเรียนรู้ กลยุทธ์ที่ 3.1 พัฒนาและบริหารจัดการองค์ความรู้ เพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงํานเพื่อพัฒนําองค์ควํามรู้ รวบรวมและจัดท�ําฐํานข้อมูลควํามรู้ กํารพัฒนํางําน ด้ํานวิชํากําร กํารเชื่อมโยงองค์ควํามรู้จํากแหล่งต่ําง ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกํารเรียนรู้ของบุคลํากร อย่ํางต่อเนื่อง และสํามํารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ หน่วยงํานภํายนอก กลยุทธ์ที่ 3.2 พัฒนาและยกระดับการบริหาร จัดการงานของส�านักงาน เพื่อปรับปรุงและพัฒนํากํารบริหํารจัดกํารงํานของ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ให้เหมําะสม และ สอดคล้องกับหน้ําที่และอ�ํานําจที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นกํารพัฒนําและยกระดับกํารด�ําเนินงํานของ องค์กรโดยยึดหลักธรรมําภิบําล และควํามโปร่งใส ในกํารด�ําเนินงําน กลยุทธ์ที่ 3.3 เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร ให้มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้ เจ้ ําหน้ ําที่ส�ํานักงํานมีควํามเชี่ยวชําญ เฉพําะด้ํานและมีศักยภําพสูง บุคลํากรแต่ละสํายงําน และระดับต�ําแหน่งได้รับกํารพัฒนําทักษะ และ ควํามเชี่ยวชําญ ให้พร้อมปฏิบัติงํานตํามหน้ําที่และ อ�ํานําจและรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป กลยุทธ์ ที่ 3.4 พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ สนับสนุนการด�าเนินงาน เพื่อให้ ส�ํานักงํานผู้ ตรวจกํารแผ่ นดินมีระบบ เทคโนโลยีสํารสนเทศและนวัตกรรมที่ทันสมัยในกําร สนับสนุนกํารด�ําเนินงําน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 36
ประเภทและระดับต�าแหน่ง สายงาน รวม (คน) บริหาร สอบสวนและนิติการ สนับสนุน เลขาธิการ 1 - - 1 บริหาร - 4 - - 4 อ�านวยการ สูง - 7 11 18 ต้น - 24 19 43 วิชาการ ทรงคุณวุฒิ - - - - เชี่ยวชําญ - - - - ช�ํานําญกํารพิเศษ - 2 1 3 ช�ํานําญกําร - 76 83 159 ปฏิบัติกําร - 23 9 32 รวม 5 132 123 260 ลูกจ้ํางประจ�ํา - - 33 33 รวม 156 293 3.4 ทรัพยากรบุคคลของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 (ณ วันที่ 30 กันยํายน 2564) ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน มีบุคลํากร จ�ํานวน 293 คน แบ่งเป็น เลขําธิกําร 1 คน พนักงําน สํายงํานบริหําร จ�ํานวน 4 คน สํายงํานสอบสวนและนิติกําร จ�ํานวน 132 คน สํายงํานสนับสนุน จ�ํานวน 123 คน และลูกจ้ํางประจ�ํา ต�ําแหน่งพนักงํานขับรถยนต์และพนักงํานธุรกําร จ�ํานวน 33 คน ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงจ�านวนบุคลากรของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจ�าแนกตามสายงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 37
ประเภทบุคลากร วุฒิการศึกษา รวม (คน) ปริญญาเอก ปริญญาโท ปริญญาตรี ต�่ากว่าปริญญาตรี เลขําธิกํารและพนักงําน 4 208 48 - 260 ลูกจ้ํางประจ�ํา - - 4 29 33 รวม 4 208 52 29 293 3.5 งบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับจัดสรรงบประมําณรํายจ่ําย ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 จ�ํานวน 320,886,100.00 บําท ลดลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 24,822,400.00 บําท หรือลดลงร้อยละ 7.18 สรุปดังนี้ นอกจํากนี้ ในภําพรวมบุคลํากรของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน มีเลขําธิกําร พนักงําน และลูกจ้ํางประจ�ํา ส�ําเร็จกํารศึกษําระดับต�่ํากว่ําปริญญําตรี จ�ํานวน 29 คน ปริญญําตรี จ�ํานวน 52 คน ปริญญําโท 208 คน และปริญญําเอก 4 คน ดังนี้ ตารางที่ 2 แสดงจ�านวนบุคลากรของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจ�าแนกตามวุฒิการศึกษา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 38
แผนงาน / หมวดค่าใช้จ่าย งบประมาณ ปี 2563 งบประมาณ ปี 2564 เพิ่มขึ้น/ลดลง จากปีก่อน ร้อยละ 1. แผนงานบุคลากรภาครัฐ ด้านการ ปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหาร จัดการภาครัฐ 233,628,900.00 239,300,200.00 5,671,300.00 2.43 ค่ําใช้จ่ํายบุคลํากร 215,635,600.00 221,501,300.00 -5,865,700.00 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน 17,993,300.00 17,798,900.00 194,400.00 2. แผนงานพื้นฐาน ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 112,079,600.00 78,171,700.00 -33,907,900.00 -30.25 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน 101,460,400.00 73,725,500.00 -27,734,900.00 ค่ําใช้จ่ํายลงทุน 10,619,200.00 4,446,200.00 -6,173,000.00 3. แผนงานบูรณาการต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ - 3,414,200.00 3,414,200.00 100.00 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน 3,414,200.00 3,414,200.00 รวมทั้งสิ้น 345,708,500.00 320,886,100.00 -24,822,400.00 -7.18 เมื่อพิจํารณําเปรียบเทียบงบประมําณที่ได้รับจัดสรร ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 กับงบประมําณประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 แยกตํามแผนงําน พบว่ํา 1. แผนงํานบุคลํากรภําครัฐ ด้ํานกํารปรับสมดุลและพัฒนําระบบบริหํารจัดกําร ภําครัฐเพิ่มขึ้นจํากปีก่อน จ�ํานวน 5,671,300.00 บําท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43 ในส่วนของ ค่ําใช้จ่ํายบุคลํากร 2. แผนงํานพื้นฐําน ด้ํานกํารปรับสมดุลและพัฒนําระบบบริหํารจัดกํารภําครัฐ ลดลงจํากปีก่อน จ�ํานวน 33,907,900.00 บําท ลดลงร้อยละ 30.25 ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับกํารปรับลด วงเงินงบประมําณในรํายกํารที่ส�ําคัญ ดังนี้ หน่วย : บําท ผู้ตรวจการแผ่นดิน 39
2.1 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน เนื่องจํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 ส่งผลต่อกํารพิจํารณําจัดสรรงบประมําณในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ทั้งในส่วนของกํารจัดประชุม ฝึกอบรม สัมมนํา และค่ําใช้จ่ํายในกํารเดินทําง ภํายในประเทศเพื่อแสวงหําข้อเท็จตํามค�ําร้องเรียน รวมถึงกิจกรรมควํามร่วมมือ ระหว่ํางประเทศในลักษณะของกํารเดินทํางไปหํารือข้อรําชกํารในประเทศต่ําง ๆ นอกจํากนั้น ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีกํารจัดสัมมนําวิชํากําร นํานําชําติเนื่องในโอกําสครบรอบ 20 ปีกํารก่อตั้งผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ภํายใต้หัวข้อ “ผู้ตรวจกํารแผ่นดินในโลกแห่งกํารเปลี่ยนแปลง : ปรับตัวอย่ํางไรกับควํามท้ําทํายที่เกิดขึ้น” (Ombudsman in a changing world: resilience amidst challenges) ระหว่ํางวันที่ 11 - 13 กุมภําพันธ์ 2563 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเต็ล ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงได้รับกํารปรับลดวงเงินงบประมําณในส่วนดังกล่ําว 2.2 ค่ําใช้จ่ํายลงทุน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้รับจัดสรรรํายกํารค่ําใช้จ่ํายลงทุนเพียง 1 รํายกําร จ�ํานวน 4,446,200.00 บําท 3. แผนงํานบูรณํากํารต่อต้ํานกํารทุจริตและประพฤติมิชอบ เพิ่มขึ้นจํากปีก่อน จ�ํานวน 3,414,200.00 บําท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 เนื่องจํากในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับจัดสรรงบประมําณในโครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําล เพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต กิจกรรมผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสริมสร้ํางธรรมําภิบําลเพื่อควํามเป็นธรรม ในสังคม (พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม) ซึ่งส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ให้ควํามร่วมมือกับ กองงํานในพระองค์สมเด็จพระกนิษฐําธิรําชเจ้ํา กรมสมเด็จพระเทพรัตนรําชสุดํา ฯ สยํามบรม รําชกุมํารี กรมกิจกํารในพระบรมวงศํานุวงศ์ ส�ํานักพระรําชวัง ด�ําเนินงํานโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” เพื่อด�ําเนินงํานตํามพระรําชกระแสรับสั่งใน “โครงกํารพัฒนําอําชีพอย่ํางยั่งยืนในพระรําชด�ําริสมเด็จพระกนิษฐําธิรําชเจ้ํา กรมสมเด็จ พระเทพรัตนรําชสุดํา ฯ สยํามบรมรําชกุมํารี ต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัด พระนครศรีอยุธยํา (พ.ศ. 2561 – 2565)” โดยด�ําเนินกํารต่อเนื่องจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งได้มีกํารขับเคลื่อนกํารด�ําเนินงําน ประกอบด้วย กํารสร้ํางควํามรู้ควํามเข้ําใจ เกี่ยวกับกํารพัฒนําเป็นต�ําบลคุณธรรม กํารสร้ํางควํามตระหนักต่อค่ํานิยมควํามซื่อสัตย์ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 40
สุจริตหรือต่อต้ํานกํารทุจริต กํารรับรู้สิทธิและหน้ําที่พลเมือง กํารสร้ํางคุณธรรมเป้ําหมําย และคุณธรรมอัตลักษณ์ให้กับภําคส่วนต่ําง ๆ ในต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา ได้แก่ หมู่บ้ําน โรงเรียน โรงพยําบําลส่งเสริมสุขภําพต�ําบล และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลพระยําบันลือ) โดยใช้กิจกรรมส่งเสริม ควํามดีเป็นระบบขับเคลื่อนกํารพัฒนํา ทั้งในด้ํานกํารพัฒนําคนและพัฒนําสภําพแวดล้อม โดยมีวัด มัสยิด หน่วยงํานรําชกํารระดับอ�ําเภอและระดับจังหวัดมีส่วนร่วมในกํารสนับสนุน และอ�ํานวยควํามสะดวก ซึ่งกํารด�ําเนินโครงกํารฯ มีควํามสอดคล้องกับยุทธศําสตร์ชําติ ว่ําด้วยกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ยุทธศําสตร์ ที่ 1 สร้ํางสังคมที่ไม่ทนต่อกํารทุจริต และยุทธศําสตร์ชําติ 20 ปี ยุทธศําสตร์ที่ 6 ด้ํานกํารปรับสมดุลและพัฒนําระบบกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ แผนบูรณํากํารต่อต้ําน กํารทุจริตและประพฤติมิชอบ แนวทํางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�ํานึก ให้มีวัฒนธรรม และพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต โดยมีกิจกรรมสนับสนุนให้เกิดกํารแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ กํารมีส่วนร่วมในชุมชน เพื่อให้ประชําชนมีวัฒนธรรม ค่ํานิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรม ในกํารต่อต้ํานทุจริตและประพฤติมิชอบ 3.6 ความเชื่อมโยงความสอดคล้องกับการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน กับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทย่อย และแผนปฏิรูปประเทศ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 กํารด�ําเนินงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินและส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีทิศทํางกํารปฏิบัติงํานที่ให้ควํามส�ําคัญกับควํามเชื่อมโยงกับยุทธศําสตร์ชําติ แผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ แผนพัฒนําเศรษฐกิจและสังคมแห่งชําติฉบับที่ 12 และยุทธศําสตร์กํารจัดสรรงบประมําณประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 รํายละเอียด ปรํากฏตํามแผนภําพที่ 1 และ 2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 41
แผนภาพที่ 1 : ภําพรวมควํามเชื่อมโยงภํารกิจของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 42
แผนภาพที่ 2 : ควํามสอดคล้องเป้ําหมํายตํามภํารกิจของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กับเป้ําหมํายยุทธศําสตร์ชําติและแผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 43
โดยเป้ําหมํายภําพรวมของยุทธศําสตร์ชําติด้ํานที่ 6 ด้ํานกํารปรับสมดุลและพัฒนํา ระบบกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ ที่มุ่งหวังให้ภําครัฐมีวัฒนธรรมกํารท�ํางํานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ และผลประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองควํามต้องกํารของประชําชนได้อย่ํางสะดวก รวดเร็ว โปร่งใสนั้น จะเห็นได้ว่ําจํากขอบเขตภํารกิจทั้งในงํานแสวงหําข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน ไม่ว่ําจะเป็น case by case หรือเรื่องร้องเรียนเชิงระบบที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินอําจหยิบยก ขึ้นมําเพื่อพิจํารณํา หรือแม้กระทั่งงํานหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ถึงแม้ผลผลิตส�ําคัญ ในกํารด�ําเนินงํานของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน คือ จ�ํานวนเรื่องร้องเรียนที่มีข้อยุติ และค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดินเพื่อให้หน่วยงํานด�ําเนินกํารในกําร แก้ไขควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชน หรือค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะเพื่อส่งต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจํารณําสั่งกํารยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องรับไปด�ําเนินกํารปรับปรุงแก้ไขบรรดํากฎหมําย กฎ ระเบียบฯ ที่เกี่ยวข้องนั้น ทั้งนี้ บรรดําค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อให้หน่วยงํานด�ําเนินกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อน ให้แก่ประชําชนนั้น ถือเป็นภํารกิจส�ําคัญ ของผู้ตรวจกําร แผ่นดินที่จะมีส่วนช่วยผลักดันหน่วยงํานของรัฐในกํารปรับปรุงและพัฒนํา ระบบบริกําร ประชําชนหรือระบบบริหํารจัดกํารเพื่อให้เกิดกํารพัฒนําประสิทธิภําพ ในกํารท�ํางําน เพื่อให้เกิด ผลประโยชน์ต่อประชําชน และต่อประเทศร่วมกัน อีกทั้งเพื่อให้ กํารบริหํารงํานของหน่วยงําน ภําครัฐเป็นที่ยอมรับแก่ประชําชนได้อย่ํางแท้จริง ในส่วนของแผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ ซึ่งมีทั้งสิ้น 23 ฉบับนั้น แผนงําน / โครงกํารส�ําคัญของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีควํามเชื่อมโยง กับเป้ําหมํายแผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติด้ําน (1) การบริการประชาชนและประสิทธิภาพ ภาครัฐ และ (2) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ด้ําน (1) การบริการประชาชนและประสิทธิภาพ ภาครัฐ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน มีกิจกรรมในกํารพัฒนําประสิทธิภําพระบบกํารให้ บริกํารประชําชน ซึ่งสอดรับกับแผนย่อย 3 แผนงําน ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 44
แผนย่อยกํารพัฒนําระบบบริหํารงํานภําครัฐ เนื่องด้วยส�ํานักงํานฯ ไม่มีส่วนงํานในระดับภูมิภําค แต่ส�ํานักงํานฯ มีกํารจัดท�ํา โครงกําร Ombudsman Care ซึ่งถือเป็นโครงกํารส�ําคัญของส�ํานักงํานฯ ในกํารเข้ําถึง กํารให้บริกํารประชําชน โดยมีกิจกรรมในกํารลงพื้นที่เพื่อเผยแพร่ประชําสัมพันธ์ภํารกิจ ของหน่วยงํานเพื่อให้ประชําชนรับทรําบบทบําทและภํารกิจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังพื้นที่ ต่ําง ๆ ในระดับภูมิภําคทั่วประเทศ พร้อมทั้งกํารน�ําหน่วยบริกํารเคลื่อนที่เพื่อให้ค�ําแนะน�ํา และค�ําปรึกษําด้ํานกฎหมํายแก่ประชําชนโดยลงพื้นที่ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นกํารอ�ํานวย ควํามสะดวกให้แก่ประชําชนที่ได้รับควํามเดือดร้อนตํามพื้นที่ที่ยํากแก่กํารเข้ําถึง ซึ่งประชําชน จะได้รับข้อมูลข่ําวสํารอันเป็นประโยชน์ และได้รับค�ําปรึกษําข้อกฎหมํายต่ําง ๆ ไปใน ครําวเดียวกัน แผนย่อยกํารพัฒนําบริกํารประชําชน โดยกํารพัฒนําระบบสํารสนเทศเพื่อกํารบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียนตําม พระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ระบบโทรศัพท์ Call Center สํายด่วน 1676 เป็นต้น ทั้งนี้ กํารพัฒนําระบบสํารสนเทศดังกล่ําว เพื่อเป็น ช่องทํางกํารพัฒนําประสิทธิภําพในกํารด�ําเนินงํานเพื่อให้ประชําชนสํามํารถเข้ําถึงระบบ บริกํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้โดยสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภําพ แผนย่อยกํารสร้ํางและพัฒนําบุคลํากรภําครัฐ ปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน มุ่งเน้นกํารพัฒนํา องค์ควํามรู้ ทักษะขีดควํามสํามํารถของบุคลํากรในส�ํานักงําน เพื่อให้สํามํารถรองรับ กํารปฏิบัติงํานได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 45
ด้าน (2) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ นับแต่รัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทยปีพุทธศักรําช 2550 เป็นต้นมํา ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ให้ควํามส�ําคัญกับประเด็นกํารต่อต้ํานกํารทุจริตมําโดยตลอด ที่ผ่ํานมําได้ด�ําเนินกํารเกี่ยวกับ กํารส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมําภิบําลให้บรรดําหน่วยงํานต่ําง ๆ รวมทั้ง ภําคประชําสังคม ซึ่งในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานฯ มีโครงกํารส�ําคัญ คือ โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต โดยมีเป้ําหมํายในกํารให้ประชําชน มีวัฒนธรรมค่ํานิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในกํารต่อต้ํานกํารทุจริตและประพฤติมิชอบ นอกจํากนี้ ในส่วนของกํารจัดสรรงบประมําณของประเทศที่ผ่ํานมําจนถึงปัจจุบัน ให้ควํามส�ําคัญกับควํามต่อเนื่องของกํารบริหํารรําชกํารแผ่นดินเพื่อขับเคลื่อนกํารด�ําเนินงําน ตํามแผนยุทธศําสตร์ชําติให้ประสบผลส�ําเร็จอย่ํางเป็นรูปธรรม โดยเมื่อมีกํารประกําศใช้ ยุทธศําสตร์ชําติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เมื่อวันที่ 8 ตุลําคม 2561 เป็นต้นมํา แนวทํางกํารจัดสรรงบประมําณได้มุ่งเน้นกํารจัดสรรงบประมําณที่ขับเคลื่อนเป้ําหมําย ยุทธศําสตร์ชําติ แผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ แผนพัฒนําเศรษฐกิจและสังคมแห่งชําติ ฉบับที่ 12 โดยค�ํานึงถึงประโยชน์สูงสุดกับประชําชน ถึงแม้ว่ําสถิติกํารจัดสรรงบประมําณส�ําหรับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินในช่วงที่ ผ่ํานมําจนถึงปัจจุบันจะมีวงเงินงบประมําณจ�ํานวนไม่มํากเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนรําชกําร หรือองค์กรอิสระอื่น ๆ แต่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ก�ําหนด เป้ําหมํายกํารท�ํางํานให้สอดคล้องกับยุทธศําสตร์ชําติ ทั้งในกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน ของประชําชน โดยมุ่งเน้นกํารท�ํางํานในกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนโดยกํารแสวงหําข้อเท็จจริง กํารแก้ไขปัญหําเชิงระบบ กํารด�ําเนินกํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของหน่วยงํานของรัฐ ให้มีกํารปฏิบัติเป็นไปตํามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ อย่ํางถูกต้อง ครบถ้วนเป็นส�ําคัญ อีกทั้งในเรื่องของกํารมุ่งเน้นกํารพัฒนําประสิทธิภําพกํารท�ํางําน ขององค์กรในด้ํานกํารพัฒนําองค์ควํามรู้ กํารพัฒนําทักษะควํามรู้แก่บุคลํากรของส�ํานักงําน กํารพัฒนํางํานด้ํานต่ํางประเทศ กํารพัฒนําประสิทธิภําพในกํารน�ําเทคโนโลยีดิจิทัลมําใช้ใน กํารปฏิบัติงําน รวมทั้งกํารปลูกฝังจิตส�ํานึกค่ํานิยมสุจริต ทัศนคติ และพฤติกรรมในกํารต่อต้ําน กํารทุจริตและประพฤติมิชอบให้กับชุมชนในพื้นที่ต่ําง ๆ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 46
อย่ํางไรก็ตําม ที่ผ่ํานมําส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ให้ควํามส�ําคัญกับกํารด�ําเนิน โครงกํารต่ําง ๆ เพื่อให้เป้ําหมํายในกํารด�ําเนินงําน มีควํามสอดรับและเป็นไปในทิศทําง เดียวกันกับแผนกํารพัฒนําประเทศ ขณะเดียวกัน ส�ํานักงํานฯ ก็ได้ค�ํานึงถึงควํามคุ้มค่ํา ในกํารใช้จ่ํายงบประมําณเพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดแก่ประชําชน และเพื่อกํารพัฒนํา ปรับปรุงประสิทธิภําพกํารให้บริกํารและกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมเพื่อให้เกิดกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อนแก่ประชําชนได้อย่ํางแท้จริง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 47
บทที่ ภาพรวมผลการด�าเนินงาน ตามหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 49
- สถิติผลการด�าเนินงานเรื่องร้องเรียน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 50
การด�าเนินการ จ�านวน (เรื่อง) สัดส่วน (ร้อยละ) 1. เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา ประกอบด้วย 1.1 เรื่องที่รับไว้ในปีงบประมําณ 1.2 เรื่องที่อยู่ระหว่ํางกํารพิจํารณํายกมําจําก ปีงบประมําณก่อน 4,866 2,991 1,875 100.00 - - 2. ผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียน ประกอบด้วย 2.1 เรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ 2.2 เรื่องร้องเรียนยกไปด�ําเนินกํารใน ปีงบประมําณถัดไป 2,675 2,191 54.97 45.03 การด�าเนินการ จ�านวน (เรื่อง) เรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ 2,675 - ด�ําเนินกํารช่วยเหลือแก้ไขปัญหํา 2,630 - ผู้ร้องเรียนได้ถอนเรื่องร้องเรียน/ ข้อมูลไม่ชัดเจน 45 1.1 สถิติผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ด�ําเนินกํารทั้งสิ้น จ�ํานวน 4,866 เรื่อง และได้พิจํารณําตรวจสอบ แสวงหําข้อเท็จจริงจนมีค�ําวินิจฉัย หรือมีข้อเสนอแนะต่อ หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีกํารปรับปรุงกฎหมําย กฎ หรือค�ําสั่ง หรือขั้นตอนใด ๆ ที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชําชน จ�ํานวน 2,675 เรื่อง ดังนี้ เรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 สํามํารถจ�ําแนก ตํามผลกํารด�ําเนินกํารดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 51
มาตรา 22 หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน จ�านวน (เรื่อง) - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกํารปรับปรุงกฎหมําย กฎ หรือค�ําสั่ง หรือขั้นตอนกํารปฏิบัติงําน 22 (1) 18 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่ํา ผู้ร้องเรียนได้รับ ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมเนื่องจํากกํารไม่ปฏิบัติตํามกฎหมํายหรือปฏิบัติ นอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐ หรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องตํามนัยมําตรํา 22 (2) 19 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงําน ของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ 22 (3) 1 - เรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําแล้วไม่ยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญ กรณีกํารละเมิด สิทธิหรือเสรีภําพตํามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยวิธีพิจํารณําควํามของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ตํามหน้ําที่และอ�ํานําจ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน มําตรํา 22 (4) 53 รวม 91 สถิติเรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามผลการด�าเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 52
มาตรา 36 เรื่องเฉพาะตัวหรือเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของหน่วยงานของรัฐ จ�านวน (เรื่อง) - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและได้แสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่ําเป็นเรื่องเฉพําะตัวเป็นรํายกรณีที่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจของหน่วยงํานของรัฐ ที่จะขจัดควํามเดือดร้อนหรืออ�ํานวยควํามเป็นธรรม กรณีที่กํารด�ําเนินกํารในเรื่องนั้น มีกฎหมํายก�ําหนดให้มีกํารร้องทุกข์หรืออุทธรณ์ไว้แล้ว และได้ส่งเรื่องดังกล่ําว ให้หน่วยงํานของรัฐนั้นพิจํารณําด�ําเนินกํารตํามหน้ําที่และอ�ํานําจต่อไป 36 (1) 7 - เรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ําเป็นเรื่อง เกี่ยวกับกํารบริหํารงํานบุคคล / วินัย 36 (2) 37 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและได้แสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่ํา เป็นเรื่องเฉพําะตัวเป็นรํายกรณีที่ไม่ปฏิบัติตํามกฎหมํายหรือปฏิบัตินอกเหนือ หน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐเป็นเรื่อง เกี่ยวกับกํารทุจริต และได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริต แห่งชําติ คณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตในภําครัฐ หรือคณะกรรมกําร กําร ตรวจเงินแผ่นดินพิจํารณําด�ําเนินกํารต่อไป 36 (3) 2 รวม 46 มาตรา 23 การเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองเพื่อพิจารณา จ�านวน (เรื่อง) - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญ เมื่อเห็นว่ํากรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมํายมีปัญหําควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกรณี กํารละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพตํามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง 23 (1) 48 - เรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําแล้วไม่เสนอเรื่องต่อศําลรัฐธรรมนูญ หรือ ศําลปกครอง เนื่องจํากไม่เป็นไปตํามนัยของมําตรํา 23 (1)(2) กรณี บทบัญญัติ แห่งกฎหมํายมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือ กฎ ค�ําสั่ง หรือ กํารกระท�ําใด ๆ ของหน่วยงํานของรัฐมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมําย 33 รวม 81 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 53
มาตรา 37 เรื่องที่ห้ามรับไว้พิจารณา จ�านวน (เรื่อง) - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นเรื่องนโยบํายที่คณะรัฐมนตรีก�ําหนด เว้นแต่นโยบํายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือมีผลให้มีกํารละเลยกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามรัฐธรรมนูญ 37 (1) 3 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นเรื่องที่มีกํารฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศําลหรือเรื่องที่ศําลมีค�ําพิพํากษํา ค�ําสั่ง หรือค�ําวินิจฉัยเสร็จเด็ดขําดแล้ว 37 (2) 141 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 37 (3) 199 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจขององค์กรอิสระอื่น หรือองค์กรอิสระอื่น รับไว้ด�ําเนินกํารตํามหน้ําที่และอ�ํานําจขององค์กรอิสระนั้นแล้ว 37 (4) 63 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นกํารร้องเรียนโดยใช้สิทธิไม่สุจริตและกํารพิจํารณําจะไม่เป็นประโยชน์ ต่อประชําชนส่วนรวม 37 (5) 1 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 54
มาตรา 37 เรื่องที่ห้ามรับไว้พิจารณา จ�านวน (เรื่อง) - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว มีค�ําวินิจฉัย / ข้อเสนอแนะที่เป็นผลให้หน่วยงํานของรัฐด�ําเนินกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้ว 37 (6) 720 - เรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ําเป็น เรื่อง / ประเด็นที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเคยมีค�ําวินิจฉัยแล้ว 37 (7) 22 - เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ด�ําเนินกํารและแสวงหําข้อเท็จจริงแล้ว พบว่ํา เป็นเรื่องที่มีลักษณะตํามมําตรํา 37 (8) เรื่องอื่นตํามมติที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ก�ําหนด 1,263 - เรื่องที่ผู้ร้องเรียนถอนเรื่องร้องเรียน 45 รวม 2,457 รวมทั้งสิ้น 2,675 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 55
เรื่องร้องเรียนที่รับไว้พิจารณาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามภูมิภาคและจังหวัด ภาค / จังหวัด จ�านวน (ร้อยละ) ภาคเหนือ 144 (4.81) 1 เชียงใหม่ 44 2 ล�ําปําง 21 3 อุตรดิตถ์ 21 4 เชียงรําย 20 5 ล�ําพูน 10 6 พะเยํา 9 7 น่ําน 7 8 แม่ฮ่องสอน 7 9 แพร่ 5 กรุงเทพมหานคร 1,237 (41.36) ภาคกลาง 624 (20.86) 1 นนทบุรี 134 2 ปทุมธํานี 70 3 สมุทรปรํากําร 67 4 พระนครศรีอยุธยํา 46 5 นครปฐม 38 6 สุพรรณบุรี 31 7 สมุทรสําคร 30 8 พิษณุโลก 28 9 นครสวรรค์ 26 10 สระบุรี 24 11 ลพบุรี 23 12 อุทัยธํานี 20 13 ก�ําแพงเพชร 17 14 สุโขทัย 12 15 นครนํายก 11 16 พิจิตร 11 17 ชัยนําท 8 18 สิงห์บุรี 8 19 อ่ํางทอง 8 20 เพชรบูรณ์ 7 21 สมุทรสงครําม 5 ภาคตะวันออก 185 (6.19) 1 ชลบุรี 77 2 ฉะเชิงเทรํา 34 3 ระยอง 29 4 สระแก้ว 17 5 ปรําจีนบุรี 14 6 จันทบุรี 9 7 ตรําด 5 ภาค / จังหวัด จ�านวน (ร้อยละ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 320 (10.70) 1 นครรําชสีมํา 53 2 ร้อยเอ็ด 50 3 อุดรธํานี 42 4 ขอนแก่น 29 5 อุบลรําชธํานี 20 6 สกลนคร 18 7 บุรีรัมย์ 16 8 ศรีสะเกษ 15 9 ชัยภูมิ 13 10 กําฬสินธุ์ 10 11 มหําสํารคําม 9 12 เลย 8 13 มุกดําหําร 7 14 สุรินทร์ 7 15 นครพนม 6 16 ยโสธร 6 17 หนองคําย 5 18 หนองบัวล�ําภู 3 19 บึงกําฬ 2 20 อ�ํานําจเจริญ 1 ภาคใต้ 302 (10.10) 1 สงขลํา 67 2 ภูเก็ต 53 3 สุรําษฎร์ธํานี 45 4 นครศรีธรรมรําช 29 5 พังงํา 24 6 กระบี่ 18 7 ชุมพร 17 8 ตรัง 16 9 ยะลํา 15 10 พัทลุง 7 11 ปัตตํานี 5 12 นรําธิวําส 3 13 สตูล 2 14 ระนอง 1 ภาคตะวันตก 121 (4.05) 1 กําญจนบุรี 38 2 รําชบุรี 34 3 ประจวบคีรีขันธ์ 20 4 เพชรบุรี 17 5 ตําก 12 ไม่ระบุชัดเจน 58 (1.93) รวมทั้งสิ้น 2,991 เรื่อง (100) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 56
เรื่องร้องเรียนที่รับไว้พิจารณาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามช่องทางการร้องเรียน หน่วยงาน จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ ไปรษณีย์ 1,760 58.84 เว็บไซต์ (www.ombudsman.go.th) 500 16.72 โมบํายแอปพลิเคชัน “ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน” 429 14.34 ยื่นเรื่องด้วยตัวเอง ณ ที่ท�ํากํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 266 8.89 สํายด่วนผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (โทร. 1676) 20 0.67 เรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําหยิบยกมําด�ําเนินกํารตํามอ�ํานําจหน้ําที่ 12 0.40 อื่น ๆ (กํารเข้ําร่วมกิจกรรม / โครงกํารต่ําง ๆ ของ สผผ.) 4 0.13 รวม 2,991 100.00 8.89 % 16.72 % 14.34 % 0.67 % 0.40 % 58.84 % 0.13 % ผู้ตรวจการแผ่นดิน 57
หน่วยงาน รวม ร้อยละ 1 ส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ 602 22.50 2 กระทรวงมหําดไทย 343 12.82 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 209 7.81 4 หน่วยงํานอิสระอื่นของรัฐ 109 4.07 5 กระทรวงยุติธรรม 103 3.85 6 กระทรวงทรัพยํากรธรรมชําติและสิ่งแวดล้อม 96 3.59 7 กระทรวงคมนําคม 84 3.14 8 กระทรวงศึกษําธิกําร 68 2.54 9 กระทรวงกํารคลัง 63 2.36 10 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 53 1.98 11 กระทรวงสําธํารณสุข 51 1.91 12 องค์กรตํามรัฐธรรมนูญ 28 1.05 13 ส�ํานักนํายกรัฐมนตรี 27 1.01 14 กระทรวงกลําโหม 26 0.97 15 ศําลและหน่วยธุรกํารของศําล 25 0.93 16 กระทรวงกํารพัฒนําสังคมและควํามมั่นคงของมนุษย์ 20 0.75 17 กระทรวงกํารอุดมศึกษํา วิทยําศําสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 19 0.71 18 หน่วยงํานเอกชน 18 0.67 19 กระทรวงแรงงําน 15 0.56 20 กระทรวงพําณิชย์ 13 0.49 เรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามหน่วยงานที่ถูกร้องเรียน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 58
หน่วยงาน รวม ร้อยละ 21 กระทรวงพลังงําน 11 0.41 22 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 9 0.34 23 กระทรวงอุตสําหกรรม 9 0.34 24 รัฐวิสําหกิจในก�ํากับของรัฐมนตรี 6 0.22 25 หน่วยงํานอิสระไม่สังกัดกระทรวง 6 0.22 26 ส่วนรําชกํารไม่สังกัดส�ํานักนํายกรัฐมนตรี กระทรวง และทบวง 6 0.22 27 รัฐสภําและหน่วยรําชกํารในฝ่ํายรัฐสภํา 5 0.19 28 กระทรวงวัฒนธรรม 5 0.19 29 องค์กรวิชําชีพ 5 0.19 30 กระทรวงกํารท่องเที่ยวและกีฬํา 3 0.11 31 กระทรวงกํารต่ํางประเทศ 2 0.07 32 ส่วนรําชกํารในก�ํากับของรัฐมนตรี 1 0.04 33 หน่วยงํานอื่น ๆ (วัด/กองทุนต่ําง ๆ/มูลนิธิ ฯ) 635 23.74 รวม 2,675 100.00 *หมายเหตุ: เนื่องจํากเรื่องร้องเรียนบํางเรื่องได้ร้องเรียนหลํายหน่วยงําน ท�ําให้ผลรวมของจ�ํานวนเรื่องที่จ�ําแนก ตํามหน่วยงํานที่ถูกร้องเรียนมีจ�ํานวนมํากกว่ําจ�ํานวนเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 59
เรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามระยะเวลาด�าเนินการ ระยะเวลาในการด�าเนินการ จ�านวนเรื่องร้องเรียน ร้อยละ ภํายใน 15 วัน 11 0.41 16 วัน - ภํายใน 3 เดือน 795 29.72 เกินกว่ํา 3 เดือน - ภํายใน 6 เดือน 511 19.10 เกินกว่ํา 6 เดือน - ภํายใน 1 ปี 773 28.90 เกินกว่ํา 1 ปี 585 21.87 รวม 2,675 100.00 ภายใน 15 วัน เกินกว่า 3 เดือน - ภายใน 6 เดือน 16 วัน - ภายใน 3 เดือน เกินกว่า 6 เดือน - ภายใน 1 ปี เกินกว่า 1 ปี 0.41 % 29.72 % 21.87 % 19.10 % 28.90 % รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 60
การด�าเนินการเรื่องร้องเรียน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน (เรื่อง) สัดส่วน (ร้อยละ) จ�านวน (เรื่อง) สัดส่วน (ร้อยละ) เรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรับไว้ พิจํารณําทั้งสิ้น ประกอบด้วย 1.1 เรื่องที่รับไว้ในปีงบประมําณ 1.2 เรื่องที่อยู่ระหว่ํางกํารพิจํารณํายกมํา จํากปีงบประมําณก่อน รวมเรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน รับไว้พิจารณาทั้งสิ้น 3,140 1,808 4,948 - - 100.00 2,991 1,875 4,866 - - 100.00 เรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ 3,073 62.11 2,675 54.97 เรื่องร้องเรียนยกไปด�ําเนินกําร ในปีงบประมําณถัดไป 1,875 37.89 2,191 45.03 1.2 สถิติผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจการแผ่นดินเปรียบเทียบ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 61
เดือน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตุลําคม 328 304 พฤศจิกํายน 247 245 ธันวําคม 248 260 มกรําคม 269 280 กุมภําพันธ์ 189 239 มีนําคม 229 284 เมษํายน 283 202 พฤษภําคม 278 253 มิถุนํายน 260 234 กรกฎําคม 216 206 สิงหําคม 322 276 กันยํายน 271 208 รวมทั้งสิ้น 3,140 2,991 เปรียบเทียบเรื่องร้องเรียนที่ได้รับไว้พิจารณาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามรายเดือน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 62
เปรียบเทียบเรื่องร้องเรียนที่ได้รับไว้พิจารณาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 256 4 จ�าแนกตามรายเดือน 50 0 100 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 150 200 250 300 328 247 248 269 189 229 283 278 260 216 322 271 304 245 260 280 239 284 202 253 234 206 276 208 ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 63
เดือน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตุลําคม 675 482 พฤศจิกํายน 523 462 ธันวําคม 498 489 มกรําคม 599 479 กุมภําพันธ์ 515 482 มีนําคม 493 606 เมษํายน 493 475 พฤษภําคม 448 511 มิถุนํายน 484 605 กรกฎําคม 453 500 สิงหําคม 540 604 กันยํายน 504 618 รวม 6,225 6,313 เปรียบเทียบจ�านวนการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน (โทร 1676) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามรายเดือน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 64
เปรียบเทียบจ�านวนการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน (โทร 1676) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามรายเดือน 200 400 600 800 0 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 675 523 498 599 515 493 493 448 484 453 540 504 482 462 489 479 482 606 475 511 605 500 604 618 ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 65
เปรียบเทียบจ�านวนการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน (โทร 1676) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามลักษณะการให้บริการ ลักษณะการให้บริการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (สาย) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (สาย) ให้ค�ําปรึกษําและค�ําแนะน�ําเพื่อช่วยเหลือ ปัญหําทํางด้ํานกฎหมํายแก่ประชําชน 2,299 2,501 ติดตํามผลกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียน 2,912 2,852 โทรกลั่นแกล้ง โทรผิด 946 889 ประสํานงํานและแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียน ในเบื้องต้น โดยผู้ร้องเรียนพึงพอใจและ ไม่ยื่นค�ําร้องเป็นเรื่องร้องเรียนต่อไป 45 52 รับเป็นเรื่องร้องเรียนทํางโทรศัพท์ 23 19 รวม 6,225 6,313 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 66
เปรียบเทียบจังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุด 10 อันดับ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 อันดับ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จังหวัด จ�านวน จังหวัด จ�านวน 1 กรุงเทพมหํานคร 1,304 กรุงเทพมหํานคร 1,237 2 นนทบุรี 167 นนทบุรี 134 3 ชลบุรี 90 ชลบุรี 77 4 ปทุมธํานี สมุทรปรํากําร 72 ปทุมธํานี 70 5 นครรําชสีมํา 59 สงขลํา สมุทรปรํากําร 67 6 เชียงใหม่ 52 ภูเก็ต นครรําชสีมํา 53 7 กําญจนบุรี 51 ร้อยเอ็ด 50 8 สุรําษฎร์ธํานี 50 พระนครศรีอยุธยํา 46 9 ฉะเชิงเทรํา 46 สุรําษฎร์ธํานี 45 10 สงขลํา 45 เชียงใหม่ 44 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 67
เปรียบเทียบจังหวัดที่มีการร้องเรียนน้อยที่สุด 10 อันดับ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 อันดับ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จังหวัด จ�านวน จังหวัด จ�านวน 1 นรําธิวําส ยะลํา 2 ระนอง อ�ํานําจเจริญ 1 2 แม่ฮ่องสอน ระนอง 3 สตูล บึงกําฬ 2 3 ยโสธร หนองบัวล�ําภู อุทัยธํานี 4 นรําธิวําส หนองบัวล�ําภู 3 4 อ�ํานําจเจริญ สตูล 6 ตรําด ปัตตํานี แพร่ สมุทรสงครําม หนองคําย 5 5 แพร่ บึงกําฬ สมุทรสงครําม ชัยนําท นครนํายก อ่ํางทอง ปัตตํานี 7 นครพนม ยโสธร 6 6 ล�ําพูน น่ําน มุกดําหําร สระแก้ว พัทลุง 9 น่ําน พัทลุง เพชรบูรณ์ มุกดําหําร แม่ฮ่องสอน สุรินทร์ 7 7 สกลนคร สิงห์บุรี 10 ชัยนําท เลย สิงห์บุรี อ่ํางทอง 8 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 68
อันดับ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จังหวัด จ�านวน จังหวัด จ�านวน 8 ตรัง 11 จันทบุรี พะเยํา มหําสํารคําม 9 9 อุตรดิตถ์ นครพนม ตรําด ตําก 12 กําฬสินธุ์ ล�ําพูน 10 10 สุโขทัย 14 นครนํายก พิจิตร 11 1.3 วิเคราะห์ผลการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีเรื่องร้องเรียนที่ต้องด�ําเนินกําร ทั้งสิ้น จ�ํานวน 4,866 เรื่อง ในจ�ํานวนนี้ประกอบด้วยเรื่องร้องเรียนที่เป็นเรื่องอยู่ระหว่ําง ด�ําเนินกํารยกมําจํากปีงบประมําณก่อนหน้ํา จ�ํานวน 1,875 เรื่อง และเป็นเรื่องร้องเรียน ที่รับไว้ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 จ�ํานวน 2,991 เรื่อง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณํา ตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแสวงหําข้อเท็จจริงจนมีค�ําวินิจฉัย และข้อเสนอแนะแล้ว จ�ํานวน 2,675 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 54.97 ของเรื่องร้องเรียน ที่ต้องด�ําเนินกํารทั้งสิ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจํารณําเปรียบเทียบกับปีงบประมําณที่ผ่ํานมํา พบว่ํา ปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีเรื่องร้องเรียนลดลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 82 เรื่อง และเมื่อพิจํารณําในด้ํานเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ พบว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จลดลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 398 เรื่อง ทั้งนี้ เนื่องมําจํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ที่มีควํามรุนแรงขึ้น ได้มีกํารเฝ้ําระวังอย่ํางเข้มงวด และสูงสุด รวมถึงกํารปฏิบัติตํามมําตรกํารป้องกันกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID – 19) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 69
อย่ํางไรก็ตําม แม้สถํานกํารณ์ดังกล่ําวจะเป็นอุปสรรคต่อกํารด�ําเนินงําน แต่ผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้มีควํามพยํายํามเป็นอย่ํางยิ่งที่จะด�ําเนินงํานให้เกิดควํามคุ้มค่ํา มีประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้กับประชําชน โดยก�ําชับให้เจ้ําหน้ําที่ เร่งด�ําเนินงํานให้แล้วเสร็จอย่ํางรวดเร็ว นอกจํากนี้ได้มีกํารปรับใช้รูปแบบกํารท�ํางํานโดยใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่มําประยุกต์เข้ํากับกํารท�ํางําน เช่น กํารใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกํารจัด ประชุมออนไลน์ กํารประชําสัมพันธ์ช่องทํางกํารยื่นเรื่องร้องเรียนและกํารติดตํามเรื่องร้องเรียน ผ่ํานสื่อโซเชียลมีเดียต่ําง ๆ ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เช่น แอปพลิเคชัน เพื่อรับเรื่องร้องเรียนผ่ํานมือถือ เว็บไซต์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และนอกจํากนี้ ยังได้สร้ํางแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและยูทูบของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินเพื่อเพิ่มช่องทํางกํารสื่อสํารกับประชําชน เพื่อให้ประชําชนสํามํารถเข้ําถึง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้โดยสะดวกและรวดเร็วมํากยิ่งขึ้น นอกจํากนี้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังเน้นกํารแก้ไขปัญหําด้วยควํามรวดเร็ว โดยแบ่ง เรื่องร้องเรียนออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) เรื่องร้องเรียนที่ต้องแสวงหําข้อเท็จจริงโดยละเอียด (Full Investigation) ศึกษําข้อกฎหมําย กฎ ระเบียบ ค�ําสั่งที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อมูล ทํางวิชํากําร หรืออําจมีกํารประชุมปรึกษําหํารือกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูล ประกอบกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน ซึ่งเรื่องร้องเรียนประเภทดังกล่ําวจะใช้ระยะเวลํา ในกํารด�ําเนินงํานสักระยะหนึ่ง แต่อย่ํางไรก็ดี ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพยํายํามด�ําเนินกําร ให้แล้วเสร็จภํายใน 6 เดือน ถึง 18 เดือน และ 2) เรื่องร้องเรียนที่ได้ข้อยุติโดยเร็ว (Early Resolution) เป็นปัญหําทั่วไปสํามํารถแก้ไขได้ด้วยกํารประสํานงําน โดยเฉพําะปัญหํา ด้ํานสําธํารณูปโภคและบริกํารสําธํารณประโยชน์ต่ําง ๆ ที่ประชําชนมักร้องเรียนมํายัง ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจํากควํามไม่เข้ําใจในขั้นตอนกํารปฏิบัติงํานของ ส่วนรําชกํารต่ําง ๆ ของประชําชนท�ําให้ไม่ได้รับควํามสะดวกในกํารใช้บริกํารจํากหน่วยงําน ของรัฐเท่ําที่ควร ซึ่งผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มอบหมํายให้เจ้ําหน้ําที่ประสํานงํานทั้งอย่ํางเป็น ทํางกํารและไม่เป็นทํางกําร เพื่อแก้ไขปัญหําต่ําง ๆ ด้วยควํามรวดเร็ว ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้แก้ไขปัญหําเชิงระบบ โดยกํารศึกษําปัญหําเชิงโครงสร้ําง ของปัญหําเพื่อป้องกันมิให้เกิดกํารร้องเรียน หรือแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 70
เพื่อลดควํามซ�้ําซ้อนในกํารร้องเรียนในประเด็นปัญหําเดิม โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ได้มีกํารศึกษําปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ตัวอย่ํางเช่น 1. กํารสนับสนุนกํารปฏิบัติหน้ําที่ของบุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากร สําธํารณสุขทุกระดับในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) 2. โครงกํารกํารบริหํารจัดกํารที่ดินของประเทศไทย กรณีศึกษําปัญหํากํารออก เอกสํารสิทธิในกํารถือครองที่ดินให้กับประชําชน 3. กํารแก้ไขปัญหํากํารสําธํารณสุขของประชําชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่ เกําะพะงัน 4. โครงกํารศึกษําเรื่องควํามเหมําะสมในกํารเก็บค่ําธรรมเนียมกํารติดตั้ง ประปําใหม่ให้กับผู้ขอใช้น�้ํา กรณีศึกษํากํารประปํานครหลวง 5. กํารศึกษําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนําสถํานีกลํางบํางซื่อ 6. กํารพัฒนําระบบกํารแพทย์ฉุกเฉินทํางทะเล ตํามนโยบําย “ผู้ตรวจกําร แผ่นดินยกระดับควํามปลอดภัยทํางน�้ํา” และกํารด�ําเนินงํานของศูนย์กํารแพทย์เขําหลัก จังหวัดพังงํา และโครงกํารจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล (Andaman Hub Medical Network) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 71
- ผลการแก้ไขปัญหาหรือการด�าเนินงาน ของผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 72
2.1 การเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน เรื่องที่ 1 กรณีเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวงก�าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และ อัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. 2550 ในประเด็นสิทธิในการรับเงินบ�าเหน็จ ชราภาพของบุคคลซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีขอให้พิจํารณําเสนอกํารปรับปรุง กฎกระทรวง ก�ําหนดหลักเกณฑ์ วิธีกําร ระยะเวลํา และอัตรํากํารจ่ํายประโยชน์ทดแทน ในกรณีชรําภําพเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกํารปรับปรุงกฎกระทรวง ก�ําหนดหลักเกณฑ์ วิธีกําร ระยะเวลํา และอัตรํากํารจ่ํายประโยชน์ทดแทนในกรณีชรําภําพ พ.ศ. 2550 ในประเด็นสิทธิในกํารรับเงินบ�ําเหน็จชรําภําพของบุคคลซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตน ตํามมําตรํา 33 เนื่องจํากเงินดังกล่ําวเป็นเงินที่นํายจ้ํางและผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นลูกจ้ํางสมทบ เข้ํากองทุนประกันสังคม จึงควรให้สิทธิผู้ประกันตนที่จะเรียกคืนได้ทันทีหํากผู้ประกันตน มีควํามประสงค์จะเรียกคืน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริง และข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา กํารเสนอแนะตํามหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกําร แผ่นดินตํามมําตรํา 22 (1) จะต้องเป็นกรณีที่ควํามปรํากฏว่ํา กฎหมํายฉบับดังกล่ําว ก่อให้ เกิดควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมแก่ประชําชน จึงเห็นควรเสนอแนะไปยัง ผลกํารด�ําเนินงํานตํามหน้ําที่ในกํารแสวงหําข้อเท็จจริงหรือด�ําเนินกํารอื่นใด เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีตัวอย่ําง ผลกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 73
หน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีกํารปรับปรุงกฎหมําย กฎ ค�ําสั่ง หรือขั้นตอนกํารปฏิบัติงํานใด ๆ บรรดําที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชําชนหรือเป็นภําระแก่ประชําชน โดยไม่จ�ําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ แต่ประเด็นตํามค�ําร้องเรียนไม่ปรํากฏว่ํากฎกระทรวง ก�ําหนดหลักเกณฑ์ วิธีกําร ระยะเวลํา และอัตรํากํารจ่ํายประโยชน์ทดแทนในกรณีชรําภําพ พ.ศ. 2550 ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ในประเด็นสิทธิในกํารรับเงินบ�ําเหน็จชรําภําพของบุคคล ซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนตํามมําตรํา 33 ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรม ต่อประชําชนอย่ํางไร ซึ่งกํารก�ําหนดหลักเกณฑ์ให้มีกํารจ่ํายประโยชน์ทดแทนในกรณี ชรําภําพ พ.ศ. 2550 ที่ก�ําหนดให้ผู้ประกันตนที่มีอํายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และควํามเป็น ผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกํารส่งเสริมกํารออม เพื่อให้ลูกจ้ํางมีเงินไว้ใช้ ในยํามชรําไม่เป็นภําระแก่ครอบครัวและสังคมในอนําคต ซึ่งเป็นไปตํามหลักกํารของ ประกันสังคมที่จัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้นมําเพื่อให้กํารสงเครําะห์ และกํารสร้ํางหลักประกัน ให้แก่ลูกจ้ํางและบุคคลอื่นโดยหลักกํารของประโยชน์ทดแทน หํากจะจ่ํายประโยชน์ทดแทน ในกรณีชรําภําพแก่ผู้ประกันตนที่มีอํายุไม่ครบตํามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข อําจก่อให้เกิด ผลกระทบต่อเสถียรภําพของกองทุน รวมทั้งขัดกับหลักกํารและวัตถุประสงค์ของ ประกันสังคมได้ ดังนั้น กํารที่กฎหมํายว่ําด้วยกํารประกันสังคมได้ก�ําหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ในเรื่องสิทธิประโยชน์กรณีชรําภําพในหมวด 7 แห่งพระรําชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ประกอบกับกฎกระทรวงก�ําหนดเงื่อนไข วิธีกํารระยะเวลํา และอัตรํากํารจ่ําย ประโยชน์ทดแทนในกรณีชรําภําพ พ.ศ. 2550 ที่ก�ําหนดให้ผู้ประกันตนที่มีอํายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และควํามเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินชรําภําพ จึงเป็นกํารเหมําะสมและเป็นไปตํามหลักกํารของประกันสังคมแล้ว อย่ํางไรก็ตําม กํารก�ําหนดให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชรําภําพเมื่ออํายุ 55 ปีบริบูรณ์ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้ําง เนื่องจํากผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชรําภําพ ไม่สํามํารถน�ําเงินบ�ํานําญชรําภําพหรือเงินบ�ําเหน็จชรําภําพออกมําใช้จ่ํายเพื่อบรรเทํา ควํามเดือดร้อนในระหว่ํางอํายุยังไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ โดยเฉพําะอย่ํางยิ่งในสถํานกํารณ์ ปัจจุบันที่มีผู้ได้รับผลกระทบทํางเศรษฐกิจจํากกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 เป็นจ�ํานวนมําก ซึ่งส�ํานักงํานประกันสังคมได้ตระหนักถึงควํามเดือดร้อน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 74
ของประชําชน จึงได้มีหนังสือชี้แจงต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ํา ปัจจุบันส�ํานักงํานประกันสังคม ได้มีค�ําสั่งแต่งตั้งคณะท�ํางํานพิจํารณําศึกษําแนวทํางกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําว โดยคณะท�ํางําน ได้น�ําเสนอแนวทํางกํารแก้ไขปัญหํา โดยเห็นควรก�ําหนดให้น�ําเงินสะสมกรณีชรําภําพของ ผู้ประกันตนไปเป็นหลักค�้ําประกันกํารช�ําระหนี้ของผู้ประกันตนกับธนําคําร ซึ่งจะต้องมี กํารเพิ่มเติมหลักกํารของพระรําชบัญญัติประกันสังคมฯ ในมําตรํา 54 วรรคสอง โดยคงหลักกํารเดิมไว้ เพียงแต่ก�ําหนดบทยกเว้นเฉพําะกรณีกํารน�ําประโยชน์ทดแทน กรณีชรําภําพไปเป็นหลักประกันในกํารกู้เงิน เนื่องจํากเป็นแนวทํางที่ท�ําให้ผู้ประกันตน มีโอกําสเข้ําถึงสินเชื่อธนําคํารได้ โดยส�ํานักงํานประกันสังคมเป็นผู้ค�้ําประกันกํารช�ําระหนี้ ของผู้ประกันตน ซึ่งหํากผู้ประกันตนกู้เงินจํากธนําคํารได้ จะท�ําให้สภําพคล่องทํางกํารเงิน ของผู้ประกันตนดีขึ้น และเป็นกํารบรรเทําควํามเดือดร้อนของผู้ประกันตนอันส่งผลให้ ผู้ประกันตนสํามํารถด�ํารงชีพในสังคมได้อย่ํางปกติสุข ดังนั้น เพื่อให้เกิดควํามเป็นธรรมแก่ผู้ร้องเรียน และให้ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ ทดแทนกรณีชรําภําพมีสิทธิได้รับควํามช่วยเหลือและได้รับกํารบรรเทําควํามเดือดร้อน โดยเร็ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงอําศัยอ�ํานําจตํามมําตรํา 33 แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอแนะให้ส�ํานักงํานประกัน สังคมด�ําเนินกํารศึกษําในรํายละเอียดและเร่งด�ําเนินกํารสรุปผลกํารแก้ไขปรับปรุง พระรําชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ในส่วนที่เกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนกรณีชรําภําพ พร้อมทั้งเสนอเรื่องเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมํายต่อหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จภํายใน 120 วัน นับแต่ได้รับค�ําวินิจฉัยของผู้ตรวจกํารแผ่นดินต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 75
เรื่องที่ 2 กรณีเสนอแนะให้มีการปรับปรุงระเบียบส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวล ระเบียบการต�ารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้พิจํารณําวินิจฉัยตํามพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มําตรํา 22 (1) ว่ํา กํารที่ ระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก�ําหนดให้น�ําข้อมูล และลํายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหํามําจัดเก็บในฐํานข้อมูลทะเบียนประวัติอําชญํากรไว้ก่อน แม้ต่อมําพนักงํานอัยกํารจะมีค�ําสั่งไม่ฟ้อง หรือศําลพิพํากษํายกฟ้อง ก็ไม่ได้คัดแยกรํายชื่อของ ผู้ต้องหําหรือจ�ําเลยนั้นออกจํากทะเบียนประวัติอําชญํากรโดยอัตโนมัติ ท�ําให้ผู้ต้องหําหรือ จ�ําเลยต้องมํายื่นค�ําร้องต่อกองทะเบียนประวัติอําชญํากรเพื่อคัดชื่อออกเอง เป็นระเบียบ ที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือเป็นภําระแก่ประชําชนโดยไม่จ�ําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา ระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวล ระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งก�ําหนดเกี่ยวกับหน้ําที่ของพนักงํานสอบสวน หน้ําที่ของกองทะเบียน ประวัติอําชญํากร หน้ําที่ของศูนย์พิสูจน์หลักฐํานและพิสูจน์หลักฐํานจังหวัด ในกํารปฏิบัติ เกี่ยวกับกํารพิมพ์ลํายนิ้วมือของบุคคลต่ําง ๆ และศพ ก�ําหนดวิธีกํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ ผู้ขออนุญําต ผู้ขอสมัครเข้ํารับรําชกํารหรือเข้ําท�ํางํานในหน่วยงํานต่ําง ๆ ตลอดจนก�ําหนด หลักเกณฑ์และวิธีกํารคัดแยกและท�ําลํายแผ่นพิมพ์ลํายนิ้วมือ และรํายกํารประวัติหรือบัญชี ประวัตินั้น แม้ระเบียบฉบับดังกล่ําวจะเกี่ยวข้องกับทะเบียนประวัติอําชญํากรซึ่งถือเป็น เรื่องที่ส�ําคัญต่อกํารด�ําเนินกํารในกระบวนกํารยุติธรรม และในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ กระทบต่อสิทธิและเสรีภําพของประชําชนผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอําชญํากรด้วย แต่ระเบียบ ดังกล่ําวไม่ได้ก�ําหนดให้มีกํารจัดท�ําทะเบียนประวัติอําชญํากรไว้โดยชัดแจ้ง เพียงแต่ก�ําหนด รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 76
หลักเกณฑ์และวิธีกํารคัดแยกและท�ําลํายแผ่นพิมพ์ลํายนิ้วมือและเอกสํารที่เกี่ยวข้อง ออกจํากฐํานข้อมูลประวัติอําชญํากรไว้เท่ํานั้น ประกอบกับในปัจจุบันกองทะเบียนประวัติ อําชญํากรมีฐํานข้อมูลอยู่เพียงหนึ่งชุด และใช้ฐํานข้อมูลนี้ในกํารตรวจสอบประวัติ กํารกระท�ําควํามผิดของบุคคลต่ําง ๆ เพื่อสนับสนุนงํานสืบสวนสอบสวน และกํารด�ําเนินกําร อื่น ๆ ในกระบวนกํารยุติธรรม รวมถึงใช้เพื่อประโยชน์ในกํารตรวจสอบประวัติของผู้ขออนุญําต และผู้ขอสมัครเข้ํารับรําชกํารหรือเข้ําท�ํางํานในหน่วยงํานต่ําง ๆ ด้วย โดยฐํานข้อมูลดังกล่ําวนี้ จะรวบรวมข้อมูลแผ่นพิมพ์ลํายนิ้วมือของผู้ต้องหําและเอกสํารที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมําจําก พนักงํานสอบสวนไว้ ต่อมําเมื่อคดีถึงที่สุดและได้รับรํายงํานผลคดีถึงที่สุดแล้ว กองทะเบียน ประวัติอําชญํากรจะพิจํารณําว่ําเป็นไปตํามหลักเกณฑ์กํารคัดแยกและท�ําลํายแผ่นพิมพ์ ลํายนิ้วมือที่ก�ําหนดไว้ในระเบียบหรือไม่ หํากเป็นไปตํามหลักเกณฑ์ที่ก�ําหนดไว้ ก็จะด�ําเนินกําร คัดแยกและท�ําลํายแผ่นพิมพ์ลํายนิ้วมือตํามขั้นตอนต่อไป กํารที่ระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับ คดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้ก�ําหนดให้มี กํารจัดท�ําทะเบียนประวัติอําชญํากรไว้โดยชัดแจ้งนี้ ท�ําให้ข้อมูลของผู้ต้องหําหรือจ�ําเลย ที่อยู่ระหว่ํางกํารด�ําเนินคดี และข้อมูลของจ�ําเลยที่ศําลมีค�ําพิพํากษําอันถึงที่สุดว่ําได้กระท�ํา ควํามผิด ถูกรวมไว้ในฐํานข้อมูลเดียวกัน โดยฐํานข้อมูลดังกล่ําวจะถูกใช้ทั้งในกํารตรวจสอบ ประวัติบุคคลผู้ขออนุญําต ผู้ขอสมัครเข้ํารับรําชกํารหรือเข้ําท�ํางํานในหน่วยงํานต่ําง ๆ และ ถูกใช้ในงํานสืบสวนสอบสวนเพื่อป้องกันและปรําบปรํามอําชญํากรรม ซึ่งกํารใช้งํานทั้งสอง ลักษณะดังกล่ําวมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่ํางกัน อีกทั้งกํารที่ระเบียบดังกล่ําวไม่มีข้อก�ําหนด ที่ห้ํามเปิดเผยข้อมูลกํารต้องหําคดีอําญํา ยังมีส่วนสนับสนุนให้หลักกํารสันนิษฐํานไว้ก่อนว่ํา ผู้ต้องหําหรือจ�ําเลยไม่มีควํามผิดที่รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 29 วรรคสอง บัญญัติรับรองไว้ ไม่อําจเกิดผลบังคับใช้ในทํางปฏิบัติได้อย่ํางมี ประสิทธิภําพ เนื่องจํากผู้ต้องหําหรือจ�ําเลยที่อยู่ระหว่ํางกํารด�ําเนินคดีและมีชื่ออยู่ ในทะเบียนประวัติอําชญํากรนั้น อําจไม่ได้รับกํารยอมรับหรือถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม จํากบุคคลในสังคม จนส่งผลกระทบต่อโอกําสในกํารประกอบอําชีพและกํารด�ําเนินชีวิต อย่ํางเป็นปกติสุขในสังคมได้ โดยเฉพําะในกรณีที่ต่อมําพนักงํานอัยกํารมีค�ําสั่งเด็ดขําด ไม่ฟ้องคดี หรือศําลมีค�ําพิพํากษําอันถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 77
นอกจํากนี้ กํารที่ระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจ ไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก�ําหนด หลักกํารให้รวบรวมข้อมูลของผู้ต้องหําและจ�ําเลยไว้ในทะเบียนประวัติอําชญํากรก่อน แล้วจึงคัดแยกข้อมูลออกในภํายหลังเมื่อได้รับรํายงํานผลคดีถึงที่สุด ก็ท�ําให้เกิดปัญหํา ในทํางปฏิบัติในกํารรํายงํานผลคดีถึงที่สุดต่อกองทะเบียนประวัติอําชญํากรของหัวหน้ํา สถํานีต�ํารวจบํางแห่งยังมีควํามล่ําช้ําเนื่องจํากต้องใช้ระยะเวลําในกํารด�ําเนินกําร ตํามขั้นตอนต่ําง ๆ และมีบํางกรณีที่ไม่มีกํารรํายงํานผลคดีถึงที่สุด ท�ําให้กองทะเบียนประวัติ อําชญํากรไม่ทรําบผลคดีดังกล่ําว รวมถึงไม่สํามํารถคัดแยกข้อมูลออกจํากทะเบียนประวัติ อําชญํากรได้ จึงเกิดปัญหําในกรณีของบุคคลที่พนักงํานอัยกํารมีค�ําสั่งเด็ดขําดไม่ฟ้องคดี หรือกรณีที่ศําลมีค�ําพิพํากษําอันถึงที่สุดให้ยกฟ้องแล้ว แต่ยังมีข้อมูลติดค้ํางอยู่ในทะเบียน ประวัติอําชญํากร จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหําหรือจ�ําเลยในบํางคดีต้องเดินทํางมํายื่นค�ําร้องต่อ กองทะเบียนประวัติอําชญํากรด้วยตนเอง เพื่อควํามรวดเร็วในกํารเร่งรัดให้รํายงํานผลคดี ถึงที่สุด และจะได้ด�ําเนินกํารคัดแยกข้อมูลออกจํากทะเบียนประวัติอําชญํากรต่อไป ดังนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยว่ําระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วย ประมวลระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมแก่ประชําชนที่ตกเป็น ผู้ต้องหําหรือจ�ําเลยซึ่งอยู่ระหว่ํางด�ําเนินคดีและเป็นภําระแก่ประชําชนเป็นอย่ํางมํากหรือ เป็นผู้ต้องหําหรือจ�ําเลย ในคดีที่พนักงํานอัยกํารมีค�ําสั่งเด็ดขําดไม่ฟ้องคดีหรือในคดีที่ศําล มีค�ําพิพํากษําอันถึงที่สุดให้ยกฟ้อง แต่ยังมีข้อมูลติดค้ํางอยู่ในทะเบียนประวัติอําชญํากร ซึ่งอําจท�ําให้บุคคลดังกล่ําวเสียโอกําสในกํารประกอบอําชีพ จึงอําศัยอ�ํานําจตํามพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มําตรํา 33 วรรคหนึ่ง เสนอแนะต่อส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ เพื่อให้ด�ําเนินกํารแก้ไขปรับปรุงระเบียบส�ํานักงําน ต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีหลักกํารแก้ไขปรับปรุงดังต่อไปนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 78
(1) ควรก�ําหนดให้มีกํารแยกทะเบียนประวัติที่ใช้จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหํา หรือจ�ําเลยออกเป็น 2 ทะเบียน ได้แก่ ทะเบียนประวัติผู้ต้องหํา และทะเบียนประวัติ อําชญํากร (2) กํารเปิดเผยประวัติอําชญํากรหรือข้อมูลของจ�ําเลยที่ศําลมีค�ําพิพํากษํา อันถึงที่สุดว่ําได้กระท�ําควํามผิด ควรพิจํารณําตํามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมํายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง (3) ควรก�ําหนดข้อห้ํามเปิดเผยข้อมูลกํารต้องหําคดีอําญํา เว้นแต่เป็นกรณี ที่จ�ําเป็นต้องตรวจสอบเพื่อให้เป็นไปตํามที่กฎหมํายก�ําหนด (4) ควรก�ําหนดระยะเวลําในกํารรํายงํานผลคดีถึงที่สุดของสถํานีต�ํารวจแต่ละแห่ง ไปยังกองทะเบียนประวัติอําชญํากรไว้ให้ชัดเจน โดยเริ่มนับระยะเวลําดังกล่ําวตั้งแต่ได้รับ รํายงํานผลคดีถึงที่สุดจํากหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้แจ้งผลกํารวินิจฉัยในเรื่องนี้ต่อส�ํานักงํานกิจกํารยุติธรรม ในฐํานะที่เป็นหน่วยงํานรับผิดชอบงํานเลขํานุกํารของคณะกรรมกํารพัฒนํากํารบริหํารงําน ยุติธรรมแห่งชําติ (กพยช.) ซึ่งอยู่ระหว่ํางกํารจัดท�ําร่ํางพระรําชบัญญัติประวัติอําชญํากรรม พ.ศ. … เพื่อน�ําไปประกอบกํารพิจํารณําในกํารจัดท�ําร่ํางพระรําชบัญญัติฉบับดังกล่ําว ให้เป็นไปในแนวทํางเดียวกันกับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดินต่อส�ํานักงํานต�ํารวจ แห่งชําติ และมีข้อเสนอแนะต่อส�ํานักงํานกิจกํารยุติธรรมในกํารก�ําหนดให้มีระเบียบรองรับ เกี่ยวกับกํารบันทึกข้อมูลผลคดีถึงที่สุดของหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส�ํานักงํานศําลยุติธรรม และส�ํานักงํานอัยกํารสูงสุด เพื่อให้เจ้ําหน้ําที่ประจ�ําศําลชั้นต้น ศําลอุทธรณ์ หรือศําลฎีกํา หรือเจ้ําหน้ําที่ประจ�ําส�ํานักงํานอัยกําร ซึ่งคดีถึงที่สุดตํามประมวลกฎหมํายวิธีพิจํารณํา ควํามอําญํา แล้วแต่กรณี รํายงํานผลคดีถึงที่สุดต่อกองทะเบียนประวัติอําชญํากรโดยตรง ทํางระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งพิจํารณําเชื่อมโยงข้อมูลระหว่ํางกัน เพื่อให้กํารคัดแยก ข้อมูลจํากทะเบียนประวัติผู้ต้องหํามําไว้ในทะเบียนประวัติอําชญํากรเป็นไปอย่ํางรวดเร็ว และมีประสิทธิภําพต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 79
ส�ําหรับกํารด�ําเนินกํารของส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติภํายหลังได้รับแจ้งค�ําวินิจฉัย ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินนั้น ขณะนี้ส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติได้มีค�ําสั่งแต่งตั้งคณะท�ํางําน เพื่อแก้ไขปรับปรุงระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจ ไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยได้ จัดท�ําร่ํางระเบียบส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ว่ําด้วยประมวลระเบียบกํารต�ํารวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 กํารพิมพ์ลํายนิ้วมือ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่ําง กํารเสนอร่ํางระเบียบเพื่อประกําศใช้บังคับต่อไป 2.2 การเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับ ความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่บุคคล เรื่องที่ 1 หน่วยงานของรัฐก่อสร้างฝายทดน�้ากั้นแม่น�้าบริเวณใกล้สถานีสูบน�้าโครงการพัฒนา ลุ่มน�้าแห่งหนึ่ง ท�าให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม การท�าประมง และกีดขวางการเดินเรือ และทางน�้าธรรมชาติ หน่วยงํานของรัฐก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําบริเวณใกล้สถํานีสูบน�้ําโครงกําร พัฒนําลุ่มน�้ําแห่งหนึ่ง ท�ําให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม กํารท�ําประมง และ กีดขวํางกํารเดินเรือและทํางน�้ําธรรมชําติ โดยให้เหตุผลว่ําน�้ําบริเวณหน้ําสถํานีสูบไม่เพียงพอ จึงมีควํามจ�ําเป็นต้องสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําแห่งหนึ่ง บริเวณใกล้สถํานีสูบแบบบํานพับได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภําพกํารส่งน�้ํานั้น ผู้ร้องเรียนต้องกํารร้องเรียนในประเด็นดังต่อไปนี้ 1. ในขั้นตอนกํารเสนอโครงกํารก่อนท�ํากํารก่อสร้ําง ไม่ปรํากฏแบบแปลน ฝํายทดน�้ําหรือคันกั้นแม่น�้ํา โดยเข้ําใจว่ําผู้ออกแบบโครงกํารมีควํามผิดพลําดและบกพร่อง จนสร้ํางภําระให้เกิดกํารใช้งบประมําณแผ่นดินอันเป็นภําษีของประชําชนเพิ่มขึ้น รวมถึงต้องใช้งบประมําณในกํารดูแลซ่อมแซมในระยะยําว ท�ําให้รัฐได้รับควํามเสียหําย สิ้นเปลืองงบประมําณแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 80
- หํากมีกํารก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ํา จะเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของ ธรรมชําติอย่ํางหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มท�ํากํารก่อสร้ําง จ�ําต้องมีกํารปิดกั้นทํางน�้ําล�ําคลอง คน สัตว์ และพืชได้รับผลกระทบ ตลอดจนประชําชนที่เลี้ยงปลํากระชัง บริเวณท้ํายฝําย ต้องขําดแคลนน�้ําในกํารเพําะเลี้ยง ต้องสูญเสียรํายได้ซึ่งนอกจํากดูแลครอบครัวแล้ว ยังสร้ํางรํายได้ให้แก่จังหวัดไม่น้อย อีกทั้ง ปริมําณน�้ําเค็มจํากอ่ําวไทยจะหนุนสูงท�ําให้เกิด ผลกระทบต่อระบบกํารท�ําน�้ําประปํา บริเวณต�ําบลแห่งหนึ่ง ที่ส่งไปยังต�ําบลอีกแห่งหนึ่ง และเกําะแห่งหนึ่ง เกิดควํามเดือดร้อนเป็นจ�ํานวนมําก 3. กํารสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําเป็นกํารก่อสร้ํางสิ่งปลูกสร้ํางแบบถําวรกีดขวําง ทํางเดินเรือและทํางน�้ําธรรมชําติ อันขัดต่อพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 และกฎหมํายอื่นที่เกี่ยวข้อง สร้ํางควํามเดือดร้อนเกินควรให้แก่ พี่น้องประชําชนเป็นอย่ํางยิ่ง ซึ่งแม่น�้ํายังเป็นทํางเดินเรือสัญจรของชําวประมงและประชําชน ในพื้นที่ รวมทั้งยังเป็นแม่น�้ําสํายประวัติศําสตร์ เชื่อมโยงกับวัดเก่ําแก่และโบรําณสถํานตั้งแต่ สมัยอยุธยํา คือ วัดต่ําง ๆ หํากท�ํากํารก่อสร้ํางฝํายกั้นแม่น�้ําเชื่อว่ําควํามเป็นอัตลักษณ์ และประวัติศําสตร์ในอดีตที่รัฐควรส่งเสริมจะถูกลบเลือน 4. หํากจะแก้ไขปัญหําปริมําณน�้ําไม่เพียงพอ เหตุใดหน่วยงํานที่รับผิดชอบ ไม่ท�ําระบบแก้มลิง หรือท�ําบริเวณหัวสูบให้ลึก ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อธรรมชําติและพี่น้อง ประชําชนน้อยที่สุด และประกํารส�ําคัญคือกํารรวบรวมข้อมูลหรือกํารมีส่วนร่วมของ ประชําชนนั้นยังมีจ�ํานวนน้อยมําก (หลักร้อยคน) เมื่อเทียบกับประชําชนที่จะได้รับ ผลกระทบ (หลักหมื่นคน) กํารแก้ไขปัญหําตํามแนวคิดของหน่วยงํานที่รับผิดชอบจึงเป็น ที่น่ําเคลือบแคลงและสงสัย เกิดควํามไม่เป็นธรรม ผู้ร้องเรียนเห็นว่ําเพื่อเป็นกํารแก้ไขปัญหําที่กระทบต่อประชําชนรวมถึงระบบนิเวศ ให้น้อยที่สุดให้แก้ไขบริเวณหัวสูบเท่ํานั้น ไม่จ�ําต้องสร้ํางฝํายทดน�้ําหรือเขื่อนกั้นแม่น�้ํา บริเวณใกล้สถํานีสูบน�้ําแต่ประกํารใด อันค�ํานึงถึงกํารรักษําผลประโยชน์ของประเทศชําติ รวมถึงงบประมําณแผ่นดิน ผู้ร้องเรียนจึงร้องเรียนมํายังส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบในกรณีดังกล่ําว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 81
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและคณะเจ้ําหน้ําที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ประชุม พิจํารณําแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนร่วมกับผู้ร้องเรียน รองผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดแห่งหนึ่งและ หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง โดยจํากกํารประชุมได้รับฟังข้อเท็จจริง 1. ผู้ร้องเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่ํา ผู้ร้องเรียนมีควํามกังวลเกี่ยวกับกํารก่อสร้ําง ฝํายทดน�้ําดังกล่ําว กํารก่อสร้ํางดังกล่ําวนั้นกระทบต่อควํามเป็นอยู่และวิถีชีวิตของ ประชําชนหลํายหมื่นคน แต่ไม่มีกํารด�ําเนินกํารรับฟังควํามคิดเห็นอย่ํางทั่วถึง กํารก่อสร้ําง ดังกล่ําวมีบุคคลบํางกลุ่มได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษในที่ดินหรือกิจกํารของตน ส่งผลกระทบ ถึงกํารท�ําประมงเลี้ยงปลํากระชัง กํารตกกุ้ง และปริมําณของหอยบริเวณปํากน�้ํา รวมไปถึง ปริมําณน�้ําเค็มในแม่น�้ํา และเส้นทํางกํารเดินเรือสัญจรต่ําง ๆ ด้วย นอกจํากนี้ยังมีควํามกังวล เรื่องกํารบริหํารจัดกํารน�้ําเมื่อสร้ํางอําคํารฝํายทดน�้ําเสร็จว่ําจะมีกํารบริหํารจัดกํารน�้ํา ที่เหมําะสมและเป็นธรรมหรือไม่ ถ้ําอุปกรณ์ช�ํารุดจะมีกํารแก้ไขอย่ํางรวดเร็วหรือไม่ ค่ําไฟฟ้ําในกํารสูบน�้ําใครจะเป็นผู้จ่ําย โครงกํารดังกล่ําวเป็นกํารแก้ไขที่ปลํายเหตุ ทั้งนี้ กํารด�ําเนินกํารของโครงกํารดังกล่ําวยังไม่เป็นไปตํามรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 58 ที่บัญญัติว่ํากํารด�ําเนินกํารใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญําตให้ ผู้ใดด�ําเนินกําร ถ้ํากํารนั้นอําจมีผลกระทบต่อทรัพยํากรธรรมชําติ คุณภําพสิ่งแวดล้อม สุขภําพ อนํามัย คุณภําพชีวิต หรือส่วนได้เสียส�ําคัญอื่นใดของประชําชนหรือชุมชนหรือ สิ่งแวดล้อมอย่ํางรุนแรง รัฐต้องเร่งด�ําเนินกํารให้มีกํารศึกษําและประเมินผลกระทบต่อ คุณภําพสิ่งแวดล้อมและสุขภําพของประชําชนหรือชุมชน และจัดให้มีกํารรับฟังควํามคิดเห็น ของผู้มีส่วนได้เสียและประชําชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อน�ํามําประกอบกํารพิจํารณํา ด�ําเนินกํารหรืออนุญําตตํามที่กฎหมํายบัญญัติด้วย โดยบุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับ ข้อมูล ค�ําชี้แจง และเหตุผลจํากหน่วยงํานของรัฐ ก่อนกํารด�ําเนินกําร และในกํารด�ําเนินกําร หรืออนุญําต รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชําชน ชุมชน สิ่งแวดล้อม และ ควํามหลํากหลํายทํางชีวภําพน้อยที่สุด และต้องด�ําเนินกํารให้มีกํารเยียวยําควํามเดือดร้อน หรือเสียหํายให้แก่ประชําชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่ํางเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้ํา หํากกํารร้องเรียนครั้งนี้ไม่ได้ผล ผู้ร้องเรียนจะฟ้องคดีต่อศําลปกครองต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 82
- หน่วยงํานที่รับผิดชอบโครงกําร ชี้แจงข้อเท็จจริงว่ํา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ด�ําเนินโครงกํารพัฒนําลุ่มน�้ําแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 7 เมษํายน 2552 แผนงํานโครงกําร 4 ปี (ปีงบประมําณ พ.ศ. 2552 – 2554) และวันที่ 23 มีนําคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติ ขยํายระยะเวลํา ด�ําเนินโครงกํารจํากเดิม 8 ปี เป็น 13 ปี (ปีงบประมําณ พ.ศ. 2552 - 2564) วงเงินงบประมําณ รวมทั้งสิ้น 3,330 ล้ํานบําท โดยโครงกํารมีลักษณะเป็น งํานก่อสร้ํางสถํานีสูบน�้ําด้วยระบบไฟฟ้ําส่งน�้ําเข้ําคลองส่งน�้ําสําย MC1 และ MC2 รวมควํามยําวประมําณ 118.90 กิโลเมตร เพื่อส่งน�้ําให้พื้นที่ชลประทําน 73,580 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่ํางด�ําเนินกํารก่อสร้ําง ผลงํานก่อสร้ํางสะสมทั้งโครงกํารร้อยละ 68 หน่วยงํานผู้รับผิดชอบโครงกํารว่ําจ้ํางบริษัทที่ปรึกษําศึกษําควํามเหมําะสม และวิเครําะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงกํารพัฒนําระบบชลประทํานบริเวณพื้นที่ท้ํายเขื่อน เพื่อประเมินภําพรวมในกํารพัฒนําพื้นที่กํารเกษตรใหม่ จํากกํารใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่เปลี่ยนแปลงไปจํากกํารศึกษําเดิมประกอบกับสภําพล�ําน�้ํามีกํารเปลี่ยนแปลง เนื่องจําก ควํามเจริญเติบโตของชุมชนมํากขึ้น ท�ําให้ควํามต้องกํารใช้น�้ํามํากขึ้น รวมทั้งสภําพพื้นที่ ป่ําต้นน�้ําลดลง เป็นเหตุให้ปริมําณน�้ําที่ไหลหล่อเลี้ยงล�ําน�้ําธรรมชําติมีระดับที่ต�่ําลง และ เพื่อศึกษําแนวทํางในกํารแก้ไขปัญหําให้สถํานีสูบน�้ําสํามํารถสูบน�้ําส่งเข้ําพื้นที่ใช้น�้ําได้ ตลอดทั้งปี ปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษําด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ ผลกํารศึกษําเสนอแนวทําง กํารก่อสร้ํางอําคํารฝํายทดน�้ําแบบพับได้ปิดกั้นแม่น�้ํา ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ห่ํางจํากสถํานีสูบน�้ําของ โครงกํารพัฒนําลุ่มน�้ํา ไปทํางด้ํานท้ํายน�้ําประมําณ 2 กิโลเมตร โดยผลวิเครําะห์ด้ํานเศรษฐศําสตร์ มีควํามคุ้มค่ําในกํารลงทุน กํารพิจํารณําข้อมูลในรํายละเอียดของอําคํารฝํายทดน�้ําแบบพับได้ตําม ผลกํารศึกษํามีควํามแตกต่ํางกับฝํายสันแข็งที่ใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งรูปแบบของฝํายแบบ บํานพับได้จะมีควํามยืดหยุ่นในกํารควบคุม ปริมําณน�้ํา โดยตัวบํานจะสํามํารถพับขึ้น - ลง ตํามแนวขนํานกับล�ําน�้ําโดยใช้ไฮดรอลิก (Hydrolic) เพื่อปรับระดับน�้ําในล�ําน�้ํา โดยกํารใช้ ไฮดรอลิก (Hydrolic) ดังกล่ําวมีกํารใช้กันอย่ํางแพร่หลํายในต่ํางประเทศ เช่น ประเทศ เกําหลีใต้ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศในสหภําพยุโรป ใช้ฝํายกั้นน�้ําดังกล่ําว ให้สอดคล้อง กับกํารบริหํารจัดกํารน�้ําได้ อีกทั้งท�ําให้ยังคงรักษําระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตในน�้ําและธรรมชําติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 83
ตลอดจนกํารเดินเรือยังสํามํารถด�ําเนินกํารได้เป็นไปตํามปกติ และส�ําหรับในช่วงฤดูแล้ง ประมําณ 2 - 3 เดือน จะสํามํารถกักเก็บน�้ําที่ระดับน�้ําเก็บกักปกติได้ 6.60 ล้ํานลูกบําศก์เมตร ส่งผลให้เกิดที่อยู่อําศัยของสัตว์น�้ําบริเวณด้ํานเหนือน�้ําเพิ่มมํากขึ้น ท�ําให้สัตว์น�้ํามีพื้นที่ ส�ําหรับกํารผสมพันธุ์ วํางไข่ และมีกํารเจริญเติบโตของตัวอ่อนเพิ่มขึ้น ซึ่งท�ําให้สภําพ นิเวศวิทยําทํางน�้ําดีขึ้นด้วย กํารออกแบบดังกล่ําวตรงกับควํามต้องกํารของท้องถิ่น และ ถูกต้องตํามหลักวิศวกรรม นอกจํากนี้อําคํารทดน�้ําดังกล่ําวสํามํารถเป็นเส้นทํางเชื่อม ระหว่ํางต�ําบลแห่งหนึ่งและต�ําบลอีกแห่งหนึ่ง โดยมีสะพํานสัญจรกว้ําง 8 เมตร และพื้นที่ หัวงํานใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชําชนในพื้นที่ได้ต่อไป ในส่วนของกํารด�ําเนินกํารก่อสร้ํางโครงกํารฝํายทดน�้ําแบบพับได้ดังกล่ําว ใช้งบประมําณทั้งหมดประมําณ 700,000,000 บําท ต้องได้รับควํามเห็นชอบจํากหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง และต้องได้รับอนุญําตให้ก่อสร้ํางตํามกฎหมํายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน อยู่ระหว่ํางเตรียมด�ําเนินกํารออกแบบรํายละเอียดฝํายทดน�้ําในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 3. ส�ํานักงํานเจ้ําท่ําภูมิภําคจังหวัด ชี้แจงข้อเท็จจริงว่ํา ส�ํานักงํานเจ้ําท่ําภูมิภําค เมื่อได้รับหนังสือจํากผู้ร้องเรียน เรื่องขอให้ยุติกํารสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ํา ใกล้สถํานีสูบน�้ํา โครงกํารพัฒนําลุ่มน�้ํา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่ําหน่วยงํานผู้รับผิดชอบ จะก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําดังกล่ําว โดยให้เหตุผลว่ําน�้ําบริเวณหน้ําสถํานีสูบมีไม่เพียงพอ จึงจ�ําเป็นต้องมีโครงกํารก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําแบบบํานพับได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภําพ ในกํารส่งน�้ํา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นกํารก่อสร้ําง แต่อยู่ในขั้นตอนกํารประชําสัมพันธ์และ ประชุมรับฟังควํามคิดเห็นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงกํารฯ ทั้งนี้ หน่วยงํานผู้รับผิดชอบ ยังไม่ได้ยื่นขออนุญําตเพื่อปลูกสร้ํางสิ่งล่วงล�้ําล�ําน�้ํา ตํามมําตรํา 117 แห่งพระรําชบัญญัติ กํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติ กํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตํามควํามในพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 เพื่อประกอบกํารพิจํารณําอนุญําต เมื่อทรําบข้อเท็จจริงแล้ว ส�ํานักงํานเจ้ําท่ําภูมิภําคจังหวัด ได้มีหนังสือถึง หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทรําบถึงข้อกังวลของประชําชนในพื้นที่และก่อนกํารด�ําเนินกําร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 84
ก่อสร้ํางในพื้นที่ จะต้องด�ําเนินกํารยื่นขออนุญําตเพื่อปลูกสร้ํางสิ่งล่วงล�้ําล�ําน�้ํา ตํามมําตรํา 117 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ประกอบ กฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตํามควํามในพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือ ในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 เพื่อประกอบกํารพิจํารณําอนุญําตต่อไป 4. อ�ําเภอและองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลในพื้นที่ชี้แจงข้อเท็จจริงว่ํา สืบเนื่องจําก ในท้องที่ของอ�ําเภอมีกํารขําดแคลนน�้ําในกํารท�ํากํารเกษตรในช่วงหน้ําแล้ง ท�ําให้เกษตรกร มีกํารใช้น�้ําได้อย่ํางไม่ทั่วถึง จึงมีโครงกํารดังกล่ําวขึ้นมําซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชําชน ในพื้นที่ที่จะสํามํารถบริหํารจัดกํารน�้ําได้ โดยโครงกํารดังกล่ําวมีกํารรับฟังควํามคิดเห็น ของประชําชนในพื้นที่หลํายครั้ง โดยมีทั้งหน่วยรําชกํารจํากจังหวัด หน่วยรําชกํารในพื้นที่ และประชําชนในพื้นที่เข้ําร่วม แม้ในตอนแรกประชําชนจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้รับฟัง กํารชี้แจงจํากหน่วยงํานที่รับผิดชอบ และมีกํารแสดงควํามคิดเห็นกันหลํากหลํายเพื่อให้ กรมชลประทํานปรับแบบแปลนออกมําให้เหมําะสมที่สุด ท�ําให้ประชําชนที่เข้ํารับฟัง ควํามคิดเห็นเห็นด้วยกับโครงกํารดังกล่ําว โดยในส่วนขององค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลยังได้ ประโยชน์ด้ํานงบประมําณจํากกํารท�ําตลิ่งป้องกันกํารกัดเซําะจํากแม่น�้ํา และอําคํารทดน�้ํา ดังกล่ําวสํามํารถเป็นเส้นทํางเชื่อมระหว่ํางต�ําบลในพื้นที่และต�ําบลข้ํางเคียง โดยมีสะพําน สัญจรกว้ําง 8 เมตร ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและสถํานที่ท่องเที่ยวใหม่ของอ�ําเภอ ส่งเสริมรํายได้ของประชําชนในท้องถิ่นจํากกํารท่องเที่ยวต่อไปด้วย นอกจํากนี้ เรื่องดังกล่ําว เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกํารจัดกํารทรัพยํากรน�้ํา จึงประสงค์ให้หน่วยงํานที่รับผิดชอบในเรื่อง กํารจัดกํารทรัพยํากรน�้ําเข้ํามําร่วมบริหํารจัดกํารน�้ําในเรื่องนี้ด้วย 5. ส�ํานักงํานประมงจังหวัดชี้แจงข้อเท็จจริงว่ํา ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงปลํากระชัง ในแม่น�้ํากว่ํา 200 รําย รวม 3,000 กระชัง แต่ละกระชังมีปลํา จ�ํานวน 1,800 - 2,000 ตัว ใช้ระยะเวลําเลี้ยงประมําณ 6 เดือนต่อรอบ และมีกุ้งเป็นจ�ํานวนมํากอีกด้วย ซึ่งส�ํานักงําน ประมงจังหวัดมีควํามกังวลเรื่องปริมําณน�้ํา และวิถีกํารสัญจรของสัตว์น�้ําที่อําจเปลี่ยนแปลงไป เมื่อก่อสร้ํางเสร็จ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 85
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนนี้เป็นกํารร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหําควํามเดือดร้อนที่อําจจะเกิดจํากโครงกําร ก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ําแห่งหนึ่งบริเวณใกล้สถํานีสูบน�้ําโครงกํารพัฒนําลุ่มน�้ํา แห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันโครงกํารดังกล่ําวอยู่ระหว่ํางกํารรับฟังควํามคิดเห็นของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยังไม่ได้ มีกํารก่อสร้ํางโครงกํารดังกล่ําวแต่อย่ํางใด ดังนั้น ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงเป็น เรื่องที่มิได้เป็นไปตํามมําตรํา 22 (2) ตํามประกําศผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2562 ซึ่งก�ําหนดเรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินไม่รับไว้พิจํารณําตํามมําตรํา 37 (8) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อําศัยเหตุดังกล่ําวข้ํางต้น จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียนในเรื่องนี้ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อย่ํางไรก็ตําม จํากกํารรับฟังข้อกังวลของผู้ร้องเรียนและประชําชนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ มําก ต่อกรมชลประทํานในกํารที่จะด�ําเนินกํารโครงกํารดังกล่ําวต่อไป ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. ขอให้หน่วยงํานที่รับผิดชอบรับฟังควํามคิดเห็นและข้อกังวลของผู้ร้องเรียน และประชําชนในพื้นที่เกี่ยวกับโครงกํารก่อสร้ํางดังกล่ําวเพื่อน�ําไปพิจํารณําในกํารวํางแผน เตรียมกําร และด�ําเนินกํารในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงกํารก่อสร้ํางฝํายทดน�้ํากั้นแม่น�้ํา เกิดประโยชน์สูงสุด และชี้แจงให้ประชําชนได้รับทรําบอย่ํางทั่วถึง โดยอําจจัดกํารรับฟัง ควํามคิดเห็นจํากประชําชนและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องรอบใหม่อีกครั้ง โดยเน้นให้ครอบคลุม กลุ่มเป้ําหมํายส่วนรําชกําร ผู้น�ําท้องที่ ผู้น�ําท้องถิ่น ผู้น�ํา/ตัวแทนเกษตรกรสําขําต่ําง ๆ ตัวแทนชําวประมงสําขําต่ําง ๆ และประชําชนโดยทั่วไป เพื่อให้กรมชลประทํานได้ทรําบถึง ปัญหําและข้อกังวลใจในทุกมิติ และมีโอกําสได้ชี้แจงต่อประชําชนผู้มีส่วนได้เสียได้อย่ําง ครบถ้วนมํากขึ้นกรณีที่มีควํามเข้ําใจคลําดเคลื่อนในข้อเท็จจริงในบํางกรณี และถึงแม้ โครงกํารดังกล่ําวอําจไม่ถึงเกณฑ์ในกํารจัดท�ํารํายงํานกํารประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ก็ตํามแต่กรมชลประทํานควรมีค�ําชี้แจงข้อเท็จจริงส�ําหรับข้อสงสัยและข้อกังวลของประชําชน ในเรื่องนี้ด้วย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 86
- ขอให้หน่วยงํานที่รับผิดชอบประสํานกับกรมเจ้ําท่ําในกํารยื่นขออนุญําต เพื่อปลูกสร้ํางสิ่งล่วงล�้ําล�ําน�้ํา ตํามมําตรํา 117 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตํามควํามใน พระรําชบัญญัติกํารเดินเรือในน่ํานน�้ําไทย พระพุทธศักรําช 2456 เพื่อประกอบกํารพิจํารณํา อนุญําตไว้ล่วงหน้ํา เพื่อไม่ให้กํารก่อสร้ํางเกิดกํารล่ําช้ําจํากปัญหํากํารขออนุญําตในขั้นตอน กํารด�ําเนินโครงกํารฯ หลังจํากได้รับอนุมัติงบประมําณด�ําเนินโครงกํารฯ 3. หํากโครงกํารดังกล่ําวก่อสร้ํางเสร็จ ขอให้หน่วยงํานที่รับผิดชอบมีกํารจัดตั้ง คณะกรรมกํารบริหํารจัดกํารน�้ําส�ําหรับโครงกํารดังกล่ําว โดยมีตัวแทนจํากจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง และประชําชนในพื้นที่ เพื่อให้กํารบริหําร จัดกํารน�้ําในโครงกํารดังกล่ําวมีควํามเป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป 4. ขอให้ส�ํานักงํานประมงจังหวัดศึกษําข้อมูลระบบนิเวศของพันธุ์สัตว์น�้ํา ทุกชนิดที่อําจได้ รับผลกระทบจํากโครงกํารและเตรียมแผนรองรับผลกระทบ จํากกํารก่อสร้ํางโครงกํารดังกล่ําว และจัดท�ําโครงกํารให้ควํามรู้แก่ชําวประมงผู้เลี้ยง ปลํากระชัง ชําวประมงที่จับกุ้งและจับหอยตํามธรรมชําติในแม่น�้ํา โดยให้จัดท�ําแผนโครงกําร ดังกล่ําวเพื่อขอรับกํารสนับสนุนงบประมําณด�ําเนินกํารต่อจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่กรมประมงหรือหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 87
เรื่องที่ 2 กรณีหน่วยงานผู้ถูกร้องเรียนไม่ด�าเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นเหม็น ของมูลแพะ และฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาเศษอาหารของแพะ อันเกิดจากคอกเลี้ยงแพะ ซึ่งตั้งอยู่ ในบริเวณใกล้ชุมชน ผู้ร้องเรียนร้องเรียนว่ําได้รับควํามเดือดร้อนจํากกํารที่เพื่อนบ้ํานข้ํางเคียงท�ําคอก เลี้ยงแพะประมําณ 120 ตัว ซึ่งคอกแพะดังกล่ําวท�ําให้ผู้ร้องเรียนและประชําชนบริเวณ ใกล้เคียงได้รับผลกระทบจํากกลิ่นเหม็นและแมลงวันจํากมูลแพะ และมีมลพิษทํางอํากําศ อันเกิดจํากกํารเผําเศษอําหํารแพะ ผู้ร้องเรียนจึงมีควํามประสงค์ขอให้หยุดเลี้ยงหรือ ย้ํายคอกออกนอกบริเวณเขตชุมชน หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้ตั้งคณะกรรมกํารสอบสวน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่ําว ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่ําคณะกรรมกํารที่ได้รับกํารแต่งตั้ง คือเจ้ําของแพะและเพื่อนร่วมงํานของเจ้ําของแพะ เกรงว่ําจะไม่ได้รับควํามเป็นธรรม จึงร้องเรียนมําเพื่อขอควํามช่วยเหลือ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประสํานขอให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและชี้แจง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน ผู้บังคับบัญชําของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนตรวจสอบ ข้อเท็จจริงแล้วปรํากฏว่ํา บริเวณตํามค�ําร้องเรียนมีผู้เลี้ยงแพะ จ�ํานวน 2 รําย รํายแรก มีแพะ 25 ตัว ส่วนรํายที่สอง มีแพะ 35 ตัว รวมทั้ง 2 คอก มีแพะทั้งหมด 60 ตัว ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเจ้ําหน้ําที่พบว่ํา มีกลิ่นของแพะและมูลแพะเล็กน้อย รวมถึงพบร่องรอยกํารเผําเศษขยะและกิ่งไม้ เจ้ําหน้ําที่ได้ด�ําเนินกํารตํามอ�ํานําจหน้ําที่ และได้ให้ค�ําแนะน�ําแก่ผู้เลี้ยงแพะ ต่อมําผู้บังคับบัญชําของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้แต่งตั้งคณะกรรมกํารตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีมลภําวะทํางกลิ่น ทํางอํากําศจํากกํารเลี้ยงแพะ ซึ่งคณะกรรมกํารได้ลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรํากฏดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 88
- กรณีกํารเผํามูลแพะ พบว่ําไม่มีกํารเผํามูลแพะ โดยผู้เลี้ยงได้ท�ํากํารจัดเก็บ มูลแพะใส่ถุง เพื่อน�ําไปเป็นปุ๋ยใส่ที่นําหรือจ�ําหน่ําย โดยจัดเก็บเดือนละ 1 ครั้ง และคณะกรรมกําร มีข้อเสนอแนะว่ําให้เก็บกวําดมูลแพะให้ถี่ขึ้น จํากเดือนละ 1 ครั้ง เป็นทุกสัปดําห์ 2. กรณีกํารเผําเศษไม้จํากเศษอําหํารของแพะ พบว่ําไม่มีกํารเผําเศษไม้ แต่ได้น�ําไปใช้เป็นฟืนในครัวเรือนและแจกเพื่อนบ้ําน คณะกรรมกํารมีข้อเสนอแนะว่ํา ห้ํามเผําเศษไม้ เพรําะกํารเผําในที่โล่งเป็นกํารสร้ํางมลพิษและผิดกฎหมําย 3. กรณีปัญหําจํากกํารจัดกํารมูลสัตว์ พบว่ํามีกํารฉีดพ่นจุลินทรีย์ EM เดือนละ 1 – 2 ครั้ง และคณะกรรมกํารมีข้อเสนอแนะว่ําให้เพิ่มควํามถี่ในกํารฉีดพ่น จุลินทรีย์ EM เป็นสัปดําห์ละ 1 ครั้ง ทั้งในคอกและบริเวณรอบคอก ผู้บังคับบัญชําของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนเห็นว่ําผู้เลี้ยงแพะทั้ง 2 คอก มีกํารจัดกํารเกี่ยวกับคอกแพะในระดับที่น่ําพอใจ มีกํารปรับปรุงด้ํานสภําพแวดล้อม มลภําวะทํางกลิ่น แมลงวัน กํารจัดเก็บเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่น�ํามําเลี้ยงแพะอยู่เสมอเป็นประจ�ํา รํายสัปดําห์ โดยได้ก�ําชับให้ผู้เลี้ยงแพะทั้ง 2 รําย ปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรแล้ว โดยได้มอบหมําย ให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนติดตํามผลด�ําเนินกํารเป็นประจ�ําทุกสัปดําห์ ส่วนกรณีที่ผู้ร้องเรียนเห็นว่ําคณะกรรมกํารที่ได้รับกํารแต่งตั้งคือเจ้ําของแพะ และเพื่อนร่วมงํานของเจ้ําของแพะนั้น บุคคลที่ได้รับกํารแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมกํารตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีดังกล่ําวทั้ง 5 รําย ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้ําของแพะหรือเป็นเพื่อนร่วมงํานของ เจ้ําของแพะ และไม่มีภูมิล�ําเนําอยู่ในบริเวณที่ร้องเรียนแต่อย่ํางใด ต่อมําส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประชุมและลงพื้นที่ ณ บริเวณคอกแพะ ตํามค�ําร้องเรียนเพื่อตรวจสอบและติดตํามผลกํารแก้ไขปัญหําร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง พบว่ําคอกเลี้ยงแพะดังกล่ําวเป็นโครงกํารส่งเสริมอําชีพของกรมกํารพัฒนําชุมชนให้รําษฎร สํามํารถพึ่งพําตนเองได้ มีระบบบริหํารจัดกํารที่ดีและถูกสุขลักษณะ โดยในคอกเลี้ยงแพะ มีกํารเก็บกวําดมูลแพะรวบรวมใส่ถุงไว้ ส่วนเศษอําหํารของแพะได้ท�ํากํารมัดไว้เป็นกอง ๆ แยกเป็นสัดส่วน ส่วนกรณีปัญหํากลิ่นมูลแพะบริเวณรอบ ๆ คอกแพะนั้น ไม่พบว่ํามีกลิ่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 89
จนสร้ํางควํามเดือดร้อนร�ําคําญแต่อย่ํางใด นอกจํากนี้เจ้ําของคอกเลี้ยงแพะได้มีกํารสร้ําง รั้วปูนขอบชิดเพื่อลดปัญหําเรื่องกลิ่น ถือว่ํากํารจัดกํารเรื่องกลิ่นเป็นที่น่ําพอใจ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีค�ําวินิจฉัยให้ยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่ําว อย่ํางไรก็ตําม เพื่อไม่ให้เกิดควํามเดือดร้อนในกรณีเช่นนี้อีก ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. หํากผู้ร้องเรียนยังได้รับควํามเดือดร้อนจํากกรณีดังกล่ําว ผู้ร้องเรียนสํามํารถ แจ้งควํามเดือดร้อนดังกล่ําวให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนทรําบ เพื่อด�ําเนินกํารตํามอ�ํานําจ หน้ําที่ต่อไปได้ 2. ให้ผู้บังคับบัญชําของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนด�ําเนินกํารติดตํามผลเป็นประจ�ํา ทุก ๆ ระยะ และด�ําเนินกํารกวดขันให้มีกํารจัดกํารดูแลคอกแพะให้เป็นระบบ ถูกสุขลักษณะ ตํามมําตรฐํานของกระทรวงสําธํารณสุขต่อไป และให้เทศบําลพิจํารณําออกเทศบัญญัติ เพื่อควบคุมกํารเลี้ยงสัตว์ โดยให้มีเงื่อนไขควบคุมกํารเลี้ยงสัตว์ครอบคลุมทุกด้ําน เช่น ลักษณะของสถํานที่เลี้ยงสัตว์ กํารก�ําจัดกลิ่นและบ�ําบัดของเสียที่เกิดจํากกํารเลี้ยงสัตว์ ระบบกํารจัดกํารดูแล และสุขอนํามัยในสถํานที่เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น 3. ให้กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นแนะน�ําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกเทศบัญญัติเพื่อควบคุมกํารเลี้ยงสัตว์ให้อยู่ในเงื่อนไขตํามข้อ 2. กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นจึงได้ประสํานไปยังกรมอนํามัย โดยขอควํามร่วมมือ กรมอนํามัยในฐํานะเลขํานุกํารคณะกรรมกํารสําธํารณสุข เสนอเรื่องต่อคณะกรรมกําร สําธํารณสุขเพื่อพิจํารณํา ออกข้อก�ําหนดหรือเงื่อนไข กํารควบคุมกํารเลี้ยงสัตว์ประเภท แพะและสัตว์ประเภทอื่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศน�ําไปใช้ในกํารออก เทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติกํารควบคุมกํารเลี้ยงสัตว์ประเภทแพะและสัตว์ประเภทอื่นให้เป็นไป ในแนวทํางเดียวกัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 90
ภาพการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 91
เรื่องที่ 3 กรณีหน่วยงานผู้ถูกร้องเรียนไม่ติดตั้งไฟสัญญาณจราจรและป้ายจราจรเพื่อเตือน ผู้ขับขี่ในบริเวณสี่แยก เป็นเหตุให้บริเวณดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ผู้ร้องเรียนร้องเรียนว่ําบริเวณสี่แยกแห่งหนึ่ง สี่แยกดังกล่ําวเกิดจํากทํางหลวง ซึ่งเป็นถนนสํายหลักตัดกับถนนเลียบคลองชลประทํานซึ่งเป็นถนนสํายรอง โดยถนน เลียบคลองชลประทํานดังกล่ําวแต่เดิมเป็นถนนลูกรัง ต่อมําพัฒนําเป็นถนนลําดยําง ท�ําให้ รถที่สัญจรไปมําและรถที่มําจํากพื้นที่อื่นขับรถบนถนนเส้นดังกล่ําวโดยใช้ควํามเร็วสูง ท�ําให้ บริเวณที่ถนนตัดกันเกิดกํารชนอย่ํางรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง มีผู้เสียชีวิตและบําดเจ็บจ�ํานวนมําก แทบทุกวัน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประสํานขอให้สถํานีต�ํารวจและโรงพยําบําลในพื้นที่ตรวจสอบ สถิติกํารเกิดอุบัติเหตุบริเวณถนนทํางหลวงตัดกับถนนเลียบคลองชลประทําน ในช่วงระยะ เวลํา 5 ปีที่ผ่ํานมํา ปรํากฏว่ําบริเวณสี่แยกดังกล่ําวมีสถิติกํารเกิดอุบัติเหตุเพิ่มมํากขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เนื่องจํากมีกํารปรับปรุงถนนเลียบคลองชลประทํานท�ําให้กํารสัญจร เกิดควํามสะดวก ประกอบกับเส้นทํางดังกล่ําวเป็นทํางเลี่ยงตัวเมือง จึงมีผู้ใช้ถนนเลียบคลอง ชลประทํานสัญจรเพิ่มมํากขึ้นจํากเดิม ท�ําให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณสี่แยกดังกล่ําวมํากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนว่ํา ในระยะเร่งด่วน หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้ด�ําเนินกําร ติดตั้งป้ํายเตือน “ทํางแยกข้ํางหน้ํา” และ “ลดควํามเร็ว” ก่อนถึงทํางแยก โดยติดตั้งป้ํายเตือนทั้งบนทํางหลวงอันเป็นถนนสํายหลัก และถนนเลียบคลองชลประทํานซึ่งเป็นถนนสํายรอง ติดตั้งไฟกระพริบเตือนเพิ่ม 1 ดวง ตีเส้นจรําจรใหม่ เส้นทึบห้ํามแซง และเส้นขวํางชะลอควํามเร็ว ทําสีสะพํานใหม่ พร้อมติดตั้ง เป้ําสะท้อนแสงให้เห็นชัดเจนในเวลํากลํางคืน ติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรกระพริบเตือน และ ท�ํากํารปรับทัศนียภําพบริเวณก่อนถึงสี่แยกเพื่อให้ผู้ขับขี่เห็นสี่แยกอย่ํางชัดเจน ส่วนในระยะยําว หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้เสนอขอรับกํารจัดสรรงบประมําณ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 เพื่อติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรจํากกรมของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนแล้ว แต่ไม่ได้รับกํารจัดสรร งบประมําณ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 92
ต่อมําส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ประชุมหํารือเพื่อแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียน ร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง และเดินทํางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ตํามค�ําร้องเรียน ปรํากฏว่ําสี่แยกดังกล่ําวมีกํารเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยมีอุบัติเหตุรุนแรงเกิน 5 ครั้ง/ปี จึงเข้ําหลักเกณฑ์ในกํารติดตั้งไฟสัญญําณจรําจร สํามํารถติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรได้ เนื่องจํากกรณีนี้เป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องได้รับกํารแก้ไข ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ผลักดัน โครงกํารให้ได้รับกํารจัดสรรงบประมําณ ทํางจังหวัดจึงได้จัดสรรงบประมําณในกํารติดตั้ง ไฟสัญญําณจรําจรและบรรจุในแผนงบประมําณ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 เมื่อหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้รับกํารจัดสรรงบประมําณ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 จํากจังหวัดแล้ว จึงได้จัดท�ําสัญญําจ้ํางติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรบริเวณ สี่แยกดังกล่ําว โดยผู้รับจ้ํางได้ส่งมอบงํานแล้วเมื่อเดือนกุมภําพันธ์ พ.ศ. 2564 ภาพการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 93
ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ประชุมติดตํามเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ ตรวจสอบกํารติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรบริเวณสี่แยกร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องพบว่ํา กํารติดตั้งไฟสัญญําณจรําจรเป็นไปด้วยควํามเรียบร้อย และมีกํารเปิดใช้ไฟสัญญําณจรําจรแล้ว ทั้งนี้ ได้ประชําสัมพันธ์ให้ชําวบ้ํานบริเวณดังกล่ําวทรําบถึงกํารติดตั้งไฟสัญญําณจรําจร และก�ําชับให้ปฏิบัติตํามกฎจรําจรอย่ํางเคร่งครัดต่อไป เพื่อช่วยลดกํารเกิดอุบัติบนท้องถนน โดยผู้ร้องเรียนมีหนังสือขอบคุณผู้ตรวจกํารแผ่นดินในกํารแก้ไขปัญหํา ผลักดันและติดตําม เรื่องดังกล่ําว ท�ําให้ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรณีดังกล่ําว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีค�ําวินิจฉัยให้ยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่ําวแล้ว ภาพประชุมติดตามเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ตรวจสอบการติดตั้งไฟสัญญาณจราจร บริเวณสี่แยกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 94
เรื่องที่ 4 กรณีการควบคุมการเปิดใช้งานสัญญาณไฟจราจรไม่เหมาะสม ท�าให้การจราจรติดขัด และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งและกรณีการระบุชื่อหัวหน้าหน่วยงานในป้ายชื่อหน่วยงาน ผู้ร้องเรียนเป็นประชําชนที่ใช้ถนนเส้นหนึ่งสัญจรเป็นประจ�ํา ได้ร้องเรียนสถํานี ต�ํารวจภูธรแห่งหนึ่ง และแขวงทํางหลวงแห่งหนึ่ง กรณีกํารควบคุมกํารเปิดใช้งํานสัญญําณ ไฟจรําจรบริเวณสํามแยกในจังหวัดหนึ่งไม่เหมําะสม โดยเปิดใช้งํานสัญญําณไฟจรําจร แบบอัตโนมัติตลอดเวลํา ท�ําให้กํารจรําจรบนถนนดังกล่ําวติดขัดและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ผู้ร้องเรียนเห็นควรเปิดใช้สัญญําณไฟจรําจรเฉพําะช่วงเวลําเข้ํา – ออกงํานของเจ้ําหน้ําที่ หน่วยงํานของรัฐซึ่งตั้งอยู่บริเวณดังกล่ําวเท่ํานั้น ส่วนในช่วงเวลําอื่นควรปิดกํารใช้สัญญําณ ไฟจรําจร และให้ใช้จุดกลับรถถัดไป และอีกกรณีหนึ่งผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนหน่วยงํานของรัฐ หน่วยงํานหนึ่งซึ่งได้มีกํารระบุชื่อหัวหน้ําหน่วยงํานในป้ํายชื่อหน่วยงําน โดยผู้ร้องเรียนเห็นว่ํา ไม่เหมําะสม เนื่องจํากเป็นกํารประชําสัมพันธ์ตนเอง ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีหนังสือขอให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนชี้แจง ข้อเท็จจริงและส่งเอกสํารหลักฐํานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนเพื่อประกอบกํารพิจํารณําของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน อีกทั้งได้ประสํานทํางโทรศัพท์ไปยังหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและ หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องเพื่อหํารือแนวทํางกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําว โดยเรื่องร้องเรียนกรณีแรก ปรํากฏข้อเท็จจริงว่ําถนนเส้นดังกล่ําวเป็นถนน 4 ช่องจรําจร มีปริมําณจรําจร 26,455 คัน/วัน ส�ําหรับจุดที่มีกํารร้องเรียนมีลักษณะเป็นทํางสํามแยกและจุดกลับรถ เป็นเขตจ�ํากัด ควบคุม ควํามเร็วของยํานพําหนะ เป็นเส้นทํางลัดที่ประชําชนใช้เดินทํางเข้ํา - ออกตัวเมืองของ จังหวัดหนึ่ง และสถิติกํารเกิดอุบัติเหตุทํางถนนบริเวณดังกล่ําว ช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2563 ก็มีจ�ํานวนลดลง อย่ํางไรก็ตําม สืบเนื่องจํากกํารที่หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้รับทรําบ กรณี ร้องเรียนดังกล่ําวจํากส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงําน ที่ เกี่ยวข้องจึงได้ประชุมหํารือร่วมกันและมีมติว่ํา เนื่องจํากบริเวณทํางแยกดังกล่ําว เป็นจุดกลับรถ บริเวณโดยรอบเป็นชุมชนและที่ตั้งของหน่วยงํานรําชกําร อีกทั้งหน่วยงําน ของรัฐซึ่งตั้งอยู่บริเวณดังกล่ําวยังคงเปิดให้ประชําชนสัญจรผ่ํานหน่วยงําน เพื่อเข้ํา – ออกตัวเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 95
เพื่อประหยัดเวลําและลดปัญหํากํารจรําจรติดขัด ดังนั้น กํารเปิดใช้สัญญําณไฟจรําจร บริเวณดังกล่ําวจึงมีควํามจ�ําเป็นเพื่อเป็นกํารอ�ํานวยควํามสะดวกและเพื่อควํามปลอดภัย ป้องกันกํารเกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ในกํารนี้แขวงทํางหลวงแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียนได้ด�ําเนินกํารปรับรอบสัญญําณไฟจรําจรให้เหมําะสมกับช่วงเวลําและปริมําณ จรําจรใหม่ และในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เวลํา 06.00 - 09.00 น. และ 15.00 - 19.00 น. สถํานีต�ํารวจภูธรซึ่งเป็นหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนอีกหน่วยงํานหนึ่งได้จัดเจ้ําหน้ําที่ต�ํารวจ จรําจรเข้ําบริหํารและควบคุมสัญญําณไฟจรําจร เพื่ออ�ํานวยควํามสะดวกและควํามปลอดภัย แก่ผู้ใช้ทําง ส่วนในช่วงเวลํากลํางคืน เวลํา 19.00 - 06.00 น. จะเปิดใช้สัญญําณ ไฟกะพริบเตือน นอกจํากนี้ ยังมีกํารติดตั้งป้ํายเพิ่มเติมบริเวณทํางแยก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จํากกํารชนท้ํายอีกด้วย ส่วนกรณีร้องเรียนอีกกรณีหนึ่ง ปรํากฏข้อเท็จจริงว่ําป้ํายดังกล่ําว ตั้งอยู่ด้ํานหน้ําหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนซึ่งอยู่ริมถนนเส้นหนึ่ง โดยในส่วนของป้ํายที่ระบุชื่อ หัวหน้ําหน่วยงํานนั้นจัดท�ําด้วยวัสดุชั่วครําวแยกส่วนจํากป้ํายชื่อหน่วยงําน ซึ่งกํารระบุชื่อ หัวหน้ําหน่วยงํานเป็นกํารระบุให้บุคคลทั่วไปทรําบชื่อผู้รับผิดชอบหน่วยงํานเท่ํานั้น เพื่ออ�ํานวยควํามสะดวกแก่ประชําชนกรณีที่ต้องติดต่อรําชกํารกับหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียน หรือกรณีมีเรื่องร้องเรียนกํารปฏิบัติงํานของเจ้ําหน้ําที่หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนดังกล่ําว มิได้มุ่งประชําสัมพันธ์เป็นกํารส่วนตัว และป้ํายดังกล่ําวเป็นป้ํายชื่อหน่วยงํานที่ใช้ภํายนอก อําคําร ไม่อยู่ในบังคับของระเบียบกระทรวงกลําโหมว่ําด้วยกํารก�ําหนดมําตรฐํานแผ่นป้ํายชื่อ ส่วนรําชกํารที่ใช้ภํายในกระทรวงกลําโหม พ.ศ. 2557 ที่ก�ําหนดรูปร่ําง ขนําด สี รูปแบบ และขนําดตัวอักษร วัสดุที่ใช้ และรูปแบบข้อควํามของป้ํายชื่อที่ใช้ภํายในอําคําร อีกทั้ง ไม่ใช่ป้ํายประชําสัมพันธ์ ที่อยู่ในบังคับของระเบียบกองทัพอํากําศว่ําด้วยป้ํายประชําสัมพันธ์ และจอแสดงภําพสีจริง พ.ศ. 2559 ประกอบกับผู้ร้องเรียนมิได้อ้ํางเหตุว่ํากํารท�ําป้ํายชื่อนั้น ท�ําให้ผู้ร้องเรียนได้รับควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมอันเนื่องมําจํากกํารไม่ปฏิบัติ ตํามกฎหมํายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐ หรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐอย่ํางไร ดังนั้น ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนทั้งสองกรณีจึงเป็นเรื่องที่มิได้ เป็นไปตํามมําตรํา 22 (2) ตํามประกําศผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2562 ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียนทั้งสองกรณีตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 96
เรื่องที่ 5 ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุการณ์ระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิต เม็ดโฟมและพลาสติก และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เมื่อวันที่ 5 กรกฎําคม 2564 เวลําประมําณ 03.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิด และเพลิงไหม้โรงงํานผลิตเม็ดโฟมและพลําสติกแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงงํานดังกล่ําวเป็นสถํานที่เก็บ สํารเคมีและวัตถุอันตรําย แรงระเบิดท�ําให้บ้ํานเรือนและทรัพย์สินของประชําชนในรัศมี 1 - 2 กิโลเมตร ได้รับควํามเสียหําย และมีผู้ได้รับบําดเจ็บ หลังเกิดเหตุเจ้ําหน้ําที่ยังไม่สํามํารถ ด�ําเนินกํารดับเพลิงได้ในทันที เนื่องจํากเป็นเพลิงไหม้ที่เกิดจํากสํารเคมี ซึ่งไม่สํามํารถ ใช้น�้ําดับได้ และมีควํามเสี่ยงที่เพลิงจะลุกลํามไปติดถังสํารเคมีในพื้นที่ใกล้เคียงและเกิดเหตุ ระเบิดขึ้นอีก ทํางรําชกํารได้ออกประกําศเตือนให้ประชําชนในพื้นที่ใกล้เคียงอพยพ และออกห่ํางจํากจุดเกิดเหตุในรัศมี 5 กิโลเมตร เนื่องจํากเจ้ําหน้ําที่ยังไม่สํามํารถควบคุม เพลิงได้ หลังจํากนั้นได้เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ขึ้นเป็นระลอกที่สอง ส่งผลให้มีเจ้ําหน้ําที่ ดับเพลิงเสียชีวิตทันที 1 รําย และมีผู้ได้รับบําดเจ็บเป็นจ�ํานวนมําก จนกระทั่งในช่วงค�่ําของ วันที่ 5 กรกฎําคม 2564 ต่อเนื่องถึงช่วงเช้ําของวันที่ 6 กรกฎําคม 2564 หน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง เจ้ําหน้ําที่ชุดปฏิบัติกําร และอําสําสมัคร จึงสํามํารถปิดวําล์วท่อส่งสํารเคมี และเข้ําควบคุมเพลิงไว้ได้ ซึ่งเหตุกํารณ์ที่เกิดขึ้นนอกจํากจะก่อให้เกิดควํามเสียหําย โดยตรงต่อประชําชนทั้งทํางด้ํานชีวิต ร่ํางกําย และทรัพย์สินแล้ว ยังปรํากฏข้อเท็จจริงอีกว่ํา โรงงํานดังกล่ําวมีกํารใช้สํารเคมีในกระบวนกํารผลิตเป็นจ�ํานวนมําก และสําเหตุเกิดจําก ถังเก็บสํารเคมีเกิดเพลิงไหม้และระเบิดขึ้น ส่งผลให้มีไอระเหยของสํารเคมีกระจํายออกไป โดยรอบ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้ําง อีกทั้งในกํารพิจํารณําให้ควํามช่วยเหลือ เยียวยําผู้ได้รับผลกระทบมีหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องหลํายหน่วยงําน จํากกรณีดังกล่ําว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้หยิบยกเรื่องดังกล่ําวขึ้นพิจํารณําแสวงหําข้อเท็จจริง โดยไม่จ�ําเป็น ต้องมีผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียน (Own Motion Investigations) โดยอําศัยอ�ํานําจตํามควํามใน มําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 97
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้เชิญผู้แทนหน่วยงํานของรัฐ และภําคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม หํารือผ่ํานสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในระบบ Zoom Cloud Meetings เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุกํารณ์ที่เกิดขึ้น แนวทํางในกํารช่วยเหลือเยียวยําผู้ได้รับผลกระทบ กํารขนย้ํายและก�ําจัด วัตถุอันตรํายออกจํากพื้นที่ และกํารฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมทั้งข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทําง กํารป้องกันมิให้เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ซึ่งข้อเท็จจริงจํากกํารประชุมหํารือรับฟัง ได้ว่ํา เมื่อเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ดังกล่ําวขึ้น จังหวัดได้จัดตั้งศูนย์บัญชํากํารเหตุกํารณ์ เพื่อสั่งกําร ควบคุม และประสํานควํามร่วมมือกับหน่วยงํานต่ําง ๆ ในกํารบริหํารสถํานกํารณ์ ฉุกเฉิน และร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์รองรับผู้อพยพเพื่อให้ประชําชน ได้อําศัยอยู่เป็นกํารชั่วครําว รวมทั้งมอบสิ่งของจ�ําเป็นให้แก่ผู้ประสบภัยเพื่อเป็นกํารบรรเทํา ควํามเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งจังหวัดและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้พิจํารณําจัดสรรเงิน เพื่อให้ควํามช่วยเหลือเยียวยําผู้ประสบภัยตํามอ�ํานําจหน้ําที่ของแต่ละหน่วยงํานแล้ว ส�ําหรับกรณีของผู้ที่ได้รับผลกระทบทํางด้ํานร่ํางกํายนั้น ส�ํานักงํานสําธํารณสุขจังหวัดได้ให้ ควํามช่วยเหลือในกํารรักษําพยําบําลผู้ที่ได้รับบําดเจ็บทุกรําย และตรวจติดตํามสุขภําพของ ผู้ได้รับผลกระทบจํากสํารเคมีเป็นระยะเวลําอย่ํางน้อยหนึ่งปี กรณีของบ้ํานเรือนและ ทรัพย์สินที่ได้รับควํามเสียหําย จังหวัดร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องได้ตั้งจุดรับลงทะเบียนให้ควํามช่วยเหลือ และแต่งตั้งคณะท�ํางํานลงพื้นที่ส�ํารวจ และประเมินควํามเสียหํายเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกํารเสนอขอรับควํามช่วยเหลือ ตํามระเบียบกฎหมํายที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งประชําสัมพันธ์ให้ประชําชนทรําบถึงสิทธิ ในกํารแจ้งควํามร้องทุกข์ต่อพนักงํานสอบสวน ส่วนหน่วยงํานที่มีหน้ําที่ก�ํากับและส่งเสริม กํารประกอบธุรกิจประกันภัยได้ก�ํากับดูแลกํารชดใช้ค่ําสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย ให้เป็นไปตํามข้อสัญญําแล้ว และส�ําหรับกรณีของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น หน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องได้เข้ําตรวจวัดคุณภําพอํากําศ น�้ํา และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ บริเวณโดยรอบ อย่ํางต่อเนื่อง ซึ่งผลกํารตรวจวัดอยู่ในเกณฑ์มําตรฐําน รวมทั้งได้ด�ําเนินกํารเคลื่อนย้ําย สํารเคมีและวัตถุอันตรํายออกจํากโรงงํานดังกล่ําวเพื่อน�ําไปก�ําจัดอย่ํางถูกต้องตําม หลักวิชํากํารแล้ว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 98
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา หน่วยงํานและเจ้ําหน้ําที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนให้แก่ ประชําชนตํามหน้ําที่และอ�ํานําจแล้ว กรณีดังกล่ําวจึงยังไม่อําจรับฟังได้ว่ําเป็นกํารไม่ปฏิบัติ ตํามกฎหมํายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมําย จึงได้วินิจฉัยให้ยุติ เรื่องร้องเรียนดังกล่ําว อย่ํางไรก็ตําม เนื่องจํากเหตุกํารณ์ระเบิดและเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบในวงกว้ําง และมีควํามเกี่ยวข้องโดยตรงกับกํารตรวจสอบก�ํากับดูแล กํารใช้ประโยชน์ที่ดินตํามผังเมืองรวม กํารประกอบกิจกํารโรงงํานที่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งชุมชน และกํารครอบครองวัตถุอันตรําย ดังนั้น เพื่อเป็นกํารสร้ํางควํามรับรู้และควํามมั่นใจให้กับ ผู้ได้รับผลกระทบและประชําชนทั่วไปเกี่ยวกับกํารด�ําเนินกํารตํามหน้ําที่และอ�ํานําจ ตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐ ตลอดจนป้องกันมิให้เกิดเหตุกํารณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในระยะเร่งด่วน 1.1 ให้จังหวัดจัดท�ําชุดข้อมูลเกี่ยวกับมําตรกํารของภําครัฐในกํารช่วยเหลือ เยียวยําผู้ได้รับผลกระทบจํากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอ�ํานวยควํามสะดวก ให้กับประชําชนในเรื่องเอกสํารรําชกํารโดยหยิบยื่นบริกํารให้ผู้เดือดร้อนอย่ํางถึงตัว แบบเบ็ดเสร็จ ตลอดจนประชําสัมพันธ์ให้ประชําชนทั่วไปได้รับรู้ถึงมําตรกํารและควํามคืบหน้ํา ในกํารช่วยเหลือเยียวยําดังกล่ําวด้วยควํามทั่วถึง ชัดเจน เป็นระบบ และเป็นไปในทิศทําง เดียวกัน 1.2 ให้จังหวัด ส่วนรําชกําร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ประสํานควํามร่วมมือกับสมําคมและองค์กรวิชําชีพต่ําง ๆ สถําบันอุดมศึกษํา และภําคเอกชน เพื่อขอรับกํารสนับสนุนบุคลํากรที่มีควํามรู้ควํามเชี่ยวชําญและองค์ควํามรู้ที่เป็นประโยชน์ ในกํารฟื้นฟูผลกระทบด้ํานสิ่งแวดล้อม กํารส�ํารวจควํามเสียหํายและตรวจสอบโครงสร้ําง ของอําคํารสิ่งปลูกสร้ํางที่ได้รับผลกระทบจํากแรงระเบิดและเพลิงไหม้ดังกล่ําว ตลอดจน กํารให้ค�ําแนะน�ําและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับแนวทํางในกํารซ่อมแซมอําคําร ทั้งในเชิงเทคนิคและข้อกฎหมําย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 99
- ข้อเสนอแนะในระยะยําว 2.1 ให้หน่วยงํานที่มีหน้ําที่รับผิดชอบด้ํานกํารผังเมือง และส่วนรําชกําร ที่เกี่ยวข้อง ประเมินและทบทวนข้อก�ําหนดกํารใช้ประโยชน์ที่ดินตํามผังเมืองรวมให้เหมําะสม กับสภําพกํารณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่ํางสม�่ําเสมอ โดยค�ํานึงถึงกํารมีส่วนร่วม ของประชําชนและชุมชน รวมทั้งก�ําหนดนโยบํายเกี่ยวกับกํารจัดสรรกํารใช้ประโยชน์ ในที่ดินตํามผังเมืองรวมระหว่ํางโรงงํานที่มีควํามเสี่ยงสูงกับชุมชนให้เกิดควํามชัดเจน และยั่งยืน กรณีที่เจ้ําของโรงงํานใช้ประโยชน์ที่ดินมําก่อนกํารใช้บังคับผังเมืองรวม ให้เจ้ําพนักงํานท้องถิ่นหมั่นตรวจสอบมิให้มีกํารก่อสร้ํางหรือขยํายกิจกํารเพิ่มเติม และหํากกํารใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะดังกล่ําว มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อสุขลักษณะ ควํามปลอดภัยของประชําชน สวัสดิภําพของสังคม หรือประโยชน์สําธํารณะ ให้เสนอเรื่อง ต่อคณะกรรมกํารผังเมืองหรือคณะกรรมกํารผังเมืองจังหวัดเพื่ออําศัยอ�ํานําจตํามมําตรํา 37 แห่งพระรําชบัญญัติกํารผังเมือง พ.ศ. 2562 ก�ําหนดมําตรกํารหรือสร้ํางแรงจูงใจให้เจ้ําของ โรงงํานแก้ไขเปลี่ยนแปลง ระงับกํารใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือย้ํายที่ตั้งโรงงํานออกจํากพื้นที่ชุมชน โดยก�ําหนดค่ําทดแทนให้แก่เจ้ําของโรงงํานตํามสมควร 2.2 ให้หน่วยงํานที่มีหน้ําที่รับผิดชอบด้ํานกํารก�ํากับดูแลกํารประกอบกิจกําร โรงงํานและด้ ํานกํารผังเมือง ร่ วมกันพิจํารณํากํารขออนุญําตขยํายโรงงํานหรือ กํารเปลี่ยนแปลงก�ําลังกํารผลิต ในกรณีโรงงํานใช้ประโยชน์ที่ดินมําก่อนกํารใช้บังคับ ผังเมืองรวม 2.3 ให้หน่วยงํานที่มีหน้ําที่รับผิดชอบด้ํานกํารก�ํากับดูแลกํารประกอบกิจกําร โรงงํานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง เร่งด�ําเนินกํารส�ํารวจ ตรวจสอบ และ ประเมินควํามเสี่ยงโรงงํานทั่วประเทศที่มีวัตถุอันตรํายไว้ในครอบครอง รวมทั้งจ�ํากัดปริมําณ กํารครอบครองวัตถุอันตรํายที่น�ําไปใช้ในทํางอุตสําหกรรมมิให้อยู่ในระดับที่สูงเกิน ควํามจ�ําเป็น หํากพบโรงงํานที่มีควํามเสี่ยงหรืออยู่ในสภําพที่อําจก่อให้เกิดอันตรํายต่อชุมชน โดยรอบ ขอให้เร่งมีค�ําสั่งให้ผู้ประกอบกิจกํารด�ําเนินกํารปรับปรุงแก้ไขตํามกฎหมํายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยด่วนทันที รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 100
2.4 ให้หน่วยงํานที่มีหน้ําที่รับผิดชอบด้ํานกํารก�ํากับดูแลกํารประกอบกิจกําร โรงงําน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง รวบรวมและจัดท�ําฐํานข้อมูลกลํางในระบบ ออนไลน์ ซึ่งแสดงข้อมูลของโรงงํานที่มีกํารจัดเก็บวัตถุอันตรําย แบ่งเป็นข้อมูลพื้นฐํานของ โรงงํานและวัตถุอันตรํายที่ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน อันเป็นข้อมูลที่จะต้องเปิดเผยให้สําธํารณชนรับรู้ และข้อมูลเชิงเทคนิคของโรงงําน เช่น พิมพ์เขียวหรือแบบแปลนของโรงงําน ชื่อวัตถุอันตรําย สถํานที่จัดเก็บและวิธีกํารป้องกันหรือก�ําจัด ฯลฯ เพื่อให้หน่วยงํานที่เผชิญเหตุสํามํารถ น�ําข้อมูลดังกล่ําวมําใช้ในกํารป้องกันและระงับเหตุฉุกเฉินได้อย่ํางทันท่วงที ภาพการประชุมรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ร่วมกับผู้แทนหน่วยงานของรัฐ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2564 ภาพสภาพบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิด และเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ผู้ตรวจการแผ่นดิน 101
เรื่องที่ 6 กรณีการออกสัญชาติไทยให้แก่ผู้ร้องเรียนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การสั่งให้ คนที่เกิดในราชอาณาจักรและไม่ได้รับสัญชาติไทย โดยมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติไทย เป็นการทั่วไปและการให้สัญชาติไทยเป็นการเฉพาะรายลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 ด้วยจังหวัดนครปฐม ได้จัดท�ําโครงกํารเพิ่มทักษะด้ํานอําชีพแก่นักเรียนครอบครัว ยํากจนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบกํารศึกษําภําคบังคับตํามแนวทํางของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน และพบว่ําผู้ร้องเรียนซึ่งเป็นนักเรียนที่เข้ําร่วมโครงกํารดังกล่ําว เป็นบุคคลที่ไม่มี สถํานะทํางทะเบียน เนื่องจํากบิดํามํารดําเป็นผู้ไม่มีสัญชําติไทย โดยผู้ร้องเรียนมีประวัติ กํารเกิดที่โรงพยําบําลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม และจบกํารศึกษําระดับมัธยมศึกษําตอนต้น ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดส�ํานักงํานเขตพื้นที่กํารศึกษําประถมศึกษํานครปฐม เขต 2 จังหวัดนครปฐมเห็นว่ําเพื่อลดควํามเหลื่อมล�้ําทํางสังคมและสร้ํางโอกําสในกํารมีอําชีพของ ผู้ร้องเรียน จึงส่งเรื่องมํายังส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อให้ช่วยด�ําเนินกํารขอสัญชําติไทย ให้แก่ผู้ร้องเรียน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีหนังสือขอให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนชี้แจง ข้อเท็จจริงและส่งเอกสํารหลักฐํานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนเพื่อประกอบกํารพิจํารณําของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน อีกทั้งได้ประสํานทํางโทรศัพท์ไปยังหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องเพื่อหํารือแนวทํางกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําว ปรํากฏข้อเท็จจริงว่ําผู้ร้องเรียน เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้สัญชําติไทยตํามมําตรํา 7 ทวิ วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติสัญชําติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวําคม 2553 เรื่องอนุมัติหลักเกณฑ์กํารก�ําหนดสถํานะบุคคลกลุ่มเป้ําหมําย ตํามยุทธศําสตร์กํารจัดกํารปัญหําสถํานะและสิทธิของบุคคล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวําคม 2559 เรื่องก�ําหนดหลักเกณฑ์กํารได้สัญชําติไทยของคนต่ํางด้ําวที่เกิด ในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหําสัญชําติและสถํานะบุคคลของเด็กนักเรียนนักศึกษําและ บุคคลไร้สัญชําติ โดยรัฐมนตรีว่ํากํารกระทรวงมหําดไทยได้ออกประกําศกระทรวง มหําดไทย ลงวันที่ 16 กุมภําพันธ์ 2560 เรื่องกํารสั่งให้คนที่เกิดในรําชอําณําจักรและ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 102
ไม่ได้รับสัญชําติไทย โดยมีบิดําและมํารดําเป็นคนต่ํางด้ําว ได้สัญชําติไทยเป็นกํารทั่วไป และกํารให้สัญชําติไทยเป็นกํารเฉพําะรําย และเมื่อวันที่ 18 กันยํายน 2563 หน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียนจึงได้แจ้งหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องพิจํารณํารับค�ําร้องขอมีสัญชําติไทยของผู้ร้องเรียน โดยเร็ว และให้นํายอ�ําเภอเป็นผู้พิจํารณําคุณสมบัติและสั่งให้ลงรํายกํารสัญชําติไทย ส�ําหรับผู้ขอมี สัญชําติไทยที่มีอํายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันที่ยื่นค�ําร้องขอมีสัญชําติไทย โดยเมื่อวันที่ 15 มีนําคม 2564 นํายอ�ําเภอได้พิจํารณําอนุมัติค�ําร้องขอมีสัญชําติไทย ของผู้ร้องเรียน เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 5 เมษํายน 2564 หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ได้ส่งแบบค�ําขอกํารมี สัญชําติไทยและเอกสํารที่เกี่ยวข้องให้ส�ํานักทะเบียนกลําง กรมกํารปกครอง เพื่อพิจํารณําก�ําหนดเลขประจ�ําตัวประชําชนให้แก่ผู้ร้องเรียนต่อไป ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงเป็นกรณีที่หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและ หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนให้กับผู้ร้องเรียนอย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียนนี้ ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 103
เรื่องที่ 7 กรณีแขวงทางหลวงแห่งหนึ่ง ไม่ปรับปรุงแก้ไขถนนเส้นทางหลวง ซึ่งเป็นทางโค้ง หักศอกลาดชันและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน เสียหาย ผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนกํารปฏิบัติหน้ําที่ของแขวงทํางหลวงแห่งหนึ่ง กรณี ไม่ปรับปรุงแก้ไขถนนเส้นทํางหลวงแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนทํางโค้งหักศอกและเป็นถนน ทํางลําดชันทั้งขําขึ้นและขําลงจํากภูเขํา โดยช่วงขําลงจํากภูเขําจะมองไม่เห็นถนนช่วงล่ําง เนื่องจํากเป็นทํางลําดโค้งหักศอก เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ดังกล่ําวบ่อยครั้งและ หํากในช่วงที่มีฝนตกจะเกิดอุบัติเหตุ อันเป็นเหตุให้เกิดอันตรํายถึงแก่ชีวิต และถนนเส้นทํางดังกล่ําว เป็นถนนสํายท่องเที่ยวซึ่งมีประชําชนและนักท่องเที่ยวต่ํางชําติใช้เส้นทํางดังกล่ําว เป็นจ�ํานวนมําก เป็นเหตุให้ประชําชนในพื้นที่ได้รับควํามเดือดร้อนเสียหําย ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง และมีหนังสือขอให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องชี้แจง ข้อเท็จจริงและส่งเอกสํารหลักฐํานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนเพื่อประกอบกํารพิจํารณําของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ซึ่งข้อเท็จจริงปรํากฏว่ํา จํากกํารตรวจสอบสถิติกํารเกิดอุบัติเหตุ จํากกํารรํายงํานของกรมทํางหลวง พร้อมสถิติปริมําณจรําจรต่อวัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 - 2563 สรุปได้ว่ํา บริเวณที่มีกํารร้องเรียนมีปริมําณกํารจรําจรที่สูงแต่มีสัดส่วน กํารเกิดอุบัติเหตุต�่ํา และมูลเหตุหลักในกํารเกิดอุบัติเหตุบริเวณที่มีกํารร้องเรียนในช่องจรําจร ขําลงจํากภูเขํา มีสําเหตุมําจํากกํารขับรถเร็วเกินกว่ําอัตรําที่กฎหมํายก�ําหนด โดยหน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียน มีแนวทํางในกํารแก้ไขปัญหํากํารเกิดอุบัติเหตุบริเวณที่มีกํารร้องเรียน แบ่งเป็น แนวทําง ในกํารแก้ไขระยะสั้นและระยะยําว ดังนี้ 1) แนวทํางกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนระยะสั้น หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียน ได้ด�ําเนินกํารปรับผิวจรําจรด้วยกํารขูดไสผิวจรําจรให้มีควํามหยําบ เพื่อเพิ่มควํามฝืด ของผิวจรําจร ลดกํารลื่นไถลของรถในช่องจรําจรขําลงจํากภูเขํา โดยด�ําเนินกํารเสร็จสิ้น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 104
เมื่อวันที่ 14 ตุลําคม 2563 และได้ด�ําเนินกํารติดตั้งป้ํายจ�ํากัดควํามเร็ว ป้ํายเตือน ให้ลดควํามเร็ว เพื่อเตือนให้ผู้สัญจรใช้ถนนในช่องจรําจรขําลงจํากภูเขําให้เพิ่มควํามระมัดระวัง ในกํารขับขี่ให้มํากขึ้น โดยได้ด�ําเนินกํารเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลําคม 2563 2) แนวทํางกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนระยะยําว หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียน เห็นควรให้มีกํารแก้ไขแนวโค้งอันตรําย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่ํางออกแบบแนวโค้งใหม่ ในช่องจรําจรขําลงจํากภูเขําให้มีควํามปลอดภัย และในช่องจรําจรขําขึ้นภูเขําเห็นควรให้ใช้ ผิวจรําจรและแนวเส้นทํางเดิม เนื่องจํากยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุในช่องจรําจรขําขึ้นภูเขํา จํากข้อเท็จจริงดังกล่ําว จึงยังไม่อําจรับฟังได้ว่ําหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนไม่ปฏิบัติ ตํามกฎหมํายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมํายที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องเรียน ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนนี้ จึงเป็นเรื่องที่มิได้เป็นไปตําม มําตรํา 22 (2) ตํามประกําศผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2562 ซึ่งก�ําหนดเรื่องที่ผู้ตรวจกําร แผ่นดินไม่รับไว้พิจํารณําตํามมําตรํา 37 (8) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียนนี้ ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อีกทั้งมีข้อเสนอแนะให้กรมทํางหลวง ซึ่งเป็นหน่วยงํานต้นสังกัดของหน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียนให้ก�ําชับหน่วยงํานที่ถูกร้องเรียนให้เร่งรัดด�ําเนินกํารโครงกํารก่อสร้ํางถนน แนวทํางโค้งใหม่ บริเวณที่มีกํารร้องเรียนต่อไป และให้จังหวัดแห่งหนึ่งร่วมกับหน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียนเร่งรัดด�ําเนินกํารโครงกํารก่อสร้ํางถนนแนวทํางโค้งใหม่ให้มีควํามปลอดภัย อีกทั้งให้หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนรํายงํานผลกํารด�ําเนินกํารโครงกํารดังกล่ําวให้ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินทรําบเป็นระยะต่อไปด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 105
เรื่องที่ 8 กรณีนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลแห่งหนึ่ง พิจารณาเรื่องการขออนุญาตก่อสร้าง อาคารพาณิชย์ล่าช้า ท�าให้ผู้ร้องเรียนเดือดร้อนไม่สามารถก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบธุรกิจได้ และขาดผลประโยชน์ในทางธุรกิจมากกว่า 3 ปี ผู้ร้องเรียนได้ยื่นค�ําขออนุญําตก่อสร้ํางพร้อมแบบแปลนที่ใช้ขออนุญําตต่อองค์กําร บริหํารส่วนต�ําบลแห่งหนึ่งภํายในจังหวัดปรําจีนบุรี เพื่อใช้ประกอบพําณิชยกรรมร้ํานสะดวกซื้อ ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินตนเอง และกํารประกอบกิจกํารดังกล่ําวสํามํารถกระท�ําได้โดยไม่ขัดต่อ กฎหมํายที่เกี่ยวข้อง แต่นํายกองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลในฐํานะเจ้ําพนักงํานท้องถิ่น พิจํารณําค�ําขออนุญําตล่ําช้ํากว่ํา 3 ปี จนถึงปัจจุบัน ยังไม่แล้วเสร็จ ท�ําให้ผู้ร้องเรียนได้รับ ควํามเดือดร้อนเสียหํายไม่สํามํารถก่อสร้ํางอําคํารเพื่อประกอบธุรกิจได้และขําดผลประโยชน์ ในทํางธุรกิจ ภาพการลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 106
ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีหนังสือให้ผู้ถูกร้องเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงโดย สอบถํามถึงปัญหําและอุปสรรคในกํารพิจํารณําค�ําขออนุญําตก่อสร้ําง และเร่งรัดในกําร พิจํารณําอนุญําตก่อสร้ํางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งหน่วยงํานรัฐผู้ถูกร้องเรียนชี้แจงว่ํา กํารประกอบธุรกิจค้ําปลีกค้ําส่งต้องท�ําประชําพิจํารณ์จํากประชําชนในพื้นที่ก่อนกํารอนุญําต แต่ไม่ได้ชี้แจงว่ําในกํารท�ําประชําพิจํารณ์ดังกล่ําวเป็นไปโดยอําศัยอ�ํานําจแห่งบทบัญญัติ แห่งกฎหมํายหรือระเบียบ หลักเกณฑ์ใด ทั้งนี้ ผู้ร้องเรียนได้ติดตํามสอบถํามควํามคืบหน้ํา เกี่ยวกับกํารพิจํารณําอนุญําตมําโดยตลอด หํากจะท�ําประชําพิจํารณ์ก็พร้อมที่จะจัดส่ง บุคลํากรที่มีควํามรู้มําอธิบํายข้อดีและข้อเสียของร้ํานค้ําปลีกค้ําส่งสมัยใหม่ และจะเข้ําร่วม ฟังควํามคิดเห็นเพื่อประกอบกํารพิจํารณําต่อไป แต่เจ้ําพนักงํานท้องถิ่นก็ยังไม่ด�ําเนินกําร ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณํากํารปฏิบัติตํามหน้ําที่และอ�ํานําจของนํายกองค์กําร บริหํารส่วนต�ําบลในฐํานะเจ้ําพนักงํานท้องถิ่นแล้วเห็นว่ํา กํารขออนุญําตก่อสร้ํางและ กํารพิจํารณําอนุญําตก่อสร้ํางย่อมเป็นไปตํามพระรําชบัญญัติควบคุมอําคําร พ.ศ. 2522 ซึ่งเจ้ําพนักงํานท้องถิ่นต้องตรวจพิจํารณําและออกใบอนุญําตหรือมีหนังสือแจ้งค�ําสั่ง ไม่อนุญําตพร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขอรับใบอนุญําตทรําบภํายในสี่สิบห้ําวันนับแต่วันที่ได้รับค�ําขอ และในกรณีที่มีเหตุจ�ําเป็นที่ไม่อําจออกใบอนุญําตได้ภํายในก�ําหนดเวลํา ให้ขยํายเวลําออกไป ได้อีกไม่เกินสองครําว ๆ ละไม่เกินสี่สิบห้ําวัน แต่เจ้ําพนักงํานท้องถิ่นไม่ได้มีหนังสือดังกล่ําว แจ้งให้ผู้ร้องเรียนทรําบ แต่ได้มีหนังสือแจ้งว่ํากํารประกอบธุรกิจค้ําปลีกค้ําส่งต้องท�ํา ประชําพิจํารณ์จํากประชําชนในพื้นที่ก่อน ซึ่งเมื่อพิจํารณําแล้วพระรําชบัญญัติควบคุม อําคําร พ.ศ. 2522 มิได้ก�ําหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีกํารก่อนอนุญําตดังกล่ําว ไว้เป็นกํารเฉพําะ อีกทั้งกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปรําจีนบุรี พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้ก�ําหนดให้กิจกํารประกอบพําณิชยกรรมของผู้ร้องเรียนเป็นกิจกําร ที่ต้องห้ํามมิให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินและกฎกระทรวงก�ําหนดบริเวณห้ํามก่อสร้ําง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนกํารใช้อําคํารบํางชนิดหรือบํางประเภทในพื้นที่บํางส่วนในท้องที่จังหวัดปรําจีนบุรี พ.ศ. 2563 ซึ่งใช้บังคับในขณะพิจํารณําอนุญําต ไม่ได้ห้ํามกํารก่อสร้ํางอําคํารพําณิชยกรรม ประเภทค้ําปลีกค้ําส่งในท้องที่ขออนุญําตแต่อย่ํางใด และไม่ได้ก�ําหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีกํารให้ต้องท�ําประชําพิจํารณ์หรือรับฟังควํามคิดเห็นก่อนอนุญําตดังกล่ําวไว้ เป็นกํารเฉพําะเช่นกัน และผู้ถูกร้องเรียนไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้เห็นว่ํากํารท�ําประชําพิจํารณ์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 107
ก่อนกํารพิจํารณําอนุญําตก่อสร้ํางนั้นเป็นไปตํามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีกํารตํามกฎหมําย ฉบับใด หรือเป็นไปโดยหน้ําที่และอ�ํานําจที่กฎหมํายบัญญัติอย่ํางไร และถึงแม้จะต้องรับฟัง ควํามคิดเห็น ก็ควรต้องอยู่ในกรอบระยะเวลําพิจํารณําอนุญําตที่กฎหมํายว่ําด้วยควบคุม อําคํารก�ําหนด จํากข้อเท็จจริงข้ํางต้นจึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องเรียนไม่ปฏิบัติตํามกฎหมําย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจตํามกฎหมํายที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนแก่ประชําชน ตํามมําตรํา 22 (2) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 และเห็นควรแจ้งให้ผู้ก�ํากับดูแลองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลพิจํารณําด�ําเนินกําร ทํางวินัยเกี่ยวกับกํารปฏิบัติหน้ําที่ของผู้ถูกร้องเรียนต่อไป ซึ่งระหว่ํางกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้มีหนังสือให้หน่วยงํานชี้แจงข้อเท็จจริงและเร่งรัดด�ําเนินกํารเกี่ยวกับกํารอนุญําต ทั้งนี้องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลได้มีค�ําสั่งอนุญําตก่อสร้ํางให้แก่ผู้ร้องเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 108
เรื่องที่ 9 การจัดสรรที่ดินท�ากินให้แก่ราษฎรในพื้นที่ต�าบลกรุงหยัน อ�าเภอทุ่งใหญ่ จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน�้าคลองสังข์ อันเนื่องมาจาก พระราชด�าริ กรมชลประทํานได้จัดท�ําโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจําก พระรําชด�ําริในพื้นที่หมู่ที่ 5 ต�ําบลกรุงหยัน อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช ซึ่งรําษฎร ในพื้นที่เห็นด้วยกับกํารด�ําเนินโครงกํารดังกล่ําว แต่เนื่องจํากก่อนกํารด�ําเนินโครงกํารนี้ หน่วยงํานของรัฐได้แจ้งในที่ประชุมว่ํารําษฎรผู้ได้รับผลกระทบจํากกํารก่อสร้ํางจะได้รับ กํารจัดสรรที่อยู่อําศัยและที่ท�ํากินให้ใหม่โดยเร็ว แต่ระยะเวลําได้ล่วงเลยมําพอสมควรแล้ว หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํา รําษฎรผู้ได้รับผลกระทบเกรงว่ําจะไม่ได้รับ ควํามเป็นธรรมและไม่ได้รับควํามช่วยเหลือตํามที่หน่วยงํานของรัฐได้ให้ค�ํามั่นสัญญําไว้ จึงยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําแล้วเห็นว่ําเพื่อให้มีกํารเร่งรัดแสวงหําข้อเท็จจริง และแก้ไขปัญหําให้แก่รําษฎรผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว จึงลงพื้นที่ร่วมประชุมกับหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง ณ อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช เพื่อหํารือแนวทํางในกํารแก้ไขปัญหํา เรื่องกํารจัดที่ดินท�ํากินให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจํากกํารก่อสร้ํางโครงกํารดังกล่ําว จํากกํารประชุม ได้ข้อสรุปว่ํา จังหวัดนครศรีธรรมรําชโดยคณะกรรมกํารนโยบํายที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมรําช ได้เสนอกรมป่ําไม้ในฐํานะเลขํานุกํารคณะกรรมกํารจัดหําที่ดินภํายใต้คณะกรรมกําร นโยบํายที่ดินแห่งชําติ ขอให้ก�ําหนดพื้นที่เขตป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน ท้องที่ต�ําบล กุแหระ อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช แปลง 4,600 ไร่ จ�ํานวนเนื้อที่ 2,075 ไร่ เป็นพื้นที่เป้ําหมํายในกํารจัดที่ดินท�ํากินให้ชุมชน (คทช.) เพื่อรองรับรําษฎรจ�ํานวน 229 รําย ผู้ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจํากพระรําชด�ํารินั้น แต่ปรํากฏว่ําขณะนี้ กํารยํางแห่งประเทศไทยได้ยื่นขออนุญําตเข้ําใช้ประโยชน์ต่อ กรมป่ําไม้เช่นกัน และที่ดินแปลงดังกล่ําวยังคงอยู่ในควํามครอบครองของกํารยํางแห่งประเทศไทย ดังนั้น กํารยํางแห่งประเทศไทยพิจํารณําแล้วเห็นว่ํา กํารยํางแห่งประเทศไทยได้ลงทุน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 109
ในพื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ แปลง 4,600 ไร่ เพื่อปลูกกล้ํายํางพันธุ์ดี ประกอบกับต้นยํางพํารํา อยู่ระหว่ํางกํารเก็บผลผลิตได้ จึงเสนอให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชใช้พื้นที่ของกํารยําง แห่งประเทศไทยซึ่งได้รับอนุญําตให้เข้ําท�ําประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ โดยไม่มีก�ําหนด ระยะเวลํา จ�ํานวนเนื้อที่ 1,200 ไร่ เป็นพื้นที่เป้ําหมํายในกํารจัดสรรที่ดินท�ํากินให้ชุมชน (คทช.) แก่รําษฎรผู้ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจําก พระรําชด�ําริ เพื่อเป็นแนวทํางในกํารหําข้อยุติร่วมกัน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้เสนอแนวทําง กํารจัดสรรที่ดินท�ํากินให้แก่รําษฎรผู้ได้รับผลกระทบ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง คณะกรรมกํารเพื่อตรวจสอบควํามเหมําะสมของพื้นที่ทั้ง 2 แปลง ส�ําหรับรองรับรําษฎร ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ แปลงที่ 1 ที่ดินแปลง 4,600 ไร่ ตํามที่คณะกรรมกํารนโยบําย ที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมรําชเสนอต่อกรมป่ําไม้ เพื่อก�ําหนดเป็นพื้นที่เป้ําหมําย เข้ําท�ําประโยชน์ และแปลงที่ 2 ที่ดินแปลง 1,200 ไร่ ซึ่งอยู่ในควํามครอบครองของ กํารยํางแห่งประเทศไทย และกํารยํางแห่งประเทศไทยเสนอให้ใช้พื้นที่ในส่วนนี้แทนแปลง ที่ 1 และ จํากกํารลงพื้นที่ตรวจสอบสภําพพื้นที่ที่ดินทั้ง 2 แปลง คณะท�ํางํานตรวจสอบ ควํามเหมําะสม ของพื้นที่เพื่อรองรับรําษฎรที่ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ําง อ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจํากพระรําชด�ําริ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงํานต่ําง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมพิจํารณําผลกํารตรวจสภําพพื้นที่ทั้ง 2 แปลง และมีมติเห็นชอบเลือกที่ดิน แปลงที่ 1 เพื่อใช้จัดที่ดินท�ํากินส�ําหรับรองรับรําษฎรที่ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ําง อ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์อันเนื่องมําจํากพระรําชด�ําริ เนื่องจํากลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่รําบ สลับเนินเขํามีควํามเหมําะสมในกํารจัดรูปที่ดินและจัดระบบน�้ํา มีระบบสําธํารณูปโภค ขั้นพื้นฐําน เช่น ถนน ไฟฟ้ํา ระบบท่อส่งน�้ําประปํา พร้อมให้ภําครัฐเข้ําไปพัฒนําโดยง่ําย รวมทั้งเหมําะสมต่อกํารส่งเสริมพัฒนําอําชีพด้ํานกํารเกษตรและรํายได้เสริมให้แก่รําษฎร จํากข้อเท็จจริงข้ํางต้น เพื่อให้มีกํารเร่งรัดแก้ไขปัญหําดังกล่ําว จึงมีมติดังนี้ 1) ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ขอเน้นย�้ําให้กํารยํางแห่งประเทศไทยพิจํารณําว่ําโครงกําร ก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์เป็นกํารด�ําเนินกํารตํามพระรําชด�ําริของรัชกําลที่ 9 ซึ่งกํารด�ําเนินกํารใด ๆ ควรค�ํานึงถึงประโยชน์ของรําษฎรเป็นหลัก รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 110
- จังหวัดนครศรีธรรมรําชได้ด�ําเนินกํารเพื่อแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนของ รําษฎรผู้ได้รับผลกระทบ ตํามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดินซึ่งขอให้จังหวัด นครศรีธรรมรําชแต่งตั้งคณะท�ํางํานตรวจสอบควํามเหมําะสมของพื้นที่ส�ําหรับรองรับรําษฎร ที่ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจํากพระรําชด�ําริ โดยจํากกํารตรวจสภําพพื้นที่ของคณะท�ํางํานดังกล่ําว จังหวัดนครศรีธรรมรําชได้มีมติ เห็นชอบเลือกพื้นที่แปลงที่ 1 พื้นที่ 4,600 ไร่ ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน ท้องที่ต�ําบลกุแหระ อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช ซึ่งกํารยํางแห่งประเทศไทย ได้รับอนุญําตจํากกรมป่ําไม้ให้ใช้พื้นที่เพื่อปลูกสร้ํางสวนยํางพันธุ์ดีเป็นกํารชั่วครําว มีก�ําหนด ระยะเวลํา 30 ปี และครบก�ําหนดเมื่อวันที่ 17 มกรําคม 2555 รองรับรําษฎรที่ได้รับ ผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ฯ โดยขณะนี้อยู่ระหว่ํางกํารพิจํารณํา อนุญําตเข้ําใช้ประโยชน์ของกรมป่ําไม้ ดังนั้น ในระหว่ํางกํารจัดหําสถํานที่ และจัดให้รําษฎร ที่เดือดร้อนเข้ําสู่ที่ท�ํากิน ขอให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชมีกํารวํางแผนแก้ไขปัญหําดังกล่ําว ในระยะสั้นและระยะยําวในกํารด�ําเนินกํารต่อไป เช่น อําจมีกํารพัฒนําอําชีพให้แก่รําษฎร ผู้ได้รับผลกระทบ โดยกรมชลประทํานจัดให้มีกํารจ้ํางงํานรํายวัน จัดชุมชนคล้ํายรูปแบบ หมู่บ้ํานจุฬําภรณ์ 3) ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจะด�ําเนินกํารเร่งรัดติดตํามผลกํารพิจํารณําของกรมป่ําไม้ เรื่องกํารให้ควํามเห็นชอบอนุญําตให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลง 4,600 ไร่ จ�ํานวนเนื้อที่ 2,075 ไร่ เพื่อรองรับรําษฎรที่ได้รับผลกระทบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นกํารเร่งรัดติดตํามผลกํารด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํากํารจัดที่ดินท�ํากิน เพื่อรองรับรําษฎรที่ได้รับผลกระทบ และกํารขออนุญําตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช ดังนั้น เมื่อวันที่ 5 มีนําคม 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้เชิญผู้แทนจํากหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมป่ําไม้ กรมชลประทําน ส�ํานักงําน คณะกรรมกํารพิเศษเพื่อประสํานงํานโครงกํารอันเนื่องมําจํากพระรําชด�ําริ กํารยํางแห่งประเทศไทย จังหวัดนครศรีธรรมรําช ส�ํานักงํานกํารปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมรําช ส�ํานักงําน ทรัพยํากรธรรมชําติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครศรีธรรมรําช และส�ํานักจัดกํารทรัพยํากร ผู้ตรวจการแผ่นดิน 111
ป่ําไม้ที่ 12 (นครศรีธรรมรําช) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําว โดยแบ่งพื้นที่กํารท�ําประโยชน์ร่วมกันในลักษณะ ดังนี้ 1. จังหวัดนครศรีธรรมรําชขออนุญําตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ แปลง 4,600 ไร่ ป่ําคลองกรุงหยัน ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช จ�ํานวนเนื้อที่ 2,075 ไร่ เป็นพื้นที่เป้ําหมํายในกํารจัดที่ดินท�ํากิน ให้ชุมชน (คทช.) ตํามนโยบํายรัฐบําล โดยขณะนี้อยู่ระหว่ํางกํารส�ํารวจพื้นที่เพื่อเสนอ คณะอนุกรรมกํารจัดหําที่ดิน ก�ําหนดเป็นพื้นที่เป้ําหมําย และจังหวัดนครศรีธรรมรําชจะได้ ด�ําเนินกํารขออนุญําตใช้ประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ตํามระเบียบคณะกรรมกําร พิจํารณํากํารใช้ประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ว่ําด้วยหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไข ในกํารขออนุญําตและกํารอนุญําตให้เข้ําท�ําประโยชน์หรืออยู่อําศัยในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2563 ที่ออกตํามควํามในมําตรํา 13/8 (3) และมําตรํา 16 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติ ป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2507 ต่อไป 2. กํารยํางแห่งประเทศไทยขออนุญําตให้ท�ํากํารปลูกสร้ํางสวนป่ําหรือ ปลูกไม้ยืนต้นภํายในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช จ�ํานวนเนื้อที่ 2,525 ไร่ ตํามระเบียบคณะกรรมกํารพิจํารณํากํารใช้ประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ว่ําด้วย หลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขในกํารขออนุญําตและกํารอนุญําตให้ท�ํากํารปลูกสร้ําง สวนป่ําหรือปลูกไม้ยืนต้นภํายในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2563 ที่ออกตํามควําม ในมําตรํา 13/8 (3) และมําตรํา 20 แห่งพระรําชบัญญัติป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2507 เพื่อให้กํารยํางแห่งประเทศไทยสํามํารถท�ําประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่ําวต่อไปได้ และแก้ไข ปัญหําลูกจ้ํางกรีดยํางที่ได้รับผลกระทบจํากโครงกํารก่อสร้ํางอ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจําก พระรําชด�ําริ โดยขณะนี้อยู่ระหว่ํางจัดท�ําข้อมูลและเอกสํารประกอบค�ําขออนุญําต เพื่อยื่นเรื่องต่อส�ํานักงํานทรัพยํากรธรรมชําติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครศรีธรรมรําช รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 112
จํากข้อพิจํารณําข้ํางต้น จึงเป็นกรณีที่หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่ํางด�ําเนินกําร เพื่อแก้ไขปัญหํากํารจัดที่ดินท�ํากินให้แก่รําษฎรตํามแนวทํางที่ได้ประชุมหํารือร่วมกัน เมื่อวันที่ 5 มีนําคม 2564 ดังนั้น เพื่อเป็นกํารเร่งรัดให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องด�ําเนินกําร แก้ไขเยียวยําควํามเดือดร้อนของรําษฎรผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินอําศัย อ�ํานําจตํามควํามในมําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกําร แผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องด�ําเนินกํารในประเด็น ดังต่อไปนี้ 1. ขอให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้มีกํารส�ํารวจ สภําพพื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ เพื่อก�ําหนดบริเวณ อําณําเขตที่ชัดเจนของพื้นที่ 2,075 ไร่ เพื่อจัดท�ําข้อมูลพื้นที่เป้ําหมํายในกํารจัดที่ดิน ท�ํากินให้แก่ชุมชน (คทช.) เสนอต่อคณะอนุกรรมกํารจัดหําที่ดินพิจํารณําให้ควํามเห็นชอบ ต่อไป ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องมีกํารประชําสัมพันธ์ท�ําควํามเข้ําใจกับผู้น�ําท้องถิ่น รําษฎรในพื้นที่ และลูกจ้ํางของกํารยํางแห่งประเทศไทยผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ทรําบถึง แนวทํางในกํารแก้ไขปัญหําเรื่องกํารจัดที่ดินท�ํากินอย่ํางทั่วถึงด้วย 2. ขอให้กรมป่ําไม้ในฐํานะฝ่ํายเลขํานุกํารคณะอนุกรรมกํารจัดหําที่ดินให้ควําม อนุเครําะห์ในกํารเร่งรัดด�ําเนินกํารน�ําเสนอคณะอนุกรรมกํารจัดหําที่ดินพิจํารณําก�ําหนด ให้พื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ จ�ํานวนเนื้อที่ 2,075 ไร่ เป็นพื้นที่เป้ําหมํายในกํารจัดที่ดินท�ํากินให้ชุมชน (คทช.) ตํามนโยบํายของรัฐบําล เพื่อจังหวัด นครศรีธรรมรําชจักได้ด�ําเนินกํารตํามขั้นตอนที่กฎหมํายก�ําหนดไว้ต่อไป 3. ขอให้กรมป่ําไม้เร่งรัดกํารพิจํารณําอนุญําตให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชและ กํารยํางแห่งประเทศไทยเข้ําใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตท้องที่ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ และต�ําบลบํางขัน อ�ําเภอบํางขัน จังหวัดนครศรีธรรมรําช ตํามแผนที่ท้ําย กฎกระทรวง ฉบับที่ 981 (พ.ศ. 2525) ออกตํามควํามในพระรําชบัญญัติป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2507 ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 113
- พิจํารณําอนุญําตให้จังหวัดนครศรีธรรมรําชใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ําสงวน แห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช จ�ํานวนเนื้อที่ 2,075 ไร่ ตํามระเบียบคณะกรรมกํารพิจํารณํา กํารใช้ประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ว่ําด้วยหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขในกํารขออนุญําต และกํารอนุญําตให้เข้ําท�ําประโยชน์หรืออยู่อําศัยในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2563 ที่ออกตํามควํามในมําตรํา 13/8 (3) และมําตรํา 16 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติ ป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2507 2) พิจํารณําอนุญําตให้กํารยํางแห่งประเทศไทยท�ํากํารปลูกสร้ํางสวนป่ํา หรือปลูกไม้ยืนต้นภํายในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ป่ําคลองกรุงหยัน แปลง 4,600 ไร่ ต�ําบลกรุงหยัน (ท้องที่ต�ําบลกุแหระ) อ�ําเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมรําช จ�ํานวนเนื้อที่ 2,525 ไร่ ตํามระเบียบคณะกรรมกํารพิจํารณํากํารใช้ประโยชน์ในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ ว่ําด้วย หลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขในกํารขออนุญําตและกํารอนุญําตให้ท�ํากํารปลูกสร้ําง สวนป่ําหรือปลูกไม้ยืนต้นภํายในเขตป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2563 ที่ออกตํามควําม ในมําตรํา 13/8 (3) และมําตรํา 20 แห่งพระรําชบัญญัติป่ําสงวนแห่งชําติ พ.ศ. 2507 สัดส่วนที่ได้ตกลงกันไว้ 4. ขอให้กรมชลประทํานประชําสัมพันธ์ท�ําควํามเข้ําใจกับรําษฎรในพื้นที่และ ลูกจ้ํางของกํารยํางแห่งประเทศไทยผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ทรําบถึงแนวทํางในกํารแก้ไข ปัญหําเรื่องกํารจัดที่ดินท�ํากินอย่ํางทั่วถึง และเตรียมควํามพร้อมในกํารด�ําเนินกํารก่อสร้ําง อ่ํางเก็บน�้ําคลองสังข์ อันเนื่องมําจํากพระรําชด�ําริ ในส่วนพื้นที่น�้ําท่วม เพื่อให้สํามํารถ ด�ําเนินกํารได้ตํามแผนงํานที่ก�ําหนดไว้ จํากข้อพิจํารณําข้ํางต้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้อําศัยอ�ํานําจตํามควํามในมําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอแนะ ต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดกํารแก้ไขเยียวยําควํามเดือดร้อนให้แก่รําษฎร ผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว และรํายงํานผลกํารด�ําเนินกํารให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินทรําบภํายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งค�ําวินิจฉัย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 114
และข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเนื่องจํากกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียน ดังกล่ําวเกี่ยวข้องกับหน่วยงํานภําครัฐหลํายหน่วยงําน และกํารจัดที่ดินท�ํากินให้แก่รําษฎร ผู้ได้รับควํามเดือดร้อนต้องผ่ํานควํามเห็นชอบของคณะกรรมกํารนโยบํายที่ดินแห่งชําติ (คทช.) ซึ่งมีนํายกรัฐมนตรีเป็นประธําน จึงได้มีหนังสือกรําบเรียนนํายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดทรําบ ไว้ชั้นหนึ่งด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดินแสวงหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 115
เรื่องที่ 10 สร้างฟาร์มไก่โดยท�าประชาคมไม่เป็นไปตามข้อบัญญัติ ผู้ร้องเรียนร้องเรียนว่ําองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลผู้ถูกร้องเรียนออกใบอนุญําต ก่อสร้ํางอําคํารเพื่อก่อสร้ํางอําคํารส�ําหรับเลี้ยงไก่ โดยที่ยังไม่มีกํารท�ําประชําคมตํามข้อบัญญัติ องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบล เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มี กํารลงพื้นที่และประชุมหํารือร่วมกับจังหวัด หน่วยงํานในพื้นที่ ผู้ใหญ่บ้ําน ผู้ประกอบกําร ผู้ร้องเรียน และองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลผู้ถูกร้องเรียน ได้ควํามว่ํา ผู้ประกอบกํารยื่นค�ําร้อง ขอเปิดเวทีรับฟังควํามคิดเห็นในกํารประกอบกิจกํารฟําร์มไก่แล้ว โดยคณะกรรมกํารหมู่บ้ําน ก�ําหนดให้จัดกํารประชําคมโดยก�ําหนดหลักเกณฑ์ส�ําหรับผู้เข้ําร่วมประชําคม เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ําน กลุ่มที่ 2 ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ํานในหมู่อื่น แต่ต้องมี ที่ดินอยู่ในหมู่ที่จะมีกํารสร้ํางฟําร์มไก่ และกลุ่มที่ 3 ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ํานในหมู่อื่นที่มี ที่ดินเขตติดต่อกับหมู่ที่จะมีกํารสร้ํางฟําร์มไก่ที่คําดว่ําจะได้รับผลกระทบจํากฟําร์ม ผลกําร ประชําคมรับฟังควํามคิดเห็นปรํากฏว่ําเห็นด้วยในกํารให้สร้ํางฟําร์มไก่ แต่ผู้ร้องเรียนเห็นว่ํา กํารท�ําประชําคมดังกล่ําวมีบุคคลภํายนอกหมู่บ้ํานเข้ําร่วมท�ําประชําคมจึงร้องเรียนไปยัง อ�ําเภอ ซึ่งอ�ําเภอเห็นว่ําผลกํารประชําคมไม่เป็นไปตํามข้อบัญญัติองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบล และไม่เป็นไปตํามระเบียบกระทรวงมหําดไทยว่ําด้วยหลักเกณฑ์กํารเป็นกรรมกํารหมู่บ้ําน กํารปฏิบัติหน้ําที่และกํารประชุมของคณะกรรมกํารหมู่บ้ําน พ.ศ. 2541 แต่จํากกํารลงพื้นที่และประชุมดังกล่ําว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังคง มีประเด็นที่เป็นปัญหําเกี่ยวกับกํารพิจํารณําอนุญําตประกอบกิจกํารฟําร์มไก่ให้เป็นไป ตํามข้อบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งเป็นกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพ ตํามพระรําชบัญญัติ กํารสําธํารณสุข พ.ศ. 2535 กระบวนกํารรับฟังควํามคิดเห็น และต�ําแหน่งที่ตั้ง สถํานประกอบกิจกําร ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้มีหนังสือหํารือไปยังหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง ผลกํารหํารือสรุปว่ํา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 116
-
นิยํามของค�ําว่ํา “ชุมชน” แม้ว่ําจะปรํากฏนิยํามในพระรําชบัญญัติสภําองค์กร ชุมชน พ.ศ. 2551 ก็ตําม แต่ไม่สํามํารถน�ํามําใช้ให้เป็นควํามหมํายทั่วไปได้ ดังนั้น เมื่อไม่ได้มีกํารก�ําหนดค�ํานิยํามไว้เป็นกํารเฉพําะ จึงต้องพิจํารณําควํามหมํายอย่ํางทั่วไป ตํามพจนํานุกรมฉบับรําชบัณฑิตยสถําน พ.ศ. 2554 ที่ให้นิยํามของชุมชนไว้ว่ํา “หมู่ชน กลุ่มคน ที่อยู่รวมกันเป็นสังคมขนําดเล็ก อําศัยอยู่ในอําณําบริเวณเดียวกันและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่ที่มีคนอําศัยอยู่มําก” 2. กํารที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลํายแห่งออกข้อบัญญัติเกี่ยวกับกิจกําร ที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโดยใช้บังคับกับสัตว์ทุกประเภท ซึ่งในทํางปฏิบัติ สัตว์แต่ละประเภทก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนร�ําคําญแตกต่ํางกัน อย่ํางไรก็ตําม ส�ําหรับ กํารควบคุมกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพประเภทกํารเลี้ยงสัตว์ แม้ว่ํารัฐมนตรีว่ํากําร กระทรวงสําธํารณสุขจะได้ประกําศรํายชื่อกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพในประกําศกระทรวง สําธํารณสุข แต่ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ในเขตรําชกํารส่วนท้องถิ่นต่ําง ๆ เพรําะบทบัญญัติ มําตรํา 32 (1) แห่งพระรําชบัญญัติกํารสําธํารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก�ําหนดให้รําชกํารส่วนท้องถิ่นมีอ�ํานําจออกข้อบัญญัติก�ําหนดประเภทของกิจกํารตําม มําตรํา 31 บํางกิจกําร หรือทุกกิจกํารให้เป็นกิจกํารที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นนั้นก็ได้ ซึ่งกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพที่รัฐมนตรีประกําศ จะมีผลใช้บังคับในท้องถิ่นใด รําชกํารส่วนท้องถิ่นนั้นจะต้องออกข้อบัญญัติท้องถิ่นก�ําหนดให้เป็นกิจกํารที่ต้องควบคุม ในท้องถิ่นก่อนและไม่จ�ําเป็นต้องก�ําหนดทุกประเภทกิจกําร โดยจะก�ําหนดกิจกํารที่เป็น อันตรํายต่อสุขภําพทั้งหมดหรือเพียงบํางส่วนเป็นกิจกํารที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นก็ได้ ซึ่งกํารออกข้อบัญญัติท้องถิ่นอําจก�ําหนดได้ 2 แบบ คือ แบบรวมกิจกําร และแบบแยกกิจกําร โดยรําชกํารส่วนท้องถิ่นอําจก�ําหนดขนําดของกิจกํารที่ประสงค์จะควบคุมไว้ในข้อบัญญัติท้องถิ่น เพื่อให้เกิดควํามชัดเจนในกํารบังคับใช้กฎหมํายก็ได้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 117
-
กํารที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติโดยไม่แยกสัตว์แต่ละประเภท ท�ําให้กํารก�ําหนดระยะห่ํางไม่สอดคล้องกับประเภทและจ�ํานวนสัตว์ ซึ่งไม่เป็นไปตํามค�ําแนะน�ํา ของคณะกรรมกํารสําธํารณสุขนั้น ตํามมําตรํา 32 (2) แห่งพระรําชบัญญัติกํารสําธํารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยในข้อ 6 วรรคสอง ของกฎกระทรวงควบคุมสถําน ประกอบกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพ พ.ศ. 2560 ก�ําหนดว่ํา “กํารก�ําหนดระยะห่ําง ของสถํานประกอบกิจกําร ให้เป็นไปตํามที่รัฐมนตรีประกําศก�ําหนด โดยค�ําแนะน�ําของ คณะกรรมกํารและประกําศในรําชกิจจํานุเบกษํา” และในบทเฉพําะกําล ข้อ 23 ก�ําหนดว่ํา “ในระหว่ํางที่ยังไม่มีประกําศของรัฐมนตรีเพื่อก�ําหนดหลักเกณฑ์ตํามกฎกระทรวงนี้ในเรื่องใด ให้รําชกํารส่วนท้องถิ่นน�ําหลักเกณฑ์ วิธีกําร และมําตรกํารในกํารควบคุมสถํานประกอบ กิจกํารตํามกฎหมํายอื่นที่เกี่ยวข้องมําปรับใช้โดยอนุโลมจนกว่ําจะมีประกําศที่ออกตําม กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ” ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีประกําศกระทรวงสําธํารณสุขเรื่องกํารก�ําหนด ระยะห่ํางของสถํานประกอบกิจกํารดังกล่ําว ดังนั้น หํากรําชกํารส่วนท้องถิ่นใดเห็นสมควร จะก�ําหนดระยะห่ํางระหว่ํางสถํานประกอบกิจกํารกับชุมชนตํามกฎหมํายว่ําด้วยกํารสําธํารณสุข จึงเป็นอ�ํานําจของสภําท้องถิ่นพิจํารณําออกข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยอําศัยอ�ํานําจตํามมําตรํา 32 (2) พระรําชบัญญัติกํารสําธํารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่ํางไรก็ดี กํารก�ําหนดระยะห่ํางเป็นเพียงมําตรกํารอย่ํางหนึ่งเท่ํานั้น กํารจะป้องกันและแก้ไข ควํามเดือดร้อนหรือผลกระทบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องก�ําหนดมําตรกํารอื่น ๆ ร่วมด้วย ประกอบกับค�ําแนะน�ําของคณะกรรมกํารสําธํารณสุขเป็นเพียงแนวทํางหรือ แนวปฏิบัติส�ําหรับรําชกํารส่วนท้องถิ่น มิใช่กฎหมํายและไม่มีสภําพบังคับ 4. กํารวัดรัศมีของระยะห่ํางที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภําพและไม่ก่อเหตุร�ําคําญ ต่อชุมชนนั้น กรมอนํามัยได้น�ําเสนอประเด็นข้อหํารือดังกล่ําวต่อคณะอนุกรรมกํารบริหําร และขับเคลื่อนกํารปฏิบัติตํามกฎหมํายว่ําด้วยกํารสําธํารณสุขในกํารประชุมครั้งที่ 9 – 2 / 2563 เมื่อวันที่ 26 พฤษภําคม 2563 สรุปว่ํากํารวัดระยะห่ํางระหว่ํางสถํานประกอบกิจกําร กับชุมชนตํามกฎหมํายว่ําด้วยกํารสําธํารณสุขเป็นดุลพินิจของเจ้ําพนักงํานตํามกฎหมําย ว่ําด้วยกํารสําธํารณสุข รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 118
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมําย ประกอบกับกํารแสวงหํา ข้อเท็จจริง ลงพื้นที่ กํารประชุม กํารหํารือไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ปรํากฏข้อเท็จจริง ว่ําที่ดินบริเวณที่ถูกร้องเรียนก�ําหนดให้เป็นที่ดินประเภท อก. สีขําวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว จึงสํามํารถประกอบกิจกํารฟําร์มไก่ได้ ส�ําหรับกํารที่ข้อบัญญัติองค์กํารบริหําร ส่วนต�ําบล ก�ําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกํารควบคุม เลี้ยงสัตว์ ปล่อยสัตว์ โดยมิได้แยกประเภทสัตว์ ต้องได้รับควํามยินยอมจํากกํารประชุมประชําคมหมู่บ้ําน ได้รับอนุญําตจํากเจ้ําพนักงํานท้องถิ่น รวมทั้งต้องตั้งอยู่ห่ํางจํากแหล่งชุมชน ศําสนสถําน โบรําณสถําน สถําบันกํารศึกษํา โรงพยําบําล หรือสถํานที่ของรําชกํารอื่น ๆ ในระยะที่ไม่ส่งผลต่อสุขภําพ และไม่ก่อเหตุ ร�ําคําญ ซึ่งกํารวัดรัศมีระยะห่ํางนี้ ข้อบัญญัติดังกล่ําวมิได้มีกํารก�ําหนดไว้ชัดเจนว่ํา จะต้องวัดรัศมีจํากจุดใด จึงเป็นดุลพินิจของเจ้ําพนักงํานท้องถิ่น รวมทั้งบริเวณดังกล่ําว มีบ้ํานพักอําศัยเพียง 2 หลัง จึงยังไม่อําจถือได้ว่ําเข้ําลักษณะกํารเป็นชุมชน ส�ําหรับเรื่องกํารท�ําประชําคมนั้น แม้กํารประกอบกิจกํารที่เป็นอันตรํายต่อสุขภําพ ประเภทกํารเลี้ยงไก่จะไม่ได้อยู่ภํายใต้บังคับตํามประกําศกระทรวงสําธํารณสุข เรื่อง ก�ําหนด ประเภทหรือขนําดของกิจกําร และหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขที่ผู้ขออนุญําตจะต้อง ด�ําเนินกํารก่อนกํารพิจํารณําออกใบอนุญําต พ.ศ. 2561 และประกําศกระทรวงสําธํารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ในกํารรับฟังควํามคิดเห็นของประชําชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2561 ที่ผู้ประกอบกิจกํารไม่ต้องจัดให้มีกํารรับฟังควํามคิดเห็นของประชําชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบกํารยื่นขอรับใบอนุญําตต่อเจ้ําพนักงํานท้องถิ่นก่อนด�ําเนินกิจกํารก็ตําม แต่กํารที่ องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลผู้ถูกร้องเรียนออกข้อบัญญัติซึ่งผ่ํานกํารพิจํารณําจํากสภําองค์กําร บริหํารส่วนต�ําบลแล้ว จึงต้องพิจํารณําให้เป็นไปตํามหลักเกณฑ์ วิธีกํารหรือเงื่อนไขที่ก�ําหนด ดังนั้น กํารที่สถํานประกอบกิจกํารฟําร์มไก่จะประกอบกิจกํารในพื้นที่ได้จะต้องได้รับ ควํามยินยอมจํากกํารประชุมประชําคมหมู่บ้ํานก่อน ซึ่งในกรณีของสถํานประกอบกิจกําร ฟําร์มไก่นี้ได้จัดให้มีกํารท�ําประชําคมของคณะกรรมกํารหมู่บ้ํานแล้ว กํารที่อ�ําเภอเห็นว่ํา ควรน�ําระเบียบกระทรวงมหําดไทย ว่ําด้วยหลักเกณฑ์กํารเป็นกรรมกํารหมู่บ้ําน กํารปฏิบัติ หน้ําที่และกํารประชุมของคณะกรรมกํารหมู่บ้ําน พ.ศ. 2541 หมวด 4 ข้อ 44 มําใช้กับ กํารประชําคม ในเรื่องนี้อําจไม่ถูกต้อง เหมําะสม เนื่องจํากตํามข้อเท็จจริงนี้บริเวณที่จะ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 119
ประกอบกิจกํารฟําร์มไก่แม้จะอยู่ในพื้นที่หมู่ใดหมู่หนึ่งก็ตําม แต่ตั้งอยู่ห่ํางจํากชุมชน หมู่ดังกล่ําวประมําณ 10 กิโลเมตร แต่อยู่ใกล้กับหมู่อื่นซึ่งอําจได้รับผลกระทบจําก กํารประกอบกิจกํารมํากกว่ํา ประกอบกับกํารประชุมประชําคมตํามที่ก�ําหนดไว้ในข้อบัญญัติ องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบล เป็นกํารประชุมประชําคมเพื่อรับฟังควํามคิดเห็นจํากผู้ที่อําจได้รับ ผลกระทบจํากกํารประกอบกิจกํารอันเกี่ยวข้องกับกํารสําธํารณสุข กํารรับฟังควํามคิดเห็น ของประชําชน จึงควรน�ําหลักเกณฑ์ตํามประกําศกระทรวงสําธํารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ ในกํารรับฟังควํามคิดเห็นของประชําชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2561 มําเป็นแนวทํางกํารปฏิบัติ เรื่องกํารท�ําประชําคมโดยอนุโลม ดังนั้น กํารที่คณะกรรมกํารหมู่บ้ํานก�ําหนดให้ผู้เข้ําร่วม ประชําคมประกอบด้วย ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ําน ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ํานในหมู่อื่น แต่ต้องมี ที่ดินอยู่ในหมู่ที่จะมีกํารสร้ํางฟําร์มไก่ และผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้ํานในหมู่อื่นที่มีที่ดิน เขตติดต่อกับหมู่ที่จะมีกํารสร้ํางฟําร์มไก่ที่คําดว่ําจะได้รับผลกระทบจํากฟําร์ม โดยผลกําร ประชําคมยินยอมให้มีกํารประกอบกิจกําร จึงเป็นกํารท�ําประชําคมที่ชอบตํามข้อบัญญัติ องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลแล้ว ดังนั้น ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่มิได้ เป็นไปตํามมําตรํา 22 (2) ตํามประกําศผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2562 ซึ่งก�ําหนดเรื่องที่ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินไม่รับไว้พิจํารณําตํามมําตรํา 37 (8) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยุติ เรื่องร้องเรียนในเรื่องนี้ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อย่ํางไรก็ตําม แม้ตํามประกําศกระทรวงสําธํารณสุข เรื่อง กิจกํารที่เป็นอันตรําย ต่อสุขภําพ พ.ศ. 2558 จะก�ําหนดให้กํารประกอบกิจกํารเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกํารที่เป็น อันตรํายต่อสุขภําพก็ตําม แต่มิได้ก�ําหนดให้มีผลใช้บังคับในท้องถิ่น รวมทั้งมิได้ก�ําหนดให้ ต้องออกข้อบัญญัติควบคุมทุกประเภทกิจกําร และรวมหรือแยกกิจกําร เนื่องจํากกํารเลี้ยงสัตว์ แต่ละประเภทส่งผลให้เกิดควํามเดือดร้อนร�ําคําญได้แตกต่ํางกันตํามชนิดของสัตว์ ปริมําณ กํารเลี้ยง และรูปแบบกํารจัดกํารของสถํานที่เลี้ยงสัตว์นั้น รวมถึงธรรมชําติของกลิ่น เสียง ปริมําณและลักษณะของเสียที่เกิดจํากกํารเลี้ยงสัตว์แต่ละชนิด ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหํา กํารร้องเรียนดังเช่นกรณีนี้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 120
- ขอให้กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นแจ้งไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีกํารออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อควบคุมกํารประกอบกิจกํารที่เกี่ยวกับกํารเลี้ยงสัตว์ ในท้องถิ่น โดยออกข้อบัญญัติเฉพําะแต่ละประเภทสัตว์เพื่อให้ก�ํากับดูแลกํารประกอบ กิจกํารเลี้ยงสัตว์แต่ละประเภทเป็นไปอย่ํางเหมําะสมกับลักษณะของกํารประกอบกิจกําร โดยอําจน�ําค�ําแนะน�ําของคณะกรรมกํารสําธํารณสุขมําเป็นหลักเกณฑ์ส�ําหรับอ้ํางอิง เพื่อให้กํารก�ําหนดข้อบัญญัติของแต่ละท้องถิ่นเป็นมําตรฐํานเดียวกัน รวมทั้งก�ําหนดให้ ชัดเจนว่ํากํารวัดระยะห่ํางจํากแหล่งชุมชน ศําสนสถําน โบรําณสถําน สถําบันกํารศึกษํา โรงพยําบําล หรือสถํานที่ของรําชกํารอื่น ๆ ให้วัดรัศมีจํากจุดใด และก�ําหนดนิยํามของ ประชําชนที่เกี่ยวข้องและหลักเกณฑ์ในกํารรับฟังควํามคิดเห็นให้ชัดเจน เพื่อเป็นกํารป้องกัน เหตุเดือดร้อนร�ําคําญหรือผลกระทบต่อสภําวะควํามเป็นอยู่ที่เหมําะสมกับกํารด�ํารงชีพ ของชุมชน และจัดให้มีกระบวนกํารรับฟังควํามคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและประชําชน วิเครําะห์ผลกระทบที่อําจเกิดขึ้นอย่ํางรอบด้ํานและเป็นระบบ เพื่อประกอบกํารพิจํารณํา ในกํารออกข้อบัญญัติดังกล่ําวให้สอดคล้องและเหมําะสมต่อไป 2. ขอให้กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นก�ําชับไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้หมั่นตรวจสอบกํารประกอบกิจกํารเลี้ยงสัตว์แต่ละประเภท มิให้ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อน ร�ําคําญ และหํากมีกํารร้องเรียนก็ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตรวจสอบและแก้ไข ควํามเดือดร้อนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบโดยพลัน เพรําะผู้ได้รับผลกระทบจํากกํารประกอบกิจกําร เพียง 1 หลังคําเรือน ก็ถือว่ําเป็นผู้ที่ได้รับควํามเดือดร้อนเช่นเดียวกัน ต่อมํา กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นรํายงํานว่ําได้แจ้งผลกํารวินิจฉัยของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเพื่อให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจํารณําด�ําเนินกําร ตํามแนวทํางแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 121
เรื่องที่ 11 กรณีหน่วยงานผู้ถูกร้องเรียนไม่จ่ายเงินค่าตอบแทนพี่เลี้ยงเด็กพิการ ผู้ร้องเรียนเป็นพี่เลี้ยงเด็กพิกํารได้รับควํามเดือดร้อนจํากกรณีที่หน่วยงําน ผู้ถูกร้องเรียนไม่ช�ําระเงินค่ําตอบแทนกํารปฏิบัติงํานของพี่เลี้ยงเด็กพิกํารจ�ํานวน 62 รําย ในช่วงเดือนตุลําคม 2561 ถึง พฤศจิกํายน 2561 ท�ําให้ผู้ร้องเรียนและพี่เลี้ยงเด็กพิกําร ได้รับควํามเดือดร้อน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรํากฏว่ํา หน่วยงําน ที่ถูกร้องเรียนได้ออกค�ําสั่งจ้ํางและจัดท�ําสัญญําจ้ํางลูกจ้ํางชั่วครําวรํายเดือน ต�ําแหน่งพี่เลี้ยง เด็กพิกําร โดยเริ่มจ้ํางตั้งแต่วันที่ 1 เมษํายน 2561 สิ้นสุดสัญญําจ้ํางวันที่ 30 กันยํายน 2561 ต่อมําหน่วยงํานที่ถูกร้องเรียนทรําบว่ําได้รับกํารจัดสรรอัตรําลูกจ้ํางชั่วครําว ต�ําแหน่งพี่เลี้ยง เด็กพิกําร ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2562 จ�ํานวน 62 อัตรํา ซึ่งเป็นกํารปรับลดอัตรํา ลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2561 จ�ํานวน 10 อัตรํา ท�ําให้ต้องมีกํารชะลอกํารจ้ํางไว้ก่อน และด�ําเนินกํารสอบคัดเลือกพี่เลี้ยงเด็กพิกํารใหม่ ซึ่งกระบวนกํารคัดเลือกแล้วเสร็จ และออกค�ําสั่งจ้ํางตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกํายน 2561 สิ้นสุดสัญญําจ้ํางในวันที่ 30 เมษํายน 2562 ดังนั้น ในช่วงวันที่ 1 ตุลําคม 2561 ถึงวันที่ 25 พฤศจิกํายน 2561 จึงไม่ได้ จัดจ้ํางลูกจ้ํางชั่วครําว ต�ําแหน่งพี่เลี้ยงเด็กพิกําร และไม่สํามํารถเบิกจ่ํายเงินงบประมําณ เพื่อช�ําระเงินค่ําตอบแทนให้แก่พี่เลี้ยงเด็กพิกํารได้ อย่ํางไรก็ตําม ข้อเท็จจริงปรํากฏว่ําในระหว่ํางวันที่ 1 ตุลําคม 2561 ถึงวันที่ 25 พฤศจิกํายน 2561 พี่เลี้ยงเด็กพิกํารได้มีกํารปฏิบัติงํานจริงและยังปรํากฏข้อเท็จจริง จํากเอกสํารหลักฐํานของหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องว่ํา กํารด�ําเนินกํารแจ้งปรับลดอัตรําพี่เลี้ยง เด็กพิกํารและขอให้ชะลอกํารจ้ํางไว้ก่อนนั้น มีควํามล่ําช้ํา โดยเป็นกํารแจ้งภํายหลังกํารสิ้นสุด สัญญําจ้ํางแล้ว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้เชิญหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องประชุมหํารือแนวทํางแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนให้กับพี่เลี้ยงเด็กพิกําร ซึ่งในกํารประชุมดังกล่ําว ปรํากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่ํา โดยปกติของกํารจ้ํางลูกจ้ํางชั่วครําว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 122
ต�ําแหน่งพี่เลี้ยงเด็กพิกําร จะมีกํารอนุมัติเงินประจ�ํางวดย้อนหลังและท�ําสัญญําจ้ํางต่อเนื่อง มําตลอดหลํายปีแล้ว แต่ปีงบประมําณ พ.ศ. 2562 มีกํารปรับลดอัตรําก�ําลังโดยไม่ทรําบ ล่วงหน้ํา ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําแล้วเห็นว่ํา โดยทั่วไปหํากไม่มีกํารบอกกล่ําว ด้วยวําจําหรือเป็นลํายลักษณ์อักษรว่ําจะไม่มีกํารต่อสัญญําจ้ําง ลูกจ้ํางชั่วครําวก็ย่อมเข้ําใจ ว่ํายังคงต้องปฏิบัติหน้ําที่เช่นเดิม ดังนั้น พี่เลี้ยงเด็กพิกํารย่อมจะคําดหมํายว่ําจะมีกํารท�ําสัญญํา จ้ํางต่อเนื่องและจะได้รับเงินค่ําจ้ํางย้อนหลัง กรณีดังกล่ําวแม้จะไม่ปรํากฏข้อเท็จจริงว่ํา หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนไม่ปฏิบัติตํามกฎหมํายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจ ตํามกฎหมําย ตํามมําตรํา 22 (2) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกําร แผ่นดิน พ.ศ. 2560 แต่กํารปฏิบัติงํานตํามหน้ําที่และอ�ํานําจของหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนนั้น ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมแก่พี่เลี้ยงเด็กพิกําร ซึ่งปรํากฏเอกสํารหลักฐําน ชัดเจนว่ํา มีพี่เลี้ยงเด็กพิกํารจ�ํานวน 70 รําย ปฏิบัติงํานในเดือนตุลําคม 2561 ถึงเดือน พฤศจิกํายน 2561 จริงโดยไม่ได้รับค่ําตอบแทน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้อําศัยอ�ํานําจ ตํามมําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ให้พิจํารณําขออนุมัติงบประมําณเพื่อเบิกจ่ํายเป็นค่ําใช้จ่ํายในกํารชดเชยเยียวยําให้แก่ พี่เลี้ยงเด็กพิกํารทั้ง 70 รําย ในอัตรําเดียวกับเงินค่ําตอบแทนตํามสิทธิในสัญญําจ้ํางเดิม ซึ่งต่อมําหน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียนได้รับกํารจัดสรรงบประมําณและได้ด�ําเนินกํารเบิกจ่ํายเงิน ชดเชยเยียวยําให้แก่พี่เลี้ยงเด็กพิกํารทั้ง 70 รําย เรียบร้อยแล้ว ภาพการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานผู้ถูกร้องเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่เลี้ยงเด็กพิการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 123
เรื่องที่ 12 กรณีหน่วยงานของรัฐออกประกาศ เรื่อง แก้ไขเขตที่ดินโบราณสถานภาพเขียนสี โดยมิชอบและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการโรงโม่หินหรืออุตสาหกรรมก่อสร้าง อันเป็นการกระท�าที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระ แก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ผู้ร้องเรียนกล่ําวอ้ํางว่ํา ตํามที่หัวหน้ําส่วนรําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบ ได้ลงนํามในประกําศ เรื่อง แก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถํานภําพเขียนสีนั้น ผู้ร้องเรียนแสดงควํามเห็น เกี่ยวกับประกําศดังกล่ําว โดยสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. พื้นที่ดังกล่ําวเป็นแหล่งโบรําณคดีซึ่งมีภําพเขียนสียุคก่อนประวัติศําสตร์ ถือได้ว่ําเป็นมรดกส�ําคัญต่อประวัติศําสตร์ของพื้นที่ดังกล่ําว โดยภําพเขียนสีบํางภําพ เกิดกํารพังทลํายและเสียหํายจํากกํารที่ผู้ประกอบกํารเข้ํามําด�ําเนินกํารใกล้พื้นที่เขตที่ดิน โบรําณสถํานภําพเขียนสีอยู่หลํายปี ดังนั้นกํารออกประกําศแก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถําน เพื่อเปิดโอกําสให้ผู้ประกอบกํารโรงโม่หินหรืออุตสําหกรรมก่อสร้ํางสํามํารถเข้ํามําใช้พื้นที่ ดังกล่ําวจึงส่งผลกระทบต่อภําพเขียนสีโดยตรง ซึ่งขัดต่อภํารกิจและบทบําทหน้ําที่ของ หน่วยงํานที่รับผิดชอบโดยชัดแจ้ง 2. กํารแก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถํานจํากต�ําแหน่งเดิมออกไป 1 ใน 4 ของพื้นที่ หรือประมําณ 190 ไร่ ซึ่งเป็นกํารเปิดโอกําสให้ผู้ประกอบกํารโรงโม่หินที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ สํามํารถด�ําเนินกํารยื่นขอประทํานบัตรระเบิดหินเพื่อใช้ในอุตสําหกรรมก่อสร้ํางได้โดยไม่ เป็นข้อจ�ํากัดของกฎหมําย ประกอบกับหลักกํารและเหตุผลของประกําศดังกล่ําวที่อ้ํางว่ํา พื้นที่จังหวัดดังกล่ําวและพื้นที่ใกล้เคียงประสบกับปัญหําเกี่ยวกับแหล่งหินอุตสําหกรรม เพรําะแหล่งหินหลํายแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหําด้ํานควํามมั่นคงจึงจ�ําเป็นต้องใช้แหล่งหิน จํากพื้นที่ดังกล่ําวแทน ซึ่งพื้นที่จังหวัดดังกล่ําวและพื้นที่ใกล้เคียงมิได้ขําดแคลนหินตํามที่ ประกําศกล่ําวอ้ํางแต่อย่ํางใด รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 124
- กํารลงนํามแก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถํานดังกล่ําวของหัวหน้ําส่วนรําชกําร ของหน่วยงํานที่รับผิดชอบได้ลงนํามในวันสุดท้ํายที่รับรําชกํารและต้องเกษียณอํายุรําชกําร ตํามกฎหมํายในวันถัดไป เห็นได้ว่ําเป็นกํารใช้อ�ํานําจเพื่อหลีกเลี่ยงกํารคัดค้ํานของประชําชน และกํารส่งประกําศเพื่อไปประกําศใช้ในรําชกิจจํานุเบกษํามีลักษณะล่ําช้ําเกินสมควร และไม่เป็นไปตํามกฎหมํายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง 4. กํารออกประกําศดังกล่ําวไม่มีกํารเปิดโอกําสให้ประชําชนหรือผู้มีส่วนได้เสีย เข้ําไปมีส่วนร่วมกํารให้ค�ําเสนอแนะหรือท้วงติงตํามที่รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25, 26, 41, 43 ที่ให้ควํามคุ้มครองสิทธิและเสรีภําพ ของประชําชนไว้ และเป็นกํารฝ่ําฝืนในหมวดหน้ําที่ของรัฐตํามมําตรํา 51, 53, 57 – 59 และมําตรํา 61 และเป็นกํารใช้อ�ํานําจที่ขัดต่อหมวดแนวนโยบํายแห่งรัฐตํามมําตรํา 72, 76 และมําตรํา 77 นอกจํากนี้ เป็นกํารละเลยกํารปฏิบัติหน้ําที่ให้เป็นไปตําม พระรําชบัญญัติระเบียบบริหํารรําชกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มําตรํา 3/1 วรรคหนึ่งและวรรคสําม และไม่มีกํารจัดเวทีรับฟังควํามคิดเห็น ของประชําชนตํามระเบียบส�ํานักนํายกรัฐมนตรีว่ําด้วยกํารรับฟังควํามคิดเห็นของประชําชน พ.ศ. 2548 แต่อย่ํางใด 5. กํารออกประกําศดังกล่ําวมีหลักกํารและเหตุผลในกํารออกประกําศ เพื่อเป็นกํารผ่อนคลํายสภําวะขําดแคลนหินอุตสําหกรรมเพื่อใช้ในกํารก่อสร้ํางและ ลดกํารก่อควํามรุนแรงที่อําจเกิดขึ้นจํากกํารสร้ํางสถํานกํารณ์ของกลุ่มคนผู้ก่อควํามไม่สงบ ในพื้นที่ภําคใต้นั้น เห็นได้ว่ําเป็นกํารเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบกํารโรงโม่หินหรือ อุตสําหกรรมก่อสร้ําง เนื่องจํากไม่ได้เป็นไปตํามที่พระรําชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มําตรํา 17 ก�ําหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ร้องเรียนเห็นว่ํากํารออกประกําศดังกล่ําวเป็นกํารใช้อ�ํานําจที่ขัดต่อภํารกิจ และบทบําทหน้ําที่ของหน่วยงํานที่รับผิดชอบ รวมทั้งเป็นกํารเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบกําร โรงโม่หินหรืออุตสําหกรรมก่อสร้ํางอันเป็นกํารกระท�ําที่ก่อให้เกิดควํามเดือดร้อนหรือ ควํามไม่เป็นธรรม หรือเป็นภําระแก่ประชําชนโดยไม่จ�ําเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ จึงขอให้มี กํารแก้กฎหมําย กฎ หรือยกเลิกประกําศในเรื่องดังกล่ําว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 125
ด้วยเหตุที่มีผู้ประกอบกํารท�ําเหมืองแร่หินมีหนังสือถึงหัวหน้ําส่วนรําชกํารของ หน่วยงํานที่รับผิดชอบเพื่อขอให้กันเขตโบรําณสถํานออกจํากเขตพื้นที่ที่ได้รับประทํานบัตร ท�ําเหมืองแร่หินอันเนื่องมําจํากกํารประกําศขึ้นทะเบียนและก�ําหนดเขตที่ดินโบรําณ สถํานภําพเขียนสี ส่งผลให้เขตโบรําณสถํานภําพเขียนสีซ้อนทับกับเขตที่มีกํารให้ประทํานบัตร ท�ําเหมืองแร่หินเพื่ออุตสําหกรรม นอกจํากนี้ ส่วนรําชกํารได้มีหนังสือขอให้ทํางหน่วยงําน ที่รับผิดชอบพิจํารณําด�ําเนินกํารแก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถําน หน่วยงํานที่รับผิดชอบ จึงได้พิจํารณําทบทวนกํารกันเขตโบรําณสถํานภําพเขียนสีเขํายะลําออกจํากเขตประทํานบัตร เหมืองแร่ โดยพิจํารณําผลกระทบของกํารระเบิดและย่อยหินจํากรํายงํานผลกํารประเมิน และวิเครําะห์ผลกํารตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนและแรงอัดอํากําศจํากกํารระเบิดหิน ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อโบรําณสถํานภําพเขียนสี เนื่องจํากมีระยะห่ํางจํากโบรําณสถํานภําพ เขียนสี และสํามํารถควบคุมค่ําแรงสั่นสะเทือนและแรงอัดอํากําศจํากกํารระเบิดของเหมืองหิน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งโบรําณสถํานภําพเขียนสีได้ ดังนั้น หัวหน้ําส่วน รําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบในขณะนั้น ได้สั่งกํารโดยอําศัยอ�ํานําจมําตรํา 7 แห่ง พระรําชบัญญัติโบรําณสถําน โบรําณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถํานแห่งชําติ พ.ศ. 2504 ออกประกําศ เรื่อง แก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถําน ลงวันที่ 30 กันยํายน 2562 ซึ่งได้ก�ําหนดให้อ�ํานําจหัวหน้ําส่วนรําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบประกําศขึ้นทะเบียน โบรําณสถําน รวมทั้งก�ําหนดเขตที่ดินตํามที่เห็นสมควรเป็นเขตของโบรําณสถําน และ สํามํารถเพิกถอนหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกําศได้ ในก ํารนี้ ประชําชนในพื้นที่และองค์ กรพัฒนําในภําคเอกชน ตลอดจน คณะกรรมําธิกํารสภําผู้แทนรําษฎร ได้แสดงควํามคิดเห็นและแสดงควํามไม่พึงพอใจต่อ กํารประกําศดังกล่ําว ซึ่งตํามพระรําชกฤษฎีกําว่ําด้วยหลักเกณฑ์และวิธีกํารบริหํารกิจกําร บ้ํานเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มําตรํา 8 (4) บัญญัติให้เป็นหน้ําที่ของข้ํารําชกํารที่จะต้อง คอยรับฟังควํามคิดเห็นและควํามพึงพอใจของสังคมโดยรวมและประชําชนผู้รับบริกําร เพื่อน�ํามําปรับปรุงวิธีปฏิบัติรําชกํารให้เหมําะสม ดังนั้น หน่วยงํานที่รับผิดชอบจึงได้พิจํารณํา ทบทวนกํารประกําศแก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถําน ทั้งนี้ ตํามรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 43 ให้ประชําชนสํามํารถใช้สิทธิร้องเรียนต่อหน่วยงํานที่ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 126
รับผิดชอบได้ อีกทั้งโบรําณสถํานภําพเขียนสีดังกล่ําวเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เช่นนี้ ประชําชนในทุกภําคส่วนของสังคมสํามํารถใช้สิทธิตํามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติในกํารอนุรักษ์ ท�ํานุบ�ํารุง และฟื้นฟูให้คงอยู่สืบไป ประกอบกับประกําศดังกล่ําวถือเป็นค�ําสั่งทํางปกครอง ตํามที่ก�ําหนดในพระรําชบัญญัติวิธีปฏิบัติรําชกํารทํางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งหัวหน้ํา ส่วนรําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบใช้อ�ํานําจออกโดยชอบด้วยกฎหมําย แต่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อผู้รับค�ําสั่งทํางปกครอง ดังนั้น หัวหน้ําส่วนรําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบจึงใช้อ�ํานําจ ตํามมําตรํา 7 แห่งพระรําชบัญญัติโบรําณสถําน โบรําณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถําน แห่งชําติ พ.ศ. 2504 ประกอบกับมําตรํา 53 แห่งพระรําชบัญญัติวิธีปฏิบัติรําชกําร ทํางปกครอง พ.ศ. 2539 ด�ําเนินกํารเพิกถอนประกําศเรียบร้อยแล้ว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ขอให้หัวหน้ําส่วนรําชกํารของหน่วยงําน ที่รับผิดชอบชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมทั้งขอให้จัดส่งเอกสํารหลักฐํานเพื่อประกอบกํารพิจํารณํา เรื่องร้องเรียน ซึ่งหัวหน้ําส่วนรําชกํารของหน่วยงํานที่รับผิดชอบได้พิจํารณําทบทวนและ ด�ําเนินกํารเพิกถอนประกําศฉบับดังกล่ําว โดยได้ออกประกําศ เรื่อง เพิกถอนกํารประกําศ แก้ไขเขตที่ดินโบรําณสถําน และก�ําหนดเขตที่ดินโบรําณสถํานภําพเขียนสีให้มีพื้นที่ตํามเดิม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เรื่องร้องเรียนดังกล่ําวจึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีค�ําวินิจฉัย ให้ยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่ําว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 127
2.3 ผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจในกรณีหน่วยงานของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 230 (3) บัญญัติ ให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจในกํารเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่ หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ โดยก�ําหนดให้ “รัฐมีหน้ําที่ต่อประชําชน” เพื่อให้รัฐต้องด�ําเนินกํารในเรื่องที่ก�ําหนดให้แก่ประชําชน “ทุกคน” หรือ “ทุกชุมชน” เป็นกํารทั่วไป โดยที่ประชําชนแต่ละคนหรือแต่ละชุมชน “ไม่ต้องใช้สิทธิร้องขอ” โดยน�ําเรื่องที่มีควํามส�ําคัญมําบัญญัติไว้เท่ํานั้น เพื่อให้มีสภําพบังคับ ให้รัฐต้องท�ําตํามหน้ําที่ ถ้ํารัฐไม่กระท�ําตํามหน้ําที่ ก็จะเป็นกรณีจงใจไม่ปฏิบัติตําม รัฐธรรมนูญ หรือถ้ํากระท�ําหน้ําที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ประชําชนและชุมชนย่อมมีสิทธิติดตําม และเร่งรัดให้รัฐด�ําเนินกําร และฟ้องร้องหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดให้ประชําชน หรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้นได้ (มําตรํา 51) ทั้งนี้ เพื่อบริกํารประชําชนและเพื่อประโยชน์ ในกํารพัฒนําประเทศต่อไป นอกจํากนี้ กํารที่รัฐธรรมนูญได้วํางหลักกํารทั่วไปของหมวด “หน้ําที่ของรัฐ” ให้มีควํามแตกต่ํางจํากหมวด “แนวนโยบํายพื้นฐํานแห่งรัฐ” คือ หมวดหน้ําที่ของรัฐ เป็นบทบัญญัติที่มีสภําพบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติ หํากรัฐไม่ปฏิบัติ ประชําชนอําจมีสิทธิฟ้องร้อง ให้รัฐปฏิบัติได้ หมวดหน้ําที่ของรัฐจึงเป็นเรื่องที่ส�ําคัญและจ�ําเป็นซึ่งรัฐต้องด�ําเนินกําร ให้ครบถ้วนถูกต้อง โดยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ได้บัญญัติ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐไว้ ตั้งแต่มําตรํา 51 ถึง มําตรํา 63 รวม 13 มําตรํา และสํามํารถ ก�ําหนดประเด็นหลักที่ส�ําคัญได้ 12 ด้ําน แบ่งออกเป็น (1) หน้ําที่พื้นฐํานของรัฐ และ (2) หน้ําที่ของรัฐในกํารท�ําให้สิทธิของประชําชนเกิดผลได้จริง เช่น หน้ําที่ของรัฐด้ํานกํารศึกษํา หน้ําที่ของรัฐด้ํานกํารบริกํารสําธํารณสุขขั้นพื้นฐําน หน้ําที่ด้ํานสําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐําน หน้ําที่ด้ํานสิ่งแวดล้อมและศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม หน้ําที่ในกํารเปิดเผยข้อมูล หรือข่ําวสํารสําธํารณะ เป็นต้น โดยผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ร่วมกันพิจํารณําและวํางกรอบ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 128
กํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐไว้ว่ํา ประเด็นปัญหําส�ําคัญ ที่ควรตรวจสอบและศึกษําต้องเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบและสร้ํางควํามเดือดร้อนให้แก่ ประชําชนและสังคมในวงกว้ํางและเป็นเรื่องที่ครอบคลุมบทบัญญัติหน้ําที่ของรัฐ ทั้ง 12 ด้ําน จํากกํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ เพื่อให้กํารจัดท�ํารํายงํานพร้อมข้อเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีทรําบ เพื่อพิจํารณําด�ําเนินกํารต่อไปโดยเร็วนั้น สํามํารถแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนหรือ ควํามไม่เป็นธรรมให้แก่ประชําชนได้ตํามเจตนํารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนตําม มําตรํา 35 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ดังนี้ เรื่องที่ 1 ขยะพลาสติกล้นทะเลไทย ปัญหําขยะพลําสติกในทะเลไทยเป็นเพียงหนึ่งในหลํายปัญหําที่สะท้อนให้เห็นว่ํา หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังขําดกํารจัดกํารขยะอย่ํางถูกต้อง เป็นระบบและมีประสิทธิภําพ อีกทั้งพฤติกรรมกํารใช้พลําสติกอย่ํางฟุ่มเฟือยของคนไทยก็เป็นอีกสําเหตุหนึ่งที่ท�ําให้ ปริมําณขยะทะเลเพิ่มขึ้น ปัญหําดังกล่ําวจึงเป็นเรื่องที่ต้องอําศัยควํามร่วมมือจํากทุกภําคส่วน ในกํารแก้ไข ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 230 (3) ก�ําหนดให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจในกํารเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ และมําตรํา 57 (2) ก�ําหนดให้รัฐต้องอนุรักษ์ คุ้มครอง บ�ํารุงรักษํา ฟื้นฟู บริหําร จัดกําร และใช้หรือจัดให้มีกํารใช้ประโยชน์จํากทรัพยํากรธรรมชําติ สิ่งแวดล้อม และ ควํามหลํากหลํายทํางชีวภําพให้เกิดประโยชน์อย่ํางสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชําชน และชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมด�ําเนินกํารและได้รับประโยชน์จํากกํารด�ําเนินกําร ดังกล่ําวด้วยตํามที่กฎหมํายบัญญัติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 129
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายแล้วเห็นว่ํา สาเหตุของ ปัญหาขยะพลาสติกในทะเลไทยที่ส�าคัญ ได้แก่ (1) ปัญหาการจัดการขยะพลาสติก และ (2) ปัญหาการขาดจิตส�านึกของประชาชน จึงจ�ําเป็นต้องมีกํารบูรณํากํารของทุกภําคส่วน อย่ํางจริงจังและต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นตั้งแต่การจัดการขยะพลาสติกบนบกซึ่งเป็นแหล่ง ที่มาส�าคัญของขยะพลาสติกในทะเล ดังนั้น เพื่อให้กํารด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําขยะพลําสติก ในทะเลไทยเป็นไปอย่ํางมีประสิทธิภําพยิ่งขึ้น สอดคล้องตํามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 จึงเห็นควรที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจะได้อําศัย อ�ํานําจตํามมําตรํา 230 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ประกอบมําตรํา 22 (3) และมําตรํา 35 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอรํายงํานกํารแสวงหําข้อเท็จจริงกรณีที่หน่วยงําน ของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ พร้อมข้อเสนอแนะ เรื่อง ขยะพลําสติกในทะเลไทย ต่อคณะรัฐมนตรี โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. เสนอให้มีกํารน�ําระบบมัดจ�ําค่ําขวดพลําสติกมําใช้ กํารมัดจ�ําค่ําขวดพลําสติก เป็นอีกมําตรกํารหนึ่งที่ต่ํางประเทศใช้เพื่อกระตุ้น ให้ผู้บริโภคน�ําขวดพลําสติกมําคืน และน�ําขวดที่รวบรวมได้ไปรีไซเคิลต่อไป เช่น ประเทศ เดนมําร์ก และสหพันธ์สําธํารณรัฐเยอรมนี เป็นต้น โดยสหพันธ์สําธํารณรัฐเยอรมนีจะมีกําร ท�ําเครื่องหมํายหรือสัญลักษณ์บนขวดเพื่อแสดงว่ําผู้บริโภคสํามํารถน�ําขวดดังกล่ําว มําแลกเงินมัดจ�ําคืนได้ที่เครื่องรับคืนขวด หรือร้ํานขํายของช�ําที่ได้ซื้อสินค้ํานั้นมํา ทั้งนี้ รําคําสินค้ําได้รวมค่ํามัดจ�ําขวดอยู่ด้วย มําตรกํารนี้เป็นอีกมําตรกํารหนึ่งที่ประเทศไทยควร ศึกษําถึงกระบวนกํารและนวัตกรรมเครื่องรับคืนขวดเพื่อน�ํามําปรับใช้ต่อไป 2. เสนอให้มีกํารส่งเสริม สนับสนุนกํารออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐควรสนับสนุนกํารใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอําจใช้ เครื่องมือทํางเศรษฐศําสตร์ เช่น กํารหักลดหย่อนภําษี กํารยกเว้นกํารจัดเก็บภําษี กํารให้ กู้เงินในอัตรําดอกเบี้ยต�่ํากว่ําปกติ กํารให้สินเชื่อที่มีเงื่อนไขพิเศษส�ําหรับผู้ประกอบกําร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 130
ที่มีกํารออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้กํารใช้วัสดุ ทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแพร่หลํายมํากขึ้นและมีรําคําถูกลง 3. เสนอให้มีกํารส่งเสริม สนับสนุนกํารด�ําเนินธุรกิจและกํารพัฒนําเทคโนโลยี นวัตกรรมในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในปัจจุบันทรัพยํากรทุกอย่ํางที่เข้ําสู่ระบบเศรษฐกิจโลกสํามํารถหมุนเวียน เอํามําใช้ใหม่ได้จริงเพียงร้อยละ 9 เท่ํานั้น ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 91 เป็นของเสีย ดังนั้น ภําครัฐควรมีมําตรกํารส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบกํารที่ด�ําเนินธุรกิจในรูปแบบ Circular Economy เช่น กํารลดหย่อนภําษี กํารสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนําเทคโนโลยี เป็นต้น 4. เสนอให้มีกํารออกกฎหมํายก�ําหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบในกํารรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่ตนผลิต ตัวอย่ํางของประเทศญี่ปุ่น และสหพันธ์สําธํารณรัฐเยอรมนีที่มีกฎหมําย ก�ําหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบกํารรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ตนผลิต โดยอําจเก็บรวบรวมและ รีไซเคิลขยะบรรจุภัณฑ์ดังกล่ําวเอง หรือจ่ํายค่ําธรรมเนียมให้กับองค์กรที่ด�ําเนินกํารแทน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกํารน�ําบรรจุภัณฑ์กลับมําใช้ใหม่ และเป็นแรงจูงใจให้บรรดํา ผู้ผลิตลดกํารใช้วัสดุที่เป็นบรรจุภัณฑ์ให้น้อยชิ้นลงที่สุด หํากประเทศไทยมีกํารออกกฎหมําย ดังกล่ําวอําจมีส่วนช่วยแก้ปัญหํากํารเก็บ ขน และก�ําจัดขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีกํารจัดเก็บค่ําธรรมเนียมกํารจัดกํารขยะได้ไม่คุ้มต้นทุน ซึ่งอําจส่งผลต่อประสิทธิภําพ กํารด�ําเนินงําน 5. เสนอให้มีกํารออกกฎหมํายก�ําหนดให้ประชําชนในฐํานะผู้ท�ําให้เกิดขยะ มีหน้ําที่ในกํารคัดแยกขยะ กํารออกกฎหมํายก�ําหนดให้ประชําชนในฐํานะผู้ท�ําให้เกิดขยะมีหน้ําที่ในกําร คัดแยกขยะ อําจมีส่วนช่วยในกํารแก้ปัญหําดังกล่ําวควบคู่กับกํารรณรงค์สร้ํางจิตส�ํานึก ดังเช่นตัวอย่ํางของประเทศญี่ปุ่น มีกฎหมํายก�ําหนดให้ผู้บริโภคต้องแยกขยะที่จะต้อง ก�ําจัดทิ้งด้วยวิธีอื่นออกจํากขยะที่สํามํารถรีไซเคิลได้ และต้องร่วมมือกับรัฐบําลกลํางและ ท้องถิ่นในกํารจัดกํารขยะอย่ํางเหมําะสม ผู้ตรวจการแผ่นดิน 131
- เสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนํากํารด�ําเนินงํานในกํารเก็บ ขน และก�ําจัดขยะ ให้เป็นระบบ มีประสิทธิภําพ และครอบคลุมทั่วถึงเขตพื้นที่รับผิดชอบ ของตน โดยเฉพําะ “ทํางน�้ํา” ในเขตพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพัฒนํากํารด�ําเนินงํานในกํารเก็บ ขน และ ก�ําจัดขยะ ให้เป็นระบบและมีประสิทธิภําพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่ําง เมืองบอนน์ ของสหพันธ์ สําธํารณรัฐเยอรมนี จะมีกํารออกตํารํางกํารจัดเก็บขยะแยกตํามประเภทขยะแจกจ่ําย ไปยังทุกครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนต้องเตรียมประเภทขยะไว้ให้ตรงตํามตํารําง หรือ เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกํา มีกํารแยกถังขยะตํามประเภทขยะ และคิดรําคํา ค่ําเก็บขยะตํามประเภทขยะและขนําดถัง เป็นต้น นอกจํากนี้ควรมีกํารด�ําเนินกําร ให้ครอบคลุมทั่วถึงเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน โดยเฉพําะ “ทํางน�้ํา” ในเขตพื้นที่ เนื่องจําก หํากมีกํารจัดเก็บ ก�ําจัดขยะในแม่น�้ํา ล�ําคลอง ตลอดจนท่อระบํายน�้ําที่มีประสิทธิภําพแล้ว จะส่งผลให้ปริมําณขยะโดยเฉพําะขยะพลําสติกที่จะไหลลงสู่ทะเลลดน้อยลงด้วย 7. เสนอให้มีกํารส่งเสริม สนับสนุนกํารพัฒนําเทคโนโลยีกํารผลิตไฟฟ้ําจํากขยะ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อชุมชนรอบข้ําง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลํายพื้นที่ประสบปัญหําพื้นที่ในกํารท�ํา หลุมฝังกลบขยะ (Landfill) ไม่เพียงพอ กํารเผําขยะเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงําน (waste-to- energy) จึงเป็นอีกทํางเลือกหนึ่งในกํารก�ําจัดขยะ โดยกํารน�ําแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มําใช้ ดังตัวอย่ํางประเทศสวีเดนที่พลังงํานที่ได้จํากกํารเผําขยะ สํามํารถน�ําไปผลิตไฟฟ้ําใช้ภํายในประเทศถึง 810,000 ครัวเรือน อย่ํางไรก็ตําม รัฐควร มีกํารส่งเสริม สนับสนุนกํารพัฒนําเทคโนโลยีเพื่อให้กํารผลิตไฟฟ้ําจํากขยะนั้นเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อชุมชนรอบข้ํางโรงไฟฟ้ํามํากที่สุด 8. เสนอให้มีกํารจัดสรรงบประมําณเพื่อจัดให้มีเรือเก็บขยะเพียงพอส�ําหรับ กํารปฏิบัติงํานในจังหวัดชํายฝั่งทะเล และส่งเสริม สนับสนุนกํารพัฒนําเทคโนโลยีในกําร จัดเก็บขยะในน�้ําเพื่อให้เรือเก็บขยะสํามํารถปฏิบัติงํานได้ทั้งในแม่น�้ํา ล�ําคลอง และทะเล อย่ํางมีประสิทธิภําพ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 132
รัฐควรจัดสรรงบประมําณเพื่อจัดให้มีเรือเก็บขยะเพียงพอส�ําหรับกํารปฏิบัติงําน ในพื้นที่ 24 จังหวัดชํายฝั่งทะเล ตลอดจนส่งเสริม สนับสนุนกํารพัฒนําก�ําลังเครื่องยนต์ ของเรือ รูปแบบของเรือ กํารเพิ่มเครนยก หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จ�ําเป็นเพื่อให้เรือเก็บขยะ สํามํารถปฏิบัติงํานได้ทั้งในแม่น�้ํา ล�ําคลอง และทะเล อย่ํางมีประสิทธิภําพ 9. เสนอให้หน่วยงํานของรัฐบูรณํากํารกํารจัดกํารขยะพลําสติกกับองค์กร ภําคเอกชนและประชําชน ตลอดจนรณรงค์ ประชําสัมพันธ์เพื่อสร้ํางจิตส�ํานึกในกํารลด กํารใช้พลําสติกและกํารคัดแยกขยะอย่ํางถูกวิธี นอกจํากเทคโนโลยีที่ทันสมัย และกํารบังคับใช้กฎหมํายอย่ํางเคร่งครัดแล้ว ควํามร่วมมือของทุกภําคส่วน ไม่ว่ําจะเป็นภําครัฐ ภําคเอกชน หรือประชําชน ในกํารจัดกําร ขยะที่มีควํามเป็นเอกภําพ อย่ํางจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่กับกํารรณรงค์ ประชําสัมพันธ์ สร้ํางจิตส�ํานึกให้ประชําชนเห็นควํามส�ําคัญของกํารลดกํารใช้พลําสติก กํารคัดแยกขยะ อย่ํางถูกวิธี และกํารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยที่ส�ําคัญ ที่จะส่งผลให้กํารแก้ไขปัญหําขยะพลําสติกในทะเลไทยประสบควํามส�ําเร็จอย่ํางยั่งยืนต่อไป ภาพปัญหาขยะทางทะเล และการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 133
เรื่องที่ 2 การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 หมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ มําตรํา 54 บัญญัติให้รัฐต้องด�ําเนินกํารให้เด็กทุกคนได้รับกํารศึกษําเป็นเวลํา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบกํารศึกษําภําคบังคับอย่ํางมีคุณภําพโดยไม่เก็บค่ําใช้จ่ําย และรัฐ ต้องด�ําเนินกํารให้เด็กเล็กได้รับกํารดูแลและพัฒนําก่อนเข้ํารับกํารศึกษําดังกล่ําว เพื่อพัฒนํา ร่ํางกําย จิตใจ วินัย อํารมณ์ สังคม และสติปัญญําให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภําคเอกชนเข้ํามํามีส่วนร่วมในกํารด�ําเนินกํารด้วย กํารด�ําเนินกําร ให้เด็กทุกคนได้รับกํารศึกษําเป็นเวลํา 12 ปี อย่ํางมีคุณภําพ ย่อมหมํายรวมถึงกํารจัดให้มี สิ่งจ�ําเป็นใด ๆ เพื่อให้กํารศึกษําลุล่วงไปได้ โดยเฉพําะอย่ํางยิ่งกํารบริหํารจัดกํารให้มีอําหําร กลํางวันระหว่ํางกํารศึกษํา เพื่อให้สอดรับกับบทบัญญัติตํามรัฐธรรมนูญข้ํางต้น ตลอดจน ยุทธศําสตร์ชําติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ด้ํานกํารพัฒนําและเสริมสร้ํางศักยภําพ ทรัพยํากรมนุษย์ ซึ่งก�ําหนดให้กํารพัฒนําและเสริมสร้ํางศักยภําพทรัพยํากรมนุษย์เป็น เป้ําหมํายส�ําคัญให้กํารขับเคลื่อนพัฒนําประเทศไทยเป็นไปอย่ํางมีประสิทธิภําพ ตลอดจน สอดรับกับบทบัญญัติของกฎหมํายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่ําจะเป็นพระรําชบัญญัติงบประมําณ รํายจ่ํายประจ�ําปีที่รองรับเงินอุดหนุนทั่วไปด้ํานกํารศึกษําขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส�ําหรับโครงกํารอําหํารกลํางวันหรือพระรําชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงกํารอําหํารกลํางวัน ในโรงเรียนประถมศึกษํา พ.ศ. 2535 ซึ่งที่ผ่ํานมําพบว่ําภําครัฐได้พยํายํามระดมทรัพยํากร และกํารลงทุนสนับสนุนอําหํารกลํางวันแก่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษําและระดับ ก่อนประถมศึกษํามําอย่ํางต่อเนื่อง โดยมีกระทรวงศึกษําธิกํารและกระทรวงมหําดไทย เป็นหน่วยงํานหลักที่ร่วมกันรับผิดชอบ แต่จํากสภําพกํารณ์ในปัจจุบันยังมีเด็กนักเรียน ในโครงกํารอําหํารกลํางวันทั่วประเทศไทย (มีนําคม 2563) ที่มีภําวะทุพโภชนํากําร เป็นจ�ํานวนถึง 884,670 คน จําก 3,831,367 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 23.08 1 และ ยังคงปรํากฏข้อเท็จจริงจํากข่ําวในสื่อต่ําง ๆ อยู่เป็นระยะเกี่ยวกับกํารด�ําเนินกํารโครงกําร อําหํารกลํางวันเด็กที่ยังเป็นไปได้อย่ํางไม่เต็มประสิทธิภําพเท่ําที่ควร 1 ข้อมูลภําวะทุพโภชนํากําร ณ วันที่ 30 มีนําคม 2563 ตํามรํายงํานภําวะทุพโภชนํากําร ระดับประเทศ จํากเว็บไซต์กองทุนเพื่อ โครงกํารอําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษํา https://www.thaieducation.net/lunchsystem/ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 134
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินตระหนักและเล็งเห็นถึงควํามส�ําคัญของสภําพกํารณ์ดังกล่ําว จึงแสวงหําข้อเท็จจริงกรณีที่หน่วยงํานของรัฐยังไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ซึ่งผลที่ปรํากฏจํากกํารศึกษําวิเครําะห์ข้อมูลตลอดจนกํารประชุมหํารือของ ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ประธํานคณะกรรมกํารกํารศึกษํา ขั้นพื้นฐําน (กพฐ.) ผู้จัดท�ําโปรแกรมระบบแนะน�ําส�ําหรับอําหํารกลํางวันส�ําหรับโรงเรียน แบบอัตโนมัติ (Thai School Lunch) ผู้เชี่ยวชําญด้ํานโภชนํากํารชุมชน รวมทั้งกํารลงพื้นที่ แสวงหําข้อเท็จจริงในภูมิภําคต่ําง ๆ ได้แก่ จังหวัดสุรําษฎร์ธํานี จังหวัดชลบุรี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหําสํารคําม จังหวัดกําฬสินธุ์ จังหวัดสมุทรสงครําม และจังหวัดเชียงรําย พบว่ํา กํารบริหํารจัดกํารโครงกํารอําหํารกลํางวันแก่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษําและระดับ ก่อนประถมศึกษําโดยหน่วยงํานที่รับผิดชอบ ยังไม่สํามํารถด�ําเนินกํารให้บรรลุวัตถุประสงค์ ได้อย่ํางเต็มประสิทธิภําพเท่ําที่ควรเนื่องจํากปัญหําหลํายประกํารที่เป็นอุปสรรคข้อขัดข้อง ส�ําคัญ ดังนี้ 1) กํารเบิกจ่ํายงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีประเภทเงินอุดหนุนส�ําหรับ สนับสนุนโครงกํารอําหํารกลํางวันให้แก่สถํานศึกษําหลํายแห่งทั่วประเทศล่ําช้ําไม่ทันก�ําหนด เปิดภําคกํารศึกษํา ส่งผลกระทบต่อกํารบริหํารจัดกํารอําหํารกลํางวันของโรงเรียน ที่ไม่สํามํารถจัดซื้อจัดจ้ํางได้ทันหรือไม่มีเงินเพียงพอในกํารจัดท�ําอําหํารกลํางวัน จ�ําต้องลด ปริมําณและคุณภําพ ท�ําให้คุณค่ําทํางโภชนํากํารของอําหํารกลํางวันของเด็กนักเรียนลดลง 2) กํารละเลยไม่ด�ําเนินกํารให้มีนักโภชนํากํารชุมชนครบในทุกท้องถิ่น ทั่วประเทศให้สอดรับกับมําตรกํารป้องกันกํารทุจริตงบประมําณค่ําอําหํารกลํางวัน เด็กนักเรียน ซึ่งกระทรวงมหําดไทยโดยกรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นก�ําหนด ท�ําให้ขําด นักโภชนํากํารดูแลคุณค่ําด้ํานโภชนํากํารและแก้ไขปัญหําภําวะทุพโภชนํากํารของ เด็กนักเรียนในหลํายท้องถิ่นทั่วประเทศ 3) ค่ําเฉลี่ยอําหํารกลํางวันในโรงเรียนขยํายโอกําสทํางกํารศึกษําลดลงต�่ํากว่ํา 20 บําท เนื่องจํากงบประมําณโครงกํารอําหํารกลํางวันไม่ครอบคลุมถึงเด็กนักเรียนระดับ มัธยมศึกษําในโรงเรียนขยํายโอกําสทํางกํารศึกษํา (โรงเรียนประถมศึกษําที่จัดกํารศึกษํา ถึงระดับมัธยมศึกษํา) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 135
- กํารน�ําวิธีประกวดรําคําอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตํามพระรําชบัญญัติ กํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุภําครัฐ พ.ศ. 2560 มําใช้บังคับแก่กรณีกํารใช้จ่ําย เงินงบประมําณอุดหนุนอําหํารกลํางวันเด็กนักเรียนที่เกินกว่ํา 500,000 บําท ท�ําให้ ค่ําอําหํารกลํางวันเด็กเฉลี่ยต่อรํายเพิ่มสูงขึ้นจํากกํารบวกก�ําไรเพิ่มของผู้ประมูล ส่งผลให้ ค่ําเฉลี่ยอําหํารกลํางวันเด็กต่อรํายทั้งโรงเรียนมีจ�ํานวนลดลงต�่ํากว่ํา 20 บําท เป็นเหตุให้ คุณภําพของอําหํารกลํางวันลดลงอย่ํางมีนัยส�ําคัญ 5) หลักเกณฑ์และแนวทํางปฏิบัติเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโครงกํารอําหํารกลํางวัน กรณีเงินเหลือจ่ําย ที่กระทรวงกํารคลังและสถํานศึกษําหลํายแห่งยึดถือไม่สอดคล้องกับที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยึดถือ เป็นเหตุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องใช้เวลําพิจํารณํา ในกํารสนับสนุนงบประมําณส�ําหรับเงินอุดหนุนค่ําอําหํารกลํางวันในครําวถัดไป ส่งผลให้ สถํานศึกษําบํางแห่งได้รับเงินจัดสรรโครงกํารอําหํารกลํางวันขําดช่วง กระทบต่อกํารจัดหํา อําหํารกลํางวันเด็กนักเรียนให้มีคุณภําพและปริมําณที่เหมําะสม ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมุ่งหวังที่จะให้เกิดกํารแก้ไขปัญหําที่ส่งผลกระทบต่อกํารบริหําร จัดกํารอําหํารกลํางวันเด็กข้ํางต้นดังกล่ําวอย่ํางยั่งยืน โดยมีกํารประสํานควํามร่วมมือของ หน่วยงํานทุกภําคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นกลไกในกํารบริหํารจัดกําร เพื่อให้เด็กนักเรียนในระดับ ประถมศึกษําและก่อนประถมศึกษําในโรงเรียนได้รับกํารคุ้มครองดูแล มีสุขภําวะที่ดี ในแนวทํางที่สอดคล้องตํามรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 54 และแผนยุทธศําสตร์ชําติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้อําศัย อ�ํานําจตํามรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 230 (3) เสนอรํายงํานกํารแสวงหําข้อเท็จจริงกํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐพร้อมข้อเสนอแนะ เรื่อง กํารบริหํารจัดกํารโครงกํารอําหํารกลํางวันเด็ก ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจํารณํา ดังนี้ กรณีกํารเบิกจ่ํายงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีประเภทเงินอุดหนุนส�ําหรับ สนับสนุนโครงกํารอําหํารกลํางวันให้แก่สถํานศึกษําหลํายแห่งทั่วประเทศล่ําช้ํา เสนอให้มี กํารพัฒนําระบบฐํานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่ํางกระทรวงมหําดไทยกับกระทรวงศึกษําธิกําร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 136
ในกํารเข้ําถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกํารบริหํารจัดกํารอําหํารกลํางวัน และแสดงผล แบบทันที (real time) เช่น เวลํากํารโอนงบประมําณโครงกํารอําหํารกลํางวัน (วันที่ คณะกรรมกํารกํารกระจํายอ�ํานําจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ประชุม รับทรําบกํารจัดสรรงบประมําณและออกประกําศกํารจัดสรรงบประมําณ วันที่ ก.ก.ถ ส่งเรื่องขอจัดสรรงบประมําณอําหํารกลํางวันไปยังกรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่น วันที่ กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นได้รับอนุมัติงบประมําณจํากส�ํานักงบประมําณและ กรมบัญชีกลําง วันที่กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นได้รับเงินงบประมําณ วันที่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินจํากกรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่น และวันที่โรงเรียน ได้รับเงินจํากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องมือประกอบกํารจัดสรร งบประมําณให้ทันก่อนเวลําเปิดภําคเรียน อ�ํานวยควํามสะดวกให้กับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เกิดควํามโปร่งใสและเป็นหนึ่งเดียว และให้กระทรวงกํารคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์แห่งชําติ (NECTEC) ให้กํารสนับสนุน กํารด�ําเนินงํานพัฒนําระบบฐํานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยขอให้ด�ําเนินกํารให้แล้วเสร็จ ภํายใน 360 วัน เสนอให้กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่นออกระเบียบก�ําหนดระยะเวลํา กํารเบิกจ่ํายเงินอุดหนุนส�ําหรับโครงกํารอําหํารกลํางวันให้แก่โรงเรียนภํายใน 7 วันท�ํากําร ภํายหลังจํากที่ได้รับเอกสํารครบถ้วนถูกต้องแล้ว กรณีกํารละเลยไม่ด�ําเนินกํารให้มีนักโภชนํากํารชุมชนครบในทุกท้องถิ่น ทั่วประเทศไทย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดท�ําแผนกรอบอัตรําก�ําลังของท้องถิ่น โดยในเบื้องต้นจัดให้มีนักโภชนํากํารอย่ํางน้อยอ�ําเภอละ 2 คน ในช่วง 2 ปีแรก ในสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) และระยะ ต่อไปเพิ่มเป็นอย่ํางน้อยต�ําบลละ 1 คน ขั้นตอนต่อไปจึงเทียบปริมําณนักโภชนํากําร ตํามจ�ํานวนศูนย์พัฒนําเด็กเล็กและโรงเรียนที่ก�ํากับดูแล ทั้งในสังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและกระทรวงศึกษําธิกําร รวมทั้งโรงเรียนต�ํารวจตระเวนชํายแดนและโรงเรียน พระปริยัติธรรม ทั้งนี้ ให้รํายงํานผลทุก 6 เดือน จนกว่ําจะมีนักโภชนํากํารครบทุกท้องถิ่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 137
กรณีที่ไม่สํามํารถจัดจ้ํางไม่ว่ําด้วยเหตุใดก็ตําม ให้กรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่น จัดท�ําคู่มือและพัฒนําหลักสูตรเพิ่มคุณวุฒิและงบค่ําตอบแทนพิเศษแก่ครูโภชนํากําร ที่รับผิดชอบอําหํารกลํางวัน และพี่เลี้ยงในศูนย์พัฒนําเด็กเล็ก รวมถึงนักวิชํากํารสําธํารณสุข หรือพยําบําลในโรงพยําบําลส่งเสริมสุขภําพต�ําบล (รพ.สต.) ส�ําหรับพื้นที่ที่ยังไม่มี นักโภชนํากํารท้องถิ่น และจัดให้มีกํารพัฒนําอําสําสมัครสําธํารณสุขประจ�ําหมู่บ้ําน (อสม.) รวมทั้งอบรม ฝึกทักษะ คู่มือกํารท�ํางําน ที่สํามํารถเข้ําถึงครอบครัวของนักเรียน ให้กระทรวง สําธํารณสุขก�ําหนดให้นักโภชนํากํารศูนย์อนํามัย และนักโภชนํากํารโรงพยําบําลในพื้นที่ ท�ําหน้ําที่เป็นพี่เลี้ยง โดยมีกํารจัดท�ําแนวทํางปฏิบัติที่เป็นมําตรฐําน มีข้อก�ําหนดที่ค�ํานึงถึง อําหํารท้องถิ่นตํามวัฒนธรรม ให้กระทรวงศึกษําธิกํารและกระทรวงสําธํารณสุขด�ําเนินกําร จัดท�ําแผนก�ําลังคนร่วมกัน (ควํามต้องกํารก�ําลังคน กํารจัดสรรอัตรําก�ําลัง งบประมําณ ด้ํานบุคลํากร) ในกํารผลิตบัณฑิต แผนกํารพัฒนําบุคลํากร และหลักสูตรกํารจัดกํารอําหําร และโภชนํากํารชุมชนแบบครบวงจรเพื่อสุขภําวะของเด็ก โดยกํารสนับสนุนจํากส�ํานักงําน กองทุนสนับสนุนกํารสร้ํางเสริมสุขภําพ ในกํารเป็นตัวกลํางประสํานงํานระหว่ําง กระทรวง มหําดไทย กระทรวงศึกษําธิกําร กระทรวงสําธํารณสุข และมหําวิทยําลัยในพื้นที่ที่มี กํารผลิตบัณฑิตในสําขําคหกรรมศําสตร์ อําหํารและโภชนํากําร เช่น มหําวิทยําลัยรําชภัฏ มหําวิทยําลัยเกษตรศําสตร์ มหําวิทยําลัยอื่น ๆ ในภูมิภําค วิทยําลัยกํารพยําบําลบรมรําชชนนี วิทยําลัยกํารสําธํารณสุข เป็นต้น ให้เสร็จสิ้นภํายใน 10 ปี (แผน 10 ปี ระหว่ําง พ.ศ. 2564 – 2573) เพื่อแก้ไขปัญหํากํารขําดแคลนผู้จบหลักสูตรนักโภชนํากํารในระยะยําว กรณีค่ําเฉลี่ยอําหํารกลํางวันในโรงเรียนขยํายโอกําสทํางกํารศึกษําลดลงต�่ํากว่ํา 20 บําท เนื่องจํากงบประมําณโครงกํารอําหํารกลํางวันไม่ครอบคลุมถึงเด็กนักเรียนระดับ มัธยมศึกษําในโรงเรียนขยํายโอกําสทํางกํารศึกษํา (โรงเรียนประถมศึกษําที่จัดกํารศึกษํา ถึงระดับมัธยมศึกษํา) เสนอให้กระทรวงศึกษําธิกํารประสํานขอควํามร่วมมือจํากคณะกรรมกําร กํารกระจํายอ�ํานําจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) น�ํารํายได้ของ อปท. มําสมทบ ค่ําอําหํารกลํางวันแก่เด็กนักเรียนมัธยมศึกษําในโรงเรียนขยํายโอกําสทํางกํารศึกษําในโอกําส แรกก่อน และให้ทบทวนและตรวจสอบจ�ํานวนเด็กนักเรียนมัธยมศึกษําในโรงเรียน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 138
ขยํายโอกําสทํางกํารศึกษําอีกครั้ง หํากจ�ําเป็นให้พิจํารณําเสนอของบประมําณรํายจ่ําย เพิ่มเติมต่อคณะกรรมําธิกํารวิสํามัญพิจํารณําร่ํางพระรําชบัญญัติงบประมําณรํายจ่ําย ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 หรือในปีนั้น ๆ ตํามขั้นตอนต่อไป เสนอให้กระทรวง ศึกษําธิกํารส่งเสริมให้โรงเรียนเสนอขอรับกํารสนับสนุนงบประมําณกองทุนเพื่อโครงกําร อําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษํา เฉพําะในส่วนที่เป็นดอกผลมําด�ําเนินงําน ของกองทุนเพื่อโครงกํารอําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษําจํากคณะกรรมกํารบริหําร กองทุนเพื่อโครงกํารอําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษํา กระทรวงศึกษําธิกําร ตําม มําตรํา 4 ประกอบมําตรํา 11 (2) แห่งพระรําชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงกํารอําหํารกลํางวัน ในโรงเรียนประถมศึกษํา พ.ศ. 2535 เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนท�ํากํารเกษตรในโรงเรียน เช่น ปลูกข้ําว ปลูกผักผลไม้ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลํา แปรรูป ฯลฯ แล้วน�ําผลผลิตทํางเกษตรมําสมทบ กับค่ําอําหํารกลํางวัน กรณีกํารน�ําวิธีประกวดรําคําอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตํามพระรําชบัญญัติ กํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุภําครัฐ พ.ศ. 2560 มําใช้บังคับแก่กรณีกํารใช้จ่ําย เงินงบประมําณอุดหนุนอําหํารกลํางวันเด็กนักเรียนที่เกินกว่ํา 500,000 บําท เสนอให้ กระทรวงกํารคลังเสนอต่อคณะกรรมกํารนโยบํายกํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุ ภําครัฐ ให้ก�ําหนดข้อเสนอให้กํารจัดซื้อจัดจ้ํางตํามโครงกํารอําหํารกลํางวันแก่เด็กนักเรียน ในระดับประถมศึกษําและเด็กในระดับก่อนประถมศึกษํา ได้รับกํารยกเว้นไม่อยู่ภํายใต้บังคับ ที่จะต้องถือปฏิบัติให้ต้องใช้วิธีประกวดรําคําอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตํามข้อ 31 แห่งระเบียบกระทรวงกํารคลัง ว่ําด้วยกํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุภําครัฐ พ.ศ. 2560 และเมื่อจัดท�ําข้อเสนอดังกล่ําวแล้วให้รํายงํานส�ํานักงํานกํารตรวจเงินแผ่นดินทรําบด้วย และด�ําเนินกํารตรําเป็นพระรําชกฤษฎีกําต่อไป ตํามควํามในมําตรํา 6 และมําตรํา 7 วรรค 3 แห่งพระรําชบัญญัติกํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุภําครัฐ พ.ศ. 2560 กรณีหลักเกณฑ์และแนวทํางปฏิบัติเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโครงกํารอําหํารกลํางวัน กรณีเงินเหลือจ่ํายที่กระทรวงกํารคลังและสถํานศึกษําหลํายแห่งยึดถือไม่สอดคล้องกับ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยึดถือ เสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทรําบถึงปัญหํากรณีหลักเกณฑ์ และแนวทํางปฏิบัติส�ําหรับเงินเหลือจ่ํายโครงกํารอําหํารกลํางวันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 139
และโรงเรียนที่ไม่เป็นไปในแนวทํางเดียวกัน และพิจํารณําหําแนวทํางกํารแก้ไขโดยค�ํานึงถึง ประโยชน์ของเด็กนักเรียนเป็นส�ําคัญ โดยอําจน�ําระเบียบคณะกรรมกํารบริหํารกองทุน เพื่อโครงกํารอําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษําว่ําด้วยกํารรับเงิน กํารจ่ํายเงิน กํารเก็บรักษําเงิน กํารจัดหําผลประโยชน์ของกองทุนตํามกฎหมํายว่ําด้วยกองทุนเพื่อ โครงกําร อําหํารกลํางวันในโรงเรียนประถมศึกษํา พ.ศ. 2536 มําเป็นแนวทํางที่ก�ําหนดให้ ผู้รับผิดชอบ อําหํารกลํางวันสํามํารถยืมเงินสดใช้จ่ํายก่อนล่วงหน้ําได้หนึ่งสัปดําห์ อันเป็น กํารก�ําหนดไว้ได้อย่ํางเหมําะสมแล้ว ภาพการลงพื้นที่และร่วมประชุมกับหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 140
เรื่องที่ 3 กรณีกระทรวงพลังงานก�าหนดนโยบายและแผนพัฒนาก�าลังการผลิตไฟฟ้าโดยลด สัดส่วนก�าลังการผลิตไฟฟ้าของรัฐ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานลงต�่ากว่าร้อยละ 51 รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ได้บัญญัติให้รัฐมีหน้ําที่ต้องด�ําเนินกํารเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชําชน และยังให้สิทธิ ประชําชนและชุมชนในกํารติดตํามและเร่งรัดให้รัฐด�ําเนินกําร รวมทั้งมีสิทธิฟ้องร้องหน่วยงําน ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ประชําชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้นด้วย ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ และวิธีกํารที่ประชําชนหรือชุมชนฟ้องหน่วยงํานของรัฐเพื่อให้ได้รับประโยชน์ตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ได้บัญญัติไว้ในพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย วิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 45 โดยบัญญัติให้บุคคลหรือชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจํากกํารท�ําหน้ําที่ของรัฐตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ และได้รับควํามเสียหํายจํากกํารไม่ปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐ หรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง ครบถ้วน หรือล่ําช้ําเกินสมควร มีสิทธิยื่นค�ําร้องให้ศําลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ตํามหลักเกณฑ์ และวิธีกํารที่ก�ําหนด ผู้ร้องเรียนได้ยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแสวงหําข้อเท็จจริง กรณีกระทรวง พลังงําน ก�ําหนดนโยบํายและแผนพัฒนําก�ําลังกํารผลิตไฟฟ้ํา โดยลดสัดส่วนก�ําลังกํารผลิต ไฟฟ้ําของรัฐซึ่งเป็นสําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐํานลงต�่ํากว่ําร้อยละ 51 และให้เอกชนเข้ํามํามีบทบําท ในกํารผลิตไฟฟ้ํามํากขึ้น อันเป็นกํารปฏิบัติหน้ําที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนตํามรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ มําตรํา 56 วรรคสอง โดยระบุด้วยว่ําผู้ร้องเรียนประสงค์จะใช้สิทธิในกํารยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญ จึงได้ ยื่นเรื่องร้องเรียนนี้ต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินตํามมําตรํา 45 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 141
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้ว มีควํามเห็น สรุปว่ํา กรณีร้องเรียนกระทรวงพลังงําน หน่วยงํานของรัฐในก�ํากับของกระทรวงพลังงําน ส�ํานักงํานนโยบํายและแผนพลังงําน (สนพ.) คณะกรรมกํารก�ํากับกิจกํารพลังงําน (กกพ.) และเจ้ําหน้ําที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันก�ําหนดยุทธศําสตร์กระทรวงพลังงําน และ แผนพัฒนําก�ําลังผลิตไฟฟ้ําของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 (PDP 2018) ในกําร ลดก�ําลังกํารผลิตของกํารไฟฟ้ําฝ่ํายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้บริษัทเอกชน เข้ํามํามีบทบําทในกํารผลิตไฟฟ้ํามํากขึ้นจนท�ําให้สัดส่วนกํารผลิตไฟฟ้ําของรัฐมีน้อยกว่ํา ร้อยละห้ําสิบเอ็ด อันเป็นกระท�ําที่ฝ่ําฝืนต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 56 วรรคสอง ท�ําให้ผู้ร้องเรียนได้รับผลกระทบจํากกํารใช้ไฟฟ้ํา ในรําคําที่แพงขึ้นและไม่เป็นธรรมนั้น มีประเด็นและข้อพิจํารณําสรุปได้ว่ํา กํารก�ําหนด นโยบํายและแผนกํารผลิตไฟฟ้ําของกระทรวงพลังงําน ซึ่งมีผลต่อควํามมั่นคงด้ํานพลังงําน ไฟฟ้ํา รวมถึงโครงสร้ํางหรือโครงข่ํายขั้นพื้นฐํานของกิจกํารพลังงํานไฟฟ้ําดังกล่ําวเป็นกิจกําร สําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐํานอันจ�ําเป็นต่อกํารด�ํารงชีวิตของประชําชนหรือเพื่อควํามมั่นคงของรัฐ ซึ่งเป็นหน้ําที่ของรัฐที่ต้องจัดหรือด�ําเนินกํารให้มีกิจกํารสําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐํานดังกล่ําว ตํามรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ มําตรํา 56 ประกอบกับเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ํา ปัจจุบันรัฐได้ส่งเสริมให้ภําคเอกชนเข้ํามํามีสัดส่วน ในกํารผลิตไฟฟ้ํามํากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนก�ําลังกํารผลิตของรัฐ ซึ่งด�ําเนินกํารโดย กํารไฟฟ้ําฝ่ํายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีเพียงร้อยละ 34.70 และมีแนวโน้มจะลดลง เรื่อย ๆ และท�ําให้ภําคเอกชนเข้ํามํามีสัดส่วนในกํารผลิตไฟฟ้ํามํากกว่ําครึ่งหนึ่งของระบบ กํารผลิตไฟฟ้ําทั้งหมด อันเป็นผลสืบเนื่องมําจํากยุทธศําสตร์กระทรวงพลังงํานและแผนพัฒนํา ก�ําลังผลิตไฟฟ้ําของประเทศดังกล่ําวข้ํางต้น นอกจํากนี้ รัฐยังได้เปิดให้ภําคเอกชนเข้ํามํา ประมูลเพื่อผลิตไฟฟ้ําล่วงหน้ําเป็นจ�ํานวนมําก ย่อมมีควํามเสี่ยงและกระทบต่อสัดส่วน กํารผลิตของรัฐในอนําคตที่จะน้อยลงกว่ําเดิมอีกด้วย ทั้งนี้ กํารพิจํารณําว่ํารัฐต้องเป็นเจ้ําของ ไม่น้อยกว่ําร้อยละห้ําสิบเอ็ดตํามที่รัฐธรรมนูญก�ําหนดไว้นั้น จะต้องพิจํารณําแต่ละส่วนแยกกัน กล่ําวคือ “ระบบกํารผลิต” “ระบบกํารส่ง” และ “ระบบกํารจ�ําหน่ําย” รัฐจะต้องเป็น เจ้ําของแต่ละส่วนไม่น้อยกว่ําร้อยละห้ําสิบเอ็ด มิใช่น�ําเอําทั้งสํามส่วนมํารวมกันให้เกินกว่ํา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 142
ร้อยละห้ําสิบเอ็ด หรือน�ําเอําสัดส่วนที่ถือหุ้นมํารวมกันแล้วน�ํามําคิดถัวเฉลี่ยให้เกินกว่ํา ร้อยละห้ําสิบเอ็ด เพรําะค�ําว่ํา “รัฐเป็นเจ้ําของ” นั้น รัฐจะต้องมีอ�ํานําจเข้ําไปควบคุมและ บริหํารจัดกํารด้วย ดังนั้น กํารที่รัฐเปิดให้บริษัทเอกชนหรือบริษัทมหําชนจ�ํากัดผลิตไฟฟ้ํา แล้วรัฐซื้อไฟฟ้ําจํากบริษัทดังกล่ําวมําจ�ําหน่ํายให้ประชําชนอีกทอดหนึ่ง จึงถือไม่ได้ว่ํารัฐ เป็นเจ้ําของระบบกํารผลิตไฟฟ้ํา แต่ถือเป็นกรณีที่รัฐได้โอนกรรมสิทธิ์หรืออ�ํานําจในกําร ควบคุมระบบและกระบวนกํารผลิตไฟฟ้ําอันเป็นองค์ประกอบส�ําคัญของโครงสร้ํางกิจกําร สําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐํานให้แก่เอกชน และท�ําให้ภําครัฐไม่สํามํารถมีอ�ํานําจอย่ํางสมบูรณ์ ในกํารบริหํารจัดกํารและควบคุมระบบกํารผลิตไฟฟ้ําของประเทศได้ แม้ว่ํารัฐจะเป็นเจ้ําของ ระบบกํารส่งและระบบกํารจ�ําหน่ํายเกือบทั้งหมดก็ตําม แต่เมื่อรัฐมิได้เป็นเจ้ําของระบบ กํารผลิต ย่อมส่งผลกระทบต่อควํามมั่นคงด้ํานพลังงํานไฟฟ้ําและส่งผลต่อสัดส่วนกํารผลิต ไฟฟ้ําของรัฐให้มีน้อยกว่ําร้อยละห้ําสิบเอ็ด ย่อมขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง รําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 56 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติไว้ว่ํา “…โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ของรัฐอันจ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระท�า ด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือท�าให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ ห้าสิบเอ็ดมิได้…” นอกจํากกํารด�ําเนินกํารของกระทรวงพลังงํานที่ฝ่ําฝืนต่อเจตนํารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังกล่ําวข้ํางต้นจะส่งผลกระทบต่อควํามมั่นคงด้ํานพลังงํานไฟฟ้ําภํายในประเทศแล้ว ยังส่ง ผลกระทบอย่ํางกว้ํางขวํางต่อประชําชนผู้ใช้ไฟฟ้ําทั้งประเทศ เนื่องจํากรัฐไม่อําจคุ้มครอง สิทธิของประชําชนโดยกํารควบคุมรําคําไฟฟ้ําได้จริง หํากแต่จะต้องซื้อไฟฟ้ําจํากเอกชน ในรําคําสูงตํามที่ตกลงไว้ในสัญญํา ทั้งที่มีกํารน�ําเทคโนโลยีสมัยใหม่มําใช้ท�ําให้ต้นทุน กํารผลิตกระแสไฟฟ้ําถูกลงเรื่อย ๆ แต่รัฐยังคงต้องรับซื้อไฟฟ้ําจํากภําคเอกชนในรําคําและ ปริมําณคงที่ตํามเดิมที่ก�ําหนดไว้ในสัญญํา โดยที่ปริมําณกํารใช้ไฟฟ้ําของประชําชนในแต่ละเดือน มีมํากน้อยแตกต่ํางกันไป กรณีจึงส่งผลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในกํารคิดค�ํานวณค่ําไฟฟ้ํา ที่สูงเกินจริงและไม่เป็นธรรมกับประชําชนผู้ใช้ไฟฟ้ํา เนื่องจํากรัฐได้น�ําต้นทุนรําคําและ ปริมําณกํารผลิตไฟฟ้ําไปผูกมัดไว้กับสัญญําเอกชน แล้วน�ํามําคิดค�ํานวณค่ําไฟฟ้ําต่อหน่วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 143
ที่เรียกเก็บจํากประชําชนผู้ใช้ไฟฟ้ํา รัฐมิได้คิดค�ํานวณจํากต้นทุนกํารผลิตและปริมําณ กํารใช้ไฟฟ้ําที่แท้จริง ย่อมท�ําให้ผู้ร้องเรียนและประชําชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้ําทั้งประเทศได้รับ ผลกระทบจํากกํารใช้ไฟฟ้ําในรําคําที่สูงเกินจริงจํากต้นทุนและปริมําณกํารผลิตและ ต้องรับภําระจ่ํายรําคําที่สูงขึ้นโดยไม่เป็นธรรม ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรํากฏว่ําผู้ร้องเรียนและประชําชนได้รับควํามเดือดร้อน เสียหํายจํากกํารปฏิบัติหน้ําที่ของหน่วยงํานของที่รัฐที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย โดยได้รับผลกระทบจําก กํารใช้ไฟฟ้ําในรําคําที่สูงเกินจริงจํากต้นทุนและปริมําณกํารผลิต และอําจสูญเสีย ผลประโยชน์โดยต้องแบกรับภําระจ่ํายค่ําไฟฟ้ําในรําคําที่สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเรียน ซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจํากกํารท�ําหน้ําที่ของรัฐตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ได้รับควํามเสียหํายจํากกํารไม่ปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐ หรือกํารปฏิบัติหน้ําที่ ไม่ถูกต้องครบถ้วนหรือล่ําช้ําเกินสมควร ตํามมําตรํา 45 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และเป็นกํารใช้สิทธิขั้นพื้นฐําน ของ ประชําชนในกํารติดตําม เร่งรัด ตลอดจนฟ้องร้องให้หน่วยงํานของรัฐปฏิบัติหน้ําที่ตํามหลักเกณฑ์ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ซึ่งผู้ร้องเรียนได้ด�ําเนินกํารตํามขั้นตอน ในมําตรํา 45 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 แล้ว แต่ปัจจุบันหน่วยงํานดังกล่ําวยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ กรณีจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจํารณําและเสนอควํามเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ทรําบเพื่อพิจํารณําสั่งกํารตํามที่เห็นสมควรต่อไป ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงอําศัยอ�ํานําจ ตํามมําตรํา 22 (4) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ประกอบมําตรํา 45 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธี พิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจํารณําสั่งกําร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 144
ต่อมําส�ํานักเลขําธิกํารนํายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งมํายังส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินสรุปว่ํา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษําแล้วมีมติมอบหมํายให้กระทรวงพลังงําน เป็นเจ้ําภําพจัดกํารประชุมร่วมกับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กระทรวงกํารคลัง กระทรวง มหําดไทย ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารกฤษฎีกํา ส�ํานักงํานสภําพัฒนํากํารเศรษฐกิจและสังคม แห่งชําติ ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารก�ํากับกิจกํารพลังงําน และหน่วยงํานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ถูกต้อง ตรงกัน และรํายงํานผลให้คณะรัฐมนตรีทรําบด้วย อย่ํางไรก็ดี หํากคณะรัฐมนตรีพิจํารณําควํามเห็นผู้ตรวจกํารแผ่นดินและ มีข้อสั่งกํารเป็นประกํารใดแล้ว ผู้ร้องเรียนยังเห็นว่ําข้อสั่งกํารดังกล่ําวมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วนตํามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ผู้ร้องเรียนอําจยื่นค�ําร้องขอให้ ศําลรัฐธรรมนูญพิจํารณําวินิจฉัยได้ภํายใน 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งค�ําสั่งหรือข้อสั่งกําร คณะรัฐมนตรี ตํามมําตรํา 45 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณํา ของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 145
2.4 ผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่เป็นปัญหาความเดือดร้อน เร่งด่วน การด�าเนินการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค เรื่องที่ 1 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ด�าเนินการแก้ไขปัญหาน�้าประปาไม่ไหลและไม่ด�าเนินการ ซ่อมแซมท่อประปาที่ช�ารุด ท�าให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา น�้ําประปําที่บ้ํานของผู้ร้องเรียนไม่ไหลเป็นระยะเวลํา ประมําณ 1 เดือน ผู้ร้องเรียนได้แจ้งไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องให้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําแล้ว ซึ่งได้รับแจ้งจํากเจ้ําหน้ําที่ว่ํา ท่อประปําในบริเวณดังกล่ําวตันจะต้องด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํา โดยกํารเปลี่ยนท่อใหม่ แต่ระยะเวลําล่วงเลยมําหลํายอําทิตย์แล้ว ไม่ปรํากฏว่ําหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารเปลี่ยนท่อตํามที่ได้แจ้งไว้กับผู้ร้องเรียนแต่อย่ํางใด นอกจํากนี้ บริเวณหมู่บ้ํานยังพบว่ํา มีท่อประปําที่ช�ํารุดท�ําให้น�้ําเจิ่งนองในบริเวณดังกล่ําว ซึ่งได้มี กํารแจ้งให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องด�ําเนินกํารซ่อมแซมแล้ว แต่ไม่ปรํากฏว่ําหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ได้ด�ําเนินกํารซ่อมแซมท่อประปําที่ช�ํารุดแต่อย่ํางใด ท�ําให้ประชําชนที่อําศัยอยู่ในบริเวณ ดังกล่ําวได้รับควํามเดือดร้อน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายข้ํางต้นแล้วเห็นว่ํา กรณี ตํามค�ําร้องเรียนเป็นกํารร้องเรียนหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องไม่ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําน�้ําประปํา ไม่ไหลและไม่ด�ําเนินกํารซ่อมแซมท่อประปําที่ช�ํารุด ท�ําให้ประชําชนที่อําศัยอยู่ในบริเวณ ดังกล่ําวได้รับควํามเดือดร้อน โดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประสํานไปยังหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอทรําบข้อเท็จจริง และขอควํามอนุเครําะห์ให้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํา ดังกล่ําว ซึ่งต่อมําหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําน�้ําประปําไม่ไหลโดยกําร เปลี่ยนท่อประปําใหม่แทนท่อประปําเดิมที่อุดตัน และได้น�ํารถบรรทุกน�้ําแจกจ่ํายให้กับ ประชําชนในพื้นที่เพื่อใช้ส�ําหรับกํารอุปโภคบริโภคด้วย พร้อมทั้งได้ด�ําเนินกํารซ่อมแซม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 146
ท่อประปําที่ช�ํารุดแล้ว ดังนั้น กรณีดังกล่ําว จึงเป็ นกรณีที่ผู้ ร้ องเรียนได้ รับกํารแก้ ไข ควํามเดือดร้อนอย่ํางเหมําะสมแล้วตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อําศัย เหตุดังกล่ําวข้ํางต้น จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียน ในเรื่องนี้ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัย ให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 2 วัน เรื่องที่ 2 กรณีผู้ใหญ่บ้านละเลยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ซ่อมแซมหรือแก้ไขท่อน�้าประปาที่ช�ารุดท�าให้ ประชาชนที่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา หมู่บ้ํานแห่งหนึ่งได้มีกํารวํางท่อส่งน�้ําประปําไว้แล้ว แต่ผู้ใหญ่บ้ําน ไม่จ่ํายน�้ําประปําให้ประชําชนที่อําศัยในพื้นที่ มําเป็นเวลํา 2 ปีกว่ํา โดยอ้ํางว่ําท่อน�้ําประปําแตก ซึ่งได้มีกํารซ่อมแซม หรือแก้ไขหลํายครั้ง แต่ก็ไม่จ่ํายน�้ําประปําให้ประชําชนในพื้นที่ได้ใช้ ซึ่งช่วงหน้ําแล้งประชําชนในพื้นที่หลํายครัวเรือนได้รับควํามเดือดร้อนมํากเนื่องจํากมีอําชีพ เลี้ยงวัวนมต้องใช้น�้ําเป็นจ�ํานวนมําก ต้องเดินทํางไปสูบน�้ําที่อ่ํางเก็บน�้ํา ซึ่งห่ํางจํากตัวหมู่บ้ําน ประมําณ 5 กิโลเมตร เพื่อน�ํามําไว้ใช้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องดังกล่ําวเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับควํามเดือดร้อน เนื่องจํากผู้ใหญ่บ้ํานละเลย กํารปฏิบัติหน้ําที่ ไม่ซ่อมแซมหรือแก้ไขท่อน�้ําประปําที่ช�ํารุด ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงได้ประสํานไปยังผู้ใหญ่บ้ํานเพื่อแก้ไขปัญหําเร่งด่วนให้กับผู้ร้องเรียนและประชําชนที่อําศัย ในพื้นที่โดยเร็ว ซึ่งต่อมําผู้ใหญ่บ้ํานได้ซ่อมแซมท่อน�้ําประปําท�ําให้ประชําชนในพื้นที่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 147
มีน�้ําประปําใช้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้วตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ.2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน แจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 2 วัน เรื่องที่ 3 กรณีขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ด�าเนินการ แก้ไขปัญหาน�้าประปาไม่ไหลมากว่า 2 วัน ซึ่งท�าให้ผู้ร้องเรียนและพี่สาวได้รับความเดือดร้อน ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา บ้ํานของผู้ร้องเรียนซึ่งอําศัยอยู่กับพี่สําว น�้ําประปําไม่ไหล มํากกว่ํา 2 วันแล้ว ซึ่งผู้ร้องเรียนได้ติดต่อไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีผู้รับสําย จึงขอให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินประสํานงํานเพื่อแก้ไขปัญหําดังกล่ําวให้ด้วย เนื่องจํากได้รับ ควํามเดือดร้อนเป็นอย่ํางมําก ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนดังกล่ําวเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเรียนขอให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินประสํานไปยังหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําน�้ําประปําไม่ไหลมํากกว่ํา 2 วัน ซึ่งท�ําให้ผู้ร้องเรียน และพี่สําวได้รับควํามเดือดร้อน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ประสํานไปยังหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอควํามร่วมมือในกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําวโดยเร็ว ต่อมําหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําว และบ้ํานของผู้ร้องเรียนน�้ําประปําไหลแล้ว ซึ่งผู้ร้องเรียน พึงพอใจ ดังนั้น กรณีนี้จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรม อย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัย ให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 1 วัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 148
การด�าเนินการด้านอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน เรื่องที่ 4 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ด�าเนินการซ่อมแซมพื้นผิวจราจรในบริเวณที่ผู้ร้องเรียน แจ้งขอให้ด�าเนินการ ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา ผู้ร้องเรียนได้แจ้งให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องด�ําเนินกํารซ่อมแซม พื้นผิวจรําจรซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อบริเวณปํากซอยเคหะร่มเกล้ํา แต่หน่วยงํานผู้ถูกร้องเรียน ยังไม่ด�ําเนินกํารซ่อมแซมพื้นผิวจรําจรตํามที่ผู้ร้องเรียนได้แจ้งดังกล่ําว ผู้ ตรวจกํารแผ่ นดินได้ พิจํารณํา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนดังกล่ําว เป็นกรณีหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องไม่ด�ําเนินกํารซ่อมแซมพื้นผิวจรําจร ในบริเวณที่ผู้ร้องเรียนแจ้งขอให้ด�ําเนินกําร ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ประสํานงําน กับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้แก้ไขปัญหํา ดังกล่ําวโดยเร็ว ซึ่งหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารซ่อมแซมพื้นผิวจรําจรในบริเวณ ที่ผู้ร้องเรียนประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหําพื้นผิวจรําจรที่เป็นหลุมเป็นบ่อให้แก่ผู้ร้องเรียนแล้ว ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนอย่ํางเหมําะสมแล้วตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 3 วัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 149
เรื่องที่ 5 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยไม่ด�าเนินการจัดการขยะที่มีเป็นจ�านวนมากในบริเวณ บ่อสูบน�้าอโศก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของน�้าท่วมขังบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่และถนนอโศกมนตรี ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องละเลยไม่ด�ําเนินกํารจัดกํารขยะที่มี เป็นจ�ํานวนมํากในบริเวณท่อสูบน�้ําอโศก ซึ่งอําจเป็นสําเหตุของน�้ําท่วมขังบนถนนเพชรบุรี ตัดใหม่และถนนอโศกมนตรี ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนดังกล่ําว เป็นกรณีที่หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องละเลยไม่ด�ําเนินกํารจัดกํารขยะ ที่มีเป็นจ�ํานวนมํากในบริเวณบ่อสูบน�้ําอโศก ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ประสําน ไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดให้ด�ําเนินกํารโดยเร็ว ซึ่งได้รับกํารชี้แจงว่ํา ขยะดังกล่ําว เป็นขยะเปียกที่ถูกพักทิ้งไว้เพื่อให้แห้ง เมื่อขยะแห้งแล้วจึงจะน�ําไปด�ําเนินกํารทิ้งต่อไป เนื่องจํากหํากน�ําขยะเปียกขึ้นมําแล้วน�ําไปทิ้งเลย ขยะจะมีกลิ่นเหม็นมําก อย่ํางไรก็ดี ขณะนี้ ได้มีกํารเก็บขยะดังกล่ําวให้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ทรําบ ต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 1 วัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 150
การด�าเนินการด้านอื่น ๆ เรื่องที่ 6 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด�าเนินการโอนเงินกองทุนบ�าเหน็จบ�านาญข้าราชการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ร้องเรียนล่าช้า เป็นเหตุให้ ผู้ร้องเรียนได้รับความเดือดร้อน ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา ผู้ร้องเรียนเป็นข้ํารําชกํารได้เกษียณก่อนก�ําหนด ขณะนี้ ยังไม่ได้รับเงินบ�ําเหน็จบ�ํานําญ ซึ่งผู้ร้องเรียนได้ไปติดต่อหน่วยงํานต้นสังกัดแล้วทรําบว่ํา จังหวัดได้ส่งรํายงํานกํารขออนุมัติเงินดังกล่ําวไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้ร้องเรียน จึงได้โทรศัพท์ไปติดตํามเรื่องที่หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ได้รับแจ้งว่ํา ได้รับหนังสือเมื่อไม่นําน มํานี้ และขอให้ผู้ร้องเรียนรอกํารด�ําเนินกํารไปตํามระบบ ซึ่งคําดว่ําภํายในเดือนเมษํายน 2564 จะมีกํารโอนเงินดังกล่ําวให้ได้ ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่ําล่ําช้ํา เป็นเหตุให้ผู้ร้องเรียน ได้รับควํามเดือดร้อน เนื่องจํากต้องน�ําเงินส่งบุตรเรียนหนังสือที่กรุงเทพมหํานคร จึงขอให้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินด�ําเนินกํารประสํานงํานเร่งรัดกํารโอนเงินดังกล่ําวด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนดังกล่ําวเป็นกรณีที่หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องด�ําเนินกํารโอนเงินกองทุนบ�ําเหน็จ บ�ํานําญข้ํารําชกํารประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ไปยังหน่วยงํานต้นสังกัด ของผู้ร้องเรียนล่ําช้ํา เป็นเหตุให้ผู้ร้องเรียนได้รับควํามเดือดร้อน ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงได้ประสํานไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดให้ด�ําเนินกํารโดยเร็ว ซึ่งต่อมําได้มีกําร ด�ําเนินกํารโอนเงินดังกล่ําวให้แก่หน่วยงํานต้นสังกัดของผู้ร้องเรียนแล้ว และต่อมําผู้ร้องเรียน แจ้งว่ําได้รับเงินดังกล่ําวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 2 วัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 151
เรื่องที่ 7 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่จัดส่งใบเสร็จการช�าระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจ�าปี พ.ศ. 2563 ให้กับผู้ร้องเรียน แต่ให้ผู้ร้องเรียนไปรับใบเสร็จดังกล่าว ณ ส�านักงานของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นภาระกับผู้ร้องเรียนเป็นอย่างมาก ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องเรียนช�ําระภําษี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้ํางประจ�ําปี พ.ศ. 2563 และผู้ร้องเรียนได้ช�ําระภําษีดังกล่ําวผ่ําน ธนําคํารกรุงไทย ปรํากฏว่ําหน่วยงํานดังกล่ําวไม่จัดส่งใบเสร็จกํารช�ําระภําษีดังกล่ําวมํายัง ที่อยู่ของผู้ร้องเรียนตํามที่ได้มีหนังสือแจ้งให้ช�ําระภําษีแต่อย่ํางใด จึงได้ร้องเรียนไปยัง หน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง แต่ได้รับแจ้งว่ํา ให้ผู้ร้องเรียนไปรับเอกสําร ณ ส�ํานักงํานของหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่ําเป็นภําระแก่ประชําชนอย่ํางมําก จึงยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้พิจํารณําสอบสวนและแสวงหําข้อเท็จจริงตํามอ�ํานําจหน้ําที่ต่อไป ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนดังกล่ําว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประสํานไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดให้ด�ําเนินกํารโดยเร็ว ซึ่งต่อมําหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้จัดส่งกํารช�ําระภําษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้ํางประจ�ําปี พ.ศ. 2563 ให้ผู้ร้องเรียนจนเป็นที่พอใจแล้ว ดังนั้น ปัญหํา ตํามค�ําร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน อย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 อําศัยเหตุดังกล่ําวข้ํางต้น จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียน ในเรื่องนี้ตํามมําตรํา 37 วรรคสอง แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 3 วัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 152
เรื่องที่ 8 กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยไม่ตัดต้นไม้บริเวณที่พักอาศัยติดกับบ้านของผู้ร้องเรียน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ส�าคัญในการเกิดอัคคีภัยในชุมชน ข้อเท็จจริงได้ควํามว่ํา บริเวณที่พักอําศัยติดกับบ้ํานของผู้ร้องเรียนมีต้นไม้ ขึ้นปกคลุมเสําไฟฟ้ํา ซึ่งบริเวณดังกล่ําวเป็นแหล่งชุมชน ผู้ร้องเรียนเห็นว่ําน่ําจะเป็นสําเหตุ ส�ําคัญที่ท�ําให้เกิดอัคคีภัยและได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังไม่ได้ รับกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําวแต่อย่ํางใด ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องดังกล่ําวเป็นกรณีที่ประชําชนได้รับควํามเดือดร้อนเนื่องจํากหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องละเลย ไม่ตัดต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมเสําไฟฟ้ํา จนน่ําจะเกิดเหตุอัคคีภัยในแหล่งชุมชน ซึ่งส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประสํานไปยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํา ดังกล่ําวโดยเร็ว ต่อมําหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้ด�ําเนินกํารตัดต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ปัญหําตํามค�ําร้องเรียนในเรื่องนี้จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน หรือควํามไม่เป็นธรรมอย่ํางเหมําะสมแล้ว ตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน แจ้งผลกํารวินิจฉัยให้ผู้ร้องเรียนและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องทรําบต่อไป การด�าเนินการใช้ระยะเวลา จ�านวน 5 วัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 153
- ผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจ ในการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง กรณีปัญหา เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 154
ในกํารปฏิบัติหน้ําที่ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดินอําจเสนอเรื่อง ต่อศําลรัฐธรรมนูญหรือศําลปกครองได้ ตํามมําตรํา 23 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 กํารพิจํารณําว่ําผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จะต้องเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลใดนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุแห่งกํารร้องเรียนว่ํามี สถํานะเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมําย หรือมีสถํานะเป็นกฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใด แล้วแต่กรณี ดังนี้ (1) กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเห็นว่ําบทบัญญัติแห่งกฎหมํายใด มีปัญหําเกี่ยวกับ ควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจในกํารเสนอเรื่อง พร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัยได้ ตํามมําตรํา 23 (1) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 โดยค�ําว่ํา “บทบัญญัติแห่งกฎหมําย” หมํายถึง กฎหมํายที่ตรําขึ้นโดยองค์กร ที่ใช้อ�ํานําจนิติบัญญัติตํามกระบวนกํารที่ก�ําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ําจะตรําขึ้นโดย ฝ่ํายนิติบัญญัติหรือฝ่ํายบริหํารก็ตําม ได้แก่ พระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระรําชบัญญัติ พระรําชก�ําหนดที่ได้รับกํารอนุมัติจํากรัฐสภําแล้วและประกําศคณะปฏิวัติ ฉบับที่มีค่ําบังคับเทียบเท่ํากับพระรําชบัญญัติ (2) กรณีกฎ ค�าสั่ง หรือการกระท�าอื่นใด ของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หํากผู้ตรวจกํารแผ่นดินเห็นว่ํา กฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใดของหน่วยงําน ของรัฐ หรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมําย ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจในกํารเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลปกครอง เพื่อพิจํารณําวินิจฉัยได้ตํามมําตรํา 23 (2) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 155
ในกํารพิจํารณําวัตถุแห่งกํารร้องเรียนว่ํามีสถํานะเป็นกฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใด ของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐหรือไม่นั้น เนื่องจํากพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ไม่ได้ก�ําหนดนิยํามถ้อยค�ําดังกล่ําวไว้ จึงต้องพิจํารณําตํามหลักเกณฑ์ที่ก�ําหนดไว้ในพระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและวิธีพิจํารณํา คดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมํายที่ก�ําหนดเกี่ยวกับเขตอ�ํานําจของศําลปกครอง ประกอบกับตัวอย่ํางกํารใช้กํารตีควํามที่ปรํากฏในค�ําสั่งหรือค�ําพิพํากษําศําลปกครองสูงสุด ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนตํามมําตรํา 23 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ดังนี้ (1) กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมํายมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตํามมําตรํา 23 (1) - ได้รับเรื่องร้องเรียน จ�ํานวน 48 เรื่อง - เสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญ จ�ํานวน - เรื่อง - ยุติกํารพิจํารณํา จ�ํานวน 48 เรื่อง (2) กรณีกฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใดของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐ มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมํายตํามมําตรํา 23 (2) - ได้รับเรื่องร้องเรียน จ�ํานวน 34 เรื่อง - เสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลปกครอง จ�ํานวน 1 เรื่อง - ยุติกํารพิจํารณํา จ�ํานวน 33 เรื่อง ทั้งนี้มีตัวอย่ํางเรื่องร้องเรียนที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารตํามมําตรํา 23 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 156
3.1 กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ เรื่องที่ 1 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 71 มีปัญหาเกี่ยวกับ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 250 วรรคท้าย และมาตรา 251 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อ ศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัย กรณีพระรําชบัญญัติเทศบําล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มําตรํา 71 ที่ก�ําหนดให้ผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดมีอ�ํานําจเรียกพนักงํานเทศบําล มําสอบสวน มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 250 วรรคท้ําย ซึ่งก�ําหนดให้กฎหมํายเกี่ยวกับกํารบริหํารรําชกํารส่วนท้องถิ่น ต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในกํารบริหําร และมําตรํา 251 ซึ่งก�ําหนดให้ กํารบริหํารงํานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปตํามที่กฎหมํายบัญญัติ โดยอ�ํานําจในกํารสอบสวนพนักงํานเทศบําลเป็นอ�ํานําจเกี่ยวกับกํารบริหํารงํานบุคคลจึงควร เป็นอ�ํานําจของนํายกเทศมนตรีในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา มําตรํา 71 แห่งพระรําชบัญญัติเทศบําล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติว่ํา “ให้ผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดมีอ�ํานําจหน้ําที่ก�ํากับดูแลเทศบําล ในจังหวัดนั้น ให้ปฏิบัติกํารตํามอ�ํานําจหน้ําที่โดยถูกต้องตํามกฎหมําย กฎ และระเบียบ ข้อบังคับ ในกํารนี้ให้มีอ�ํานําจหน้ําที่ชี้แจงแนะน�ําหรือตักเตือนเทศบําล และตรวจสอบกิจกําร เรียกรํายงํานและเอกสํารหรือสถิติใด ๆ จํากเทศบําลมําตรวจ ตลอดจนเรียกสมําชิกสภําเทศบําล หรือพนักงํานเทศบําลมําชี้แจงหรือสอบสวนก็ได้” อันเป็นไปตํามกํารปกครองแบบกํารกระจําย อ�ํานําจ คือกํารที่รัฐถ่ํายโอนอ�ํานําจทํางปกครองบํางส่วนให้นิติบุคคลตํามกฎหมําย มหําชนอื่น นอกจํากรัฐเพื่อจัดท�ําบริกํารสําธํารณะบํางอย่ํางได้เองโดยมีควํามอิสระทํางปกครอง และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 157
ทํางกํารคลัง ไม่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชําของรัฐบําลส่วนกลําง เพียงแต่อยู่ภํายใต้กํารก�ํากับดูแล รัฐบําลส่วนกลํางเท่ํานั้น และกํารให้อ�ํานําจผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดในกํารก�ํากับดูแลเทศบําล ในจังหวัด เป็นอ�ํานําจก�ํากับดูแลโดยองค์กรหรือบุคคลที่มีอ�ํานําจก�ํากับดูแล อันมีอ�ํานําจ ในกํารตรวจสอบควํามชอบด้วยกฎหมํายของกํารกระท�ําขององค์กรที่อยู่ภํายใต้กํารก�ํากับดูแล ด้วยกํารให้ควํามเห็นชอบ ยับยั้ง หรือเพิกถอนกํารกระท�ําขององค์กรที่อยู่ภํายใต้กํารก�ํากับ ดูแลหรือเข้ําด�ําเนินกํารแทนในกรณีที่องค์กรที่อยู่ภํายใต้กํารก�ํากับดูแลไม่อําจด�ําเนินกําร ตํามอ�ํานําจหน้ําที่ ตลอดจนถอดถอนเจ้ําหน้ําที่ผู้รับผิดชอบขององค์กรภํายใต้กํารก�ํากับดูแล อ�ํานําจก�ํากับดูแลจึงเป็นอ�ํานําจที่มีเงื่อนไข คือจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมํายให้อ�ํานําจและ ต้องเป็นไปตํามรูปแบบที่กฎหมํายก�ําหนดเท่ํานั้น ดังนั้น กํารที่มําตรํา 71 แห่งพระรําชบัญญัติเทศบําล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไข เพิ่มเติม บัญญัติให้ผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดมีอ�ํานําจหน้ําที่ก�ํากับดูแลเทศบําลในจังหวัดนั้นให้ปฏิบัติ กํารตํามอ�ํานําจหน้ําที่โดยถูกต้องตํามกฎหมําย กฎ และระเบียบข้อบังคับ จึงเป็นไปตํามหลัก กํารบริหํารรําชกํารแบบกํารกระจํายอ�ํานําจแล้ว ไม่ท�ําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขําดอิสระในกํารบริหําร จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 250 วรรคท้ํายแต่อย่ํางใด และอ�ํานําจของผู้ว่ํารําชกํารจังหวัดในกํารเรียก พนักงํานของเทศบําลมําสอบสวน เป็นกํารตรวจสอบควํามชอบด้วยกฎหมํายของกํารกระท�ํา ของเทศบําลที่อยู่ภํายในกํารก�ํากับดูแลของจังหวัดเป็นอ�ํานําจก�ํากับดูแลไม่ใช่เรื่องกํารบริหําร งํานบุคคล มําตรํา 71 แห่งพระรําชบัญญัติเทศบําล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 251 เช่นกัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 158
เรื่องที่ 2 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 34 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 25 และมาตรา 34 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็น ต่อ ศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัยว่ําบทบัญญัติมําตรํา 34 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเลือกตั้ง สมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25 และมําตรํา 34 เป็นกํารขอให้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญตํามมําตรํา 231 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ประกอบมําตรํา 23 (1) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 จึงเป็น เรื่องที่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะพิจํารณําด�ําเนินกํารได้ มีประเด็นที่ต้องพิจํารณําตํามข้อกล่ําวอ้ํางของผู้ร้องเรียนว่ํา บทบัญญัติมําตรํา 34 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเลือกตั้งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25 และ มําตรํา 34 หรือไม่ เมื่อพิจํารณําบทบัญญัติมําตรํา 34 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเลือกตั้ง สมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 เห็นได้ว่ําเป็นกํารบัญญัติให้อ�ํานําจ คณะกรรมกํารกํารเลือกตั้ง หรือกรรมกํารกํารเลือกตั้ง หรือผู้อ�ํานวยกํารกํารเลือกตั้งประจ�ํา จังหวัด หรือคณะกรรมกํารกํารเลือกตั้งประจ�ําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่คณะกรรมกําร กํารเลือกตั้งมอบหมําย สั่งให้ยุติหรือระงับกํารกระท�ํา ในกรณีปรํากฏข้อเท็จจริงว่ํา ข้ํารําชกําร กํารเมือง สมําชิกสภําผู้แทนรําษฎร สมําชิกวุฒิสภํา ผู้บริหํารท้องถิ่น สมําชิกสภําท้องถิ่น หรือเจ้ําหน้ําที่อื่นของรัฐกระท�ํากํารใด ๆ โดยมิชอบด้วยหน้ําที่และอ�ํานําจอันเป็นกํารกลั่นแกล้ง ผู้สมัครใด หรือด�ําเนินกํารใด ๆ ที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครใด โดยมีเจตนํารมณ์ ในกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตตํามแนวทํางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 159
เหตุผลในกํารประกําศใช้พระรําชบัญญัติดังกล่ําวดังที่ระบุไว้ท้ํายพระรําชบัญญัติกํารเลือกตั้ง สมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ประกอบกับค�ําปรํารภและบทอําศัยอ�ํานําจ ในกํารตรําพระรําชบัญญัติดังกล่ําวได้ระบุไว้ชัดเจนว่ําพระรําชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติ บํางประกํารเกี่ยวกับกํารจ�ํากัดสิทธิและเสรีภําพของบุคคล ซึ่งมําตรํา 26 ประกอบกับมําตรํา 27 มําตรํา 33 มําตรํา 34 และมําตรํา 37 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ได้บัญญัติให้กระท�ําได้โดยอําศัยอ�ํานําจตํามบทบัญญัติแห่งกฎหมําย แสดงให้เห็นได้ว่ํากํารก�ําหนดมําตรกํารดังกล่ําวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กํารจัดกํารเลือกตั้ง สมําชิกสภําท้องถิ่นและผู้บริหํารท้องถิ่น รวมถึงกํารควบคุมดูแลกํารเลือกตั้งโดย คณะกรรมกํารกํารเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และมีประสิทธิผล ซึ่งสอดคล้อง กับเจตนํารมณ์ของกฎหมํายว่ําด้วยกํารเลือกตั้งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น ที่ไม่ได้ก�ําหนดให้บุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น ต้องเป็นบุคคลที่สังกัดพรรคกํารเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งสํามํารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้โดย อิสระในกํารเลือกตั้งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่นในแต่ละประเภทได้ ดังนั้น บทบัญญัติมําตรํา 34 แห่งพระรําชบัญญัติกํารเลือกตั้งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 จึงเป็นบทบัญญัติที่มีควํามจ�ําเป็นที่คณะกรรมกํารกํารเลือกตั้งจะต้องใช้ในกําร ควบคุมและป้องกันมิให้ข้ํารําชกํารกํารเมือง สมําชิกสภําผู้แทนรําษฎร สมําชิกวุฒิสภํา ผู้บริหําร ท้องถิ่น สมําชิกสภําท้องถิ่นหรือเจ้ําหน้ําที่อื่นของรัฐ กระท�ํากํารใด ๆ โดยมิชอบด้วยหน้ําที่ และอ�ํานําจอันเป็นกํารกลั่นแกล้งผู้สมัครใดหรือด�ําเนินกํารใด ๆ ที่เป็นคุณหรือเป็นโทษ แก่ผู้สมัครใด เพื่อให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ถึงแม้ว่ําบทบัญญัติดังกล่ําวจะมีลักษณะ เป็นกํารจ�ํากัดเสรีภําพในกํารแสดงควํามคิดเห็น กํารพูด กํารเขียน กํารพิมพ์ กํารโฆษณํา และกํารสื่อสํารควํามหมํายด้วยวิธีอื่นก็ตําม แต่ถือได้ว่ําเป็นกํารอําศัยอ�ํานําจตํามบทบัญญัติ แห่งกฎหมํายตรําขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภําพของบุคคลอื่น และเพื่อรักษําควํามสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชําชน ดังที่บัญญัติไว้ในมําตรํา 34 วรรคหนึ่งของ รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 และมิได้มีลักษณะเป็นกํารเพิ่มภําระ หรือจ�ํากัดสิทธิหรือเสรีภําพของบุคคลตํามที่รัฐธรรมนูญให้กํารรับรองและคุ้มครองไว้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 160
เกินสมควรแก่เหตุแต่อย่ํางใด หํากแต่เป็นกํารจ�ํากัดเสรีภําพ ของบุคคลเพียงเท่ําที่จ�ําเป็น เท่ํานั้น เพื่อให้กํารได้มําซึ่งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น เป็นไปตํามหลักธรรมําภิบําล อีกทั้งมิได้มีลักษณะเป็นกํารเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่ําด้วยเหตุแห่ง ควํามแตกต่ํางในเรื่องถิ่นก�ําเนิด เชื้อชําติ ภําษํา เพศ อํายุ ควํามพิกําร สภําพทํางกํายหรือ สุขภําพ สถํานะของบุคคล ฐํานะทํางเศรษฐกิจหรือสังคม ควํามเชื่อทํางศําสนํา กํารศึกษํา อบรม หรือควํามคิดเห็นทํางกํารเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด หํากแต่เป็นกฎหมํายที่มีผลใช้บังคับเป็นกํารทั่วไป ไม่มุ่งหมํายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณี หนึ่ง หรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นกํารเจําะจง ดังนั้น บทบัญญัติมําตรํา 34 แห่งพระรําชบัญญัติ กํารเลือกตั้งสมําชิกสภําท้องถิ่นหรือผู้บริหํารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 จึงไม่มีปัญหําเกี่ยวกับ ควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25 และ มําตรํา 34 ดังที่ผู้ร้องเรียนกล่ําวอ้ํางแต่อย่ํางใด ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยุติ กํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนดังกล่ําว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 161
3.2 กรณีกฎ ค�าสั่ง หรือการกระท�าอื่นใดของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย กฎกระทรวง การร้องทุกข์ การยื่นเรื่องราวใด ๆ หรือการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาของ ผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 41 (2) และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคสาม ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้พิจํารณําวินิจฉัยว่ํากฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 41 (2) และพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มําตรํา 29 วรรคสํามหรือไม่ อันเป็นกรณีขอให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําว่ํา กฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใดของหน่วยงําน ของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมําย ตําม พระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มําตรํา 23 (2) จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจํารณํา และเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลปกครองเพื่อพิจํารณําวินิจฉัยได้ ประเด็นที่ต้องพิจํารณําต่อไปมีว่ํา กฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 41 (2) หรือไม่ พิเครําะห์แล้วเห็นว่ํา รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 41 (2) บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลในกํารเสนอเรื่องรําวร้องทุกข์ต่อหน่วยงํานของรัฐและได้รับ แจ้งผลกํารพิจํารณําโดยเร็ว ซึ่งกฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 ได้บัญญัติให้เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําตรวจดูข้อควําม และตรวจสอบข้อเท็จจริงค�ําร้องทุกข์ หรือเรื่องรําวใด ๆ หรือฎีกําที่ทูลเกล้ําฯ ถวําย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 162
แล้วท�ําควํามเห็นเสนอผู้บัญชํากํารเรือนจ�ํา พร้อมกับแนวทํางกํารแก้ไขหรือกํารให้ควํามช่วยเหลือ อันเป็นกํารก�ําหนดหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขตํามพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มําตรํา 46 อันเป็นกํารรองรับสิทธิของบุคคลในกํารเสนอเรื่องรําวร้องทุกข์ต่อหน่วยงําน ของรัฐ ตํามที่รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 41 (2) ก�ําหนดไว้ โดยมิได้มีลักษณะเป็นกํารจ�ํากัดสิทธิหรือปิดกั้นกํารติดต่อของผู้ต้องขังกับหน่วยงํานภํายนอก แต่อย่ํางใด กรณีจึงไม่มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จะเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลปกครองตํามมําตรํา 23 (2) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ส�ําหรับกรณี กฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยพระรําชบัญญัติ รําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มําตรํา 29 หรือไม่ เห็นว่ําพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มําตรํา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่ํา “เพื่อรักษําควํามมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษําควํามสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชําชน ให้เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ํามีอ�ํานําจตรวจสอบจดหมําย เอกสําร พัสดุภัณฑ์ หรือสิ่งสื่อสํารอื่น หรือสกัดกั้นกํารติดต่อสื่อสํารทํางโทรคมนําคมหรือ โดยทํางใด ๆ ซึ่งมีถึงหรือจํากผู้ต้องขัง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตํามระเบียบกรมรําชทัณฑ์” วรรคสําม บัญญัติว่ํา “ควํามในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับบรรดําค�ําร้องทุกข์ หรือเรื่องรําวใด ๆ ที่ได้ ยื่นตํามมําตรํา 46 และมําตรํา 47 และเอกสํารโต้ตอบระหว่ํางผู้ต้องขังกับทนํายควํามของ ผู้นั้น” มําตรํา 46 บัญญัติว่ํา “…ผู้ต้องขังมีสิทธิที่จะยื่นค�ําร้องทุกข์ หรือเรื่องรําวใด ๆ ต่อเจ้ําพนักงํานเรือนจ�ํา ผู้บัญชํากํารเรือนจ�ํา อธิบดี รัฐมนตรี หรือหน่วยงํานของรัฐ ที่เกี่ยวข้อง หรือทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําต่อพระมหํากษัตริย์ได้ ทั้งนี้ ตํามหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขที่ก�ําหนดในกฎกระทรวง” เมื่อพิจํารณําบทบัญญัติดังกล่ําวประกอบกับเจตนํารมณ์ ในกํารตรําพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์พ.ศ. 2560 ปรํากฏตํามหมํายเหตุท้ํายพระรําชบัญญัติ ได้กล่ําวถึงเหตุผลในกํารประกําศใช้พระรําชบัญญัติประกํารหนึ่งว่ํา เพื่อให้มีควํามสอดคล้อง กับนโยบํายทํางอําญําของประเทศ ประกอบกับมีกฎหมํายและกฎเกณฑ์ในระดับสํากล ที่เกี่ยวข้องกับกํารปฏิบัติต่อผู้ต้องขังประเภทต่ําง ๆ และกํารปฏิบัติงํานของเจ้ําหน้ําที่ ซึ่งมิได้มีกํารบัญญัติไว้ในพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พุทธศักรําช 2479 ส่งผลให้กํารด�ําเนินงําน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 163
ต่ําง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่สอดคล้องตํามมําตรฐํานสํากล อันได้แก่ ข้อก�ําหนดมําตรฐํานขั้นต�่ํา ส�ําหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners / SMR) โดยควํามในข้อ 36 (3) ของข้อก�ําหนดดังกล่ําว ก�ําหนดว่ํา “ผู้ต้องขังทุกคน ควรได้รับอนุญําตให้ยื่นค�ําร้องหรือค�ําร้องทุกข์ตํามล�ําดับชั้นตํามแบบที่ถูกต้อง เสนอถึง ผู้บริหํารงํานรําชทัณฑ์ส่วนกลําง หรือตุลํากําร หรือเจ้ําหน้ําที่อื่นผู้มีอ�ํานําจโดยตรง โดยไม่ต้อง มีกํารตรวจค�ําร้องหรือค�ําร้องทุกข์นั้น ๆ ก่อน” เห็นได้ว่ํา ควํามในมําตรํา 29 วรรคสําม เป็นกํารก�ําหนดหลักกํารมิให้น�ําควํามในวรรคหนึ่งซึ่งให้อ�ํานําจเจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําตรวจสอบ จดหมําย เอกสําร พัสดุภัณฑ์ หรือสิ่งสื่อสํารอื่น ซึ่งมีถึงหรือจํากผู้ต้องขังมําใช้กับค�ําร้องทุกข์ หรือเรื่องรําวใด ๆ ที่ผู้ต้องขังยื่นตํามมําตรํา 46 กล่ําวคือ หํากเป็นค�ําร้องทุกข์ หรือ เรื่องรําวใด ๆ ที่ผู้ต้องขังยื่นตํามมําตรํา 46 แล้ว เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําย่อมไม่มีอ�ํานําจ ในกํารตรวจสอบ แม้มําตรํา 46 จะให้อ�ํานําจในกํารก�ําหนดหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไข กํารยื่นค�ําร้องทุกข์ หรือเรื่องรําวใด ๆ หรือทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําต่อพระมหํากษัตริย์ แต่เมื่อ กฎกระทรวงมีล�ําดับศักดิ์เป็นกฎหมํายล�ําดับรองที่ก�ําหนดให้ฝ่ํายบริหํารโดยรัฐมนตรี เจ้ํากระทรวงซึ่งรักษํากํารตํามกฎหมําย เป็นผู้ก�ําหนดรํายละเอียดเพื่อปฏิบัติกํารให้เป็นไป ตํามเจตนํารมณ์ของกฎหมํายแม่บท อันได้แก่ พระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 กฎกระทรวงฯ ย่อมไม่อําจมีหลักกํารที่ขัดหรือแย้งต่อพระรําชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมําย ที่ก�ําหนดเจตจ�ํานงของฝ่ํายนิติบัญญัติได้ เมื่อควํามในข้อ 5 ของกฎกระทรวงดังกล่ําวก�ําหนดว่ํา “เมื่อเจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําได้รับค�ําร้องทุกข์หรือเรื่องรําวใด ๆ หรือฎีกําที่ทูลเกล้ําฯ ถวํายแล้ว ให้เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ํา ซึ่งได้รับมอบหมํายตรวจดูข้อควํามและตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ท�ําควํามเห็นเสนอผู้บัญชํากํารเรือนจ�ํา พร้อมกับแนวทํางกํารแก้ไขหรือกํารให้ควํามช่วยเหลือ เว้นแต่เป็นกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกํา ให้ส่งหนังสือไปยังอธิบดีเพื่อด�ําเนินกํารต่อไป” อันเป็นกํารก�ําหนดให้เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําตรวจสอบค�ําร้องทุกข์ของผู้ต้องขัง จึงมีลักษณะ ที่มีหลักกํารแตกต่ํางไปจํากควํามในมําตรํา 29 วรรคสําม แห่งพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และไม่สอดคล้องกับข้อก�ําหนดมําตรฐํานขั้นต�่ําส�ําหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners / SMR) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 164
นอกจํากนี้ เมื่อพิจํารณําจํากพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พุทธศักรําช 2479 ประกอบกฎกระทรวงมหําดไทย ออกตํามควํามในมําตรํา 58 แห่งพระรําชบัญญัติรําชทัณฑ์ พุทธศักรําช 2479 ข้อ 125 ก�ําหนดว่ํา “ข้อควํามในหนังสือร้องทุกข์ เรื่องรําวและฎีกํานั้น ผู้ต้องขังจะขอรักษําเป็นควํามลับก็ได้ ในกรณีนั้นให้สอดหนังสือไว้ในซองและผนึกเสีย หน้ําซองให้เขียนว่ํา “ลับ” ถ้ําผู้ต้องขังไม่ได้เขียนค�ํานี้ไว้ให้เจ้ําพนักงํานเรือนจ�ําเขียน เมื่อทรําบควํามประสงค์” วรรคสอง ก�ําหนดว่ํา “หนังสือเช่นว่ํานั้นห้ํามมิให้เจ้ําพนักงําน เรือนจ�ําอ่ําน แต่มีหน้ําที่จัดส่งไปยังผู้รับ หํากเป็นหนังสือมีถึงรัฐมนตรีหรือทูลเกล้ําฯ ถวําย ให้ส่งไปยังอธิบดีด�ําเนินกํารต่อไปตํามสมควร” ซึ่งหมํายควํามว่ําก่อนมีกํารก�ําหนด กฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ได้รับรองกํารยื่นค�ําร้องทุกข์โดยยึดถือควํามประสงค์ของผู้ต้องขังในกํารรักษําควํามลับ ดังนั้น กฎกระทรวง กํารร้องทุกข์ กํารยื่นเรื่องรําวใด ๆ หรือกํารทูลเกล้ําฯ ถวํายฎีกําของผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 ข้อ 5 จึงมีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วยกฎหมําย ผู้ตรวจกํารแผ่นดินโดยอําศัยอ�ํานําจตํามควํามในมําตรํา 23 (2) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 จึงเสนอเรื่องพร้อมด้วย ควํามเห็นต่อศําลปกครอง เมื่อวันที่ 8 กันยํายน 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 165
- ผลการด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจ ในการพิจารณาค�าร้องของบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 166
ในกํารปฏิบัติหน้ําที่เกี่ยวกับกํารเสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญ หรือศําลปกครองของผู้ตรวจกํารแผ่นดินนั้น นอกจํากหน้ําที่และอ�ํานําจที่มีอยู่ตํามมําตรํา 23 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 แล้ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังมีหน้ําที่และอ�ํานําจในกํารยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญได้ ตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ประกอบมําตรํา 22 (4) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 กรณีดังกล่ําวนี้เป็นไปตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณํา ของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 ถึงมําตรํา 48 ซึ่ง ก�าหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ท�าหน้าที่กลั่นกรองค�าร้องจากประชาชนที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยก�ําหนดเป็น เงื่อนไขว่ํา ให้ยื่นค�ําร้องต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสียก่อนจึงจะมีสิทธิยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญ โดยตรงได้ กรณีตามมาตรา 46 เป็นกรณีที่ร้องเรียนว่ํากํารกระท�ําขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยกฎหมํายก�ําหนดให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจรับค�ําร้องจํากบุคคลซึ่งถูก ละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพโดยตรง อันเกิดจํากกํารกระท�ําของหน่วยงํานของรัฐ เจ้ําหน้ําที่ของรัฐ หรือหน่วยงํานซึ่งใช้อ�ํานําจรัฐ และได้รับควํามเดือดร้อนเสียหํายหรืออําจจะเดือดร้อนเสียหําย โดยมิอําจหลีกเลี่ยงได้จํากกํารถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพนั้น ซึ่งผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพ จะต้องยื่นค�ําร้องต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินภํายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงกํารละเมิด สิทธิหรือเสรีภําพนั้น เว้นแต่เป็นกรณีที่กํารละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพยังคงมีอยู่ก็สํามํารถ ยื่นค�ําร้องต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ และกฎหมํายยังได้ก�ําหนดระยะเวลําเร่งรัดให้ผู้ตรวจกําร แผ่นดินต้องพิจํารณําให้แล้วเสร็จภํายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับค�ําร้องดังกล่ําวด้วย ส่วน กรณีตามมาตรา 48 นั้น เป็นกรณีบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพ ร้องเรียนว่ํา กํารละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพนั้นเป็นผลมําจํากบทบัญญัติแห่งกฎหมํายที่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยกฎหมํายก�ําหนดให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีหน้ําที่และอ�ํานําจรับค�ําร้อง จํากบุคคลดังกล่ําวไว้พิจํารณําได้ ทั้งนี้ กฎหมํายได้ก�ําหนดระยะเวลําเร่งรัดให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 167
ต้องพิจํารณําให้แล้วเสร็จภํายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับค�ําร้องดังเช่นกรณีตํามมําตรํา 46 ด้วย ทั้งนี้ มําตรํา 47 แห่งพระรําชบัญญัติดังกล่ําว ได้ก�ําหนดหลักเกณฑ์ไว้ด้วยว่ํา กํารใช้สิทธิยื่นค�ําร้องตํามมําตรํา 46 และมําตรํา 48 จะต้องไม่ใช่กรณีอย่ํางหนึ่งอย่ํางใด ดังต่อไปนี้ (1) กํารกระท�ําของรัฐบําล (2) รัฐธรรมนูญหรือกฎหมํายประกอบรัฐธรรมนูญได้ก�ําหนดกระบวนกํารร้อง หรือผู้มีสิทธิขอให้ศําลรัฐธรรมนูญพิจํารณําวินิจฉัยไว้เป็นกํารเฉพําะแล้ว (3) กฎหมํายบัญญัติขั้นตอนและวิธีกํารไว้เป็นกํารเฉพําะ และยังมิได้ด�ําเนินกําร ตํามขั้นตอนหรือวิธีกํารนั้นครบถ้วน (4) เรื่องที่อยู่ในระหว่ํางกํารพิจํารณําพิพํากษําคดีของศําลอื่น หรือเรื่องที่ศําลอื่น มีค�ําพิพํากษําหรือค�ําสั่งถึงที่สุดแล้ว (5) กํารกระท�ําของคณะกรรมกํารตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 192 (6) กํารกระท�ําที่เกี่ยวกับกํารบริหํารงํานบุคคลของคณะกรรมกํารตุลํากําร ศําลยุติธรรม คณะกรรมกํารตุลํากํารศําลปกครอง คณะกรรมกํารตุลํากํารทหําร รวมถึง กํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับวินัยทหําร ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารในกํารพิจํารณํา ค�ําร้องของบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ตํามพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ดังนี้ - ได้รับเรื่องร้องเรียน จ�ํานวน 60 เรื่อง - เสนอเรื่องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญ จ�ํานวน 7 เรื่อง - ยุติกํารพิจํารณํา จ�ํานวน 53 เรื่อง ยกตัวอย่ําง เช่น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 168
เรื่องที่ 1 มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลาฟ้องคดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม มาตรา 188 และมาตรา 197 อันเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจํากกระทรวงคมนําคมและกํารรถไฟ แห่งประเทศไทย ขอให้ยื่นค�ําร้องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณํา วินิจฉัยตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 213 กรณีมติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มําตรํา 3 วรรคสอง มําตรํา 5 วรรคหนึ่ง มําตรํา 25 วรรคสําม มําตรํา 188 และมําตรํา 197 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา ผู้ร้องเรียนเป็นรัฐวิสําหกิจ โดยเป็นนิติบุคคลมหําชน ที่จัดตั้งขึ้นตํามกฎหมํายมหําชนเพื่อด�ําเนินกํารให้บริกํารที่เป็นสิ่งสําธํารณูปโภคด้ํานคมนําคม และกํารที่ศําลปกครองสูงสุดในคดีหมํายเลขด�ําที่ อ.410-412/2547 คดีหมํายเลขแดง ที่ อ.221-223/2562 น�ํามติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 เรื่อง ปัญหําเกี่ยวกับระยะเวลําฟ้องคดี กรณีผู้ฟ้องคดี น�ําคดีที่เหตุแห่งกํารฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศําลปกครองเปิดท�ํากําร มําฟ้องต่อศําลปกครอง หลังจํากที่ศําลปกครองเปิดท�ํากํารแล้วมําใช้อ้ํางอิง และพิพํากษํากลับค�ําพิพํากษําศําลปกครองกลําง เป็นให้ยกค�ําร้องของผู้ร้องเรียน ผู้ร้องเรียนจึงเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพ ตํามรัฐธรรมนูญโดยตรงและได้รับควํามเดือดร้อนหรือเสียหําย อันเนื่องมําจํากมติและ กํารกระท�ําดังกล่ําว กรณีตํามค�ําร้องเรียนนี้เป็นไปตํามหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไข ตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 213 ประกอบพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธี พิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ําที่ และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะรับเรื่องร้องเรียนนี้ไว้พิจํารณํา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 169
ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้พิจํารณําต่อไปว่ํา เรื่องอํายุควํามเป็นเรื่องเกี่ยวกับควํามสงบ เรียบร้อยอันควรที่ศําลรัฐธรรมนูญจะได้หยิบยกขึ้นพิจํารณําวินิจฉัยเพื่อประโยชน์ แห่งควํามยุติธรรมว่ํา มติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศําลปกครองไม่ได้ พิจํารณําพิพํากษําในประเด็นนี้ จึงไม่เป็นเรื่องที่ศําลอื่นมีค�ําพิพํากษําหรือค�ําสั่งถึงที่สุดแล้ว ไม่ต้องห้ํามตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 47 พระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 5 บัญญัติให้อ�ํานําจที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุดที่จะออกระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกําศได้ แต่ต้องประกําศในรําชกิจจํานุเบกษําก่อน และมําตรํา 6 บัญญัติ ให้ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุดตํามมําตรํา 44 ซึ่งเกี่ยวกับ กํารฟ้อง กํารร้องสอด กํารเรียกบุคคล หน่วยงํานทํางปกครอง หรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐเข้ํามํา เป็นคู่กรณีในคดี กํารด�ําเนินกระบวนพิจํารณํา กํารรับฟังพยํานหลักฐําน และกํารพิพํากษํา คดีปกครอง ต้องส่งให้สภําผู้แทนรําษฎรในวันที่ออกระเบียบนั้น เพื่อให้สมําชิกสภําผู้แทนรําษฎร ได้ตรวจสอบก่อน ดังนั้น มติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18 / 2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 ซึ่งไม่ได้ส่งให้สภําผู้แทนรําษฎรตรวจสอบ และไม่ได้ ประกําศในรําชกิจจํานุเบกษํา จึงเป็นมติที่ออกโดยด�ําเนินกํารไม่ครบถ้วนตํามกระบวนกําร ตํามกฎหมําย จึงไม่เป็นระเบียบที่จะมีผลใช้บังคับได้ กํารที่มติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18 / 2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 ก�ําหนดให้เริ่มนับอํายุควํามคดีปกครองตั้งแต่วันที่ “ศําลปกครอง เปิดท�ํากําร” คือ ตั้งแต่วันที่ 9 มีนําคม 2544 ซึ่งผิดไปจํากพระรําชบัญญัติจัดตั้ง ศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 51 ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ และวิธีกํารเริ่มนับระยะเวลําอํายุควํามไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่ํา ให้เริ่มนับระยะเวลําอํายุควําม คดีปกครองตั้งแต่วันที่ “รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งกํารฟ้องคดี” จึงน�ํามําใช้อ้ํางอิงเพื่อพิจํารณํา พิพํากษําคดีไม่ได้ ดังนั้น มติที่ประชุมใหญ่ตุลํากํารในศําลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18 / 2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกํายน 2545 จึงไม่เป็นไปตํามพระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 170
วิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 51 และเป็นกํารขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มําตรํา 3 วรรคสอง มําตรํา 188 และมําตรํา 197 อันเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมํายและ เป็นกํารกระท�ําที่ไม่อําจใช้บังคับได้ตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 5 วรรคหนึ่ง และบุคคลที่ ถูกละเมิดสิทธิดังกล่ําวสํามํารถใช้สิทธิทํางศําลรัฐธรรมนูญได้ตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 25 วรรคสําม ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญ ตํามมําตรํา 22 (4) แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ประกอบมําตรํา 46 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของ ศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ต่อมําศําลรัฐธรรมนูญได้สั่งรับค�ําร้องของผู้ตรวจกํารแผ่นดินไว้พิจํารณําและ มีค�ําวินิจฉัย ที่ 5/2564 ลงวันที่ 17 มีนําคม 2564 ว่ํา มติที่ประชุมใหญ่ฯ เป็นกํารออกระเบียบ ตํามพระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 44 แต่มิได้ด�ําเนินกํารประกําศในรําชกิจจํานุเบกษําและส่งให้สภําผู้แทนรําษฎรตรวจสอบ ตํามมําตรํา 5 และมําตรํา 6 วรรคหนึ่ง จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มําตรํา 3 วรรคสอง และมําตรํา 197 วรรคสี่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 171
เรื่องที่ 2 กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมส�านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศก�าหนดเขตอุทยานแห่งชาติทับลานทับซ้อนกับที่อยู่อาศัยและท�ากินของประชาชนในพื้นที่ รอบเขตอุทยาน และกระท�าการอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจํากผู้ร้องเรียนจ�ํานวน 5 รําย ขอให้พิจํารณํา ยื่นค�ําร้องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัยตํามมําตรํา 213 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ประกอบพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 กรณีกรมป่ําไม้ กรมอุทยํานแห่งชําติ สัตว์ป่ํา และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยํากรธรรมชําติ และสิ่งแวดล้อม ส�ํานักงํานกํารปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ประกําศก�ําหนดเขตอุทยํานแห่งชําติทับลํานทับซ้อนกับที่อยู่อําศัยและท�ํากินของ ประชําชนในพื้นที่รอบเขตอุทยําน และกระท�ํากํารอันเป็นกํารละเมิดต่อสิทธิและเสรีภําพ ของผู้ร้องเรียนและประชําชนตํามที่รัฐธรรมนูญให้กํารรับรองและคุ้มครองไว้ กํารกระท�ํานั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25 มําตรํา 27 มําตรํา 37 มําตรํา 38 มําตรํา 40 และมําตรํา 43 (2) เนื่องจํากมีประเด็นที่ต้องพิจํารณํา อย่ํางเดียวกันจึงรวมกํารพิจํารณําด�ําเนินกํารแสวงหําข้อเท็จจริงในครําวเดียวกัน ภํายหลังจํากแสวงหําข้อเท็จจริงจํากหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องโดยครบถ้วนแล้ว ผู้ตรวจกําร แผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริงและข้อกฎหมําย ที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา เรื่องร้องเรียนนี้เป็นกํารขอให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณํายื่นค�ําร้อง พร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญตํามที่ก�ําหนดไว้ในพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 อันเป็นกรณีที่กฎหมํายอื่น ก�ําหนดหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินไว้ ตํามมําตรํา 22 (4) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 และจะต้องพิจํารณําปัญหํา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 172
ตํามค�ําร้องเรียนดังกล่ําว ตํามหลักเกณฑ์ที่ก�ําหนดไว้ในพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ําผู้ร้องเรียน มีที่อยู่อําศัยและท�ํากินบริเวณรอบ ๆ แนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน อันเป็นพื้นที่ทับซ้อน และพิพําทกับอุทยํานแห่งชําติทับลําน ซึ่งในกํารคัดเลือกพื้นที่เพื่อจัดตั้งอุทยํานแห่งชําติทับลําน ได้มีกํารน�ําที่ดินท�ํากินของประชําชนที่อยู่อําศัยมําแต่เดิม และเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมซึ่งประกําศเมื่อปี พ.ศ. 2521 ซึ่งไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะประกําศเป็นอุทยําน แห่งชําติ มําก�ําหนดให้เป็นเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน อีกทั้ง ขณะด�ําเนินกํารออกประกําศ ก�ําหนดแนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน พนักงํานเจ้ําหน้ําที่มิได้ท�ํากํารส�ํารวจแนวเขต อย่ํางละเอียดรอบคอบก่อนก�ําหนดให้พื้นที่บริเวณดังกล่ําวเป็นเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน และยังทับซ้อนกับโครงกํารพัฒนําพื้นที่เพื่อควํามมั่นคงในพื้นที่ (โครงกําร พมพ.) และ โครงกํารจัดที่ดินท�ํากินให้กับประชําชนผู้ยํากไร้ในพื้นที่ป่ําสงวนเสื่อมโทรม (โครงกําร คจก.) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงํานของรัฐเข้ําด�ําเนินโครงกํารดังกล่ําวอีกด้วย แม้ว่ํา ที่ผ่ํานมํารัฐบําลได้ด�ําเนินกํารเพื่อแก้ไขปัญหํากํารทับซ้อนของพื้นที่แนวเขตอุทยํานแห่งชําติ ทับลําน แต่หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ยึดถือแนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน ตํามหลัก แนวเขตที่มีกํารด�ําเนินกํารร่วมกันระหว่ํางหน่วยงํานภําครัฐและภําคประชําชนในปี พ.ศ. 2543 แต่ยังคงยึดถือแนวเขตแผนที่ตํามประกําศก�ําหนดแนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน เมื่อปี พ.ศ. 2524 ทั้งที่ไม่สอดคล้องกับสภําพควํามเป็นจริง ส่งผลให้เกิดปัญหําควํามขัดแย้ง ระหว่ํางหน่วยงํานภําครัฐกับประชําชนในพื้นที่ทับซ้อนจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจํากประชําชน ในพื้นที่ดังกล่ําวเข้ําใจว่ําแนวเขตของอุทยํานแห่งชําติทับลํานเป็นไปตํามหลักแนวเขตที่มี กํารด�ําเนินกํารร่วมกันระหว่ํางภําคประชําชนและหน่วยงํานภําครัฐ นอกจํากนี้ กํารที่หน่วยงํานภําครัฐกล่ําวอ้ํางว่ํา หํากมีกํารปรับปรุงแนวเขตอุทยําน แห่งชําติทับลํานตํามหลักแนวเขตที่มีกํารด�ําเนินกํารร่วมกันระหว่ํางหน่วยงํานภําครัฐและ ภําคประชําชนในปี พ.ศ. 2543 จะท�ําให้พื้นที่อุทยํานแห่งชําติทับลํานลดลงจ�ํานวนมําก อันส่งผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ในกํารขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก กลุ่มป่ําดงใหญ่ – เขําใหญ่ นั้น ในกํารขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้อําศัยคุณสมบัติโดดเด่นในกํารเป็นถิ่นที่อยู่อําศัยของชนิดสัตว์ และพันธุ์พืชที่หํายํากหรือที่ตกอยู่ในสภําวะอันตรํายแต่ยังคงสํามํารถด�ํารงชีวิตได้ รวมถึง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 173
ระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมควํามสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ควํามสนใจ โดยได้ใช้ แนวเขตแผนที่ตํามประกําศก�ําหนดแนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลําน เมื่อปี พ.ศ. 2524 ในกํารเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และกรมอุทยํานแห่งชําติ สัตว์ป่ํา และพันธุ์พืช ได้มีหนังสือ ที่ ทส 0910.2/3671 ลงวันที่ 1 มีนําคม 2548 ให้ข้อมูลต่อศูนย์มรดกโลก ในเรื่องขอบเขตของผืนป่ําดงพญําเย็น – เขําใหญ่ สรุปได้ว่ํา จะมีกํารเปลี่ยนแปลงขอบเขต ของผืนป่ําดงพญําเย็น – เขําใหญ่ ในอนําคตอันใกล้อย่ํางแน่นอน โดยจะมีกํารกันพื้นที่ บริเวณทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอุทยํานแห่งชําติทับลํานซึ่งเป็นเขตชุมชน และป่ําเสื่อมโทรมออก จ�ํานวน 43,729.63 เฮคเตอร์ และผนวกพื้นที่บริเวณทิศเหนือ ของอุทยํานแห่งชําติทับลํานซึ่งเป็นเขตป่ําสงวนแห่งชําติเข้ํามํา จ�ํานวนเนื้อที่ 17,627 เฮคเตอร์ ซึ่งกํารปรับปรุงแนวเขตดังกล่ําวจะเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2550 ดังนั้น หํากมีกํารปรับปรุง แนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลํานให้ชัดเจนย่อมเป็นกํารแก้ไขปัญหําที่สอดคล้องและเป็นไป ตํามแนวทํางกํารบริหํารจัดกํารขอบเขตของแหล่งมรดกโลก เพื่อประกอบกํารเสนอ ขอ ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทํางธรรมชําติ และยังเป็นกํารกันพื้นที่อยู่อําศัยของ ประชําชน ที่เป็นชุมชนและป่ําเสื่อมโทรมซึ่งมิได้มีคุณค่ําในเชิงอนุรักษ์ออกไป อันเป็นกํารส่งเสริม ให้กํารบริหํารจัดกํารพื้นที่มรดกโลกของประเทศไทยเป็นไปอย่ํางมีประสิทธิภําพอีกด้วย โดยที่ผ่ํานมําหน่วยงํานภําครัฐก็ได้อําศัยควํามไม่ชัดเจนของแนวเขตอุทยํานแห่งชําติ ทับลํานดังกล่ําว กระท�ํากํารละเมิดต่อสิทธิและเสรีภําพของประชําชนที่อยู่อําศัยและท�ํากิน ในพื้นที่ทับซ้อนมําโดยตลอด มีกํารบังคับใช้กฎหมํายอุทยํานเพื่อสกัดกั้นกํารใช้สอยพื้นที่ ดังกล่ําวในรูปแบบต่ําง ๆ เช่น ห้ํามมีสิ่งปลูกสร้ํางถําวร ห้ํามสร้ํางถนน ห้ํามก่อสร้ําง แผ้วถํางป่ํา หรือกระท�ําด้วยประกํารใด ๆ ให้เสื่อมหรือเปลี่ยนแปลงสภําพพื้นที่ไปจํากเดิม ฯลฯ รวมถึง จับกุมประชําชนที่ฝ่ําฝืนข้อห้ํามดังกล่ําว เป็นเหตุให้ประชําชนซึ่งได้อยู่อําศัยและท�ํากิน ในบริเวณพื้นที่ดังกล่ําวไม่สํามํารถใช้ชีวิตได้อย่ํางปกติสุข โดยเฉพําะสิทธิในที่ดินท�ํากินตํามที่ รัฐธรรมนูญให้กํารรับรองคุ้มครองไว้ในมําตรํา 37 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 เนื่องจํากผู้ร้องเรียนและประชําชนในพื้นที่ดังกล่ําวไม่สํามํารถขอออก เอกสํารสิทธิตํามประมวลกฎหมํายที่ดินและกฎหมํายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แม้บํางรํายมี เอกสํารแสดงสิทธิตํามประมวลกฎหมํายที่ดิน โดยมีกํารส�ํารวจออกหนังสือรับรองกํารท�ําประโยชน์ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 174
ในที่ดิน ส.ค. 1, น.ส. 3, น.ส. 3ก. และโฉนดที่ดิน (น.ส. 4จ.) ก่อนที่จะมีกํารประกําศเป็น อุทยํานแห่งชําติทับลํานในปี พ.ศ. 2524 ก็ตําม อําจกล่ําวได้ว่ํากํารประกําศเขตอุทยําน แห่งชําติทับลําน โดยอําศัยเพียงแผนที่แนวเขตอุทยํานแห่งชําติทับลํานที่กระท�ําโดยมิชอบ ของพนักงํานเจ้ําหน้ําที่ เป็นเหตุให้เกิดควํามไม่ชัดเจนในเรื่องแนวเขตของอุทยํานแห่งชําติ ทับลําน เปิดช่องให้เจ้ําหน้ําที่ของรัฐอําศัยควํามไม่ชัดเจนในเรื่องแนวเขตมําป้องปรํามและ ห้ํามประชําชนที่อําศัยและท�ํากินในพื้นที่ดังกล่ําวกระท�ํากํารใด ๆ กํารกระท�ําของหน่วยงําน ของรัฐและเจ้ําหน้ําที่ของรัฐในลักษณะดังกล่ําวจึงเป็นกํารละเมิดต่อสิทธิและเสรีภําพของ ผู้ร้องเรียนและประชําชนในพื้นที่ตํามที่รัฐธรรมนูญให้กํารรับรองและคุ้มครองไว้ โดยเฉพําะ สิทธิในที่ดินท�ํากินตํามควํามในมําตรํา 37 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ที่บัญญัติไว้ว่ํา “บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและกํารสืบมรดก…” เนื่องจํากผู้ร้องเรียนและประชําชนในพื้นที่ดังกล่ําวไม่สํามํารถขอออกเอกสํารสิทธิ ตํามประมวลกฎหมํายที่ดินและกฎหมํายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ อีกทั้ง ยังเป็นกํารละเมิดเสรีภําพในกํารประกอบอําชีพตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 40 ที่บัญญัติไว้ว่ํา “บุคคลย่อมมีเสรีภําพในกํารประกอบอําชีพ…” เป็นกํารละเมิดเสรีภําพ ในกํารเดินทํางและกํารเลือกถิ่นที่อยู่ ตํามมําตรํา 38 ที่บัญญัติไว้ว่ํา “บุคคลย่อมมีเสรีภําพ ในกํารเดินทํางและกํารเลือกถิ่นที่อยู่…” และเป็นกํารละเมิดสิทธิบุคคลและชุมชน ในกํารใช้ประโยชน์จํากทรัพยํากรธรรมชําติ สิ่งแวดล้อม และควํามหลํากหลํายทํางชีวภําพ อย่ํางสมดุลและยั่งยืน ตํามมําตรํา 43 (2) ที่บัญญัติไว้ว่ํา “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ… (2) จัดกําร บ�ํารุงรักษํา และใช้ประโยชน์จํากทรัพยํากรธรรมชําติ สิ่งแวดล้อม และ ควํามหลํากหลํายทํางชีวภําพอย่ํางสมดุลและยั่งยืนตํามวิธีกํารที่กฎหมํายบัญญัติ” อีกด้วย นอกจํากนี้ กํารกระท�ําของหน่วยงํานภําครัฐและเจ้ําหน้ําที่ของรัฐดังกล่ําวยังมี ลักษณะเป็นกํารเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เนื่องจํากประชําชนในพื้นที่ดังกล่ําว พึงได้รับกํารปฏิบัติจํากเจ้ําหน้ําที่ของรัฐในลักษณะเดียวกันกับประชําชนในพื้นที่อื่น ๆ แต่รัฐ หําได้กระท�ําเช่นนั้นไม่ กลับอ้ํางกฎหมํายอุทยํานมําจ�ํากัดสิทธิของประชําชนที่อําศัยและ ท�ํากินในพื้นที่ดังกล่ําว อันเป็นกํารเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้องเรียนและประชําชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 175
ในพื้นที่ดังกล่ําว ตํามมําตรํา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 อีกทั้ง ยังเป็นกํารละเมิดสิทธิและเสรีภําพอื่น ๆ ตํามที่รัฐธรรมนูญให้กํารรับรองและคุ้มครอง ไว้ตํามมําตรํา 25 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ถึงแม้ว่ําปัจจุบันได้มีกํารประกําศใช้พระรําชบัญญัติอุทยํานแห่งชําติ พ.ศ. 2562 โดยบทเฉพําะกําล ควํามในมําตรํา 64 จะก�ําหนดให้กรมอุทยํานแห่งชําติ สัตว์ป่ํา และพันธุ์พืช ส�ํารวจกํารถือครองที่ดินของประชําชนที่อยู่อําศัยหรือท�ํากินในอุทยํานแห่งชําติแต่ละแห่ง ให้แล้วเสร็จภํายใน 240 วัน นับแต่วันที่พระรําชบัญญัติใช้บังคับ และก�ําหนดให้รัฐบําล มีแผนงํานหรือนโยบํายในกํารช่วยเหลือประชําชนที่ไม่มีที่ดินท�ํากินและได้อยู่อําศัยหรือ ท�ํากินในอุทยํานแห่งชําติที่มีกํารประกําศก�ําหนดมําก่อนวันที่พระรําชบัญญัติใช้บังคับ ก็เป็นกํารแก้ไขปัญหําส�ําหรับประชําชนที่อยู่อําศัยและท�ํากินในอุทยํานแห่งชําติเท่ํานั้น แต่บทบัญญัติดังกล่ําวมิได้แก้ไขปัญหําส�ําหรับประชําชนที่อยู่อําศัยและท�ํากินในพื้นที่ ทับซ้อนกับอุทยํานแห่งชําติ ซึ่งเป็นกํารกระท�ําที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภําพของผู้ร้องเรียน และประชําชนในพื้นมํากยิ่งขึ้นกว่ําเดิม สรุปได้ว่ํา ผู้ร้องเรียนและประชําชนที่อยู่อําศัยและท�ํากินบริเวณพื้นที่ทับซ้อน และพิพําทกับอุทยํานแห่งชําติ เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพโดยตรงและ ได้รับควํามเดือดร้อนหรือเสียหําย และอําจจะเดือดร้อนหรือเสียหํายโดยมิอําจหลีกเลี่ยงได้ อันเนื่องจํากกํารกระท�ําที่เป็นกํารละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพนั้น ซึ่งเกิดจํากกํารกระท�ําของ หน่วยงํานของรัฐและเจ้ําหน้ําที่ของรัฐ กํารกระท�ํานั้นจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่ง รําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 25 มําตรํา 27 มําตรํา 37 มําตรํา 38 มําตรํา 40 และมําตรํา 43 (2) ดังนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยื่นค�ําร้องต่อ ศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัย ตํามมําตรํา 46 ของพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 176
ต่อมําศําลรัฐธรรมนูญมีค�ําสั่งศําลรัฐธรรมนูญ ที่ 72/2563 ลงวันที่ 23 ธันวําคม 2563 ไม่รับค�ําร้องไว้พิจํารณํา เนื่องจํากเป็นกรณีที่มีกฎหมํายบัญญัติให้บุคคลสํามํารถ ใช้สิทธิตํามกระบวนกํารยุติธรรมอื่นได้อยู่แล้ว เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมํายประกอบ รัฐธรรมนูญได้ก�ําหนดกระบวนกํารร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศําลพิจํารณําวินิจฉัยไว้เป็น กํารเฉพําะแล้ว ตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 47 (2) ถึงแม้ว่ําศําลรัฐธรรมนูญจะมีค�ําสั่งไม่รับค�ําร้องไว้พิจํารณําก็ตําม แต่แสดงให้เห็นถึง บทบําทและภํารกิจอันส�ําคัญประกํารหนึ่งของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในกํารพิจํารณําด�ําเนินกําร แสวงหําข้อเท็จจริงและยื่นค�ําร้องพร้อมด้วยควํามเห็นต่อศําลรัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้อง คุ้มครองสิทธิและเสรีภําพของประชําชนตํามที่ได้รับกํารรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีส่วนช่วยให้หน่วยงํานภําครัฐได้ตระหนักและให้ควํามส�ําคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่ําว อันเป็นส่วนหนึ่งในกํารสร้ํางควํามเป็นธรรมให้กับประชําชนภํายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 177
เรื่องที่ 3 วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ร้องเรียนให้ด�ารงต�าแหน่งตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสาม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 และมาตรา 198 และเป็นการละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพอันเป็นผลจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ยื่นค�ําร้องพร้อมด้วยควํามเห็น ต่อศําลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจํารณําวินิจฉัยตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 213 กรณีวุฒิสภําไม่ให้ ควํามเห็นชอบผู้ร้องเรียนซึ่งได้รับกํารคัดเลือกจํากคณะกรรมกํารตุลํากํารศําลปกครอง ให้ด�ํารงต�ําแหน่งตุลํากํารศําลปกครองสูงสุด ขัดต่อหลักควํามเสมอภําคและควํามเป็นอิสระ ของกํารบริหํารงํานบุคคลเกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครอง เป็นกํารกระท�ําที่ละเมิดสิทธิ หรือเสรีภําพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ อันเป็นผลจํากพระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครอง และวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 15 วรรคสําม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มําตรํา 27 และมําตรํา 198 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินปรึกษําหํารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจํารณําข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมํายที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่ํา ผู้ร้องเรียนเป็นบุคคลที่ได้รับกํารคัดเลือกจําก คณะกรรมกํารตุลํากํารศําลปกครอง (ก.ศป.) ให้ด�ํารงต�ําแหน่งตุลํากํารศําลปกครองสูงสุด แต่วุฒิสภําไม่ให้ควํามเห็นชอบ ผู้ร้องเรียนจึงเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพโดยตรง และได้รับควํามเดือดร้อนเสียหําย หรืออําจจะเดือดร้อนเสียหํายโดยมิอําจหลีกเลี่ยงได้ อันเป็นผลจํากบทบัญญัติแห่งกฎหมํายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เป็นไปตํามหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไขตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของ ศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 และมําตรํา 48 จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้ําที่และ อ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะรับเรื่องร้องเรียนนี้ไว้พิจํารณําและวินิจฉัยได้ ตําม พระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มําตรํา 22 (4) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 178
กรณีเรื่องร้องเรียนนี้ กํารแต่งตั้งต�ําแหน่งผู้พิพํากษําและตุลํากํารมีสิ่งที่มีสําระ ส�ําคัญเหมือนกัน กล่ําวคือ เป็นข้ํารําชกํารตุลํากํารที่มีหน้ําที่พิจํารณําพิพํากษําอรรถคดี ซึ่งเป็นอ�ํานําจของฝ่ํายตุลํากํารเหมือนกัน กํารที่กฎหมํายก�ําหนดวิธีกํารแต่งตั้งตุลํากําร ศําลปกครองสูงสุดต้องขอควํามเห็นชอบต่อวุฒิสภําก่อน จึงไม่สอดคล้องกับวิธีกํารแต่งตั้ง ผู้พิพํากษําในศําลยุติธรรมที่ไม่จ�ําเป็นต้องขอควํามเห็นชอบต่อวุฒิสภํา ถือเป็นกํารปฏิบัติ ที่แตกต่ํางกันต่อสิ่งที่มีสําระส�ําคัญเหมือนกัน ดังนั้น จึงขัดต่อหลักควํามเสมอภําค ตํามมําตรํา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ส่วนกรณี กํารแต่งตั้งตุลํากํารศําลปกครองสูงสุดต้องขอควํามเห็นชอบต่อวุฒิสภําก่อน จึงน�ําควําม กรําบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณําโปรดเกล้ําฯ แต่งตั้ง ตํามพระรําชบัญญัติจัดตั้ง ศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 15 วรรคสํามนั้น รัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 198 บัญญัติว่ํา “กํารบริหํารงํานบุคคล เกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครองต้องมีควํามเป็นอิสระ และด�ําเนินกํารโดยคณะกรรมกําร ตุลํากํารศําลปกครอง ซึ่งประกอบด้วยประธํานศําลปกครองสูงสุดเป็นประธําน และ กรรมกํารผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นตุลํากํารในศําลปกครอง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งไม่เป็นหรือ เคยเป็นตุลํากํารในศําลปกครองไม่เกินสองคน บรรดําที่ได้รับเลือกจํากข้ํารําชกํารตุลํากําร ศําลปกครอง ทั้งนี้ ตํามที่กฎหมํายบัญญัติ” โดยที่ไม่ได้บัญญัติให้กํารแต่งตั้งตุลํากําร ศําลปกครองสูงสุดต้องขอควํามเห็นชอบต่อวุฒิสภําดังเช่นที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2540 มําตรํา 277 วรรคสอง และรัฐธรรมนูญ แห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2550 มําตรํา 224 วรรคสอง แต่อย่ํางใด กํารที่ วุฒิสภําให้ควํามเห็นชอบหรือไม่ให้ควํามเห็นชอบรํายชื่อผู้ที่ ก.ศป. คัดเลือกให้ด�ํารงต�ําแหน่ง ตุลํากํารศําลปกครองสูงสุด เป็นขั้นตอนหนึ่งในกํารแต่งตั้งตุลํากํารศําลปกครอง ถือเป็น กํารบริหํารงํานบุคคลเกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครอง ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้กํารบริหําร งํานบุคคลเกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครองต้องมีควํามเป็นอิสระ และด�ําเนินกํารโดย ก.ศป. กํารที่พระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 15 วรรคสําม ก�ําหนดให้อ�ํานําจวุฒิสภําให้ควํามเห็นชอบหรือไม่ให้ควํามเห็นชอบรํายชื่อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 179
ผู้ที่ ก.ศป. คัดเลือกให้ด�ํารงต�ําแหน่งตุลํากํารศําลปกครองสูงสุด ถือเป็นกํารแทรกแซง กํารบริหํารงํานบุคคลเกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครอง จึงขัดต่อควํามเป็นอิสระของกํารบริหําร งํานบุคคลเกี่ยวกับตุลํากํารศําลปกครอง ตํามมําตรํา 198 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ด้วยเหตุผลดังกล่ําว พระรําชบัญญัติจัดตั้งศําลปกครองและวิธีพิจํารณําคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มําตรํา 15 วรรคสําม จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 27 และมําตรํา 198 กํารกระท�ําของวุฒิสภําจึงเป็นกํารกระท�ํา ที่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพของผู้ร้องเรียนที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ อันเป็นผลจํากบทบัญญัติ แห่งกฎหมํายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยื่นค�ําร้องต่อ ศําลรัฐธรรมนูญ ตํามพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มําตรํา 46 และมําตรํา 48 ต่อมําศําลรัฐธรรมนูญได้สั่งรับค�ําร้องของผู้ตรวจกํารแผ่นดินไว้พิจํารณําเมื่อวันที่ 18 สิงหําคม 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 180
หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน รับไว้พิจารณา (เรื่อง) เสนอเรื่องต่อศาล (เรื่อง) ยุติเรื่อง (เรื่อง) 1. เสนอเรื่องต่อศําลรัฐธรรมนูญ กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมํายมีปัญหํา เกี่ยวกับควํามชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 48 - 48 2. เสนอเรื่องต่อศําลปกครอง กรณี กฎ ค�ําสั่ง หรือกํารกระท�ําอื่นใดของ หน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐ มีปัญหําเกี่ยวกับควํามชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือกฎหมําย 34 1 33 3. ยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญ กรณีพิจํารณําค�ําร้องของบุคคลซึ่งถูก ละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพที่รัฐธรรมนูญ คุ้มครองไว้ ตํามพระรําชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณําของ ศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 60 7 53 รวมทั้งสิ้น 142 8 134 ตารางแสดงจ�านวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจ ในการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 181
บทที่ การวิเคราะห์รายละเอียดผลการด�าเนินงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 183
- สัมฤทธิผลของผลการด�าเนินงานในภาพรวม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 184
1.1 ความส�าเร็จในการบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ประเมินสัมฤทธิผลของผลกํารด�ําเนินงํานในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ในภําพรวม เปรียบเทียบกับเป้ําหมํายและตัวชี้วัด ตํามแผนยุทธศําสตร์ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 - 2565) ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 185
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับและเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน กลยุทธ์ที่ 1.1 พัฒนาแนวทางในการให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนําระบบกํารปฏิบัติงําน กํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน ของประชําชนจํากกํารไม่ปฏิบัติหน้ําที่ หรือกํารปฏิบัตินอกเหนือหน้ําที่และอ�ํานําจ ตํามกฎหมํายของหน่วยงํานของรัฐหรือเจ้ําหน้ําที่ของรัฐตลอดจนกํารปรับปรุงกฎหมําย ที่เป็นภําระแก่ประชําชน โดยมุ่งเน้นกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนในเชิงระบบ ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนเรื่องที่ได้มีการเสนอแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ 6 เรื่อง 6 เรื่อง รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากจ�ํานวนเรื่องที่มีกํารศึกษําและเป็นข้อเสนอ เพื่อให้มีกํารแก้ไขปรับปรุงกฎหมําย กฎ ระเบียบ ขั้นตอนกํารปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมให้แก่ประชําชนในวงกว้ําง ลดปัญหําเรื่องร้องเรียน ในประเด็นกํารร้องซ�้ํา (กํารด�ําเนินกํารไม่น้อยกว่ําเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้ในแต่ละปี) ซึ่งเป็นกํารด�ําเนินงํานตํามมําตรํา 230 ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารศึกษํา ปัญหําเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขในเชิงระบบแล้วเสร็จ จ�ํานวน 6 เรื่อง ประกอบด้วย 1. กํารสนับสนุนกํารปฏิบัติหน้ําที่ของบุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากร สําธํารณสุขทุกระดับในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) 2. โครงกํารกํารบริหํารจัดกํารที่ดินของประเทศไทย กรณีศึกษําปัญหํากํารออก เอกสํารสิทธิในกํารถือครองที่ดินให้กับประชําชน 3. กํารแก้ไขปัญหํากํารสําธํารณสุขของประชําชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่ เกําะพะงัน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 186
- โครงกํารศึกษําเรื่องควํามเหมําะสมในกํารเก็บค่ําธรรมเนียมกํารติดตั้งประปําใหม่ ให้กับผู้ขอใช้น�้ํา กรณีศึกษํากํารประปํานครหลวง 5. กํารศึกษําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนําสถํานีกลํางบํางซื่อ 6. กํารพัฒนําระบบกํารแพทย์ฉุกเฉินทํางทะเล ตํามนโยบําย “ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ยกระดับควํามปลอดภัยทํางน�้ํา” และกํารด�ําเนินงํานของศูนย์กํารแพทย์เขําหลัก จังหวัด พังงํา และโครงกํารจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล (Andaman Hub Medical Network) โดยมีรํายละเอียด ดังนี้ 1. การสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากร สาธารณสุขทุกระดับในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เนื่องด้วยสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) ที่เริ่มเข้ํามําแพร่ระบําดในประเทศไทยเมื่อเดือนมกรําคม 2563 ซึ่งใน ขณะนั้นถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีกํารเตรียมควํามพร้อม เพื่อรับมือกับสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อดังกล่ําว บุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากรสําธํารณสุขจึงต้องปฏิบัติหน้ําที่ในกํารรักษําและป้องกันโรคดังกล่ําวภํายใต้ สถํานกํารณ์ที่องค์ควํามรู้มีกํารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลํา และปัจจุบันสถํานกํารณ์ กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) เข้ําสู่กํารแพร่ระบําดระลอกใหม่ จํากไวรัสโคโรนําเชื้อกลํายพันธุ์ สํายพันธุ์โอมิครอน (omicron) ซึ่งอัตรํากํารแพร่ระบําด เป็นไปอย่ํางรวดเร็ว บุคลํากรทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุขจึงเปรียบเสมือนนักรบ ด่ํานหน้ํา ที่ต้องต่อสู้กับเชื้อโรค รวมถึงเผชิญหน้ํากับปัญหําและอุปสรรคนํานําประกําร และ ยังต้องปฏิบัติหน้ําที่อยู่ภํายใต้ภําวะควํามกดดันจํากสังคมและควํามคําดหวังของประชําชน อย่ํางหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้หยิบยกปัญหําดังกล่ําว และมีด�ําริให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินศึกษํา แสวงหําข้อเท็จจริงและรวบรวมปัญหําและอุปสรรคในกํารปฏิบัติงํานของ บุคลํากรทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุขทุกระดับในสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําด ผู้ตรวจการแผ่นดิน 187
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) รวมทั้งได้มีกํารประชุมรับฟังปัญหําและ อุปสรรคในกํารปฏิบัติงํานจํากบุคลํากรทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุข ซึ่งจํากกําร แสวงหําข้อเท็จจริง สํามํารถสรุปปัญหําและอุปสรรคในกํารปฏิบัติงํานของบุคลํากร ทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุขในสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID-19) ได้เป็น 4 ด้ําน ได้แก่ ด้ํานกํารบริหํารจัดกําร ด้ํานกฎหรือ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ด้ํานงบประมําณ และด้ํานกํารประชําสัมพันธ์และกํารสื่อสําร ผู้ตรวจกําร แผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐ โดยให้ศูนย์บริหํารสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) มอบหมํายหน่วยงํานที่รับผิดชอบในแต่ละ ประเด็น เพื่อศึกษําและหําแนวทํางในกํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําวอย่ํางเป็นรูปธรรมและเป็นระบบ ดังนี้ 1. ด้านการบริหารจัดการ 1.1 ปัญหํากํารบริหํารจัดกํารเตียงผู้ป่วย ในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําด ของโรคที่มีอัตรําผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ควรมีหน่วยงํานที่รับผิดชอบในกํารจัดท�ําระบบกํารจัดกําร เตียงและส่งต่อผู้ป่วย เพื่อให้กํารบริหํารจัดกํารเตียงและส่งต่อผู้ป่วยด�ําเนินไปอย่ําง เป็นระบบ เหมําะสมต่ออํากํารและระดับควํามรุนแรงของโรค 1.2 ปัญหํากํารจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ให้กับบุคลํากรทํางกํารแพทย์และ บุคลํากรสําธํารณสุขยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ให้บริกํารสําธํารณสุขบํางประเภท รัฐควรมีกํารวําง ยุทธศําสตร์ด้ํานกํารบริหํารจัดกํารวัคซีนที่มีคุณภําพและเหมําะสม เพื่อให้บุคลํากร ทํางกํารแพทย์ บุคลํากรสําธํารณสุขด่ํานหน้ํา ทั้งที่ปฏิบัติงํานในโรงพยําบําลภําครัฐ และ มิได้ปฏิบัติงํานในโรงพยําบําลภําครัฐ รวมถึงประชําชนได้รับวัคซีนโดยครอบคลุม ทั่วถึง และทันต่อสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรค 1.3 ปัญหําอัตรําก�ําลังของบุคลํากรทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุข ไม่เพียงพอต่อภําระงําน รัฐควรให้กํารสนับสนุนในกํารเพิ่มอัตรําก�ําลังกํารผลิตบุคลํากร ทํางกํารแพทย์และบุคลํากรสําธํารณสุขเฉพําะทํางให้มํากขึ้น รวมทั้งควรมีหน่วยงําน ที่รับผิดชอบในกํารจัดท�ําระบบจิตอําสํา เพื่อให้จิตอําสําได้เข้ํามําสนับสนุนกํารปฏิบัติหน้ําที่ ของบุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากรสําธํารณสุขที่อยู่ในระบบได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 188
1.4 ปัญหําแรงงํานต่ํางด้ําวที่ลักลอบเข้ําประเทศในพื้นที่เสี่ยงตํามแนวเขต ชํายแดน รัฐควรมีมําตรกํารในกํารควบคุมและจัดกํารกับปัญหําแรงงํานต่ํางด้ําวที่ลักลอบ และหลบหนีเข้ําประเทศ โดยมีกํารบังคับใช้กฎหมํายอย่ํางเคร่งครัดและจริงจัง 1.5 ปัญหํากํารบริหํารจัดกํารขยะมูลฝอย รัฐควรมีหน่วยงํานที่รับผิดชอบและ ได้รับกํารจัดสรรงบประมําณเกี่ยวกับกํารบริหํารจัดกํารขยะมูลฝอยทั้งขยะติดเชื้อและขยะ ไม่ติดเชื้อที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม 1.6 ปัญหําอุปกรณ์ทํางกํารแพทย์ที่ได้รับบริจําคไม่มีคุณภําพ รัฐควรมี ศูนย์กลํางในกํารรับบริจําคอุปกรณ์ทํางกํารแพทย์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นกํารตรวจสอบคุณภําพและ ควํามเหมําะสมก่อนที่จะท�ํากํารกระจํายไปยังสถํานพยําบําลหรือหน่วยงํานต่ําง ๆ 2. ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง 2.1 ปัญหําข้อติดขัดเกี่ยวกับกฎหมําย กฎระเบียบ และขั้นตอนทํางรําชกําร ในกํารจัดหําวัคซีน รัฐควรรวบรวมข้อติดขัดด้ํานกฎหมําย กฎระเบียบและขั้นตอนของ ทํางรําชกํารเกี่ยวกับกํารจัดหําวัคซีนโควิด 19 รวมถึงวัคซีนอื่น ๆ ที่อําจจะมีกํารคิดค้น และพัฒนําขึ้นในอนําคต รวมทั้งเร่งผลักดันให้ร่ํางพระรําชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ที่เป็นกํารแก้ไขเพิ่มเติมพระรําชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2554 ให้มีผลใช้บังคับ 2.2 ปัญหําข้อติดขัดเกี่ยวกับกฎหมํายกํารจัดซื้อจัดจ้ํางพัสดุ รัฐควรศึกษํา ข้อติดขัดเกี่ยวกับกฎหมํายกํารจัดซื้อจัดจ้ํางและกํารบริหํารพัสดุภําครัฐ รวมถึงแนวทําง ปฏิบัติส�ําหรับกํารจัดซื้อจัดจ้ํางพัสดุ ในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID-19) ให้เกิดควํามคล่องตัว ลดขั้นตอนในกํารด�ําเนินกําร 2.3 รัฐควรเร่งประกําศหลักเกณฑ์กํารจ่ํายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริกําร สําธํารณสุขที่ได้รับควํามเสียหํายจํากกํารให้บริกํารสําธํารณสุขตํามอัตรําใหม่ ซึ่งคณะ รัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว รวมทั้งพิจํารณําเกี่ยวกับกํารก�ําหนดอัตรําค่ําตอบแทนเสี่ยงภัย ของเจ้ําหน้ําที่ที่ปฏิบัติงํานในกํารเฝ้ําระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษําผู้ป่วย โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) ใหม่ เนื่องจํากปัจจุบันมีกํารก�ําหนดในอัตรํา ไม่เท่ํากัน ขึ้นอยู่กับต�ําแหน่งหรือคุณวุฒิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 189
2.4 รัฐควรศึกษําข้อจ�ํากัดและวํางระบบกํารรักษําพยําบําลผู้ป่วยในช่วง สถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคอุบัติใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วยที่ใช้สิทธิกํารรักษําพยําบําล จํากทุกระบบได้รับกํารรักษําพยําบําลเป็นมําตรฐํานเดียวกัน 2.5 ปัญหําข้อจ�ํากัดเกี่ยวกับกฎหมํายวิชําชีพกํารพยําบําลและกํารผดุงครรภ์ รัฐควรด�ําเนินกํารศึกษําหรือท�ําให้เกิดควํามชัดเจนว่ําผู้ประกอบวิชําชีพพยําบําลและ กํารผดุงครรภ์สํามํารถปฏิบัติหน้ําที่เพื่อเป็นกํารดูแลรักษําผู้ป่วยได้เพียงใด ทั้งนี้ เพื่อให้ สอดคล้องกับสถํานกํารณ์ควํามรุนแรงของโรคติดเชื้อในปัจจุบัน 2.6 ปัญหําข้อจ�ํากัดเกี่ยวกับกฎหมํายควํามรับผิดของบุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากรสําธํารณสุข ในกํารบริหํารจัดกํารวัคซีนหรือยํารักษําที่เสื่อมสภําพหรือ หมดอํายุกํารใช้งําน รัฐควรมีกลไกในกํารปกป้องคุ้มครองบุคลํากรทํางกํารแพทย์และ บุคลํากรสําธํารณสุขที่ปฏิบัติหน้ําที่ด้วยควํามสุจริตด้วย 2.7 ปัญหําอําชญํากรรมทํางเทคโนโลยี รัฐควรมีมําตรกํารในกํารแก้ไขปัญหํา อําชญํากรรมในรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่ํางจริงจัง โดยเร่งน�ํากลุ่มมิจฉําชีพที่กระท�ํา ควํามผิดมําด�ําเนินคดีทํางกฎหมําย รวมทั้งหําแนวทํางกํารป้องกันปัญหําดังกล่ําวอย่ํางเป็น รูปธรรม 3. ด้านงบประมาณ 3.1 ปัญหํากํารเบิกจ่ํายค่ํารักษําพยําบําลจํากกองทุนสิทธิกํารรักษําพยําบําล ของผู้ป่วย รัฐควรศึกษําหําแนวทํางควํามเป็นไปได้ในกํารจัดตั้งกองทุนกลํางส�ําหรั บ กํารรักษําพยําบําลผู้ป่วยในสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคอุบัติใหม่ หรือในภําวะ ฉุกเฉินขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้สถํานพยําบําลให้กํารรักษําผู้ป่วย โดยไม่ต้องค�ํานึงว่ําจะสํามํารถเบิกจ่ําย ค่ํารักษําพยําบําลจํากกองทุนสิทธิกํารรักษําพยําบําลของผู้ป่วยนั้น ๆ ได้หรือไม่ 3.2 รัฐควรมีกํารจัดสรรงบประมําณ และให้กํารสนับสนุนระบบกํารรักษํา พยําบําลทํางไกลบนเครือข่ํายสังคมออนไลน์ (Telemedicine On Social Network) ซึ่งระบบดังกล่ําวจะช่วยลดงํานที่ซ�้ําซ้อน ประหยัดเวลํา ในกํารรักษําพยําบําลของบุคลํากร ทํางกํารแพทย์และสําธํารณสุข รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 190
3.3 รัฐควรให้ควํามส�ําคัญในกํารจัดสรรงบประมําณเพื่อสนับสนุนงํานวิจัย ในด้ํานกํารแพทย์และกํารสําธํารณสุข เพื่อเตรียมควํามพร้อมให้ประเทศไทยสํามํารถพึ่งพํา ตนเองได้ 4. ด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร 4.1 รัฐควรจัดตั้งหน่วยหรือคณะกรรมกํารที่รับผิดชอบงํานด้ํานกํารประชําสัมพันธ์ และกํารสื่อสํารในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดโรคอุบัติใหม่โดยเฉพําะ เพื่อให้มีศูนย์กลําง ในกํารประชําสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่ําวสํารให้กับประชําชน อีกทั้งควรมีมําตรกํารป้องกัน และแก้ไขปัญหําข่ําวปลอมอย่ํางจริงจัง 4.2 รัฐควรรวมแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันทั้งหมดส�ําหรับกํารประชําสัมพันธ์ ให้ควํามรู้ และกํารเฝ้ําระวังสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) รวมไว้เป็นแอปพลิเคชันหลักเพียงแอปพลิเคชันเดียว เพื่อให้กํารสื่อสํารมีควํามเป็นเอกภําพ และประชําชนไม่เกิดควํามเข้ําใจที่คลําดเคลื่อน 2. โครงการการบริหารจัดการที่ดินของประเทศไทย กรณีศึกษาปัญหาการออก เอกสารสิทธิในการถือครองที่ดินให้กับประชาชน เนื่องจํากในช่วงปีงบประมําณ พ.ศ. 2552 – 2559 ที่ผ่ํานมํา ผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกํารไม่ออกโฉนดหรือเอกสํารสิทธิถือครองที่ดินจ�ํานวน กว่ํา 376 เรื่อง โดยเป็นเรื่องที่รับไว้พิจํารณํา 354 เรื่อง หรือร้อยละ 94.15 ในจ�ํานวนนี้ กว่ํา 273 เรื่อง หรือร้อยละ 77.12 มีลักษณะเป็นเรื่องกํารละเลยไม่ปฏิบัติหน้ําที่ที่ก่อให้เกิด ควํามเสียหํายแก่ผู้ร้องเรียน และจ�ํานวน 212 เรื่องหรือร้อยละ 59.89 เป็นกรณีของผู้ร้อง ที่ไม่มีเอกสํารสิทธิในที่ดินใด ๆ ในกํารอยู่อําศัยและท�ํากิน โดยมีจ�ํานวน 259 เรื่อง หรือ ร้อยละ 68.88 เป็นผู้ร้องเรียนที่อยู่ในภําคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินศึกษําจึงได้ท�ํากํารศึกษําในประเด็นกํารบริหํารจัดกํารที่ดิน ของประเทศไทย กรณีศึกษําปัญหํากํารออกเอกสํารสิทธิในกํารถือครองที่ดินให้กับประชําชน เพื่อสรุปสภําพปัญหําในเรื่องนี้และจัดท�ําข้อเสนอแนะต่อหน่วยงํานภําครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนําให้เกิดกํารแก้ไขปัญหําให้กับประชําชนในภําพรวมต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 191
ผลจํากกํารศึกษําสํามํารถสรุปสําเหตุ สภําพของปัญหํา และข้อเสนอแนะได้ดังนี้ 1. ปัญหํากํารไร้ที่อยู่อําศัยและที่ท�ํากินของประชําชน คือ จํากสัดส่วนของเรื่องร้องเรียน ทั้งหมดที่ได้รับไว้พิจํารณํา จ�ํานวนกว่ําร้อยละ 59.89 เป็นกรณีที่ผู้ร้องเรียนเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ อําศัยและที่ดินท�ํากินเป็นของตนเอง ดังนั้นหน่วยงํานภําครัฐที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดสรรที่ดิน ท�ํากินเพื่อแก้ไขปัญหํากํารไร้ที่อยู่อําศัยและที่ท�ํากินของประชําชนเป็นข้อเร่งด่วน และแม้ว่ํา รัฐบําลจะมีนโยบํายแก้ไขปัญหําดังกล่ําวมําโดยตลอดแต่ก็เกิดข้อขัดแย้งกับประชําชน ในหลํายพื้นที่จํากนโยบํายกํารอนุรักษ์พื้นที่ป่ําไม้ จึงเห็นควรให้ควํามส�ําคัญในกํารแก้ไข ปัญหํานี้อย่ํางจริงจัง โดยค�ํานึงถึงกํารไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่ําไม้และพื้นที่ต้องสงวนรักษํา ไว้ของรัฐ และเป็นไปด้วยควํามร่วมมือของทุกหน่วยงําน องค์กร ที่เกี่ยวข้อง เช่น ให้ชุมชน มีส่วนร่วมในกํารดูแลรักษําป่ําเพื่อลดควํามขัดแย้งระหว่ํางภําครัฐและประชําชนต่อไป 2. ปัญหํากํารขําดกํารบูรณํากํารเรื่องแนวเขตและกํารจัดระบบระวํางแผนที่ของรัฐ ในภําพรวม คือ ปัจจุบันยังคงมีปัญหําควํามไม่ชัดเจนของแนวเขต ปัญหําควํามทับซ้อนของ ระวํางแผนที่กับหน่วยงํานอื่น ๆ ของกรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงํานหลักในกํารมีหน้ําที่และ อ�ํานําจในกํารออกโฉนด/เอกสํารสิทธิในที่ดิน ปัญหํากํารขําดมําตรฐํานที่ชัดเจนของมําตรําส่วน แผนที่ระหว่ํางหน่วยงํานต่ําง ๆ เช่น กรมที่ดินใช้มําตรําส่วน 1 : 4,000 แต่ส�ํานักงํานกําร ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมใช้ 1 : 50,000 เป็นต้น ซึ่งแม้ว่ํารัฐบําลก�ําลังพยํายํามปรับปรุง ให้แผนที่แนวเขตของรัฐให้เป็นหนึ่งเดียวกัน (One Map) แต่โครงกํารดังกล่ําวไม่มีกํารระบุเวลํา ก�ําหนดเสร็จที่แน่นอน ดังนั้นจึงควรให้ควํามส�ําคัญและเร่งด�ําเนินกํารให้ส�ําเร็จอย่ํางรวดเร็ว มํากขึ้น 3. ปัญหําศักยภําพกํารท�ํางํานของกรมที่ดินและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องในกํารออกโฉนด หรือเอกสํารสิทธิในที่ดิน คือ พบว่ําหน่วยงํานมีควํามขําดแคลนบุคลํากรที่มีควํามเชี่ยวชําญ เฉพําะทําง โดยเฉพําะเจ้ําหน้ําที่รังวัด เจ้ําหน้ําที่ผู้ช�ํานําญกํารในงํานบํางประเภท เทคโนโลยี ที่ใช้พิสูจน์แนวเขตที่ดิน ตลอดจนขําดเครื่องมืออุปกรณ์ทํางเทคโนโลยีที่มีควํามทันสมัย ที่ใช้ในกํารตรวจสอบรังวัด เนื่องจํากพบว่ําเครื่องมือฯ ที่มีอยู่ส่วนใหญ่มีควํามล้ําสมัยมําก และจ�ํานวนที่ทันสมัยที่สํามํารถใช้ในกํารแก้ไขปัญหําได้ก็มีไม่เพียงพอต่อกํารปฏิบัติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 192
ให้รวดเร็วได้ ดังนั้นจึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในกํารเพิ่มอัตรําก�ําลังผู้ปฏิบัติงํานที่ขําดแคลน เร่งส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงํานเกิดควํามเชี่ยวชําญในกํารใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และสนับสนุน เพิ่มเครื่องมืออุปกรณ์รุ่นใหม่ให้เกิดกํารแก้ไขปัญหําได้เร็วขึ้น 4. ปัญหํากํารขําดควํามรู้ควํามเข้ําใจเกี่ยวกับสิทธิ ขั้นตอน และกระบวนกําร ในกํารออกโฉนดหรือเอกสํารสิทธิในที่ดินต่ําง ๆ ของประชําชน จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะ ให้มีกํารประชําสัมพันธ์ ส่งเสริมควํามรู้ควํามเข้ําใจและอ�ํานวยควํามสะดวกให้แก่ประชําชน ให้มํากขึ้น เพื่อให้เกิดกํารแก้ไขปัญหําได้อย่ํางรวดเร็วจํากภําคประชําชนอีกด้วย 5. ปัญหําควํามหลํากหลําย ซับซ้อน และไม่เป็นปัจจุบันของกฎหมํายว่ําด้วย กํารจัดกํารที่ดิน คือ กฎหมํายที่เกี่ยวข้องกับกํารจัดกํารที่ดินในประเทศไทยนั้นมีจ�ํานวน หลํายฉบับซึ่งไม่เป็นไปในทิศทํางเดียวกัน กํารใช้งํานและตีควํามเกิดควํามยุ่งยํากและ ซับซ้อน และหลํายฉบับก็ออกบังคับใช้เมื่อนํานมําแล้ว จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง กฎหมํายต่ําง ๆ เหล่ํานี้ให้เป็นเอกภําพ สํามํารถใช้งํานได้ง่ําย และให้สอดคล้องกับสภําพ ปัญหําและสังคมปัจจุบันอันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชําชนและประเทศชําติสูงสุด 3. การแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขของประชาชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่ เกาะพะงัน โรงพยําบําลเกําะพะงันเป็นโรงพยําบําลที่มีประชําชนและนักท่องเที่ยวมําใช้ บริกํารเป็นจ�ํานวนมําก แต่งบประมําณที่ภําครัฐจัดสรรนั้นอ้ํางอิงจํากข้อมูลของประชํากร ในพื้นที่เพียงอย่ํางเดียว ข้อเท็จจริงปรํากฏว่ํา เกําะพะงัน จังหวัดสุรําษฎร์ธํานี มีจ�ํานวน ประชํากรประมําณ 15,470 คน จ�ํานวนประชํากรแฝงประมําณ 77,350 คน และจ�ํานวน นักท่องเที่ยวต่ํางชําติประมําณ 857,445 คน กํารจัดสรรงบประมําณจึงไม่สอดคล้องกับ ควํามต้องกํารด้ํานสําธํารณสุข จึงท�ําให้เกิดกํารขําดแคลนงบประมําณที่น�ํามําใช้ ในกํารสําธํารณสุขด้ํานต่ําง ๆ ของโรงพยําบําลเกําะพะงัน เช่น ด้ํานบุคลํากร ด้ํานอุปกรณ์ ทํางกํารแพทย์ ด้ํานอําคํารผู้ป่วย เป็นต้น ท�ําให้ประชําชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวได้รับ กํารบริกํารสําธํารณสุขไม่ทั่วถึง โดยเฉพําะอย่ํางยิ่งโรงพยําบําลเกําะพะงันต้องรองรับ กํารดูแลรักษํานักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่ํางชําติจึงมีควํามจ�ําเป็นต้องมีกํารพัฒนํา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 193
โรงพยําบําลเกําะพะงันให้มีควํามพร้อมในกํารรักษําพยําบําล มีห้องผู้ป่วยและเครื่องมือ ทํางกํารแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภําพ รวมถึงสํามํารถส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยําบําล อื่นได้ ปัญหําด้ํานสําธํารณสุขจึงเป็นปัญหําส�ําคัญที่ต้องได้รับกํารแก้ไขอย่ํางเร่งด่วน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่ําวไว้พิจํารณําและได้ลงพื้นที่ รับฟังปัญหําและร่วมประชุมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบและแสวงหําข้อเท็จจริง กรณีกํารแก้ไขปัญหํากํารสําธํารณสุขของประชําชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่เกําะพะงัน โดยโรงพยําบําลเกําะพะงันเป็นโรงพยําบําลชุมชนขนําด 10 เตียง ต่อมําโรงพยําบําล เกําะพะงันขยํายขนําดเป็น 30 เตียง สภําพปัญหําที่ส�ําคัญของโรงพยําบําล คือ กํารจัดสรร งบประมําณซึ่งพิจํารณําจํากจ�ํานวนประชํากรที่อําศัยอยู่บนเกําะพะงัน แต่ไม่ได้พิจํารณําถึง จ�ํานวนนักท่องเที่ยวที่มีจ�ํานวนมํากซึ่งมีเหตุต้องใช้บริกํารโรงพยําบําลเกําะพะงัน ดังนั้น กํารจัดสรรงบประมําณจึงไม่สอดคล้องกับควํามต้องกํารด้ํานสําธํารณสุข โดยเฉพําะอย่ํางยิ่ง โรงพยําบําลเกําะพะงันต้องรองรับกํารดูแลรักษํานักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่ํางชําติ จึงมีควํามจ�ําเป็นต้องมีกํารพัฒนําโรงพยําบําลเกําะพะงันให้มีควํามพร้อมในกํารรักษําพยําบําล มีห้องผู้ป่วยและเครื่องมือทํางกํารแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภําพ รวมถึงสํามํารถส่งต่อ ผู้ป่วยไปยังโรงพยําบําลอื่นได้ ปัญหําด้ํานสําธํารณสุขจึงเป็นปัญหําส�ําคัญที่ต้องได้รับกํารแก้ไข อย่ํางเร่งด่วน ที่ผ่ํานมําโรงพยําบําลเกําะพะงันต้องสนับสนุนงบประมําณและทรัพยํากร ให้แก่โรงพยําบําลเกําะเต่ําที่เพิ่งเปิดใหม่ เนื่องจํากเกําะเต่ําเป็นต�ําบลที่อยู่ภํายใต้อ�ําเภอ เกําะพะงัน จังหวัดสุรําษฎร์ธํานี ซึ่งโรงพยําบําลเกําะเต่ํามีควํามพร้อมทั้งแพทย์พยําบําล ห้องผู้ป่วย รวมถึง เครื่องมือทํางกํารแพทย์ในกํารรักษํา แต่ทํางกระทรวงสําธํารณสุขยังไม่ อนุมัติรหัสโรงพยําบําลเกําะเต่ําให้ ท�ําให้โรงพยําบําลเกําะพะงันต้องเข้ํามํารับผิดชอบค่ําใช้จ่ําย ของโรงพยําบําลเกําะเต่ํา แม้ทํางจังหวัดจะให้กํารช่วยเหลือด้ํานงบประมําณมําแต่ก็ไม่เพียงพอ ดังนั้น โรงพยําบําลเกําะเต่ําจึงมีควํามจ�ําเป็นที่จะต้องมีรหัสโรงพยําบําล เนื่องจํากที่ผ่ํานมํา เกิดปัญหํา เช่น โรงพยําบําลเกําะเต่ํามีเตียงผู้ป่วยแต่ไม่สํามํารถให้ผู้ป่วยนอนพักรักษําตัว ได้ที่โรงพยําบําล เพรําะกํารเปิดระบบของส�ํานักงํานหลักประกันสุขภําพแห่งชําติ (สปสช.) ต้องใส่ข้อมูลทํางคอมพิวเตอร์ ซึ่งหํากไม่มีรหัสโรงพยําบําลก็ไม่สํามํารถด�ําเนินกํารต่อไปได้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 194
ท�ําให้คนไทยที่มีสิทธิในกํารรักษําพยําบําล (30 บําท รักษําทุกโรค) ต้องจ่ํายเงินค่ํารักษํา พยําบําลเองรวมถึงค่ําตอบแทนทุรกันดําร (ฉ.11) จํากเดิมจังหวัดจ่ํายให้ แต่ล่ําสุด ทํางจังหวัดไม่จ่ํายให้และให้โรงพยําบําลเกําะพะงันจ่ํายให้แก่โรงพยําบําลเกําะเต่ําเอง โดยกระทรวงสําธํารณสุขพิจํารณําว่ํา เกําะเต่ํามีจ�ํานวนประชํากรประมําณ 2,000 คน แต่ในควํามเป็นจริงเกําะเต่ํามีนักท่องเที่ยวมํากกว่ําเกําะพะงัน ท�ําให้โรงพยําบําลเกําะพะงัน ต้องรับผิดชอบค่ําใช้จ่ํายทั้งของตนเองและของโรงพยําบําลเกําะเต่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมีค�ําวินิจฉัยและข้อเสนอแนะให้โรงพยําบําลเกําะพะงัน จัดตั้งมูลนิธิโรงพยําบําลเกําะพะงันเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนกํารปรับปรุงเครื่องมือ ทํางกํารแพทย์และปรับปรุงพื้นที่กํารให้บริกํารผู้ป่วย เพื่อกํารบริกํารผู้ป่วยมีประสิทธิภําพ และให้ด�ําเนินกํารขออนุมัติรหัสโรงพยําบําลเกําะเต่ําเพื่อเป็นกํารลดภําระงบประมําณของ โรงพยําบําลเกําะพะงัน ซึ่งปัจจุบันกํารขออนุมัติรหัสโรงพยําบําลเกําะเต่ํากระทรวงสําธํารณสุข ได้อนุมัติเลขรหัสโรงพยําบําลเกําะเต่ําแล้ว และโรงพยําบําลเกําะพะงันได้ด�ําเนินกํารจัดตั้ง มูลนิธิโรงพยําบําลเกําะพะงัน โดยนํายทะเบียนมูลนิธิจังหวัดสุรําษฎร์ธํานีได้ลงนํามกํารจัดตั้ง มูลนิธิโรงพยําบําลเกําะพะงันเมื่อวันที่ 26 กุมภําพันธ์ 2562 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจํากที่มีกํารจัดตั้งมูลนิธิโรงพยําบําลเกําะพะงัน โรงพยําบําลเกําะพะงัน ได้น�ําเงินบริจําคจํากประชําชนมําจัดสร้ํางอําคําร จัดซื้ออุปกรณ์ทํางกํารแพทย์ และกํารพัฒนํา ด้ํานอื่น ๆ ในเบื้องต้นมีกํารจัดสร้ํางอําคํารและจัดสรรสวัสดิกํารให้บุคลํากรดังนี้ (1) จัดสร้ํางห้องพิเศษเพิ่มเติมจ�ํานวน 15 ห้อง เพื่อสร้ํางรํายได้เพิ่มให้กับ ทํางโรงพยําบําล (2) จัดสร้ําง “อําคํารคลินิกพิเศษ” ซึ่งเดิมตั้งงบประมําณไว้ที่ 5,000,000 บําท แต่ได้รับบริจําคกว่ํา 8,000,000 บําท ถือว่ําประสบควํามส�ําเร็จ เป็นที่ยอมรับ และ ประชําชนต่ํางมีควํามรู้สึกเป็นส่วนร่วมกับโรงพยําบําล (3) จัดสรรสวัสดิกํารบุคลํากร สร้ํางสถํานที่พักผ่อนและออกก�ําลังกํายให้กับ บุคลํากรของโรงพยําบําล เพื่อให้เกิดควํามผ่อนคลํายและเสริมสร้ํางสุขภําพที่แข็งแรง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 195
ปัจจุบันโรงพยําบําลเกําะพะงันมีควํามพร้อมในกํารให้บริกํารผู้ป่วยทั้งชําวไทย และชําวต่ํางชําติด้วยกํารน�ําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ํามําช่วยในกํารบริหํารจัดกํารเพื่อลด กํารรอคอย ลดควํามผิดพลําด เพิ่มควํามพึงพอใจ และยกระดับกํารให้บริกํารของโรงพยําบําล ให้เป็น Smart Hospital เช่น - กํารติดตั้งเครื่อง Thermo scan , กํารติดตั้งตู้ Kiosk - กํารติดตั้งระบบประตูสแกนหน้ํา ER - IPD negative pressure , IPD Paperless ลดกํารใช้กระดําษ - ระบบส่งยําที่บ้ําน , รถจ่ํายยําอัตโนมัติ - กํารน�ําแอปพลิเคชันเข้ํามําสนับสนุนกํารให้บริกําร เช่น Application BMS Patient Consent & BMS OPD Registry เพื่อให้ผู้รับบริกํารสํามํารถลงทะเบียน เข้ํารับกํารใช้บริกํารล่วงหน้ํา และสํามํารถกรอกข้อมูลส่วนบุคคลรวมถึงอํากํารเจ็บป่วย ก่อนเดินทํางมําเข้ํารับบริกําร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับกํารบริกํารอย่ํางรวดเร็ว เพื่อให้เกิด ควํามผ่อนคลํายและเสริมสร้ํางสุขภําพที่แข็งแรง กํารที่โรงพยําบําลเกําะพะงันน�ําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ํามําช่วยในกํารบริหําร จัดกํารเพื่อลดกํารรอคอย ลดควํามผิดพลําด เพิ่มควํามพึงพอใจ และยกระดับกํารให้บริกําร ของโรงพยําบําลให้เป็น Smart Hospital ด้วย ทั้งนี้ กํารพัฒนําของโรงพยําบําลเกําะพะงัน ในด้ํานต่ําง ๆ ได้รับกํารสนับสนุนงบประมําณจํากมูลนิธิโรงพยําบําลเกําะพะงัน ในกํารจัดซื้อ อุปกรณ์ทํางกํารแพทย์ที่ทันสมัย กํารปรับปรุงอําคํารสถํานที่ และขับเคลื่อนโครงกํารต่ําง ๆ เพื่อพัฒนําโรงพยําบําลเกําะพะงัน ให้สํามํารถรองรับกํารให้บริกํารผู้ป่วยทั้งชําวไทยและ ชําวต่ํางชําติได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ และปัจจุบันโรงพยําบําลสํามํารถบริหํารจัดกํารงบประมําณ โดยมีรํายได้จํากกํารให้บริกํารด้ํานกํารแพทย์เฉลี่ยปีละ 10 – 20 ล้ํานบําท ปัญหําและอุปสรรคในกํารด�ําเนินงํานต่ําง ๆ ของโรงพยําบําลเกําะพะงัน ได้รับ กํารประสํานและแก้ไขอย่ํางต่อเนื่องกับทุกหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ลงพื้นที่ติดตําม ตรวจสอบ ประสํานงํานเพื่อแก้ไขปัญหํา ท�ําให้ปัญหําที่เกิดขึ้นจําก เรื่องร้องเรียนนี้ได้รับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนอย่ํางเหมําะสมแล้ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมี ค�ําวินิจฉัยให้ยุติประเด็นเรื่องร้องเรียนดังกล่ําวตํามมําตรํา 37 (6) แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 196
- โครงการศึกษาเรื่องความเหมาะสมในการเก็บค่าธรรมเนียมการติดตั้งประปาใหม่ ให้กับผู้ขอใช้น�้า เนื่องด้วยกํารประปําเป็นหนึ่งในสําธํารณูปโภคพื้นฐํานที่จ�ําเป็นต่อกํารด�ํารงชีวิต ของประชําชน จึงถือเป็นหน้ําที่ของรัฐที่จะต้องจัดหําหรือด�ําเนินกํารให้ ดังเช่นที่ปรํากฏใน รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ซึ่งบัญญัติไว้ด้วยว่ํากํารจัดหํา หรือด�ําเนินกํารดังกล่ําว รัฐจะต้องดูแลมิให้มีกํารเรียกเก็บค่ําบริกํารจนเป็นภําระแก่ประชําชน เกินสมควร ในกํารนี้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเห็นว่ํากํารขอติดตั้งประปําใหม่มีค่ําใช้จ่ํายต่ําง ๆ ค่อนข้ํางมําก อันอําจก่อให้เกิดภําระและควํามเหลื่อมล�้ําในกํารเข้ําถึงกํารใช้บริกํารน�้ําประปํา ของประชําชน จึงเห็นควรศึกษําถึงควํามเหมําะสมในกํารเก็บค่ําธรรมเนียมกํารติดตั้งประปําใหม่ โดยในเบื้องต้นได้ท�ํากํารศึกษําต้นทุน ผลตอบแทนในกํารผลิตน�้ําประปํา และแนวนโยบําย กํารลดควํามเหลื่อมล�้ําในกํารเข้ําถึงบริกํารน�้ําประปําของประชําชน เพื่อหําควํามเป็นไปได้ ในกํารลดภําระและอ�ํานวยควํามสะดวกให้กับประชําชนในกํารใช้บริกํารน�้ําประปําให้ทั่วถึง และเป็นธรรมอย่ํางที่สุด กํารประปํานครหลวงเป็นองค์กรรัฐวิสําหกิจที่ดูแลกํารผลิต จัดส่ง และจ�ําหน่ํายน�้ําให้กับผู้ใช้บริกํารในเขตจังหวัดกรุงเทพมหํานคร นนทบุรี และสมุทรปรํากําร จึงเป็นกรณีศึกษําหลักในกํารศึกษําครั้งนี้ จํากข้อมูลของกํารประปํานครหลวง ก�ําหนดให้ผู้ขอใช้น�้ํารํายใหม่ของกํารประปํา นครหลวงจะต้องยื่นค�ําขอติดตั้งประปําตํามแบบที่กํารประปํานครหลวงก�ําหนด โดยต้อง ช�ําระค่ําใช้จ่ําย ค่ําธรรมเนียม ค่ําเงินประกัน และเงินประกัน ซึ่งสํามํารถแบ่งประเภทของ ผู้ใช้น�้ําเป็น 2 ประเภท คือ (1) เพื่อที่พักอําศัย และ (2) เพื่อธุรกิจ รําชกําร รัฐวิสําหกิจ อุตสําหกรรม และอื่น ๆ ดังนั้น ในกรณีศึกษํานี้จึงจะมุ่งศึกษําเฉพําะกรณีที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทที่ 1 คือ ผู้ใช้น�้ํารํายเดี่ยวเพื่อที่พักอําศัยเท่ํานั้น และเมื่อศึกษําจํากงบกํารเงินและ หมํายเหตุประกอบงบกํารเงินจํากรํายงํานประจ�ําปีของกํารประปํานครหลวง ในระหว่ําง ปีงบประมําณ พ.ศ. 2556 – 2560 เพื่อเป็นข้อมูลส�ําหรับวิเครําะห์ต้นทุนและผลตอบแทน ในกํารผลิตฯ สํามํารถสรุปผลกํารศึกษําและข้อเสนอแนะจํากกํารศึกษําได้ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 197
ตํามข้อบังคับกํารประปํานครหลวง ฉบับที่ 116 ว่ําด้วยกํารบริกํารจัดส่ง จ�ําหน่ําย และกรณีใช้น�้ําประปํา พ.ศ. 2558 ก�ําหนดให้ประชําชนต้องช�ําระค่ําใช้จ่ํายต่ําง ๆ ในกํารขอติดตั้งประปําใหม่กับกํารประปํานครหลวง คือ (1) ค่ําบริกํารวํางท่อ ซ่อมถนน ทํางเท้ํา ทํางระบํายน�้ํา (2) ค่ําท่อ มําตรวัดน�้ํา อุปกรณ์และวัสดุอื่น ๆ และ (3) ค่ําธรรมเนียม ต่ําง ๆ และค่ําใช้จ่ํายอื่น ๆ ซึ่งตํามค�ําสั่งกํารประปํานครหลวงที่ กปน.500 / 2558 ก�ําหนด อัตรําเหมําจ่ํายส�ําหรับกํารติดตั้งมําตรวัดน�้ําขนําดเล็ก คือ ขนําด 1/2 นิ้ว ส�ําหรับ กํารอุปโภคบริโภคในครัวเรือนอยู่ที่ครั้งละ 5,000 บําท ซึ่งมีรํายละเอียดกํารค�ํานวณ ค่ําใช้จ่ํายนี้จํากค่ําวัสดุ ค่ําแรง ค่ําออกแบบและควบคุมงําน ส�ําหรับทั้งส่วนของกํารติดตั้ง มําตรวัดและอุปกรณ์ และส่วนของกํารบรรจบท่อประปํา ทั้งนี้ ยังไม่รวมภําษีมูลค่ําเพิ่ม 350 บําท และเงินประกันกํารใช้น�้ําอีกรํายละ 400 บําท โดยกํารประปํานครหลวงมีอัตรํา สนับสนุนช่วยลงทุนค่ําใช้จ่ํายวํางท่อประปําสูงสุดที่จะลงทุนให้ผู้ขอใช้น�้ําต่อรํายในกํารติดตั้ง ประปําส�ําหรับมําตรวัดน�้ําขนําด 1/2 นิ้วนี้ได้ไม่เกินรํายละ 10,000 บําท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับค่ําใช้จ่ํายต้นทุนจริงในกํารติดตั้งประปําใหม่นี้ พบว่ํา ณ ปี พ.ศ. 2562 กํารประปํานครหลวง ยังคงมีค่ําเฉลี่ยขําดทุนอยู่ที่รํายละ -1,664 บําท ที่ต้องแบกรับค่ําใช้จ่ํายกํารติดตั้งนี้ และปริมําณตัวเลขกํารติดตั้งมําตรวัดขนําด 1/2 นิ้ว ในระหว่ํางปี พ.ศ. 2556 – 2560 มีจ�ํานวน 48,051 รําย คิดเป็นร้อยละ 13.54 ของกํารติดตั้งประปําใหม่ทุกประเภท 1. จํากผลกํารศึกษําวิเครําะห์ต้นทุนและผลตอบแทนในกํารผลิตน�้ําประปําของ กํารประปํานครหลวง ในระหว่ํางปี 2556 – 2560 สํามํารถสรุปเพื่อหําผลตอบแทน ที่กํารประปํานครหลวงจะได้รับ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1) ผลตอบแทนกรณีกํารประปํานครหลวงเก็บค่ําธรรมเนียมในกํารติดตั้ง ประปําใหม่จํากผู้ขอใช้น�้ํากลุ่มเพื่อที่พักอําศัย เปรียบเทียบกับกรณีกํารประปํานครหลวง เป็นผู้รับผิดชอบลงทุนกํารติดตั้งประปําใหม่ให้กับผู้ขอใช้น�้ําฯ เอง พบว่ําหํากกํารประปํา นครหลวงเป็นผู้รับผิดชอบกํารลงทุนติดตั้งประปําใหม่ให้กับผู้ขอใช้น�้ําฯ แทนกํารเรียกเก็บ ค่ําธรรมเนียมต่ําง ๆ จํากผู้ขอใช้น�้ําฯ นั้น จะท�ําให้กํารประปํานครหลวงสูญเสียรํายรับรวม หรือก�ําไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,924.84 ล้ํานบําท เฉลี่ยปีละ 394.97 ล้ํานบําท ก�ําไรสุทธิ เฉลี่ยต่อหน่วยจะลดลง 0.28 บําทต่อลูกบําศก์เมตรต่อปี โดยในระยะเวลํา 5 ปี อัตรํา กํารเปลี่ยนแปลงของก�ําไรสุทธิจะเปลี่ยนแปลงในทิศทํางลดลงเฉลี่ยร้อยละ 5.34 ต่อปี รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 198
- ผลตอบแทนกรณีกํารประปํานครหลวงเก็บเงินประกันกํารใช้น�้ําส�ําหรับ มําตรวัดน�้ําขนําด 1/2 นิ้ว เปรียบเทียบกับกรณีกํารประปํานครหลวงยกเลิกเก็บเงินประกัน กํารใช้น�้ําส�ําหรับมําตรวัดน�้ําขนําด 1/2 นิ้ว พบว่ําหํากกํารประปํานครหลวงยกเลิกกํารเก็บเงิน กํารใช้น�้ําจํากกํารติดตั้งประปําใหม่ จะท�ําให้รํายรับรวมและก�ําไรสุทธิของกํารประปํานครหลวง ลดลง 19.23 ล้ํานบําท เฉลี่ยลดลงปีละ 3.85 ล้ํานบําท คิดเป็นร้อยละ 0.05 ต่อปี และ หํากว่ําเป็นกํารคืนเงินประกันที่กํารประปํานครหลวงได้รับมําจํากผู้ขอใช้น�้ําขนําดมําตรวัดน�้ํา 1/2 นิ้ว ในปี พ.ศ. 2562 คือ จ�ํานวน 604.21 ล้ํานบําท จะพบว่ําก�ําไรสุทธิของกํารประปํา นครหลวงในปี พ.ศ. 2562 จะลดลงร้อยละ 17.01 และก�ําไรสุทธิของกํารประปํานครหลวง ในปี พ.ศ. 2563 จะลดลงร้อยละ 8.63 2. นโยบํายด้ํานกํารลดควํามเหลื่อมล�้ําเพื่อให้ประชําชนเข้ําถึงบริกํารประปําของ กํารประปํานครหลวง กํารประปํานครหลวงได้ด�ําเนินนโยบํายเพื่อลดควํามเหลื่อมล�้ําและ ส่งเสริมให้ประชําชนได้เข้ําถึงบริกํารประปําต่ําง ๆ อย่ํางทั่วถึง เช่น (1) กํารคิดค่ําน�้ําประปํา ส�ําหรับผู้ขอใช้น�้ําประปํารํายกลุ่มส�ําหรับที่อยู่อําศัยของผู้มีรํายได้น้อยที่มีจ�ํานวน 30 ครัวเรือน ขึ้นไป และมีรํายได้ครัวเรือนละไม่เกิน 12,000 บําท จะสํามํารถได้ส่วนลดเฉพําะ กํารใช้น�้ําไม่เกิน 30 ลูกบําศก์เมตรต่อครัวเรือน โดยคิดค่ําใช้จ่ํายในกํารติดตั้งประปําเท่ํากับ มําตรวัดเครื่องเดียว แต่ยังคงมีกํารเรียกเก็บเงินประกันกํารใช้น�้ําตํามจ�ํานวนรํายผู้ขอใช้น�้ํา แต่ละรํายเท่ํากับเงินประกันมําตรวัดขนําด 1/2 นิ้วปกติ (2) กํารลดค่ําใช้จ่ํายในกํารติดตั้ง ประปําใหม่ อัตรําร้อยละ 10 คือ เหลือช�ําระ 4,500 บําท ไม่รวมภําษีมูลค่ําเพิ่ม 315 บําท และเงินประกัน 400 บําท ตํามปกติ ส�ําหรับผู้ขอใช้น�้ํารํายใหม่ที่ยื่นค�ําขอใช้น�้ําเมื่อช่วง วันที่ 1 ตุลําคม 2555 - 30 กันยํายน 2556 (3) กํารลดค่ําใช้จ่ํายในกํารติดตั้งประปําใหม่ อัตรําร้อยละ 50 เหลือช�ําระ 2,500 บําท ไม่รวมภําษีมูลค่ําเพิ่ม 175 บําท และเงินประกัน 400 บําท ตํามปกติส�ําหรับประชําชนผู้มีรํายได้น้อยที่เข้ําร่วมโครงกํารลงทะเบียนเพื่อ สวัสดิกํารแห่งรัฐที่ยื่นค�ําขอใช้น�้ําเมื่อช่วงวันที่ 1 มกรําคม 2560 - 31 ธันวําคม 2560 และ (4) กํารให้ผู้ขอใช้น�้ําฯ สํามํารถขอผ่อนช�ําระค่ําติดตั้งได้ โดยต้องช�ําระงวดแรกอย่ํางน้อย ร้อยละ 20 และเดือนละ 1 งวดในส่วนที่เหลือในเวลําไม่เกิน 1 ปี แต่ผู้ขอจะต้องจัดหํา ผู้ค�้ําประกันให้ทํางกํารประปํานครหลวงด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 199
ดังนั้น จะเห็นว่ําหํากในอนําคตกํารประปํานครหลวงเป็นผู้รับผิดชอบในกํารติดตั้ง ประปําใหม่ให้กับผู้ขอใช้น�้ําฯ จะส่งผลกระทบต่อกํารเปลี่ยนแปลงรํายได้ของกํารประปํา นครหลวงในอัตรําที่ต�่ํา โดยมีอัตรํากํารเปลี่ยนแปลงก�ําไรสุทธิในทิศทํางลง เฉลี่ยร้อยละ 5.34 และหํากกํารประปํานครหลวงยกเลิกเก็บเงินประกันกํารใช้น�้ําจํากผู้ขอใช้น�้ําฯ รํายรับรวม และก�ําไรสุทธิของกํารประปํานครหลวงจะลดลง 19.23 ล้ํานบําท เฉลี่ยปีละ 3.85 ล้ํานบําท โดยมีอัตรํากํารเปลี่ยนแปลงก�ําไรสุทธิในทิศทํางลดลงเฉลี่ยร้อยละ 0.05 ต่อปี นับว่ํา ส่งผลกระทบต่อก�ําไรสุทธิของกํารประปํานครหลวงในระดับต�่ํามําก และไม่ส่งผลกระทบต่อ กํารด�ําเนินกิจกํารของกํารประปํานครหลวงแต่อย่ํางใด ขณะที่นโยบํายกํารลดควํามเหลื่อมล�้ํา ส�ําหรับภําคประชําชนที่มีรํายได้น้อยซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในกํารเข้ําถึงบริกํารประปําตํามสิทธิ ขั้นพื้นฐํานในกํารด�ํารงชีวิตที่ควรได้รับกํารดูแลจํากรัฐนั้น เป็นโครงกํารที่มีระยะสั้นและ สิ้นสุดไปแล้ว ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงเห็นว่ําในฐํานะที่กํารประปําเป็นบริกํารสําธํารณูปโภค ขั้นพื้นฐํานที่จ�ําเป็น เป็นหน้ําที่ของรัฐที่ต้องจัดหําให้ และได้จัดตั้งขึ้นเป็นรัฐวิสําหกิจเพื่อ ยกระดับคุณภําพชีวิตของประชําชนมิใช่เพื่อแสวงหําผลก�ําไรสูงสุด อีกทั้งมีกํารด�ําเนินงําน มํากว่ํา 50 ปี กิจกํารประปํานี้จึงอยู่ในระยะคืนทุน จึงมีข้อเสนอแนะเห็นสมควรให้ กํารประปํานครหลวงพิจํารณําเก็บค่ําธรรมเนียมกํารติดตั้งประปําใหม่ในอัตรําที่เหมําะสม ลดภําระค่ําใช้จ่ํายที่เรียกเก็บจํากประชําชนให้มํากขึ้น เช่น กํารยอมลดก�ําไรสุทธิ โดยเฉพําะ ก�ําไรส่วนที่หักค่ําใช้จ่ํายในกํารด�ําเนินกิจกํารของกํารประปํานครหลวงทั้งหมด รวมทั้ง ดอกเบี้ยและภําษีเงินได้ ตลอดจนพิจํารณํายกเลิกเก็บเงินประกันกํารใช้น�้ําและกํารคืน เงินประกันฯ ให้แก่ผู้ใช้น�้ํารํายเล็กที่ใช้ในครัวเรือนเพื่ออุปโภคบริโภคในที่อยู่อําศัย อันจะ สอดรับกับแผนพัฒนําเศรษฐกิจและสังคมแห่งชําติ ฉบับที่ 12 และยุทธศําสตร์ชําติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในแนวนโยบํายที่ต้องกํารลดควํามเหลื่อมล�้ําในกํารเข้ําถึง สําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐํานของประชําชนในสังคม ในยุทธศําสตร์ที่ 4 ด้ํานกํารสร้ํางโอกําส และควํามเสมอภําคทํางสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคนสํามํารถเข้ําถึงสําธํารณูปโภคขั้นพื้นฐําน ได้อย่ํางทั่วถึงต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 200
- การศึกษาผลกระทบจากการด�าเนินโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ กํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนําสถํานีกลํางบํางซื่อ ถือเป็นศูนย์กลํางรองรับกํารเดินทําง ด้วยระบบรํางที่ใหญ่ที่สุดในอําเซียน โดยมีกํารรวมรถไฟหลํายประเภท ได้แก่ รถไฟระหว่ํางเมือง รถไฟชํานเมือง รถไฟควํามเร็วสูง รถไฟเชื่อมต่อท่ําอํากําศยําน มีกํารเชื่อมต่อกันอย่ํางเป็นระบบ มีก�ําหนดเปิดให้บริกํารภํายในปี พ.ศ. 2564 และเปิดให้บริกํารเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2565 และคําดว่ําจะมีประชําชนใช้บริกํารสถํานีกลํางบํางซื่อต่อวันเป็นจ�ํานวนมํากเทียบเท่ํากับ กํารใช้บริกํารสถํานีขนส่งหมอชิต 2 ในช่วงเทศกําลนั้น หํากไม่มีแผนงํานรองรับที่ดีเพียงพอ เพื่อจัดระบบกํารจรําจรภํายในโครงกํารและภํายนอกโดยรอบโครงกําร รวมทั้งแผนงําน ในกํารจัดระบบขนส่งมวลชนอําจส่งผลกระทบต่อประชําชนที่ใช้เส้นทํางในกํารสัญจร กํารจรําจรในพื้นที่ และกํารจรําจรโดยรอบสถํานีกลํางบํางซื่อได้ ดังนั้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จึงอําศัยอ�ํานําจตํามควํามในมําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วย ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 หยิบยกกรณีปัญหําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกําร พัฒนําสถํานีกลํางบํางซื่อขึ้นเพื่อพิจํารณําแสวงหําข้อเท็จจริง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประชุมร่วมกับหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนําคม ส�ํานักงํานนโยบํายและแผนกํารขนส่งและจรําจร กํารรถไฟ แห่งประเทศไทยกรุงเทพมหํานคร (กทม.) กํารทํางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) องค์กําร ขนส่งมวลชนกรุงเทพ กองบังคับกํารต�ํารวจจรําจร และบริษัท ขนส่ง จ�ํากัด (บขส.) ปรํากฏว่ํา หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องได้มีแผนบริหํารจัดกํารเพื่อรองรับผลกระทบด้ํานกํารจรําจรโดยรอบ สถํานีกลํางบํางซื่อที่อําจก่อให้เกิดปัญหําควํามเดือดร้อนแก่ประชําชน และอยู่ระหว่ําง กํารด�ําเนินกํารตํามแผนงําน โดยมีกํารด�ําเนินกําร ดังนี้ 1. กทพ. มีกํารด�ําเนินโครงกํารปรับปรุงทํางขึ้น - ลง ทํางพิเศษบริเวณสถํานีกลําง บํางซื่อ 5 ต�ําแหน่ง แบ่งเป็นกํารก่อสร้ํางทํางขึ้น 3 ต�ําแหน่ง ทํางลง 1 ต�ําแหน่ง และขยําย ช่องทํางเพื่อแก้ปัญหําจรําจร 1 ต�ําแหน่ง เรียกเป็น Ramp A – E โดยรํายละเอียดโครงกําร ในแต่ละ Ramp มีดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 201
Ramp A เป็นกํารก่อสร้ํางทํางจํากสถํานีกลํางบํางซื่อเพื่อไปขึ้นทํางพิเศษ ศรีรัชมุ่งหน้ําแจ้งวัฒนะ จุดประสงค์กํารก่อสร้ํางเพื่อรองรับกํารระบํายรถยนต์จํากถนน ก�ําแพงเพชรและสถํานีกลํางบํางซื่อที่จะมุ่งหน้ําไปแจ้งวัฒนะ เนื่องจํากปัจจุบันรถยนต์ต้อง ไปใช้ถนนพื้นรําบไปขึ้นทํางพิเศษศรีรัชที่ด่ํานประชําชื่น Ramp B เป็นกํารก่อสร้ํางทํางลงจํากทํางพิเศษศรีรัชฝั่งที่มุ่งหน้ํามําจําก แจ้งวัฒนะเพื่อเข้ําสู่สถํานีกลํางบํางซื่อเพื่อรองรับรถยนต์ที่ลงมําจํากทํางพิเศษศรีรัชทิศทําง แจ้งวัฒนะ เนื่องจํากปัจจุบันรถยนต์ต้องใช้ทํางลงด่ํานประชําชื่น ด่ํานคลองประปํา แล้วใช้ ถนนพื้นรําบเข้ําสู่สถํานีกลํางบํางซื่อ Ramp C เป็นกํารก่อสร้ํางทํางจํากสถํานีกลํางบํางซื่อเพื่อไปขึ้นทํางพิเศษ ศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ได้โดยตรง เนื่องจํากปัจจุบันรถยนต์ต้องออกจํากสถํานีกลํางบํางซื่อ โดยใช้ถนนพื้นรําบกลับรถยนต์จึงจะขึ้นทํางพิเศษศรีรัช – วงแหวนรอบนอก ที่บริเวณหน้ํา สถํานีกลํางบํางซื่อ Ramp D เป็นกํารก่อสร้ํางทํางจํากทํางพิเศษศรีรัชเพื่อไปยังทํางพิเศษ ศรีรัช – วงแหวน รอบนอกมุ่งหน้ําตลิ่งชัน จุดประสงค์กํารก่อสร้ํางเพื่อเพิ่มควํามสะดวก ให้ผู้ใช้ทํางพิเศษและลดควํามแออัดกํารจรําจรบนถนนก�ําแพงเพชร 2 จํากเดิมที่ต้อง กลับรถยนต์ถนนพื้นรําบหน้ําสถํานีกลํางบํางซื่อ Ramp E เป็นกํารก่อสร้ํางเพื่อแก้ปัญหํากํารตัดกระแสจรําจรบนทํางพิเศษ ศรีรัชจํากกํารก่อสร้ําง Ramp D เพื่อเพิ่มประสิทธิภําพกํารจรําจรระหว่ํางสถํานีกลํางบํางซื่อ และทํางพิเศษมีควํามสะดวกรวดเร็วมํากขึ้น และเป็นกํารช่วยให้กํารจรําจรบนพื้นรําบ มีควํามคล่องตัวมํากขึ้น กทพ. ได้ประสํานกํารขอใช้พื้นที่จํากกํารรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีกํารลงส�ํารวจพื้นที่ร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติในกํารขอใช้พื้นที่ จํากกํารรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ โครงกํารดังกล่ําวจะเริ่มก่อสร้ํางในเดือนกันยํายน 2565 และด�ําเนินกํารแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งํานประมําณเดือนสิงหําคม 2567 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 202
- กทพ. ได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหํากํารจรําจรติดขัดบริเวณด่ํานเก็บค่ําผ่ํานทําง พิเศษประชําชื่นในช่วงเวลําเร่งด่วน ด้วยกํารเปิดช่องจรําจรสวนทํางเพื่อเพิ่มควํามสํามํารถ ในกํารเก็บค่ําผ่ํานทํางพิเศษให้มํากขึ้นอันเป็นกํารแก้ไขปัญหําในเบื้องต้น ส่วนกํารแก้ไข ปัญหําในภําพรวม กทพ. ได้ว่ําจ้ํางส�ํานักงํานศูนย์วิจัยและให้ค�ําปรึกษําแห่งมหําวิทยําลัย ธรรมศําสตร์เพื่อด�ําเนินงํานศึกษําแก้ไขปัญหํากํารจรําจรบนโครงข่ํายทํางพิเศษในภําพรวม ทั้งระบบ ซึ่งจะศึกษําแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2565 3. กทม. ได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนํา สถํานีกลํางบํางซื่อ โดยในส่วนของโครงกํารขยํายถนนเทอดด�ําริเป็น 4 ช่องจรําจร ปัจจุบัน อยู่ระหว่ํางกํารออกแบบรํายละเอียดและกํารส�ํารวจเพื่อเวนคืน และในส่วนของโครงกําร ก่อสร้ํางสะพํานข้ํามแม่น�้ําเจ้ําพระยํา บริเวณแยกเกียกกําย ซึ่งแบ่งกํารก่อสร้ํางออกเป็น 5 ช่วง และต้องใช้งบประมําณค่ําก่อสร้ําง โดยแบ่งสัดส่วนเป็นงบประมําณของรัฐบําลร้อยละ 50 และงบประมําณของกรุงเทพมหํานครร้อยละ 50 นั้น กรุงเทพมหํานคร อยู่ระหว่ํางพิจํารณํา ทบทวนผลกํารประกวดรําคําของโครงกํารฯ ช่วงที่ 2 และอยู่ระหว่ํางกํารจัดท�ํารําคํากลําง ของโครงกํารฯ ช่วงที่ 3 เพื่อน�ํามําใช้ในกํารประกวดรําคําต่อไป อย่ํางไรก็ตําม ในส่วนของ กํารขยํายสะพํานสูงบํางซื่อนั้น กรุงเทพมหํานครได้ด�ําเนินกํารตรวจสอบแล้วพบว่ําไม่สํามํารถ ด�ําเนินกํารได้ เนื่องจํากกระทบกับแนวรถไฟฟ้ําสํายสีน�้ําเงินและอําคํารสิ่งปลูกสร้ํางเอกชน แต่ได้ด�ําเนินกํารซ่อมแซมผิวจรําจรบนสะพํานสูงบํางซื่อแล้ว 4. บขส. ยังไม่มีนโยบํายย้ํายสถํานีขนส่งผู้โดยสํารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนก�ําแพงเพชร 2 แต่มีแนวทํางจัดกํารเดินรถโดยสํารเชื่อม ระหว่ํางสถํานีขนส่งผู้โดยสํารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 กับสถํานีกลํางบํางซื่อ จํากข้อเท็จจริงดังกล่ําวข้ํางต้น เป็นกรณีที่หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่ํางด�ําเนินกํารตํามแผนงํานเพื่อแก้ไขปัญหําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนํา สถํานีกลํางบํางซื่อตํามหน้ําที่และอ�ํานําจ โดยมุ่งถึงประโยชน์สูงสุดต่อประชําชนแล้ว อย่ํางไร ก็ตําม เพื่อให้กํารปฏิบัติหน้ําที่ของหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องกับกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนํา สถํานีกลํางบํางซื่อเป็นไปอย่ํางมีประสิทธิภําพ และสํามํารถแก้ไขปัญหําผลกระทบได้อย่ําง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 203
เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชําชน สอดคล้องกับช่วงเวลําตํามแผนงําน ที่ก�ําหนดไว้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ขอให้ กทพ. และ กทม. ติดตํามขั้นตอนกํารปฏิบัติงํานตํามแผนงํานแต่ละ โครงกํารอย่ํางเคร่งครัด บูรณํากํารร่วมกับหน่วยงํานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อแผนงํานใดได้รับ กํารอนุมัติให้สํามํารถด�ําเนินกํารได้แล้ว ให้รีบด�ําเนินกํารตํามแผนงํานนั้นด้วยควํามรวดเร็ว เพื่อลดผลกระทบด้ํานกํารจรําจรอันจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้งํานสถํานีกลํางบํางซื่อ 2. ขอให้ กทพ. กทม. และ บขส. วํางแผนบริหํารจัดกํารกํารเดินรถ ในเส้นทําง โดยรอบสถํานีกลํางบํางซื่อและเส้นทํางเชื่อมต่อ เพื่อลดปัญหํากํารจรําจรติดขัดที่อําจเกิดขึ้น ในอนําคต 6. การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ตามนโยบาย “ผู้ตรวจการ แผ่นดินยกระดับความปลอดภัยทางน�้า” และการด�าเนินงานของศูนย์การแพทย์เขาหลัก จังหวัดพังงา และโครงการจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล (Andaman Hub Medical Network) ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพิจํารณําถึงควํามส�ําคัญในเรื่องควํามปลอดภัยทํางน�้ํา และ ได้หยิบยกเรื่องดังกล่ําวขึ้นพิจํารณํา โดยใช้อ�ํานําจตํามมําตรํา 32 แห่งพระรําชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ให้ด�ําเนินกํารเกี่ยวกับ ควํามปลอดภัยทํางน�้ําตลอดจนมําตรกํารในกํารป้องกันอุบัติภัยทํางน�้ําของภําครัฐ ต่อมํา ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนเพื่อให้พิจํารณําเสนอแนะหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเกี่ยวกับกํารติดตั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator : AED) บริเวณท่ําเรือ ในเรือโดยสําร โรงแรม และสถํานที่ท่องเที่ยวหรือสถํานที่ ที่มีผู้ใช้บริกํารจ�ํานวนมําก ประกอบกับกํารให้ควํามส�ําคัญในกํารปฐมพยําบําลเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่หัวใจหยุดเต้นให้กลับมําหํายใจ (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) เป็นกําร เพิ่มโอกําสกํารรอดชีวิตของผู้ที่ประสบสภําวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จํากกํารศึกษําข้อมูล และแสวงหําข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่ําว พบว่ํา หํากผู้ป่วยที่มีภําวะหัวใจหยุดเต้นได้รับ กํารช่วยเหลืออย่ํางทันท่วงที และถูกวิธีตํามหลักห่วงโซ่แห่งกํารรอดชีวิต คือ กํารช่วยเหลือ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 204
ด้วยวิธีกํารปั๊มหัวใจ (CPR) ด้วยกํารกดหน้ําอก จะช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินรอดชีวิตได้ถึงร้อยละ 5 และหํากใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) ร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มอัตรํากํารรอดชีวิต ให้สูงขึ้นถึงร้อยละ 50 โดยเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) เป็นเครื่องมือที่ใช้ กระตุกหัวใจด้วยกํารช็อกไฟฟ้ํา เพื่อให้หัวใจกลับมําเต้นเป็นปกติ โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในเครื่องจะออกค�ําสั่งให้ผู้ใช้สํามํารถปฏิบัติตํามได้ และเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) นี้ จะสํามํารถวินิจฉัยภําวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นอันตรํายถึงชีวิตได้โดยอัตโนมัติ เมื่อพิจํารณําประเด็นดังกล่ําวแล้ว จึงทรําบข้อมูลเพิ่มเติมว่ํา จังหวัดพังงํา มีกํารจัดตั้งศูนย์กํารแพทย์เขําหลักและโครงกํารจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล (Andaman Hub Medical Network) โดยเป็นโครงกํารที่มีวัตถุประสงค์ในกํารพัฒนํา มําตรฐํานกํารบริกํารทํางกํารแพทย์ในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดํามัน รวมถึงกํารสร้ํางควํามมั่นใจ แก่นักท่องเที่ยวและประชําชน ซึ่งแนวคิดในกํารพัฒนําระบบบริกํารสําธํารณสุขในพื้นที่เขําหลัก ต�ําบลคึกคัก อ�ําเภอตะกั่วป่ํา จังหวัดพังงํานี้ เป็นควํามร่วมมือของจังหวัดพังงํา ส�ํานักงําน สําธํารณสุขจังหวัดพังงํา ฐํานทัพเรือพังงํา ทัพเรือภําคที่ 3 พร้อมทั้งหน่วยงํานภําครัฐและ ภําคเอกชน โดยเป็นตัวอย่ํางของโครงกํารที่มีกํารด�ําเนินกํารแล้ว แต่อําจจะยังมีข้อขัดข้อง บํางประกํารและที่ผ่ํานมํากํารบริกํารด้ํานสําธํารณสุขในจังหวัดพังงํายังคงมีข้อจ�ํากัดอยู่ จึงต้องมีกํารหํารือร่วมกันเพื่อน�ําไปสู่กํารแก้ไขปัญหําดังกล่ําวอย่ํางเป็นรูปธรรมต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นกํารแก้ไขปัญหําและส่งเสริมพัฒนําให้ระบบกํารแพทย์ฉุกเฉิน ทํางทะเลเป็นไปอย่ํางมีประสิทธิภําพ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงพิจํารณําและด�ําเนินกํารแก้ไข ปัญหําในประเด็นดังกล่ําว โดยได้มีกํารลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง โดยมีค�ําวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ดังนี้ 1. ควํามส�ําคัญของอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐํานหรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ํา อัตโนมัติ (AED) มีข้อเสนอแนะให้กระทรวงสําธํารณสุขเป็นหน่วยงํานหลัก ร่วมกับหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกํารท่องเที่ยวและกีฬํา กรมเจ้ําท่ํา กรมส่งเสริมกํารปกครอง ท้องถิ่น สถําบันกํารแพทย์ฉุกเฉินแห่งชําติ กรุงเทพมหํานคร และจังหวัดสุรําษฎร์ธํานี พิจํารณําด�ําเนินกํารติดตั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) โดยเริ่มต้นจํากสถํานที่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 205
ที่มีประชําชนอยู่ร่วมกันและใช้บริกํารเป็นจ�ํานวนมํากซึ่งควรติดตั้งในจุดที่ประชําชนสํามํารถ มองเห็นและเข้ําถึงได้ง่ําย พร้อมทั้งกํารจัดให้มีโครงกํารอบรมประชําชนและบุคลํากร ที่เกี่ยวข้อง โดยสร้ํางควํามเข้ําใจเกี่ยวกับควํามจ�ําเป็นของกํารปฐมพยําบําลช่วยเหลือผู้ที่ หัวใจหยุดเต้นให้กลับมําหํายใจ (CPR) ควบคู่กับกํารใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) ประกอบกับกํารใช้สื่อกํารเรียนรู้ให้ประชําชนรับทรําบด้วย 2. กรณีแนวทํางกํารด�ําเนินกํารของศูนย์กํารแพทย์เขําหลักและโครงกํารจัดตั้ง ศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล (Andaman Hub Medical Network) มีข้อเสนอแนะ ให้จังหวัดพังงํา โดยส�ํานักงํานสําธํารณสุขจังหวัดพังงําเป็นหน่วยงํานหลักร่วมกับองค์กําร บริหํารส่วนจังหวัดพังงําและหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง พิจํารณําด�ําเนินกํารร่วมกัน ดังนี้ 2.1 ด�ําเนินกํารจัดตั้งมูลนิธิเพื่อควํามคล่องตัวในกํารบริหํารจัดกําร ด้ํานกํารแพทย์ฉุกเฉินทํางทะเล รวมถึงต้องมีกํารจัดท�ําแผนหํารํายได้ เพื่อให้ภําคเอกชนเข้ํามํา มีส่วนร่วมและเป็นกํารสร้ํางควํามร่วมมือระหว่ํางหน่วยงํานภําครัฐและภําคเอกชนด้วย 2.2 ก�ําหนดภํารกิจให้ศูนย์กํารแพทย์เขําหลักเป็นศูนย์กํารเรียนรู้ด้ําน กํารช่วยชีวิตผู้ประสบภัยทํางทะเล และด�ําเนินกํารด้ํานกํารฝึกอบรมให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับ งํานบริกํารด้ํานกํารท่องเที่ยวและประชําชนที่สนใจ ในกํารช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้นให้ กลับมําหํายใจ (CPR) และกํารใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐํานเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้ําอัตโนมัติ (AED) ได้ 2.3 กํารจัดท�ําแผนแม่บท (Master Plan) ในกํารบริหํารจัดสรรงบประมําณ และกํารจัดหําแหล่งรํายได้อื่น ๆ เพื่อมําสนับสนุนกํารท�ํางํานของศูนย์กํารแพทย์เขําหลัก 2.4 กํารพัฒนํา “โครงกํารศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล” โดยให้มี กํารจัดตั้งเป็นกํารถําวรภํายใต้ชื่อ “โครงกํารศูนย์กํารแพทย์ฉุกเฉินทํางทะเลอันดํามัน” เพื่อให้สอดคล้องกับภํารกิจและอ�ํานําจหน้ําที่เกี่ยวกับกํารบริกํารทํางกํารแพทย์เพื่อรองรับ ภําวะฉุกเฉินทํางทะเลในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดํามัน โดยประสํานควํามร่วมมือกับสถําบัน กํารแพทย์ฉุกเฉินแห่งชําติ มูลนิธิ และเครือข่ํายภําคเอกชน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 206
2.5 จังหวัดพังงําควรหํารือเพื่อให้ได้ข้อยุติกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ในกํารบริหํารจัดกํารเรือพยําบําล รวมถึงกํารซ่อมบ�ํารุง และกํารจัดหําเจ้ําหน้ําที่ประจ�ําเรือ โดยจังหวัดพังงําต้องมอบหมํายภํารกิจและเรือพยําบําลให้กับองค์กํารบริหํารส่วนจังหวัด พังงํา เพื่อให้องค์กํารบริหํารส่วนจังหวัดพังงําสํามํารถจัดสรรงบประมําณให้แก่ศูนย์กํารแพทย์ เขําหลักบริหํารจัดกํารภํารกิจที่เกี่ยวข้องได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ กลยุทธ์ที่ 1.2 ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ วัตถุประสงค์ เพื่อด�ําเนินกํารตรวจสอบและพัฒนํากํารปฏิบัติงํานของหน่วยงําน ของรัฐให้มีกํารปฏิบัติเป็นไปตํามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ อย่ํางถูกต้องครบถ้วน ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนเรื่องที่เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่ หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ 5 เรื่อง 5 เรื่อง รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากจ�ํานวนเรื่องที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐตํามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกํารด�ําเนินงํานตํามมําตรํา 230 ของ รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารศึกษําเรื่องที่เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึง กํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ แล้วเสร็จ จ�ํานวน 5 เรื่อง ประกอบด้วย 1. ขยะพลําสติกล้นทะเลไทย 2. กํารบริหํารจัดกํารโครงกํารอําหํารกลํางวันเด็ก ผู้ตรวจการแผ่นดิน 207
- กระทรวงพลังงํานให้บริษัทเอกชนเข้ํามํามีบทบําทในกํารผลิตไฟฟ้ํามํากขึ้น จนท�ําให้สัดส่วนกํารผลิตไฟฟ้ําของรัฐมีน้อยกว่ําร้อยละห้ําสิบเอ็ด 4. ผลกระทบจํากกํารประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของคนต่ํางด้ําวในประเทศไทย 5. กํารป้องกันและลดอุบัติเหตุทํางถนนอย่ํางมีประสิทธิภําพ โดยรํายละเอียดของเรื่องที่ 1 – 3 ปรํากฏตําม บทที่ 2 หัวข้อที่ 2.3 (หน้ํา 129 – 145) ส�ําหรับเรื่องที่ 4 และ 5 มีรํายละเอียด ดังนี้ 4. ผลกระทบจากการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของคนต่างด้าวในประเทศไทย อุตสําหกรรมภําคกํารท่องเที่ยวช่วยสร้ํางงํานและน�ํารํายได้เข้ําประเทศในแต่ละปี เป็นจ�ํานวนมํากและเพื่อให้กํารพัฒนําภําคอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยวของประเทศไทยเกิด ควํามยั่งยืน รัฐบําลจึงก�ําหนดแนวทํางกํารพัฒนําภําคกํารท่องเที่ยวของประเทศไทยใน แผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ พ.ศ. 2563 – 2580 เพื่อมุ่งเน้นยกระดับมําตรฐําน กํารท่องเที่ยวของประเทศไทย กํารท่องเที่ยวเชิงสุขภําพ และกํารท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และ รักษําสิ่งแวดล้อม ก่อนกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 ประเทศไทยมี นักท่องเที่ยวเดินทํางเข้ํามําท่องเที่ยวเป็นจ�ํานวนมํากส่งผลท�ําให้อุตสําหกรรมภําคกํารท่องเที่ยว เติบโตอย่ํางรวดเร็ว จนท�ําให้มีนักธุรกิจทั้งชําวไทยและชําวต่ํางชําติประกอบธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทํานในภําคกํารท่องเที่ยวมํากขึ้นตํามไปด้วย ข้อมูลจําก กรมกํารท่องเที่ยวระบุว่ํา มีผู้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยว จ�ํานวน 12,817 รําย เป็นชําวต่ํางชําติ ลงทุน 1,843 รําย และมีผู้ขึ้นทะเบียนประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ รวม 82,034 คน ประเทศไทยเคยประสบปัญหําในภําคอุตสําหกรรมภําคท่องเที่ยวหลํายด้ําน เช่น ปัญหํา มําตรฐํานด้ํานกํารให้บริกํารนักท่องเที่ยว หรือปัญหําจํากกฎหมํายและระเบียบต่ําง ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับรูปแบบกํารท่องเที่ยวแบบใหม่ที่นักท่องเที่ยวเดินทํางท่องเที่ยว ด้วยตนเองมํากขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวน�ําเทคโนโลยีมําเป็นเครื่องมือช่วยวํางแผน กํารท่องเที่ยวมํากขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวหรือแม้แต่กลุ่มผู้ประกอบอําชีพ มัคคุเทศก์ต่ํางก็ต้องประสบปัญหําจํากกลยุทธ์ในกํารแข่งขันทํางกํารตลําดของบริษัทท่องเที่ยว ชําวต่ํางชําติหลํายด้ํานเช่นเดียวกัน จนน�ําไปสู่กํารเรียกร้องจํากหน่วยงํานของรัฐเพื่อให้มี กํารปรับเปลี่ยนนโยบํายหรือแก้ไขกฎ ระเบียบต่ําง ๆ ที่เกี่ยวข้องและให้หน่วยงํานของรัฐ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 208
ใช้มําตรกํารทํางกฎหมํายอย่ํางจริงจังกับกรณีต่ําง ๆ เช่น กรณีมีนักลงทุนชําวต่ํางชําติบํางส่วน ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแล้วอําศัยช่องว่ํางทํางกฎหมํายใช้ชื่อคนไทยเป็นตัวแทนอ�ําพรําง หรือนอมินี (nominee) เพื่อหลีกเลี่ยงภําษี หรือประกอบธุรกิจลักษณะกินรวบทั้งระบบ โดยเป็นเจ้ําของธุรกิจในห่วงโซ่อุปทํานในภําคอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยวตั้งแต่ธุรกิจ กํารขนส่ง ธุรกิจร้ํานอําหําร และธุรกิจโรงแรม หรือแม้แต่กํารเลือกจ้ํางมัคคุเทศก์ที่เป็นคน ชําติเดียวกันท�ําหน้ําที่เป็นมัคคุเทศก์แทนคนไทยและให้บริกํารนักท่องเที่ยว หรือกํารใช้กลยุทธ์ ของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ท�ําให้ส่งผลกระทบกับภําพลักษณ์ กํารท่องเที่ยวของประเทศไทย อําจกล่ําวได้ว่ํา ที่กล่ําวข้ํางต้นล้วนเป็นสําเหตุที่ท�ําให้ ประเทศไทยสูญเสียทรัพยํากรธรรมชําติจํากภําคอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยวแต่กลับได้รับ ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ํา ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ตระหนักถึงควํามส�ําคัญในกํารพัฒนําภําคอุตสําหกรรม ท่องเที่ยวและปัญหําที่เกิดขึ้นมํานํานและเล็งเห็นควํามจ�ําเป็นต่อกํารปรับตัวรองรับกับ ควํามท้ําทํายใหม่ภํายหลังจํากกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 จึงได้ด�ําเนินกําร แสวงหําข้อเท็จจริงเพื่อจัดท�ํารํายงํานพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี กรณีหน่วยงํานของรัฐ ปฏิบัติหน้ําที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนตํามมําตรํา 53 และมําตรํา 61 หมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 2 และจัดท�ํารํายงํานพร้อมข้อเสนอแนะ ต่อคณะรัฐมนตรีตํามมําตรํา 35 ของพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกําร แผ่นดิน พ.ศ. 2560 3 โดยกํารศึกษําข้อมูลจํากงํานวิจัย กฎหมําย มําตรกําร กํารชี้แจง ข้อเท็จจริงจํากหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง กํารลงพื้นที่แสวงหําข้อเท็จจริงเพื่อรับฟังปัญหํา ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวหลักในจังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ กํารประชุม หํารือร่วมกับภําคเอกชนที่ประกอบธุรกิจกํารท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ และ หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงกํารท่องเที่ยวและกีฬํา กระทรวงแรงงําน 2 รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 มําตรํา 53 รัฐต้องดูแลให้มีกํารปฏิบัติตํามกฎหมํายอย่ํางเคร่งครัด มําตรํา 61 รัฐต้องจัดให้มีมําตรกํารหรือกลไกที่มีประสิทธิภําพในกํารคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้ํานต่ําง ๆ ไม่ว่ําจะเป็นด้ํานกํารรับรู้ ข้อมูลที่เป็นจริง ด้ํานควํามปลอดภัย ด้ํานควํามเป็นธรรมในกํารท�ําสัญญําหรือด้ํานอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค 3 พระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มําตรํา 35 ในกรณีควํามปรํากฏต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ว่ํามีผู้ได้รับควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมอันเนื่องมําจํากหน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินรํายงํานพร้อมข้อเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีทรําบเพื่อด�ําเนินกํารต่อไปโดยเร็ว โดยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จะรํายงํานให้รัฐสภําและเผยแพร่ให้ประชําชนทรําบด้วยก็ได้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 209
กระทรวงมหําดไทย กระทรวงกํารอุดมศึกษํา วิทยําศําสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ส�ํานักงําน ต�ํารวจแห่งชําติ กรมกํารท่องเที่ยว กรมพัฒนําธุรกิจกํารค้ํา กํารสัมภําษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และ เปรียบเทียบมําตรกํารทํางกฎหมํายจํากรัฐบัญญัติอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยว ค.ศ. 1992 ของประเทศมําเลเซีย จํากกํารแสวงหําข้อเท็จจริงพบปัญหําที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ปัญหําขําดมําตรกํารตรวจสอบเชิงลึกจํากหน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้อง กรณีชําวต่ํางชําติใช้คนไทยเป็นตัวแทนอ�ําพรํางหรือนอมินี (nominee) แล้วเข้ํามําประกอบ ธุรกิจในอุตสําหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยสําเหตุส่วนหนึ่งเกิดจํากช่องว่ํางของ พระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติ ธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ที่ไม่ได้ก�ําหนดฐํานควํามผิดไว้ชัดเจน ประกอบกับลักษณะกํารกระท�ําควํามผิดมีควํามซับซ้อนและมีกํารเปลี่ยนแปลงรูปแบบกํารกระท�ํา ควํามผิดโดยต่อเนื่องและท�ําให้หน่วยงํานของรัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกํารกระท�ําควํามผิด ได้ยําก 2. ปัญหําข้อจ�ํากัดจํากมําตรกํารป้องกันบริษัทน�ําเที่ยวไม่เก็บค่ําบริกํารขั้นต�่ํา จํากนักท่องเที่ยวหรือท�ําทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งปัญหํานี้เกิดจํากบทบัญญัติมําตรํา 16 และ มําตรํา 17 ของพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ที่ก�ําหนดไว้เพียง กํารตรวจสอบจํากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ํามก่อนกํารออกใบอนุญําตให้กับผู้ประกอบ ธุรกิจท่องเที่ยวเท่ํานั้น แต่มิได้ก�ําหนดมําตรกํารตรวจสอบเชิงลึกภํายหลังจํากที่ได้รับ ใบอนุญําตให้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยวแล้ว ประกอบกับโทษปรับที่ก�ําหนดในพระรําชบัญญัติ ฉบับดังกล่ําวยังต�่ํา ซึ่งเมื่อเทียบกับผลก�ําไรที่ได้รับจํากธุรกิจท่องเที่ยวแล้วจึงท�ําให้มีชําวต่ํางชําติ ไม่เกรงกลัวกฎหมํายและอําศัยช่องว่ํางของกฎหมํายโดยร่วมมือกับมัคคุเทศก์บํางกลุ่ม ที่ยอมรับผลประโยชน์ดังกล่ําวเลี่ยงกฎหมําย และยังพบว่ํากํารบังคับใช้มําตรกํารตําม กฎกระทรวงแบบรํายละเอียด และวิธีกํารแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับกํารด�ําเนินกิจกํารของ ผู้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยว พ.ศ. 2555 ที่ก�ําหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยวที่เป็นนิติบุคคล ต้องแจ้งข้อมูลกํารแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงรํายกํารจดทะเบียนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ น�ําเที่ยว ยังมีผู้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยวปฏิบัติตํามไม่มําก ท�ําให้ยังไม่สํามํารถช่วยป้องกัน ปัญหําที่เกิดขึ้นได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 210
- ปัญหําผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ขําดกํารส่งเสริมให้มีส่วนร่วมเสนอแนะ นโยบํายเพื่อพัฒนําอุตสําหกรรมท่องเที่ยวและพัฒนําอําชีพมัคคุเทศก์อย่ํางเหมําะสม เนื่องจํากองค์ประกอบของคณะกรรมกํารธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่ก�ําหนดไว้ตําม มําตรํา 7 ของพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 นั้น องค์ประกอบ ของคณะกรรมกํารที่ก�ําหนดส่วนใหญ่เป็นผู้แทนจํากหน่วยงํานของรัฐ แต่มีผู้แทนภําคเอกชน เพียงประธํานสภําอุตสําหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเท่ํานั้น ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิจ�ํานวน เจ็ดคนที่รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งก�ําหนดให้แต่งตั้งจํากผู้แทนจํากสภําอุตสําหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทยห้ําคน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นอําจํารย์สอนในสถําบันอุดมศึกษําในวิชํากําร ท่องเที่ยวหนึ่งคนและวิชํามัคคุเทศก์หนึ่งคน ซึ่งกํารก�ําหนดองค์ประกอบของคณะกรรมกําร ธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ดังกล่ําว ท�ําให้มีผู้ที่มีควํามเชี่ยวชําญเกี่ยวกับอําชีพมัคคุเทศก์ ในคณะกรรมกํารดังกล่ําวมีสัดส่วนไม่เหมําะสม 4. ปัญหํากํารไม่ปฏิบัติตํามกฎหมํายและกํารบังคับใช้กฎหมํายอย่ํางเคร่งครัด ข้อเท็จจริงพบว่ํา มีเรื่องร้องเรียนและมีกํารจับกุมมัคคุเทศก์ที่ไม่ปฏิบัติตํามพระรําชบัญญัติ ธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยว และมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 และกํารไม่ปฏิบัติตํามมําตรกํารที่ออกในพระรําชบัญญัติ ดังกล่ําวเป็นระยะ โดยเฉพําะในช่วงเวลําที่มีนักท่องเที่ยวเดินทํางเข้ํามําท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นจ�ํานวนมําก เช่น แต่งกํายไม่สุภําพ ท�ําหน้ําที่มัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญําตหรือ ใช้ใบอนุญําตไม่ตรงประเภท และมีมัคคุเทศก์บํางส่วนทั้งชําวไทยและชําวต่ํางชําติร่วมมือ กับบริษัทน�ําเที่ยวท�ําทัวร์ศูนย์เหรียญโดยพํานักท่องเที่ยวไปซื้อสินค้ําไม่มีคุณภําพและให้เช่ํา วัตถุมงคลในรําคําที่สูงเกินจริงท�ําให้กระทบต่อสิทธิผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวชําวต่ํางชําติ และกระทบต่อภําพลักษณ์อุตสําหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย 5. ปัญหําผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ไม่สํามํารถให้บริกํารนักท่องเที่ยวได้อย่ํางมี ประสิทธิภําพ สําเหตุเกิดจํากหลักสูตรกํารฝึกอบรมอําชีพมัคคุเทศก์และกํารทดสอบควํามรู้ ควํามสํามํารถเพื่อให้ได้รับใบอนุญําตให้เป็นมัคคุเทศก์ยังไม่เป็นมําตรฐํานเดียวกัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 211
เมื่อผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์เข้ํารับกํารฝึกอบรมและผ่ํานกํารทดสอบและได้รับใบอนุญําต ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์แล้วพบว่ํา มีผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์บํางส่วนไม่สํามํารถ ให้บริกํารนักท่องเที่ยวได้ดีเท่ําที่ควร จึงท�ําให้บริษัทน�ําเที่ยวที่ชําวไทยและชําวต่ํางชําติ เป็นเจ้ําของน�ํามําใช้เป็นเหตุผลในกํารเลือกใช้บริกํารชําวต่ํางชําติเพื่อท�ําหน้ําที่มัคคุเทศก์ ให้บริกํารนักท่องเที่ยวแทนมัคคุเทศก์ที่เป็นคนไทย 6. ปัญหํากํารขําดควํามเป็นเอกภําพของกลุ่มผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ เนื่องจํากอําชีพมัคคุเทศก์มีกํารรวมกลุ่มแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือ กํารรวมกลุ่มเป็นสมําคม มัคคุเทศก์อําชีพแห่งประเทศไทยและกํารรวมกลุ่มเป็นสมําพันธ์มัคคุเทศก์อําชีพ แห่งประเทศไทย ถึงแม้จะมีกํารรวมกลุ่มดังกล่ําวแล้วก็ตํามแต่ยังขําดควํามเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ท�ําให้เป็นอุปสรรคหนึ่งในกํารผลักดันแนวทํางกํารสร้ํางมําตรฐํานอําชีพ และมีส่วนในกํารพัฒนําอุตสําหกรรมภําคกํารท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหําดังกล่ําวข้ํางต้น ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้เห็นชอบร่วมกันมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. เสนอแนะให้กระทรวงกํารท่องเที่ยวและกีฬํา ก�ําหนดมําตรกํารเพิ่มเติมดังนี้ 1.1 เพิ่มเติมมําตรกํารในกํารตรวจสอบเชิงลึก เพื่อป้องกันปัญหําชําวต่ํางชําติ ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอ�ําพรํางหรือนอมินี (nominee) ประกอบธุรกิจในอุตสําหกรรม ภําคท่องเที่ยวและมําตรกํารป้องกันปัญหําบริษัทน�ําเที่ยวไม่เก็บค่ําบริกํารขั้นต�่ําหรือท�ําทัวร์ ศูนย์เหรียญ เนื่องจํากบทบัญญัติในมําตรํา 16 และมําตรํา 17 ของพระรําชบัญญัติธุรกิจ น�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรําชบัญญัติธุรกิจน�ําเที่ยวและ มัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ไม่มีมําตรกํารตรวจสอบเชิงลึกเพื่อป้องกันและแก้ไข ปัญหําดังกล่ําว ถึงแม้หํากเกิดกรณีมีกํารกระท�ําควํามผิดเกิดขึ้นจะสํามํารถน�ําพระรําชบัญญัติ กํารประกอบธุรกิจของคนต่ํางด้ําว พ.ศ. 2542 มําประกอบกํารบังคับใช้ก็ตําม แต่ยังมี ช่องว่ํางของกฎหมํายฉบับนี้เช่นเดียวกัน จึงควรเพิ่มเติมมําตรกํารตรวจสอบเชิงลึก โดยน�ํา มําตรกํารทํางกฎหมํายของประเทศมําเลเซียตํามรัฐบัญญัติอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 212
ค.ศ. 1992 (Tourism Industry Act 1992) มําเป็นแนวทํางส�ําหรับประเทศไทย เช่น ให้ผู้ขอรับใบอนุญําตประกอบธุรกิจน�ําเที่ยวแสดงข้อมูลทํางกํารเงิน เอกสํารเกี่ยวกับ กํารประกอบธุรกิจท่องเที่ยวภํายหลังได้รับอนุญําตให้ประกอบธุรกิจแล้ว แผนกํารเดินทําง ท่องเที่ยวในประเทศและต่ํางประเทศ และแสดงรํายละเอียดของมัคคุเทศก์ที่ปฏิบัติหน้ําที่ ให้บริกํารนักท่องเที่ยวในบริษัทน�ําเที่ยว 1.2 ก�ําหนดมําตรกํารให้ผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์เข้ําไปมีบทบําท ในกํารพัฒนํานโยบํายมําตรฐํานอําชีพเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกํารพัฒนําอุตสําหกรรมท่องเที่ยว ของประเทศไทย โดยก�ําหนดให้มีส่วนร่วมในกํารเสนอแนะพัฒนํานโยบํายผ่ํานคณะกรรมกําร ธุรกิจน�ําเที่ยวและมัคคุเทศก์ และเพิ่มสัดส่วนให้ผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ในคณะกรรมกําร ดังกล่ําวให้มีควํามเหมําะสมมํากขึ้น 1.3 ก�ําหนดมําตรกํารส่งเสริมและรณรงค์ให้บริษัทน�ําเที่ยวมิให้จัดกําร น�ําเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญําตหรือประกอบธุรกิจระหว่ํางที่ถูกสั่งพักใบอนุญําต กํารแสดงใบอนุญําต ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยว และห้ํามมิให้บริษัทน�ําเที่ยวว่ําจ้ํางมัคคุเทศก์ที่มีคุณสมบัติไม่ตรง ตํามประเภทใบอนุญําต หรือไม่มีใบอนุญําตและห้ํามมิให้ว่ําจ้ํางชําวต่ํางชําติมําท�ําหน้ําที่เป็น มัคคุเทศก์ พร้อมกับรณรงค์ให้ผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์แต่งกํายสุภําพและติดบัตร ขณะปฏิบัติงําน เป็นต้น 1.4 ก�ําหนดมําตรกํารสร้ํางควํามมั่นคงของอําชีพมัคคุเทศก์โดยพิจํารณํา ควํามเป็นไปได้ในกํารจัดตั้งสภําอําชีพมัคคุเทศก์ขึ้นเช่นเดียวกับสภํากํารแพทย์แผนไทย เพื่อลดปัญหํากํารขําดควํามเป็นเอกภําพของกลุ่มผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ ซึ่งจะมีส่วนช่วย ยกระดับให้อําชีพมัคคุเทศก์เป็นสภําวิชําชีพที่ได้รับกํารรับรองในทํางกฎหมํายจะสํามํารถ สร้ํางแรงจูงใจให้มีผู้สนใจประกอบอําชีพมัคคุเทศก์มํากขึ้น 2. เสนอแนะให้กระทรวงมหําดไทย ส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ กองบัญชํากําร ต�ํารวจท่องเที่ยว และกรมกํารท่องเที่ยว บังคับใช้กฎหมํายอย่ํางเคร่งครัดและต่อเนื่องกับ กลุ่มผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ที่ไม่ปฏิบัติตํามกฎหมํายและมีพฤติกรรมหลอกลวงนักท่องเที่ยว กํารแต่งกํายไม่สุภําพและไม่ติดบัตรขณะปฏิบัติงําน และชําวต่ํางชําติที่ประกอบอําชีพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 213
มัคคุเทศก์ในประเทศไทย รวมถึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมกับกํารบังคับใช้ ทํางกฎหมํายด้วย เนื่องจํากพบว่ํายังมีกํารกระท�ําควํามผิดในกรณีต่ําง ๆ ข้ํางต้นเป็นระยะ โดยเฉพําะในช่วงเวลําที่มีนักท่องเที่ยวเดินทํางเข้ํามําท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจ�ํานวนมําก 3. เสนอแนะให้กระทรวงกํารท่องเที่ยวและกีฬํา และกระทรวงกํารอุดมศึกษํา วิทยําศําสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกันพัฒนําหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์และกํารทดสอบ ควํามรู้ควํามสํามํารถให้กับผู้ประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ให้เป็นมําตรฐํานเดียวกัน ดังนี้ 3.1 ปรับปรุงหลักสูตรกํารอบรมมัคคุเทศก์ โดยกํารเพิ่มชั่วโมงกํารปฏิบัติงําน ในสถํานที่จริง หัวข้อวิชําควํามรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อและกํารสําธํารณสุขเบื้องต้น หัวข้อ วิชํากํารดูแลควํามปลอดภัยและกํารปฐมพยําบําลเบื้องต้น และหัวข้อวิชํากํารน�ําเทคโนโลยี ดิจิทัลมําช่วยเพิ่มประสิทธิภําพในกํารให้บริกํารนักท่องเที่ยว เป็นต้น 3.2 ก�ําหนดมําตรกํารติดตํามประเมินผลกํารฝึกอบรมและกํารทดสอบ ควํามรู้ควํามสํามํารถผู้ที่เข้ํารับกํารอบรมเพื่อขอรับใบอนุญําตประกอบอําชีพมัคคุเทศก์ ก�ําหนดเกณฑ์มําตรฐํานหลักสูตร และเกณฑ์กํารทดสอบควํามรู้และควํามสํามํารถ และให้มี กํารประกําศรับรองสถําบันกํารศึกษําที่ได้มําตรฐํานกํารอบรม เพื่อสร้ํางควํามเชื่อมั่นให้กับ บริษัทน�ําเที่ยวและนักท่องเที่ยวต่ออําชีพมัคคุเทศก์ในระดับที่สูงขึ้น 4. เสนอแนะให้มีกํารบูรณํากํารปฏิบัติงํานร่วมกันของหน่วยงํานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบํายและระดับจังหวัดประกอบด้วย กระทรวงกํารท่องเที่ยวและ กีฬํา กระทรวงมหําดไทย กระทรวงแรงงําน ส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ กรมกํารท่องเที่ยว กรมพัฒนําธุรกิจกํารค้ํา กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสรรพํากร ส�ํานักงํานคณะกรรมกําร คุ้มครองผู้บริโภค ส�ํานักงํานป้องกันและปรําบปรํามกํารฟอกเงิน โดยให้กลุ่มผู้ประกอบอําชีพ มัคคุเทศก์และผู้ประกอบธุรกิจน�ําเที่ยวเข้ํามํามีส่วนร่วม เพื่อให้กํารแก้ปัญหํามีประสิทธิภําพ และลดช่องว่ํางของกฎหมํายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน อุตสําหกรรมภําคกํารท่องเที่ยวของประเทศไทยมีควํามจ�ําเป็นต้องปรับ กลยุทธ์หลํายด้ํานอันเนื่องมําจํากกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 และ รูปแบบกํารท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเป็นกํารฟื้นฟูอุตสําหกรรม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 214
ภําคกํารท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมําสร้ํางรํายได้ให้ประเทศไทยอีกครั้ง รัฐบําล จึงได้ด�ําเนินโครงกํารภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) เป็นโครงกํารน�ําร่องในกําร เปิดประเทศ ดังนั้น รํายงํานกํารแสวงหําข้อเท็จจริงนี้จะเป็นข้อมูลหนึ่งส�ําหรับหน่วยงําน ของรัฐที่เกี่ยวข้องจะสํามํารถน�ําไปเป็นแนวทํางในกํารพัฒนําอุตสําหกรรมกํารท่องเที่ยวของ ประเทศไทยเพื่อให้ก้ําวทันควํามท้ําทํายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในอนําคตต่อไป 5. การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยได้ให้ควํามส�ําคัญในกํารแก้ไขปัญหําอุบัติเหตุทํางถนนจําก รถจักรยํานยนต์ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องขององค์กํารสหประชําชําติที่ให้ทุกประเทศ สมําชิกให้ควํามส�ําคัญและยกระดับกํารแก้ปัญหําด้ํานควํามปลอดภัยทํางถนนเป็นวําระส�ําคัญ ตํามกรอบปฏิญญํามอสโกซึ่งก�ําหนดให้ พ.ศ. 2554 – 2563 เป็ นทศวรรษ แห่งกํารปฏิบัติเพื่อควํามปลอดภัยทํางถนน และปฏิญญํากรุงสต็อกโฮล์มว่ําด้วยเรื่อง ควํามปลอดภัยบนท้องถนนที่ให้ประเทศสมําชิกมีเป้ําหมํายลดปริมําณกํารเสียชีวิตและ กํารบําดเจ็บจํากกํารจรําจรทํางถนนลงร้อยละ 50 ภํายในปี พ.ศ. 2573 ตลอดจนที่ประชุม สมัชชําใหญ่แห่งสหประชําชําติ ได้ขอให้ผู้น�ําและรัฐบําลทุกประเทศยกระดับให้ควํามส�ําคัญ และจริงจังกับควํามปลอดภัยบนท้องถนนให้มํากยิ่งขึ้น รัฐบําลไทยจึงได้ออกนโยบํายและ มําตรกํารของรัฐด้ํานกํารป้องกันและลดอุบัติเหตุทํางถนน พ.ศ.2561 – 2564 โดยมี ศูนย์อ�ํานวยกํารควํามปลอดภัยทํางถนน กรมป้องกันและบรรเทํา สําธํารณภัย กระทรวง มหําดไทย ร่วมบูรณํากํารควํามร่วมมือกับหน่วยงํานต่ําง ๆ เพื่อด�ําเนินมําตรกํารป้องกันและ ลดอุบัติเหตุทํางถนน ให้จ�ํานวนผู้เสียชีวิต ผู้บําดเจ็บ และควํามพิกํารจํากอุบัติเหตุทํางถนน ลดลงตํามเป้ําหมํายที่ตั้งไว้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเห็นว่ํากํารลดอุบัติเหตุบนท้องถนนนี้มีควํามส�ําคัญต่อชีวิต และสวัสดิภําพของประชําชน จึงได้จัดท�ํารํายงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินและข้อเสนอแนะต่อ คณะรัฐมนตรี เรื่อง กํารป้องกันอุบัติเหตุทํางถนนที่มีสําเหตุจํากเมําแล้วขับ เมื่อวันที่ 26 มีนําคม 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทรําบรํายงํานดังกล่ําวเป็นกรณีที่หน่วยงําน ของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 215
แห่งรําชอําณําจักรไทย พ.ศ. 2560 ในกํารนี้ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเห็นว่ํา “กํารสวมหมวก นิรภัย” เป็นอีกข้อหนึ่งที่ถูกละเลยกํารปฏิบัติ ทั้งที่เป็นมําตรกํารส�ําคัญที่ช่วยลดควํามเสี่ยง กํารเสียชีวิตและกํารบําดเจ็บสําหัสจํากอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่ํางดี จึงเห็นชอบให้ แสวงหําข้อเท็จจริงเพื่อจัดท�ํารํายงํานพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้รวบรวมข้อมูลจํากหน่วยงํานต่ําง ๆ ข้อเท็จจริง เชิงประจักษ์จํากข่ําว บทควําม งํานวิจัย และรํายงํานขององค์กรที่เกี่ยวข้อง ศึกษํามําตรกําร และกฎหมํายเกี่ยวกับกํารป้องกันและลดอุบัติเหตุทํางถนนของรัฐไทย และตัวอย่ํางของรัฐ ต่ํางประเทศ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น เวียดนําม และสิงคโปร์ ซึ่งพบข้อเท็จจริงว่ํา สําเหตุหลัก ที่ท�ําให้เกิดอุบัติเหตุทํางถนนในสังคมไทย คือ ผู้ขับขี่ขําดจิตส�ํานึกในควํามปลอดภัยและ วินัยจรําจร มําตรกํารทํางกฎหมํายจึงจะเป็นกลไกส�ําคัญประกํารหนึ่งที่สํามํารถปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนได้ จํากกํารประชุมเพื่อรับฟังข้อมูลและแนวทํางในกํารป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทํางถนนอย่ํางมีประสิทธิภําพร่วมกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีข้อเสนอ แนวคิดในกํารจัดตั้งกองทุนชดเชยผู้ประสบอุบัติเหตุที่สวมหมวกนิรภัย เพื่อสร้ํางแรงจูงใจ ในกํารสวมหมวกนิรภัยโดยอําจอยู่ภํายใต้กํารบริหํารจัดกํารกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยของ คณะกรรมกํารก�ํากับและส่งเสริมกํารประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตลอดจนอําจ ส่งเสริมให้กลไกกํารประกันภัยเป็นมําตรกํารเชิงป้องกันอุบัติเหตุได้มํากยิ่งขึ้น เช่น กํารลด เบี้ยประกันภัยส�ําหรับผู้สวมหมวกนิรภัยที่มีมําตรฐําน กํารจัดสรรเงินประกันภัยเพื่อจัดท�ํา กํารประกันภัยเชิงป้องกัน เป็นต้น และสํามํารถสรุปข้อเสนอแนะที่สํามํารถมีต่อหน่วยงําน ที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงมหําดไทย ควรก�ําหนดให้มีนโยบํายและมําตรกําร ด้ํานควํามปลอดภัยทํางถนนเป็นวําระเร่งด่วนของทุกจังหวัด จัดตั้งคณะกรรมกํารระดับ จังหวัด จํากทุกหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องท�ําหน้ําที่ติดตํามและประเมินผลทุกเดือน สร้ํางเครือข่ําย ประชําคม รณรงค์ สร้ํางควํามตระหนัก ตื่นตัวในกํารสวมหมวกนิรภัยผ่ํานกลไกกํารท�ํางําน ของคณะท�ํางํานสนับสนุนกํารป้องกันอุบัติเหตุจรําจรระดับจังหวัด (สอจร.) ปลูกฝังค่ํานิยม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 216
วินัยควํามปลอดภัยและกํารรับผิดชอบต่อสังคมผ่ํานกํารจัดกิจกรรมต่ําง ๆ เช่น โครงกําร “สวมหมวก ใส่แมสก์” ให้ทุกคนสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่มีกํารขับขี่หรือซ้อนท้ําย รถจักรยํานยนต์ 2. ข้อเสนอแนะต่อกรมส่งเสริมกํารปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหําดไทย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีในกํารจัดกิจกรรม สร้ํางวัฒนธรรมชุมชน ส่งเสริมควํามปลอดภัยทํางถนนให้ด�ําเนินกํารได้ต่อเนื่องทั้งปี เช่น กํารประกวด “ชุมชนต้นแบบด้ํานควํามปลอดภัยทํางถนน” ระดมควํามคิดเห็นในชุมชน ท�ําแผนแม่บทชุมชน ส่งเสริมควํามรู้ ปลูกฝังจิตส�ํานึกในกํารป้องกันอุบัติเหตุในชุมชนร่วมกัน โดยเฉพําะอย่ํางยิ่งกํารสวมหมวกนิรภัยของเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนําเด็กเล็ก ก�ําหนดให้ ศูนย์พัฒนําเด็กเล็กเป็นเขตสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ จัดอบรมและกิจกรรมกับ ผู้ปกครอง ให้เห็นควํามส�ําคัญในกํารสวมหมวกนิรภัยให้เด็กเล็ก และให้สรุปผล ประเมิน จัดท�ํา ข้อเสนอแนะ มําตรกํารและแนวทํางด�ําเนินงํานต่ําง ๆ ทุกไตรมําสเสนอต่อคณะกรรมกําร ศูนย์อ�ํานวยกํารควํามปลอดภัยทํางถนนเพื่อจัดท�ํารํายงํานเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 3. ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงคมนําคม ให้เข้มงวดและบังคับใช้กฎหมํายที่เกี่ยวข้อง อย่ํางเคร่งครัด เร่งพิจํารณําปรับแก้ไขกฎหมําย ระเบียบต่ําง ๆ เช่น ร่ํางระเบียบกรมกํารขนส่ง ทํางบกว่ําด้วยกํารพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญําตขับขี่รถยนต์ รถจักรยํานยนต์ เพื่อก�ําหนด ให้ผู้กระท�ําผิดกฎจรําจรและได้รับใบสั่งต้องเข้ําอบรมทุกครั้งดังเช่นมําตรกํารในต่ํางประเทศ อันจะเป็นกํารเพิ่มควํามยุ่งยํากท�ําให้ผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงกํารกระท�ําผิด กํารเร่งบังคับใช้ข้อก�ําหนด ว่ําด้วยหลักเกณฑ์ วิธีกําร เงื่อนไขเกี่ยวกับกํารบันทึกคะแนน ตัดคะแนน คืนคะแนน และ กํารเข้ําอบรมควํามรู้เกี่ยวกับกํารขับรถและวินัยจรําจร พ.ศ. 2562 ที่มีมําตรกํารตัดคะแนน ผู้ขับขี่รถยนต์ รถจักรยํานยนต์ และผู้ขับรถโดยสํารสําธํารณะ ตํามเงื่อนไขหนักเบําต่ําง ๆ ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 เมษํายน 2565 เนื่องด้วยกํารบังคับใช้กฎหมํายอย่ํางเข้มงวดและ มีบทลงโทษที่หนักขึ้นนี้ เชื่อว่ําผู้ใช้รถใช้ถนนจะมีควํามเกรงกลัวที่จะกระท�ําผิดกฎจรําจร ก่อให้เกิดลักษณะนิสัยรักษําควํามปลอดภัยบนท้องถนนและมีวินัยจรําจรที่ดีต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 217
- ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษําธิกําร ควรปลูกฝังและสร้ํางจิตส�ํานึกเรื่อง ควํามปลอดภัยบนถนนตั้งแต่ในเด็กปฐมวัยหรืออนุบําลโดยกํารบรรจุเป็นหลักสูตร ในโรงเรียน และพัฒนําหลักสูตรให้เข้ําใจง่ํายและสอดรับกับช่วงวัยต่ําง ๆ บูรณํากําร กํารสอนและจัดกิจกรรมส่งเสริมควํามรู้ ควํามตระหนักร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครองและชุมชน ในเทศกําลและวันส�ําคัญของสถํานศึกษําหรือชุมชนต่ําง ๆ เช่น โครงกําร “หนูน้อยหัวดี” ในกิจกรรมวันเด็ก วันโรงเรียน หรือวันเทศกําลประจ�ําท้องถิ่น เป็นต้น 5. ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงสําธํารณสุข ให้โรงพยําบําลส่งเสริมสุขภําพต�ําบล (รพ.สต.) สอดแทรกควํามรู้ในบริกํารสําธํารณสุขพื้นฐํานของศูนย์พัฒนําเด็กเล็ก ศูนย์คุณภําพ ชีวิตผู้สูงอํายุในชุมชน จัดท�ําสถิติจ�ํานวนผู้เสียชีวิตและผู้บําดเจ็บจํากอุบัติเหตุทํางถนน อบรม ให้ควํามรู้แก่อําสําสมัครสําธํารณสุขประจ�ําหมู่บ้ําน (อสม.) ในกํารช่วยประชําสัมพันธ์ให้เข้ําถึง คนในชุมชนอย่ํางใกล้ชิดมํากยิ่ง และติดตํามประเมินผลกํารด�ําเนินงํานตํามมําตรกําร โครงกํารต่ําง ๆ อย่ํางต่อเนื่อง 6. ข้อเสนอแนะต่อกรมสวัสดิกํารและคุ้มครองแรงงําน กระทรวงแรงงําน ประสํานควํามร่วมมือหรือออกประกําศกระทรวงฯ ขอควํามร่วมมือให้ผู้ประกอบกิจกําร นํายจ้ําง ร่วมรณรงค์หรือออกมําตรกํารให้สถํานประกอบกํารเป็นเขต “สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์” ให้ควํามรู้ ประชําสัมพันธ์กับลูกจ้ํางเรื่องกฎจรําจรต่ําง ๆ และควํามส�ําคัญ ของกํารสวมหมวกนิรภัย 7. ข้อเสนอแนะต่อส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ ให้กวดขันกํารบังคับใช้กฎหมําย จรําจรต่ําง ๆ อย่ํางต่อเนื่องและสม�่ําเสมอ โดยสํามํารถน�ําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมําปรับใช้ บังคับกฎหมํายให้มีประสิทธิภําพมํากขึ้น เช่น กํารติดกล้อง CCTV เพื่อตรวจจับผู้ไม่สวม หมวกนิรภัย หรือเป็นหลักฐํานในกํารตัดคะแนนผู้ถือใบอนุญําตขับขี่ กํารใช้ระบบใบสั่ง อิเล็กทรอนิกส์ กํารปรับให้ค่ําปรับควํามผิดทํางจรําจรสูงขึ้น อันจะน�ําไปสู่กํารเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของผู้ขับขี่อย่ํางถําวรได้ต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 218
กลยุทธ์ที่ 1.3 พัฒนาการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการ อ�านวยความเป็นธรรม วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนํากระบวนกํารด�ําเนินงํานด้ํานกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ให้มีประสิทธิภําพและคุณภําพโดยพัฒนําระบบกํารปฏิบัติงํานด้ํานกํารแก้ไขปัญหํา เรื่องร้องเรียนให้กับประชําชนให้มีควํามรวดเร็วและมีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น กํารจัดท�ํา มําตรฐํานเรื่องร้องเรียนในแต่ละประเด็น ให้มีมําตรฐํานกลําง ส่งผลต่อควํามพึงพอใจ ของประชําชนต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ร้อยละความส�าเร็จของการปฏิบัติงานด้านการอ�านวยความเป็นธรรม ให้กับประชาชนให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ร้อยละ 60 ร้อยละ 54.97 รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ ในแต่ละปีงบประมําณ เปรียบเทียบกับสัดส่วนของเรื่องร้องเรียนที่รับเข้ําทั้งหมดในแต่ละ ปีงบประมําณ โดยมีเรื่องร้องเรียนที่ต้องด�ําเนินกํารในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ระหว่ําง วันที่ 1 ตุลําคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยํายน 2564 (รวมเรื่องร้องเรียนจํากปีก่อน) จ�ํานวน ทั้งสิ้น 4,866 เรื่อง และมีเรื่องร้องเรียนที่แล้วเสร็จ 2,675 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 54.97 อยู่ระหว่ํางด�ําเนินกําร 2,191 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 45.03 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 219
กลยุทธ์ที่ 1.4 สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกลไกการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จากผู้ตรวจการแผ่นดิน วัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชําชนได้รับกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนอย่ํางเท่ําเทียม และทั่วถึงผ่ํานกลไกและวิธีกําร รวมทั้งกํารให้ควํามรู้ควํามเข้ําใจในหน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กํารให้ค�ําปรึกษําและแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนแก่ประชําชนผ่ําน กํารด�ําเนินกิจกรรมในพื้นที่ต่ําง ๆ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ร้อยละของประชาชนที่เข้าถึงกลไกการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จากผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านช่องทางการด�าเนินกิจกรรมและ ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ร้อยละ 35.37 หมํายเหตุ ฐํานเทียบผลกํารด�ําเนินงํานปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 704 เรื่อง รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากจ�ํานวนของประชําชนที่เข้ําร่วมกิจกรรม ที่ส�ํานักงํานฯ ด�ําเนินกํารในพื้นที่ต่ําง ๆ ทั่วประเทศ (กํารท�ํางํานเชิงรุก) กํารดําวน์โหลดและ ลงทะเบียนกํารใช้งํานแอปพลิเคชัน “ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน” ที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละปีงบประมําณ (เทียบจํากปีที่ผ่ํานมํา) โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีสถิติด้ํานกํารรับเรื่องร้องเรียน ผ่ํานช่องทํางกํารด�ําเนินกิจกรรมและระบบเทคโนโลยีดิจิทัล รวม 953 เรื่อง ดังนี้ 1. อินเทอร์เน็ต จ�ํานวน 500 เรื่อง 2. Call Center จ�ํานวน 20 เรื่อง 3. Application จ�ํานวน 429 เรื่อง 4. กํารเข้ําร่วมกิจกรรม / โครงกํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จ�ํานวน 4 เรื่อง นอกจํากนั้น ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีกํารด�ําเนินงํานผ่ํานช่องทําง Call Center จ�ํานวน 6,313 สําย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 220
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม กลยุทธ์ที่ 2.1 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนและเพิ่มความเชื่อมั่น ต่อการอ�านวยความเป็นธรรม วัตถุประสงค์ เพื่อให้ทุกภําคส่วนของสังคมมีควํามรู้ควํามเข้ําใจเกี่ยวกับหน้ําที่ และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน หน่วยงํานของรัฐให้ควํามร่วมมือในกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนของประชําชนและทุกภําคส่วนมีควํามเชื่อมั่นต่อกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน และควํามไม่เป็นธรรม ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล 1. จ�ํานวนเรื่องที่ได้มีกํารเสนอแก้ไขปัญหําในเชิงระบบ 6 เรื่อง 6 เรื่อง 2. จ�ํานวนเรื่องที่เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงําน ของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ 5 เรื่อง 5 เรื่อง 3. ร้อยละควํามส�ําเร็จของกํารปฏิบัติงํานด้ํานกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ให้กับประชําชนให้มีควํามรวดเร็วและมีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น ไม่น้อยกว่ํา ร้อยละ 60 ร้อยละ 54.97 4. ร้อยละของประชําชนที่เข้ําถึงกลไกกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน จํากผู้ตรวจกํารแผ่นดินผ่ํานช่องทํางกํารด�ําเนินกิจกรรม และระบบเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ร้อยละ 35.37 สรุปผลการด�าเนินงานตามตัวชี้วัด : ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับและเสริมสร้าง ความเป็นธรรมแก่ประชาชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 221
ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ร้อยละความส�าเร็จในการส่งเสริม ให้ทุกภาคส่วนมีความรู้ ความเข้าใจ และ ความเชื่อมั่นต่ อการอ�านวย ความเป็นธรรม ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้อยละ 90 1. กํารรับรู้และควํามเข้ําใจในบริกํารของ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินร้อยละ 94.27 2. ควํามเชื่อมั่นต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินร้อยละ 85.00 รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากคะแนนกํารประเมินระดับควํามรู้ ควํามเข้ําใจเฉลี่ยของทุกภําคส่วน (ภําครัฐ ภําคเอกชน ประชําชน) ที่เข้ําร่วมกิจกรรม ทุกประเภทของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินในเรื่องบทบําท หน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ผ่ํานช่องทํางกํารสื่อสํารจํากกํารด�ําเนินโครงกําร / กิจกรรม ในกํารเผยแพร่ และประชําสัมพันธ์ช่องทํางต่ําง ๆ เช่น ประชุม สัมมนํา เว็บไซต์ ไลน์ เฟซบุ๊ก ฯลฯ โดยประมวลผลจํากกํารด�ําเนินโครงกํารฯ ดังนี้ 1. โครงการ Ombudsman Care 1.1 กิจกรรมประชําสัมพันธ์เคลื่อนที่ จ�ํานวน 2 ครั้ง 1) วันที่ 20 – 21 ธันวําคม 2563 ณ จังหวัดสระบุรี และนครรําชสีมํา 2) วันที่ 9 – 12 มีนําคม 2564 ณ จังหวัดล�ําปําง 1.2 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเทิดทูนสถําบันพระมหํากษัตริย์ จ�ํานวน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 21 ธันวําคม 2563 ณ จังหวัดสระบุรี และนครรําชสีมํา 2. โครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการ แผ่นดิน 2.1 โครงกํารผู้ตรวจกํารแผ่นดินสัญจรพบประชําชน จ�ํานวน 2 ครั้ง 1) วันที่ 11 - 12 มีนําคม 2564 โรงแรมเวียงลคอร จังหวัดล�ําปําง 2) วันที่ 2 และ 6 กันยํายน 2564 จังหวัดสุรินทร์ จังหวัด พระนครศรีอยุธยํา และจังหวัดระยอง (ในรูปแบบ Hybrid Learning) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 222
2.2 โครงกํารเสริมควํามรู้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินสู่กํารพัฒนําชุมชน - กิจกรรมผู้ตรวจกํารแผ่นดิน..นิติธรรม..น�ําสังคม จ�ํานวน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 มีนําคม 2564 ณ จังหวัดปัตตํานี กลยุทธ์ที่ 2.2 บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานและทุกภาคส่วน วัตถุประสงค์ เพื่อสร้ํางเครือข่ํายกํารมีส่วนร่วมของทุกภําคส่วน (ภําครัฐ เอกชน ประชําชน) ในกํารขับเคลื่อนกํารด�ําเนินงํานตํามหลักธรรมําภิบําลเพื่อแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนและควํามไม่เป็นธรรม ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นในการด�าเนินงาน ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน (ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จ�านวนหน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ เครือข่ายเพิ่มขึ้นปีละ 5 เครือข่าย) เพิ่มขึ้น 5 เครือข่ําย เพิ่มขึ้น 8 เครือข่ําย รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากร้อยละของผู้ที่เข้ําร่วมกิจกรรม/โครงกําร ที่ส�ํานักงํานด�ําเนินกําร โดยผู้เข้ําร่วมกิจกรรมร่วมเป็นเครือข่ํายหรือมีส่วนร่วมในกํารแก้ไข ควํามเดือดร้อนและควํามไม่เป็นธรรมให้แก่ประชําชน เพิ่มขึ้นจ�ํานวน 8 เครือข่ําย ผลจําก กํารด�ําเนินโครงกําร ดังนี้ 1. เครือข่ายตามภารกิจผู้ตรวจการแผ่นดิน จ�านวน 1 เครือข่าย 1.1 ควํามร่วมมือกับศําลรัฐธรรมนูญใน 8 เรื่อง เพื่อบูรณํากํารกํารด�ําเนินงําน ร่วมกันระหว่ํางองค์กร ตํามที่รัฐธรรมนูญแห่งรําชอําณําจักรไทย พุทธศักรําช 2560 ได้ให้ ควํามส�ําคัญกับกํารคุ้มครองบุคคลและชุมชนที่ได้รับควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรม อันเนื่องจํากหน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติหน้ําที่ตํามที่รัฐธรรมนูญก�ําหนดไว้ให้ถูกต้อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 223
ครบถ้วน และกํารคุ้มครองบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภําพ จึงได้ก�ําหนดกลไกในกําร คุ้มครองดูแลเรื่องดังกล่ําวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งกลไกดังกล่ําวมีควํามเกี่ยวพันกับหน้ําที่ และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินและศําลรัฐธรรมนูญ กล่ําวคือ มําตรํา 51 ก�ําหนดให้บุคคลและชุมชนที่ได้รับควํามเดือดร้อนหรือ ควํามไม่เป็นธรรมอันเนื่องมําจํากหน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติหน้ําที่ ตํามหมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องครบถ้วน มีสิทธิที่จะติดตํามและเร่งรัดให้รัฐด�ําเนินกําร และฟ้องร้องหน่วยงํานของรัฐเพื่อจัดให้ประชําชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้น มําตรํา 213 ก�ําหนดให้บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภําพที่รัฐธรรมนูญ คุ้มครองไว้ มีสิทธิยื่นค�ําร้องต่อศําลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่ํากํารกระท�ํานั้นขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ โดยให้ยื่นค�ําร้องต่อผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อกลั่นกรองก่อนที่จะเข้ําสู่กระบวนกําร พิจํารณําของศําลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ในกํารปฏิบัติหน้ําที่ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่ผ่ํานมํา ได้พบปัญหํา ในทํางปฏิบัติ กล่ําวคือ ประชําชนจ�ํานวนมํากยังขําดควํามรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิและ เสรีภําพที่รัฐธรรมนูญรับรองคุ้มครองไว้ และยังขําดกํารรับรู้ถึงกลไกกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมและกํารคุ้มครองสิทธิเสรีภําพตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 51 และมําตรํา 213 นอกจํากนั้น ยังพบว่ําบุคลํากรของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินส่วนหนึ่ง ยังมีควํามเข้ําใจที่ไม่ชัดเจนและไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับกํารปฏิบัติงํานภํายใต้กรอบและกลไก ตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 51 และมําตรํา 213 ด้วยเช่นกัน เนื่องจํากกํารด�ําเนินงํานในเรื่อง ดังกล่ําวเป็นเรื่องใหม่ที่ก�ําหนดไว้ในพระรําชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ําด้วยวิธีพิจํารณํา ของศําลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และยังมิได้มีแนวทํางที่ชัดเจนในกํารปฏิบัติร่วมกันระหว่ําง ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและศําลรัฐธรรมนูญ โดยที่ส�ํานักงํานศําลรัฐธรรมนูญได้เห็นถึงปัญหํา และควํามส�ําคัญของเรื่องดังกล่ําวเช่นกัน ดังนั้น เพื่อเป็นกํารเสริมสร้ํางควํามรู้ควํามเข้ําใจเกี่ยวกับกลไกกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมและกํารคุ้มครองสิทธิเสรีภําพตํามรัฐธรรมนูญ มําตรํา 51 และมําตรํา 213 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและศําลรัฐธรรมนูญจึงได้ประสํานควํามร่วมมือในกําร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 224
ด�ําเนินงํานภํายใต้กรอบอ�ํานําจหน้ําที่ของทั้งสองหน่วยงําน เพื่อเป็นกํารเผยแพร่ควํามรู้ ควํามเข้ําใจเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภําพของประชําชน ช่องทํางกํารใช้สิทธิให้กับประชําชน เพื่อให้ได้รับประโยชน์ตํามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนกํารเสริมสร้ํางและพัฒนําศักยภําพกํารร่วมมือ ทํางวิชํากํารของทั้งสองหน่วยงําน เพื่อให้กํารปฏิบัติงํานมีควํามสอดคล้อง มีประสิทธิภําพ และสัมฤทธิผลตํามเจตนํารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชําชน โดยมี กรอบควํามร่วมมือใน 8 ด้ําน ได้แก่ กํารจัดท�ําสื่อประชําสัมพันธ์ กํารใช้ช่องทํางประชําสัมพันธ์ กํารสัมมนําทํางวิชํากําร กํารวิจัย กํารบริหํารจัดกํารคดีด้วยระบบงํานคดีรัฐธรรมนูญอิเล็กทรอนิกส์ (E - Court) กํารเข้ําร่วมประชุมระดับภูมิภําคและระดับโลก กํารบริหํารจัดกํารงบประมําณ และงํานอื่น ๆ ทํางวิชํากําร 2. เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ จ�านวน 7 เครือข่าย 2.1 กรมประชําสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นเครือข่ํายในกํารเผยแพร่หน้ําที่และอ�ํานําจ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ช่องทํางกํารรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงผลกํารด�ําเนินงํานที่ส�ําคัญของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม 2.2 ส�ํานักงํานมูลนิธิแพทย์อําสําสมเด็จพระศรีนครินทรําบรมรําชชนนี (หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.) ซึ่งจะเป็นเครือข่ํายในกํารเผยแพร่หน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ช่องทํางกํารรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงผลกํารด�ําเนินงํานที่ส�ําคัญของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม 2.3 กํารเผยแพร่ประชําสัมพันธ์บนรูปแบบจอ LCD และรูปแบบอื่น ๆ ผ่ําน เครือข่ํายหน่วยงํานภําครัฐ / เอกชน จ�ํานวน 5 เครือข่ําย ดังนี้ 1) บริษัท บีเอ็นโอ กรุ๊ป จ�ํากัด ท�ํากํารเผยแพร่ประชําสัมพันธ์ผ่ํานจอ LCD ตํามสี่แยกกํารจรําจร ณ กรุงเทพมหํานคร เทศบําลเมืองพัทยํา และเทศบําลเมือง หัวหิน จ�ํานวน 15 แห่ง 2) บริษัท ขนส่ง จ�ํากัด ในรูปแบบผ่ํานจอ LCD และติดตั้งป้ํายไวนิล รวมถึงจัดวํางเอกสํารเผยแพร่ประชําสัมพันธ์ตํามสถํานีขนส่งทั่วประเทศ จ�ํานวน 123 แห่ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 225
- ส�ํานักงํานจังหวัดทั่วประเทศในรูปแบบผ่ํานจอ LCD จ�ํานวน 113 แห่ง 4) เครือข่ํายสหกรณ์กํารเกษตรในจังหวัดเพชรบุรีในรูปแบบป้ํายไวนิล จ�ํานวน 83 แห่ง 5) สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อออนไลน์ของสถําบันกํารศึกษํา ในระดับอุดมศึกษํา จ�ํานวน 155 แห่ง 3. เครือข่ายธรรมาภิบาลผู้ตรวจการแผ่นดิน อยู่ระหว่างด�าเนินการ จ�านวน 6 เครือข่าย 3.1 โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต - กิจกรรมขยํายผลกํารเสริมสร้ํางธรรมําภิบําลเพื่อควํามเป็นธรรม ในสังคม (อ�ําเภอคุณธรรม) (ขยํายผล 6 ต�ําบล) เป็นกํารด�ําเนินกํารพัฒนําต�ําบลคุณธรรม ของต�ําบลต่ําง ๆ ในอ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา จ�ํานวน 6 ต�ําบล ประกอบด้วย ต�ําบลลําดบัวหลวง ต�ําบลหลักชัย ต�ําบลสํามเมือง ต�ําบลสิงหนําท ต�ําบลคู้สลอด และต�ําบล คลองพระยําบันลือ โดยเป็นกํารเสริมสร้ํางธรรมําภิบําล และกํารมีส่วนร่วมของทุกภําคส่วน ร่วมกันพัฒนําต�ําบลให้เป็นต�ําบลคุณธรรม โดยใช้แนวคิดแนวทํางกระบวนกํารพัฒนํา “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ของต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา มําเป็นต้นแบบในกํารด�ําเนินงําน แต่ก็มีกํารปรับกิจกรรม ให้เหมําะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และเหมําะสมกับสถํานกํารณ์ปัจจุบัน ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ระดับความร่วมมือในการด�าเนินงาน ด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาล ระดับ 4 ระดับ 3 รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากกํารก�ําหนดระดับควํามร่วมมือในกําร ด�ําเนินงํานด้ํานกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเป็น 5 ระดับ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารและผ่ํานในระดับที่ 1 บุคคล / องค์กรที่เข้ําร่วม กิจกรรมในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลที่ส�ํานักงําน จัดขึ้น ระดับที่ 2 บุคคล / องค์กรที่เข้ําร่วม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 226
กิจกรรมในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําล ร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสมัครใจเข้ําร่วมเป็น เครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ระดับที่ 3 บุคคล / องค์กรที่เข้ําร่วมกิจกรรมและเป็น เครือข่ํายในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลมีกํารด�ําเนินกิจกรรมในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําล ใน ท้องถิ่น และระดับ 4 บุคคล / องค์กรร่วมด�ําเนินกิจกรรม / โครงกํารด้ํานส่งเสริมธรรมําภิบําล เป็นต้นแบบเพื่อกํารขยํายผลในอนําคต แต่ผลกํารด�ําเนินงํานยังอยู่ในระดับที่ 3 บุคคล / องค์กรที่เข้ําร่วมกิจกรรมและเป็นเครือข่ํายในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลมีกํารด�ําเนินกิจกรรม ในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลในท้องถิ่น โดยมีรํายละเอียดผลกํารด�ําเนินโครงกําร ดังนี้ 1. ผลการด�าเนินโครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อต่อต้านการทุจริต “พระยาบันลือ ต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” โดยได้ก�ําหนดกํารด�ําเนินกิจกรรมตํามแผนปฏิบัติกํารฯ ได้แก่ 1.1 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ลงพื้นที่ติดตํามกํารขับเคลื่อนโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ของหน่วยงํานเครือข่ํายหมู่บ้ํานคุณธรรม จ�ํานวน 7 หมู่บ้ําน หมู่ที่ 1 บ้ํานดอนตําช้ําง หมู่ที่ 2 บ้ํานปํากคูตําฉัตร หมู่ที่ 3 บ้ํานหําดทรําย หมู่ที่ 4 บ้ํานล�ํากะลํา หมู่ที่ 5 บ้ํานสี่แยก หมู่ที่ 6 บ้ํานคูตําฉัตร และหมู่ที่ 7 บ้ํานหนองสองห้อง ในวันจันทร์ที่ 9 วันศุกร์ที่ 13 และวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกํายน 2563 ณ ต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา 1.2 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ติดตํามกํารขับเคลื่อนโครงกําร “พระยําบันลือ ต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ของหน่วยงํานเครือข่ํายองค์กรคุณธรรม จ�ํานวน 8 เครือข่ําย ดังนี้ 1) โรงเรียนวัดบันลือธรรม “ล�ํากะประชํารัฐ” 2) โรงเรียนรุ่งวิทยํา (ประชําอุปถัมภ์) 3) โรงเรียนวัดฉัตรทอง (เลื่อนประชํานุกูล) 4) โรงเรียนสอนดี (ประชํารัฐอนุสรณ์) 5) โรงเรียนลําดบัวหลวง (นิ่มนวลอุทิศ) 6) โรงเรียนลําดบัวหลวงไพโรจน์วิทยํา 7) องค์กําร บริหํารส่วนต�ําบลพระยําบันลือ และ 8) ศูนย์กํารศึกษํานอกระบบและกํารศึกษําตํามอัธยําศัย อ�ําเภอลําดบัวหลวง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 227
1.3 ประชุมแผนกํารขับเคลื่อนโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ระหว่ํางวันที่ 1 – 3 มีนําคม 2564 ณ ต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา 1.4 วันที่ 16 มีนําคม 2564 ช่วงเช้ําประชุมขับเคลื่อนกํารบริหํารจัดกําร ขยะมูลฝอยในต�ําบลพระยําบันลือ เพื่อเสริมหนุนกิจกรรมส่งเสริมควํามดีตํามโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ร่วมกับผู้บริหําร และเจ้ําหน้ําที่องค์กําร บริหํารส่วนต�ําบลพระยําบันลือ ณ องค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลพระยําบันลือ ช่วงบ่ํายประชุม หํารือกํารจัดเวที “รับฟังควํามคิดเห็นและกํารมีส่วนร่วมของอิหม่ํามในกํารด�ําเนินกิจกรรม ส่งเสริมควํามดีในต�ําบลพระยําบันลือ” ตํามโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ร่วมกับนํายประดิษฐ์ รัตนโกมล ประธํานคณะกรรมกํารอิสลํามประจ�ํา จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา ณ มัสยิดอะมะดียะห์ (โดมเอียง) ต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอ ลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา 1.5 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินประชุมกํารขับเคลื่อนโครงกําร “พระยําบันลือ ต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ร่วมกับผู้น�ําทํางศําสนํา (อิสลําม และพุทธ) ในต�ําบล พระยําบันลือ เมื่อวันที่ 31 มีนําคม 2564 ณ ต�ําบลพระยําบันลือ อ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา ทั้งนี้ ในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีกิจกรรมด�ําเนินกําร ดังนี้ 1) กํารประสํานงํานไปยังนํายอ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา เพื่อชี้แจงที่มํา และวัตถุประสงค์ของโครงกํารฯ และขอควํามอนุเครําะห์ในกํารขอข้อมูลพื้นฐําน ของอ�ําเภอลําดบัวหลวง ได้แก่ รํายชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรประสํานงําน หมู่บ้ํานของแต่ละต�ําบล หน่วยงํานรําชกํารของแต่ละต�ําบล และโรงเรียนทั้งหมดของแต่ละต�ําบล เป็นต้น เพื่อจะได้ น�ําข้อมูลทั้งหมดมําวํางแผน และรูปแบบ ในกํารด�ําเนินโครงกํารให้เหมําะสมกับสถํานกํารณ์ ปัจจุบันต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 228
- ผลิตสื่อ เช่น แผ่นพับน�ําเสนอโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” หนังสือหลักสูตรต้ํานทุจริตศึกษํา เพื่อน�ําส่งไปยังกลุ่มเป้ําหมํายแต่ละ ต�ําบล (6 ต�ําบล) เพื่อเป็นกํารสร้ํางควํามเข้ําใจเบื้องต้นก่อนเข้ําร่วมกํารด�ําเนินกิจกรรมต่ําง ๆ ต่อไป 3) น�ําสื่อเผยแพร่เพื่อประชําสัมพันธ์โครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ได้แก่ แผ่นพับแนะน�ํา “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรมฯ” ซึ่งเป็นต้นแบบ เป็นแนวทํางในกํารด�ําเนินงําน เพื่อสร้ํางควํามเข้ําใจและเป็นกํารเตรียมควํามพร้อมในกําร ขยํายผลกิจกรรม “ต�ําบลคุณธรรม” ใน 6 ต�ําบล ในอ�ําเภอลําดบัวหลวง เพื่อให้เกิดเป้ําหมําย สู่กํารเป็น “อ�ําเภอคุณธรรม”ต่อไป 4) ติดตํามควํามก้ําวหน้ํา ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้ก�ําลังใจในกําร ด�ําเนินกิจกรรมต่ําง ๆ ในต�ําบลพระยําบันลือ ผ่ํานสื่อสังคมออนไลน์ (กลุ่มไลน์ “พระยําบันลือ ต�ําบลคุณธรรมฯ) โดยส�ํานักเครือข่ํายและกํารมีส่วนร่วม (ส่วนส่งเสริมกํารมีส่วนร่วม) ได้รวบรวมข้อมูลและภําพถ่ํายกํารด�ําเนินกิจกรรมดังกล่ําวไว้ เพื่อจะได้น�ําไปใช้ประกอบกําร วํางแผนปรับรูปแบบกิจกรรมต่ําง ๆ ในกํารด�ําเนินโครงกํารฯ ต่อไป 5) วันที่ 29 กันยํายน 2564 ได้จัดกํารประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์ และแนวทํางกํารขยํายผล “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ไปสู่ “อ�ําเภอ ลําดบัวหลวงอ�ําเภอคุณธรรม” ให้กับหมู่บ้ําน และองค์กรทุกแห่งในอ�ําเภอลําดบัวหลวง คือ 1) ต�ําบลลําดบัวหลวง 2) ต�ําบลหลักชัย 3) ต�ําบลสิงหนําท 4) ต�ําบลสํามเมือง 5) ต�ําบล คู้สลอด 6) ต�ําบลคลองพระยําบันลือ 7) ต�ําบลพระยําบันลือ ในวันที่ 29 กันยํายน 2564 ณ หอประชุมที่ว่ํากํารอ�ําเภอลําดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา กํารจัดงํานดังกล่ําว ยึดหลักให้เป็นไปตํามพระรําชก�ําหนดสถํานกํารณ์ฉุกเฉิน และพระรําชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กํารประชุมได้ด�ําเนินกํารเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 229
-
ผลการด�าเนินโครงการพัฒนาและขยายเครือข่ายธรรมาภิบาล เพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมในสังคม กิจกรรมเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรม ในสังคม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 1) กํารจัดกิจกรรมตํามภํารกิจด้ํานกํารสร้ํางเครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยมีบุคคล / องค์กรร่วมด�ําเนินกิจกรรม / โครงกํารด้ํานส่งเสริมธรรมําภิบําล ประกอบด้วย ข้ํารําชกําร พนักงําน และเจ้ําหน้ําที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�ํานวน 80 คน จํากองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น 30 หน่วยงําน โดยเป็นเครือข่ํายใหม่ จ�ํานวน 26 หน่วยงําน และ เครือข่ํายเดิมที่สนใจเข้ําร่วมกิจกรรม จ�ํานวน 4 หน่วยงําน 2) เพื่อให้สอดคล้องกับสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID - 19) ได้ปรับให้มีกํารจัดกิจกรรมกํารประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดินเพื่อควํามเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2” ในรูปแบบออนไลน์ผ่ําน โปรแกรม Zoom Cloud Meetings และ Facebook live ในลักษณะกิจกรรมรับฟัง ควํามคิดเห็นและให้ผู้เข้ําร่วมกิจกรรมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงปัญหํา และหําทํางออกร่วมกัน ทั้งนี้ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มอบเกียรติบัตรและป้ํายประชําสัมพันธ์ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินและช่องทํางกํารร้องเรียนให้กับผู้เข้ําร่วมกิจกรรมที่สมัครใจในกํารเข้ําร่วม กิจกรรมกํารเป็นเครือข่ํายกับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อให้เครือข่ํายน�ําองค์ควํามรู้ ที่ได้รับจํากกํารด�ําเนินกิจกรรมไปด�ําเนินงํานด้ํานกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลและประชําสัมพันธ์ บทบําทหน้ําที่ และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตลอดจนแนะน�ําช่องทํางในกํารร้องเรียน ให้แก่ประชําชนในพื้นที่ชุมชนต่อไป ทั้งนี้ กิจกรรมเครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดินเพื่อควํามเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2 ซึ่งเคยเข้ําร่วมกิจกรรมกับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้ควํามร่วมมือในกํารพัฒนําต่อยอด เครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้มีควํามเข้มแข็ง โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมธรรมําภิบําลในท้องถิ่น สนับสนุนกํารท�ํางํานให้กับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินเผยแพร่ประชําสัมพันธ์เกี่ยวกับ หน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตลอดจนช่องทํางกํารร้องเรียนมํายังส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้กับประชําชนในพื้นที่ทรําบ อําทิ องค์กํารบริหํารส่วนจังหวัดพังงํา องค์กํารบริหํารส่วนจังหวัดภูเก็ต และส�ํานักงํานเทศบําลต�ําบลแม่ริม จังหวัดล�ําพูน เป็นต้น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 230
-
ผลการด�าเนินโครงการพัฒนาและขยายเครือข่ายธรรมาภิบาล เพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมในสังคม กิจกรรมติดตามการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลของเครือข่ายผู้ตรวจการ แผ่นดิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 1) กํารจัดกิจกรรมตํามภํารกิจด้ํานกํารพัฒนําเครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยมีบุคคล / องค์กรร่วมด�ําเนินกิจกรรม / โครงกํารด้ํานส่งเสริมธรรมําภิบําลระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่นและชุมชน ได้แก่ ส�ํานักงํานจังหวัดสกลนคร องค์กํารบริหํารส่วนจังหวัด สกลนคร และส�ํานักงํานเทศบําลนครสกลนคร มีผู้เข้ําร่วมงํานประกอบด้วย หัวหน้ํา ส่วนรําชกํารในจังหวัดสกลนคร หัวหน้ําหน่วยงํานรัฐวิสําหกิจทุกหน่วย นํายอ�ําเภอทุกอ�ําเภอ ผู้บริหํารสถํานศึกษํา และผู้น�ําองค์กรภําคเอกชน ผู้น�ําชุมชน และกลุ่มเครือข่ํายต่ําง ๆ จ�ํานวนทั้งสิ้น 364 คน 2) กํารจัดกิจกรรมในรูปแบบของกํารบรรยํายพิเศษในหัวข้อ “หน้ําที่และ อ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และกํารเสวนํา เรื่อง “เครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดินกับ กํารเสริมสร้ํางธรรมําภิบําลเพื่อควํามเป็นธรรมในสังคม” ทั้งนี้ กิจกรรมพัฒนําเครือข่ําย ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินมําอย่ํางต่อเนื่อง เพื่อรักษําและพัฒนําต่อยอดเครือข่ํายผู้ตรวจกําร แผ่นดินให้มีควํามเข้มแข็ง และช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่ํางเครือข่ําย โดยมุ่งเน้น ให้เครือข่ํายสนับสนุนกํารปฏิบัติตํามหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และเตรียม ควํามพร้อมในกํารเป็นต้นแบบขยํายเครือข่ํายผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้ครอบคลุม ในแต่ละ พื้นที่ ทั้งนี้ องค์กํารบริหํารส่วนจังหวัดสกลนคร และส�ํานักงํานเทศบําลนครสกลนคร ที่เข้ําร่วมกิจกรรมกับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ด�ําเนินกํารขยํายผลจัดกิจกรรม ส่งเสริมธรรมําภิบําลในจังหวัดสกลนคร เผยแพร่หน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในกํารประชุมต่ําง ๆ เพื่อสร้ํางควํามรู้ควํามเข้ําใจเกี่ยวกับหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกําร แผ่นดิน และช่องทํางกํารรับเรื่องร้องเรียนให้กับประชําชนในพื้นที่ได้เป็นอย่ํางดี ผู้ตรวจการแผ่นดิน 231
กลยุทธ์ที่ 2.3 สร้างและขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ เพื่อสร้ํางเครือข่ํายควํามร่วมมือระหว่ํางประเทศ เพื่อเป็นกลไก ในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชน และกํารส่งเสริมกํารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่ํางเจ้ําหน้ําที่ของประเทศคู่ภําคีระหว่ํางประเทศต่ําง ๆ ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนกิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือการจัดท�า ข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ได้มีการลงนาม 2 MOU 1 MOU 5 กิจกรรม รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากจ�ํานวนกิจกรรมควํามร่วมมือระหว่ําง ประเทศ หรือกํารจัดท�ําข้อตกลงควํามร่วมมือ (MOU) ที่ได้มีกํารลงนําม โดยมีผลกํารด�ําเนินงําน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ 1. การจัดท�าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 1 ฉบับ คือ กํารลงนํามบันทึกเจตนํารมณ์ว่ําด้วยกํารก่อตั้งเวทีผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่ง ภูมิภําคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asian Ombudsman Forum: SEAOF) 2. กิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศ 5 กิจกรรม คือ 1) กํารเข้ําร่วมสัมมนําออนไลน์ (Webinar) ของสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ระหว่ํางประเทศในหัวข้อ “โควิด 19 และผู้ตรวจกํารแผ่นดิน – ควํามท้ําทํายต่อสถํานกํารณ์ โรคระบําด (COVID - 19 and the Ombudsperson: Rising to the Challenge of a Pandemic)” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกํายน 2563 2) กํารเข้ําร่วมกํารสัมมนําออนไลน์ หัวข้อ “ข้อมติสหประชําชําติว่ําด้วย บทบําทองค์กรผู้ตรวจกํารแผ่นดินและผู้ไกล่เกลี่ย”กํารสัมมนําดังกล่ําวจัดขึ้นโดยควํามร่วมมือ ระหว่ํางสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินระหว่ํางประเทศ (IOI) และศูนย์วิจัยผู้ตรวจกํารแผ่นดิน แห่งแอฟริกัน (African Ombudsman Research Centre (AORC)) เมื่อวันที่ 23 กุมภําพันธ์ 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 232
- กํารเป็นเจ้ําภําพจัดประชุมกลุ่มภูมิภําคเอเชียของสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ระหว่ํางประเทศผ่ํานระบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 20 พฤษภําคม 2564 4) กํารเข้ําร่วมสัมมนํา ในหัวข้อ “กํารสอบสวนเชิงระบบ” (Systemic Investigations) จัดโดย ศูนย์วิจัยผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งแอฟริกัน (African Ombudsman Research Centre (AORC)) เมื่อวันที่ 8 มิถุนํายน 2564 5) กํารด�ําเนินกํารเพื่อสมัครรับเลือกตั้งต�ําแหน่ง Asian Regional Director ของสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินระหว่ํางประเทศของประธํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (กรกฎําคม - สิงหําคม 2564) ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนกิจกรรมความร่วมมือที่มีการปฏิบัติภายใต้กรอบ MOU 4 กิจกรรม 7 กิจกรรม รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากกํารด�ําเนินกิจกรรมภํายใต้กรอบข้อตกลง ควํามร่วมมือ (MOU) ที่ได้ลงนํามไปแล้ว ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 รวมจ�ํานวนทั้งสิ้น 7 กิจกรรม จําก 8 MOU ดังนี้ 1. การด�าเนินกิจกรรมร่วมกับประเทศคู่ภาคี MOU ครบทั้ง 8 ประเทศ (ประเทศ นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน เครือรัฐออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น) จ�านวน 1 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 กํารจัดสัมมนําออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “บทบําทของผู้ตรวจกําร แผ่นดินระหว่ํางและหลังวิกฤตกํารณ์ไวรัสโคโรนํา 2019” ในวันที่ 2 เมษํายน 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยมีฝ่ํายบริหํารสถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินระหว่ํางประเทศ (IOI) และประเทศคู่ภําคี MOU ครบทั้ง 8 ประเทศ เข้ําร่วมดังต่อไปนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 233
(1) ตอบรับเป็นวิทยํากร คือ - ประธํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งสําธํารณรัฐอินโดนีเซีย - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งสําธํารณรัฐฟิลิปปินส์ - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งสําธํารณรัฐอุซเบกิสถําน - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย - ผู้อ�ํานวยกํารส�ํานักตรวจสอบกํารบริหํารแห่งประเทศญี่ปุ่น (2) เข้ําร่วมกํารสัมมนํา คือ - คณะกรรมกํารต่อต้ํานกํารทุจริตและส่งเสริมสิทธิทํางพลเมืองแห่ง สําธํารณรัฐเกําหลี - คณะกรรมกํารตรวจสอบแห่งสําธํารณรัฐประชําชนจีน จํากกํารด�ําเนินกิจกรรมสัมมนําออนไลน์ที่จัดขึ้นนี้ จึงนับได้ว่ําเป็นกิจกรรม ควํามร่วมมือที่มีกํารปฏิบัติภํายใต้กรอบ MOU กับประเทศภําคีทุกประเทศพร้อมกัน 2. กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้บันทึก ความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน จ�านวน 2 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 วันที่ 3 ธันวําคม 2563 ประธํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินบันทึกเทป กํารบรรยํายแลกเปลี่ยนประสบกํารณ์หัวข้อ “หน่วยงํานด้ํานสิทธิมนุษยชนแห่งชําติในช่วง สถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID 19)” (National Human Rights Institutions During the COVID - 19 Pandemic) ตํามค�ํากรําบเรียนเชิญ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งสําธํารณรัฐอุซเบกิสถําน เพื่อใช้เผยแพร่ในงํานสัมมนํานํานําชําติ ผ่ํานระบบ Videoconference เรื่อง “Digitalization of the Ombudsman’s activities : innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 ธันวําคม 2563 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 234
กิจกรรมที่ 2 กํารเข้ําร่วมงํานสัมมนํานํานําชําติผ่ํานระบบ Video conference เรื่อง “Digitalization of the Ombudsman’s activities: innovative mechanisms for ensuring and protecting human rights and freedoms” ซึ่งจัดโดย ผู้ตรวจกําร แผ่นดินแห่งสําธํารณรัฐอุซเบกิสถําน เมื่อวันที่ 11 ธันวําคม 2563 โดยประธํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินบรรยํายหัวข้อ “หน่วยงํานด้ํานสิทธิมนุษยชนแห่งชําติในช่วงสถํานกํารณ์ กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019” (National Human Rights Institutions During the COVID - 19 Pandemic) 3. กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้บันทึก ความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งประเทศนิวซีแลนด์ จ�านวน 3 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 กํารประชุมคณะท�ํางํานร่วมเชิงเทคนิคระดับเจ้ําหน้ําที่ (Joint Technical Working Group) กับส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งนิวซีแลนด์ผ่ํานระบบ ออนไลน์ เมื่อวันที่ 17 กุมภําพันธ์ 2564 กิจกรรมที่ 2 กํารเข้ําร่วมสัมมนําทํางอิเล็กทรอนิกส์ (Webinar) เพื่อแลกเปลี่ยน องค์ควํามรู้ จัดโดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ หัวข้อ “OPCAT Prison Inspection Practice” (แนวปฏิบัติในกํารตรวจสอบทัณฑสถํานตํามพิธีสํารเลือกรับ ของอนุสัญญําว่ําด้วยกํารต่อต้ํานกํารทรมํานและกํารกระท�ําอื่น ๆ ที่โหดร้ําย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ํายีศักดิ์ศรี) เมื่อวันที่ 10 กุมภําพันธ์ 2564 กิจกรรมที่ 3 กํารเข้ําร่วมสัมมนําทํางอิเล็กทรอนิกส์ (Webinar) เพื่อแลกเปลี่ยน องค์ควํามรู้ จัดโดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ หัวข้อ “Making Disability Rights Real in a Pandemic” (กํารส่งเสริมสิทธิของผู้พิกํารท่ํามกลําง วิกฤตกํารณ์ไวรัสโคโรนํา 2019) เมื่อวันที่ 29 เมษํายน 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 235
- กิจกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระดับทวิภาคี ภายใต้บันทึก ความเข้าใจระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการตรวจสอบ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (NCS) จ�านวน 1 กิจกรรม คือ กํารส่งพนักงําน จ�ํานวน 3 รําย เข้ําร่วมกํารสัมมนําออนไลน์ หัวข้อ “Seminar on Anti - Corruption for Belt and Road Countries” จัดโดย วิทยําลัยกํารตรวจสอบวินัยแห่งสําธํารณรัฐประชําชนจีน (China Academy of Discipline Inspection and Supervision: CADIS) ระหว่ํางวันที่ 29 มิถุนํายน – 6 กรกฎําคม 2564 ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล 1. ร้อยละควํามส�ําเร็จในกํารส่งเสริม ให้ทุกภําคส่วนมีควํามรู้ ควํามเข้ําใจ และควํามเชื่อมั่นต่อกํารอ�ํานวย ควํามเป็นธรรมของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 90 1. ควํามรู้ควํามเข้ําใจหน้ําที่และอ�ํานําจ ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 94.27 2. ควํามเชื่อมั่นต่อกํารอ�ํานวย ควํามเป็นธรรมของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 85.00 2. จ�ํานวนเครือข่ํายที่เพิ่มขึ้นในกําร ด�ําเนินงํานตํามหลักธรรมําภิบําล เพื่อเป็นกลไกในกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชน 5 เครือข่ําย 8 เครือข่ําย 3. ระดับควํามร่วมมือในกํารด�ําเนินงําน ด้ํานกํารส่งเสริมธรรมําภิบําล ไม่น้อยกว่ํา ร้อยละ 60 ระดับ 3 บุคคล / องค์กรที่เข้ําร่วม กิจกรรมเป็นเครือข่ํายในกํารส่งเสริม ธรรมําภิบําลมีกํารด�ําเนินกิจกรรม ในกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลในท้องถิ่น 4. จ�ํานวนกิจกรรมควํามร่วมมือระหว่ําง ประเทศ หรือกํารจัดท�ําข้อตกลงควํามร่วมมือ (MOU) ที่ได้มีกํารลงนําม 2 MOU 1 MOU และ 5 กิจกรรม 5. จ�ํานวนกิจกรรมควํามร่วมมือที่มี กํารปฏิบัติภํายใต้กรอบ MOU 4 กิจกรรม 7 กิจกรรม สรุปผลการด�าเนินงานตามตัวชี้วัด : ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมแก่สังคม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 236
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ กลยุทธ์ที่ 3.1 พัฒนาและบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อสนับสนุนการด�าเนินงาน วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนําองค์ควํามรู้ รวบรวมและจัดท�ําฐํานข้อมูลควํามรู้ กํารพัฒนํางํานด้ํานวิชํากําร กํารเชื่อมโยงองค์ควํามรู้จํากแหล่งต่ําง ๆ เพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนกํารเรียนรู้ของบุคลํากรอย่ํางต่อเนื่อง และสํามํารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงําน ภํายนอก ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ระดับความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์ความรู้ของ ส�านักงาน ระดับ 4 ระดับ 4 รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากควํามส�ําเร็จในกํารพัฒนําองค์ควํามรู้ ด้ํานต่ําง ๆ เพื่อรวบรวมจัดท�ําฐํานข้อมูลและกํารเชื่อมโยงองค์ควํามรู้เพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนกํารเรียนรู้แก่บุคลํากรอย่ํางต่อเนื่อง รวมถึงกํารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่ํางหน่วยงําน กํารน�ําควํามรู้และแหล่งข้อมูลไปใช้ตํามภํารกิจ โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารตํามเป้ําหมํายในระดับที่ 4 ติดตํามเพื่อปรับปรุงกํารน�ํา องค์ควํามรู้ไปใช้และพัฒนําระบบกํารบริหํารจัดกํารองค์ควํามรู้ 1. พัฒนําปรับปรุงคลังควํามรู้ (KM) และน�ําเข้ําข้อมูลต่ําง ๆ ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ เป็นศูนย์กลํางกํารบริหํารจัดกํารข้อมูล ซึ่งเป็นกํารด�ําเนินกํารจัดกํารควํามรู้ในมิติของควํามรู้ ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) 2. เผยแพร่และน�ําเข้ําข้อมูลองค์ควํามรู้ของส�ํานักงํานฯ รวมถึงบทควํามวิชํากําร และบทควํามวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวํารสํารฯ ในรูปแบบดิจิทัลผ่ํานเว็บไซต์สถําบันผู้ตรวจกําร แผ่นดินศึกษําและในระบบส�ํานักงํานอัตโนมัติ 3. วํารสํารผู้ตรวจกํารแผ่นดินผ่ํานกํารรับรองคุณภําพ สําขํามนุษยศําสตร์ และสังคมศําสตร์ ในระดับที่ 2 จํากศูนย์ดัชนีอ้ํางอิงวํารสํารไทย มีระยะกํารรับรองถึงวันที่ 31 ธันวําคม 2567 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 237
- กิจกรรมกํารจัดกํารองค์ควํามรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และหอจดหมํายเหตุ 4.1 กํารปรับปรุงห้องพิพิธภัณฑ์และหอจดหมํายเหตุ ณ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน 4.2 กํารเตรียมควํามพร้อมในกํารบริหํารจัดกํารห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ (อําคําร C) 5. กิจกรรมกํารเผยแพร่เรื่องที่น่ําสนใจบนเว็บไซต์สถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินศึกษํา โดยจัดท�ํา pop - up เรื่องที่น่ําสนใจเดือนละ 1 เรื่อง เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสถําบันผู้ตรวจกําร แผ่นดินศึกษํา เช่น - กํารแก้ไขปัญหําขยะอิเล็กทรอนิกส์ - กํารบริหํารจัดกํารวัคซีน - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสนอแนะภําครัฐเร่งหําและกระจํายวัคซีนให้ทั่วถึง เปิดโอกําสให้ทุกภําคส่วนเข้ํามําช่วยแก้ไขปัญหํากํารจัดกํารวัคซีน - ผู้ตรวจกํารแผ่นดินแนะตั้งคณะกรรมกํารนโยบํายกํารพัฒนําเด็กปฐมวัย ที่มีประสิทธิภําพโดยเร็ว กลยุทธ์ที่ 3.2 พัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการงานของส�านักงาน วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงและพัฒนํากํารบริหํารจัดกํารงํานของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน ให้เหมําะสมและสอดคล้องกับหน้ําที่และอ�ํานําจที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นกํารพัฒนํา และยกระดับกํารด�ําเนินงํานขององค์กรโดยยึดหลักธรรมําภิบําล และควํามโปร่งใสในกําร ด�ําเนินงําน ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ระดับความส�าเร็จของการบริหารจัดการ และการยกระดับองค์กร ระดับ 4 ระดับ 4 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 238
รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากควํามส�ําเร็จในกํารพัฒนํากํารบริหํารจัดกําร องค์กร กํารปรับปรุงโครงสร้ํางองค์กร ระเบียบ กระบวนกํารในกํารปฏิบัติงํานเพื่อสนับสนุน กํารด�ําเนินงํานให้สอดรับกับภํารกิจ พัฒนําระบบกํารบริหํารงําน โดยยึดหลักธรรมําภิบําล ควํามโปร่งใสในกํารด�ําเนินงําน และเพื่อยกระดับองค์กรไปสู่มําตรฐํานสํากล ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้ คือ ระดับ 4 จัดท�ําแนวทํางปรับปรุงกํารด�ําเนินกํารพัฒนําองค์กรตํามหลักเกณฑ์กํารพัฒนํา คุณภําพ โดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกําร ดังนี้ 1. การพัฒนาการบริหารองค์กรตามแนวทาง PMQA กํารจัดท�ําแนวทํางกํารปรับปรุงกํารด�ําเนินกํารพัฒนําองค์กรตํามหลักเกณฑ์ ที่ก�ําหนด เช่น กํารพัฒนําและปรับปรุงระเบียบระบบบริหํารจัดกํารงํานขององค์กรผู้ตรวจกําร แผ่นดิน กํารพัฒนํางํานตํามมําตรฐําน ITA กํารด�ําเนินงํานตํามหลักเกณฑ์ขององค์กรโปร่งใส กํารจัดท�ําและพัฒนําคู่มือกํารปฏิบัติงํานเพื่อเป็นมําตรฐํานเดียวกัน กํารปรับปรุงแผน ยุทธศําสตร์ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 กํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนําศักยภําพ บุคลํากรตํามสํายงําน และระดับต�ําแหน่ง เป็นต้น 2. การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผลกํารประเมิน ITA ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้รับคะแนน 90.44 ระดับ A อันดับที่ 3 ของกลุ่มองค์กรอิสระ 3. โครงการพัฒนาและปรับปรุงระเบียบระบบบริหารจัดการงานขององค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ด�ําเนินกํารปรับปรุงและยกร่ํางระเบียบที่ประกําศใช้บังคับแล้ว จ�ํานวนทั้งสิ้น 19 ฉบับ ได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 239
-
ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยรถส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2563 2) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารจัดแบ่งส่วนงํานและ ขอบเขตหน้ําที่ของส่วนงํานในส�ํานักและสถําบันของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2563 3) ประกําศผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกํารใช้รถเพื่องําน สวัสดิกํารของบุคลํากรของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 4) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารบริหํารงํานบุคคล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 5) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารงบประมําณ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 6) ประกําศส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีกําร และ เงื่อนไขกํารบรรจุแต่งตั้งบุคคลเป็นพนักงํานด้วยวิธีกํารสอบแข่งขัน พ.ศ. 2563 7) ประกําศส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีกําร เลื่อนต�ําแหน่ง และย้ํายพนักงํานประเภทบริหําร และประเภทอ�ํานวยกําร พ.ศ. 2563 8) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยงํานสํารบรรณ พ.ศ. 2563 9) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยข้อมูลข่ําวสํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน พ.ศ. 2563 10) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยเครื่องแบบและกํารแต่งเครื่องแบบของ พนักงํานและลูกจ้ํางส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2563 11) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยหลักเกณฑ์ วิธีกําร และเงื่อนไข กํารได้รับค่ําตอบแทนกํารปฏิบัติงํานในลักษณะพิเศษ พ.ศ. 2564 12) ประกําศส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีกําร และ เงื่อนไขกํารทดลองปฏิบัติหน้ําที่ พ.ศ. 2564 13) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยหลักเกณฑ์และวิธีกํารบรรจุ และแต่งตั้งผู้พ้นสภําพควํามเป็นพนักงํานกลับเข้ําเป็นพนักงําน พ.ศ. 2564 14) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารลําออกจํากงํานของพนักงําน พ.ศ. 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 240
-
ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารด�ําเนินกํารทํางวินัยและ กํารสอบสวนพิจํารณํา พ.ศ. 2564 16) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยประมวลจริยธรรมพนักงํานและลูกจ้ําง ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2564 17) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารร้องทุกข์และกํารพิจํารณํา ค�ําร้องทุกข์ของพนักงําน พ.ศ. 2564 18) ระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารอุทธรณ์และกํารพิจํารณํา อุทธรณ์ พ.ศ. 2564 19) ระเบียบผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารประชุมผ่ํานสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 4. โครงการติดตามและประเมินผลการด�าเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 4.1 โครงกํารกํารจัดท�ําข้อเสนอแนะ เรื่อง กํารเพิ่มทักษะด้ํานอําชีพแก่นักเรียน ครอบครัวยํากจนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบกํารศึกษําภําคบังคับ 1) เก็บข้อมูลจํากหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องในกํารด�ําเนินโครงกํารฯ ระดับจังหวัด โดยวิธีกํารสัมภําษณ์ทํางโทรศัพท์และแบบสอบถํามแบบ Google Form และได้บันทึกข้อมูลในโปรแกรมส�ําหรับประมวลผลทํางสถิติเรียบร้อยแล้ว จ�ํานวนทั้งสิ้น 76 จังหวัด 2) เก็บข้อมูลควํามพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มเป้ําหมํายที่เข้ําร่วม โครงกํารฯ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 โดยวิธีกํารสัมภําษณ์ทํางโทรศัพท์ ในกลุ่มตัวอย่ําง 101 คน จํากนักเรียนกลุ่มเป้ําหมํายที่เข้ําร่วมโครงกํารฯ จ�ํานวน 402 คน และได้บันทึก ข้อมูลในโปรแกรมส�ําหรับประมวลผลทํางสถิติเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 241
ขณะนี้อยู่ระหว่ํางกํารประมวลผลและวิเครําะห์ข้อมูลที่ได้จํากกํารเก็บ ข้อมูลเพื่อจัดท�ําสรุปผลในส่วนของมิติกํารประเมินผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของ โครงกํารฯ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบรํายงํานกํารแสวงหําข้อเท็จจริงพร้อมข้อเสนอแนะต่อ คณะรัฐมนตรี 4.2 โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลต่อต้ํานกํารทุจริต : โครงกําร “พระยําบันลือ ต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” - ด�ําเนินกํารประเมินผลระหว่ํางด�ําเนินโครงกํารฯ รอบที่ 2 เรียบร้อยแล้ว โดยผลกํารด�ําเนินงํานอยู่ที่ร้อยละ 75.15 ในส่วนของตัวชี้วัดร้อยละ 48 ของประชําชน ที่มีวัฒนธรรมค่ํานิยมสุจริต (ตํามแผนบูรณํากํารฯ) ผลพบว่ํา ร้อยละ 78.02 ของประชําชน มีวัฒนธรรมค่ํานิยมสุจริต 5. การจัดท�าการบริหารความเสี่ยงของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีค�ําสั่งที่ 251 / 2563 ลงวันที่ 9 ธันวําคม 2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมกํารบริหํารจัดกํารควํามเสี่ยงส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และได้มีกํารประชุมคณะกรรมกํารฯ เพื่อคัดเลือกโครงกํารที่มีระดับควํามเสี่ยงสูงและท�ํากําร ปรับและลดควํามเสี่ยง จ�ํานวน 4 โครงกําร เมื่อวันที่ 2 เมษํายน 2564 ประกอบด้วย 1) โครงกํารกํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐ ตํามหมวด 5 หน้ําที่ ของรัฐ กิจกรรมกํารจัดท�ําข้อเสนอแนะ เรื่อง โครงกํารเพิ่มทักษะด้ํานอําชีพแก่นักเรียน ครอบครัวยํากจนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบกํารศึกษําภําคบังคับ 2) โครงกําร Ombudsman Care กิจกรรมส่งเสริมสิทธิกํารร้องเรียน ตํามกฎหมํายแก่ประชําชนและกํารให้บริกํารเรื่องร้องเรียน 3) โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต (พระยําบันลือต�ําบล คุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)) 4) โครงกํารพัฒนําและปรับปรุงระเบียบระบบบริหํารจัดกํารงํานขององค์กร ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 242
- โครงการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารปรับปรุงแผนยุทธศําสตร์ของ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 – 2565) และได้เผยแพร่ให้เจ้ําหน้ําที่ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินทรําบและถือปฏิบัติ 7. การจัดท�าแผนยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) 1) มติที่ประชุมผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ครั้งที่ 12 / 2564 เมื่อวันที่ 10 สิงหําคม 2564 เห็นชอบกํารปรับปรุงปฏิทินกํารจัดท�ําแผนยุทธศําสตร์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) และแผนแม่บทที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งมีข้อเสนอแนะ ให้ส�ํานักงํานด�ําเนินกํารปรับขยํายระยะเวลําของกระบวนกํารและขั้นตอนกํารด�ําเนินกําร โดยให้ส�ํานัก / สถําบัน / หน่วยที่เกี่ยวข้องน�ํานโยบํายกรอบแนวควํามคิดในกํารพัฒนํางํานของ องค์กรผู้ตรวจกําร แผ่นดิน พ.ศ. 2565 – 2570 ของประธํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินและ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เมื่อวันที่ 16 – 17 สิงหําคม 2564 ไปด�ําเนินกํารในกํารจัดท�ํา รํายละเอียดร่ํางแผนงําน / โครงกําร / กิจกรรม 2) ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้อนุมัติให้ด�ําเนินกํารจัดท�ําแผนยุทธศําสตร์ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) เรียบร้อยแล้ว 8. โครงการองค์กรโปร่งใส ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตํามที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีนโยบํายในกํารขับเคลื่อนสู่กํารพัฒนํา เป็นองค์กรโปร่งใส เพื่อให้เกิดกํารพัฒนําระบบกํารบริหํารจัดกํารภํายในด้วยควํามโปร่งใส สร้ํางภําพลักษณ์ที่ดีขององค์กรโดยเป็นไปตํามหลักเกณฑ์ของส�ํานักงําน ป.ป.ช. ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ 1) ควํามพร้อมรับผิดชอบ 2) นิติธรรม 3) สิทธิมนุษยชน และ 4) ควํามซื่อตรง ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้ก�ําหนดให้มีกํารด�ําเนินโครงกํารองค์กร โปร่งใส ระหว่ํางปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 – 2565 ปัจจุบันส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ด�ําเนินกํารประกําศเจตนํารมณ์ตํามหลักเกณฑ์ของส�ํานักงําน ป.ป.ช. จ�ํานวน 10 ฉบับ และแจ้งเวียนให้ผู้บริหํารและเจ้ําหน้ําที่ทรําบและถือปฏิบัติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 243
กลยุทธ์ที่ 3.3 เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน วัตถุประสงค์ เพื่อให้เจ้ําหน้ําที่ส�ํานักงํานมีควํามเชี่ยวชําญเฉพําะด้ํานและมีศักยภําพสูง บุคลํากรแต่ละสํายงํานและระดับต�ําแหน่งได้รับกํารพัฒนําทักษะ และควํามเชี่ยวชําญ ให้พร้อมปฏิบัติงํานตํามหน้ําที่และอ�ํานําจที่เปลี่ยนแปลง และรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เปลี่ยนแปลงไป ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - ร้อยละของบุคลากรที่เข้ารับการพัฒนาศักยภาพที่ผ่านเกณฑ์ ตามที่ส�านักงานก�าหนด ร้อยละ 95 ร้อยละ 100 รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากบุคลํากรที่ได้รับกํารพัฒนําศักยภําพผ่ําน ช่องทํางกํารเรียนรู้ กํารอบรมหลักสูตรต่ําง ๆ ในแต่ละปีงบประมําณเทียบกับบุคลํากร ทั้งหมด (กํารอบรมควํามรู้เฉพําะด้ําน กํารอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล กํารอบรมภําษํา อังกฤษเพื่อให้เจ้ําหน้ําที่มีศักยภําพสูงและมีควํามเชี่ยวชําญเพิ่มขึ้น) เกิดกํารเรียนรู้และ กํารพัฒนําอย่ํางต่อเนื่อง ตลอดจนถึงปี พ.ศ. 2565 สํามํารถผลิตบุคลํากรที่มีควํามรู้ ควํามเชี่ยวชําญในแต่ละด้ําน โดยประเมินจํากหลักสูตรต่ําง ๆ จ�ํานวน 4 หลักสูตร ดังนี้ 1. หลักสูตร “การพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนประสิทธิภาพการให้บริการและพัฒนา ด้านจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่ส�านักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน” ผลการประเมิน ร้อยละ 100 1.1 หัวข้อกํารฝึกอบรมและศึกษําดูงําน ประกอบด้วย 1.1.1 ทักษะกํารให้บริกํารพร้อมกับกํารแก้ไขปัญหําและกํารตัดสินใจ 1.1.2 จิตวิทยํากํารติดต่อสื่อสํารเทคนิคกํารเจรจําต่อรองและกํารโน้มน้ําว ใจ ในภําวะวิกฤตทํางสุขภําพจิต 1.1.3 กํารปฏิบัติตนเพื่อเตรียมรับมือกับควํามเครียด ควํามซึมเศร้ํา ของตนเองและกับผู้ร้องเรียน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 244
1.1.4 กํารแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหําควํามตึงเครียด ในกํารท�ํางํานของเจ้ําหน้ําที่สอบสวน 1.1.5 ศึกษําดูงํานสํายด่วน 191 ส�ํานักงํานต�ํารวจแห่งชําติ 2. หลักสูตรพัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษ (English for Office Workers) ผลการประเมิน ร้อยละ 100 2.1 หัวข้อกํารฝึกอบรมและศึกษําดูงําน แบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร ประกอบด้วย 2.1.1 หลักสูตรเพิ่มพูนทักษะภําษําอังกฤษเพื่อกํารติดต่อสื่อสําร ส�ําหรับผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จ�ํานวน 30 ชั่วโมง โดยมีเนื้อหํา ดังนี้ - ค�ําศัพท์ภําษําอังกฤษและไวยํากรณ์ขั้นสูง - กํารสื่อสํารขั้นสูงส�ําหรับกํารประชุมในเวทีนํานําชําติ - กํารน�ําเสนอในที่สําธํารณะอย่ํางมืออําชีพ - กํารเจรจําต่อรองและประสํานประโยชน์ขั้นสูง - ข่ําวสํารและเรื่องรําวน่ํารู้เกี่ยวกับประเทศไทย 2.1.2 หลักสูตรเพิ่มพูนทักษะภําษําอังกฤษเพื่อกํารติดต่อสื่อสําร ส�ําหรับผู้บริหํารส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จ�ํานวน 20 ชั่วโมง โดยมีเนื้อหํา ดังนี้ - ค�ําศัพท์ภําษําอังกฤษและไวยํากรณ์ขั้นสูง - กํารสื่อสํารขั้นสูงส�ําหรับกํารประชุมในเวทีนํานําชําติ - กํารน�ําเสนอในที่สําธํารณะอย่ํางมืออําชีพ - ข่ําวสําร และเรื่องรําวน่ํารู้เกี่ยวกับประเทศไทย 3. โครงการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ผลการประเมิน ร้อยละ 100 3.1 หัวข้อฝึกอบรม ประกอบด้วย 3.1.1 กํารพบปะผู้บริหําร 3.1.2 ภํารกิจของส�ํานักต่ําง ๆ เป็นกํารบรรยํายถึงภํารกิจหน้ําที่ของ แต่ละส�ํานักโดยผู้อ�ํานวยกํารส�ํานักหรือผู้แทน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 245
3.1.3 เทคนิคกํารเขียนหนังสือรําชกําร 3.1.4 แนวทํางกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริต เสริมสร้ําง ธรรมําภิบําลและจริยธรรมในกํารปฏิบัติงําน 4. หลักสูตร “การพัฒนาทักษะเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล” รุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 ผลการประเมิน ร้อยละ 100 4.1 หลักสูตรกํารน�ําเสนอผลงํานด้วย Microsoft PowerPoint แบบมืออําชีพ - หัวข้อฝึกอบรม ประกอบด้วยกํารน�ําเสนอผลงํานด้วย Microsoft PowerPoint แบบมืออําชีพ 4.2 กิจกรรมกํารพัฒนําทักษะเพื่อเปลี่ยนผ่ํานสู่องค์กรดิจิทัล - หัวข้อฝึกอบรม ได้แก่ กํารบริหํารจัดกํารกระบวนกํารเปลี่ยนแปลงสู่ รัฐบําลดิจิทัล กํารเปลี่ยนผ่ํานองค์กรสู่ดิจิทัล Open Data และ Big Data กลยุทธ์ที่ 3.4 พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการด�าเนินงาน วัตถุประสงค์ เพื่อให้ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีระบบเทคโนโลยีสํารสนเทศและ นวัตกรรมที่ทันสมัยในกํารสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล - จ�านวนการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีดิจิทัลที่สนับสนุน การด�าเนินงานของส�านักงาน 2 ระบบย่อย 7 ระบบย่อย รายละเอียดผลการด�าเนินงาน วัดผลจํากกํารจัดท�ําและพัฒนําระบบฐํานข้อมูล และสํารสนเทศ และมีนวัตกรรมทํางเทคโนโลยีที่ทันสมัย กํารปรับประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน ลดกํารใช้ทรัพยํากร ลดขั้นตอนกํารปฏิบัติงําน ตํามนโยบําย 4.0 โดยกํารใช้เทคโนโลยีดังกล่ําวจะต้องมีควํามปลอดภัยเพื่อรักษํา ควํามมั่นคงด้ํานข้อมูล ด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ จ�ํานวน 7 ระบบย่อย ได้แก่ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 246
- โปรแกรมแผนกํารสอบสวนเรื่องร้องเรียน 2. โปรแกรมกํารควบคุมแฟ้มเรื่องร้องเรียน 3. กํารปรับปรุงระบบสํารสนเทศเรื่องรูปแบบหนังสือภํายนอกของส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินตํามระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยงํานสํารบรรณ พ.ศ. 2563 4. กํารปรับปรุงระบบบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียน (Complaint and Investigation Management (CIM)) และระบบส�ํานักงํานอัตโนมัติในกํารออกเลขหนังสือภํายในและ ภํายนอกของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตํามระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วย งํานสํารบรรณ พ.ศ. 2563 และระเบียบส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินว่ําด้วยกํารจัดแบ่ง ส่วนงํานและขอบเขตหน้ําที่ของส่วนงํานในส�ํานักและสถําบันของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พ.ศ. 2563 5. ระบบประเมินพนักงํานขับรถยนต์ออนไลน์ 6. ระบบบริหํารจัดกํารข้อมูลครุภัณฑ์ 7. ปรับปรุงรํายงํานกํารรับสํายของ ระบบ Call Center ชื่อตัวชี้วัด แผน ผล 1. ระดับควํามส�ําเร็จในกํารพัฒนําและบริหําร จัดกํารองค์ควํามรู้ของส�ํานักงําน ระดับ 4 ระดับ 4 ติดตํามเพื่อปรับปรุง กํารน�ําองค์ควํามรู้ไปใช้และพัฒนํา ระบบกํารบริหํารจัดกํารองค์ควํามรู้ 2. ระดับควํามส�ําเร็จของกํารบริหํารจัดกําร และกํารยกระดับองค์กร ระดับ 4 ระดับ 4 จัดท�ําแนวทํางปรับปรุง กํารด�ําเนินกํารพัฒนําองค์กรตําม หลักเกณฑ์กํารพัฒนําคุณภําพ 3. ร้อยละของบุคลํากรที่เข้ํารับกํารพัฒนํา ศักยภําพที่ผ่ํานเกณฑ์ตํามที่ส�ํานักงํานก�ําหนด ร้อยละ 95 ร้อยละ 100 4. จ�ํานวนกํารพัฒนําและปรับปรุงเทคโนโลยี ดิจิทัลที่สนับสนุนกํารด�ําเนินงํานของส�ํานักงําน 2 ระบบย่อย 7 ระบบย่อย สรุปผลการด�าเนินงานตามตัวชี้วัด : ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมแก่สังคม ผู้ตรวจการแผ่นดิน 247
อย่ํางไรก็ตําม ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารตํามเป้ําหมํายและตัวชี้วัด ของแผนยุทธศําสตร์ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 - 2565) ที่ก�ําหนดไว้ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 เพื่อให้บรรลุตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 2 ประเด็นตัวชี้วัดที่ไม่เป็นไปตํามเป้ําหมําย โดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ศึกษําและวิเครําะห์ถึงสําเหตุส�ําคัญที่ส่งผลต่อกํารด�ําเนินงํานและได้มีแนวทํางกํารแก้ไข ปรับปรุงในกํารด�ําเนินงํานในปีต่อไป สรุปได้ดังนี้ 1. ตัวชี้วัดเรื่อง ร้อยละความส�าเร็จของการปฏิบัติงานด้านการอ�านวยความเป็นธรรม ให้กับประชาชนให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีกํารศึกษําและวิเครําะห์ถึงสําเหตุที่ส่งผลให้ กํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนไม่เป็นไปตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนด ดังนี้ 1. เรื่องร้องเรียนแต่ละเรื่องมีขั้นตอนและกระบวนกํารด�ําเนินงํานตํามที่กฎหมําย ก�ําหนด รวมถึงระดับควํามยําก - ง่ํายของเรื่องร้องเรียนที่ส่งผลต่อระยะเวลําในกํารด�ําเนินงําน ที่แตกต่ํางกัน 2. จ�ํานวนเรื่องร้องเรียนที่รับเข้ําไว้พิจํารณําด�ําเนินกํารในแต่ละปีงบประมําณ มีแนวโน้มว่ําเรื่องร้องเรียนรับเข้ําในแต่ละปีมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 3. ควํามไม่สมดุลระหว่ํางอัตรํากํารเพิ่มขึ้นของเรื่องร้องเรียนและอัตรํากํารเพิ่มขึ้น ของเจ้ําหน้ําที่ ตั้งแต่ปีงบประมําณ พ.ศ. 2543 - 2563 ปรํากฏผลว่ํา จ�ํานวนเรื่องร้องเรียน ที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินต้องด�ําเนินกํารในแต่ละปีมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตลอด โดยมีอัตรํา กํารเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 17.89 ในขณะเดียวกันส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้มีกํารเพิ่มจ�ํานวนของเจ้ําหน้ําที่สอบสวน โดยมีอัตรํากํารเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 12.91 จะเห็นได้ว่ําอัตรํากํารเปลี่ยนแปลงของจ�ํานวนเรื่องร้องเรียนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น มํากกว่ําอัตรํากํารเปลี่ยนแปลงของจ�ํานวนเจ้ําหน้ําที่สอบสวน นอกจํากนั้น สัดส่วนเรื่องร้องเรียน ที่เจ้ําหน้ําที่สํามํารถยุติได้ (เรื่อง / คน) ลดลงตํามล�ําดับ และพบว่ําในช่วงปีงบประมําณ พ.ศ. 2561 – 2563 มีค่ําเฉลี่ยของสัดส่วนเรื่องร้องเรียนที่เจ้ําหน้ําที่สํามํารถยุติได้ จ�ํานวน 23 เรื่อง / คน สําเหตุหนึ่งอําจเป็นผลเนื่องมําจํากกํารด�ําเนินกํารแสวงหําข้อเท็จจริง ตํามค�ําร้องเรียนที่มีกระบวนกํารและขั้นตอนตํามกฎหมํายใหม่ที่เพิ่มมํากขึ้น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 248
- ภําระงํานของเจ้ําหน้ําที่สอบสวนที่ได้รับมอบหมํายงํานมีจ�ํานวนมําก นอกเหนือ จํากภํารกิจหลักในกํารท�ําส�ํานวนเรื่องร้องเรียนรํายกรณี (Case by Case) โดยเฉพําะ ตํามภํารกิจผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่ส�ําคัญ คือ 4.1 กํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขปัญหําในเชิงระบบ ซึ่งกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขปัญหําในเชิงระบบและกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียน รํายกรณี (Case by Case) ใช้ทักษะในกํารด�ําเนินงํานที่แตกต่ํางกัน เรื่องร้องเรียนเชิงระบบ จ�ําเป็นต้องมีระยะเวลําในกํารศึกษํา ค้นคว้ํา รวบรวมข้อมูล หลักฐํานทั้งในรูปแบบกําร แสวงหําข้อเท็จจริง และรูปแบบองค์ควํามรู้ทํางวิชํากําร รวมถึงกํารวิเครําะห์ ประมวลผล ซึ่งต้องมีเจ้ําหน้ําที่ในกํารท�ําหน้ําที่เฉพําะและใช้ระยะเวลําอย่ํางมํากเพื่อด�ําเนินกํารดังกล่ําว 4.2 กํารติดตํามผลค�ําวินิจฉัยที่ได้มีข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงําน ในกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรมให้กับประชําชนด้วย ซึ่งถือเป็นภําระงําน ที่ส�ําคัญและจ�ําเป็นต้องด�ําเนินงํานควบคู่ไปกับกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนที่มีจ�ํานวน เรื่องร้องเรียนที่ได้รับมอบหมํายอย่ํางต่อเนื่อง 5. สถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ส่งผลต่อกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียน ดังนี้ 5.1 ท�ําให้กํารประสํานงํานเกี่ยวกับกํารส่งเอกสํารเพิ่มเติมเพื่อประกอบ กํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนระหว่ํางหน่วยงํานเกิดควํามล่ําช้ํา และมีควํามจ�ําเป็นต้องส่ง เอกสํารทํางจดหมํายอิเล็กทรอนิกส์อยู่บ่อยครั้ง แต่กํารแจ้งอีเมลทํางโทรศัพท์อําจมี ควํามผิดพลําดหรือคลําดเคลื่อน ซึ่งอําจท�ําให้ไม่ได้รับเอกสํารหลักฐํานจํากผู้ร้องเรียนหรือ หน่วยงําน 5.2 กํารประสํานงํานระหว่ํางผู้ร้องเรียนเพื่อขอข้อมูลเบื้องต้นหลํายครั้ง ไม่ตอบรับ ประกอบกับกํารประสํานงํานเจ้ําหน้ําที่ท้องถิ่นหลํายครั้งไม่ได้รับข้อมูลโดยเร็ว เนื่องจํากเจ้ําหน้ําที่ท้องถิ่นผู้ปฏิบัติต้องออกปฏิบัติรําชกํารนอกพื้นที่ส�ํานักงําน และ กํารชี้แจงของหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องในเรื่องร้องเรียนบํางเรื่องไม่มีควํามชัดเจน ไม่ครบทุกประเด็น กํารขอข้อมูลเพิ่มเติมทํางโทรศัพท์ / โทรสํารอําจเป็นไปไม่ได้ในทํางปฏิบัติในบํางเรื่อง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 249
จึงจ�ําเป็นต้องขอให้ชี้แจงเป็นหนังสือในระดับหน่วยงําน ท�ําให้กระบวนกํารพิจํารณําเพื่อ เสนอวินิจฉัยต้องใช้เวลํามํากขึ้น แนวทางการแก้ไข ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ตระหนักถึงปัญหํา / อุปสรรคข้ํางต้น ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้มีนโยบํายและแนวทํางในกํารปรับปรุงและ แก้ไขปัญหํา ดังนี้ 1. น�ํากํารจัดประเภทควํามยําก – ง่ําย มําใช้ในกํารปฏิบัติเพื่อมอบหมํายส�ํานวน เรื่องร้องเรียนให้เหมําะสมกับควํามสํามํารถของเจ้ําหน้ําที่ในแต่ละระดับ 2. ก�ําหนดแนวทํางกํารจัดท�ําค�ําวินิจฉัย เพื่อเป็นตัวแบบและสร้ํางมําตรฐํานในกําร จัดท�ําค�ําวินิจฉัยให้เป็นไปแนวทํางเดียวกัน 3. จัดท�ําฐํานข้อมูลค�ําวินิจฉัยในระบบบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียนส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดิน (Complaint and Investigation Management : CIM) ให้สํามํารถสืบค้นได้โดยง่ําย เพื่อเป็นประโยชน์ในกํารท�ําส�ํานวนเรื่องร้องเรียน 4. วิเครําะห์แผนอัตรําก�ําลังทั้งระยะสั้นและระยะยําวให้มีควํามเหมําะสมและ สอดคล้องกับแนวโน้มจ�ํานวนเรื่องร้องเรียนที่สูงขึ้น รวมถึงกํารวิเครําะห์ขีดควํามสํามํารถ ของเจ้ําหน้ําที่ในแต่ละดับในกํารด�ําเนินงํานเรื่องร้องเรียนในแต่ละประเภท เพื่อให้สํามํารถ ก�ําหนดอัตรําก�ําลังและกํารมอบหมํายงํานได้อย่ํางเหมําะสม 5. ศึกษําและวิเครําะห์ภําระงํานและแนวทํางในกํารจัดตั้งกลุ่มงํานติดตํามค�ําวินิจฉัย และกลุ่มงํานเรื่องร้องเรียนเชิงระบบเป็นกํารเฉพําะ อนึ่ง แม้ว่ําร้อยละควํามส�ําเร็จของกํารปฏิบัติงํานด้ํานกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ให้กับประชําชนให้มีควํามรวดเร็วและมีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้นจะไม่บรรลุเป้ําหมําย แต่ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินก็ค�ํานึงถึงผลสัมฤทธิ์ส�ําคัญตํามภํารกิจของผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะ สะท้อน ให้เห็นถึงคุณภําพกํารด�ําเนินงํานในลักษณะของกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ และกํารจัดท�ําข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 250
ให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ซึ่งสํามํารถด�ําเนินกํารได้บรรลุตํามเป้ําหมําย ที่ก�ําหนดไว้ ภํายใต้ข้อจ�ํากัดของสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID - 19) 2. ตัวชี้วัดเรื่อง ระดับความร่วมมือในการด�าเนินงานด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาล กํารด�ําเนินงํานในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําล เพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต กิจกรรมผู้ตรวจกํารแผ่นดินเสริมสร้ํางธรรมําภิบําลเพื่อควํามเป็นธรรม ในสังคม “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” เพื่อติดตํามและเสริมหนุนกํารขับเคลื่อน กํารพัฒนําให้มีควํามต่อเนื่องและยั่งยืน โดยได้จัดกิจกรรมต่ําง ๆ ได้แก่ กํารติดตําม กํารด�ําเนินงํานของแต่ละหน่วยงําน มีกํารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปัญหํา อุปสรรค และแนวทําง ในกํารแก้ไขปัญหําต่ําง ๆ และได้มีกํารจัดกิจกรรมเพื่อเสริมหนุนกํารด�ําเนินกิจกรรมส่งเสริม ควํามดี เมื่อวันที่ 31 มีนําคม 2564 โดยกํารประชุมหํารือ “รับฟังควํามคิดเห็นและ กํารมีส่วนร่วมของผู้น�ําศําสนําในกํารด�ําเนินโครงกําร “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” (ศําสนําพุทธและอิสลําม) เพื่อกํารสร้ํางกํารรับรู้ สร้ํางจิตส�ํานึก และเพื่อ กํารมีส่วนร่วมในกํารร่วมกันพัฒนําชุมชนต่อไป อย่ํางไรก็ดี เนื่องจํากมีสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 ส่งผลให้กํารด�ําเนินงํานและขับเคลื่อนโครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเพื่อต่อต้ําน กํารทุจริต “พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” ไม่สํามํารถด�ําเนินกํารตํามแผน ที่ก�ําหนดไว้ได้ทั้งหมด โดยเฉพําะในช่วงไตรมําสที่ 3 และ 4 ซึ่งสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 มีควํามรุนแรงมํากขึ้น ท�ําให้กิจกรรมที่จะต้องด�ําเนินกําร อื่น ๆ ต้องชะลอออกไป โดยเฉพําะกิจกรรมที่มุ่งเน้นกํารสร้ํางกํารรับรู้และกํารมีส่วนร่วม ของทุกภําคส่วน และเป็นลักษณะกํารรวมกลุ่มคนจ�ํานวนมํากในกํารจัดกิจกรรมในต�ําบล พระยําบันลือ เช่น กํารติดตําม และกํารด�ําเนินกิจกรรมเสริมหนุนกํารด�ําเนินกิจกรรม ส่งเสริมควํามดี กํารแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียน ซึ่งเป็นลักษณะกํารจัดประชุม สัมมนํา กํารศึกษําดูงําน และเดินทํางไปปฏิบัติงํานในพื้นที่ เนื่องจํากมีมําตรกํารในกํารห้ําม เดินทํางข้ํามจังหวัด เป็นต้น ผู้ตรวจการแผ่นดิน 251
แนวทางแก้ไข ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินตระหนักถึงปัญหํา / อุปสรรคดังกล่ําว จึงมีนโยบําย ให้ปรับแผนและรูปแบบกํารด�ําเนินกิจกรรมให้สอดรับกับสถํานกํารณ์ โดยน�ําเทคโนโลยี ดิจิทัลมําสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน เช่น มีช่องทํางกํารติดต่อสื่อสํารและแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่ํางส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินกับเครือข่ําย ทั้งในส่วนของ Application Line และ Facebook เพื่อให้เกิดกํารขับเคลื่อนกิจกรรมอย่ํางต่อเนื่อง มีกํารผลิตสื่อเผยแพร่ผ่ํานสังคม ออนไลน์และกํารติดตํามรํายงํานผ่ํานระบบออนไลน์ เป็นต้น นอกจํากนั้น ส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้มีนโยบํายให้วํางแผนกํารด�ําเนินงํานในปีงบประมําณ พ.ศ. 2565 เพื่อเร่งรัด กํารด�ําเนินงํานให้เหมําะสมกับสถํานกํารณ์ และให้บรรลุตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 252
1.2 การวิเคราะห์ต้นทุน - ประสิทธิผลการด�าเนินงานตามภารกิจการอ�านวย ความเป็นธรรมให้กับประชาชนของผู้ตรวจการแผ่นดิน ปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ประเทศไทยและประเทศอื่นทั่วโลกยังคงประสบกับ สถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID - 19) ท�ําให้เกิด ผลกระทบกับกํารด�ําเนินงํานเพื่ออ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้กับประชําชนของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ต่อเนื่องมําจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 อย่ํางไรก็ตํามแม้สถํานกํารณ์ดังกล่ําวจะเป็น อุปสรรคต่อกํารด�ําเนินงําน แต่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีควํามพยํายํามเป็นอย่ํางยิ่งที่จะด�ําเนินงําน ให้เกิดควํามคุ้มค่ํา มีประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ให้กับประชําชน โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ใช้งบประมําณ ส�ําหรับกํารด�ําเนินงํานในภํารกิจกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้กับประชําชนไปจ�ํานวนทั้งสิ้น 25,690,696.55 บําท ซึ่งมีสัดส่วนของกํารใช้งบประมําณเพิ่มขึ้นจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 คิดเป็นร้อยละ 0.57 ทั้งนี้ สํามํารถจ�ําแนกกํารใช้งบประมําณเป็นรํายประเด็น ตํามหน้ําที่ในกํารด�ําเนินงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ดังนี้ 1. การด�าเนินงานเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ก�ําหนดเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียน ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ไว้ที่ร้อยละ 60 ของเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกํารทั้งหมด ซึ่งในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนเพื่อบรรเทํา ควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชนทั้งสิ้น 4,866 เรื่อง สํามํารถด�ําเนินกํารเรื่องร้องเรียน ได้แล้วเสร็จ จ�ํานวน 2,675 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 54.97 ของเรื่องร้องเรียนที่ด�ําเนินกําร ทั้งหมด โดยในกํารด�ําเนินงํานนั้นผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ใช้งบประมําณส�ําหรับกํารพิจํารณํา เรื่องร้องเรียน จ�ํานวนทั้งสิ้น 2,216,957.20 บําท ซึ่งจํากข้อมูลข้ํางต้นจะเห็นได้ว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินไม่สํามํารถบรรลุเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงําน ในประเด็นกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนได้ ทั้งนี้ เมื่อพิจํารณํา ผลกํารด�ําเนินงํานเปรียบเทียบกับปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกําร เรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 4,948 เรื่อง สํามํารถด�ําเนินกํารเรื่องร้องเรียนได้แล้วเสร็จ จ�ํานวน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 253
3,073 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.11 ของเรื่องร้องเรียนที่รับเข้ํามําด�ําเนินกํารทั้งหมด โดยมีกํารใช้งบประมําณในกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียน จ�ํานวนทั้งสิ้น 4,972,263.70 บําท จะเห็นได้ว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ไม่สํามํารถด�ําเนินงํานให้เกิดประสิทธิผลในด้ํานผลกํารด�ําเนินงํานให้ดีมํากขึ้นได้จําก ปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ เนื่องจํากกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้รับผลกระทบจํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ท�ําให้ต้องปรับกระบวนกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนให้เหมําะสมกับสถํานกํารณ์ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลําในกํารด�ําเนินงํานมํากขึ้น กล่ําวคือ ในสถํานกํารณ์ปกติที่ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีจ�ํานวนเจ้ําหน้ําที่สอบสวนอยู่อย่ํางจ�ํากัด ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ลดระยะ เวลํากํารด�ําเนินงํานด้วยกํารลงพื้นที่เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลไปในครําวเดียวกัน จะสํามํารถ เก็บข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ในหลํายกรณีเรื่องร้องเรียน อีกทั้งในกํารเก็บ ข้อมูลด้วยวิธีนี้จะท�ําให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเข้ําใจปัญหําควํามเดือดร้อนของประชําชน ได้โดยประจักษ์และมีแนวโน้มสูงที่จะสํามํารถยุติเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อน ให้กับประชําชนได้ ดังนั้น จึงใช้ระยะเวลําในกํารในพิจํารณําเรื่องร้องเรียนได้รวดเร็วขึ้นกว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ที่อยู่ภํายใต้สถํานกํารณ์ของโรคระบําด ทุกภําคส่วนถูกจ�ํากัด กํารเดินทํางเพื่อป้องกันกํารระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ในกํารด�ําเนินงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงไม่สํามํารถใช้วิธีกํารลงพื้นที่เพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูลได้ ต้องใช้วิธีกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนโดยกํารสอบถํามและรวบรวมข้อมูลรํายกรณี เป็นหลัก ซึ่งวิธีนี้ท�ําให้ต้องใช้ระยะเวลําในกํารด�ําเนินงํานมํากขึ้นกว่ําที่เป็นมํา และได้ส่งผล ส�ําคัญให้กํารด�ําเนินงํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินไม่เป็นไปตํามเป้ําหมํายที่วํางไว้ อย่ํางไรก็ตําม หํากพิจํารณําในส่วนของกํารใช้งบประมําณเพื่อด�ําเนินงําน จะเห็นได้ว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินใช้งบประมําณในกํารด�ําเนินงําน เพื่อพิจํารณําเรื่องร้องเรียนลดลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ทั้งที่จ�ํานวนเรื่องร้องเรียน ที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินต้องด�ําเนินกํารมีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งนั่น ย่อมหมํายถึง ประสิทธิผลของกํารใช้งบประมําณที่เกิดขึ้นจํากกํารด�ําเนินงํานเพื่อพิจํารณํา เรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 254
- การด�าเนินงานเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ผู้ตรวจกําร แผ่นดินได้ก�ําหนดเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ไว้ที่ 6 เรื่อง ซึ่งในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีกําร ด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบทั้งหมด จ�ํานวน 20 เรื่อง สํามํารถ ด�ําเนินกํารได้แล้วเสร็จจ�ํานวน 6 เรื่อง โดยได้ใช้งบประมําณส�ําหรับกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับ กํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบไปทั้งสิ้น 475,303.60 บําท เมื่อเปรียบเทียบกับ ผลกํารด�ําเนินงํานด้ํานกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบของปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งมีกํารก�ําหนดแผนกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบทั้งหมด จ�ํานวน 14 เรื่อง และสํามํารถด�ําเนินกํารแล้วเสร็จจ�ํานวน 7 เรื่อง มีกํารใช้งบประมําณ ไปทั้งสิ้น 471,062.90 บําท จํากข้อมูลข้ํางต้นจะเห็นได้ว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ประสิทธิผลในกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบของผู้ตรวจกําร แผ่นดินทั้งในด้ํานผลกํารด�ําเนินงําน และกํารใช้งบประมําณลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบ กับปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 กล่ําวคือ มีกํารใช้งบประมําณเพื่อด�ําเนินงํานเกี่ยวกับ กํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.90 เท่ํานั้น และมี ผลกํารด�ําเนินงํานในกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบลดลงจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 1 เรื่อง แต่อย่ํางไรก็ตําม ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังคง สํามํารถด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบจนบรรลุเป้ําหมําย กํารด�ําเนินงํานที่วํางไว้ได้ ซึ่งผลจํากกํารด�ําเนินงํานดังกล่ําวจะสํามํารถแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนให้กับประชําชนได้ในวงกว้ําง และคําดว่ําจะสํามํารถลดปัญหํากํารร้องเรียนซ�้ํา ในประเด็นเดิมของประชําชนที่ได้รับควํามเดือดร้อนได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ 3. การด�าเนินงานเกี่ยวกับการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ก�ําหนดเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารตรวจสอบ กํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 จ�ํานวน 5 เรื่อง ซึ่งในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินงํานเกี่ยวกับ กํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ทั้งหมด จ�ํานวน 13 เรื่อง สํามํารถด�ําเนินกํารได้แล้วเสร็จจ�ํานวน 5 เรื่อง ใช้งบประมําณไปทั้งสิ้น จ�ํานวน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 255
2,118,481.80 บําท โดยเมื่อเปรียบเทียบกับผลกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารตรวจสอบ กํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งด�ําเนินงําน เกี่ยวกับกํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ทั้งหมด จ�ํานวน 14 เรื่อง สํามํารถด�ําเนินกํารแล้วเสร็จ จ�ํานวน 3 เรื่อง มีกํารใช้งบประมําณไปทั้งสิ้น จ�ํานวน 3,558,756.00 บําท จํากข้อมูลข้ํางต้นจะเห็นได้ว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกําร แผ่นดินสํามํารถบรรลุเป้ําหมํายกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับกํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐ ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ ได้ตํามเป้ําหมํายที่วํางไว้ และเมื่อพิจํารณําในส่วนของกํารเปรียบเทียบ ผลกํารด�ําเนินงํานและกํารใช้งบประมําณกับปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 พบว่ํา ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินสํามํารถจัดท�ํารํายงํานกํารแสวงหําข้อเท็จจริง เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกรณีที่หน่วยงํานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ เพิ่มขึ้นจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 จ�ํานวน 2 ฉบับ อีกทั้ง ยังสํามํารถประหยัดกํารใช้งบประมําณในกํารด�ําเนินงํานด้ํานดังกล่ําวได้มํากกว่ํากํารด�ําเนินงําน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ซึ่งในส่วนนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลและควํามคุ้มค่ํา ในกํารด�ําเนินงํานเพื่อกํารตรวจสอบกํารปฏิบัติหน้ําที่ของรัฐตํามหมวด 5 ของผู้ตรวจกําร แผ่นดินที่เพิ่มมํากขึ้นด้วย อนึ่ง ผลจํากกํารด�ําเนินงํานดังกล่ําว คําดว่ํารัฐบําล กระทรวง ภําคส่วนต่ําง ๆ จะได้ร่วมกันผลักดันในเชิงนโยบํายให้หน่วยงํานที่เกี่ยวข้องด�ําเนินงํานตํามหน้ําที่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชําชน อันเป็นสิทธิที่ประชําชนพึงจะได้รับตํามหลักเกณฑ์และ วิธีกํารที่กฎหมํายบัญญัติไว้ 4. การด�าเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาการแสวงหาข้อเท็จจริงและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการอ�านวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน เพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงํานตํามภํารกิจหลัก ของผู้ตรวจกํารแผ่นดินให้บรรลุตํามวัตถุประสงค์ที่ก�ําหนดไว้ ในกํารด�ําเนินงํานปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ใช้งบประมําณไปทั้งสิ้น จ�ํานวน 20,879,953.95 บําท เพิ่มขึ้นจําก ปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ที่ใช้งบประมําณไป จ�ํานวน 16,543,245.08 บําท โดย งบประมําณที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.21 อนึ่ง กํารเพิ่มขึ้นของงบประมําณ เป็นผลมําจํากกํารที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีควํามจ�ําเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ กํารท�ํางํานให้สอดรับกับแนวทํางของศูนย์บริหํารสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 256
ไวรัสโคโรนํา 2019 (ศบค.) เพื่อป้องกันกํารแพร่ระบําดของโรค โดยเฉพําะในแง่ของ กํารลงทุนทํางด้ํานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้เจ้ําหน้ําที่สํามํารถด�ําเนินงํานภํายใต้สถํานกํารณ์ กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ให้เกิดประสิทธิภําพ มํากที่สุด ประกอบกับกํารที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังคงเปิดให้ประชําชนสํามํารถ ยื่นเรื่องร้องเรียน ณ ที่ท�ํากํารส�ํานักงํานฯ ได้ระหว่ํางที่มีกํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID – 19) จึงมีควํามจ�ําเป็นที่ต้องลงทุนในอุปกรณ์ส�ําหรับกํารป้องกัน กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ภํายในส�ํานักงําน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดควํามปลอดภัยต่อเจ้ําหน้ําที่และประชําชนที่มําร้องเรียน ในส่วนนี้ จึงท�ําให้ งบประมําณในกํารด�ําเนินงํานเพื่อพัฒนํากํารแสวงหําข้อเท็จจริงและเพิ่มประสิทธิภําพ ในกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้กับประชําชนมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 ดังนั้น แม้อําจดูเหมือนว่ําประสิทธิผลในกํารใช้งบประมําณของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ไม่ได้เพิ่มขึ้นจํากปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 แต่กํารใช้ งบประมําณเพื่อลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล และกํารลงทุนในอุปกรณ์เพื่อควํามปลอดภัยจําก โรคระบําดภํายในส�ํานักงํานในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 นี้ มีผลส�ําคัญให้ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน สํามํารถด�ําเนินงํานอย่ํางมีประสิทธิภําพมํากขึ้นภํายใต้สถํานกํารณ์กํารระบําดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ที่อําจจะยังไม่สํามํารถคําดกํารณ์ถึงกํารหมดไปของ กํารระบําดได้ และในส่วนของกํารด�ําเนินงํานนั้น ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2565 ผู้ตรวจกําร แผ่นดินจะเร่งรัดกํารด�ําเนินงํานในกิจกรรม / โครงกําร เพื่อให้สํามํารถบรรลุเป้ําหมําย ตํามที่ก�ําหนดไว้ โดยค�ํานึงถึงควํามคุ้มค่ําในกํารใช้จ่ํายงบประมําณ และประโยชน์สูงสุด ที่ประชําชนจะได้รับเป็นส�ําคัญ (รํายละเอียดดังตํารํางที่ 1) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 257
รายการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบประมาณ ที่ใช้ไป (บาท/ปี) การ ด�าเนินงาน (เรื่อง/ปี) ผลส�าเร็จ ในการ ด�าเนินงาน (เรื่อง/ปี) งบประมาณ ที่ใช้ไป (บาท/ปี) การ ด�าเนินงาน (เรื่อง/ปี) ผลส�าเร็จ ในการ ด�าเนินงาน (เรื่อง/ปี) กํารพิจํารณํา เรื่องร้องเรียน 4,972,263.70 4,948 3,073 2,216,957.20 4,866 2,675 กํารพิจํารณํา เรื่องร้องเรียน เชิงระบบ 471,062.90 14 7 475,303.60 20 6 กํารตรวจสอบ กํารปฏิบัติหน้ําที่ ของรัฐตําม หมวด 5 3,558,756.00 14 3 2,118,481.80 13 5 งํานเกี่ยวกับ กํารพัฒนํา กําร แสวงหํา ข้อเท็จจริง และ เพิ่มประสิทธิภําพ ในกํารอ�ํานวย ควํามเป็นธรรม ให้ประชําชน 16,543,245.08 - - 20,879,953.95 - - รวมทั้งสิ้น 25,545,327.68 - - 25,690,696.55 - - ตารางที่ 1 ผลกํารด�ําเนินงํานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 258
ตารางที่ 1 งบประมําณที่ได้รับจัดสรรประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 1.3 การประเมินประสิทธิภาพด้านงบประมาณในการด�าเนินงาน 1. งบประมาณที่ได้รับจัดสรรประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พระรําชบัญญัติงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ประกําศ ในรําชกิจจํานุเบกษํา เมื่อวันที่ 7 ตุลําคม พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลําคม พ.ศ. 2563 โดยส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้รับจัดสรรงบประมําณรํายจ่ําย ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 และจัดท�ําแผนปฏิบัติงํานและกํารใช้จ่ํายงบประมําณ รํายจ่ํายประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ประเภทงบเงินอุดหนุน จ�ํานวนทั้งสิ้น 320,886,100.00 บําท ประกอบด้วย แผนงาน /ค่าใช้จ่าย งบประมาณที่จัดสรร รวมงบประมาณที่ได้รับจัดสรร 320,886,100.00 1. แผนงานบุคลากรภาครัฐ 239,300,200.00 1.1 ค่ําใช้จ่ํายบุคลํากร ประกอบด้วย เงินเดือน / เงินประจ�ําต�ําแหน่ง / ค่ําตอบแทนรํายเดือน / เงินเพิ่มค่ําครองชีพ / ค่ําตอบแทนพิเศษ 221,501,300.00 1.2 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน ประกอบด้วย เงินเดือนเต็มขั้น / ค่ําตอบแทนผู้มําช่วยปฏิบัติงําน / เงินสมทบกองทุนส�ํารองเลี้ยงชีพ / เงินส�ํารองจ่ํายบ�ําเหน็จ / เงินช่วยเหลือกํารศึกษําบุตร / เงินประกันสุขภําพ / ค่ํารักษําพยําบําล 17,798,900.00 แผนงาน / ค่าใช้จ่าย งบประมาณได้รับจัดสรร 2. แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 78,171,700.00 2.1 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน (ส�ําหรับด�ําเนินงําน / โครงกําร / กิจกรรม) 73,725,500.00 2.2 ค่ําใช้จ่ํายลงทุน (รํายกํารครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์) 4,446,200.00 3. แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) 3,414,200.00 3.1 ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน - โครงกํารส่งเสริมธรรมําภิบําลเพื่อต่อต้ํานกํารทุจริต (พระยําบันลือต�ําบลคุณธรรม) 3,414,200.00 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 259
- ผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตํามแผนปฏิบัติงํานและแผนกํารใช้จ่ํายงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 จ�ํานวน 320,886,100.00 บําท มีผลกํารเบิกจ่ํายงบประมําณในไตรมําส ที่ 1 – 4 จ�ํานวนทั้งสิ้น 276,902,854.56 บําท คิดเป็นร้อยละ 86.29 คงเหลือ งบประมําณที่ยังไม่เบิกจ่ําย จ�ํานวน 43,983,245.44 บําท คิดเป็นร้อยละ 13.71 แผนงาน /หมวดค่าใช้จ่าย งบประมาณที่จัดสรร (ไตรมาสที่ 1 - 4) ผลการเบิกจ่าย ผลการเบิกจ่าย ร้อยละ เบิกจ่าย งบประมาณ คงเหลือ ร้อยละ คงเหลือ แผนงานบุคลากร 239,300,200.00 226,618,033.54 94.70 12,682,166.46 5.30 1. ค่ําใช้จ่ํายบุคลํากร 221,501,300.00 210,298,980.34 94.94 11,202,319.66 5.06 2. ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน (บุคลํากร) 17,798,900.00 16,319,053.20 91.69 1,479,846.80 8.31 แผนงานพื้นฐาน 78,171,700.00 50,086,160.32 64.07 28,085,539.68 35.93 1. ค่ําใช้จ่ํายด�ําเนินงําน 73,725,500.00 45,688,460.32 61.97 28,037,039.68 38.03 2. ค่ําใช้จ่ํายลงทุน 4,446,200.00 4,397,700.00 98.91 48,500.00 1.09 แผนบูรณาการ ป.ป.ช. 3,414,200.00 198,660.70 5.82 3,215,539.30 94.18 รวมทั้งสิ้น 320,886,100.00 276,902,854.56 86.29 43,983,245.44 13.71 ทั้งนี้ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มีนโยบํายในกํารก�ํากับ ติดตํามและเร่งรัดกําร เบิกจ่ํายงบประมําณให้มีประสิทธิภําพ โดยก�ําหนดเป้ําหมํายในกํารเบิกจ่ํายงบประมําณเป็น รํายไตรมําส และต้องมีผลกํารเบิกจ่ํายรํายไตรมําส ไม่น้อยกว่ําร้อยละ 80 ซึ่งมีรํายละเอียด กํารเปรียบเทียบงบประมําณระหว่ํางแผน / ผล รํายไตรมําส ดังนี้ หมํายเหตุ งบประมําณคงเหลือดังกล่ําว ส�ํานักงํานได้น�ําไปเป็นเงินเหลือจ่ํายส�ําหรับด�ําเนินกิจกรรม / โครงกํารตํามภํารกิจที่ก�ําหนดในปีงบประมําณถัดไป ตารางที่ 2 ภําพรวมผลกํารเบิกจ่ํายงบประมําณ ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ไตรมําส 1 - 4 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 260
รายการ งบประมาณจัดสรร พ.ศ. 2564 (ทั้งปี) งบประมาณ ไตรมาสที่ 1 งบประมาณ ไตรมาสที่ 2 งบประมาณ ไตรมาสที่ 3 งบประมาณ ไตรมาสที่ 4 1. การจัดสรรงบประมาณ 320,886,100.00 76,939,855.00 81,337,980.00 80,206,130.00 82,402,135.00 2. ผลการเบิกจ่าย 276,902,854.56 67,656,076.85 71,350,976.21 70,597,412.71 67,298,388.79 (ร้อยละการเบิกจ่าย) 86.29 87.93 87.72 88.02 81.67 3. คงเหลือ 43,983,245.44 9,283,778.15 9,987,003.79 9,608,717.29 15,103,746.21 (ร้อยละคงเหลือ) 13.71 12.07 12.28 11.98 18.33 3. ประสิทธิภาพด้านงบประมาณในการด�าเนินงาน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีผลกํารด�ําเนินงําน ตํามตัวชี้วัดที่ปรํากฏในพระรําชบัญญัติงบประมําณรํายจ่ํายประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ซึ่งสํามํารถสะท้อนถึงประสิทธิภําพด้ํานงบประมําณในกํารด�ําเนินงํานของส�ํานักงํานผู้ตรวจกําร แผ่นดินในภําพรวม ดังนี้ ตารางที่ 3 กํารเปรียบเทียบผลกํารเบิกจ่ํายงบประมําณประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผลผลิต / ตัวชี้วัด หน่วยนับ แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ แผน ผล ผลผลิต : การพิจารณาและแสวงหาข้อเท็จจริงตามค�าร้องเรียน ตัวชี้วัด 1) ร้อยละควํามส�ําเร็จของกํารปฏิบัติงํานด้ํานกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมให้กับ ประชําชนให้มีควํามรวดเร็วและมีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น ไม่น้อยกว่ํา ร้อยละ 60 ร้อยละ 54.97 2) ระดับควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนต่อกํารปฏิบัติงํานเกี่ยวกับกํารแก้ไขปัญหํา ควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรม ระดับ 4 ระดับ 4 (ร้อยละ 77) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 261
ผลผลิต / ตัวชี้วัด หน่วยนับ กิจกรรมที่ 1 การยกระดับและเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน แผน ผล ตัวชี้วัด 1) จ�ํานวนเรื่องที่ได้มีกํารเสนอแก้ไขปัญหําในเชิงระบบ 6 เรื่อง 6 เรื่อง 2) จ�ํานวนเรื่องที่เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงําน ของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ 5 เรื่อง 5 เรื่อง 3) ร้อยละของประชําชนที่เข้ําถึงกลไกกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนจําก ผู้ตรวจกํารแผ่นดินผ่ํานช่องทํางกํารด�ําเนินกิจกรรมและระบบเทคโนโลยี ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ร้อยละ 35.37 กิจกรรมที่ 2 การบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมแก่สังคม แผน ผล ตัวชี้วัด 1) จ�ํานวนเครือข่ํายที่เพิ่มขึ้นในกํารด�ําเนินงํานตํามหลักธรรมําภิบําล เพื่อเป็นกลไกในกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนให้แก่ประชําชน 5 เครือข่ําย 8 เครือข่ําย 2) จ�ํานวนข้อตกลงควํามร่วมมือ (MOU) ที่ได้มีกํารลงนําม 2 MOU 1 MOU 3) จ�ํานวนกิจกรรมควํามร่วมมือที่มีกํารปฏิบัติภํายใต้กรอบ MOU 4 กิจกรรม 7 กิจกรรม 4) ร้อยละควํามส�ําเร็จในกํารส่งเสริมให้ทุกภําคส่วนมีควํามรู้ ควํามเข้ําใจ และ ควํามเชื่อมั่นต่อกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรมของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 90 1. ควํามรู้ควํามเข้ําใจ หน้ําที่และอ�ํานําจของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 94.27 2. ควํามเชื่อมั่นต่อ กํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ร้อยละ 85.00 กิจกรรมที่ 3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ แผน ผล ตัวชี้วัด 1) จ�ํานวนกํารพัฒนําและปรับปรุงเทคโนโลยีดิจิทัลที่สนับสนุนกําร ด�ําเนินงํานของส�ํานักงําน 2 ระบบย่อย 8 ระบบย่อย 2) ร้อยละของบุคลํากรที่เข้ํารับกํารพัฒนําศักยภําพที่ผ่ํานเกณฑ์ตําม ที่ส�ํานักงํานก�ําหนด ร้อยละ 95 ร้อยละ 100 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) - ร้อยละของประชําชนที่มีวัฒนธรรม ค่ํานิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรม ในกํารต่อต้ํานกํารทุจริตและประพฤติมิชอบ ร้อยละ 48 ร้อยละ 78.02 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 262
สถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID – 19) ถือเป็นปัจจัยส�ําคัญที่ส่งผลกระทบรุนแรงในทุกภําคส่วนของสังคมทั้งในระดับนํานําชําติและ ระดับมหภําค และเป็นปัจจัยที่ไม่สํามํารถควบคุมได้ (Out of Control) ส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินก็ได้รับผลกระทบดังกล่ําวอย่ํางหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ทั้งในส่วนของ กํารด�ําเนินงํานและกํารใช้จ่ํายงบประมําณ แต่อย่ํางไรก็ตําม ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ปรับเปลี่ยนวิธีกํารด�ําเนินงํานด้วยกํารน�ําเทคโนโลยีดิจิทัลมําสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน มีกํารก�ําหนดนโยบํายเพื่อกํารก�ํากับ ติดตํามและเร่งรัดทั้งในส่วนของกํารด�ําเนินงํานและ กํารเบิกจ่ํายงบประมําณให้เป็นไปตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดไว้ เพื่อมุ่งเน้นในกํารอ�ํานวย ควํามเป็นธรรมให้แก่ประชําชน และค�ํานึงถึงประโยชน์ที่ประชําชนและสําธํารณชนจะได้รับ ตลอดจนควํามคุ้มค่ําในกํารใช้จ่ํายงบประมําณเป็นส�ําคัญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 263
1.4 การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (Public Sector Management Quality Award : PMQA) ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินด�ําเนินกํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินภํายใต้แผนยุทธศําสตร์ของส�ํานักงํานฯ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2561 – 2565) ซึ่งเป็นแนวทํางกํารปรับปรุงกํารด�ําเนินกํารพัฒนําองค์กร ตํามเกณฑ์กํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารและกํารยกระดับองค์กร ให้ครอบคลุมทั้ง 3 มิติของกํารพัฒนําระบบรําชกําร 4.0 ดังนี้ ที่ โครงการ/กิจกรรม แผน ผล มิติระบบราชการที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน 1 กํารพัฒนํางํานตํามมําตรฐํานกํารประเมินคุณธรรมและ ควํามโปร่งใส (ITA) ร้อยละ 85 ร้อยละ 90.44 2 โครงกํารพัฒนําส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินสู่องค์กรโปร่งใส ประกําศ เจตนํารมณ์ 13 ฉบับ มีประกําศครบ 13 ฉบับ 3 กํารปรับปรุงแผนยุทธศําสตร์ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 - 2565) 1 ฉบับ 1 ฉบับ มิติระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง 4 กํารเสนอเรื่องแก้ไขปัญหําในเชิงระบบ (มีผลกระทบกับประชําชน ในวงกว้ําง) 6 เรื่อง 6 เรื่อง 5 กํารเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทรําบถึงกํารที่หน่วยงํานของรัฐ ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตํามหมวด 5 หน้ําที่ของรัฐ 5 เรื่อง 5 เรื่อง 6 พัฒนํากํารแสวงหําข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดประสิทธิภําพ ในกํารอ�ํานวยควํามเป็นธรรม ไม่น้อยกว่ํา ร้อยละ 60 ร้อยละ 54.97 7 ประชําชนเข้ําถึงกลไกกํารแก้ไขปัญหําฯ ผ่ํานช่องทําง กํารด�ําเนินกิจกรรมและระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ร้อยละ 35.37 8 กํารศึกษําเพื่อส�ํารวจควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนต่อกํารปฏิบัติงําน เกี่ยวกับกํารแก้ไขปัญหําควํามเดือดร้อนหรือควํามไม่เป็นธรรม ระดับ 4 (ร้อยละ 68.01 - 84.00) ระดับ 4 (ร้อยละ 77) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 264
ที่ โครงการ/กิจกรรม แผน ผล มิติระบบราชการที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย 9 กํารพัฒนําและปรับปรุงระเบียบระบบบริหํารจัดกํารงํานขององค์กร ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 20 ฉบับ 19 ฉบับ 10 กํารจัดท�ํากํารบริหํารควํามเสี่ยงของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 4 โครงกําร 4 โครงกําร 11 กํารพัฒนําศักยภําพบุคลํากรให้ผ่ํานตํามเกณฑ์ที่ส�ํานักงํานก�ําหนด เช่น หลักสูตรด้ํานจิตวิทยํา ด้ํานภําษําอังกฤษ ด้ํานองค์กรดิจิทัล เป็นต้น ร้อยละ 95 ร้อยละ 100 12 กํารพัฒนําเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงําน เช่น โปรแกรมแผนกํารสอบสวนเรื่องร้องเรียน โปรแกรมควบคุม แฟ้มร้องเรียน กํารปรับปรุงระบบบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียน (CIM) ระบบบริหํารจัดกํารข้อมูลครุภัณฑ์ ระบบ Line Official Account : @Ombudsman ซึ่งจะมีระบบตอบค�ําถํามโดย อัตโนมัติ เป็นต้น 2 ระบบย่อย 7 ระบบย่อย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 265
จํากตํารํางจะเห็นได้ว่ํากํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในมิติระบบรําชกํารที่เปิดกว้ํางและเชื่อมโยงกันบรรลุ เป้ําหมํายทั้ง 3 โครงกําร / กิจกรรม มิติระบบรําชกํารที่ยึดประชําชนเป็นศูนย์กลํางบรรลุ เป้ําหมําย 4 โครงกําร / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้ําหมําย 1 โครงกําร / กิจกรรม และในมิติ ระบบรําชกํารที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บรรลุเป้ําหมําย 3 โครงกําร / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้ําหมําย 1 โครงกําร / กิจกรรม ดังนั้น จะเห็นได้ว่ําส�ํานักงํานมีผลกํารด�ําเนินงําน กํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) อยู่ในระดับที่ดีมําก ซึ่งส�ํานักงํานฯ ได้มีกํารปรับระบบกํารท�ํางํานเนื่องจํากปัญหําอุปสรรคจํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 ให้เป็นระบบออนไลน์มํากยิ่งขึ้น เช่น กํารประชุมผ่ํานระบบ ออนไลน์ กํารใช้ลํายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และรวมถึงกํารปรับระบบกํารท�ํางํานของเจ้ําหน้ําที่ ให้สอดคล้องกับสถํานกํารณ์ดังกล่ําว ส�ํานักงํานฯ จะได้น�ําข้อมูลต่ําง ๆ ที่เกิดขึ้นไปวิเครําะห์ ปัจจัยต่ําง ๆ เพื่อใช้ในกํารวํางแผนยุทธศําสตร์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2570) สอดคล้องกับกํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) ต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 266
1.5 ระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อประโยชน์ที่ได้จากการใช้ บริการและกระบวนการให้บริการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ด�ําเนินกํารส�ํารวจ ควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนที่มีต่อกํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน โดยท�ํากํารส�ํารวจ ระดับควํามพึงพอใจและควํามคิดเห็นของผู้ร้องเรียนที่ได้รับบริกํารด�ําเนินกํารตํามกระบวนกําร ร้องเรียนของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตลอดปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผู้ร้องเรียน ตอบแบบสอบถําม จ�ํานวน 442 ฉบับ กํารส�ํารวจควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียน ในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถําม ควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียน ควํามคิดเห็นของผู้ร้องเรียนต่อภําพลักษณ์และกํารให้บริกํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และช่องทํางที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินสํามํารถติดต่อหรือสื่อสํารข้อมูลต่ําง ๆ ถึงประชําชน ได้สะดวก ซึ่งมีรํายละเอียดในแต่ละส่วน ดังต่อไปนี้ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จํากกํารเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่ํา ผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศชําย มีอํายุระหว่ําง 36 – 45 ปี ส�ําเร็จกํารศึกษําระดับปริญญําตรีมํากที่สุด ส่วนมํากประกอบอําชีพอื่น ๆ ซึ่งประกอบอําชีพ ค้ําขําย/ท�ําธุรกิจส่วนตัว รับงํานอิสระ และผู้ต้องขังในเรือนจ�ํา มีรํายได้ ระหว่ําง ไม่มีรํายได้ – 5,000 บําท และโดยมํากมีภูมิล�ําเนําอยู่ในเขตพื้นที่ภําคกลําง ความพึงพอใจของผู้ร้องเรียน ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ท�ํากํารศึกษํา เพื่อส�ํารวจควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนและควํามคิดเห็นของผู้ร้องเรียนต่อภําพลักษณ์และ กํารให้บริกํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินใน 6 ด้ําน ดังนี้ - ควํามพึงพอใจในกํารยื่นเรื่องร้องเรียนต่อส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน - ควํามพึงพอใจต่อกํารพิจํารณําแสวงหําข้อเท็จจริงตํามค�ําร้องเรียน - ควํามพึงพอใจต่อกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน - ควํามพึงพอใจต่อกํารด�ําเนินกํารหลังกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 267
- ควํามพึงพอใจต่อกํารแสวงหําข้อเท็จจริงและพิจํารณําเรื่องร้องเรียน - ควํามคิดเห็นของผู้ร้องเรียนต่อภําพลักษณ์และกํารให้บริกํารของส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน กํารประเมินระดับควํามพึงพอใจของผู้ร้องเรียนด�ําเนินกํารโดยวัดจํากข้อค�ําถําม ที่สร้ํางขึ้นมําในแต่ละส่วน ซึ่งก�ําหนดระดับควํามพึงพอใจและควํามคิดเห็น คือ ระดับน้อยที่สุด ระดับน้อย ระดับปํานกลําง ระดับมําก และระดับมํากที่สุด มีวิธีให้คะแนนของค�ําตอบ คือ 1 2 3 4 และ 5 ตํามล�ําดับ จํากนั้นน�ําคะแนนที่ได้มําจัดแบ่งระดับควํามพึงพอใจออกเป็น กลุ่ม ควํามพึงพอใจและระดับควํามคิดเห็น ระดับน้อยที่สุด ระดับน้อย ระดับปํานกลําง ระดับมําก และระดับมํากที่สุด โดยใช้วิธีแจกแจงควํามถี่แบบจัดกลุ่มเพื่อค�ํานวณหําอันตรภําคชั้น ผลกํารวิเครําะห์ข้อมูลในส่วนของควํามพึงพอใจและควํามคิดเห็นของผู้ร้องเรียน พบว่ํา ผู้ร้องเรียนมีควํามพึงพอใจต่อกํารด�ําเนินกํารเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนในภําพรวม อยู่ใน ระดับมําก ค่ําเฉลี่ย = 3.91 คิดเป็นร้อยละ 78.20 โดยมีควํามพึงพอใจในแต่ละด้ําน ดังนี้ การด�าเนินงาน ร้อยละ ความพึงพอใจ คะแนนเฉลี่ย ความพึงพอใจ ระดับ ความพึงพอใจ ด้ํานกํารยื่นและรับเรื่องร้องเรียน 82.60 4.13 มําก ด้ํานกํารพิจํารณําแสวงหําข้อเท็จจริงตํามค�ําร้องเรียน 74.00 3.70 มําก ด้ํานกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน 72.80 3.64 มําก ด้ํานกํารด�ําเนินกํารหลังกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน 64.60 3.23 ปํานกลําง ด้ํานควํามพึงพอใจต่อกํารแสวงหําข้อเท็จจริงและพิจํารณํา เรื่องร้องเรียน 71.40 3.57 มําก ด้ํานภําพลักษณ์และกํารให้บริกํารของส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 84.40 4.22 มําก รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 268
ช่องทางที่ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถติดต่อหรือสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ถึงประชาชนได้สะดวก จํากกํารศึกษํา พบว่ํา ช่องทํางที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินสํามํารถติดต่อหรือสื่อสํารข้อมูล ต่ําง ๆ ถึงประชําชนได้สะดวก คือ อินเทอร์เน็ต (เว็บไซต์) รองลงมํา คือ โทรทัศน์ โมบําย แอปพลิเคชัน กํารสัมมนํา วิทยุ หนังสือพิมพ์ แผ่นพับ เพื่อน/ญําติ นิทรรศกําร ส.ส. / ส.ว. และ อื่น ๆ อําทิ Line Facebook ฯลฯ ตํามล�ําดับ ความเชื่อมั่นของผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการแก้ไขความเดือดร้อน จากการไม่ได้รับความเป็นธรรม จํากกํารศึกษํา พบว่ํา ก่อนเสนอเรื่องร้องเรียน ผู้ร้องเรียนมีควํามเชื่อมั่นต่อองค์กร ผู้ตรวจกํารแผ่นดินเกี่ยวกับกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนจํากกํารไม่ได้รับควํามเป็นธรรมในระดับมําก (ค่ําเฉลี่ย = 4.19 คิดเป็นร้อยละ 83.80) และในส่วนของควํามเชื่อมั่นหลังทรําบผล กํารพิจํารณําเรื่องร้องเรียน พบว่ํา ผู้ร้องเรียนยังคงมีควํามเชื่อมั่นอยู่ในระดับมําก (ค่ําเฉลี่ย = 3.89 คิดเป็นร้อยละ 77.80) ผลการส�ารวจความเชื่อมั่นต่อการบริการสาธารณะและการท�างานของหน่วยงานต่าง ๆ 4 สถําบันพระปกเกล้ําได้ร่วมมือกับส�ํานักงํานสถิติแห่งชําติด�ําเนินกํารส�ํารวจควํามคิดเห็น ของประชําชนเกี่ยวกับควํามพึงพอใจต่อกํารบริกํารสําธํารณะและกํารท�ํางํานของหน่วยงําน ต่ําง ๆ ในปี พ.ศ. 2563 เพื่อรวบรวมข้อมูลและน�ําเสนอผลที่ได้จํากกํารส�ํารวจให้กับหน่วยงําน เพื่อน�ําไปใช้เป็นแนวทํางในกํารพัฒนํากํารบริกํารสําธํารณะให้มีคุณภําพและตอบสนองต่อ ควํามต้องกํารของประชําชนต่อไป ทั้งนี้ ผลกํารส�ํารวจควํามคิดเห็นของประชําชนเกี่ยวกับควํามพึงพอใจต่อกํารบริกําร สําธํารณะและด�ําเนินงํานประจ�ําปี พ.ศ. 2563 ในส่วนขององค์กรอิสระและองค์กร ตํามรัฐธรรมนูญ ปรํากฏผลกํารส�ํารวจ ดังต่อไปนี้ 4 สรุปจํากรํายงํานควํามเชื่อมั่นต่อสถําบันต่ําง ๆ และควํามพึงพอใจต่อบริกํารสําธํารณะ พ.ศ. 2563 และสรุปผลกํารส�ํารวจ พ.ศ. 2545 – 2563 จัดท�ําโดยสถําบันพระปกเกล้ํา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 269
-
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อการท�างานขององค์กรอิสระและองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ จํากกํารส�ํารวจควํามเชื่อมั่นของประชําชนต่อกํารท�ํางํานขององค์กรอิสระและองค์กร ตํามรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2563 พบว่ํา องค์กรที่ประชําชนค่อนข้ํางเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมําก ต่อกํารท�ํางํานมํากที่สุด คือ ศําลยุติธรรม (ร้อยละ 76.30) รองลงมํา คือ ศําลปกครอง (ร้อยละ 72.10) ศําลรัฐธรรมนูญ (ร้อยละ 71.30) ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ร้อยละ 63.50) คณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ (ร้อยละ 58.80) องค์กรอัยกําร (ร้อยละ 57.40) คณะกรรมกํารตรวจเงินแผ่นดิน (ร้อยละ 56.30) คณะกรรมกํารสิทธิ มนุษยชนแห่งชําติ (ร้อยละ 53.90) และคณะกรรมกํารกํารเลือกตั้ง (ร้อยละ 53.00) จะเห็นได้ว่ํา เมื่อพิจํารณําเฉพําะในส่วนขององค์กรอิสระตํามรัฐธรรมนูญ พบว่ํา ผู้ตรวจการ แผ่นดินยังคงเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นในการท�างานจากประชาชนมากที่สุด ภําพที่ 1 ควํามเชื่อมั่นของประชําชนที่มีต่อกํารท�ํางํานขององค์กรอิสระและองค์กรตํามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2563 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 270
-
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อการท�างานขององค์กรด้านการตรวจสอบ กํารส�ํารวจเกี่ยวกับควํามเชื่อมั่นต่อกํารท�ํางํานขององค์กรด้ํานกํารตรวจสอบ ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์กร ได้แก่ ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน คณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรําม กํารทุจริตแห่งชําติ คณะกรรมกํารตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมกํารกํารเลือกตั้ง พบว่ํา องค์กรที่ประชําชนให้ควํามเชื่อมั่นต่อกํารท�ํางํานมํากที่สุดในปี พ.ศ. 2563 คือ ผู้ตรวจการ แผ่นดิน คิดเป็นร้อยละ 63.50 รองลงมํา คือ คณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรําม กํารทุจริตแห่งชําติ คิดเป็นร้อยละ 58.80 คณะกรรมกํารตรวจเงินแผ่นดิน คิดเป็นร้อยละ 56.30 และคณะกรรมกํารกํารเลือกตั้ง คิดเป็นร้อยละ 53.00 ภําพที่ 2 ร้อยละของประชําชน จ�ําแนกตํามควํามคิดเห็นเกี่ยวกับ ควํามเชื่อมั่นที่มีต่อกํารท�ํางํานขององค์กรด้ํานกํารตรวจสอบ ระหว่ํางปี พ.ศ. 2559 – 2563 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 271
-
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อการท�างานของผู้ตรวจการแผ่นดิน (รายภาค และรายจังหวัด) ผลกํารส�ํารวจควํามคิดเห็นของประชําชนเกี่ยวกับควํามเชื่อมั่นต่อกํารท�ํางําน ของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน จํากผลกํารส�ํารวจในภําพรวมของประเทศ พบว่ํา ประชําชนมี ควํามเชื่อมั่นต่อกํารท�ํางํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินในระดับค่อนข้ํางเชื่อมั่น มํากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.10 และมีควํามเชื่อมั่นในระดับมําก คิดเป็นร้อยละ 14.40 ซึ่งใน ภําพรวมกล่ําวได้ว่ํา ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อการท�างานของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ร้อยละ 63.50) ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อพิจํารณําควํามเชื่อมั่นของประชําชนต่อกํารท�ํางํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยจ�ําแนกเป็นรํายภูมิภําค พบว่ํา ประชําชนในภําคใต้มีควํามเชื่อมั่นต่อกํารท�ํางํานของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมํากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 73.30 รองลงมํา คือ ประชําชนในภําคตะวันออก เฉียงเหนือ กรุงเทพมหํานคร ภําคเหนือ และภําคกลําง (ยกเว้นกรุงเทพมหํานคร) คิดเป็น ร้อยละ 64.40 62.50 61.20 และ 59.80 ตํามล�ําดับ ส�ําหรับผลกํารส�ํารวจควํามเชื่อมั่นของประชําชนที่มีต่อกํารท�ํางํานของผู้ตรวจกําร แผ่นดินเป็นรํายจังหวัด โดยพิจํารณําเฉพําะประชําชนที่มีควํามเชื่อมั่นมําก พบว่ํา จังหวัดที่ ประชําชนมีควํามเชื่อมั่นมําก อยู่ในช่วงร้อยละ 24.1 – 30.0 ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ ก�ําแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ ชัยนําท บุรีรัมย์ อุบลรําชธํานี และพังงํา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 272
ภําพที่ 3 ร้อยละของประชําชน จ�ําแนกตํามควํามเชื่อมั่น ที่มีต่อกํารท�ํางํานของผู้ตรวจกํารแผ่นดินเป็นรํายภําค ผู้ตรวจการแผ่นดิน 273
- สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พันธกรณี ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 274
2.1 การด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีในประเทศ การด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการด�าเนินงาน ที่เกี่ยวข้องกับภาคีเครือข่ายภายในประเทศ 2 ลักษณะ คือ การสร้างเครือข่าย และการพัฒนา เครือข่าย มีผลการด�าเนินงานโดยสรุป ดังนี้ 2.1.1 ภารกิจด้านการสร้างเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินโครงการและ กิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้บัญญัติถึงหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวคือ การขจัดความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล เพื่อให้การด�าเนินงาน ตามหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์จึงต้องสร้างเครือข่าย ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม ส�านักเครือข่ายและการมีส่วนร่วม จึงด�าเนินโครงการ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน และส่งเสริมธรรมาภิบาล ให้กับเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานเครือข่ายและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตระหนักและค�านึงถึงการปฏิบัติงานที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความไม่เป็นธรรม หรือ เป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จ�าเป็นหรือสมควรแก่เหตุ ส�าหรับการด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถสร้างเครือข่ายในส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ระดับองค์กรจ�านวน 26 องค์กร โดยมีโครงการที่ส�าคัญ ดังนี้ 1) โครงการพัฒนาและขยายเครือข่ายธรรมาภิบาลเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมในสังคม กิจกรรมเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมในสังคม ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการจัดกิจกรรมให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยจัดการ ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2” ในรูปแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings และ Facebook live ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างเครือข่ายในการร่วมกันด�าเนินงานด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาล 2) เพื่อสร้าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 275
หน่วยงานเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินที่สามารถประชาสัมพันธ์บทบาท หน้าที่และอ�านาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตลอดจนแนะน�าช่องทางในการร้องเรียนให้แก่ประชาชนกรณีที่ได้รับ ความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัติ นอกเหนือหน้าที่และอ�านาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ 3) เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ การพัฒนาเครือข่ายด้านธรรมาภิบาลของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน สามารถน�าไปประยุกต์ใช้เพื่อขยายผลไปยังองค์กรภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน กลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�านวน 80 คน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�านวน 30 หน่วยงาน โดยเป็นเครือข่ายใหม่ จ�านวน 26 หน่วยงาน และเครือข่ายเดิม ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม จ�านวน 4 หน่วยงาน กิจกรรมประกอบด้วย - การบรรยายพิเศษ หัวข้อ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการ สนับสนุน งานผู้ตรวจการแผ่นดิน” โดย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน - การบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ผู้ตรวจการแผ่นดินกับการพิทักษ์สิทธิ ของประชาชน” โดย รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน - การเสวนาใน หัวข้อ “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินกับการช่วยเหลือ ประชาชนในสถานการณ์ COVID - 19” โดยมีผู้ร่วมเสวนาจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระบี่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี และส�านักงาน เทศบาลนครสกลนคร - การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อ ความเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2” เพื่อรับฟังและรับทราบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการ ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงปัญหาที่ก�าลังเกิดขึ้นในพื้นที่ความรับผิดชอบของเครือข่าย โดยผู้แทน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุมได้ยกประเด็นปัญหาขึ้นเพื่อหาแนวทาง ในการแก้ไข หรือการหาทางออกร่วมกันตามค�าแนะน�าของผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ที่ เกี่ยวข้อง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 276
ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มอบเกียรติบัตร และป้ายประชาสัมพันธ์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2” เพื่อให้เครือข่ายน�าไปใช้ในการด�าเนินงานเผยแพร่ และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึงขยายผลการด�าเนินงานไปยัง องค์กรภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หน่วยงานเครือข่ายจะมีการรายงานผล ความก้าวหน้าในการด�าเนินงานมายังส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อความเป็นธรรมในสังคม รุ่นที่ 2” ในรูปแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings และ Facebook live ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 277
2.1.2 ภารกิจด้านการพัฒนาเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการพัฒนา เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาและพัฒนาต่อยอดเครือข่าย ผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีความเข้มแข็ง และเกิดการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่าง เครือข่าย โดยมุ่งเน้นให้เครือข่ายสนับสนุนการปฏิบัติตามหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการ แผ่นดิน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านบทบาท หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการ แผ่นดินให้กับเครือข่าย เพื่อเพิ่มศักยภาพและเตรียมความพร้อมในการเป็นต้นแบบเพื่อ ขยายเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดินให้ครอบคลุมในแต่ละพื้นที่ต่อไป โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีการด�าเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ดังนี้ 1) โครงการพัฒนาและขยายเครือข่ายธรรมาภิบาลเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นธรรมในสังคม กิจกรรมติดตามการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลของเครือข่ายผู้ตรวจการ แผ่นดิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดกิจกรรม “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อความเป็นธรรมในสังคม” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ณ ห้องศรีสกล โรงแรมเดอะมาเจสติค สกลนคร จังหวัดสกลนคร การจัดงานครั้งนี้เป็นการบูรณาการการท�างาน ร่วมกันระหว่างส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�านักงานจังหวัดสกลนคร องค์การบริหาร ส่วนจังหวัดสกลนคร และส�านักงานเทศบาลนครสกลนคร ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกหน่วย นายอ�าเภอทุกอ�าเภอ ผู้บริหาร สถานศึกษา และผู้น�าองค์กรภาคเอกชน ผู้น�าชุมชน และกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ จ�านวน 364 คน หน่วยงานร่วมจัดนิทรรศการแสดงผลงานการขับเคลื่อนกิจกรรมการส่งเสริมธรรมาภิบาล ในองค์กร ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร ส�านักงานเทศบาลนครสกลนคร โรงเรียนมัธยมศึกษาเทศบาล 3 “ยุติธรรมวิทยา” ชุมชนมะขามป้อม และเฮือนนางคราม รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 278
กิจกรรมประกอบด้วย การบรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่และอ�านาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน และการสร้างธรรมาภิบาลในสังคม” โดย พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) และการเสวนา เรื่อง “เครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน กับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อความเป็นธรรมในสังคม” รวมถึงการรายงาน ผลการด�าเนินงานด้านการขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมธรรมาภิบาลในองค์กร ขององค์การ บริหารส่วนจังหวัดสกลนครและส�านักงานเทศบาลนครสกลนคร ผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ เลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายกเทศมนตรีนครสกลนคร รองปลัดองค์การ บริหารส่วนจังหวัดสกลนคร โดยมีผู้อ�านวยการสถาบันภาษาศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นผู้ด�าเนินการเสวนา ปัจจุบันองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครและส�านักงานเทศบาล นครสกลนครได้มีการเผยแพร่หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการประชุมต่าง ๆ ตลอดจนจัดพื้นที่ภายในหน่วยงานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน และช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เป็น อย่างดี กิจกรรมติดตามการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลของเครือข่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 279
- โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อต่อต้านการทุจริต กิจกรรม ผู้ตรวจการแผ่นดินเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อความเป็นธรรมในสังคม (พระยาบันลือต�าบล คุณธรรม) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ความร่วมมือกับกองงานในพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กรมกิจการในพระบรมวงศานุวงศ์ ส�านักพระราชวัง ด�าเนินงานโครงการ “พระยาบันลือ ต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” เพื่อด�าเนินงานตามพระราชกระแสรับสั่งใน “โครงการ พัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนในพระราชด�าริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราช สุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ต�าบลพระยาบันลือ อ�าเภอลาดบัวหลวง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา (พ.ศ. 2561 - 2565)” โดยด�าเนินการต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งได้มีการขับเคลื่อนการด�าเนินงาน ประกอบด้วย การสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการพัฒนาเป็นต�าบลคุณธรรม การสร้างความตระหนักต่อค่านิยมความซื่อสัตย์ สุจริตหรือต่อต้านการทุจริต การรับรู้สิทธิและหน้าที่พลเมือง การสร้างคุณธรรมเป้าหมาย และคุณธรรมอัตลักษณ์ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ในต�าบลพระยาบันลือ อ�าเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หมู่บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�าบล และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนต�าบลพระยาบันลือ) โดยใช้กิจกรรมส่งเสริม ความดีเป็นระบบขับเคลื่อนการพัฒนา ทั้งในด้านการพัฒนาคนและพัฒนาสภาพแวดล้อม โดยมีวัด มัสยิด หน่วยงานราชการระดับอ�าเภอและระดับจังหวัดมีส่วนร่วมในการสนับสนุน และอ�านวยความสะดวก ซึ่งการด�าเนินโครงการฯ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ ที่ 1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต และ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ แผนบูรณาการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึกให้มีวัฒนธรรมและ พฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต โดยมีกิจกรรมสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการมีส่วนร่วม ในชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน ทุจริตและประพฤติมิชอบ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 280
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินกิจกรรมผู้ตรวจการแผ่นดินเสริมสร้าง ธรรมาภิบาลเพื่อความเป็นธรรมในสังคม “พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” เพื่อติดตามและเสริมหนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยได้จัด กิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การติดตามการด�าเนินงานของแต่ละหน่วยงาน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นอกจากนั้นได้จัดกิจกรรมเพื่อ เสริมหนุนการด�าเนินกิจกรรมส่งเสริมความดี โดยมีการประชุมหารือ “รับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของผู้น�าศาสนาในการด�าเนินโครงการ “พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” (ศาสนาพุทธ และอิสลาม)” เพื่อการสร้างการรับรู้ สร้างจิตส�านึก และ สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนต่อไป เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 “บทเรียนเปลี่ยนผ่าน สืบสานต่อยอด ถอดองค์ความรู้ สู่ความยั่งยืน” เป็นเจตนารมณ์ ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะขยายผล “พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” สู่ต�าบลต่าง ๆ ในอ�าเภอลาดบัวหลวง จึงได้ด�าเนินกิจกรรมขยายผลการเสริมสร้างธรรมาภิบาล เพื่อความเป็นธรรมในสังคม (อ�าเภอคุณธรรม) (ขยายผล 6 ต�าบล) ได้แก่ ต�าบลลาดบัวหลวง ต�าบลหลักชัย ต�าบลสามเมือง ต�าบลสิงหนาท ต�าบลคู้สลอด และต�าบลคลองพระยาบันลือ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ณ ที่ว่าการอ�าเภอลาดบัวหลวง อ�าเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้จัดประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์และแนวทางการพัฒนา “ต�าบลคุณธรรม” ให้กับผู้น�าหรือตัวแทนจากหมู่บ้าน และองค์กรต่าง ๆ 6 ต�าบล การขยายผล พัฒนา “ต�าบลคุณธรรม” ในอ�าเภอลาดบัวหลวง จะพัฒนาตามแนวคิด ยุทธศาสตร์ การพัฒนา และแนวทางการขับเคลื่อนของ “พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” แต่การน�าไปปฏิบัติจริงนั้นจะต้องปรับการด�าเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพ บริบทของแต่ละพื้นที่ ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาชุมชน “หมู่บ้านคุณธรรม” และ “องค์กรคุณธรรม” ของต�าบลพระยาบันลือ จะคอยเป็นพี่เลี้ยง และให้ค�าปรึกษากับต�าบลอื่น ๆ เพื่อท�าให้ทุกต�าบลในอ�าเภอลาดบัวหลวงเป็น “ต�าบลคุณธรรม” และเพื่อท�าให้อ�าเภอลาดบัวหลวงมุ่งไปสู่การเป็น “อ�าเภอลาดบัวหลวงอ�าเภอคุณธรรม” ต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 281
อย่างไรก็ดี การด�าเนินโครงการดังกล่าวยังมีเป้าหมายที่ส�าคัญในการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงเป็นกลไกการด�าเนินงานในลักษณะเชิงรุก การป้องกัน การร้องเรียนหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้กระบวนการของคุณธรรมเป้าหมาย กิจกรรมส่งเสริม ความดี และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ร่วมด�าเนินกิจกรรม อันจะส่งผล ในการลดปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐ เนื่องจากเป็นการด�าเนินการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการใช้กระบวนการ “ปัญหาที่อยากแก้ ความดีที่อยากท�า” เป็นการลดปัญหาความเดือดร้อนตั้งแต่ต้นทาง การใช้กลไกกระบวนการ มีส่วนร่วมของหน่วยงานรัฐและประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์จาก การด�าเนินโครงการเป็นจ�านวนมาก การติดตามการด�าเนินงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของหมู่บ้าน และองค์กรต่าง ๆ ในต�าบลพระยาบันลือ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 282
การประชุมหารือ “รับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้น�าศาสนา (ศาสนาพุทธ และอิสลาม) ในการด�าเนินโครงการ “พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม (พหุวัฒนธรรม)” การประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์และแนวทางการพัฒนา “ต�าบลคุณธรรม” ณ ที่ว่าการอ�าเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 283
ภารกิจด้านการพัฒนาข้อก�าหนดทางจริยธรรมส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน การพิจารณา เสนอความเห็น และด�าเนินการเพื่อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดินจัดท�า ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาข้อก�าหนดทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่พนักงานและลูกจ้างของ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ด�าเนินการยกร่าง “มาตรฐานทางจริยธรรมของ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกข้อก�าหนดทางจริยธรรม ขึ้นใช้บังคับแก่พนักงานและลูกจ้างของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน การด�าเนินการดังกล่าว ได้อาศัยอ�านาจตามความในมาตรา 43 ประกอบมาตรา 5 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดินปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน จึงออก “ระเบียบผู้ตรวจการ แผ่นดินว่าด้วยประมวลจริยธรรมพนักงานและลูกจ้างของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2564” และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564) โดยระเบียบดังกล่าวมีทั้งหมด 35 ข้อ และแบ่งเป็น 3 หมวด ดังนี้ บททั่วไป (ข้อ 1 - ข้อ 6) หมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรม (ข้อ 7 - 27) ส่วนที่ 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ (ข้อ 7 - 12) ส่วนที่ 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก (ข้อ 13 - 18) ส่วนที่ 3 จริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ (ข้อ 19 - 27) หมวด 2 การฝ่าฝืน กลไก และระบบการบังคับใช้มาตรฐานทางจริยธรรม (ข้อ 28 - 32) หมวด 3 ขั้นตอนการลงโทษ (ข้อ 33 - 35) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 284
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 285
2.1.3 การด�าเนินงานเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในหน้าที่และอ�านาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม 1) โครงการผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจัดโครงการผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจร พบประชาชน มุ่งให้ประชาชนและส่วนราชการมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และ อ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งได้ก�าหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่และอ�านาจในการเสนอแนะต่อหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ขอบังคับ ระเบียบ ค�าสั่ง หรือขั้นตอน การปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน และมีหน้าที่ และอ�านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงตามค�าร้องเรียนของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยหลักธรรมาภิบาล รวมถึงหน้าที่ในการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ หน้าที่อย่างถูกต้องครบถ้วน พร้อมทั้งเปิดรับฟังปัญหาความทุกข์ร้อนและความคิดเห็นของ ประชาชนที่มีต่อการด�าเนินงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการ จ�านวน 2 ครั้ง ดังนี้ 1. โครงการ “ผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ครั้งที่ 43” ระหว่างวันที่ 9 – 12 มีนาคม 2564 ณ จังหวัดล�าปาง โดยมีกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1.1 กิจกรรมสัมมนาโครงการ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ณ ห้องจันผา โรงแรมเวียงลคอร จังหวัดล�าปาง โดยประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการ แผ่นดินได้บรรยายเรื่อง “หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน” จากนั้นเป็นการ บรรยายเรื่อง “วิธีการใช้ Application ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน” โดยส�านัก เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต่อมาในช่วงบ่าย จัดเสวนาในหัวข้อ “หน้าที่และ อ�านาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560” โดยผู้แทนจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ส�านักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 286
ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดล�าปาง และส�านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจ�าจังหวัด ล�าปาง ซึ่งมีผู้แทนจากส่วนราชการ ผู้น�าท้องถิ่น นักวิชาการ ผู้แทนจากองค์กรเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนจากจังหวัดล�าปาง กว่า 200 คน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ ได้เปิดรับฟัง ปัญหาความทุกข์ร้อนและความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการด�าเนินงานของหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกด้วย 1.2 กิจกรรมเสวนาผู้ตรวจการแผ่นดินพบสื่อมวลชน จัดขึ้น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ณ ห้องกาสะลอง ชั้น 1 โรงแรมเวียงลคอร จังหวัดล�าปาง โดยประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้แทนสื่อมวลชนท้องถิ่นจังหวัด ล�าปาง ร่วมเวทีเสวนาในหัวข้อ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน : สื่อมวลชน กลไกเพื่อสิทธิของ ประชาชน” มีกลุ่มเป้าหมายเป็นสื่อมวลชนและนักสื่อสารมวลชนในจังหวัดล�าปาง ประมาณ 40 คน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน กระบวนการขั้นตอนในการพิจารณาและตรวจสอบเรื่องร้องเรียน อันจะน�าไปสู่วิธีการให้ข้อมูล และการน�าเสนอข้อมูลที่ถูกต้องของสื่อมวลชนอย่างสร้างสรรค์ต่อไป รวมทั้งเป็นการ เชื่อมสัมพันธ์อันดีกับสื่อมวลชนในพื้นที่ ซึ่งเปรียบเสมือนกระบอกเสียงส�าคัญในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดินให้แพร่หลายสู่สาธารณชนอย่างทั่วถึง 1.3 กิจกรรมการแสดงนิทรรศการ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ณ บริเวณลานหน้าห้องจันผา โรงแรมเวียงลคอร จังหวัดล�าปาง โดยเป็นการบูรณาการ ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เพื่อจัดนิทรรศการให้ความรู้ พร้อมกับให้บริการแก่ ประชาชน 1.4 กิจกรรมเพื่อสังคม “ผู้ตรวจการแผ่นดินเราท�าความดี ด้วยหัวใจ” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ณ โรงเรียนแม่ทะประชาสามัคคี อ�าเภอแม่ทะ จังหวัดล�าปาง ซึ่งเป็นการจัดร่วมกับโครงการจังหวัดล�าปางเคลื่อนที่ โดยผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มอบเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การศึกษา และอุปกรณ์การกีฬาแก่สถานศึกษา ตลอดจน นักเรียนผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่อ�าเภอแม่ทะ พร้อมบรรยายพิเศษเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจ ของผู้ตรวจการแผ่นดินให้แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน และประชาชนที่เข้าร่วมงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 287
1.5 กิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โดยรถประชาสัมพันธ์ เคลื่อนที่ (Mobile Unit) โดยออกหน่วยบริการรับเรื่องร้องเรียนและให้ค�าปรึกษาปัญหา ด้านกฎหมาย ตลอดจนจัดกิจกรรมสันทนาการบอกเล่าความรู้เกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดิน อันเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวจังหวัดล�าปางในบริเวณต่าง ๆ ดังนี้ - วันที่ 9 มีนาคม 2564 ณ เทศบาลต�าบลเกาะคา อ�าเภอ เกาะคา จังหวัดล�าปาง และตลาดอัศวิน อ�าเภอเมือง จังหวัดล�าปาง - วันที่ 10 มีนาคม 2564 ณ ที่ว่าการอ�าเภอแม่ทะ อ�าเภอ แม่ทะ จังหวัดล�าปาง และสวนสาธารณะเขลางค์นคร อ�าเภอเมือง จังหวัดล�าปาง - วันที่ 11 มีนาคม 2564 ณ ห้องศาลาดอน ชั้น 1 โรงแรม เวียงลคอร จังหวัดล�าปาง - วันที่ 12 มีนาคม 2564 ณ โรงเรียนแม่ทะประชาสามัคคี อ�าเภอแม่ทะ จังหวัดล�าปาง กิจกรรมโครงการ “ผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ครั้งที่ 43” ณ จังหวัดล�าปาง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 288
- โครงการ “ผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ครั้งที่ 44” เมื่อวันที่ 2 และ 6 กันยายน 2564 โดยมีกิจกรรมดังต่อไปนี้ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ทั่วประเทศไทยในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 ยังคงรุนแรง รัฐบาลมีมาตรการ ความปลอดภัยเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อ โดยห้ามจัดการสัมมนา และเดินทางข้ามจังหวัด ท�าให้ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไม่สามารถลงพื้นที่ไปจัดโครงการต่าง ๆ ในจังหวัดหรือ ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ได้เช่นเดิม แต่ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อภารกิจ ให้ลุล่วงต่อเนื่อง จึงมีแนวคิดด�าเนินโครงการ “ผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ครั้งที่ 44” และ “กิจกรรมประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่” ในรูปแบบใหม่ โดยการน�าเอาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถตอบสนองต่อ ภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดินในรูปแบบ Hybrid Learning ผสมผสานการใช้สื่อออนไลน์ และออฟไลน์ผ่านสื่อวีดิทัศน์ และการสัมมนาในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings เพื่อให้เกิดการเข้าถึงประชาชนแบบมีระยะห่าง กิจกรรมครั้งนี้ได้บูรณาการร่วมกับการประชุมประจ�าเดือนของผู้น�า ชุมชนในอ�าเภอและท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งเป็นการประชุมพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิด เห็นของหัวหน้าส่วนราชการ ก�านัน และผู้ใหญ่บ้าน โดยจัดกิจกรรมใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยอง มีผู้เข้าร่วมการสัมมนาทั้งสิ้น ประมาณ 5,000 คน ด้วยเล็งเห็นว่าจะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ตรวจการแผ่นดิน ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลของผู้ตรวจการแผ่นดินให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป ทั้งนี้ แบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 2.1 การบรรยายในรูปแบบ Hybrid Learning คือ การบรรยายสด ในหัวข้อ “บทบาทหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน” โดยผู้ตรวจการแผ่นดินและ ผู้บริหารส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings ความยาว ประมาณ 20 นาที และวีดิทัศน์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ความยาวประมาณ 25 นาที ในพื้นที่ 3 อ�าเภอ ได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 289
- วันที่ 2 กันยายน 2564 ณ อ�าเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง - วันที่ 2 กันยายน 2564 ณ อ�าเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - วันที่ 6 กันยายน 2564 ณ อ�าเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง 2.2 การบรรยายผ่านวีดิทัศน์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ความยาวประมาณ 25 นาที ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึงภารกิจและผลการด�าเนินงานเรื่องร้องเรียน ตลอดจนช่องทางการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการ แผ่นดิน โดยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดส่งให้ในรูปแบบอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (แฟลชไดร์) และได้เผยแพร่ในเวทีการประชุมก�านัน - ผู้ใหญ่บ้านประจ�าเดือนกันยายน ในพื้นที่ 3 จังหวัด รวม 24 อ�าเภอ ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ 14 อ�าเภอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 8 อ�าเภอ และจังหวัดระยอง 2 อ�าเภอ โดยด�าเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 กิจกรรมโครงการ “ผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบประชาชน ครั้งที่ 44” ในรูปแบบ Hybrid Learning ผสมผสาน การใช้สื่อออนไลน์และออฟไลน์ผ่านสื่อวีดิทัศน์ และการสัมมนาในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 290
-
โครงการ Ombudsman Care 2.1 กิจกรรมประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจัดโครงการ Ombudsman Care กิจกรรมประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ มุ่งเน้นลงพื้นที่ไปในแหล่งชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมถึง การรักษาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนพึงมีพึงได้ผ่านช่องทางการร้องเรียนต่าง ๆ ของส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ประชาชนในส่วนภูมิภาคหรือพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงความเป็นธรรม โดยการน�ารถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ (Mobile Unit) ออกหน่วยบริการรับเรื่องร้องเรียน และให้ค�าปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย ตลอดจนจัดกิจกรรมสันทนาการบอกเล่าความรู้เกี่ยวกับ ผู้ตรวจการแผ่นดินอันเป็นประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ในคราวเดียวกัน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการ ดังนี้ - วันที่ 20 - 21 ธันวาคม 2563 ด�าเนินกิจกรรมในพื้นที่ จังหวัดสระบุรี และนครราชสีมา - วันที่ 9 - 12 มีนาคม 2564 ด�าเนินกิจกรรมในพื้นที่ จังหวัดล�าปาง - วันที่ 2 และ 6 กันยายน 2564 ด�าเนินกิจกรรมในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดระยอง ในรูปแบบ Hybrid Learning ผู้ตรวจการแผ่นดิน 291
-
โครงการเฉลิมพระเกียรติเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจัดโครงการเฉลิมพระเกียรติเทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าร่วมกันเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่ส�าคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามประเพณีการปกครองของประเทศไทย พร้อมร�าลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของทุกพระองค์ ที่ทรงบ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการยิ่งต่อพสกนิกรชาวไทย อีกทั้งส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินยังน้อมน�าแนวพระราชด�าริต่าง ๆ มาประยุกต์ให้เข้ากับการด�ารงชีวิต และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนและส่งเสริมให้สังคมเกิด ความเข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงการขยายโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิต ให้แก่ชุมชนห่างไกลในพื้นที่ต่าง ๆ โครงการเฉลิมพระเกียรติเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ณ โรงเรียนบ้านล�าสมพุง อ�าเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี มีประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ผู้บริหารส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน น�าคณะลงพื้นที่บูรณาการจัดงานร่วมกับโครงการ “หน่วยบ�าบัดทุกข์ บ�ารุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” ของจังหวัดสระบุรี โดยมีกิจกรรม ดังต่อไปนี้ (1) กิจกรรมเทิดทูนสถาบัน ถวายราชสักการะ เปิดกรวยกระทง ดอกไม้ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี นอกจากนี้ ยังมีการจัดโต๊ะลงนามถวายพระพร และจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชกรณียกิจต่าง ๆ (2) กิจกรรมบรรยายให้ความรู้ผู้ตรวจการแผ่นดิน บรรยายพิเศษเรื่อง “หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน” แก่หัวหน้าหน่วยราชการและประชาชนที่ เข้าร่วมงาน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 292
(3) กิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม มอบรถโยกส�าหรับผู้พิการ ยารักษาโรค มอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน มอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์กีฬา โดยมีเหล่ากาชาดจังหวัดสระบุรีร่วมมอบถุงยังชีพแก่ผู้ยากไร้ อีกทั้งยังมี กิจกรรมปลูกต้นไม้บริเวณพื้นที่ฝายและแปลงเกษตรของโรงเรียนบ้านล�าสมพุง (4) กิจกรรมออกหน่วยเคลื่อนที่ น�ารถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ (Mobile Unit) ออกหน่วยบริการรับเรื่องร้องเรียนและให้ค�าปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย ตลอดจนจัดกิจกรรมสันทนาการบอกเล่าความรู้เกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอันเป็นประโยชน์ แก่พี่น้องชาวจังหวัดสระบุรีที่มาร่วมงาน พร้อมเชิญองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ออกหน่วยจัดนิทรรศการให้ความรู้และบริการประชาชนร่วมกัน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีหน่วยงานอื่น ๆ อีกกว่า 70 หน่วย ร่วมออกหน่วยให้ความรู้และ บริการประชาชนในรูปแบบจังหวัดเคลื่อนที่ อาทิ หน่วยแพทย์อาสา การให้บริการตัดผมฟรี การสนับสนุนกล้าไม้และเมล็ดพันธุ์ผัก สนับสนุนพันธุ์ปลา มอบถุงยังชีพ ให้ค�าปรึกษา ด้านแรงงาน เป็นต้น กิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ณ จังหวัดสระบุรี ผู้ตรวจการแผ่นดิน 293
- โครงการเสริมความรู้ผู้ตรวจการแผ่นดินสู่การพัฒนาชุมชน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินด�าเนินโครงการเสริมความรู้ผู้ตรวจการ แผ่นดินสู่การพัฒนาชุมชนเพื่อเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ขยายการรับรู้รับทราบและ มุ่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาท หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินสู่พี่น้อง ประชาชนในส่วนภูมิภาคอย่างทั่วถึง เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงความเป็นธรรม สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เกิดความเชื่อมั่นต่อการอ�านวยความเป็นธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน รวมทั้งมีศรัทธาและทัศนคติที่ดีต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อ เครือข่าย และกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ 4.1 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สปอตวิทยุ ด�าเนินการผลิต CD จ�านวน 72,427 แผ่น เพื่อเผยแพร่ สปอตวิทยุ และบทบรรยายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการ แผ่นดิน การด�าเนินงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ และ ช่องทางการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านหอกระจายข่าวทั่วประเทศ รวมทั้งการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์สปอตวิทยุส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านทางสถานีวิทยุ อสมท. FM 100.5 MHz News Network และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ FM 92.5 MHz 4.2) กิจกรรมผู้ตรวจการแผ่นดิน..นิติธรรม..น�าสังคม เป็นกิจกรรมการเสวนาทางวิชาการระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน กับสื่อมวลชนท้องถิ่น โดยเฉพาะสื่อวิทยุกระจายเสียงท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน กระบวนการขั้นตอนการท�างาน สิทธิ ในการร้องเรียน ประโยชน์และสิ่งที่ประชาชนจะได้รับ พร้อมเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับสื่อมวลชน ในพื้นที่โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สะท้อนปัญหาในพื้นที่ เป็นกระบอกเสียงเผยแพร่ ช่องทางการใช้สิทธิร้องเรียน ข่าวสาร และความเคลื่อนไหวของผู้ตรวจการแผ่นดินได้อย่าง ถูกต้องและสร้างสรรค์ เป็นกลไกส�าคัญอันน�าไปสู่ความร่วมมือระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 294
และองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนอย่างมี ประสิทธิภาพในอนาคต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน…นิติธรรม…น�าสังคม” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมซี. เอส. ปัตตานี จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสื่อมวลชน นักจัดรายการวิทยุ และผู้ปฏิบัติงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางสถานีวิทยุ กว่า 50 คน จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ทั้งนี้ มีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น สะท้อนปัญหาในพื้นที่ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนข้อมูลและ กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต่อประชาชน นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อสังคม (Ombudsman Social Responsibility : OSR) ฟื้นฟูปราการธรรมชาติหาดรูสะมิแล ณ ป่าชายเลนริมเส้นทางลงหาดรูสะมิแล อ�าเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ในการเยือนจังหวัด ปัตตานีครั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบซากเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ที่จอดทิ้งไว้กลางแม่น�้าปัตตานี จ�านวน 65 ล�า พร้อมประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ปัตตานี เลขาธิการศูนย์อ�านวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้อ�านวยการศูนย์ป้องกัน และปราบปรามประมงทะเลปัตตานี ผู้อ�านวยการกองกฎหมายกรมประมง ส�านักงาน เจ้าท่าภูมิภาค สาขาปัตตานี ส�านักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 ส�านักงานประมง จังหวัดปัตตานี ศูนย์อ�านวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 2 ต�ารวจภูธร จังหวัดปัตตานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหามาตรการบริหารจัดการ ซากเรือประมง ปัญหาแม่น�้าปัตตานีตื้นเขินจากการเพิ่มขึ้นของตะกอนจากการชะล้าง พังทลายของดินจากที่สูง การปรับสภาพคูคลองระบายน�้า และการจอดขวางของซากเรือ ดังกล่าวท�าให้ปิดกั้นช่องทางการไหลของน�้า รวมทั้งกรณีศึกษาปัญหาและผลกระทบของ การท�าประมงภายใต้กฎหมายประมง IUU ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการเรือของกลางให้เป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เร่งรัดประเมินราคา และขายทอดตลาด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 295
กิจกรรมผู้ตรวจการแผ่นดิน..นิติธรรม..น�าสังคม ณ จังหวัดปัตตานี รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 296
4.3) กิจกรรมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านการขนส่ง (ภาครัฐ และเอกชน) ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทั่วโลกและประเทศไทยต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องยาวนาน ท�าให้ผู้คนต้องปรับเปลี่ยน วิถีการด�าเนินชีวิตรูปแบบใหม่อย่างมากมาย หรือที่เรียกกันว่า New Normal ทั้งในด้าน กิจวัตรประจ�าวัน การเรียน การท�างาน การเดินทาง หรือการติดต่อสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งต้อง ปรับเปลี่ยนไปภายใต้ข้อจ�ากัดของมาตรการควบคุมดูแลป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ดังกล่าว โดยที่ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเองได้เร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ช่องทางการติดต่อ สื่อสารหรือช่องทางการร้องเรียนผ่านสื่อและเครือข่ายต่าง ๆ อย่างสม�่าเสมอ เพื่อจะอ�านวย ความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ประกอบกับพบว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และอ�านาจของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และช่องทางการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน บางครั้งอาจมี ความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการเรียกชื่อย่อของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จาก สผผ. เป็น สตง. อันเป็นชื่อย่อของส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งก่อตั้งมาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี ท�าให้ประชาชนมีความคุ้นชินกับชื่อย่อ สตง. มากกว่า โดยปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลให้ ประชาชนเสียสิทธิหรือเสียโอกาสในการเข้าถึงความเป็นธรรมที่ประชาชนควรได้รับ การแก้ไขปัญหาจากการปฏิบัติงานของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินจึงมีแนวคิดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านการขนส่งในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ไปสู่พี่น้องประชาชน ดังนี้ - บูรณาการความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์กับบริษัท ขนส่ง จ�ากัด โดยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตลอดจนช่องทาง การร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในรูปแบบวีดิทัศน์ผ่านจอ LCD เสียงตามสาย ติดตั้ง ป้ายไวนิล รวมถึงจัดวางเอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร 123 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนที่มาใช้บริการและประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างทั่วถึง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 297
- บูรณาการความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์กับบริษัท บีเอ็นโอ กรุ๊ป จ�ากัด โดยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตลอดจนช่องทางการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในรูปแบบวีดิทัศน์ผ่านจอ LCD บริเวณ สี่แยกการจราจรภายในกรุงเทพมหานคร เทศบาลเมืองพัทยา และเทศบาลเมืองหัวหิน จ�านวน 15 แห่ง เพื่อให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไป – มาในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างทั่วถึง การบูรณาการความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตลอดจนช่องทางการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในรูปแบบวีดิทัศน์ผ่านจอ LCD รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 298
2.2 การด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีต่างประเทศ 2.2.1 การด�าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีต่างประเทศ 1) การสัมมนาออนไลน์นานาชาติเนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปี การก่อตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย ได้จัดการสัมมนาออนไลน์นานาชาติเนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปี การก่อตั้งผู้ตรวจการ แผ่นดิน หัวข้อ “บทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างและหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนา 2019” (The Ombudsman’s Role during and post COVID - 19 Pandemic) ในวันที่ 2 เมษายน 2564 ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน การสัมมนาในครั้งนี้นับเป็นการจัดงานสัมมนาออนไลน์นานาชาติครั้งแรก ของผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดินตามแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเวทีองค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาปรับปรุงการด�าเนินงานของผู้ตรวจการ แผ่นดินในอนาคต โดยมีวิทยากรเข้าร่วมการสัมมนา 12 ท่าน ประกอบด้วย ฝ่ายบริหาร สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute: IOI) ประธานองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งกลุ่มประเทศอิสลาม และผู้ตรวจการแผ่นดินจาก ประเทศต่าง ๆ ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Memorandum of Understanding: MOU) กับผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย โดยพลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) น�าเสนอบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดิน ของไทยในการติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการด�าเนินมาตรการของภาครัฐ ยกระดับมาตรการ ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว โดยเฉพาะการระบาดระลอกใหม่ รวมทั้ง ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมให้มีการฟื้นฟูประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข และด�ารงไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะอย่างยั่งยืน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 299
- ความร่วมมือภายใต้กรอบสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute: IOI) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) ได้ด�ารงต�าแหน่งระดับบริหาร (Executive Committee) ในสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute: IOI) คือ ต�าแหน่ง เหรัญญิก (IOI Treasurer) และกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย (IOI Asian Director) ซึ่งได้มี การปฏิบัติหน้าที่มาอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ การสัมมนาออนไลน์นานาชาติเนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปี การก่อตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน หัวข้อ “บทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างและหลังวิกฤติการณ์ไวรัสโคโรนา 2019” (The Ombudsman’s Role during and post COVID - 19 Pandemic) รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 300
(1) การประชุมกลางปีของฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (IOI Executive Committee Mid-term Meeting) เข้าร่วม การประชุมกลางปีของฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Executive Mid-Term Meeting) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็น การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเหรัญญิกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Treasurer) ของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยประเด็นส�าคัญที่ได้มีการหารือร่วมกัน คือ การพิจารณาประเด็นทางการเงินของสถาบันฯ โดยรายงานการใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันฯ และการพิจารณาผู้มีอ�านาจลงนามในบัญชีของสถาบันฯ รวมถึงการรับทราบ ความคืบหน้าการด�าเนินงานของคณะท�างานสหประชาชาติของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศในการพิจารณาร่างข้อมติของสหประชาชาติว่าด้วยบทบาทและอ�านาจของ องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ไกล่เกลี่ยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน การบริหาร ราชการแผ่นดินที่ดี และหลักนิติธรรม (United Nations’ Resolution on Ombudsman’s Role in the Promotion and Protection of Human Rights, Good Governance and Rule of Law) ซึ่งจะเป็นก้าวแรกแห่งความส�าเร็จของการด�าเนินงานระหว่างสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศและองค์การสหประชาชาติ โดยผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทยได้มีส่วนร่วมในการเป็นองค์ประกอบของคณะท�างานสหประชาชาติ (United Nations’ Working Group) และการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ประชาคม ระหว่างประเทศจะได้มีความตระหนักรู้อย่างแท้จริงต่อบทบาท หน้าที่ และอ�านาจ ขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินทั่วโลกที่มีความแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันหารือแนวทางการจัดประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) อีกด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 301
(2) การสัมมนานานาชาติ ในหัวข้อ “โควิด-19 และผู้ตรวจการแผ่นดิน - ความท้าทายต่อสถานการณ์โรคระบาด (COVID - 19 and the Ombudsperson-Rising to the Challenge of a Pandemic)” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 เข้าร่วม การสัมมนาออนไลน์นานาชาติ (International Webinar) ในหัวข้อ “โควิด-19 และผู้ตรวจการ แผ่นดิน - ความท้าทายต่อสถานการณ์โรคระบาด (COVID - 19 and the Ombudsperson - Rising to the Challenge of a Pandemic)” ที่จัดขึ้นโดยผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐ อิสราเอล ร่วมกับสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ เพื่อสรุปผลการด�าเนินการ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เช่น ข้อเสนอแนะแนวทางเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) แนวทางการแก้ไขปัญหาประชาชนขาดแคลน หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์เจลท�าความสะอาดมือ และกรณีมาตรการป้องกันโรค ส�าหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) การสัมมนาออนไลน์นานาชาติในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมจากประเทศ สมาชิกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศเป็นจ�านวนมาก และได้รับเกียรติ จากนายปีเตอร์ ทินดัล (Mr. Peter Tyndall) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐไอร์แลนด์ และประธานสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ นายมาทันยาฮู อิงแมน (Mr. Matanyahu Englman) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐอิสราเอล และนายเวอร์เนอร์ อามอน (Mr. Werner Amon) เลขาธิการสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ เป็นผู้กล่าวต้อนรับเข้าสู่การสัมมนาออนไลน์นานาชาติดังกล่าว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 302
(3) การประชุมฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (IOI Executive Committee Meeting) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เข้าร่วมการประชุมฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Executive Committee) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นการปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะเหรัญญิกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Treasurer) ของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยที่ประชุมได้หารือร่วมกันในประเด็นส�าคัญต่าง ๆ อาทิ การพิจารณาประเด็นทางการเงินของสถาบันฯ โดยได้มีการพิจารณารายงานการใช้จ่าย งบประมาณในกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันฯ การพิจารณาความเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับ สมาชิกภาพขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติมของสถาบันฯ รวมถึงการก�าหนดหัวข้อต่าง ๆ ที่ใช้ในการประชุมสมัชชาสามัญของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (IOI’s General Assembly) ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 การรายงาน ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติมีมติให้การรับรองข้อมติที่ประชุม สมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยบทบาทและอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ไกล่เกลี่ย ในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน การบริหารราชการแผ่นดินที่ดี และหลักนิติธรรม การสัมมนาออนไลน์นานาชาติหัวข้อ “โควิด-19 และผู้ตรวจการแผ่นดิน - ความท้าทายต่อสถานการณ์โรคระบาด (COVID - 19 and the Ombudsperson-Rising to the Challenge of a Pandemic) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 303
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเนื้อหาของร่างปฏิญญา กรุงดับลิน (Dublin Declaration) ที่ได้รับรองหลักการส�าคัญขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน ในการด�าเนินงานโดยหลักธรรมาภิบาล การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและ หลักนิติธรรม ในการนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมหลักการที่ส�าคัญประการหนึ่ง เกี่ยวกับการด�าเนินงานขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เข้าไว้ในร่างปฏิญญากรุงดับลิน (Dublin Declaration) นี้ด้วย มีใจความกล่าวคือ “โลกภายหลังจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) จะแตกต่างจากที่เคยเป็นมา ดังนั้น องค์กรผู้ตรวจการ แผ่นดินจึงควรต้องปรับตัวและยกระดับขีดความสามารถขององค์กรภายใต้บริบทของ “ความปกติใหม่ (New Normal)” โดยน�ารูปแบบและวิธีการใหม่มาปรับใช้ โดยเฉพาะผ่าน นวัตกรรมของเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนาปฏิสัมพันธ์กับประชาชนผู้ซึ่งขวัญก�าลังใจได้รับ ผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโรค” ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอ หลักการดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ (4) การประชุมคณะกรรมการบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Board of Directors Meeting) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหาร สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Board of Directors Meeting) ผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยได้รายงานให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับ ผลการประชุมฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา และที่ประชุมได้มีการพิจารณาข้อเสนอเพิ่มเติมจากสมาชิกเกี่ยวกับเนื้อหา ของร่างปฏิญญากรุงดับลิน (Dublin Declaration) จนได้ข้อสรุปร่วมกัน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2567 รวมถึงการพิจารณาข้อเสนอเรื่องการอบรม การจัดท�าเอกสาร วิชาการเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบของหน่วยงานสมาชิก ในภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 304
(5) การประชุมระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Asian Regional Meeting) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 เข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Asian Regional Meeting) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน การประชุมในครั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับการร้องขอจากส�านักเลขาธิการสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (Secretariat of International Ombudsman Institute: IOI) ซึ่งพลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) ปฏิบัติหน้าที่ กรรมการบริหารแห่งภูมิภาคเอเชีย (Asian Regional Director) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม กลุ่มภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Asian Regional Meeting) และจัดการเลือกตั้งประธานคณะกรรมการบริหาร แห่งภูมิภาคเอเชีย (Asian Regional President) ในคราวเดียวกัน โดยก�าหนดให้จัดงาน ดังกล่าวก่อนการประชุมสมัชชาสามัญของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI’s General Assembly) ที่มีขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ในการประชุมดังกล่าว พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) ในฐานะกรรมการบริหารแห่งภูมิภาคเอเชียเป็นประธาน ในที่ประชุม มีสมาชิกในกลุ่มภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ จ�านวน 14 องค์กร เข้าร่วมการประชุม สาระส�าคัญของการประชุม ประกอบด้วย การรายงานให้สมาชิกในกลุ่มภูมิภาคเอเชียทราบถึงการด�าเนินการของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2564 การด�าเนินการของคณะท�างาน สหประชาชาติของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (United Nations’ Working Group) ที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน คณะท�างานดังกล่าว เพื่อเสนอข้อมติขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยบทบาทของผู้ตรวจการ แผ่นดินในการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน และหลักการว่าด้วยการปกป้องและส่งเสริม สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือที่เรียกว่า หลักการเวนิส (Venice Principles) อีกทั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 305
มีการแจ้งให้สมาชิกในกลุ่มภูมิภาคเอเชียทราบถึงผลการเลือกตั้งฝ่ายบริหารของสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI’s Executive Committee) ในวาระปี พ.ศ. 2564 - 2567 ซึ่งพลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) ได้รับเลือก ให้ด�ารงต�าแหน่งรองประธาน ล�าดับที่หนึ่ง (IOI 1st Vice-President) นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาการเลือกตั้งประธานกรรมการบริหารภูมิภาคเอเชีย (Asian Regional Director) และมีมติร่วมกันว่า ในการประชุมสมัชชาสามัญที่ก�าลังจะมาถึง จะมีการรับรองข้อบังคับของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI’s By-laws) ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ และในมาตรา 11 (C) ของข้อบังคับจะมีการเปลี่ยนแปลงจ�านวน กรรมการบริหารในแต่ละภูมิภาคให้สอดคล้องกับจ�านวนสมาชิกในภูมิภาคนั้น ซึ่งในกลุ่ม ภูมิภาคเอเชียจะมีจ�านวนกรรมการบริหารเพิ่มจาก 3 คน เป็น 4 คน ดังนั้น เพื่อให้เกิด ความโปร่งใสในการสรรหาประธานกรรมการบริหารภูมิภาคเอเชีย และเป็นไปในทิศทาง เดียวกันกับข้อบังคับของสถาบันฯ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นควร จัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารภูมิภาคเอเชียให้ครบทั้ง 4 คนก่อน และหลังจากนั้น จึงจะด�าเนินการเลือกประธานกรรมการบริหารแห่งภูมิภาคเอเชียต่อไป การประชุมระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Asian Regional Meeting) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 306
(6) การประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (International Ombudsman Institute’s World Conference) ครั้งที่ 12 การประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (International Ombudsman Institute’s World Conference) เป็นเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์การท�างาน และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระหว่างหน่วยงาน สมาชิกทั้งหมด การประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ มีก�าหนดจัดขึ้นทุก 4 ปี โดยหน่วยงานสมาชิกจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ และ จะจัดขึ้นพร้อมกับการประชุมสมัชชาสามัญสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s General Assembly) อนึ่ง การประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ ครั้งที่ 12 เดิมมีก�าหนดจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2563 ณ กรุงดับลิน สาธารณรัฐ ไอร์แลนด์ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นการแพร่ระบาดของโรค ที่แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก (Pandemic) จึงมีความจ�าเป็นที่จะต้องเลื่อน ก�าหนดการจัดงานออกไป ต่อมาได้มีการประชุมระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 25 - 27 พฤษภาคม 2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของการประชุม ระดับโลกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ครั้งที่ 12 ดังนี้ (6.1) การประชุมสมัชชาสามัญสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s General Assembly) พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) เลขาธิการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทุกท่าน และคณะ เจ้าหน้าที่ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสามัญสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s General Assembly) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 307
ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ เหรัญญิกของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Treasurer) ในการประชุม สมัชชาสามัญครั้งนี้ มีผู้แทนองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินเข้าร่วมประชุมกว่า 200 องค์กร จาก 100 ประเทศทั่วโลก ประเด็นส�าคัญที่หารือร่วมกัน คือ การรายงานการด�าเนินงาน ในภาพรวมระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2564 ตลอดช่วงวาระการด�าเนินงานของคณะกรรมการ ฝ่ายบริหารของสถาบันชุดปัจจุบัน ในโอกาสนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย ได้น�าเสนอรายงานสถานะการเงินของสถาบันฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2559 - 2564 และ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2567 ร่วมกันอีกด้วย ในการนี้ ที่ประชุมสมัชชาสามัญได้ร่วมกันออกเสียง ลงคะแนนให้ความเห็นชอบในการปฏิรูปกฎข้อบังคับของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (IOI’s By-laws) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง การแก้ไขข้อบังคับของสถาบันฯ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูปกฎเกณฑ์ของสถาบันฯ ให้มีความเป็นประชาธิปไตยและเป็นไป ตามหลักการมีส่วนร่วมของสมาชิกของสถาบันฯ มากยิ่งขึ้น รวมถึงการออกเสียงลงคะแนน ให้ความเห็นชอบในการรับรองหลักการแห่งปฏิญญากรุงดับลิน (Dublin Declaration) ที่ได้รับรองหลักการส�าคัญขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินในการด�าเนินงานโดยหลักธรรมาภิบาล การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม ซึ่งผลการลงคะแนนเสียง ปรากฏว่า สมาชิกเห็นชอบการปฏิรูปการเลือกตั้ง การแก้ไขข้อบังคับของสถาบันฯ และ เห็นชอบในการรับรองหลักการแห่งปฏิญญากรุงดับลิน (Dublin Declaration) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้แนะน�าเจ้าหน้าที่ของสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศที่ได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายบริหารของสถาบันฯ ชุดใหม่ ได้แก่ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 308
(1) ประธานสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ได้แก่ นายคริส ฟิลด์ (Mr. Chris Field) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เครือรัฐออสเตรเลีย (2) รองประธานสถาบันฯ คนที่หนึ่ง ได้แก่ พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย (ในขณะนั้น) (3) รองประธานสถาบันฯ คนที่สอง ได้แก่ นางสาวไดแอน เวลบอร์น (Ms. Diane Welborn) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา (4) เหรัญญิก ได้แก่ นางสาวแคโรไลน์ โซโคนี (Ms. Caroline Sokoni) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐแซมเบีย (6.2) การประชุมเชิงปฏิบัติการของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Workshop) การประชุมเชิงปฏิบัติการของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute’s Workshop) ในหัวข้อ “Giving Voice to the Voiceless (การให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส – มุมมองของภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก)” ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยพลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการ แผ่นดิน (ในขณะนั้น) ท�าหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม การประชุมดังกล่าวได้รับเกียรติ จาก นางจอน ฮยอนฮวี (Ms. Jeon Hyun-Heui) ประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตและ สิทธิพลเมืองแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (ACRC) และนายจุง ฮีลี (Mr. Junghee Lee) รองประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมืองแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (ACRC) และนายไมเคิล แมนโธร์ป (MR. Michael Manthrope) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งคอมมอนเวลท์ เครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth Ombudsman of Australia) เข้าร่วมเสวนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งน�าเสนอแนวทางการด�าเนินงานขององค์กรผู้ตรวจการ แผ่นดินที่ได้ให้ความส�าคัญต่อผู้ด้อยโอกาส ในการจัดท�าข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 309
(7) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเลือกตั้งเพื่อด�ารงต�าแหน่ง กรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย (Asian Regional Director) ของสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ส�านักเลขาธิการสถาบันผู้ตรวจการ แผ่นดินระหว่างประเทศ (International Ombudsman Institute: IOI) ได้มีหนังสือผ่าน ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประกาศรับสมัครการเสนอชื่อเข้ารับการเลือกตั้งเพื่อด�ารง ต�าแหน่งกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย (Asian Regional Director) ทดแทนต�าแหน่ง ที่ว่างลง 2 ต�าแหน่ง จากทั้งหมด 4 ต�าแหน่ง ภายหลังการพ้นจากวาระการด�ารงต�าแหน่ง ของอดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์) ในการนี้ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน 5 ได้ลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งในต�าแหน่งกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ โดยได้รับการเสนอชื่อ (Nomination) จากนางจอน ฮยอนฮวี (Ms. Jeon Hyun-Heui) ประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมือง แห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Anti-corruption and Civil Rights Commission: ACRC) และ ได้รับการรับรองการเสนอชื่อ (Secondment) จากนายโมฮัมหมัด นาจีห์ (Mr. Mokhammad Najih) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย การประชุมเชิงปฏิบัติการของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ หัวข้อ “Giving Voice to the Voiceless (การให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส – มุมมองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) 5 ได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 310
ต่อมา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ส�านักเลขาธิการสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศได้มีหนังสือผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ประกาศ ผลเลือกตั้งกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ ซึ่งเป็นการลงคะแนนเสียงลับทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-ballot) จากสมาชิกในภูมิภาค เอเชียที่มีสิทธิออกเสียงจ�านวน 19 หน่วยงาน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (1) นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทย (2) นายอาจัส อาลี คาน (Mr. Ajaz Ali Khan) ผู้ตรวจการ แผ่นดิน แห่งรัฐซินด์ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (3) นายโมฮัมหมัด นาจีห์ (Mr. Mokhammad Najih) ประธาน ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย บุคคลผู้ลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด จ�านวน 2 ราย คือ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย และนายอาจัส อาลี คาน (Mr. Ajaz Ali Khan) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐซินด์ สาธารณรัฐ อิสลามปากีสถาน เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ซึ่งข้อบังคับของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (By-laws) ได้ก�าหนดให้กรรมการบริหารจากทุกภูมิภาค ปฏิบัติหน้าที่ ในคณะกรรมการบริหาร (Board of Directors) เพื่อพิจารณาการบริหารจัดการภายใน องค์กร เช่น การใช้จ่ายงบประมาณ การรับสมาชิกเพิ่ม และการก�าหนดนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมสมัชชาสามัญ (General Assembly) ในประเด็น ที่เกี่ยวข้อง โดยมีวาระด�ารงต�าแหน่งคราวละ 4 ปี นับจากการประชุมสมัชชาสามัญที่รับรองผล การสรรหาจนถึงการเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารชุดถัดไป ทั้งนี้ คณะ กรรมการ บริหารจะจัดประชุมปีละ 2 ครั้ง โดยสมาชิกในกรรมการบริหารจะผลัดเปลี่ยนกัน เป็น เจ้าภาพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 311
จากการที่นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทย ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นล�าดับที่หนึ่ง (ได้รับ 10 คะแนนเสียง) จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย ได้รับความไว้วางใจ จากหน่วยงานสมาชิกในภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ ให้ด�ารงต�าแหน่งกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งถือเป็น ความส�าเร็จอีกครั้งหนึ่งในเวทีผู้ตรวจการแผ่นดินระดับโลก และสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่น ของผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยที่ได้รับอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานผู้ตรวจการ แผ่นดินต่างประเทศ โดยในปัจจุบัน คณะกรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชียของสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ มีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ประธานภูมิภาค (รอการสรรหา) (2) นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทย (3) นางจอน ฮยอนฮวี (Ms. Jeon Hyun-Heui) ประธาน กรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมืองแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (ACRC) (4) นายอาจัส อาลี คาน (Mr. Ajaz Ali Khan) ผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งรัฐซินด์ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (5) นายซานาวาซ ทาริก (Justice Shahnawaz Tariq) ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐซินด์ เพื่อการคุ้มครองสตรีจากการล่วงละเมิดในสถานที่ท�างาน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ทั้งนี้ ภายหลังการสรรหากรรมการบริหารระดับภูมิภาคเอเชีย ดังกล่าวจนครบถ้วนทั้ง 4 ต�าแหน่งแล้ว ส�านักเลขาธิการสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศจะเตรียมด�าเนินการจัดการเลือกตั้งด้วยการลงคะแนนเสียงลับทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสรรหาผู้ด�ารงต�าแหน่งประธานภูมิภาคเอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (IOI Asian Regional President) ต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 312
2.2.2 กิจกรรมภายใต้ความร่วมมือ ฯ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 1) การสัมมนาวิชาการนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี การก่อตั้งส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2563 พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ในขณะนั้น) ได้เข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ เนื่องในโอกาส ครบรอบ 25 ปี การก่อตั้งส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ในหัวข้อ “Digitalization of the Ombudsman’s Activities: Innovative Mechanisms for Ensuring and Protecting Human Rights and Freedoms” ซึ่งจัดขึ้นผ่านระบบ การประชุมทางไกลด้วยวิดิทัศน์ (Videoconference) ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งตามขอบเขต ความร่วมมือในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทยและผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ในการที่จะ สื่อสารและร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมการด�าเนินงาน ผ่านการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกันหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของคู่ภาคี การสัมมนาครั้งนี้ พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการ แผ่นดิน (ในขณะนั้น) ได้บันทึกเทปบรรยายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในหัวข้อย่อย “หน่วยงาน ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” (National Human Rights Institutions During the COVID - 19 Pandemic) โดยมีสาระส�าคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นท่ามกลาง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวมถึง ข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินที่มีต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ แนวทางการแก้ไขปัญหาประชาชนขาดแคลนหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์เจล ท�าความสะอาดมือ การบรรเทาความเดือดร้อน ผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุม การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) มาตรการป้องกันโรคส�าหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และการแก้ไขปัญหาจากมาตรการเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 313
นอกจากนี้ ยังเป็นกิจกรรมหนึ่งในการเฉลิมฉลองวันสิทธิมนุษยชน สากลภายใต้แนวคิด “Recover Better-Stand Up for Human Rights” ซึ่งมีผู้เข้าร่วม จากประเทศต่าง ๆ ประมาณ 200 คน โดยมีบุคคลส�าคัญกล่าวเปิดการสัมมนา ได้แก่ นายแทนซิลา นาร์แบวา (Mr. Tanzila Narbaeva) ประธานวุฒิสภาแห่งสาธารณรัฐ อุซเบกิสถาน (Chairperson of the Senate of the Oliy Majlis of the Republic of Uzbekistan) นางสาวมิเชลล์ บาเซเลท (Ms. Michelle Bachelet) ข้าหลวงใหญ่เพื่อ สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Human Rights) และ นายปีเตอร์ ทินดัล (Mr. Peter Tyndall) ประธานสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (President of the International Ombudsman Institute) และผู้แทนจากองค์กร นอกภาครัฐ (NGOs) ต่าง ๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนในหัวข้อย่อย ได้แก่ หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน ในเอเชียกลางในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) : การใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยที่สร้างสรรค์ หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนในช่วง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) การด�าเนินงาน ของหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อปกป้องสิทธิของกลุ่มเปราะบาง : การใช้วิธีการ ด�าเนินงานที่สร้างสรรค์ และความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคมกับหน่วยงานด้านสิทธิ มนุษยชน โดยแสดงให้เห็นถึงการด�าเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ยากล�าบาก ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนจาก ประชาชนมากขึ้นจากสถานการณ์ปกติ จึงมีความจ�าเป็นต้องปรับรูปแบบการท�างานโดยใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่และระบบออนไลน์เข้ามาช่วยในการด�าเนินงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของ ประชาชนให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ และให้เป็นไป ตามมาตรฐานระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน โดยให้ความส�าคัญเป็นพิเศษกับ กลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้ต้องขัง ชนกลุ่มน้อย ซึ่งได้รับผลกระทบมากกว่าคนปกติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 314
การสัมมนาวิชาการนานาชาติดังกล่าวเป็นเวทีส�าคัญในการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ระหว่างองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กร นอกภาครัฐ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันและประเด็นที่ต้องค�านึงถึงจากผลกระทบ ของการแพร่ระบาดและมาตรการของรัฐในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ สร้างการเรียนรู้ในระดับนานาชาติที่เป็นประโยชน์ ต่อการด�าเนินงานขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินไทยในการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนท่ามกลางสถานการณ์อันยากล�าบากที่เกิดขึ้น การบรรยายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในหัวข้อ “หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในช่วงสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” (National Human Rights Institutions During the COVID - 19 Pandemic) ในงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี การก่อตั้งส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน” ผู้ตรวจการแผ่นดิน 315
- การสัมมนา ในหัวข้อ “แนวปฏิบัติในการตรวจสอบทัณฑสถาน ตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระท�าอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี” (Optional Protocol of the Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment of Punishment (OPCAT) : Prison Inspection Practice) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ของประเทศไทย) ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รองเลขาธิการส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (นายกมลธรรม วาสบุญมา) และคณะเจ้าหน้าที่ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “แนวปฏิบัติในการตรวจสอบทัณฑสถาน ตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระท�าอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี” (Optional Protocol of the Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment of Punishment (OPCAT) : Prison Inspection Practice) ซึ่งจัดโดย ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งประเทศนิวซีแลนด์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์มีหน้าที่และอ�านาจในฐานะ กลไกระดับชาติเพื่อป้องกันการทรมาน (National Preventive Mechanism: NPM) ตามพันธกรณีจากการที่ประเทศนิวซีแลนด์ได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้าน การทรมาน และการกระท�าอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี หรือ OPCAT มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 และมีการด�าเนินงานสอดรับกับพันธกรณีที่เกี่ยวข้องมาอย่าง ต่อเนื่อง โดย OPCAT ก�าหนดให้รัฐภาคีต้องก�าหนดหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่กลไกระดับชาติ เพื่อก�ากับดูแลการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ภายใต้บริบท ของสถานกักกัน (Place of detention) ที่ก�าหนดตามพระราชบัญญัติอาชญากรรม ที่เป็นการทรมาน พ.ศ. 2532 (Crimes of Torture Act 1989 : COTA) ซึ่งส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมดูแลการปฏิบัติ ต่อผู้พ�านักในสถานกักกันประเภทต่าง ๆ สามารถหยิบยกประเด็นที่เกี่ยวข้องขึ้นพิจารณา ได้เอง (Own-motion investigation) ตรวจสอบสภาพการกักกันและการปฏิบัติต่อ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 316
ผู้ถูกกักกัน จัดท�าข้อเสนอแนะต่อผู้มีอ�านาจรับผิดชอบสถานกักกัน รวมทั้งติดตามการน�า ข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไปปฏิบัติ การสัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายปีเตอร์ โบเชียร์ (Mr. Peter Boshier) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ และนางสาวเอ็มม่า โรบัค (Ms. Emma Roebuck) ผู้ตรวจสอบอาวุโสตามพิธีสาร OPCAT (Senior Inspector OPCAT) บรรยายและน�าเสนอข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการด�าเนินงานของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ในการตรวจสอบทัณฑสถานตามพิธีสารฯ หลักเกณฑ์ การตรวจสอบทัณฑสถาน ตัวอย่างผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ การรายงานผลและติดตาม ผลการด�าเนินงานที่เกิดขึ้นภายหลัง รวมทั้งบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในกระบวนการ ดังกล่าว โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานระหว่างประเทศ ด้านการป้องกันการถูกทรมาน ผู้แทนจากส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้แทนหน่วยงาน ด้านสิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล ซึ่งรับผิดชอบในการติดตามตรวจสอบทัณฑสถาน หรือ สถานกักกันภายใต้พิธีสารฯ รวมทั้งผู้สนใจทั่วไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว การสัมมนาทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้ จึงมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ต่อการด�าเนินงานของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แม้ว่าประเทศไทยยังอยู่ในระหว่าง การเตรียมความพร้อมเพื่อจัดตั้งกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติตามกรอบพิธีสารฯ ซึ่งเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน แต่เนื่องด้วยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องขังเป็นจ�านวนมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในการสัมมนา ครั้งนี้ ท�าให้ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถน�าองค์ความรู้ในการตรวจสอบทัณฑสถาน ของประเทศนิวซีแลนด์มาปรับใช้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเฉพาะกรณีที่มีความจ�าเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงในทัณฑสถาน หรือสถานกักกัน รวมทั้งการให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการด�าเนินงานของภาครัฐ ต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 317
- การประชุมคณะท�างานร่วมเชิงเทคนิค (Joint-Technical Working Group) ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งราชอาณาจักรไทยและประธานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ของประเทศไทย) ผู้อ�านวยการส�านักวิเทศสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่ส�านักวิเทศสัมพันธ์ ได้เข้าร่วมการประชุมคณะท�างานร่วมเชิงเทคนิค (Joint-Technical Working Group) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับคณะผู้แทนส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศ นิวซีแลนด์ ซึ่งการประชุมดังกล่าวเป็นกลไกการด�าเนินงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วย ความร่วมมือทวิภาคี (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย (Ombudsman of Thailand : OMT) และประธานผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ (Chief Ombudsman of New Zealand) โดยที่ประชุม ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือแนวทางการด�าเนินกิจกรรมทางวิชาการในประเด็นต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ร่วมกัน อาทิ การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ระหว่างสององค์กร นอกจากนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ยังยินดีให้ความอนุเคราะห์ การสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “แนวปฏิบัติในการตรวจสอบทัณฑสถานตามพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญา ว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระท�าอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี” Optional Protocol of the Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment of Punishment (OPCAT) : Prison Inspection Practice) จัดโดย ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 318
ข้อมูลแก่ฝ่ายไทยเพื่อการด�าเนินการศึกษาเปรียบเทียบระบบผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ไทยและนิวซีแลนด์ การสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อ ตีพิมพ์ลงในวารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้เห็นชอบในหลักการร่วมกัน ในการจัดการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในสายงานสอบสวน และสายงานสนับสนุน น�ามาซึ่งประโยชน์ที่ทางส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไทยจะได้รับ ในด้านการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ในระยะต่อไป 5) การสัมมนานานาชาติ หัวข้อ “การส่งเสริมสิทธิของผู้พิการท่ามกลาง วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019” (Making Disability Rights Real in a Pandemic) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของ ประเทศไทย) ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มอบหมายให้ ผู้อ�านวยการส�านักวิเทศสัมพันธ์ และคณะเจ้าหน้าที่ได้เข้าร่วมการสัมมนาออนไลน์นานาชาติ หัวข้อ “การส่งเสริมสิทธิของ ผู้พิการท่ามกลางวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019” (Making Disability Rights Real in a Pandemic) ซึ่งจัดโดยส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศ นิวซีแลนด์ การสัมมนาครั้งนี้เป็นการบรรยายเกี่ยวกับบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งประเทศนิวซีแลนด์ที่มีต่อผู้พิการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยมีจุดมุ่งหมายในการให้ความเชื่อมั่นและรับประกันว่า ผู้พิการจะสามารถเข้าถึงความเป็นธรรมได้ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ การตรวจสอบ เรื่องร้องเรียนของประชาชน การตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้ง ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานภาครัฐในการด�าเนินงานเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการตรวจสอบอิสระ (Independent Monitoring Mechanism: IMM) ตามพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการของ สหประชาชาติ (the UN Convention on the Rights of Persons with Disabilities) โดยมีหน้าที่ติดตามการด�าเนินงาน และการประเมินผลอย่างเป็นอิสระเพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการ ชาวนิวซีแลนด์ได้รับสิทธิครบถ้วนตามอนุสัญญาดังกล่าว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 319
ที่ผ่านมา ประเทศนิวซีแลนด์ได้บังคับใช้มาตรการจ�ากัดอันเข้มงวด (COVID - 19 lockdown) เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID - 19) เป็นเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ ในช่วงเวลาดังกล่าว สิ่งส�าคัญที่รัฐบาล นิวซีแลนด์ให้ความส�าคัญ คือ หลักการที่ว่าผู้พิการจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เหมือนกับพลเมืองทุกคนในประเทศ โดยได้ให้ความส�าคัญกับการเข้าถึงสินค้าและบริการ การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงการมีส่วนร่วมการให้ บริการด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการจ้างงาน การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงผู้พิการที่เป็นผู้ต้องขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้เข้าถึงผู้พิการ ให้ได้มากที่สุดและทันต่อสถานการณ์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับความพิการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน แห่งประเทศนิวซีแลนด์ได้จัดท�ารายงานผลการด�าเนินงานดังกล่าวเกี่ยวกับการให้บริการแก่ ผู้พิการ พบว่าภาครัฐสามารถให้บริการแก่ผู้พิการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การประชุมออนไลน์ การรับฟังเสียงของประชาชนผู้พิการ การให้บริการทางโทรศัพท์ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นการให้บริการแก่ผู้พิการเพื่อให้เข้าถึงสินค้าอุปโภค บริโภค และบริการที่ดี นอกจากนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งประเทศนิวซีแลนด์ยังได้มี การด�าเนินงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับองค์กรคนพิการ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและให้ความช่วยเหลือ ชนกลุ่มน้อยที่เป็นผู้พิการ (ชาวเมารี) ดังเช่น Kapo Maori Aotearoa New Zealand Inc. ซึ่งด�าเนินงานโดยชาวเมารีและเข้าถึงชุมชนโดยง่าย ท�าให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาและ ความต้องการของผู้พิการชนกลุ่มน้อยได้อย่างแท้จริง 6) การสัมมนานานาชาติ หัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ในกลุ่มประเทศตามแนวยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Anti-Corruption for Belt and Road Countries) ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการ ตรวจสอบแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน (National Commission of Supervision: NCS) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Memorandum of Understanding: MOU) อันมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ในด้านการต่อต้านการทุจริต และการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ ผ่านการแลกเปลี่ยน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 320
การเดินทางเยือนของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ซึ่งผลจากการด�าเนินกิจกรรม ภายใต้ความร่วมมือข้างต้น ได้พัฒนาไปสู่การประชุมหารือเชิงนโยบายระหว่างผู้ตรวจการ แผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการตรวจสอบแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะกรรมการตรวจสอบแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความอนุเคราะห์ในการ จัดหลักสูตรการสัมมนาระดับนานาชาติ ณ วิทยาลัยการตรวจสอบวินัยแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีน (China Academy Discipline Inspection and Supervision: CADIS) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการ ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยคณะผู้แทนของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เข้าร่วม การสัมมนามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การสัมมนาระดับนานาชาติดังกล่าว ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในหัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในกลุ่มประเทศตามแนว ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Anti-Corruption for Belt and Road Countries) ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2564 โดยมีคณะเจ้าหน้าที่ของส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้าร่วมในการสัมมนา ในพิธีเปิดการสัมมนา นายฟู กุย (Mr. Fu Kui) ต�าแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบวินัยส่วนกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ (Central Commission for Discipline Inspection of the Communist Party of China: CCDI) และรองประธานคณะกรรมการการตรวจสอบแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน (National Commission of Supervision: NCS) กล่าวน�าเสนอข้อมูลการทุจริตและ ประพฤติมิชอบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน การด�าเนินการ สัมมนามุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในหัวข้อที่เป็นประโยชน์จากคณะวิทยากร ของวิทยาลัยการตรวจสอบวินัยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ แนวปฏิบัติต่าง ๆ ของ นวัตกรรมและนโยบายที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับการเปิดสาธารณรัฐประชาชนจีนออกสู่สังคมโลก ความส�าเร็จของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติและความประพฤติ ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน การสร้างเสริมคุณธรรมและ การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การพัฒนากฎหมายและระเบียบเพื่อป้องกันและปราบปราม การทุจริตคอร์รัปชันในสาธารณรัฐประชาชนจีน ความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานตรวจสอบและ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 321
ก�ากับดูแลวินัยของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงาน เหล่านั้น ความร่วมมือของสาธารณรัฐประชาชนจีนกับนานาชาติในการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการติดตามเอาทรัพย์สินคืน ทั้งนี้ ยังได้เปิดเวที การสนทนาและน�าเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภารกิจของผู้แทนจากหน่วยงานที่เข้าร่วม กิจกรรมสัมมนาฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชันอีกด้วย กล่าวได้ว่า ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมการสัมมนา นานาชาติในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นโอกาสที่เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติได้เปิดทัศนะ แลกเปลี่ยน องค์ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน และ การจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันกับผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ ในแนวยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน อันจะมีส่วนช่วย ในการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานด้านการสอบสวน สามารถน�าความรู้มาประมวล ใช้เสริมสร้างทักษะในด้านการจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ก่อให้เกิดความรู้และ ความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับกรอบแนวคิดและการด�าเนินการอย่างบูรณาการใน สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศต่าง ๆ ตลอดจนความส�าคัญของความร่วมมือในระดับ ประเทศ เพื่อป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน ในระดับนานาชาติต่อไป การสัมมนา หัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในกลุ่มประเทศตามแนวยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Anti-Corruption for Belt and Road Countries) ” จัดโดย วิทยาลัยการตรวจสอบวินัยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Academy Discipline Inspection and Supervision: CADIS) กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 322
2.3 ความส�าเร็จในการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีการจัดกิจกรรม / โครงการ เพื่อพัฒนาองค์กรและพัฒนาบุคลากร โดยด�าเนินโครงการพัฒนาคุณภาพ การบริหารจัดการและการยกระดับธรรมาภิบาลของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และได้มี การพัฒนาองค์กรในด้านต่าง ๆ โดยมีผลสัมฤทธิ์ในการด�าเนินงาน ดังนี้ 2.3.1 ความส�าเร็จในการพัฒนาองค์กร (1) ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน (ITA) การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการ ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ และการยกระดับมาตรฐานการด�าเนินงานภาครัฐ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศได้รับทราบถึงสถานะและปัญหาการด�าเนินงานด้าน คุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร ผลการประเมินที่ได้จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐ สามารถน�าไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน การให้ บริการสามารถอ�านวยความสะดวก และตอบสนองต่อประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินเล็งเห็นถึงประโยชน์และความส�าคัญของการประเมิน ITA ซึ่งถือเป็น การประเมินเชิงบวกที่ครอบคลุมการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐในทุกมิติที่ นอกเหนือจากการประเมินคุณธรรมการด�าเนินงานการป้องกันการทุจริตในองค์กรและ การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ แต่ยังเป็นการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ การบริหารงานของผู้บริหาร ขั้นตอนและกระบวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายใน หน่วยงาน ให้มีมาตรฐาน เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ มีคุณลักษณะที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงการประเมิน “วัฒนธรรม” ในหน่วยงานที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมวัฒนธรรมและ ค่านิยมสุจริต โดยมีการวัดและประเมินผลจากการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและ ภายนอกองค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดิน 323
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เข้ารับ การประเมิน ITA อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยได้ด�าเนินโครงการพัฒนาคุณภาพการบริหาร จัดการและยกระดับธรรมาภิบาลของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในกิจกรรมการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) และเพื่อเป็นการยกระดับและขับเคลื่อนการด�าเนินงาน ITA ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีการจัดท�ามาตรการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใส ภายในหน่วยงาน โดยวิเคราะห์ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อพัฒนางานของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสอดรับกับหลักเกณฑ์การประเมินที่ก�าหนด เน้นการมีส่วนร่วม การด�าเนินงานของบุคลากรทุกคนในการบริหารงานและพัฒนาองค์กร รวมถึงเปิดเผยข้อมูล ในการพัฒนาประสิทธิภาพการด�าเนินงานของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้น�ามาตรการเพื่อส่งเสริมคุณธรรม และความโปร่งใสภายในหน่วยงานข้างต้นไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็น การขับเคลื่อนและยกระดับการด�าเนินงาน ITA ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ดังปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านเกณฑ์การประเมิน ITA ได้รับคะแนนประเมิน 90.44 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 3.85 คะแนน ผลการประเมินอยู่ในระดับ A และล�าดับที่ 3 ในกลุ่มองค์กรอิสระ สรุปรายละเอียด ดังนี้ 1) แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency Assessment: OIT) ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ ข้อมูล รวมทั้งหลักฐานต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์การประเมิน ITA และได้ส่งเอกสารผ่านระบบ ITAS ตามปฏิทินที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนดโดยการด�าเนินการดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้เปิดเผยต่อสาธารณชนผ่านเว็บไซต์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประจ�าและต่อเนื่อง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 324
- แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency Assessment: IIT) บุคลากรภายในส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ผู้อ�านวยการ พนักงาน ลูกจ้าง / พนักงานจ้างเหมาบริการ ได้ร่วมประเมินตามแบบวัด การรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (IIT) ผ่านทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรองรับ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment System : ITAS) ตามปฏิทินที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนด 3) แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency Assessment: EIT) ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายนอกผ่านทางระบบ ITAS ให้ส�านักงาน ป.ป.ช. เครื่องมือ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพิ่มขึ้น / ลดลงจาก ปี งปม. พ.ศ. 2563 1. แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT) 95.78 100.00 4.22 2. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายใน (IIT) 70.89 72.91 2.02 3. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายนอก (EIT) 90.03 95.23 5.20 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 325
ส�าหรับการด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเข้ารับการประเมิน ITA อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ในการพัฒนาและยกระดับการบริหารงานและปฏิบัติงานของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้วยความเป็นอิสระ เป็นกลาง เป็นธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาลและค่านิยมสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยจะด�าเนินการสรุปและวิเคราะห์ผลคะแนน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อน�าไปสู่การจัดท�ามาตรการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสภายในหน่วยงาน รวมถึง แผนการด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อยกระดับการด�าเนินงาน ITA ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป 2.3.2 ความส�าเร็จในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 - 2565) ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้มุ่งเน้นในการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และ สมรรถนะที่จ�าเป็นส�าหรับต�าแหน่งและสายงาน เพื่อให้บุคลากรเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญ เฉพาะด้านและมีศักยภาพสูง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถปฏิบัติงานสนับสนุนผู้ตรวจการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2561 - 2565 ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีการก�าหนดเป้าหมายให้บุคลากรส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินมีศักยภาพในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เป็นก�าลังคนคุณภาพ ในการขับเคลื่อนการท�างานของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่รุนแรงขึ้น ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของบุคลากรและให้ความส�าคัญต่อการพัฒนาศักยภาพ บุคลากรที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรเป็นแบบผสมผสาน เน้นการพัฒนาศักยภาพผ่านระบบออนไลน์หรือระบบ การสื่อสาร เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการเว้นระยะห่าง รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 326
ทางสังคม แต่บุคลากรยังคงได้รับการพัฒนาศักยภาพและได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่นเดิม ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดินจึงได้ด�าเนินการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แบ่งเป็น (1) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายใน จ�านวน 3 โครงการ และ (2) การพัฒนาศักยภาพ บุคลากรภายนอก จ�านวน 31 หลักสูตร/โครงการ ทั้งนี้ จากการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีเป้าหมายตัวชี้วัดตามยุทธศาสตร์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2561 - 2565) ที่ก�าหนดให้บุคลากรที่เข้ารับการพัฒนาศักยภาพต้องผ่านเกณฑ์ที่ส�านักงานก�าหนด ร้อยละ 95 มีผลการด�าเนินงานดังนี้ ตัวชี้วัด หน่วย เป้าหมาย ผลการด�าเนินงาน หมายเหตุ ร้อยละของ บุคลากร ที่เข้ารับ การพัฒนา ศักยภาพ ที่ผ่านเกณฑ์ ตามที่ส�านักงาน ก�าหนด ร้อยละ 95 ร้อยละ 100 เป้าหมาย จ�านวน 336 คน ผ่านเกณฑ์ ตามที่ ส�านักงาน ก�าหนด จ�านวน 336 คน (1) โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะและเพิ่มพูน ประสิทธิภาพการให้บริการและพัฒนา ด้านจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่ส�านักตรวจสอบ เรื่องร้องเรียน” กลุ่มเป้าหมาย จ�านวน 16 คน ผ่านเกณฑ์ตามที่ส�านักงานก�าหนด จ�านวน 16 คน คิดเป็น ร้อยละ 100 (2) โครงการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กลุ่มเป้าหมาย จ�านวน 28 คน ผ่านเกณฑ์ตามที่ส�านักงานก�าหนด จ�านวน 28 คน คิดเป็น ร้อยละ 100 (3) โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะเพื่อเปลี่ยนผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล” กลุ่มเป้าหมาย จ�านวน 292 คน ผ่านเกณฑ์ตามที่ ส�านักงานก�าหนด จ�านวน 292 คน คิดเป็น ร้อยละ 100 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 327
- การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายใน จ�านวน 3 โครงการ 1.1 โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะและ เพิ่มพูนประสิทธิภาพการให้บริการและพัฒนาด้านจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่ส�านักตรวจสอบ เรื่องร้องเรียน” ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ความส�าคัญในการพัฒนาศักยภาพ บุคลากรสายงานสอบสวน ซึ่งถือว่าเป็นสายงานหลักและมีความส�าคัญต่อภารกิจของ ผู้ตรวจการแผ่นดินในการอ�านวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะบุคลากรในส่วนงาน ด้านการตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ที่มีหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง และรับเรื่องร้องเรียน ผ่านช่องทางต่าง ๆ ซึ่งท�าให้บุคลากรในส่วนงานดังกล่าว นอกจากจะต้องมีความรู้พื้นฐาน ด้านกฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังต้องมีทักษะในด้านอื่น ๆ เพื่อจัดการกับ เรื่องร้องเรียนอย่างเป็นระบบ มีความเข้าใจปัญหาของประชาชน มีทักษะการรับเรื่อง สามารถประสานงาน ดูแล และการติดต่อกลับที่ดี ซึ่งรวมไปถึงการจัดการสุขภาพจิตของ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรับเรื่องร้องเรียน ที่ต้องมีเทคนิคหรือแนวทางในการป้องกันปัญหา ความเครียดหรือสุขภาพที่อาจเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนด้วย ดังนั้น ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนประสิทธิภาพการให้บริการและพัฒนาด้านจิตวิทยาของ เจ้าหน้าที่ส�านักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน” ขึ้น เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการให้บริการและ การบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนของเจ้าหน้าที่สอบสวนส�านักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่สอบสวนให้มีความรู้ความเข้าใจ ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการและด้านจิตวิทยา รวมถึงเสริมสร้างสุขภาพจิต ที่ดี เข้าใจการบริหารจัดการอารมณ์และบริหารจัดการความเครียดในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งในการพัฒนาศักยภาพตามโครงการดังกล่าว มีเนื้อหาการบรรยายเกี่ยวกับการให้บริการ การแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจ จิตวิทยาการติดต่อสื่อสาร เทคนิคการเจรจาต่อรองและ การโน้มน้าวใจในภาวะวิกฤตทางสุขภาพจิต การปฏิบัติตนเพื่อเตรียมรับมือกับความเครียด ความซึมเศร้าของตนเองและกับการรับเรื่องร้องเรียน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากร รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 328
ในสายงานสอบสวนของส�านักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน จ�านวน 16 คน และได้ด�าเนินการ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ณ ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และการศึกษาดูงาน ณ สายด่วน 191 ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ 1.2 โครงการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 บุคลากรถือว่าเป็นส่วนส�าคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย ที่ก�าหนด ดังนั้น การวางรากฐานให้บุคลากรมีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จ�าเป็น ต่อการขับเคลื่อนองค์กรจึงเป็นสิ่งที่ส�าคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรที่บรรจุใหม่ ซึ่งเป็น บุคลากรที่ส�าคัญยิ่งต่ออนาคตขององค์กร ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้จัดโครงการ ปฐมนิเทศพนักงานใหม่ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขึ้น เพื่อให้บุคลากรที่บรรจุใหม่มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของผู้ตรวจการ แผ่นดิน วิสัยทัศน์ ภารกิจของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และทราบถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ ของตนเอง ขอบเขตงานของแต่ละส่วนงาน ระเบียบ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อเป็น แนวทางการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมถึงเพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับค่านิยมองค์กร คุณธรรม จริยธรรม และทัศนคติที่ดีในการเป็นส่วนหนึ่งของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งในการพัฒนาศักยภาพตามโครงการดังกล่าว มีเนื้อหาการบรรยายเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ภารกิจ และระเบียบของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เทคนิคการเขียนหนังสือราชการ และ เสริมสร้างแนวคิดธรรมาภิบาลและต่อต้านการทุจริต ที่มีความจ�าเป็นในการด�าเนินงาน ให้ส�าเร็จลุล่วง และความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล โดยมีกลุ่มเป้าหมาย เป็นบุคลากรที่บรรจุใหม่ จ�านวน 28 คน และได้ด�าเนินการระหว่างเดือนมกราคมถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการอบรมออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings ผู้ตรวจการแผ่นดิน 329
1.3 โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล” ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคม ประกอบกับการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่ท�าให้หน่วยงานภาครัฐและเจ้าหน้าที่ ของรัฐต้องมีการปรับตัว ในการน�าเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานและ ในการให้บริการแก่ประชาชน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตระหนักถึงความส�าคัญ ดังกล่าว จึงได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หลักสูตร “การพัฒนาทักษะเพื่อเปลี่ยนผ่าน สู่องค์กรดิจิทัล” ขึ้น เพื่อให้บุคลากรสามารถน�าเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับการปฏิบัติงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยเพื่อรักษาความมั่นคงด้านข้อมูล เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการท�างานและการให้บริการแก่ประชาชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่บุคลากรในการก้าวสู่การพัฒนาบริการดิจิทัล (Government Digital Service) และวิธีการท�างานในยุคของความปกติใหม่ (New Normal) รวมถึง เพื่อให้บุคลากรมีทักษะและสามารถน�าเสนอผลงานอย่างมืออาชีพ ซึ่งในการพัฒนาศักยภาพ ตามโครงการดังกล่าว มีเนื้อหาการบรรยายเกี่ยวกับการจัดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Data) การเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และการบริหารจัดการกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Transformation in Government) โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรของส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน จ�านวน 292 คน ด�าเนินการระหว่างวันที่ 17 - 23 กันยายน 2564 เป็นการอบรมออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 330
หลักสูตร/ประชุม ผู้เข้าอบรม (คน) หลักสูตรนักบริหารระดับสูง (4 หลักสูตร จ�านวน 4 คน) 1. หลักสูตร “การบริหารงานยุติธรรมระดับสูง” (ยธส.) 1 2. หลักสูตร “การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยส�าหรับนักบริหารระดับสูง” (ปปร.) 1 3. หลักสูตร “นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง” (นยปส.) 1 4. หลักสูตร “วิทยาการจัดการส�าหรับนักบริหารระดับสูง” (วบส.) 1 หลักสูตรนักบริหารระดับกลาง (3 หลักสูตร จ�านวน 4 คน) 1. หลักสูตร “การบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง” (ยธก.) 1 2. หลักสูตร “จิตวิทยาความมั่นคง” (สจว.) 2 3. หลักสูตร “นักบริหารการงบประมาณระดับกลาง” (นงก.) 1 หลักสูตรประกาศนียบัตร (6 หลักสูตร จ�านวน 10 คน) 1. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข” (4 ส) 1 2. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน” (ปรม.) 1 3. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนส�าหรับนักบริหารระดับสูง” (ปสม.) 1 4. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี” 1 5. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดับกลาง” 4 6. หลักสูตร “ประกาศนียบัตรกฎหมายมหาชน” 2 หลักสูตรตามสายงาน (12 หลักสูตร จ�านวน 17 คน) 1. หลักสูตร “กลยุทธ์สร้างพลังสื่อสารภาครัฐในยุคดิจิทัล” 2 2. หลักสูตร “การตรวจสอบภายในกับการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร” 2 3. หลักสูตร “กฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง” 1 4. หลักสูตร “กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ (STRATEGIC PR MANAGEMENT)” 1 5. หลักสูตร “การจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ และการบันทึกข้อมูลในระบบ E-GP ส�าหรับพัสดุมือใหม่” 1 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 331
หลักสูตร/ประชุม ผู้เข้าอบรม (คน) 6. หลักสูตร “การเสริมสร้างสมรรถนะด้านการเงินการคลังภาครัฐ” 1 7. หลักสูตร “การเสริมสร้างสมรรถนะด้านการเงินการคลังภาครัฐ ส�าหรับหัวหน้างาน” 1 8. หลักสูตร “การแปลเอกสารกฎหมาย” 3 9. หลักสูตร “ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเศรษฐกิจการเมืองโลก” 1 10. หลักสูตร “การป้องกันอาชญากรรมกับการอ�านวยความยุติธรรมในสังคม (Crime Prevention)” 2 11. หลักสูตร “การตรวจสอบภายในกับการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร” 1 12. หลักสูตร “การพลิกโฉมนักวิเคราะห์นโยบายและแผนเพื่อองค์กรสมัยใหม่” 1 โครงการประชุมสัมมนา (6 หลักสูตร จ�านวน 24 คน) 1. การสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ภารกิจถูกต้องโปร่งใส รอบรู้วินัยการเงินการคลัง 2 2. การอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรศักยภาพใหม่ ผู้น�าแบบอไจล์ 4 3. การอบรมสัมมนาวิชาการด้านบริหารงานภาครัฐโครงการ eGovernment Forum 2021 1 4. การอบรมสัมมนาวิชาการด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โครงการ AI & IOT Summit 2021 2 5. โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) 11 6. การอบรมสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “Seminar on Anti-Corruption for Belt and Road Countries” 4 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 332
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 333
- ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ในการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 334
3.1 ด้านการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน ในการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนตามภารกิจของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน นั้น ปัจจัยที่ส�าคัญคือ ความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐที่จะให้ข้อมูล และชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งเป็นผู้ด�าเนินการแก้ไขความเดือดร้อนให้กับประชาชนตาม ที่มีการร้องเรียนในแต่ละเรื่อง แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังพบว่าหน่วยงานของรัฐ บางส่วนไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร ซึ่งแม้ว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดิน พุทธศักราช 2560 จะมีบทบัญญัติที่ก�าหนดโทษส�าหรับเจ้าหน้าที่ ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่ไม่ให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีแนวทางในการด�าเนินภารกิจในลักษณะกัลยาณมิตร รวมทั้ง การใช้กระบวนการในการลงพื้นที่และ / หรือจัดประชุมเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลและข้อเท็จจริง ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. ขอให้คณะรัฐมนตรีได้ก�าชับให้หน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การก�ากับดูแล ทุกหน่วยงานให้ความส�าคัญในการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ ประสานงาน รวมทั้งการพิจารณาในการน�าข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไปด�าเนินการ พร้อมทั้งมีการรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและรายงานผลการปฏิบัติตาม ข้อเสนอแนะให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายก�าหนด 2. ขอให้คณะรัฐมนตรีและองค์กรอิสระทุกหน่วยงานสนับสนุนให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานของรัฐผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศ เพื่อน�ามาใช้ประกอบการพิจารณาด�าเนินการเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 335
3.2 ด้านอัตราก�าลังของเจ้าหน้าที่สอบสวน จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ซึ่งได้ก�าหนดให้ผู้ตรวจการ แผ่นดินมีหน้าที่และอ�านาจในการเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มี การปรับปรุง กฎหมาย กฎ ค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรมและเป็นภาระแก่ประชาชน เสนอแนะให้หน่วยงานของรัฐขจัด หรือ ระงับความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรม รวมไปถึงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึง การที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ และการเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลเพื่อพิจารณาวินิจฉัย กรณีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กรณี กฎ ค�าสั่งหรือการกระท�าอื่นใดมีปัญหา เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ซึ่งจากหน้าที่และอ�านาจข้างต้นจะเห็นได้ว่า มีภารกิจที่เพิ่มขึ้นในหลายประการ และในการปฏิบัติหน้าที่ต้องใช้องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในการพิจารณาและแสวงหาข้อเท็จจริงในหลายด้าน รวมถึงจ�าเป็นต้องมีก�าลังคนที่เหมาะสม ในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก�าลังคนในด้านงานสอบสวนและนิติการ ซึ่งถือว่า เป็นสายงานหลักที่มีส่วนส�าคัญในการขับเคลื่อนหน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและอ�านวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยที่ผ่านมา ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ความส�าคัญในเรื่องของก�าลังคนด้านงานสอบสวนและ นิติการ และการบริหารอัตราก�าลังคนภายใต้ข้อจ�ากัดของอัตราก�าลังคนที่มีอยู่ เนื่องจาก ก�าลังคนด้านงานสอบสวนและนิติการถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ อาทิ การยุติเรื่องร้องเรียนได้เพิ่มมากขึ้น การมีศักยภาพที่จะรองรับเรื่องร้องเรียนที่มีปริมาณ เพิ่มขึ้น จากข้อมูลสถิติผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียนระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีเรื่องร้องเรียน ที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ คิดเป็นร้อยละ 62.11 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีเรื่อง ร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ คิดเป็นร้อยละ 54.97 ซึ่งจากผลการด�าเนินการเรื่องร้องเรียน ดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามีอัตราร้อยละเรื่องร้องเรียนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จลดลง โดยอาจมี รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 336
เหตุผลประการหนึ่งมาจากจ�านวนบุคลากรในสายงานสอบสวนและนิติการที่มีจ�านวนลดลง เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีจ�านวนบุคลากร ในสายงานสอบสวนและนิติการ จ�านวน 136 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจ�านวนบุคลากรในสายงานสอบสวนและนิติการ จ�านวน 132 คน โดยเฉลี่ยเจ้าหน้าที่ 1 คน จะต้องรับผิดชอบเรื่องร้องเรียนคนละ 23 เรื่อง นอกจากนี้ ยังพบว่ายังคงมีเรื่องร้องเรียน ที่ไม่สามารถยุติได้ภายในปีงบประมาณ ซึ่งก็อาจมีผลมาจากการมีสัดส่วนของบุคลากร ด้านงานสอบสวนและนิติการที่ยังไม่เพียงพอต่อปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยจาก เรื่องร้องเรียน เช่น ความยากง่ายและความซับซ้อนของเรื่องร้องเรียน เรื่องร้องเรียนที่ต้อง มีการแก้ไขในเชิงระบบและเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ มีผลต่อระยะเวลาในการยุติเรื่องร้องเรียนด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบริหาร อัตราก�าลังและแก้ไขสภาพปัญหาดังกล่าว ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้ด�าเนินการ จัดจ้างลูกจ้างเหมาบริการเพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรในสายงานสอบสวน และนิติการ ตลอดจนด�าเนินการวิเคราะห์ภาระงานเพื่อขอรับการสนับสนุนอัตราก�าลัง เพิ่มเติมต่อไป 3.3 ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส่งผลให้ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ การท�างานให้สอดรับกับแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว โดยสามารถ วิเคราะห์รูปแบบการด�าเนินงาน / ผลกระทบภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวผ่านกรอบแนวทาง การบริหารความเสี่ยงตามแนวทาง COSO-ERM ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 337
- ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) 1.1 ด้านนโยบายการปฏิบัติงาน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจ�าเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายและ รูปแบบการด�าเนินงานการปฏิบัติงานโดยมีสาระส�าคัญ คือ การก�าหนดให้ผู้บริหาร และ พนักงานปฏิบัติงานที่พักอาศัย (Work From Home) ตลอดจนการปรับเปลี่ยนรูปแบบ การท�างานผ่านช่องทางดิจิทัล (Virtual Platform) มากขึ้น การจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการแต่งตั้งคณะท�างาน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน มีอ�านาจหน้าที่ศึกษาค้นคว้า รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพิจารณา กลั่นกรอง และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่ง ผลกระทบต่อการด�าเนินชีวิต การปฏิบัติงานและการด�าเนินงานของบุคลากรภายใน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีการประกาศแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการด�าเนินงาน ด้านการจัดการ COVID – 19 เพื่อถือปฏิบัติ ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 338
- ด้านการให้บริการประชาชน (การรับเรื่องร้องเรียน) จ�านวน 1 ฉบับ - ประกาศผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่อง แนวปฏิบัติส�าหรับเจ้าหน้าที่ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในการให้ค�าปรึกษา การแจ้ง การร้องเรียน ตามมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาด COVID – 19 ลงวันที่ 7 มกราคม 2564 2) ด้านดิจิทัล จ�านวน 1 ฉบับ - ประกาศส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องแนวทางการปฏิบัติ งานด้านดิจิทัลของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สถานการณ์ COVID – 19) ลงวันที่ 5 มกราคม 2564 3) ด้านการบริหารภายในองค์กร จ�านวน 14 ฉบับ ประกอบด้วย 3.1) มาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระยะที่ 2 3.2) ประกาศส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่อง มาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) จ�านวน 13 ฉบับ 1.2 ด้านแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีนโยบายให้ส�านักต่าง ๆ ได้มีการทบทวน และปรับแผนการด�าเนินงาน เนื่องจากในหลายกิจกรรม / โครงการไม่สามารถด�าเนินการ ได้ภายใต้สถานการณ์การระบาดของ COVID - 19 โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งต้องค�านึงถึงเป้าหมายการด�าเนินงาน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานฯ การจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรับรูปแบบการด�าเนินงาน อาทิ การด�าเนินงานผ่านวิธีการออนไลน์ (Virtual Platform) และมีการน�าเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ สนับสนุนการด�าเนินงานในสถานการณ์การระบาดของ COVID – 19 ได้แก่ การปรับปรุง ระบบบันทึกเสียงสนทนาของเจ้าหน้าที่ Contact Center 1676 เพื่อเป็นการอ�านวย ผู้ตรวจการแผ่นดิน 339
ความสะดวกแก่ประชาชนนอกเวลาท�าการ โดยผู้ร้องเรียนสามารถรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับ หน้าที่และอ�านาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน และสามารถฝากข้อความเสียงเพื่อขอค�าปรึกษา ในการยื่นเรื่องร้องเรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) 2.1 ด้านการรับเรื่องร้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ส�าหรับประชาชนที่ต้องการมายื่นเรื่องร้องเรียน ณ ที่ท�าการส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินด้วยตนเอง (Walk-In) พบว่า เรื่องร้องเรียนที่ยื่นด้วยตนเองมีจ�านวน ลดลงจากไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีงบประมาณ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และนโยบายของรัฐบาล / ศบค. ที่ขอให้ประชาชนงดเว้น การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ พัฒนาช่องทางออนไลน์ เพื่ออ�านวยความสะดวกในการบริการประชาชน รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 340
การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินยังคงเปิดให้ประชาชนยื่นเรื่องร้องเรียน ณ ที่ท�าการส�านักงานฯ โดยด�าเนินการตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิให้กับประชาชนที่เดินทาง มายื่นเรื่องร้องเรียน การจัดให้มีแอลกอฮอลล์เจล 70% ส�าหรับท�าความสะอาดมือไว้บริการ ตามจุดต่าง ๆ นอกจากนี้ในห้องรับเรื่องร้องเรียนจะมีฉากอะคริลิกกั้นระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้รับ เรื่องร้องเรียนกับประชาชน เพื่อเป็นการรักษาระยะห่าง (Social distancing) ระหว่าง เจ้าหน้าที่กับประชาชน ทั้งนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการจัดให้มีการอบโอโซน เพื่อท�าความสะอาดบริเวณที่รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนและพื้นที่ปฏิบัติงานของ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในส่วนงานต่าง ๆ อย่างสม�่าเสมอ 2.2 ด้านการรับเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางดิจิทัล จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งถือเป็นระลอกที่ 3 ของการระบาดโรคดังกล่าว ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้เตรียมความพร้อมรองรับการรับเรื่องร้องเรียนจาก ประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงบริการของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดยก�าหนดช่องทางในการเข้าถึงส�านักงานฯ ดังนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 341
การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้บริหารจัดการการรับเรื่องร้องเรียน โดยการประชาสัมพันธ์ช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ การจัดท�า Infographic ช่องทางการติดต่อส�านักงานฯ เว็บไซต์ส�านักงานฯ และ Facebook ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยการร้องเรียนผ่านช่องทางดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงไปยังระบบ รับเรื่องร้องเรียนของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และช่องทางอื่น ๆ ถือเป็นช่องทาง ที่สามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และกิจกรรมต่าง ๆ ของส�านักงานฯ ตลอดจนมีระบบ ตอบค�าถามอัตโนมัติ ตลอดจนสามารถสื่อสารสองทางระหว่างประชาชนกับส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา ผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 – 4 เมื่อเปรียบเทียบจากไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการขอใช้บริการจากหน่วยงาน ภาครัฐผ่านช่องทางออนไลน์ / Call Center มากยิ่งขึ้น รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 342
นอกจากนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีแนวโน้มสถิติการให้ค�าปรึกษา และแนะน�าผ่านสายด่วน 1676 ที่สูงขึ้นตามล�าดับดังนี้ 2.3 การจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ท�าให้ไม่สามารถด�าเนินการจัดประชุมได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามแนวทางที่ ศบค. ก�าหนด ตลอดจนการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล (Social Distancing) ดังนั้น ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีการจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศผ่านช่องทางดิจิทัล หมายเหตุ: ที่มาจากเว็บไซต์สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินศึกษา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 343
การบริหารจัดการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้น�าระบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ในการด�าเนินงานแทนการด�าเนินกิจกรรมลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ผ่าน โปรแกรมต่าง ๆ อาทิ ระบบ Webinar และ Zoom Meeting โดยมีผลการด�าเนินงาน ดังนี้ 1) การเข้าร่วมประชุมฝ่ายบริหารสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่าง ประเทศ (IOI Ex-Com Meeting) และการประชุมคณะกรรมการฝ่ายบริหารสถาบัน ผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Board Meeting) รวมถึงการประชุมกลุ่มภูมิภาค เอเชียของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (IOI Asian Region Meeting) ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนพฤษภาคม 2564 2) การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสามัญของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน ระหว่างประเทศ (Meeting of the IOI General Assembly) ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามบทบาทของประธานผู้ตรวจการแผ่นดินในฐานะเหรัญญิกของ IOI เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 3) การประชุมคณะกรรมการสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดิน (IOI Board of Directors) และการเข้าร่วมการประชุม IOI World Conference ผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 4) การเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “Giving Voice to the Voiceless” การให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสเอเชียแปซิฟิก ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 5) การประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ให้แก่ประชาชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ผ่านระบบ Zoom Meeting รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 344
-
การประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้ ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการศึกษา เรื่องร้องเรียนเชิงระบบ และการจัดท�าข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่ หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ 7) การจัดอบรมเจ้าหน้าที่ภายในส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แก่ โครงการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ และหลักสูตรการพัฒนาทักษะเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร ดิจิทัล รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 เป็นต้น 8) การคัดเลือกเพื่อเลื่อนขั้นแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งผู้อ�านวยการ ระดับสูง และผู้อ�านวยการระดับต้นในภารกิจการแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน และ ด้านสนับสนุนการบริหารจัดการผ่านระบบ Zoom Meeting 9) นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และ รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มอบกรอบแนวคิด การพัฒนาองค์กรต่อส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2565 – 2570 เพื่อรับมอบ กรอบแนวความคิดต่อการพัฒนางานขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2565 – 2570 จากประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดิน ในลักษณะของกิจกรรมรับฟังและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการพัฒนางานขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2565 – 2570 ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนางานของ องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2565 – 2570 ระหว่างองค์อ�านาจ ผู้บริหาร และ เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ในวันที่ 16 – 17 สิงหาคม 2564 ในรูปแบบของการจัดประชุม ออนไลน์จ�าแนกตามส�านักต่าง ๆ ผ่านระบบ Zoom Meetings 2.4 การปรับเปลี่ยนรูปแบบการด�าเนินโครงการให้เป็นในรูปแบบดิจิทัล มากยิ่งขึ้น ดังนี้ 1) กิจกรรมการด�าเนินโครงการผู้ตรวจการแผ่นดินสัญจรพบ ประชาชน ในรูปแบบ Hybrid Learning กลุ่มเป้าหมาย: หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน ของจังหวัดสุรินทร์ พระนครศรีอยุธยา และระยอง ผู้ตรวจการแผ่นดิน 345
-
โครงการพัฒนาการจัดการองค์ความรู้ของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน (Knowledge Management: KM) เนื่องจากไม่สามารถจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ในมิติของความรู้แฝง (Tacit Knowledge) จึงได้ปรับเปลี่ยน การด�าเนินการเป็นการพัฒนาปรับปรุงคลังความรู้ (KM) โดยน�าเข้าข้อมูลต่าง ๆ ทั้งอดีต จนถึงปัจจุบัน ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการข้อมูลซึ่งเป็น การด�าเนินการจัดการความรู้ในมิติของความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ตลอดจน การเผยแพร่และน�าเข้าข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลผ่านเว็บไซต์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและ เว็บไซต์สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินศึกษา 2.5 การรับส่งเอกสารระหว่างหน่วยงานและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อเป็นการอ�านวยความสะดวกและปรับเปลี่ยนวิถีการ ด�าเนินงานให้สอดรับกับสถานการณ์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ด�าเนินการ ดังนี้ 1) ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการปรับชื่อไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ จากเดิม Center@ombudsman.go.th เป็น saraban@ombudsman.go.th เพื่อให้เป็น ไปตามแนวทางที่ก�าหนดโดยส�านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2) การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของส�านักงานฯ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการสื่อสารกับประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้รับบริการอย่างต่อเนื่องผ่านเว็บไซต์ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (www.ombudsman.go.th) และช่องทาง Social Medias ได้แก่ Facebook ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ Line Official อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามแนวทาง ที่ก�าหนดโดย ศบค. ในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยมุ่งเน้นที่ การติดต่อผ่านช่องทางดิจิทัล รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 346
2.6 การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม “ถึงห่าง แต่ยังห่วง ปี 2” ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินสร้างความห่วงใยต้านภัยโควิด – 19 ผ่านมูลนิธิไทยพีบีเอส โดยมีการส่งมอบหน้ากากอนามัยแบบผ้า และสเปรย์แอลกอฮอลล์ พร้อมสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ขาดแคลนในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งเป็น การบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมกับการประชาสัมพันธ์หน่วยงาน เพื่อสร้าง ภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร 2.7 แนวทางปฏิบัติเพื่อการบริหารจัดการและดูแลเจ้าหน้าที่ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 COVID – 19 1) ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีประกาศคณะกรรมการสวัสดิการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่อง หลักเกณฑ์และมาตรการช่วยเหลือพนักงานและลูกจ้าง ของส�านักงานที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ลงวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยมีสาระส�าคัญอยู่ที่การก�าหนดมาตรการช่วยเหลือพนักงาน/ลูกจ้างของส�านักงาน ได้แก่ การก�าหนดอัตราค่าของเยี่ยมไข้ เงินสมทบค่ารักษาพยาบาล และเงินช่วยเหลือการด�ารงชีวิต ระหว่างการรักษาพยาบาล 2) ก�าหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อการบริหารจัดการและดูแลเจ้าหน้าที่ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และเผยแพร่ ข้อมูลผ่าน MS Outlook อย่างต่อเนื่อง 3. ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) การวิเคราะห์ผลกระทบความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) ในมิติของ หน่วยงานภาครัฐ หมายถึง การเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบ เศรษฐกิจ เมื่อพิจารณาผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พบว่า ผลการเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 347
การบริหารจัดการ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูง ได้ส่งผลกระทบรุนแรงมากในทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในระดับ นานาชาติ และระดับมหภาค และเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ (Out of Control) ดังนั้น การเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ภายใต้ สถานการณ์ดังกล่าว ท�าให้ส�านักงานฯ ไม่สามารถด�าเนินงานในบางกิจกรรม / โครงการ แต่ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการด�าเนินงานในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้สามารถด�าเนินการได้บรรลุตามเป้าหมายที่ก�าหนด ซึ่งการด�าเนินงานในรูปแบบ ดังกล่าวเป็นลักษณะค่าใช้จ่ายประจ�าของหน่วยงาน จึงเป็นปัจจัยที่ท�าให้ไม่สามารถเบิกจ่าย ได้ตามเป้าหมายที่ก�าหนด 4. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Risk) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ท�าให้หน่วยงานภาครัฐจ�าเป็นต้องปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานให้สอดรับกับสถานการณ์ (New Normal) ดังนั้นจึงจ�าเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อรองรับต่อผลกระทบของ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) อาทิ การปรับ รูปแบบการลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง รูปแบบการประชุม อบรม สัมมนาผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น การบริหารจัดการ จากสถานการณ์ดังกล่าว ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้ประกาศใช้ระเบียบ ผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 และมีผลบังคับใช้วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยมีสาระส�าคัญคือ การประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งภายในและประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาสามารถด�าเนินการได้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 348
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 349
บทที่ ผลการด�าเนินการตามข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน 351
ตามที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะผู้บริหารส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เข้าร่วมแถลงหรือชี้แจงรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปี 2563 ต่อสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 และเข้าร่วมแถลงหรือชี้แจงรายงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปี 2563 ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564 และที่ประชุมวุฒิสภาได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการด�าเนินงาน ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในมิติต่าง ๆ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้สรุปผล การด�าเนินงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมรัฐสภา ดังนี้ 1. ด้านการด�าเนินการเรื่องร้องเรียน 1.1 เรื่องมาตรการความปลอดภัยทางน�้า จากข้อสังเกตของสมาชิกวุฒิสภา เรื่อง เรือโดยสารฟินิกซ์ ไดร์วิง อัปปาง เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวภูเก็ต รวมถึง ภาพรวมทั้งประเทศ ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาถึงความส�าคัญในเรื่องความปลอดภัยทางน�้า และได้หยิบยกเรื่องความปลอดภัยทางน�้าและการด�าเนินงานของศูนย์การแพทย์เขาหลัก จังหวัดพังงา และโครงการจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล (Andaman Hub Medical Network) โดยใช้อ�านาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ให้ด�าเนินการเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยทางน�้า ตลอดจนมาตรการในการป้องกันอุบัติภัยทางน�้าของภาครัฐ ต่อมาผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับ เรื่องร้องเรียนเพื่อให้พิจารณาเสนอแนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นเกี่ยวกับการติดตั้ง เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator : AED) บริเวณ ท่าเรือ ในเรือโดยสาร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการจ�านวนมาก ประกอบกับการให้ความส�าคัญในการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้นให้กลับมา หายใจ (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) เป็นการเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต ของผู้ที่ประสบสภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 353
เมื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว จึงทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า จังหวัดพังงา มีการจัดตั้งศูนย์การแพทย์เขาหลัก และโครงการจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล (Andaman Hub Medical Network) โดยเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา มาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน รวมถึงการสร้างความมั่นใจ แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน ซึ่งแนวคิดในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เขาหลัก ต�าบลคึกคัก อ�าเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงานี้ เป็นความร่วมมือของจังหวัดพังงา ส�านักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงา ฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 พร้อมทั้งหน่วยงาน ภาครัฐและภาคเอกชน โดยเป็นตัวอย่างของโครงการที่มีการด�าเนินการแล้ว แต่อาจจะ ยังมีข้อขัดข้องบางประการและที่ผ่านมาการบริการด้านสาธารณสุขในจังหวัดพังงา ยังคงมีข้อจ�ากัดอยู่ จึงต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อน�าไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็น รูปธรรมต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมพัฒนาให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทางทะเลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงพิจารณาและด�าเนินการแก้ไข ปัญหาในประเด็นดังกล่าว โดยได้มีการลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีค�าวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ดังนี้ 1. ความส�าคัญของอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานหรือเครื่องกระตุกหัวใจ ไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) มีข้อเสนอแนะให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมเจ้าท่า กรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และจังหวัด สุราษฎร์ธานี พิจารณาด�าเนินการติดตั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) โดยเริ่มต้น จากสถานที่ที่มีประชาชนอยู่ร่วมกันและใช้บริการเป็นจ�านวนมากซึ่งควรติดตั้งในจุดที่ ประชาชนสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งการจัดให้มีโครงการอบรมประชาชน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความจ�าเป็นของการปฐมพยาบาล ช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้นให้กลับมาหายใจ (CPR) ควบคู่กับการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า อัตโนมัติ (AED) ประกอบกับการใช้สื่อการเรียนรู้ให้ประชาชนรับทราบด้วย รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 354
- กรณีแนวทางการด�าเนินการของศูนย์การแพทย์เขาหลัก และโครงการ จัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล (Andaman Hub Medical Network) มีข้อเสนอแนะให้จังหวัดพังงาโดยส�านักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาด�าเนินการร่วมกัน ดังนี้ 2.1 ด�าเนินการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล รวมถึงต้องมีการจัดท�าแผนหารายได้ เพื่อให้ภาคเอกชน เข้ามา มีส่วนร่วมและเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนด้วย 2.2 ก�าหนดภารกิจให้ศูนย์การแพทย์เขาหลักเป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยทางทะเล และด�าเนินการด้านการฝึกอบรมให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง กับงานบริการด้านการท่องเที่ยวและประชาชนที่สนใจ ในการช่วยเหลือผู้ที่หัวใจหยุดเต้น ให้กลับมาหายใจ (CPR) และการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า อัตโนมัติ (AED) ได้ 2.3 การจัดท�าแผนแม่บท (Master Plan) ในการบริหารจัดสรรงบประมาณ และการจัดหาแหล่งรายได้อื่น ๆ เพื่อมาสนับสนุนการท�างานของศูนย์การแพทย์เขาหลัก 2.4 การพัฒนา “โครงการศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางทะเล” โดยให้มีการจัดตั้งเป็นการถาวร ภายใต้ชื่อ “โครงการศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล อันดามัน” เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและอ�านาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริการทางการแพทย์ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินทางทะเลในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน โดยประสานความร่วมมือ กับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มูลนิธิ และเครือข่ายภาคเอกชน 2.5 จังหวัดพังงาควรหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการบริหารจัดการ เรือพยาบาล รวมถึงการซ่อมบ�ารุง และการจัดหาเจ้าหน้าที่ประจ�าเรือ โดยจังหวัดพังงาต้องมอบหมายภารกิจและเรือพยาบาลให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด พังงา เพื่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่ศูนย์การแพทย์ เขาหลักบริหารจัดการภารกิจที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 355
1.2 เรื่อง ปัญหาทะเลสาบสงขลา ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ ประเด็นเรื่อง ปัญหาตะกอนและความตื้นเขิน ของทะเลสาบสงขลา สาเหตุส�าคัญมาจากเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ได้แก่ โพงพาง ไซนั่ง ซึ่งมีจ�านวนมากกีดขวางทางน�้า ท�าให้ไม่สามารถเดินเรือได้ ไม่สามารถขุดลอกร่องน�้าได้ เกิดปัญหาตื้นเขินและน�้าที่ปล่อยไว้อาจเน่าเสียได้ จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินช่วยก�ากับ ดูแลเพิ่มเติมจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และการคมนาคมในพื้นที่เป็นอย่างมาก และหากสามารถแก้ไขปัญหาทะเลสาบสงขลาได้ ก็สามารถน�า Model นี้ไปใช้กับพื้นที่อื่น ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันได้ การด�าเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าในการ แก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาจารย์จากมหาวิทยาลัย ทักษิณ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางวิชาการด้าน การจัดการสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟู และได้ด�าเนินการประชุมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา ความเสื่อมโทรมของ “ทะเลสาบสงขลา” โดยมีประเด็นการหารือ ประกอบด้วย 1) ปัญหา การตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา 2) ปัญหาการจัดการน�้าเสียในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา และ 3) ปัญหาการขาดแคลนน�้า ในส่วนของเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของ ปัญหาตะกอนและการตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ซึ่งกรมประมงอยู่ระหว่างการจัดท�า แผนงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเครื่องมือประมง จากการประชุมหารือดังกล่าว ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ให้ข้อคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการด�าเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน โดยสรุปว่า 1) ให้แสวงหาข้อเท็จจริงหรือหารือกับส�านักงานทรัพยากรน�้าแห่งชาติ (สทนช.) ในประเด็นเรื่องงบประมาณตามแผนหลักและแผนปฏิบัติการการบริหารจัดการ ทรัพยากรน�้าลุ่มน�้าทะเลสาบสงขลา รวมถึงวิเคราะห์แผนหลักและแผนปฏิบัติการ การบริหารจัดการทรัพยากรน�้าลุ่มน�้าทะเลสาบสงขลา ของ สทนช. รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 356
-
จัดท�าสรุปข้อมูลทางวิชาการที่ได้หารือไว้กับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณและมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา 3) ให้จัดท�าปฏิทินการด�าเนินงานแก้ไขปัญหา “ความเสื่อมโทรมของ ทะเลสาบสงขลา” 4) ให้ศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับองค์กรการบริหารจัดการ และ การพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาทะเลสาบสงขลา 5) ให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามาด�าเนินการขุดลอก ในลักษณะสัญญาต่างตอบแทน เพื่อเป็นการลดการใช้งบประมาณแผ่นดินและสามารถ น�าดินจากการขุดลอกไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งปัจจุบันได้น�าแนวทางดังกล่าวไปใช้ในการ ขุดลอกร่องน�้าปากแม่น�้าปัตตานีเพื่อแก้ไขปัญหาการตื้นเขินของแม่น�้าปัตตานี และหาก สามารถด�าเนินการได้โดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วจะได้น�ามา ปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาการตื้นเขินของทะเลสาบสงขลาต่อไป 6) ให้ศึกษาความเป็นไปได้ที่จะให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วม ในการด�าเนินการขุดลอกทะเลสาบสงขลา ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับกรณีการแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรม ของทะเลสาบ (เพิ่มเติม) โดยสรุป ดังนี้ 1) ขอให้จัดเตรียมข้อมูลสรุปเกี่ยวกับพื้นที่ทะเลสาบสงขลา 2) สรุปสภาพปัญหาความเสื่อมโทรมของทะเลสาบสงขลาที่ส�าคัญเร่งด่วน 3 ด้าน (ตื้นเขิน น�้าเสีย และขาดแคลนน�้า) 3) สรุปแผนแม่บท แผนหลัก และแผนปฏิบัติการ ของ สทนช. ในการแก้ไข ปัญหาความเสื่อมโทรมของทะเลสาบสงขลา ทั้ง 3 ด้าน (ตื้นเขิน น�้าเสีย และขาดแคลนน�้า) 4) สรุปบทบาท ภารกิจ และแผนงานของ อบจ. (พัทลุง สงขลา) ที่เกี่ยวข้อง กับปัญหาในแต่ละด้าน (ตื้นเขิน น�้าเสีย และขาดแคลนน�้า) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 357
-
จัดท�ากรอบการประชุมหารือการแก้ไขปัญหาการความเสื่อมโทรม ของ ทะเลสาบสงขลา (ปัญหาการตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา) ร่วมกับหน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา 1.3 เรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินช่วยด�าเนินการแก้ไขปัญหา ซึ่งเรื่องนี้เป็นกฎระเบียบ ข้อตกลงระดับนานาชาติ เพื่อบังคับใช้และเป็นแนวทางให้ประเทศ สมาชิกน�าไปปฏิบัติ ในฐานะประเทศไทยเป็นสมาชิก UN จ�าเป็นต้องออกกฎหมายให้สอดรับ กันด้วย และตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านมีแนวคิดที่จะ หารือในเวทีนานาชาติเพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไรบ้าง และได้ด�าเนินการอย่างไรบ้าง การด�าเนินการ ด้วยความปรากฏต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า การด�าเนินการ บังคับใช้กฎหมายประมง ได้แก่ พระราชก�าหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไข เพิ่มเติม รวมทั้งกฎระเบียบการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการท�าประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU) ซึ่งสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎระเบียบดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 และก�าหนดให้ประเทศที่จะส่งออกสินค้าประมงไปยังกลุ่มประเทศสมาชิก สหภาพยุโรปจะต้องจัดท�าระบบเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการท�าประมง IUU ได้ก่อให้เกิด ปัญหาและผลกระทบต่อชาวประมง หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีแผนงานรองรับในการ แก้ไขปัญหาให้กับชาวประมงจะส่งผลกระทบต่อการท�าประมงของประเทศไทย รวมถึง กิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการท�าประมง และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงหยิบยกประเด็นปัญหาดังกล่าวและแสวงหาข้อเท็จจริง หรือด�าเนินการอื่นใดด้วยความรอบคอบ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมนั้น หรือปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือ ค�าสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ ต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 358
ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนดังกล่าว เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและรับฟังปัญหาการท�าประมงจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ณ จังหวัดปัตตานี รวมทั้ง ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับปัญหาการท�าประมงสรุปได้ 7 ประเด็น ได้แก่ 1) ปัญหาวันท�าการประมง 2) ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน 3) ปัญหาการบังคับใช้ กฎหมายประมง 4) ปัญหาการน�าเรือประมงไทยที่ถูกผลักดันไปถือธงต่างประเทศท�าให้ ไม่สามารถน�าเรือกลับมาซ่อมในประเทศไทยได้ จ�านวน 120 ล�า 5) ปัญหาการซื้อเรือ ออกนอกระบบ 6) ปัญหาการขุดลอกร่องน�้าอ่าวปัตตานี และ 7) ปัญหาความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรทางทะเลที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการอนุรักษ์ อนุบาลพันธุ์สัตว์น�้า และการให้สินเชื่อแก่ชาวประมง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปี พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ยังสามารถลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อรับฟังปัญหาและประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับปัญหา การท�าประมงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการท�าประมง ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้หนังสือขอให้จังหวัดที่มีการท�าประมงจ�านวน 23 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการท�าประมง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนส�าหรับน�ามาศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและผลกระทบ ของการท�าประมง ในการนี้ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับการชี้แจงจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง จ�านวน 25 หน่วยงาน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลที่ได้รับจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและผลกระทบของการท�าประมง จัดกลุ่มลักษณะปัญหา เพื่อเป็นแนวทางในการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป ผู้ตรวจการแผ่นดิน 359
- ด้านการพัฒนาการปฏิบัติงานภายในองค์กร 2.1 ด้านการบริหารงบประมาณ ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ การเปรียบเทียบการบริหารงบประมาณของปีก่อนหน้า และปีที่รายงานที่มีการน�าเสนอแผนงานหมวดค่าใช้จ่ายใน 3 แผนงาน เป็นการเสนอให้เห็น เฉพาะตัวเลขงบประมาณเท่านั้นไม่ได้บ่งบอกข้อมูลส�าคัญอื่น ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์ ดังนั้น ควรมีการขยายความในส่วนของกิจกรรมรายย่อยหรือแผนปฏิบัติการที่จะแสดง ให้เห็นถึงความสอดคล้องของการด�าเนินการตามงบประมาณที่ได้รับด้วย การด�าเนินการ ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ด�าเนินการปรับปรุงตาม ข้อเสนอแนะ โดยปรากฏรายละเอียดในเล่มรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน้าที่ 38 ข้อ 3.5 งบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งนี้ ผู้ตรวจแผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ค�านึงถึงความคุ้มค่า และความประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ / แผนงาน ที่ก�าหนดไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดแก่ประชาชน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจ�าปี จ�านวน 320,886,100.00 บาท และน�ามาจัดสรรเพื่อจัดท�าแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยจ�าแนก ตามแผนงาน / และหมวดค่าใช้จ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการด�าเนินงาน / โครงการ /กิจกรรม ตามภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดิน รายละเอียด ดังนี้ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 360
2.2 ด้านความเชื่อมโยงความสอดคล้องกับการด�าเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน กับแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทย่อย และแผนปฏิรูปประเทศ ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ ควรแสดงให้เห็นว่าองค์กรจะต้องขับเคลื่อนหรือ ให้ความส�าคัญในเรื่องใด รวมทั้งความคืบหน้าของการด�าเนินงานตามแผนปฏิบัติการและ ต้องด�าเนินการให้ส�าเร็จเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่สูงขึ้นในระดับยุทธศาสตร์ชาติ แผนงาน / หมวดค่าใช้จ่าย งบประมาณได้รับจัดสรร 1. แผนงานบุคลากรภาครัฐ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหาร จัดการภาครัฐ 239,300,200.00 ค่าใช้จ่ายบุคลากร ประกอบด้วย เงินเดือน / เงินประจ�าต�าแหน่ง / ค่าตอบแทนรายเดือน / เงินเพิ่มค่าครองชีพ / ค่าตอบแทนพิเศษ 221,501,300.00 ค่าใช้จ่ายด�าเนินงาน ประกอบด้วย เงินเดือนเต็มขั้น / ค่าตอบแทนผู้มาช่วยปฏิบัติงาน / เงินสมทบกองทุนส�ารองเลี้ยงชีพ / เงินส�ารองจ่ายบ�าเหน็จ / เงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร / เงินประกันสุขภาพ / ค่ารักษาพยาบาล 17,798,900.00 2. แผนงานพื้นฐาน ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหาร จัดการภาครัฐ 78,171,700.00 ค่าใช้จ่ายด�าเนินงาน (ส�าหรับด�าเนินงาน / โครงการ / กิจกรรม) 73,725,500.00 ค่าใช้จ่ายลงทุน (รายการครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์) 4,446,200.00 3. แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 3,414,200.00 ค่าใช้จ่ายด�าเนินงาน (โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อต่อต้านการทุจริต (พระยาบันลือต�าบลคุณธรรม)) 3,414,200.00 รวมทั้งสิ้น 320,886,100.00 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 361
การด�าเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การด�าเนินงานของผู้ตรวจการ แผ่นดินและส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ก�าหนดกรอบทิศทางการปฏิบัติงาน โดยให้ ความส�าคัญกับความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายละเอียดปรากฏตามแผนภาพที่ 1 จากเป้าหมายภาพรวมของยุทธศาสตร์ชาติด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ที่มุ่งหวังให้ภาครัฐมีวัฒนธรรมการท�างาน ที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว โปร่งใสนั้น จะเห็นได้ว่าจากขอบเขตภารกิจทั้งในงานแสวงหาข้อเท็จจริง เรื่องร้องเรียน ไม่ว่าจะเป็น case by case หรือเรื่องร้องเรียนเชิงระบบที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจหยิบยกขึ้นมาเพื่อพิจารณา หรือแม้กระทั่งงานหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ถึงแม้ผลผลิต ภาพที่ 1 ความสอดคล้องเป้าหมายตามภารกิจของส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกับเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 362
ส�ําคัญในกํารด�ําเนินงํานของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน คือ จ�ํานวนเรื่องร้องเรียน ที่มีข้อยุติ และค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดินเพื่อให้หน่วยงํานด�ําเนินกําร ในแก้ไขปัญหําให้แก่ประชําชน หรือค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะเพื่อส่งต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจํารณําสั่งกํารยังหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องรับไปด�ําเนินกํารปรับปรุงแก้ไขบรรดํากฎหมําย กฎ ระเบียบฯ ที่เกี่ยวข้องนั้น ทั้งนี้ บรรดําค�ําวินิจฉัยที่มีข้อเสนอแนะของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน เพื่อให้หน่วยงํานด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําให้แก่ประชําชนนั้น ถือเป็นภํารกิจส�ําคัญของ ผู้ตรวจกํารแผ่นดินที่จะมีส่วนช่วยผลักดันหน่วยงํานของรัฐในกํารปรับปรุงและพัฒนําระบบ บริกํารประชําชนหรือระบบบริหํารจัดกํารเพื่อให้เกิดกํารพัฒนําประสิทธิภําพในกํารท�ํางําน เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชําชน และต่อประเทศร่วมกัน อีกทั้งเพื่อให้กํารบริหํารงําน ของหน่วยงํานภําครัฐเป็นที่ยอมรับแก่ประชําชนได้อย่ํางแท้จริง ในส่วนของแผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติ ซึ่งมีทั้งสิ้น 23 ฉบับนั้น แผนงําน / โครงกํารส�ําคัญของส�ํานักงํานฯ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 มีควํามเชื่อมโยง กับเป้ําหมํายแผนแม่บทภํายใต้ยุทธศําสตร์ชําติด้ําน (1) กํารบริกํารประชําชนและ ประสิทธิภําพภําครัฐ และ (2) กํารต่อต้ํานกํารทุจริตและประพฤติมิชอบ ภําพที่ 2 ภําพรวมควํามเชื่อมโยงภํารกิจของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 363
2.3 ด้านทรัพยากรบุคคล ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ ควรจัดท�ําแผนแม่บทด้ํานกํารบริหํารและพัฒนํา ทรัพยํากรมนุษย์ แผนเส้นทํางควํามก้ําวหน้ําในสํายอําชีพของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ควรมีควํามสอดคล้องทั้งงบประมําณที่ได้รับ แผนงํานที่ด�ําเนินกําร และกํารใช้ทรัพยํากร บุคคล โดยให้ควํามส�ําคัญต่อกํารด�ําเนินกํารตํามเป้ําหมํายที่ก�ําหนดภํายใต้กรอบระยะเวลํา รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงควํามส�ําคัญของพนักงํานสํายงํานสอบสวนและนิติกําร ซึ่งเป็นส่วนส�ําคัญ ในกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนที่คั่งค้ํางได้อย่ํางมีประสิทธิภําพ จึงควรพัฒนําศักยภําพ และควํามสํามํารถในกํารน�ําเทคโนโลยีมําประยุกต์ใช้ให้สํามํารถอ�ํานวยควํามสะดวกต่อ กํารปฏิบัติงํานได้อย่ํางคุ้มค่ําต่อไป กํารด�ําเนินกําร ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินค�ํานึงถึงกํารพัฒนําทรัพยํากร บุคคล ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในกํารขับเคลื่อนภํารกิจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน อีกทั้งได้เล็งเห็น ถึงควํามส�ําคัญในกํารเพิ่มประสิทธิภําพกํารบริหํารทรัพยํากรมนุษย์ โดยได้มีกํารด�ําเนินกําร ศึกษํา วิเครําะห์ และทบทวนโครงสร้ํางกํารจัดแบ่งส่วนงําน ตลอดจนก�ําหนดขอบเขตหน้ําที่ และอ�ํานําจของแต่ละส่วนงํานและอัตรําก�ําลัง เพื่อเป็นกรอบในกํารวํางแผนอัตรําก�ําลังของ ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินในระยะ 5 ปีข้ํางหน้ํา (พ.ศ. 2566 – 2570) รวมทั้ง มีกรอบอัตรําก�ําลังที่สอดรับกับบทบําทภํารกิจหน้ําที่และอ�ํานําจของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ตลอดจนนโยบํายของผู้ตรวจกํารแผ่นดิน แผนยุทธศําสตร์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) และแผนแม่บทด้ํานต่ําง ๆ พัฒนําทักษะและส่งเสริม กํารเรียนรู้ของบุคลํากรในทุกระดับอย่ํางต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดควํามสํามํารถของบุคลํากร ให้มีควํามเชี่ยวชําญในแต่ละด้ําน รวมถึงกํารคิดค้นและพัฒนํานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อพัฒนํา ระบบบริหํารจัดกํารงํานขององค์กร กํารพัฒนํางํานด้ํานวิชํากําร กํารพัฒนําเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสนับสนุนกํารด�ําเนินงํานขององค์กรให้มีประสิทธิภําพมํากยิ่งขึ้น พัฒนําระบบข้อมูล และเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลสํารสนเทศกับหน่วยงํานและองค์กรอื่น ๆ รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 364
2.4 การพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการบริการประชาชน และ การบริหารภายในองค์กร ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ ปัจจุบันพบว่ําผู้ร้องเรียนยังคงใช้วิธีกํารร้องเรียน ผ่ํานทํางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นวิธีกํารดั้งเดิมมํากที่สุด จึงมีข้อเสนอแนะว่ําควรมีกํารวํางแผนระยะยําว มีกํารน�ําเสนอข้อมูลโครงกํารที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงขอบเขตระยะเวลําและเป้ําหมํายที่วัดผลได้ จะท�ําให้กํารด�ําเนินกํารต่อเนื่องแม้ว่ําจะมีกํารเปลี่ยนแปลงบุคลํากรที่รับผิดชอบ รวมทั้ง กํารสื่อสํารให้ประชําชนได้รับทรําบ และเลือกใช้วิธีกํารที่สะดวกรวดเร็ว 1) ประเด็นการบริการประชาชน กํารด�ําเนินกําร จํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนํา 2019 (COVID - 19) ในเดือนเมษํายน 2564 ซึ่งถือเป็นระลอกที่ 3 ของกํารระบําด โรค ดังกล่ําว ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินจึงได้เตรียมควํามพร้อมรองรับกํารรับเรื่องร้องเรียน จํากประชําชน และเพิ่มประสิทธิภําพในกํารเข้ําถึงบริกํารของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ได้ง่ําย สะดวก และรวดเร็ว โดยก�ําหนดช่องทํางในกําร เข้ําถึงส�ํานักงํานฯ ดังนี้ 1. สํายด่วน 1676 (โทรฟรี) หรือ 02-141-9100 2. www.ombudsman.go.th 3. Facebook : ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 4. Line Official : ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน 5. Application : “ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน” 6. Youtube : ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน นอกจํากนี้ยังมีสื่อประชําสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น จดหมํายข่ําวส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดิน สถํานีผู้ตรวจกํารแผ่นดิน สปอตวิทยุและสปอตโทรทัศน์ รํายกําร “ผู้ตรวจกํารแผ่นดินพบประชําชน” ทํางสถํานีวิทยุรัฐสภํา ป้ํายจอ LED และ LCD ของเครือข่ําย ทั่วประเทศ เป็นต้น โดยกํารร้องเรียนผ่ํานช่องทํางดังกล่ําวสํามํารถเชื่อมโยงไปยังระบบ รับเรื่องร้องเรียนของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน และช่องทํางอื่น ๆ ก็ถือเป็นช่องทําง ที่สํามํารถเข้ําถึงข้อมูล ข่ําวสําร และกิจกรรมต่ําง ๆ ของส�ํานักงํานฯ ตลอดจนมีระบบ ผู้ตรวจการแผ่นดิน 365
ตอบค�ําถํามอัตโนมัติ ตลอดจนสํามํารถสื่อสํารสองทํางระหว่ํางประชําชนกับส�ํานักงําน ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 พบว่ํา มีประชําชนร้องเรียนเข้ํามําผ่ําน ช่องทํางดิจิทัลมํากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกํารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชําชนในกําร ขอใช้บริกํารจํากหน่วยงํานภําครัฐผ่ํานช่องทํางออนไลน์ / Call Center มํากยิ่งขึ้น 2) ประเด็นการบริหารภายในองค์กร กํารบริหํารจัดกําร ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีวิสัยทัศน์กํารด�ําเนินงําน ในช่วงแผนยุทธศําสตร์ฯ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2560 – 2564) ที่มุ่งเน้นกํารแก้ไขควํามเดือดร้อน และควํามไม่เป็นธรรมให้แก่ประชําชนโดยกํารพัฒนํานวัตกรรมและกํารน�ําเทคโนโลยีดิจิทัล มําใช้ในกํารบริหํารจัดกํารและกํารให้บริกําร เพื่อควํามสะดวก รวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภําพ ในกํารปฏิบัติงํานมํากขึ้น โดยได้มีกํารพัฒนําระบบบริหํารจัดกํารเพื่อสนับสนุนกํารปฏิบัติงําน ของเจ้ําหน้ําที่ส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ดังนี้ 1. ระบบส�ํานักงํานอัตโนมัติ (Office Automation) เป็นระบบที่ใช้ ในกํารบริหํารจัดกํารเพื่อสนับสนุนกํารปฏิบัติหน้ําที่ในทุกด้ํานของเจ้ําหน้ําที่ทุกคน ในส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยมีระบบบริหํารจัดกํารและเก็บข้อมูลต่ําง ๆ ของ เรื่องร้องเรียนรวมอยู่ด้วย ซึ่งใช้งํานมํากว่ํา 20 ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่ํางกํารพัฒนําระบบ ส�ํานักงํานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Office) ทดแทนระบบดังกล่ําว หมํายเหตุ: ที่มําจํากเว็บไซต์สถําบันผู้ตรวจกํารแผ่นดินศึกษํา รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 366
- ระบบบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียนส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน (Complaint and Investigation Management : CIM) เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับ กํารบริหํารจัดกํารข้อมูล กํารวํางแผน กํารตรวจสอบ และกํารติดตํามกํารด�ําเนินกําร ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนทั้งหมดของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน โดยมีระบบย่อยหลัก คือ ระบบแผนกํารสอบสวน และระบบทะเบียนคุมเรื่องร้องเรียน 3. ระบบตรวจสอบข้อมูลบุคคล (AMI) ผ่ํานระบบบูรณํากํารฐํานข้อมูล ประชําชนและกํารบริกํารภําครัฐ (Linkage Center) เพื่อใช้ในกํารตรวจสอบและกํารยืนยัน ตัวบุคคลของผู้ร้องเรียน 4. ระบบกํารประชุมออนไลน์ผ่ํานโปรแกรม Zoom Cloud Meetings เพื่อใช้ในกํารประชุมหํารือกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้องในกํารให้ได้มําซึ่งข้อเท็จจริงในกําร พิจํารณําเรื่องร้องเรียน และเป็นกํารประหยัดค่ําใช้จ่ํายในกํารเดินทํางไปยังพื้นที่ต่ําง ๆ 5. เครือข่ํายแลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนกํารยุติธรรมกับศูนย์แลกเปลี่ยน ข้อมูลกระบวนกํารยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) 6. ระบบคลําวด์กลํางภําครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) 7. ระบบบริหํารจัดกํารเรื่องร้องเรียนเพื่อรองรับกํารเชื่อมโยงและ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่ํางผู้ตรวจกํารแผ่นดินและองค์กรอิสระอื่น 8. ระบบติดตํามกํารด�ําเนินโครงกํารเพิ่มทักษะด้ํานอําชีพแก่นักเรียน ครอบครัวยํากจนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบกํารศึกษําภําคบังคับ ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2565 เป็นระบบเพื่อติดตํามควํามคืบหน้ําตํามที่ผู้ตรวจกํารแผ่นดินมีข้อเสนอแนะในกํารด�ําเนินกําร โครงกํารดังกล่ําว ผู้ตรวจการแผ่นดิน 367
2.5 ด้านการปฏิบัติงานกรณีการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ กํารด�ําเนินกํารแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นกํารแก้ไขปัญหําเฉพําะเรื่อง มิใช่เป็นกํารแก้ไขปัญหําในเชิงระบบอย่ํางแท้จริง มีข้อเสนอแนะว่ําควรให้ควํามส�ําคัญต่อกํารวิเครําะห์ถึงขั้นตอนและปัจจัยต่ําง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบและแนวทํางปฏิบัติให้หน่วยงํานภําครัฐ ด�ําเนินกํารต่อไป กํารแก้ไขปัญหําเชิงระบบควรเป็นกํารด�ําเนินกํารที่ให้ผลลัพธ์ในระดับที่มี ผลกระทบในระดับองค์รวมมํากกว่ํากํารมุ่งแก้ไขปัญหําแบบเฉพําะเจําะจง รวมทั้งกํารแก้ไข ปัญหํา 7 เรื่อง ยังไม่สํามํารถสะท้อนถึงประสิทธิภําพกํารท�ํางํานขององค์กรได้อย่ํางชัดเจน ควรพิจํารณําตํามสภําพควํามเป็นจริง เพรําะควํามเดือดร้อนเกิดผลกระทบต่อสังคม ในวงกว้ํางและผลลัพธ์ที่ได้จํากกํารแก้ปัญหําจะเกิดประโยชน์ต่อประชําชนเป็นจ�ํานวนมําก เช่นเดียวกัน กํารด�ําเนินกําร ผู้ตรวจกํารแผ่นดินยังเน้นกํารแก้ไขควํามเดือดร้อนด้วย ควํามรวดเร็ว โดยแบ่งเรื่องร้องเรียนออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) เรื่องร้องเรียนที่ต้องแสวงหํา ข้อเท็จจริงโดยละเอียด (Full Investigation) ศึกษําข้อกฎหมําย กฎ ระเบียบ ค�ําสั่งที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อมูลทํางวิชํากําร หรืออําจมีกํารประชุมปรึกษําหํารือกับหน่วยงํานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบกํารพิจํารณําวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน ซึ่งเรื่องร้องเรียนประเภท ดังกล่ําวจะใช้ระยะเวลําในกํารด�ําเนินงํานสักระยะหนึ่ง แต่อย่ํางไรก็ดีผู้ตรวจกํารแผ่นดิน พยํายํามด�ําเนินกํารให้แล้วเสร็จภํายใน 6 เดือน ถึง 18 เดือน และ 2) เรื่องร้องเรียนที่ได้ ข้อยุติโดยเร็ว (Early Resolution) เป็นปัญหําทั่วไปสํามํารถแก้ไขได้ด้วยกํารประสํานงําน โดยเฉพําะปัญหําด้ํานสําธํารณูปโภค และบริกํารสําธํารณประโยชน์ ต่ําง ๆ ที่ประชําชน มักร้องเรียนมํายังผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจํากควํามไม่เข้ําใจในขั้นตอน กํารปฏิบัติงํานของส่วนรําชกํารต่ําง ๆ ของประชําชน ท�ําให้ไม่ได้รับควํามสะดวก ในกํารใช้บริกํารจํากหน่วยงํานของรัฐเท่ําที่ควร ซึ่งผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้มอบหมํายให้ เจ้ําหน้ําที่ประสํานงํานทั้งอย่ํางเป็นทํางกํารและไม่เป็นทํางกําร เพื่อแก้ไขปัญหําต่ําง ๆ ด้วยควํามรวดเร็ว รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 368
ในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ผู้ตรวจกํารแผ่นดินได้แก้ไขปัญหําเชิงระบบ โดยกํารศึกษําปัญหําเชิงโครงสร้ํางของปัญหําเพื่อป้องกันมิให้เกิดกํารร้องเรียน หรือแก้ไข ปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบเพื่อลดควํามซ�้ําซ้อนในกํารร้องเรียนในประเด็นปัญหําเดิม โดยในปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ได้มีกํารศึกษําปัญหําเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ตัวอย่ําง เช่น 1. กํารสนับสนุนกํารปฏิบัติหน้ําที่ของบุคลํากรทํางกํารแพทย์ และบุคลํากร สําธํารณสุขทุกระดับในช่วงสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนํา 2019 (COVID-19) 2. โครงกํารกํารบริหํารจัดกํารที่ดินของประเทศไทย กรณีศึกษําปัญหํา กํารออกเอกสํารสิทธิในกํารถือครองที่ดินให้กับประชําชน 3. กํารแก้ไขปัญหํากํารสําธํารณสุขของประชําชนและนักท่องเที่ยวบนพื้นที่ เกําะพะงัน 4. โครงกํารศึกษําเรื่องควํามเหมําะสมในกํารเก็บค่ําธรรมเนียมกํารติดตั้ง ประปําใหม่ให้กับผู้ขอใช้น�้ํา กรณีศึกษํากํารประปํานครหลวง 5. กํารศึกษําผลกระทบจํากกํารด�ําเนินโครงกํารพัฒนําสถํานีกลํางบํางซื่อ 6. กํารพัฒนําระบบกํารแพทย์ฉุกเฉินทํางทะเล ตํามนโยบําย “ผู้ตรวจกําร แผ่นดินยกระดับควํามปลอดภัยทํางน�้ํา” และกํารด�ําเนินงํานของศูนย์กํารแพทย์เขําหลัก จังหวัดพังงํา และโครงกํารจัดตั้งศูนย์ตอบโต้ภําวะฉุกเฉินทํางทะเล (Andaman Hub Medical Network) รํายละเอียดปรํากฏตํามรํายงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 หน้ํา 185 หัวข้อ 1.1 ควํามส�ําเร็จในกํารบรรลุเป้ําหมํายระดับองค์กร ผู้ตรวจการแผ่นดิน 369
2.6 ด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของส�านักงานผู้ตรวจการ แผ่นดิน ข้อสังเกต / ข้อเสนอแนะ กรณีที่รํายงํานผลกํารประเมินผลภําครําชกําร ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดินตํามระบบ PMQA ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภําพ และประสิทธิผลของผลกํารด�ําเนินงํานภํายใต้กรอบแนวคิดกํารก้ําวสู่กํารเป็นระบบรําชกําร 4.0 หรือกํารแก้ไขปรับปรุงกํารปฏิบัติงํานเพื่อตอบสนองต่อภํารกิจงํานอย่ํางไร ดังนั้น จึงควร แสดงข้อมูลแผนงํานทั้งระบบและผลกํารด�ําเนินงํานที่ได้ปฏิบัติตํามแผนงํานไว้ด้วย กํารด�ําเนินกําร จํากกํารประเมินกํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ในมิติระบบรําชกํารที่เปิดกว้ํางและ เชื่อมโยงกันบรรลุเป้ําหมํายทั้ง 3 โครงกําร / กิจกรรม มิติระบบรําชกํารที่ยึดประชําชน เป็นศูนย์กลํางบรรลุเป้ําหมําย 4 โครงกําร / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้ําหมําย 1 โครงกําร / กิจกรรม และในมิติระบบรําชกํารที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บรรลุเป้ําหมําย 3 โครงกําร / กิจกรรม ไม่บรรลุเป้ําหมําย 1 โครงกําร / กิจกรรม ดังนั้น จะเห็นได้ว่ําส�ํานักงํานฯ มีผลกํารด�ําเนินงํานกํารพัฒนําคุณภําพ กํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) อยู่ในระดับที่ดีมําก ซึ่งส�ํานักงํานฯ ได้มีกํารปรับ ระบบกํารท�ํางํานเนื่องจํากปัญหําอุปสรรคจํากสถํานกํารณ์กํารแพร่ระบําดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนํา 2019 ให้เป็นระบบออนไลน์มํากยิ่งขึ้น เช่น กํารประชุมผ่ํานระบบออนไลน์ กํารใช้ลํายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และรวมถึงกํารปรับระบบกํารท�ํางํานของเจ้ําหน้ําที่ ให้สอดคล้องกับสถํานกํารณ์ดังกล่ําว ส�ํานักงํานฯ จะได้น�ําข้อมูลต่ําง ๆ ที่เกิดขึ้นไปวิเครําะห์ ปัจจัยต่ําง ๆ เพื่อใช้ในกํารวํางแผนยุทธศําสตร์ของส�ํานักงํานผู้ตรวจกํารแผ่นดิน ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) และสอดคล้องกับกํารพัฒนําคุณภําพกํารบริหํารจัดกํารภําครัฐ (PMQA 4.0) ต่อไป รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 370
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 371
ภาคผนวก ผู้ตรวจการแผ่นดิน 373
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 375
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 376
รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�าหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 377
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 378
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 379
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 380
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 381
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 382
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 383
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 384
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 385
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 386
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 387
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 388
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 389
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 390
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 391
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 392
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 393
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 394
รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�าหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 395
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 396
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 397
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 398
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 399
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 400
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 401
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 402
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 403
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 404
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 405
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 406
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 407
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 408
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 409
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 410
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 411
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 412
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 413
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 414
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 415
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 416
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 417
รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 418
ผู้ตรวจการแผ่นดิน 419
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 รายงานประจ�าปีงบประมาณ 2564 420
ออกแบบและจัดรูปเล่มโดย : สําานักสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ สําานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
180 x 240 mm