ประกาศสำนักงาน ป.ป.ช. เรื่อง รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ประกาศสำนักงาน ป.ป.ช. เรื่อง รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการปองกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง รายงานประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 29 บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พรอมขอสังเกตต่อรัฐสภาทุกป ทั้งนี้ ให้ประธานกรรมการ หรือกรรมการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มาแถลงรายงานดังกลาวต่อรัฐสภา และให้ประกาศรายงานดังกลาวในราชกิจจานุเบกษา และเปดเผยต่อสาธารณะ นั้น ฉะนั้น เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามความในมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 สํานักงานคณะกรรมการปองกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงขอประกาศรายงานประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในราชกิจจานุเบกษาตามทายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2565 นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช ้ หนา 1 ่ เลม 139 ตอนที่ 82 ง ราชกิจจานุเบกษา 27 ตุลาคม 2565
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ The National Anti-Corruption Commission 2021 ANNUAL REPORT FISCAL YEAR รายงานประจําาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ตราสัญลักษณ์ ตราสัญลักษณ์ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นดวงตรารูปทรงดอกบัวตูมหรือหยดน�้า มีขนาดกว้าง 2 ใน 3 ของความสูงประกอบด้วยอุณาโลมและรัศมีโดยรอบ ด้านล่างเป็นโล่ และแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบน เป็นพานรัฐธรรมนูญ ส่วนที่สอง จะอยู่ด้านล่างขวาของโล่ เป็นรูปตุลแขวนอยู่บนด้ามพระขรรค์ มีธรรมจักรประกอบ อยู่ด้านหน้า ส่วนที่สาม จะอยู่ด้านล่างซ้ายของโล่ เป็นรูปกงจักร และมีลูกศรกับสายฟ้าไขว้สอดในกงจักร เบื้องล่างของโล่ เป็นริบบิ้นหรือโบรองอยู่ด้านล่าง และบนแถบโบจะมีช่อชัยพฤกษ์ผูกวางไว้บนริบบิ้น ความหมายของตราสัญลักษณ์ อุณาโลม หมายถึง มหาบุรุษ ความยิ่งใหญ่ รัศมี หมายถึง การแผ่ไพศาล โล่ หมายถึง การป้องกันอันเป็นหน้าที่พิเศษของงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้ มีผู้กระท�าการทุจริต และในโล่ดังกล่าวได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. พานรัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นศูนย์อ�านาจรัฐ และก่อให้เกิดมีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขึ้น 2. ตุล หรือ ตาชั่งและธรรมจักร หมายถึง ความยุติธรรมและคุณธรรม 3. กงจักร สายฟ้าและลูกศร หมายถึง ความรวดเร็วในการปราบปรามการทุจริต โบ และช่อชัยพฤกษ์ หมายถึง ความมีชัยชนะที่มั่นคงตามแนวปณิธานแห่งความตั้งใจที่แน่วแน่ และแข็งแกร่งของ ป.ป.ช. ทอดตัววางอยู่บนความอ่อนโยนที่นุ่มนวล ของพื้นฐานองค์กร ความหมายแห่งสีตราสัญลักษณ์ สีม่วง แสดงถึง วันที่กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศใช้ ซึ่งเป็นวันเสาร์ สีเขียว แสดงถึง วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ประกาศใช้ ซึ่งเป็นวันพุธ สีทอง แสดงถึง ความเป็นมงคลความรุ่งเรือง ศักดิ์ศรีและความสง่างาม รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ค
การศึกษา ปี 2519 รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยต�ารวจ รุ่นที่ 29 ปี 2523 M.S (Criminal Justice) University of Alabama in Birmingham, U.S.A ปี 2526 Ph.D (Criminology) Florida State University, U.S.A การอบรม ปี 2541 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 2 ปี 2543 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 42 ปี 2548 สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 67 ปี 2550 สถาบันวิทยาการตลาดทุน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 5 ปี 2554 สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง หลักสูตร “การพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง” รุ่นที่ 3 ปี 2555 สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง หลักสูตร “วิทยาการประกันภัยระดับสูง” รุ่นที่ 2 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2531 นายเวรอธิบดีกรมต�ารวจ (พล.ต.อ.เภา สารสิน) ปี 2534 - 2535 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ครั้งที่ 1 ปี 2539 - 2541 ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ/หัวหน้าต�ารวจสากลไทย ปี 2541 - 2547 Executive Director, International Law Enforcement Academy: Bangkok (ILEA-Bangkok) ปี 2546 - 2549 ผู้บัญชาการต�ารวจปราบปรามยาเสพติด ปี 2549 - 2550 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 1 ปี 2549 - 2552 ผู้ช่วยผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ปี 2551 - 2552 โฆษกส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ปี 2552 - 2553 ที่ปรึกษา (สบ.10) ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ปี 2553 - 2557 รองผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ปี 2557 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ (24 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2557) ปี 2557 - 2558 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ครั้งที่ 2 ปี 2557 - 2558 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 2 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ ผู้ที่ได้รับการสรรหาตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตาม ค�าแนะน�าของวุฒิสภา และต้องเป็นผู้ซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอื่นอีกแปดคน ง รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ (Pol.Gen. Watcharapol Prasarnrajkit) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “สามารถ สุจริต สากล สามัคคี สร้างสรรค์” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558
พลต�ารวจเอก สถาพร หลาวทอง (Pol.Gen. Sataphon Laothong) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “มุ่งมั่นและร่วมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในสังคมไทย” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 การศึกษา ปี 2518 รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยต�ารวจ ปี 2520 พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารงานบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี 2525 นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การอบรม ปี 2539 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 39 ปี 2543 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 4 ปี 2545 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร “การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส�าหรับนักบริหารชั้นสูง” รุ่นที่ 6 ปี 2554 วิทยาลัยการยุติธรรมทางปกครอง ส�านักงานศาลปกครอง หลักสูตร “นักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง” รุ่นที่ 2 ปี 2559 วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” รุ่นที่ 5 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2518 รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีต�ารวจนครบาลบางซื่อ กองบัญชาการต�ารวจนครบาล ปี 2530 รองผู้ก�ากับการ 2 กองบังคับการโรงเรียนนายร้อยต�ารวจ กรมต�ารวจ ปี 2533 ผู้ก�ากับการ 1 กองบัญชาการศึกษา กรมต�ารวจ ปี 2537 ผู้บังคับการกองทะเบียนพล กรมต�ารวจ ปี 2547 ผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ปี 2548 ผู้บัญชาการต�ารวจภูธรภาค 3 ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ปี 2550 ผู้ช่วยผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ปี 2553 จเรต�ารวจแห่งชาติ จ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นายณรงค์ รัฐอมฤต (Mr. Narong Rathamarit) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ระบบราชการโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นหัวใจส�าคัญที่จะลดปัญหาการทุจริตในประเทศไทย” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 การศึกษา ปี 2519 นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามค�าแหง ปี 2557 นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปี 2559 ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี การอบรม ปี 2545 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร “ประกาศนียบัตรชั้นสูง การเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ส�าหรับนักบริหารระดับสูง” รุ่นที่ 6 ปี 2553 ส�านักงาน ป.ป.ช. หลักสูตร “นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตระดับสูง” รุ่นที่ 1 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2543 ผู้อ�านวยการส�านักตรวจสอบทรัพย์สิน 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2546 ผู้อ�านวยการส�านักคดี ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2550 ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (นักบริหาร 9) ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2552 รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (นักบริหาร 10) ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2555 เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (นักบริหาร 11) ส�านักงาน ป.ป.ช. ฉ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นางสาวสุภา ปิยะจิตติ (Miss Supa Piyajitti) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “คิดเร็ว ท�าเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 การศึกษา ปี 2519 บัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2524 นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2535 รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี 2558 ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การอบรม ปี 2545 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 45 ปี 2551 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 11 ปี 2553 สถา บันวิทยาการตลาดทุน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 8 ปี 2556 วิทยาลัยการยุติธรรมทางปกครอง ส�านักงานศาลปกครอง หลัก สูตร “นักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง” รุ่นที่ 4 ปี 2557 วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” รุ่นที่ 2 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2540 ผู้อ�านวยการส�านักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ ปี 2544 รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ปี 2547 ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (ระดับ 10) ปี 2549 รองปลัดกระทรวงการคลัง ปี 2552 ผู้อ�านวยการส�านักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ปี 2557 รองปลัดกระทรวงการคลัง ช รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นายวิทยา อาคมพิทักษ์ (Mr. Vittaya Arkompituk) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “เมื่อมีโอกาสได้ท�างาน จงท�าให้ดีที่สุดเพื่อองค์กรและแผ่นดิน” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 การศึกษา ปี 2521 ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�าแหง ปี 2549 รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยปทุมธานี ปี 2560 ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�าแหง การอบรม ปี 2549 ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ หลักสูตร “การบริหารงานต�ารวจชั้นสูง” รุ่นที่ 26 ปี 2553 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร “การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส�าหรับนักบริหารระดับสูง” รุ่นที่ 13 ปี 2556 ส�านักงาน ป.ป.ช. หลักสูตร “นักบริหารยุทธศาสตร์ การป้องกัน และปราบปรามการทุจริตระดับสูง” รุ่นที่ 4 ปี 2556 สถาบันวิทยาการพลังงาน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูงด้านวิทยาการพลังงาน” รุ่นที่ 3 ปี 2560 วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” รุ่นที่ 3 ปี 2560 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 21 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2551 ผู้อ�านวยการส�านักการข่าวและกิจการพิเศษ ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2554 ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (นักบริหาร 9) ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2556 รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (นักบริหาร 10) ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี 2557 กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ (Mrs. Suwana Suwanjuta) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “โปร่งใส เป็นธรรม ยึดมั่นในความถูกต้อง” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 การศึกษา ปี 2521 บัญชีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2547 รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การอบรม ปี 2547 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 8 ปี 2548 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 48 ปี 2551 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร “การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส�าหรับนักบริหารระดับสูง” รุ่นที่ 12 ปี 2553 วิทยาลัยการยุติธรรมทางปกครอง ส�านักงานศาลปกครอง หลักสูตร “นักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง” รุ่นที่ 1 ปี 2556 สถาบันวิทยาการตลาดทุน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 16 ปี 2558 วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” รุ่นที่ 4 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2544 ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม ปี 2545 ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม (ระดับ 9) ปี 2547 ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม (ระดับ 10) ปี 2549 อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ปี 2554 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ปี 2557 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปี 2558 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ฌ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ (Gen. Boonyavat Kruahongs) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “ท�างานอย่างมืออาชีพ ยึดความยุติธรรมเป็นหลัก” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 การศึกษา ปี 2519 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 24 การอบรม ปี 2529 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจ�าโรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 65 ปี 2545 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร “การบริหารงานภาครัฐกฎหมายมหาชน” รุ่นที่ 1 ปี 2547 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 47 ปี 2551 สถาบันวิทยาการตลาดทุน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 7 ปี 2557 วิทยาลัยการยุติธรรมทางปกครอง ส�านักงานศาลปกครอง หลักสูตร “นักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง” รุ่นที่ 5 ปี 2560 วิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ ส�านักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” รุ่นที่ 5 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2539 ผู้อ�านวยการกองตรวจสอบและวิเคราะห์ ส�านักงานปลัดบัญชีกองทัพบก ปี 2543 ผู้อ�านวยการกองการส�ารวจและจัดหน่วย ส�านักงานปลัดบัญชีกองทัพบก ปี 2545 ผู้ช่วยปลัดบัญชีทหารบก ปี 2547 ผู้อ�านวยการส�านักงานตรวจสอบภายในทหารบก ปี 2552 รองผู้อ�านวยการส�านักงบประมาณกลาโหม ปี 2554 ผู้อ�านวยการส�านักงบประมาณกลาโหม ปี 2556 ประธานกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. ญ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ฎ นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา ( Mr. Nattachak Pattamasingh Na Ayuthaya) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “ซื่อสัตย์ สุจริต กล้าหาญ ท�าในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรม” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 การศึกษา ปี 2518 นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดี) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2519 เนติบัณฑิตไทย รุ่น 29 ปี 2519 ปริญญาโททางกฎหมาย Master of law จาก University of Pennsylvania USA ปี 2520 ปริญญาโททางกฎหมาย Master of Comparative law จาก George Washington University USA การอบรม ปี 2533 วุฒิบัตรการบริหารยุติธรรมจากประเทศฝรั่งเศส ปี 2534 วุฒิบัตรการบริหารงานยุติธรรมจากสถาบัน UNAFEI โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปี 2541 การดูงานระบบศาลปกครองจากเมืองมาร์กเซย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2545 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)” รุ่น 4515 ปี 2547 สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรการเมืองการปกครอง รุ่นที่ 9 ปี 2549 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 12 ปี 2550 วุฒิบัตรจากสถาบันวิทยาลัยการตลาดทุน รุ่นที่ 8 ปี 2556 วุฒิบัตรจากส�านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รุ่นที่ 5 ปี - สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หลักสูตร “Director Certification Program” รุ่นที่ 70 ปี - สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หลักสูตร “Audit Committee Program” ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2521-2522 อาจารย์ประจ�าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�าแหง ปี 2522-2523 เลขานุการโท กรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ปี 2523-2542 พนักงานอัยการในส�านักงานอัยการสูงสุด ปี 2542 หัวหน้าองค์คณะตุลาการศาลปกครอง รองอธิบดี ศาลปกครองสงขลา ปี 2544-ปัจจุบัน อาจารย์ผู้บรรยายวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรม - สัญญา ส�านักศึกษาอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ปี 2550 รองอธิบดีอัยการ ส�านักงานที่ปรึกษากฎหมาย ปี 2554 อธิบดีอัยการ ส�านักงานนโยบายยุทธศาสตร์และงบประมาณ ปี 2555 อธิบดีอัยการ ส�านักงานต่างประเทศ ปี 2556 อธิบดีอัยการ ส�านักงานคดียาเสพติด ปี 2557 อธิบดีอัยการ ส�านักงานคดีอาญา ปี 2558 ผู้ตรวจการอัยการ ปี 2559 อัยการอาวุโส ส�านักงานที่ปรึกษากฎหมาย รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข (Mr. Suchart Trakulkasemsuk) กรรมการ ป.ป.ช. วิสัยทัศน์ในการท�งาน “รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ปราศจากอคติ” ด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 การศึกษา ปี 2527 นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามค�าแหง ปี 2528 เนติบัณฑิตไทย เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2542 นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ การอบรม ปี 2551 กระทรวงยุติธรรม หลักสูตร “การบริหารงานยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 1 ปี 2559 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร” รุ่นที่ 58 ปี 2561 สถาบันวิทยาการพลังงาน หลักสูตร “ผู้บริหารระดับสูงด้านวิทยาการพลังงาน” รุ่นที่ 11 ปี 2561 ส�านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตร “เศรษฐกิจอนาคตและธรรมาภิบาลอินเทอร์เน็ต ส�าหรับผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 1 ปี 2562 วิทยาลัยการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 23 ต�แหน่งที่ส�คัญในอดีต ปี 2545 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุโขทัย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ปี 2547 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุโขทัย ปี 2551 รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง ปี 2554 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ปี 2561 ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ คดีช�านัญพิเศษ ปี 2562 อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ฏ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ฐ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายประหยัด พวงจ�าปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายประจวบ สวัสดิประสงค์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายพิเชฐ พุ่มพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้บริหารส�านักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พลต�ารวจตรี อรุณ อมรวิริยะกุล ผู้ตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. นายสุทธินันท์ สาริมาน ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุกิจ บุญไชย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายกิตติ ลิ้มพงษ์ ผู้ตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. นายพิเศษ นาคะพันธุ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พันต�ารวจตรี ชัชนพ ผดุงกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอภินันทน์ ไพบูลย์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและคดี นายมนต์ชัย วสุวัต ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสาโรจน์ พึงร�าพรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นางสมพร สมผดุง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฑ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ฒ นายวัฒนชัย ส้มมี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 2 นายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 5 นายประทีป คงสนิท ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 นางสาวชฎารัตน์ อนรรฆอร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 1 นายประทีป จูฑะศร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 4 นายพุทธา ศรีค�าภา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 7 นายณัฐวุฒ ขมประเสริฐ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 3 นายวิวัฒน์ เจริญฉ�่า ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 6 นายศรชัย ชูวิเชียร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จัดตั้งขึ้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีเจตนารมณ์เพื่อให้เป็นองค์กรที่ท�าหน้าที่ตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้บัญญัติให้ส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ส�านักงาน ป.ป.ช.) เป็นส่วนราชการและ มีฐานะเป็นนิติบุคคล รับผิดชอบขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจหน้าที่รับผิดชอบ งานธุรการและด�าเนินการเพื่ออ�านวยความสะดวก ประสานงาน ให้ความร่วมมือ ส่งเสริมและสนับสนุน การปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ รวบรวม วิเคราะห์ ศึกษาวิจัย และเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ และจัดท�าระบบสารสนเทศข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ ในระหว่างการด�าเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้กรรมการ ป.ป.ช. สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 29 บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อรัฐสภาทุกปี ทั้งนี้ ให้ประธานกรรมการ หรือกรรมการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มาแถลงรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภา และให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ส�าคัญ ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามหน้าที่และอ�านาจที่กฎหมายบัญญัติ มีสาระส�าคัญประกอบด้วย ที่มาและบทบัญญัติของกฎหมาย หน้าที่และอ�านาจ และโครงสร้างองค์กร ภาพรวมทรัพยากรบุคคลและงบประมาณของส�านักงาน ป.ป.ช. ผลการด�าเนินงานครอบคลุมตามหน้าที่ และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่กฎหมายก�าหนด ได้แก่ ภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต ภารกิจด้านป้องกันการทุจริต ภารกิจด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ภารกิจด้านอ�านวยการยุติธรรม การขับเคลื่อนการด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในฐานะเจ้าภาพ กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) และสัมฤทธิผลของการด�าเนินงานตามระบบ การประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการ รวมทั้งได้มีข้อเสนอแนะด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต่อรัฐสภาด้วย ต ค�าน�า รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สารบัญ หน้า ตราสัญลักษณ์ ค คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ง ผู้บริหารส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฐ ค�าน�า ต บทสรุปผู้บริหาร 1 Executive Summary 15 บทน� ที่มาและบทบัญญัติของกฎหมาย 30 หน้าที่และอ�านาจ และโครงสร้างองค์กร 30 ภาพรวมด้านทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ 37 วิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) และแผนปฏิบัติราชการ 38 ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงาน ป.ป.ช. ความเชื่อมโยงผลการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ 43 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งการท�างานเชิงบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง งบประมาณที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับจัดสรรจ�าแนกตามหมวดรายการค่าใช้จ่าย 46 และผลการใช้จ่ายงบประมาณ ผลการด�เนินงานตามหน้าที่และอ�นาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานในภาพรวมครอบคลุมการด�าเนินงานตามอ�านาจหน้าที่ ตามที่กฎหมายก�าหนด 1. ด้านปราบปรามการทุจริต 49 2. ด้านป้องกันการทุจริต 121 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน 167 4. ด้านอ�านวยการยุติธรรม 183 5. การขับเคลื่อนการด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 189 ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ 6. กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 200 ถ รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สารบัญ (ต่อ) หน้า สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานตามระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการ 1. ความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร 204 1.1 การพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร 204 (1) ด้านการพัฒนาบุคลากร 204 (2) ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร 213 (3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 217 (4) ด้านการวิจัย 220 (5) ด้านสื่อสารองค์กร 225 1.2 การบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร 227 2. ระดับความเชื่อมั่นต่อส�านักงาน ป.ป.ช. 231 3. สัมฤทธิผลการด�าเนินงาน 236 3.1 การด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันกับภาคีและพันธสัญญาต่าง ๆ 236 ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ 3.2 การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ 241 ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การพัฒนาการด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตจากรัฐสภา 246 ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อรัฐสภา 248 ภาคผนวก ภาพกิจกรรม 256 รายงานการเงินของส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 269 รายงานการเงินของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 287 ท รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 1 บทสรุปผู้บริหาร รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 จัดท�าขึ้น โดยอาศัยอ�านาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 29 ที่ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อรัฐสภาทุกปี โดยประธานกรรมการ หรือกรรมการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มาแถลงรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภา และให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะ นโยบายและทิศทางการด�เนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมุ่งเน้น การด�าเนินงานให้มีความรวดเร็ว เป็นธรรม และให้ความส�าคัญในเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการสร้าง ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก�าหนดนโยบายในการให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ให้ความส�าคัญกับการด�าเนินงาน ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายก�าหนด การพัฒนาปรับปรุงระบบบริหารจัดการในภารกิจที่ส�าคัญต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการด�าเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. (NACC Operation Command Center) เพื่อก�ากับ ติดตาม การด�าเนินงาน และท�าให้รับทราบข้อมูลผลการด�าเนินงานในทุกมิติประกอบการก�าหนดนโยบายหรือแนวทาง การบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก�าหนด ให้มีการเพิ่มวันประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเร่งรัดการพิจารณาส�านวนไต่สวนและขับเคลื่อนภาระงานต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านปราบปรามการทุจริต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ยังคงมีความท้าทายในการด�าเนินการ เรื่องไต่สวนที่จะครบก�าหนดระยะเวลาด�าเนินการ 3 ปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบนโยบายให้มีการก�ากับ และติดตามการด�าเนินงานอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เพื่อให้เรื่องไต่สวนดังกล่าวสามารถด�าเนินการได้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลาที่ก�าหนด ควบคู่กับการมุ่งเน้นรักษาคุณภาพและมาตรฐานในการจัดท�าส�านวนไต่สวน ซึ่งการปรับปรุงกระบวนการท�างานและการขับเคลื่อนการด�าเนินงานที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยส�าคัญ ที่ส่งผลให้ส�านักงาน ป.ป.ช. สามารถด�าเนินการเรื่องไต่สวนให้แล้วเสร็จได้เป็นจ�านวนมาก ในส่วนของการป้องกันการทุจริต คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�าหนดทิศทางในการพัฒนาการด�าเนินงาน โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เพื่อพัฒนาให้งานป้องกันน�างานปราบปรามได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยนโยบายในการพัฒนา งานป้องกันการทุจริตได้ให้ความส�าคัญในการขับเคลื่อนภารกิจป้องกันการทุจริตในทุกมิติตามมาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทั้งการน�าข้อมูลการตรวจรับค�ากล่าวหาไปสู่การวิเคราะห์สถานการณ์การทุจริตและด�าเนินการจัดท�าแผนปฏิบัติ การ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2 ป้องกันการทุจริตในพื้นที่ การยกระดับการผลักดันการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การขับเคลื่อนโครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริตอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การพัฒนาแผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตในประเทศไทยอย่างมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักที่ส�าคัญของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการขับเคลื่อนงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมุ่งหวังให้การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็น เครื่องมือในการป้องปรามการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวและช่วยลดการกระท�าความผิด ทางทุจริตให้ลดลง นโยบายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ยังคงมุ่งเน้น การด�าเนินงานในเชิงคุณภาพควบคู่กับการพัฒนาปรับปรุงระบบฐานข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อประโยชน์ ในการบริหารจัดการ รวมทั้งการน�าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยพัฒนาและสนับสนุนการด�าเนินงาน ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนโยบายและทิศทางการด�าเนินงานในภารกิจที่ส�าคัญดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้น�าค�าแนะน�าของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบและเสริมสร้าง ธรรมาภิบาล และคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาปรับปรุงกระบวนการท�างาน การก�าหนดนโยบายและพัฒนากลไกการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทุกมิติ ท�าให้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในมิติใหม่ตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ มีผลการด�าเนินงาน ดังนี้ สัมฤทธิผลของการด�เนินงานในภาพรวม 1. ด้านปราบปรามการทุจริต 1.1 สถิติค�ากล่าวหาร้องเรียน และผลการตรวจรับค�ากล่าวหา ในภาพรวมของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีค�ากล่าวหาเข้ามายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 8,381 เรื่อง ในหลายประเภทค�ากล่าวหาด้วยกัน ได้แก่ หนังสือร้องเรียน จ�านวน 4,316 เรื่อง (ร้อยละ 51.50) หนังสือราชการ จ�านวน 1,939 เรื่อง (ร้อยละ 23.14) บัตรสนเท่ห์ จ�านวน 1,594 เรื่อง (ร้อยละ 19.02) ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ จ�านวน 196 เรื่อง (ร้อยละ 2.34) การร้องเรียนด้วยวาจา จ�านวน 116 เรื่อง (ร้อยละ 1.38) ค�ากล่าวหาที่ไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 1.15) และแจ้งเบาะแส จ�านวน 89 เรื่อง (ร้อยละ 1.06) รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัย จ�านวน 35 เรื่อง (ร้อยละ 0.42) และเมื่อพิจารณา ถึงแหล่งที่มาของค�ากล่าวหาร้องเรียนที่ส่งมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. พบว่า ค�ากล่าวหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ร้องเรียน มายังส�านักงาน ป.ป.ช. โดยตรง จ�านวน 5,568 เรื่อง (ร้อยละ 66.44) รองลงมา คือ ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ จ�านวน 1,307 เรื่อง (ร้อยละ 15.59) และส�านักงาน ป.ป.ท. จ�านวน 1,034 เรื่อง (ร้อยละ 12.34) ตามล�าดับ จากค�ากล่าวหารวม 8,381 เรื่อง สามารถแบ่งกลุ่มค�ากล่าวหาออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มค�ากล่าวหาที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดครบถ้วนตามมาตรา 60 (หนังสือร้องเรียน หนังสือราชการ การร้องเรียนด้วยวาจา และเหตุอันควรสงสัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.) จ�านวน 6,406 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 76.43 ของค�ากล่าวหาทั้งหมด แบ่งเป็นหนังสือร้องเรียน จ�านวน 4,316 เรื่อง (ร้อยละ 67.37)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 3 หนังสือราชการ จ�านวน 1,939 เรื่อง (ร้อยละ 30.27) ร้องเรียนด้วยวาจา จ�านวน 116 เรื่อง (ร้อยละ 1.81) และเหตุอันควรสงสัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 35 เรื่อง (ร้อยละ 0.55) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 6,394 เรื่อง (ร้อยละ 99.81) 2. กลุ่มค�ากล่าวหาที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดไม่ครบถ้วนตามมาตรา 60 (บัตรสนเท่ห์ ร้องเรียน ผ่านเว็บไซต์ แจ้งเบาะแส และค�ากล่าวหาที่ไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง) จ�านวน 1,975 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 23.57 ของค�ากล่าวหาทั้งหมด แบ่งเป็นบัตรสนเท่ห์ จ�านวน 1,594 เรื่อง (ร้อยละ 80.71) ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ จ�านวน 196 เรื่อง (ร้อยละ 9.92) แจ้งเบาะแส จ�านวน 89 เรื่อง (ร้อยละ 4.51) และค�ากล่าวหาที่ไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 4.86) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 1,960 เรื่อง (ร้อยละ 99.24) ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีค�ากล่าวหาที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับเรื่องไว้ด�าเนินการ ตรวจสอบเบื้องต้น จ�านวน 3,207 เรื่อง (ร้อยละ 38.39) เรื่องที่ส่งคืนหรือส่งเรื่องหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหา ให้หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่และอ�านาจป้องกันและปราบปรามการทุจริตรับไปด�าเนินการแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 2,714 เรื่อง (ร้อยละ 32.49) เรื่องที่ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 1,115 เรื่อง (ร้อยละ 13.35) เรื่องที่ไม่รับไว้ พิจารณาหรือไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 1,211 เรื่อง (ร้อยละ 14.50) ยุติเรื่องกล่าวหา จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 1.15) และกรณีอื่น ๆ จ�านวน 11 เรื่อง (ร้อยละ 0.13) เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจ�านวนค�ากล่าวหาระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ 2563 ปรากฏว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจ�านวนค�ากล่าวหาเปลี่ยนแปลงลดลง จ�านวน 749 เรื่อง (ร้อยละ 8.20) ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีค�ากล่าวหาที่ร้องเรียนเข้ามาสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 9,130 เรื่อง แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีค�ากล่าวหาที่ร้องเรียนเข้ามาสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 8,381 เรื่อง และเมื่อพิจารณาค�ากล่าวหาเป็นรายประเภทค�ากล่าวหาแล้ว ปรากฏว่า ค�ากล่าวหาประเภทกรณีมีเหตุอันควรสงสัย ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. บัตรสนเท่ห์ หนังสือร้องเรียน และการร้องเรียนด้วยวาจา มีอัตราเปลี่ยนแปลงลดลง ร้อยละ 50.70, 20.81, 12.95 และ 7.94 ตามล�าดับ ในขณะที่ค�ากล่าวหาประเภทแจ้งเบาะแส ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ และหนังสือราชการ มีอัตราเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 154.55, 154.29 และ 4.81 ตามล�าดับ 1.2 ผลการตรวจสอบเบื้องต้นและการไต่สวนข้อเท็จจริง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีเรื่องกล่าวหาคงค้างสะสม (ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) จ�านวน 12,851 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหารับใหม่ (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 30 กันยายน 2564) จ�านวน 4,081 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 16,932 เรื่อง จากจ�านวนเรื่องกล่าวหาคงค้างทั้งหมดที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับไว้ด�าเนินการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการพิจารณาวินิจฉัยและมีมติแล้ว รวมทั้งสิ้น 5,587 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเสร็จ จ�านวน 4,050 เรื่อง และเรื่องไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ 1,537 เรื่อง ซึ่งในจ�านวนนี้เป็นเรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการ เสร็จสิ้นแล้ว รวม 4,620 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหาคงเหลืออยู่ระหว่างด�าเนินการ (ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) จ�านวน 12,312 เรื่อง สามารถจ�าแนกได้ ดังนี้ 1. เรื่องกล่าวหาในชั้นตรวจสอบเบื้องต้น เป็นเรื่องที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ จ�านวน 4,050 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จ�านวน 3,083 เรื่อง และเรื่องกล่าวหาที่รับไว้ด�าเนินการไต่สวน ข้อเท็จจริง จ�านวน 967 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหาคงเหลือที่อยู่ระหว่างด�าเนินการตรวจสอบเบื้องต้น จ�านวน 9,553 เรื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 4 2. เรื่องกล่าวหาในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่ด�าเนินการแล้วเสร็จจ�านวน 1,537 เรื่อง คงเหลือที่อยู่ระหว่างด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 2,759 เรื่อง ทั้งนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐ ในคดีต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 1,076 เรื่อง เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 562 เรื่อง โดยมีจ�านวนผู้ถูกชี้มูลความผิดในคดีทุจริตต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 4,985 ราย ซึ่งสามารถ ประเมินมูลค่าความเสียหาย จากการกระท�าความผิดในคดีทุจริตคิดเป็นจ�านวนเงินโดยประมาณ 26,267 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงลดลงกว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นจ�านวนเงินโดยประมาณ 6,619 ล้านบาท หากพิจารณาถึงขนาดของคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐ ในคดีต่าง ๆ พบว่า เป็นคดีขนาดใหญ่ (L) มีจ�านวนมากที่สุด รวม 480 เรื่อง (ร้อยละ 44.61) รองลงมาเป็นคดี ขนาดกลาง (M) รวม 305 เรื่อง (ร้อยละ 28.35) คดีขนาดใหญ่มาก (XL) รวม 243 เรื่อง (ร้อยละ 22.58) และคดีขนาดเล็ก (S) รวม 48 เรื่อง (ร้อยละ 4.46) และหากจ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมากที่สุดใน 3 ล�าดับแรกแล้ว พบว่า ล�าดับที่ 1 คือ กลุ่มคดีด้านการจัดซื้อจัดจ้าง รวม 497 เรื่อง (ร้อยละ 46.19) ล�าดับที่ 2 คือ กลุ่มคดีด้านจริยธรรมและความประพฤติมิชอบ รวม 193 เรื่อง (ร้อยละ 17.94) และ ล�าดับที่ 3 คือ กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ รวม 176 เรื่อง (ร้อยละ 16.36) นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด ถูกชี้มูลความผิดในคดีทุจริตแล้ว พบว่า หน่วยงานส่วนใหญ่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต�าบล คือ องค์การบริหารส่วนต�าบล มีผู้ถูกชี้มูลความผิดมากที่สุด 465 แห่ง (ร้อยละ 60.16) รองลงมา คือ เทศบาลต�าบล มีผู้ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 228 แห่ง (ร้อยละ 29.50) 1.3 เรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยที่เป็นเรื่องส�าคัญ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีเรื่องส�าคัญที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการไต่สวนและ มีมติชี้มูลความผิดเรื่องกล่าวหาที่เป็นคดีระหว่างประเทศ จ�านวน 1 เรื่อง เรื่องกล่าวหาของผู้ด�ารงต�าแหน่ง ทางการเมือง จ�านวน 3 เรื่อง เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ จ�านวน 18 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 22 เรื่อง 2. ด้านป้องกันการทุจริต “การป้องกันการทุจริต” เป็นหนึ่งในกลไกส�าคัญของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ใช้ในการต่อสู้กับปัญหา การทุจริต นอกเหนือจากการปราบปรามการทุจริตผ่านกลไกการชี้มูลความผิดคดีอาญา โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้กลไกการป้องกันการทุจริตดังกล่าว ผ่านบทบัญญัติส�าคัญที่ก�าหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คือ มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 35 การด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 32 เกี่ยวกับการน�าเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ มีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ดังนี้ 1) มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ 2) ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา “โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion)” และ 3) ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ การด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 33 ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนให้ประชาชน และหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมทั้งการส่งเสริม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 5 เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนให้มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ได้แก่ โครงการ STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต โครงการ STRONG องค์กรพอเพียงต้านทุจริต โครงการการพัฒนาแผนที่พื้นที่เสี่ยง ต่อการทุจริตในประเทศไทยอย่างมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และโครงการเสริมสร้างความร่วมมือทางศาสนา เพื่อสร้างแนวทางการต่อต้านการทุจริต ภารกิจด้านป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นอกจากการขับเคลื่อนงานป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในมาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 35 แล้ว การด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนการปฏิรูป ประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โครงการและกิจกรรมจ�านวนมากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ถูกก�าหนดขึ้นให้เป็นไปตาม เป้าหมายหลักของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ “เพื่อให้ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยให้ความส�าคัญ กับการปรับและหล่อหลอมพฤติกรรม “คน” ทุกกลุ่มในสังคมให้มีจิตส�านึกและพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสมกับบริบท สภาพปัญหา และพลวัตการทุจริตของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการด�าเนินงานของกระบวนการและกลไก ที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามการทุจริต” เป้าหมายหลักประการแรก ที่ก�าหนดให้ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดให้มีการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) โดยมีหน่วยงานภาครัฐ จ�านวน 8,300 หน่วยงาน เข้าร่วมประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และมีประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ จ�านวน 1,331,588 ราย โดยหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ มีผลคะแนนเฉลี่ย 81.25 คะแนน สูงกว่าปีที่ผ่านมา 13.35 คะแนน นอกจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เล็งเห็นถึงความส�าคัญของการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยก�าหนดให้มีหน่วยงานด้านการป้องกันการทุจริตไปให้ค�าปรึกษาทางวิชาการกับหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้ง จัดท�าเอกสารทางวิชาการเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลส�าหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และยกระดับ ผลการประเมิน ITA เป้าหมายหลักประการที่สอง ที่ก�าหนดให้มีการปรับและหล่อหลอมพฤติกรรมคนทุกกลุ่ม ในสังคม ให้มีจิตส�านึกและพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทางด้านการศึกษาเพื่อจัดท�า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anit-Corruption Education) ซึ่งมีการขับเคลื่อนงานทั้งการสร้างและพัฒนา และการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และการสนับสนุน ให้เกิดการส่งเสริมการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป้าหมายหลักประการที่สาม เป็นเรื่องการพัฒนานวัตกรรม ในการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสมกับบริบท สภาพปัญหา และพลวัตการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการในเรื่องการประสานความร่วมมือและเสริมสร้างประสิทธิภาพนวัตกรรมต่อต้านการทุจริตเพื่อลดคดีทุจริต และประพฤติมิชอบของประเทศไทย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 6 ส�าหรับ เป้าหมายและตัวชี้วัด ของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ก�าหนดให้มีการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ถึงแม้ว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการจัดท�าข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) และเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ส�านักงาน ป.ป.ท. เป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อน ในการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช . ยังคงมี “แผนการด�าเนินงานเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 ในเรื่อง “การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต ที่มีประสิทธิภาพ” ได้มีการจัดท�าคู่มือการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชน เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ การคุ้มครองช่วยเหลือพยานและการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ด�าเนินคดี ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้แจ้งเบาะแสได้ นอกจากนี้ ภารกิจป้องกันการทุจริตได้มีการน�าเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยได้มีการพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการด�าเนินงานและเชื่อมต่อผลผลิต ผลลัพธ์ของทุกกลุ่มเป้าหมายเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย คลังเครื่องมือป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Toolbox) เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน WE STRONG และแผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping) 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการด�าเนินการด้านตรวจสอบทรัพย์สิน และหนี้สินที่ส�าคัญทั้งการก�าหนดต�าแหน่งที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. การรับยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ น และการเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าพนักงานของรัฐ ให้ค�าปรึกษาเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน รวมทั้งตอบข้อหารือในประเด็นดังกล่าวด้วย ส�าหรับการด�าเนินคดีเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สิน และหนี้สินนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการกรณีผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อมูลที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติกรรมอันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น และได้มีมติกรณีดังกล่าวส่งให้ศาลที่มีเขตอ�านาจวินิจฉัย จ�านวนทั้งสิ้น 21 เรื่อง มีการพิจารณาด�าเนินการไต่สวน และมีความเห็นหรือค�าวินิจฉัยว่าผู้ใดร�่ารวยผิดปกติทั้งสิ้น 7 เรื่อง โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 471,094,091.75 บาท และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยว่าร�่ารวยผิดปกติ ผู้บังคับบัญชาจะต้องสั่งลงโทษไล่ออก ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งค�าวินิจฉัยจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยให้ถือว่าเป็นการกระท�าการทุจริต ต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ส�าหรับผลการด�าเนินงานด้านการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน มีผลการด�าเนินงานด้านการ ตรวจสอบบัญชี รวมทั้งสิ้น 19,362 บัญชี จ�าแนกเป็น กรณีการตรวจสอบปกติ 16,846 บัญชี การตรวจสอบยืนยัน 1,979 บัญชี และการตรวจสอบเชิงลึก 537 บัญชี และมีผลการด�าเนินงานเรื่องไต่ส่วนร�่ารวยผิดปกติ รวมทั้งสิ้น 106 เรื่อง จ�าแนกเป็น การตรวจสอบกรณีร�่ารวยผิดปกติ 87 เรื่อง และการไต่สวนกรณีร�่ารวยผิดปกติ 19 เรื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 7 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นทุกระดับจ�านวนมากต่อเนื่องไปถึง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีภาระงานที่ต้องเร่งด�าเนินการตรวจบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ยื่นกรณีพ้นจากต�าแหน่ง และกรณีเข้ารับต�าแหน่งตามวาระที่ได้รับการเลือกตั้ง เข้าด�ารงต�าแหน่งใหม่ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทางระบบ อิเล็กทรอนิกส์ส�าหรับเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่มีหน้าที่ต้องยื่นตามมาตรา 158 และตั้งเป้าหมายจะให้ เจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นที่มีหน้าที่ต้องยื่นตามมาตรา 102 และมาตรา 103 เริ่มยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (1 ตุลาคม 2565) จะช่วยให้การตรวจบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินมีความรวดเร็ว ลดปริมาณการใช้เอกสาร และจัดท�าข้อมูลได้อย่างเป็นระบบที่สมบูรณ์ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส�านักงาน ป.ป.ช. ตั้งเป้าหมายการด�าเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินจะต้องด�าเนินการ ตรวจบัญชีค้างเก่าให้เสร็จสิ้นทั้งหมด รวมทั้งการตรวจบัญชีฯ รับใหม่ การเปิดเผยผลการตรวจบัญชีฯ และการเปิดเผยบัญชีฯ แล้วแต่กรณีตามต�าแหน่งที่กฎหมายก�าหนด ให้สามารถด�าเนินการได้ภายในก�าหนดเวลา นอกจากนี้ ในส่วนของคดีร�่ารวยผิดปกติจะต้องมีการเร่งรัดไต่สวนคดีส�าคัญให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยประสาน ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแส และข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกตรวจสอบไต่สวน ทั้งจาก ส�านักสืบสวนและกิจการพิเศษของส�านักงาน ป.ป.ช. สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นรวมทั้ง ความร่วมมือของภาคประชาชน ทั้งนี้ เพื่อติดตามน�าทรัพย์สินของชาติที่ต้องสูญเสียไปโดยมิชอบคืนสู่แผ่นดิน อันเป็นการป้องปรามการทุจริต เพื่อลดพฤติการณ์การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐให้มีประสิทธิภาพอีกช่องทางหนึ่งด้วย 4. ด้านอ�นวยการยุติธรรม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด�าเนินการขับเคลื่อนให้มีกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งได้ให้ความส�าคัญกับกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) โดยในกิจกรรมปฏิรูปที่ 2 “การพัฒนาการเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารและพัฒนาระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ” และในกิจกรรมปฏิรูปที่ 4 “การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์” โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานหลักรับผิดชอบ กิจกรรมปฏิรูปดังกล่าว ได้ด�าเนินการจัดท�ารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน การฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) ด�าเนินการยกร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ ด�าเนินการจัดท�ารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมาย ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม และด�าเนินการพิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมตามแผนการปฏิรูปประเทศ นอกจากนี้ ด้านการขับเคลื่อนเรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้สนับสนุนและผลักดันการจัดท�าร่างประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง ก�าหนด ต�าแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ด�าเนินกิจการตามความในมาตรา 126 เพิ่มเติม การจัดท�าแนวทาง การบริหารความเสี่ยงหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ของหน่วยงานต่าง ๆ โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้บูรณาการความร่วมมือกับ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงานในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันการกระท�าความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมให้เห็นผลเป็นรูปธรรมและสามารถน�าไปปฏิบัติได้ และได้จัดท�า “ประกาศกระทรวง… เรื่อง มาตรการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม” ขึ้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 8 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อก�าหนดแนวทาง การบริหารจัดการ ความเสี่ยงเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของแต่ละกระทรวง ทั้งนี้ ในส่วนของส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดท�าแผนบริหารความเสี่ยง ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รวมทั้งจัดท�ารายงานการศึกษาการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการจัดท�าแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับ การปฏิบัติงานที่อาจเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รวมถึงได้ก�าหนดมาตรการและการด�าเนินการในการบริหารจัดการความเสี่ยง น�าไปสู่การจัดท�าประกาศส�านักงาน ป.ป.ช. เรื่อง มาตรการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในส�านักงาน ป.ป.ช. ให้การด�าเนินงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นมาตรการเพื่อควบคุมความประพฤติ ในทางวินัยส่วนหนึ่ง และสร้างกลไกลการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในสังกัด ซึ่งการป้องกันการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม เป็นนโยบายส�าคัญของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานแรก ในการออกประกาศดังกล่าว 5. การขับเคลื่อนการด�เนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพในการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผ่านกลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้ร่วมจัดท�า แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ซึ่งได้รับความเห็นชอบ จากคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 เพื่อเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และภาคเอกชน แปลงแนวทางการด�าเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ สู่การปฏิบัติ โดยก�าหนดไว้ ในแผนปฏิบัติราชการประจ�าปี ในการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะรัฐมนตรีก�าหนดให้ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักกิจกรรมปฏิรูป ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) จ�านวน 2 กิจกรรมปฏิรูป ได้แก่ กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต ที่มีประสิทธิภาพ และกิจกรรมปฏิรูปที่ 3 การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ในการด�าเนินคดีทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และรับผิดชอบการมีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายภายใต้ แผนการปฏิรูปประเทศฯ โดยมีการด�าเนินงานที่ส�าคัญภายใต้กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 ได้แก่ การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและหัวหน้าหน่วยงานของรัฐฟ้องร้องด�าเนินคดีกับบุคคลที่แสดงความเห็นหรือเปิดโปง เบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ (กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law)) การด�าเนิน โครงการพัฒนาช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึง ช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกได้โดยสะดวกและมีความปลอดภัย และการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครอง พยานและผู้แจ้งเบาะแส รวมถึงการให้ค่าตอบแทนให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ ส�าหรับกิจกรรมปฏิรูปที่ 3 มีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ คือ การขับเคลื่อนโครงการ STRONG – จิตพอเพียง ต้านทุจริต เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 9 ประชาชนเป็นเครือข่ายในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการปฏิบัติงานของภาครัฐ รวมทั้งร่วมด�าเนินมาตรการ ลงโทษทางสังคม (Social Sanction) และเพื่อให้การด�าเนินคดีทุจริตมีความรวดเร็ว เป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ มีการด�าเนินการเพื่อการแก้ไข ร่าง หลักเกณฑ์การก�าหนดขนาดของเรื่องกล่าวหาเพื่อมอบหมาย เรื่องกล่าวหาของส�านักงาน ป.ป.ช. การส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมด�าเนินคดีตามกรอบเวลา ของกฎหมายในมาตรฐานเดียวกันอย่างรวดเร็ว เป็นต้น รวมทั้งการด�าเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงระบบ สารสนเทศด้านปราบปรามการทุจริต การพัฒนาระบบฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านการปราบปรามการทุจริต และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการด�าเนินมาตรการควบคุม ก�ากับ ติดตามการบริหาร จัดการโดยยึดหลักคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม การปรับปรุงหลักเกณฑ์โทษค่าปรับนิติบุคคลที่กระท�าความเสียหายให้กับประเทศตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดท�าหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศฯ จ�านวน 3 ฉบับ ได้แก่ การจัดท�า กฎหมายเกี่ยวกับการก�าหนดความผิดของนิติบุคคล และผู้ร่วมกระท�าความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต และประพฤติมิชอบ การเร่งรัดการจัดท�าพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ ของรัฐต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดหรือปฏิบัติงานอยู่ เพื่อใช้เป็น ฐานข้อมูลในการตรวจสอบการร�่ารวยผิดปกติ และการเร่งรัดการจัดท�าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … ในส่วนแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาการทุจริต ในสังคมไทย ผ่านการปลูกจิตส�านึกและสร้างค่านิยมให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต คุณธรรม จริยธรรม และใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร การปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวดและเป็นธรรม รวมทั้งการให้โอกาสประชาชนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ โดยจ�าแนกตามแนวทางการด�าเนินงาน 3 แนวทาง ผลการด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามแนวทางการด�าเนินงาน เป็นดังนี้ แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิดปลุกจิตส�านึกให้มีวัฒนธรรม และพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีการด�าเนินโครงการภายใต้แนวทาง รวม 28 โครงการ ซึ่งผลลัพธ์ในการด�าเนิน โครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ อาทิ การมุ่งเน้นการปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึกให้มีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์ สุจริต มีทัศนคติที่ไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ โดยใช้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ วิธีคิด ผ่านหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนสามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และมีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต รวมทั้งการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ แนวทางที่ 2 ป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีการด�าเนินโครงการภายใต้แนวทาง รวม 2 โครงการ โดยผลลัพธ์ในการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ อาทิ การมุ่งเน้นการพัฒนา วิเคราะห์ และวางระบบกลไกของหน่วยงานภาครัฐ ให้มีการก�าหนดมาตรการ กลไก แนวทาง ข้อเสนอแนะในการป้องกัน การทุจริต รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือป้องกันการทุจริตอย่างเป็นระบบระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การสร้างระบบ เฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตเชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐการเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังของรัฐ และการด�าเนินการ ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน แนวทางที่ 3 ปราบปรามการทุจริต มีการด�าเนินโครงการภายใต้แนวทาง รวม 4 โครงการ โดยผลลัพธ์ในการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ ได้แก่ การสืบสวนปราบปรามเพื่อด�าเนินการกับทรัพย์สิน หรือผู้กระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ การด�าเนินงานด้านการปราบปรามการทุจริต การพัฒนาบุคลากรด้านปราบปรามการทุจริต
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 10 6. กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) ได้รับจัดสรรงบประมาณ จ�านวน 100,000,000 บาท โดยมีผู้ให้ความสนใจยื่นข้อเสนอโครงการจากทั้ง ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ รวม 200 โครงการ คิดเป็นงบประมาณ 411,311,107 บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้พิจารณาอนุมัติสนับสนุนการด�าเนินโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ของกองทุน ป.ป.ช. จ�านวนทั้งสิ้น 85 โครงการ เป็นเงิน 90,263,219 บาท จ�าแนกเป็น วัตถุประสงค์ที่ 1 สนับสนุนการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ และสนับสนุนภาคเอกชนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ในการป้องกันการทุจริต จ�านวน 73 โครงการ เป็นเงิน 67,224,919 บาท และ วัตถุประสงค์ที่ 4 ค่าใช้จ่ายอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอ�านาจเกี่ยวข้อง กับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จ�านวน 12 โครงการ เป็นเงิน 23,038,300 บาท ส�าหรับ วัตถุประสงค์ที่ 2 เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือและค่าทดแทนตามมาตรา 131 และเงินรางวัล ตามมาตรา 137 คณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้มีมติอนุมัติเบิกจ่ายเงิน จ�านวน 5,805,337.03 บาท เพื่อเป็นเงินรางวัลตามมาตรา 137 ส�าหรับ วัตถุประสงค์ที่ 3 ใช้จ่ายในการคุ้มครองการปฏิบัติงานของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการ หัวหน้าพนักงานไต่สวน พนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 ไม่มีผู้ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ป.ป.ช. สัมฤทธิผลของการด�เนินงานตามระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการ 1. ความส�เร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ความส�าคัญในการพัฒนาและบริหารจัดการส�านักงาน ป.ป.ช. อย่างรอบด้าน ทั้งด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร เทคโนโลยีสารสนเทศ การวิจัย และสื่อสารองค์กร เพื่อสนับสนุนการด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในทุกมิติให้บรรลุเป้าหมายในการป้องกันและปราบการทุจริต อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใน ด้านพัฒนาบุคลากร มีการพัฒนาความรู้และเสริมสร้างสมรรถนะ ที่จ�าเป็น ต่อการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีการพัฒนาบุคลากร จ�านวนทั้งสิ้น 2,714 คน ประกอบด้วย การอบรมภายใน (In house Training) และการอบรมภายนอก (Public Training) ซึ่งภายหลังที่มีการอบรมแก่บุคลากรเรียบร้อยแล้ว ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการติดตามประเมินผล การน�าความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่โดยพบว่า ผู้เข้ารับการอบรมสามารถน�าความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการปฏิบัติ หน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส�าหรับ ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีนโยบายสนับสนุนการปฏิบัติงานของส่วนปฏิบัติการพื้นที่ มุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่ได้มีอาคารที่ท�าการส�านักงานและ อาคารที่พักอาศัยอย่างเหมาะสมและมั่นคงปลอดภัย ตลอดจนเป็นสถานที่บริการอ�านวยความสะดวกให้กับ ประชาชนหรือส่วนราชการในการติดต่อราชการ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างด�าเนินการสร้างอาคารส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด พร้อมอาคารชุดพักอาศัย และสิ่งก่อสร้างประกอบ จ�านวน 19 แห่ง และมีการเตรียมการ เพื่อก่อสร้างส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ในปีงบประมาณ 2565 อีกจ�านวน 9 แห่ง นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีนโยบายในการดูแลเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. อย่างเต็มที่ โดยก�าหนดแนวทางการปฏิบัติงาน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 11 ภายใต้ภาวะวิกฤติของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เคร่งครัดตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และค�านึงถึงสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และบุคลากรเป็นส�าคัญ โดยมีการจัดท�าแผนปฏิบัติการพิเศษในภาวะวิกฤต ของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ต้องเข้ามาปฏิบัติงานเกิดความมั่นใจและปลอดภัยจากเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ส่งผลให้การขับเคลื่อนงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก�าหนดนโยบายในการพัฒนาปรับปรุงระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยมีการทบทวนนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยด้านสารสนเทศให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน มีการน�ามาตรฐาน ISO 27001 มาใช้เป็นกรอบ ในการจัดท�า เพื่อให้ได้นโยบายและแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐานสากล และได้ด�าเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศ และการบูรณาการข้อมูลหน่วยงานรัฐ โดยน�าเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ ทั้งเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงาน ใน กระบวนการยุติธรรม การพัฒนาระบบสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจหลักของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความสะดว ก รวดเร็ว และถูกต้อง รวมถึงมุ่งเน้นให้สามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้มีการน�าเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาสนับสนุนภารกิจด้านป้องกัน ด้านปราบปราม ด้านการข่าวและการแสวงหาข้อเท็จจริง และการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนการตัดสินใจ ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ด้านการวิจัย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งเสริมให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ด�าเนินงานวิจัยถึง 6 โครงการ เพื่อน�าผลการวิจัยไปใช้เป็น ข้อมูลประกอบการเสนอมาตรการ/แนวทางแก้ไขปัญหาการทุจริตต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น การทุจริต ในจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้าง การทุจริตเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต เป็นต้น รวมทั้งได้น�าไปใช้ประกอบการวางแผนงาน ปรับปรุงและพัฒนา กระบวนการปฏิบัติงานด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และใน ด้านสื่อสารองค์กร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ผลักดันการขับเคลื่อนงานสื่อสารเพื่อสร้างกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีเป้าหมายเพื่อบูรณาการงานสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ถึงผลที่เกิดจากการทุจริต รู้จักแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตน และส่วนรวม เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการสื่อสาร เพื่อปลุกกระแสสังคมภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” ซึ่งมีผลการด�าเนินงาน ประชาสัมพันธ์ปลุกจิตส�านึกให้สังคมไม่ยอมรับการทุจริต ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านช่องทางต่าง ๆ การบูรณาการความร่วมมือและการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เครือข่าย ทุกภาคส่วนมาร่วมขับเคลื่อนงานสื่อสาร กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงผลที่เกิดจากการทุจริต และสร้างสังคม ที่ไม่มีการทุจริต ซึ่งการด�าเนินงานดังกล่าวส่งผลให้สังคมตระหนักถึงผลกระทบจากการทุจริต รู้จักแยกแยะ ผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม และประชาชนเริ่มตื่นตัวและไม่ทนต่อการทุจริต ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ประชาชน ช่วยกันเฝ้าระวังการทุจริตจากการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในพื้นที่จังหวัด ของตน เช่น กรณีอาหารกลางวันเด็กนักเรียน การรุกล�้าพื้นที่สาธารณะ และโครงการจัดซื้อเสาไฟประติมากรรม เป็นต้น การบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลการประเมินอยู่ที่ 3.7122 คะแนน ซึ่งมีผลคะแนนที่สูงขึ้นกว่าปีงบประมาณ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 12 พ.ศ. 2563 ที่มีผลการประเมินอยู่ที่ 3.4914 คะแนน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก�าหนดนโยบาย และทิศทางการด�าเนินงานที่มีความชัดเจน ประกอบกับการส่งเสริมและผลักดันให้ส�านักงาน ป.ป.ช. สามารถ บริหารจัดการในการขับเคลื่อนภาระงานทุกมิติ แม้ในช่วงภาวะวิกฤติของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ 2. ระดับความเชื่อมั่นต่อส�นักงาน ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการส�ารวจความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของ ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการรับรู้ของผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในการด�าเนินการภารกิจต่าง ๆ และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของ ส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อประเมินระดับความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน และเป็นข้อมูลให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ประกอบการวางแผน พัฒนา/ปรับปรุงการด�าเนินงานในทุกภารกิจ และการพัฒนาปรับปรุงงานการประชาสัมพันธ์ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยผลการส�ารวจในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในเรื่อง ความพึงพอใจต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. มีระดับความพึงพอใจต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.79 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.8 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “พึงพอใจค่อนข้างมาก” ในด้านความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. มีระดับความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.86 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.3 อยู่ในระดับ “เชื่อมั่นค่อนข้างมาก” ซึ่งผลการส�ารวจความเชื่อมั่นในภาพรวมของผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เนื่องจากส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญ กับการยกระดับความเชื่อมั่นด้วยการขับเคลื่อนการด�าเนินงานในแต่ละภารกิจให้เป็นการด�าเนินงานเชิงรุกมากขึ้น ส�าหรับในเรื่องภาพลักษณ์ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. มีระดับความคิดเห็นต่อภาพลักษณ์การด�าเนินงาน ของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.91 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.2 อยู่ในระดับ “ภาพลักษณ์ดี” โดยประชาชนเห็นว่า ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์ และมีความเสมอภาค/ ไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. จะได้น�าข้อเสนอแนะจากการส�ารวจดังกล่าวไปสู่การพัฒนาการด�าเนินงาน ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3. สัมฤทธิผลการด�เนินงาน 3.1 การด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันกับภาคีและพันธสัญญาต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศ และต่างประเทศ การด�าเนินงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งผลให้ หลายประเทศใช้มาตรการปิดประเทศ (lockdown) คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีนโยบายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการท�างานโดยการเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) เพื่อขับเคลื่อน การด�าเนินงานที่ส�าคัญ ทั้งการประสานงานและการด�าเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ เพื่อรวบรวมพยาน หลักฐานส�าคัญจากต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การประสานความร่วมมือ อย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของต่างประเทศ และมุ่งมั่นในการขยายเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างประเทศไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ในส่วนการด�าเนินการตามพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 13 ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention Against Corruption : UNCAC) ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะผู้ประสานงาน (focal point) ของประเทศไทยในฐานะรัฐภาคี ได้ด�าเนินการประสาน กับหน่วยงานของไทยซึ่งมีภารกิจเกี่ยวข้องกับประเด็นตามร่างปฏิญญาทางการเมือง (political declaration) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จ�านวน 41 หน่วยงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลประกอบการจัดท�าท่าที ของไทย น�าไปสู่ข้อเสนอประเด็นการปฏิเสธการให้ที่พักพิง (safe haven) แก่ผู้กระท�าความผิดในคดีทุจริต และการ ด�าเนินการ เพื่อไม่ให้นโยบายส่งเสริมการท�าธุรกิจ การลงทุนและการเข้าเมือง (business, investment and immigration policies) ถูกใช้ประโยชน์โดยผู้กระท�าความผิดในคดีทุจริต ซึ่งที่ประชุม UNGASS ได้รับรอง ประเด็นดังกล่าวในปฏิญญาทางการเมืองแล้ว และภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตขึ้นทั่วโลก ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้เข้าร่วมประชุมทั้งในเวทีระดับภูมิภาคและทวิภาคี เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการป้องกันและมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้มีการน�าเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการทุจริตท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 และเสนอ แนวทางการแก้ปัญหารวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชก�าหนดการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมยกตัวอย่างการด�าเนินคดีตามข้อร้องเรียนการทุจริต 3.2 การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ ประกอบด้วย ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 แห่ง และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 76 แห่ง โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญกับการบริหารราชการของภารกิจปฏิบัติการพื้นที่โดยก�าหนดนโยบายในการให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค มีอ�านาจในการบริหารก�ากับดูแลส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดในเขตพื้นที่ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย ซึ่งกลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่เป็นกลไกส�าคัญในการถ่ายทอดและแปลงนโยบายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ มีการก�ากับดูแลโดยผู้ตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งมีการลงพื้นที่ตรวจติดตาม การปฏิบัติราชการ การน�านโยบายคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปสู่การปฏิบัติ การให้ค�าปรึกษาแนะน�า และแก้ไข ปัญหาในการปฏิบัติราชการ นอกจากนี้ ในการถ่ายทอดนโยบายและก�ากับติดตามการด�าเนินงานของกลุ่มภารกิจ ปฏิบัติการพื้นที่ยังมีกลไกศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่มีการประชุม ขับเคลื่อนติดตามและเร่งรัดการด�าเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจ�าทุกสัปดาห์ ซึ่งผลการด�าเนินงานในภาพรวม ด้านปราบปรามการทุจริต มีผลการด�าเนินงานแล้วเสร็จ จ�านวน 3,942 เรื่อง ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน มีผลการด�าเนินงานตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน รวม 10,714 บัญชี ส�าหรับด้านป้องกันการทุจริต (ส่วนปฏิบัติการพื้นที่) ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาการทุจริตในพื้นที่ โดยส�ารวจข้อมูลจากสถิติ เรื่องกล่าวหาร้องเรียนว่ามีประเภทคดี เรื่องใดมีพฤติการณ์การกระท�าความผิดอย่างไร มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือคณะบุคคลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระท�าความผิด เพื่อน�าไปสู่การด�าเนินงานป้องกันการทุจริต ในระดับพื้นที่ ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อรัฐสภา 1. ข้อเสนอแนะด้านการป้องกันการทุจริต ตามบทบัญญัติมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาเห็นควรเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาเร่งรัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด�าเนินการตามมาตรการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการป้องกัน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 14 การทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ ในที่ดินป่าไม้ ปัญหาการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ การบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นการประชาสัมพันธ์และการสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของภาคประชาชนในการตรวจสอบและสอดส่องดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตามบทบัญญัติ มาตรา 33 ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานของรัฐในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผ่านมาตรการและกลไกต่าง ๆ นั้น เห็นควรให้มีการพิจารณาปรับปรุง แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ของประชาชน เช่น การให้หน่วยงานของรัฐมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้งการเปิดเผย ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เป็นต้น 2. ข้อเสนอแนะด้านการขับเคลื่อนและผลักดันกฎหมาย แผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) ได้ก�าหนดให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมด�าเนินการในกิจกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์ โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต และได้ยกร่างกฎหมายเพื่อเสนอต่อรัฐสภา ดังนี้ 2.1 การแก้ไข ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … จ�านวน 2 ฉบับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งและการพ้นจากต�าแหน่ง ของข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 180 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และการปรับปรุงกลไกของกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน 8 ประเด็น 15 มาตรา เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อ สภาวการณ์ทุจริตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 2.2 การผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริต ต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ. … ให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งได้ก�าหนดให้มีกฎหมายเพื่อป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP Law) อันเป็นการคุ้มครองบุคคลที่แสดงความเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ 2.3 การผลักดัน ร่างพระราขบัญญัติว่าด้วยการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและ ผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … ให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ เพื่อก�าหนดกรอบการกระท�าที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับส่วนรวม ส่งเสริมและสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายให้สามารถแยกแยะระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมออกจากกันได้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 15 Executive Summary The Annual Report of the Fiscal Year 2021 is a report of the performance of duties of the National Anti-Corruption Commission (NACC) from 1st October 2020 until 30th September 2021, which has been prepared by virtue of the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561, Section 29 prescribing that the NACC shall report the performance of duties together with observations to the Parliament on a yearly basis; whereby, the President or NACC Commissioner assigned by the NACC shall present the report to the Parliament and it will be published in the Government Gazette and make available to the public. Policies and Directions of the National Anti-Corruption Commission Performance Subject to the provisions of the Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2560 and the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561, the NACC has emphasized the rapid and fair operation and paid attention to the transparency, accountability and cooperation with different sectors on anti-corruption matters. In the Fiscal Year 2021, the NACC has determined the policy that the Office of the National Anti-Corruption Commission (ONACC) shall perform duties in accordance with the timeframe as prescribed by laws, as well as the improvement of the management system to effectively achieve the goals, including the driving of NACC Operation Command Center to supervise and monitor the operations and to reveal the operating results in all dimensions in alignment with the policies and concrete management. In addition, in the Fiscal Year 2021, the NACC has increased the number of meeting days to accelerate the trial of investigation cases, and to effectively achieve the duties. Regarding the suppression of corruption, in the Fiscal Year 2021, there have been the challenges of finalization of investigation cases within 3 years in accordance with the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561. According to the policy, the NACC actively supervised and continuously monitored the corruption cases within time constraint and maintained the qualification and proper standard of case files. The improvement and the mobilization of working processes are the main factors to assist the ONACC to finalize tremendous corruption cases in time. Regarding the prevention of corruption, the NACC has the direction to develop the prevention of corruption aspect for success and make it as first priority before the suppression of corruption aspects. The policy of improving prevention of corruption aspect is to mobilize corruption prevention missions in all dimensions in accordance with Section 32, Section 33 and Section 35 of the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561 and the information of the examination of accusations leads to the analysis of corruption situation and adapts to the suit-
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 16 able preventive measures in particular areas, upgrading and motivating to participate in the Integrity and Transparency Assessment (ITA) of public sectors, driving the “STRONG” Project-sufficient mind against corruption, development of anti-corruption education, development of Corruption Risk Mapping Project in Thailand with the participation of civil society and upgrading of the Corruption Perceptions Index (CPI) scores. The inspection of assets and liabilities is another core mission of the NACC to drive the corruption prevention tasks. The inspection of assets and liabilities aims to be an effective tool to prevent corruption. It provokes fear and helps reduce the acts of corruption. In addition, the policy of assets and liabilities inspection of the NACC focuses on qualitative operations along with the development of database system of the list of assets and liabilities for the purpose of management. Moreover, the use of IT system can improve and support the inspection of assets more effectively. In addition to the policy and operational direction in the said core missions, the advices of the National Strategy Committee, the Strategic Transformation Committee, the Education Commission Investigates Corruption, Misconduct and Strengthens Good Governance, and the Independent Constitutional Affairs Commission contribute to the improvement of the process and policy of working in all dimensions of anti-corruption. As a result, the NACC applied the national reform guidelines to its works, and the results are, as follows: The Achievement of Overall Operations 1. The Suppression of Corruption 1.1 The statistics of accusations and complaints and results of examination of allegations According to the overview of the Fiscal Year 2021, there were various accusa- tions being sent to the NACC; totally 8,381 cases including complaint letters; totally 4,361 cases (51.50%), official letters; totally 1,939 cases (23.14%), anonymous letters; totally 1,594 cases (19.02%), online complaints; totally 196 cases (2.34%), verbal complaints; totally 116 cases (1.38%), whistleblowing; totally 96 cases (1.15%) and accusations without names and positions of complainants; totally 89 cases (1.06%). In addition, the causes that are suspicious by the NACC; totally 35 cases (0.42%); and when taking account of those accusations and complaints being directly sent to the NACC, were found that the majority of accusations were directly sent to the ONACC; totally 5,568 cases (66.44%), followed by complaints being sent to the Royal Thai Police; totally 1,307 cases (15.59%) and complaints being sent to the Office of Public Sector Anti- Corruption Commission (PACC); totally 1,034 cases (12.34%) respectively.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 17 From the total of 8,381 accusations, they can be divided into 2 groups, as follows: 1. Group of accusations with complete details under Section 60 (complaint letters, official letters, verbal complaints and the causes that are suspicious by the NACC); totally 6,406 cases equal to 76.43% of the total accusations including complaint letters; totally 4,316 cases (67.37%), official letters; totally 1,939 cases (30.27%), verbal complaints; totally 116 cases (1.81%) and the reasons that are suspicious by the NACC; totally 35 cases (0.55%). The NACC has considered the results of examination of allegations and passed resolution; totally 6,394 cases (99.81%). 2. Group of accusations with incomplete details under Section 60 (anonymous letters, online complaints, whistleblowing and accusations without names and positions of complainants); totally 1,975 cases or equal to 23.57% of the total accusations; divided into anonymous letters; totally 1,594 cases (80.71%), online complaints; totally 196 cases (9.92%), whistleblowing; totally 89 cases (4.51%) and accusations without names and positions of complainants; totally 96 cases (4.86%). The NACC has considered the results of examination of allegations and had the resolutions; totally 1,960 cases (99.24%). Regarding the Fiscal Year 2021, there were totally 3,207 accusations (38.39%) received by the ONACC for preliminary inspection; meanwhile, 2,714 cases (32.49%) were returned or transferred to other agencies whose had powers and duties of anti-corruption to take action in lieu of the NACC, and 1,115 repetitive cases (13.35%); meanwhile, 1,211 cases (14.50%) were rejected or out of the NACC authority, 96 accusations (1.15%) were dismissed, and others 11 cases (0.13%). When comparing the number of accusations between those in the Fiscal Year 2021 and 2020, it showed that in the Fiscal Year 2021, the number of accusations has decreased by 794 cases (8.20%), whereby in the Fiscal Year 2020, there were totally 9,130 accusations and complaints being sent to the ONACC but in the Fiscal Year 2021, there were totally 8,381 accusations and complaints being sent to the ONACC. When considering accusations in each category, it showed that the rates of causes that are suspicious by the NACC, anonymous letters, complaint letters and verbal complaints have decreased by 50.70%, 20.81%, 12.95% and 7.94% respectively. Meanwhile, rates of accusations in whistleblowing, online complaints and official letters have increased by 154.55%, 154.29% and 4.81% respectively. 1.2 The results of preliminary inspection and fact inquiry In the Fiscal Year 2021 (as of 30th September 2020), the ONACC had totally 12,851 cumulative accusations, and 4,081 newly accepted from 1st October 2020 until 30 th September 2021; or totally 16,932 cases. According to the total pending cases received by the ONACC, the NACC has adjudicated and passed resolution for totally 5,587 cases; 4,050 cases were completed in preliminary inspection process and 1,537 cases were completed for fact inquiry; meanwhile, 4,620 cases were closed with remaining 12,312 cases (as of 30th September 2021), which can be divided, as follows:
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 18 1. In the stage of preliminary inspection, there were 4,050 settled accusations; divided into 3,083 completed cases and 967 cases being received for fact inquiry. Meanwhile, there were 9,553 unsettled cases in the stage of primarily inspection. 2. In the stage of fact inquiry, there were 1,537 settled cases and 2,759 unset- tled cases. Regarding in the Fiscal Year 2021, the NACC passed resolution that alleged officials had committed criminal offences; totally 1,076 cases, or increased by 562 cases when compared to those in the Fiscal Year 2020. There were totally 4,985 corruption cases; whereas, the monetary damages of corruption cases have been estimated at approximately 27,267 million Baht, or decreased by 6,619 million Baht when compared to those in the Fiscal Year 2020. When considering sizes of cases that the NACC passed resolution that alleged officials had committed criminal offences, it was found that the majority were large sizes 480 cases (44.61%), followed by medium sizes 305 cases (28.35%), extra-large sizes 243 cases (22.58%) and small sizes 48 cases (4.46%), and the cases that alleged officials had committed top three criminal offences were; 1) group of procurement cases; totally 497 cases (46.19%); 2) group of ethics and misconduct; totally 193 cases (17.94%) and 3) group of criminal justice system, politics and public administration; totally 176 cases (16.36%). In regard to the local government, the sub-district administrative organizations were the highest rank of local governments where alleged officials committed corruption; totally 465 organizations (60.16%), followed by the municipalities where alleged officials committed criminal offences; totally 228 municipalities (29.50%). 1.3 The accusations were adjudicated by the NACC as important cases In the Fiscal Year 2021, there was 1 (one) important international case that the NACC investigated and passed resolution to accuse offender for wrongdoing. There were 3 cases of accusations against persons holding political positions, and 18 cases of accusations against government officials; totally 22 cases. 2. Performance in Prevention of Corruption “Prevention of corruption” is one of the key mechanisms used by the NACC to fight against corruption in addition to suppression of corruption through the mechanism of its resolution that the accused offender of wrongdoing found guilty in criminal offence; whereby, the NACC utilized the mechanism of prevention of corruption by implementing the important provisions prescribed in the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561; such as; Section 32, Section 33 and Section 35. Under Section 32, the NACC proposed measures, opinions and recommendations on prevention of corruption to the Cabinet, the Parliament, courts, independent organizations or public prosecutor office with important results, as follows: 1) prevention of corruption measures relating to the unlawful utilization of State land, in case of invasion problem and utilization of
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 19 forest land; 2) recommendations for prevention of corruption; case study of “Suvarnabhumi Airport Development Project, Phase 2 (North Expansion)”; and 3) recommendations for prevention of corruption; case study of “1 Village, 1 km Para-Soil Cement Road Project”. Under Section 33, the NACC has duty to support people and government agencies to participate and provide cooperation in anti-corruption; including to foster children and youth, as well as the public to uphold the integrity and honesty; for example, “STRONG” Project - sufficient mind against corruption, Corruption Map Risking project in Thailand with the participation of civil society and project of enhancement of religious cooperation to provide anti-corruption guidelines. The NACC’s suppression of corruption missions and the 20-year national strategies and national reform plan on anti-corruption and misconduct Besides the driving of anti-corruption mission of the NACC under the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561, Section 32, Section 33 and Section 35, the NACC operated missions in the same direction as the 20-year national strategies, master plans under national strategy (21) on anti-corruption and misconduct and national reform plan on anti-corruption and misconduct. Many projects and activities in the Fiscal Year 2021 have been prescribed in accordance with the goals of the master plans under national strategy (21) on anti-corruption and misconduct with the objective of “To make the public sector transparency, free of corruption and misconduct. Pay attention to change behavior of all groups of “people” in the society with consciousness and integrity and to promote the innovation for fighting against corruption in the government agencies with the proper contexts, the problem situation and corruption dynamics of each agency; including the increase of efficient processes and mechanisms in corruption suppression” First, the main goal is to make public sector transparency, free of corruption and misconduct. The NACC has conducted the Integrity and Transparency Assessment (ITA) participated by 8,300 public agencies, and the general public and government officials; totally 1,331,588 people. Thai government agencies nationwide had the average score of 81.25 points which were higher than those of the previous year by 13.35 points. In addition, the ONACC has taken the eyes on the importance of academics’ development relating to the ITA of government agencies; particularly local government, provided the government agencies with the technical advice by prevention corruption agencies. Additionally, providing academic documents to ameliorate the corporate governance for local government. Moreover, especially upgrading the ITA assessment performance. Secondly, changing behavior of all groups of “people” in the society with consciousness and integrity, the ONACC has cooperated with related educational agencies to make the anti-corruption education program, to develop, drive, support and promote the anti-corruption education program. Thirdly, promoting the innovation to fight against corruption in the government agencies in the proper contexts, problem situation and corruption dynamics. The ONACC has increased the cooperation and enhanced the efficient anti-corruption innovation to reduce corruption and misconduct cases in Thailand.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 20 Regarding goals and key performance indicators (KPIs) of the master plans under national strategy, the anti-corruption and misconduct and the national reform plan on anti-corruption and misconduct require to raise the Corruption Perceptions Index (CPI) scores. Even though the NACC has provided recommendations to raise the CPI scores and has proposed them to the Cabinet, the Cabinet had the resolutions to assign the Office of PACC to be mainly responsible for improving the CPI scores. However, in the Fiscal Year 2021, the NACC had the action plan to raise the CPI scores continuously. In the National Reform Plan on Anti-Corruption and Misconduct, Reform Activity No.2; Title: “The Development of Access of Information and the Effectiveness of Corruption Whistleblower Protection System”, a manual of improving and promoting the corporate governance in the private sector has been disseminated to provide knowledge on witness protection and taking a suspect as a witness without prosecution, to elevate trust of the whistleblower. Besides, the information technology has been used in the corruption prevention missions to access the NACC information. The tools have been developed and connected to outputs and outcomes of all target groups together, comprising anti-corruption toolbox, NACC website and WE STRONG application as well as corruption risk mapping. 3. Performance in Assets and Liabilities Inspection In the Fiscal Year 2021, the NACC has conducted important performance on the inspection of assets and liabilities such as; imposed the positions of state officials shall be under obligation to submit assets and liabilities to the NACC, received, inspected and disclosed the assets and liabilities accounts submitted to the NACC also disclosed the result of the inspection, provided advices or consultations for the submission. Regarding the proceeding of assets and liabilities inspection, the NACC passed resolution to filers whose intentional failure submitted the assets and liabilities accounts or intentional submitted of false accounts of assets and liabilities, or concealed the fact that should be disclosed, and had reasonable ground to believe that he or she intends to avoid declaring the source of such assets. The NACC forwarded such cases to the court having jurisdiction; totally 21 cases. Also, the NACC conducted fact inquiry and passed resolution of unusual wealth for 7 cases; the total value of assets is 471,094,091.75 Baht. Regarding the assets and liabilities inspection, there were totally 19,362 accounts thereof; divided into the preliminary inspection; totally 16,846 accounts, affirmative inspection; totally 1,979 accounts and intensive inspection; totally 537 accounts, and the results of investigation of unusual wealth; totally 106 cases; divided into the inspection of unusual wealth; totally 87 cases and the investigation of unusual wealth; totally 19 cases. In the Fiscal Year 2021, there have been a lot of elections of local council members at all levels continuously until the Fiscal Year 2022; whereas, the NACC had obligation to inspect of public officials’ assets and liabilities accounts both who left from office and who took the
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 21 office according to the election. In the Fiscal Year 2021, there was the assets and liabilities accounts submission via electronic system for The ONACC officials who were obliged to submit the assets and liabilities accounts under Section 158, and NACC also set the target using this channel for other government officials who obliged to submit under Section 102 and Section 103 to start submitting via electronic system by the Fiscal Year 2023 (1st October 2022). Such submission thereof via electronic system can accelerate the inspection of assets and liabilities accounts and reduce paper consumption and the data will be stored more systematically and completely. In the Fiscal Year 2022, the ONACC aims to inspect all pending assets and liabilities accounts also newly submission, to disclose the results of inspection thereof and to disclose the accounts, as the case may be, as per the positions as required by laws. In addition, regarding cases of unusual wealth, the ONACC has to accelerate the investigation of crucial cases as soon as possible by cooperating with other divisions; such as; Bureau of Investigation and Special Operations of the ONACC, financial institutions and government agencies and other private sectors, including cooperation of the civil society, for whistleblowing and information of public officials’ assets and liabilities which were under investigated. Thus, tracing the national assets which were unlawfully lost returning to the state is one among other methods to prevent corruption. It also effectively reduces public officials’ behavior of corruption. 4. Performance in Administration of Justice The NACC has implemented law in accordance with the National Reform Plan on Anti-Corruption and Misconduct (Revision) which has focused on the reform activities that will result in significant changes to the public (Big Rock). In the Reform Activity No.2; “The Development of Access of Information and the Effectiveness of Corruption Whistleblower Protection System”, and the Reform Activity No.4; “The Development of Transparency in Thai Bureaucratic System, without Interest”. The ONACC as the main agency who is responsible for this reform activity, prepared a report on the study of Anti-SLAPP Law and submitted the draft of “Act on Prevention Measures of Anti-SLAPP Law in the Offence of Corruption and Misconduct”, and also prepared a report on the study of Conflicts between Personal Interest and Public Interest, and submitted the draft of “Conflicts between Personal Interest and Public Interest” under the Reform Plan. In addition, the NACC has supported and pushed forward the drafting of NACC Notification; Determination of Government Officials’ Position who were prohibited doing areas of work under Section 126 (Additional). It is the implementation to promote the conflict of interest. Moreover, the guidelines for risk management or regulations of conflict of interest for other agencies were created by the cooperation between the ONACC, the Ministry of Education, the Ministry of Industry and the Ministry of Energy to drive the prevention of malfeasance relating to conflicts between personal interest and public interest. It can be practical and produce concrete outcomes. Additionally, the Ministerial Declaration; Prevention Measures of Conflicts between Personal Interest and Public Interest. The NACC passed resolutions to appoint
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 22 an ad hoc subcommittee to determine guidelines for risk management relating to conflicts between personal interest and public interest of each Ministry. Furthermore, the ONACC has provided the risk management plan for the Fiscal Year 2021 and has also prepared a report on the study of risk management analysis and guidelines for risk management relating to conflicts between personal interest and public interest of the ONACC for the Fiscal Year 2021. There were also measures and best practices for risk management leading to the NACC Declaration; Prevention Measures of Conflicts between Personal Interest and Public Interest, used as guidelines for public officials, employees, and NACC Officers to work with transparency and accountability. It is a measure to control behavior in the part of the disciplinary, established acknowledgement mechanisms, and foster the participation of affiliated officials. The conflicts between personal interest and public interest are the important policy of the ONACC. Particularly, the ONACC was the first agency who initiated such Declaration. 5. Driving forward Anti-Corruption Activities in Collaboration with other government agencies as a Host organization The ONACC as a Host organization to operate the master plans under national strategy on anti-corruption and misconduct (B.E. 2563-2565) through the Master Plans Steering Committee under National Strategy has jointly prepared an action plan on anti-corruption and misconduct, phase 1 (B.E.2563-2565), which was approved by the Cabinet’s Meeting on 15 th December 2020, to be used as tools for government agencies, state enterprises, public organizations and the private sectors for implementation the operational guidelines into practice, and was listed it in the annual official operations of the agencies. The ONACC is responsible for the reform activities that will result in significant changes to the public (Big Rock) in accordance with the National Reform Plan on Anti-Corruption and Misconduct (Revision). Two activities were from the Reform Activity No.2; “The Development of Access of Information and the Effectiveness of Corruption Whistleblower Protection System”, and the Reform Activity No.3; “The Development of Law Enforcement with Rapid, Transparency without Discrimination in the anti-corruption trial in both public sector and private sector. Moreover, for enactment or revision the laws under the National Reform Plan, there was the important mission under the Reform Activity No.2; for example, the amendment of related laws to prohibit government officials and heads of government agencies to prosecute against people who have expressed their opinions or whistleblowers on corruption and misconduct (Anti-SLAPP Law), to improve the whistleblower channels and various intensive information for the public to access conveniently and secure also to enforce the witness and whistleblower protection laws including to execute providing of compensation practically and seriously. Regarding the Reform Activity No.3, there were important missions; such as, the “STRONG” Project - sufficient mind against corruption to promote public participation in order to improve the law enforcement organizations. Public participation is a network to monitor and watchdog public sector’s
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 23 performances, as well as contribute to Social Sanction measures. To achieve the corruption cases with rapid, fairness, transparency and without discrimination, there were performance on amendments of drafts, the criteria for determination the sizes of accusation of the ONACC. All law enforcement organizations were encouraged to manage cases within the timeframe in the same standard etc., including improvement IT system for anti-corruption, database development between anti-corruption agencies and cooperation with other agencies to control the measurement, supervise, monitor, follow up on the administration to base on integrity, honesty and good public administration. The amendment of fine rates for juristic persons who have caused damage to the country as the international standard. In addition, three laws were enacted or amended under the National Reform Plan; for example, the enactment of the laws of offences of juristic persons along with accomplices who commits the offences of corruption and misconduct, the enactment of royal decree of the submission of government officials’ assets and liabilities to Heads of government agencies, state enterprises or the agencies which they are affiliated or working, it is used as database for unusual wealth inspection, as well as the acceleration of drafting the Act on Conflicts between Personal Interest and Public Interest Offences B.E. … Regarding the anti-corruption and misconduct integrated plan, it aims to reduce corruption problems in the Thai society through instilling conscience and raising awareness of honesty, integrity, ethics, and corporate governance in organizational management in all sectors. In the Fiscal Year 2021, there were the amendment of law and law enforcement with seriousness and fairness; including the public participation in prevention and suppression of corruption and misconduct; divided into 3 guidelines are as follows: Guideline No.1: instill thinking method and raise awareness of having culture and behaviors of integrity. There were also 28 projects operated under Guideline No.1; whereas, the outcomes of the projects/activities such as focusing on instilling the thinking method and raising awareness of having culture and behaviors of integrity, having attitudes of Say No and Zero Tolerance to all forms of corruption through the process of learning, thinking method, anti-corruption education, encourage all sectors to distinguish personal interest and public interest, takes part in the prevention and monitor corruption; including integrity and transparency assessment in public sectors. Guideline No.2: Corruption prevention and misconduct. There were 2 projects under this Guideline; whereas, the outcomes of the projects/activities; such as, pay attention to the development, analysis and setting up mechanism systems in the public sector agencies. They should have measures, mechanism, guidelines and recommendations to prevent the corruption; including the integration of cooperation with other sectors. The system of proactive monitoring and corruption prevention system in public sector agencies should be created. The state financial and finance disciplines as well as the assets inspection should be promoted. Guideline No.3: Corruption Suppression: there were 4 projects operated under the Guideline, whereas, the important outcomes were the investigation aimed to the assets or wrongdoing person who committed an
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 24 offence of corruption or malfeasance in office and the development of human resources for anti-corruption field. 6. The National Anti-Corruption Commission Fund In the Fiscal Year 2021, the National Anti-Corruption Commission Fund (NACC Fund) has been received budget allocation of 100,000,000 Baht and 200 project proposals from the civil society, the private sector and the public sector were presented for financial support from the NACC Fund, making a total budget of 411,311,107 Baht. Thus, the NACC Fund Committee has considered and approved the financial support for 85 projects in the total amount of 90,263,219 Baht, divided into: The Objective No.1 to support public participation in monitoring the exercise of state powers and support the private sector to promote the public relations or campaigns on corruption prevention; totally 73 projects, total amount of 67,224,919 Baht. Objective No.4: any other expenses that will be beneficial to the performance of government agencies which have duties and powers relating to anti-corruption; totally 12 projects, total amount of 23,038,300 Baht. Objective No.2: the expenses for the measures of protection and compensation under Section 131 and monetary rewards under Section 137 were allocated. The NACC Fund Committee passed resolutions to approve the expense of the amount of 5,805,337.03 Baht as the monetary rewards under Section 137. Objective No.3: expenses for legal financing according to the performance on duties provided to NACC Board, Committee, Head of inquiry officer, Inquiry officers and Officials under Section 41 but no one submitted the application. The Achievement of the Government Evaluation System 1. The Success of the development and management of organization The NACC has prioritized the development and management of the ONACC in all aspects; including the human resources development, the internal environment development, the information technologies, the researches and the public relations in order to support the NACC in all dimensions to achieve effectively the goals of anti-corruption. Regarding the human resources development, there have been conducted many trainings to improve the NACC Officials’ skills. In the Fiscal Year 2021, human resources development programs have been organized for 2,714 officials; including in-house training and public training. After the training programs, the ONACC has monitored and evaluated the NACC Officials’ performance of duties. Regarding the internal environment development, the NACC had the policy to support the particular areas operation. They have provided the proper and secure office building as well as residential places. It will also assist people who need help to contact with public office. At present, there are 19 NACC Provincial Offices are under construction along with the residential
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 25 places and others. And there have had the projects of construction for other 9 NACC Provincial Offices in the Fiscal Year 2022. Besides, during the COVID-19 pandemic situation, the NACC has the policy to fully take care of the ONACC officers by strictly respecting the measures of the Centre for the Administration of the Situation due to the Outbreak of the Communicable Disease Coronavirus 2019 (COVID-19) (CCSA) to protect the NACC Officials. The guidelines of working under the COVID-19 crisis were proceeded and paid attention to the NACC Officials’ safety as the first priority. The special action plan during the crisis was organized for the officers to assure that they will stay safe from the COVID-19. As a result, the ONACC operations were smooth and effective. Regarding information technologies (IT), the NACC has the policy to develop the ONACC’ IT system. The security policy of IT has been reviewed to align with present context. The ISO27001 Standard was used as framework for the policy and best practices with the same standard as international standard. The development of IT system and the government agencies’ data integration brought to new technologies to apply, as well as the connect data with law enforcement agencies. The development of IT system aims to support the ONACC’s missions and also assist the ONACC Executives and Officials to work conveniently, rapidly and correctly. Moreover, the online operations were focused to assist effectively of working. In addition, the ONACC has used the geo-information technology to support missions on prevention, suppression, intelligence and fact finding as well as data management for correct, rapid and effective decision making in different matters. In the Fiscal Year 2021, the NACC has supported the ONACC to conduct researches 6 projects so that the researches’ results will be used as the supporting data for the measures/guidelines to solve corruption problems for the related public sectors; for examples, corruption in construction procurement, corruption relating to natural resources, establishment of networks in the civil society for surveillance and whistleblowing of corruption, etc. It is also used for planning, developing the process of working on anti-corruption more effectively. The NACC has motivated the public relations to highlight the zero tolerance of corruption to the society. It aims to value the public relations works to make people acknowledge of corruption’s flaws. Additionally, to differentiate personal interest and public interest can elevate the image of trust in anti-corruption process and to stimulate a zero tolerance of corruption in the society. In the Fiscal Year 2021, the ONACC has stimulated social trend under the concept of “Zero Tolerance-Thai people will not tolerate corruption anymore”. According to the public relations’ activities both in headquarter and local areas in different channels; such as, the cooperation and the signing of the Memoranda of Understanding (MoUs) with other agencies, it has contributed to the civil society acknowledged the corruption’s effects and be ready to create the society without corruption. Such activities have made people realize that they got effect from the corruption. They can distinguish between personal interest and public interest and they do not tolerate with corruption anymore. It can be seen that the public awareness in monitoring of corruption in the government procurement and in the local government’s budgets is very effective; such as, student lunch project, encroachment of public areas and the sculptured electric pole projects, etc.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 26 To achieve the organizational goals, the ONACC’s KPI in the Fiscal Year 2021, has got the result of 3.7128 scores which was higher than those in the Fiscal Year 2020; 3.4914 scores Thus, the good results were reflected from the NACC’s policies and clear directions, together with the ONACC’s operation in all dimensions even in the period of the COVID-19 pandemic crisis. Therefore, the ONACC works were operated continuously and effectively. 2. The Level of Trust on the ONACC The ONACC has conducted surveys for stakeholders about the trust on the ONACC’s operations. The objective is to evaluate the level of stakeholders’ recognition relating to the roles and duties of the ONACC in carrying out missions and access of information through public relations. These results will be the information for the ONACC for making plan to improve all missions, and develop the public relations plan in line with the fact. As the survey of satisfaction in the ONACC performances scores in the Fiscal Year 2021, the ONACC have got the average score of 3.79 (out of 5.00) or equal to 75.8% which was at the level of “Considerably Satisfied”. Meanwhile, the trust on the ONACC working process, it received the average score of 3.86 (out of 5.00) or equal to 77.3% which was at the level of “Considerably Trust”. According to the survey results, the overall stakeholders’ trust in performances of the ONACC in the Fiscal Year 2021 was higher than those in the Fiscal Year 2020. It can be assumed that the ONACC paid attention to be more proactive performances in each mission. Regarding the image of the ONACC, the average score is 3.91 (out of 5.00) or equal to 78.2% which was at the level of “Good Image”. Furthermore, people agreed that the ONACC was a reliable, honest and equality impartiality organization. The ONACC will take benefit from these results to improve its performance of duties more effectively. 3. The Achievement of Performance of duties 3.1 The performances on the international obligations and other Covenants in na- tional and international levels. The impact of the COVID-19 pandemic situation makes most countries oblige to execute the lockdown measures. The NACC has the policy to change the work style to attend meeting by VDO Conferences system. It helps gather evidences from foreign countries which are crucial for the NACC investigations in international corruption cases. The expansion of international cooperation network to other regions will assist efficiently exchanging the data and evidences. The implementation was done to be aligned with the United Nations Convention Against Corruption (UNCAC), the ONACC as a focal point and the State Party of the convention has coordinated with related Thailand’s organizations who have authorities to draft “The Political Declaration on Anti-Corruption”. All 41 organizations have been preparing the information, to announce the Thailand’s position to deny being safe haven for the culprits of corruption cases. Moreover, the business, investment and immigration policies will not be an opportunistic for the culprits of corruption cases as well. Particularly, the United
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 27 Nations General Assembly Special Session (UNGASS) has certified those issues in the Political Declaration. Cause of the COVID-19 pandemic situation, there have had the corruption problems raised all around the world. The ONACC has participated both in regional and bilateral meetings to discuss and exchange of knowledge, experiences of the prevention and measures to solve the problems. “The Report on the Corruption Risk Analysis during the COVID-19 Pandemic Crisis” as well as the recommendations, policies feedback, case studies of the budget expenses under the Financial Royal Ordinance to solve problems of COVID-19 pandemic; including the litigations on complaints of corruption were presented. 3.2 The ONACC’s performances in particular areas consists of 9 NACC Regional Offices, and 76 NACC Provincial Offices. The NACC have emphasized the provincial offices’ administration that the NACC regional offices have authorities to operate, supervise the NACC provincial offices in their jurisdiction as designated by the Secretary-General of the NACC. The provincial offices are the important mechanisms to apply the NACC’s policies to practice. The local areas are supervised by NACC Inspector Generals. The supervision is for checking the operations in line with the NACC’s policies, giving advices and solving problems of working. In addition, the NACC Operation Command Centre supervises the performances of provincial offices. There are weekly meetings to monitor and accelerate continuously the tasks. The achievement of suppression of corruption aspect was completed for 3,942 cases. The asset inspection was completed for 10,714 accounts. As well as the prevention of corruption (local areas inspection), there have been studies and analysis of local problem situations of corruption by collecting the data records of complaints to find out which cases have a large number, what are the acts of wrongdoing, and whoever; public officials or person or group of people, involve in the offences. The Recommendations/Remarks of the NACC to the Parliament 1. The recommendations on prevention of corruption According to the Section 32 of the Organic Act on Anti-Corruption B.E. 2561, the NACC has agreed to accelerate the relevant agencies to work in accordance with the NACC’s measures and proposed this idea to the Parliament. Particularly, the measures of prevention of corruption relating to natural resources and environment; for example, the cases of encroachment and utilization of forest land, the problems of issuing illegal documents of rights, the managements of national parks; particularly the public relations and the enhancement of understanding to the civil society, as well as the encouragement civil society to participate in the inspection and preservation of natural resources and environment. Section 33 stimulates the civil society, public sector’s cooperation in anti-corruption through measures and mechanisms. The ONACC proposed to amend the law on public participation; such as the public agencies should disclose
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 28 the information for transparency, as well as the disclosure of public procurement in order that the public can monitor it. 2. The recommendations on the amendments and enactment of laws The National Reform Plan on Anti-Corruption and Misconduct (Revision) has stipulated that the ONACC shall conduct the National Reform Plan on Anti-Corruption and Misconduct (Revision) which has focused on the reform activities that will result in significant changes to the public (Big Rock). The ONACC has reviewed and amended the law on anti-corruption, and has drafted the law to be proposed to the Parliament in accordance with the Reform Activity No. 4: “The Development of Transparency in Thai Bureaucratic System, without Interest”.as follows: 2.1 The Amendments of the draft of the Organic Act on Anti-Corruption (No. ..) B.E. …; totally 2 copies, which are the amendments of the Organic Act on Anti-Corruption (B.E. 2561) in the section of the appointment and out of office of the NACC Officials to be in line with Section 180 of the Constitution of the Kingdom of Thailand. Moreover, and the improvement of the anti-corruption laws in 8 topics, 15 sections for the effective law enforcement in order to make it up-to-date with the corruption situations that rapidly change. 2.2 The draft of the Act on Prevention Measures of Anti-SLAPP Law in the Offence of Malfeasance and Misconduct B.E. …, was drafted in accordance with the national reform plan on anti-corruption and misconduct, which stipulated that the Anti-SLAPP Law is needed. It can protect people who have expressed their opinions or whistleblowing of the corruption and misconduct. 2.3 The draft of the Act on Conflicts between Personal Interest and Public Interest B.E. … was drafted in accordance with the national reform plan on anti-corruption and misconduct. It aims to frame the actions which are determined as the conflict between personal interest and public interest. As well as to promote the understanding for those who will be under this law to distinguish between personal interest and public interest.
บทน�ํา ◆ ที่มาและบทบัญญัติของกฎหมาย ◆ หน้าที่และอ�านาจ และโครงสร้างองค์กร ◆ ภาพรวมด้านทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ ◆ วิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนปฏิบัติราชการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) และแผนปฏิบัติราชการประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงาน ป.ป.ช. ◆ ความเชื่อมโยงผลการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งการท�างานเชิงบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 30 บทน�ํา 1 มาตรา 3 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 2 มาตรา 234 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 3 มาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 4 มาตรา 234(1) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบกับมาตรา 28(1) แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 5 มาตรา 234(2) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบกับมาตรา 28(2) แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ที่มาและบทบัญญัติของกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปตามหลักนิติธรรม 1 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับมอบหมายให้ด�าเนินการเกี่ยวกับการควบคุมดูแล ตรวจสอบพฤติกรรมการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ 2 และต้องรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมข้อสังเกตต่อรัฐสภาทุกปี และให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะ 3 หน้าที่และอ�นาจ และโครงสร้างองค์กร หน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และกฎหมายอื่น ได้ก�าหนดหน้าที่และอ�านาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. ด้านปราบปรามการทุจริต 1.1 ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤติการณ์ร�่ารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อ�านาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง 4 1.2 ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร�่ารวยผิดปกติ กระท�าความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม 5
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 31 6 มาตรา 234(3) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบกับมาตรา 28(3) แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 7 มาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 8 มาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 9 มาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 10 มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 11 มาตรา 138 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 12 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 13 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 14 พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 2. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน 2.1 ก�าหนดให้ผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุ นิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลดังกล่าว 6 2.2 การด�าเนินการร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินกรณีร�่ารวยผิดปกติ 7 3. ด้านป้องกันการทุจริต 3.1 เสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือ องค์กรอัยการ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน 8 3.2 ด�าเนินการเพื่อป้องกันการทุจริต เสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต 9 3.3 สอดส่องดูแลหน่วยงานของรัฐเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตหรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ ของรัฐหรือประชาชน 10 4. การด�าเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้ วยการป้ องกันและ ปราบปรามการทุจริต และกฎหมายอื่นก�าหนดให้เป็นอ�านาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาทิ 4.1 การด�าเนินการด้านการต่างประเทศเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 11 4.2 การด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัย 4.3 การด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยของพนักงานในองค์การหรือ หน่วยงานของรัฐในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ 12 4.4 การด�าเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระท�าที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ 13 4.5 การก�าหนดแบบสัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี 14 โครงสร้างองค์กร หน้าที่และอ�านาจของส�านักงาน ป.ป.ช. ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีดังต่อไปนี้ 1. ส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “ส�านักงาน ป.ป.ช.” เป็นส่วนราชการและมีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นหน่วยงานอิสระขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้าง และรับผิดชอบการปฏิบัติงาน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 32 15 มาตรา 141 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 16 มาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 17 มาตรา 142 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 18 มาตรา 143 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ของส�านักงาน ป.ป.ช. 15 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะก�าหนดให้มีรองเลขาธิการ ผู้ช่วยเลขาธิการ หรือต�าแหน่งอื่น ที่เทียบเท่าเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการด้วยก็ได้ 16 2. ส�านักงาน ป.ป.ช. มีหน้าที่และอ�านาจ ดังต่อไปนี้ 17 (1) รับผิดชอบงานธุรการ และด�าเนินการเพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. บรรลุภารกิจและหน้าที่ ตามที่ก�าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมายอื่น (2) อ�านวยความสะดวก ประสานงาน ให้ความร่วมมือ ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ (3) ประสานงานและให้ความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (4) ด�าเนินการหรือจัดให้มีการรวบรวม วิเคราะห์ ศึกษาวิจัย และเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ การทุจริตและประพฤติมิชอบและอันตรายของการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน (5) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส ตามกลไกที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�าหนด (6) เสนอแนะและให้ค�าปรึกษาแก่หน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ ส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าพนักงานของรัฐ หรือภาคเอกชน เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (7) จัดท�าระบบสารสนเทศของข้ อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ ในระหว่ำงการด�าเนินการของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอย่างน้อยต้องระบุผู้รับผิดชอบและความคืบหน้าของการด�าเนินการของแต่ละเรื่อง เพื่อกรรมการจะได้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา (8) ปฏิบัติการอื่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย และตามที่กฎหมายบัญญัติ 3. การก�ากับดูแลส�านักงาน ป.ป.ช. ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจออกระเบียบ หรือประกาศ ในเรื่องดังต่อไปนี้ 18 (1) การจัดแบ่งส่วนงานภายในของส�านักงาน และขอบเขตหน้าที่ของส่วนงาน โดยค�านึงถึง ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความคล่องตัว (2) การบริหารและจัดการการเงินและทรัพย์สิน การงบประมาณ และการพัสดุของส�านักงาน (3) การวางระเบียบว่าด้วยการจัดท�า การเปิดเผย การเผยแพร่ การเก็บรักษา และการท�าลาย เอกสาร และข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และส�านักงาน ทั้งนี้ ในการเผยแพร่ข้อมูล ให้จัดท�าส�าหรับคนพิการที่จะสามารถเข้าถึงได้ด้วย (4) วางระเบียบเก็บรักษาและบริหารจัดการพยานหลักฐานของกลางในคดีและทรัพย์สิน รวมทั้ง การจ�าหน่าย การมอบหมายให้ผู้อื่นเก็บรักษา หรือจ�าหน่ายทรัพย์สินดังกล่าว (5) ก�าหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายอื่น และ ค่าตอบแทนของพยานบุคคลหรือผู้ซึ่งช่วยปฏิบัติหน้าที่ตามค�าร้องขอของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่ได้รับ มอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ (6) วางระเบียบเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะบุคคล เพื่อช่วยเหลือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือส�านักงานในการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ใช่การไต่สวน และก�าหนดเบี้ยประชุมให้แก่บุคคล ที่ได้รับแต่งตั้งดังกล่าว (7) วางระเบียบเกี่ยวกับการก�าหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการไต่สวน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 33 โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการและอัตราก�าลังส�านักงาน ป.ป.ช. โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการและอัตรากำลัง 1 ) แบ่งกลุ่มภารกิจออกเป็น 7 กลุ่ม จำนวน 122 หน่วยงาน ดังนี้ 1 . 1 ) หน่วยงานขึ้นตรงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จานวน 6 หน่วยงาน 1 . 2 ) กลุ่มภารกิจป้องกันการทุจริต จำนวน 6 หน่วยงาน 1 . 3 ) กลุ่มภารกิจตรวจสอบทรัพย์สิน จำนวน 5 หน่วยงาน 1 . 4 ) กลุ่มภารกิจไต่สวนการทุจริต จำ นวน 7 หน่วยงาน 1 . 5 ) กลุ่มภารกิจอานวยการยุติธรรม จำนวน 5 หน่วยงาน 1 . 6 ) กลุ่มภารกิจสนับสนุน จำนวน 8 หน่วยงาน 1 . 7 ) กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ จำนวน 8 5 หน่วยงาน ( 9 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค และ 76 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด) 2 ) แบ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ 2 . 1 ) ส่วนกลาง จานวน 37 หน่วยงาน ได้แก่ 34 สำนัก 1 สถาบัน และ 2 กลุ่มงาน 2 . 1 ) ส่วนภูมิภาค จานวน 85 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค จานวน 9 แห่ง และสานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด จานวน 76 จังหวัด โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการและ กรอบ อัตรากาลังสานักงาน ป.ป.ช. โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการและอัตราก�าลัง 1) แบ่งกลุ่มภารกิจออกเป็น 7 กลุ่ม จ�านวน 122 หน่วยงาน ดังนี้ 1.1) หน่วยงานขึ้นตรงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 6 หน่วยงาน 1.2) กลุ่มภารกิจป้องกันการทุจริต จ�านวน 6 หน่วยงาน 1.3) กลุ่มภารกิจตรวจสอบทรัพย์สิน จ�านวน 5 หน่วยงาน 1.4) กลุ่มภารกิจไต่สวนการทุจริต จ�านวน 7 หน่วยงาน 1.5) กลุ่มภารกิจอ�านวยการยุติธรรม จ�านวน 5 หน่วยงาน 1.6) กลุ่มภารกิจสนับสนุน จ�านวน 8 หน่วยงาน 1.7) กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ จ�านวน 85 หน่วยงาน (9 ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และ 76 ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด) 2) แบ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ 2.1) ส่วนกลาง จ�านวน 37 หน่วยงาน ได้แก่ 34 ส�านัก 1 สถาบัน และ 2 กลุ่มงาน 2.1) ส่วนภูมิภาค จ�านวน 85 หน่วยงาน ได้แก่ ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค จ�านวน 9 แห่ง และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด จ�านวน 76 จังหวัด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 34 3) อัตราก�าลังข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกตามหน่วยงาน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) ส่วนราชการ อัตราก�าลัง (อัตรา) หน่วยงานขึ้นตรงเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. ส�านักงานกิจการคณะกรรมการ ป.ป.ช. 50 2. ส�านักการประชุม 20 3. ส�านักบริหารงานกลาง 38 4. ส�านักตรวจสอบภายใน 10 5. กลุ่มตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. 13 6. กลุ่มที่ปรึกษาส�านักงาน ป.ป.ช. 1 กลุ่มภารกิจป้องกันการทุจริต 1. ส�านักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต 18 2. ส�านักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส 21 3. ส�านักต้านทุจริตศึกษา 19 4. ส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม 21 5. ส�านักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต 30 6. ส�านักพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาล 27 กลุ่มภารกิจตรวจสอบทรัพย์สิน 1. ส�านักพัฒนาระบบตรวจสอบทรัพย์สิน 31 2. ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง 35 3. ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 1 32 4. ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 2 31 5. ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 3 32 กลุ่มภารกิจไต่สวนการทุจริต 1. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ 46 2. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาครัฐ 1 48 3. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาครัฐ 2 58 4. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาครัฐ 3 46 5. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ 1 36 6. ส�านักไต่สวนการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ 2 33 7. ส�านักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 36
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 35 ส่วนราชการ อัตราก�าลัง (อัตรา) กลุ่มภารกิจอ�านวยการยุติธรรม 1. ส�านักกฎหมาย 31 2. ส�านักกิจการและคดีทุจริตระหว่างประเทศ 22 3. ส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 15 4. ส�านักคดี 49 5. ส�านักสืบสวนและกิจการพิเศษ 45 กลุ่มภารกิจสนับสนุน 1. ส�านักเทคโนโลยีสารสนเทศ 51 2. ส�านักนโยบายและยุทธศาสตร์ 44 3. ส�านักบริหารงานคลัง 32 4. ส�านักบริหารทรัพย์สิน 36 5. ส�านักบริหารทรัพยากรบุคคล 42 6. ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต 18 7. ส�านักสื่อสารองค์กร 20 8. สถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ 35 กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ 1. ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 แห่ง 344 2. ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 76 จังหวัด 1,002 ผู้บริหาร 27 รวมทั้งสิ้น 2,545
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 36 บทวิเคราะห์โครงสร้างองค์กรและข้อมูลโครงสร้างส�านักงาน ป.ป.ช. ที่มีการเปลี่ยนแปลง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการและหน้าที่ และอ�านาจของส่วนราชการในสังกัดส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการปรับปรุงการก�าหนดส่วนราชการ หน้าที่และอ�านาจ และอัตราก�าลัง รวมทั้งระบบงาน ในภารกิจของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้รองรับต่อการด�าเนินภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยโครงสร้างดังกล่าว มีความสอดคล้องกับระบบการบริหารราชการแผ่นดินและโครงสร้างของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น ศาล อัยการ อันส่งผลให้การขับเคลื่อนภารกิจของส�านักงาน ป.ป.ช. มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การถ่ายทอดงานในแต่ละภารกิจจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค รวมถึงความเชื่อมโยงของงานในระหว่างภารกิจ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างสายความก้าวหน้าให้กับข้าราชการได้อย่างชัดเจนและส�าหรับ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของส�านักงาน ป.ป.ช. ได้พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างและระบบงาน รวมทั้งการจัดก�าลังคนของหน่วยงานภายในส่วนราชการในสังกัด ส�านักงาน ป.ป.ช. ประกอบด้วย ส�านักนโยบายและยุทธศาสตร์ ส�านักตรวจสอบภายใน ส�านักการประชุม ส�านักบริหารงานกลาง และส�านักคดี พร้อมทั้งพิจารณาเกลี่ยอัตราก�าลังในต�าแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ - ช�านาญการพิเศษ ภายในส่วนราชการในสังกัดส�านักงาน ป.ป.ช. ให้มีความเหมาะสม สามารถด�าเนินงานได้อย่างรวดเร็ว และสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการท�างานเฉพาะด้าน ให้กับข้าราชการได้มากยิ่งขึ้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 37 ภาพรวมด้านทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ 1. ภาพรวมด้านทรัพยากรบุคคล ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีข้าราชการจ�านวนทั้งสิ้น 2,545 อัตรา โดยจ�าแนก ตามต�าแหน่งและสายงาน ปรากฏตามตาราง ดังนี้ ตารางจ�านวนข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. จ�าแนกตามต�าแหน่งและสายงาน หน่วย : อัตรา ต�าแหน่ง ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค จ�านวน 1. ผู้บริหาร 18 9 27 2. ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิ 1 - 1 3. ผู้อ�านวยการ 3.1 อ�านวยการยุติธรรม 3.2 อ�านวยการ 35 12 23 75 - 75 110 12 98 4. ต�าแหน่งพนักงานไต่สวน 377 521 898 5. ต�าแหน่งเจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต 124 206 330 6. ต�าแหน่งเจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สิน 121 296 417 7. ต�าแหน่งสนับสนุน 7.1 ประเภทวิชาการ 7.2 ประเภททั่วไป 334 180 120 128 454 308 รวม 1,190 1,355 2,545 2. ภาพรวมด้านงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับการจัดสรรงบประมาณจ�านวนทั้งสิ้น 2,365,396,200 บาท (สองพันสามร้อยหกสิบห้าล้านสามแสนเก้าหมื่นหกพันสองร้อยบาทถ้วน) ซึ่งได้รับงบประมาณลดลงจาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 3,489,800.00 บาท (สามล้านสี่แสนแปดหมื่นเก้าพันแปดร้อยบาทถ้วน) หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 0.15 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวนทั้งสิ้น 2,252,223,028.33 บาท (สองพันสองร้อยห้าสิบสองล้านสองแสนสองหมื่นสามพันยี่สิบแปดบาทสามสิบสามสตางค์) หรือคิดเป็นร้อยละ 95.22 ของงบประมาณที่ได้รับจัดสรรทั้งหมด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 38 วิสัยทัศน์ พันธกิจ แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) และแผนปฏิบัติราชการ ประจ�ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�นักงาน ป.ป.ช. พระราชบัญญัติการจัดท�ายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 5 วรรคสอง ก�าหนดให้หน่วยงานของรัฐ ทุกหน่วยมีหน้าที่ด�าเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ก�าหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ และมาตรา 10 ได้ก�าหนด ให้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลผูกพันหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น รวมทั้งการจัดท�างบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทด้วย ซึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 - 2580 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 เรียบร้อยแล้ว ส�านักงาน ป.ป.ช. จึงได้ด�าเนินการ ถ่ายทอดประเด็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องจากยุทธศาสตร์และแผนข้างต้นมาจัดท�าแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) เพื่อใช้เป็นกรอบการด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) และแผนปฏิบัติราชการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงาน ป.ป.ช. มีประเด็นที่เชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนระดับที่ 1 แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ดังนี้ แผนระดับที่ 1 เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และด้านความมั่นคง แผนระดับที่ 2 เชื่อมโยงกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารจัดการในภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลในสังคมไทย นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วย ความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายที่ 9 การเสริมสร้างความมั่นคงของชาติจากภัยการทุจริต และ แผนระดับที่ 3 ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) และแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563 - 2565) ของส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผนปฏิบัติราชการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรน�าในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และได้รับความเชื่อมั่น พันธกิจ 1. บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการผลักดันการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2. การสร้างวัฒนธรรมสุจริตในสังคมไทย 3. พัฒนามาตรการและกลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 4. มุ่งสู่การเป็นองค์กรคุณธรรม ยึดหลัก ความซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ 5. ติดตามและประเมินผลความส�าเร็จอย่างต่อเนื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 39 แผนปฏิบัติราชการ แผนปฏิบัติราชการ เรื่องที่ 1 เสริมสร้างศักยภาพของทุกภาคส่วน ในการมีส่วนร่วมป้องกันและ ป้องปรามการทุจริต 1) เป้าหมาย เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาหลักสูตรด้านการต่อต้านการทุจริตและผลักดันให้มีการน�าไปใช้ในสถานศึกษา เป้าหมายที่ 2 ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและป้องปรามการทุจริต (การเข้าร่วมกิจกรรม/ การแจ้งเบาะแสการทุจริต/การร้องเรียน) เป้าหมายที่ 3 คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ 2) ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาหลักสูตรด้านการต่อต้านการทุจริตและผลักดันให้มีการน�าไปใช้ในสถานศึกษา ตัวชี้วัด : ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 เด็กและเยาวชนไทย มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ สุจริต ร้อยละ 48 เป้าหมายที่ 2 ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและป้องปรามการทุจริต (การเข้าร่วมกิจกรรม/ การแจ้งเบาะแสการทุจริต/การร้องเรียน) ตัวชี้วัด : ร้อยละของระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 48 เป้าหมายที่ 3 คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ตัวชี้วัด : ร้อยละของหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงาน (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 หน่วยงานภาครัฐที่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงาน (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (เกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไป) 3) แนวทางการพัฒนา 1. พัฒนามาตรการและกลไกที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการปรับฐานความคิดของประชาชนทุกภาคส่วน ทุกกลุ่มอายุ ในเรื่องการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม การเป็นพลเมืองที่ดี มีวัฒนธรรมสุจริต อย่างยั่งยืน ไม่ยอมรับการกระท�าการทุจริต 2. ส่งเสริมการรวมตัวของภาคประชาชนเพื่อมีส่วนร่วมในการให้ความรู้ ต่อต้าน หรือให้ข้อมูล เบาะแส เพื่อป้องกันหรือป้องปรามการทุจริต 3. พัฒนาช่องทางการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระท�าการทุจริต ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงได้โดยสะดวก มีความปลอดภัย ไม่ก่อผลร้ายต่อผู้ให้ข้อมูล และผู้ให้ข้อมูลสามารถติดตาม ความก้าวหน้าได้ 4. ผลักดันการพัฒนาค่านิยมของนักการเมืองให้มีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการท�าตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและตระหนักรู้ในการเป็นนักการเมืองที่ดี 5. ส่งเสริมการด�าเนินงานเพื่อยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) และสนับสนุนให้มีการติดตามการด�าเนินงานในภาพรวม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 40 6. ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐน�าผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ไปใช้ในการพัฒนา ปรับปรุงองค์กร รวมทั้งหาแนวทางส่งเสริม ให้ภาคเอกชนน�าไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรในระยะต่อไป 4) แผนงาน/โครงการส�าคัญ 1. โครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต 2. โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 3. โครงการการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล 4. โครงการเพิ่มศักยภาพความโปร่งใสและความสุจริตในจังหวัด 5. โครงการปลูกฝังวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม 6. โครงการผลักดันหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาการติดตามการใช้และผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตร และการขยายผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 7. โครงการผลิตสื่อรณรงค์ต่อต้านการทุจริต 8. โครงการผลิตสื่อรณรงค์เพื่อสร้างกระแสต่อต้านการทุจริตของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 76 แห่ง 9. โครงการบูรณาการการสื่อสารเพื่อยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตสาธารณะ 10. โครงการองค์กร STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต 11. โครงการคลินิกให้ค�าปรึกษาการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (โครงการคลินิก ITA) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนปฏิบัติราชการ เรื่องที่ 2 พัฒนาการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ 1) เป้าหมาย เป้าหมายที่ 1 การด�าเนินงานในการป้องกันการทุจริตทั้งภายนอกและภายในส�านักงาน ป.ป.ช. มีประสิทธิภาพ เป้าหมายที่ 2 การพัฒนามาตรการกลไกที่มีประสิทธิภาพหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องปราม การทุจริตในหน่วยงานของรัฐ 2) ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย เป้าหมายที่ 1 การด�าเนินงานในการป้องกันการทุจริตทั้งภายนอกและภายในส�านักงาน ป.ป.ช. มีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด 1 : จ�านวนคดีทุจริตลดลง ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนคดีทุจริตลดลง ร้อยละ 8 ตัวชี้วัด 2 : จ�านวนเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่กระท�าการทุจริตลดลง ตัวชี้วัดที่ 2.1 : จ�านวนเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกลงโทษทางวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกลงโทษทางวินัย ฐาน ทุจริตต่อหน้าที่ ไม่เกินร้อยละ 0.2 ตัวชี้วัดที่ 2.2 : จ�านวนเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกชี้มูลทางอาญาว่าทุจริตต่อหน้าที่
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 41 ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกชี้มูลทางอาญา ว่าทุจริตต่อหน้าที่ ไม่เกินร้อยละ 0.2 เป้าหมายที่ 2 การพัฒนามาตรการกลไกที่มีประสิทธิภาพหรือข้อเสนอแนะ เพื่อป้องปรามการทุจริต ในหน่วยงานของรัฐ ตัวชี้วัด 1 : จ�านวนมาตรการกลไกเพื่อป้องปรามการทุจริตในหน่วยงานของรัฐจ�านวน 4 เรื่องต่อปี ตัวชี้วัด 2 : ด�าเนินการก�ากับติดตามมาตรการและข้อเสนอแนะที่มีล�าดับความส�าคัญสูง และมีผลกระทบต่อสาธารณะ ร้อยละ 100 ตัวชี้วัด 3 : จ�านวนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในปีงบประมาณตรวจสอบแล้วเสร็จ (กรณีตรวจสอบปกติ) ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่มีอยู่ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ตรวจสอบแล้วเสร็จ (กรณีตรวจสอบปกติ) ร้อยละ 75 ตัวชี้วัด 4 : ร้อยละความส�าเร็จของแผนงานหรือโครงการที่กองทุน ป.ป.ช. ให้การสนับสนุน สามารถด�าเนินการได้แล้วเสร็จ ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 ความส�าเร็จของแผนงานหรือโครงการที่กองทุน ป.ป.ช. ให้การสนับสนุนสามารถด�าเนินการได้แล้วเสร็จ ร้อยละ 90 3) แนวทางการพัฒนา 1. จัดให้มีมาตรการกลไกที่มีประสิทธิภาพหรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตในหน่วยงาน ของรัฐและเอกชน และส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานน�าไปใช้ 2. เพิ่มประสิทธิภาพระบบและกลไกการป้องกันการทุจริต รวมถึงการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างเท่าทัน ต่อพลวัตการทุจริต 3. พัฒนาระบบการสื่อสารเพื่อการต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง 4. พัฒนาส�านักงาน ป.ป.ช. ให้เป็นองค์กรคุณธรรมและมีธรรมาภิบาล และสร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้มีความซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ 5. ส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. ให้มีความใสสะอาด ปราศจากพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต 6. ปรับระบบงานและโครงสร้างองค์กรที่เอื้อต่อการลดการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงาน 4) แผนงาน/โครงการส�าคัญ 1. กิจกรรมหลัก : การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีตามประกาศของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. 2. โครงการนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) 3. โครงการป้องกันการทุจริตในระดับพื้นที่ 4. โครงการพัฒนาบุคลากรสายงานป้องกันการทุจริต 5. โครงการประชุมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญา UNCAC 6. โครงการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติภายใต้หัวข้อ “การผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต สู่ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” 7. โครงการประเมินผลส�าเร็จของโครงการตามยุทธศาสตร์ชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 42 แผนปฏิบัติราชการ เรื่องที่ 3 พัฒนากลไกและประสิทธิภาพในการปราบปรามการทุจริต 1) เป้าหมาย การด�าเนินงานในการปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ 2) ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย ตัวชี้วัดที่ 1 : จ�านวนเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวนก่อนกฎหมายใหม่ใช้บังคับ (วันที่ 22 กรกฎาคม 2561) แล้วเสร็จ ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวน ก่อนกฎหมายใหม่ใช้บังคับ (วันที่ 22 กรกฎาคม 2561) แล้วเสร็จ ร้อยละ 100 ตัวชี้วัดที่ 2 : จ�านวนเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวนตั้งแต่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ (วันที่ 22 กรกฎาคม 2561) แล้วเสร็จภายในก�าหนดระยะเวลา 2 ปี ค่าเป้าหมาย : ปี 2564 จ�านวนเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 แล้วเสร็จภายในก�าหนดระยะเวลา 2 ปี ร้อยละ 100 3) แนวทางการพัฒนา 1. พัฒนา ปรับปรุงกระบวนการปราบปรามการทุจริตให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อพลวัต ของการทุจริต และมาตรฐานสากล 2. ส่งเสริมให้มีการปรับปรุงกฎหมายให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการ บังคับใช้ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการด�าเนินมาตรการคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส 4. ยกระดับประสิทธิภาพการด�าเนินการและประสานงานคดีทุจริตระหว่างประเทศ 5. การบูรณาการองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามการทุจริต 6. พัฒนาการจัดการองค์ความรู้ด้านการปราบปรามการทุจริต 4) แผนงาน/โครงการส�าคัญ 1. กิจกรรมหลัก : การด�าเนินงานปราบปรามการทุจริต 2. โครงการพัฒนาบุคลากรสาขากระบวนการยุติธรรม 3. โครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. กับหน่วยงาน ที่รับเรื่องกล่าวหาไปด�าเนินการ 4. โครงการการประชุมเพื่อประสานงานคดีในการขอความร่วมมือระหว่างประเทศ 5. โครงการติดตามการบังคับใช้กฎหมายด้านปราบปรามการทุจริตและตรวจสอบทรัพย์สิน 6. โครงการการประชุมเครือข่ายการปราบปรามและติดตามทรัพย์สินคืนระหว่างประเทศ (StAR/ INTERPOL) 7. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower) ในกลุ่ม ประเทศ CLMVT
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 43 ความเชื่อมโยงผลการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งการท�างานเชิงบูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง 6 6
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 44 ส�านักงาน ป.ป.ช. ขับเคลื่อนการด�าเนินงานที่มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 เรื่องแนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณา ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีมติเห็นชอบการจ�าแนกแผนออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย แผนระดับที่ 1 ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับที่ 2 ได้แก่ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนความมั่นคง แผนระดับที่ 3 ได้แก่ แผนที่จัดท�าขึ้นเพื่อสนับสนุนการด�าเนิน งานของแผนระดับที่ 1 และแผนระดับที่ 2 ให้บรรลุเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ หรือจัดท�าขึ้นตามที่กฎหมายก�าหนด หรือจัดท�าขึ้นตามพันธกรณีหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น แผนของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ แผนบูรณาการ รวมถึงแผนปฏิบัติการทุกระดับ ในการขับเคลื่อนการด�าเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ มีกลไกภายนอก และกลไกที่ตั้งโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขับเคลื่อนติดตาม ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และให้ค�าแนะน�าในการด�าเนินงาน ดังนี้ 1. คณะกรรมการระดับชาติที่ส�าคัญ ได้แก่ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยมีนายภักดี โพธิศิริ เป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการด�าเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ 2. คณะกรรมาธิการ วุฒิสภา ที่ส�าคัญ ได้แก่ คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล โดยมีพลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยมีนายกล้าณรงค์ จันทิก เป็นประธานคณะกรรมาธิการ และคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ โดยมีพลเอก ชาตอุดม ติตถะสิริ เป็นประธานกรรมาธิการ ในส่วนของการรายงานความก้าวหน้าและประเมินผลการด�าเนินงาน ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการรายงาน ผลการด�าเนินงานในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ซึ่งจัดท�าโดยส�านักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยรายงานเป็นรายไตรมาส ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการด�าเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 ที่ก�าหนดให้หัวหน้า หน่วยงานของรัฐทุกแห่งด�าเนินการการรายงานผลการด�าเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูป ประเทศในระบบตามรายการและภายในระยะเวลาที่ก�าหนด ข้อมูลที่รายงาน ประกอบด้วย 1) ข้อมูลเกี่ยวกับ รายละเอียดแผนงาน โครงการ หรือการด�าเนินงาน 2) ความสอดคล้องกับการด�าเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ 3) ความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์ของการด�าเนินการ 4) ปัญหาหรืออุปสรรค 5) ข้อเสนอแนะหรือแนวทางการแก้ไขการด�าเนินงาน ทั้งนี้ ส�านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะประมวลผลการด�าเนินงานจากระบบ ติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และจัดท�ารายงานสรุปผลการด�าเนินการประจ�าปี เสนอต่อ คณะ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ หัวหน้าองค์กรในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ และองค์กรอัยการทราบ และเสนอรายงานความคืบหน้าในการด�าเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ต่อคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อรายงานต่อรัฐสภาทุกสามเดือน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 45 ภําพรวมกํารเปรียบเทียบงบประมําณระหว่ําง ปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 กับปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ◆ งบประมาณที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับจัดสรรจ�าแนกตามหมวดรายการค่าใช้จ่าย ◆ ผลการใช้จ่ายงบประมาณ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 46 ภําพรวมกํารเปรียบเทียบงบประมําณ ระหว่ํางปีงบประมําณ พ.ศ. 2563 กับปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 1. งบประมาณที่ส�นักงาน ป.ป.ช. ได้รับจัดสรร จ�แนกตามหมวดรายการค่าใช้จ่าย ล�าดับ หมวดรายการค่าใช้จ่าย งบประมาณที่ได้รับจัดสรร เพิ่มขึ้น/ลดลง ร้อยละ 2563 2564 จ�านวน 1 บุคลากร 1,362,490,300 1,454,817,300 92,327,000 6.78 2 การจัดการและบริหารองค์กร 752,366,800 615,109,300 -137,257,500 18.24 3 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง 254,028,900 295,469,600 41,440,700 16.31 รวมทั้งสิ้น 2,368,886,000 2,365,396,200 -3,489,800 0.15 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 2,365,396,200 บาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 3,489,800 บาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 0.15 โดยจ�าแนกตามหมวดรายการ ค่าใช้จ่ายได้ ดังนี้ - ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร จ�านวน 1,454,817,300 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 92,327,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.78 - ค่าใช้จ่ายในการจัดการและบริหารองค์กร จ�านวน 615,109,300 บาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 137,257,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 18.24 - ค่าใช้จ่ายครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จ�านวน 295,469,600 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 41,440,700 บาท คิดเป็นร้อยละ 16.31 2. ผลการใช้จ่ายงบประมาณ ล�าดับ ประเภท งบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ร้อยละ เพิ่มขึ้น/ ลดลง งบประมาณ ที่ได้รับ เบิกจ่าย ร้อยละ งบประมาณ ที่ได้รับ เบิกจ่าย ร้อยละ 1 บุคลากร 1,362,490,300 1,362,314,144.75 99.99 1,454,817,300 1,454,255,670.46 99.96 -0.03 2 การจัดการและ บริหารองค์กร 752,366,800 537,214,860.47 71.40 615,109,300 517,991,204.13 84.21 12.81 3 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง 254,028,900 250,677,579.20 98.68 295,469,600 279,976,153.74 94.76 -3.92 รวมทั้งสิ้น 2,368,886,000 2,150,206,584.42 90.77 2,365,396,200 2,252,223,028.33 95.22 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการใช้จ่ายงบประมาณ จ�านวน 2,012,382,765.53 บาท และกันเงินเหลื่อมปี จ�านวน 239,840,262.80 บาท รวมงบประมาณรายจ่ายทั้งสิ้น จ�านวน 2,252,223,028.33 บาท โดยเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แล้วมีผลการเบิกจ่ายรายการค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ลดลงร้อยละ 3.92 เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างไรก็ดีเมื่อมองในภาพรวมผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.45 ซึ่งสืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการก�าหนดมาตรการเร่งรัด ติดตามการปฏิบัติงานในทุก ๆ ภารกิจ ให้เป็นไปตาม แผนปฏิบัติการและแผนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 47 ◆ สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานในภาพรวมครอบคลุมการด�าเนินงาน ตามอ�านาจหน้าที่ ตามที่กฎหมายก�าหนด 1. ด้านปราบปรามการทุจริต 2. ด้านป้องกันการทุจริต 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน 4. ด้านอ�านวยการยุติธรรม 5. การขับเคลื่อนการด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ 6. กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ◆ สัมฤทธิผลของการด�าเนินงานตามระบบการประเมินผลภาคราชการ แบบบูรณาการ 1. ความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร 1.1 การพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร (1) ด้านการพัฒนาบุคลากร (2) ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร (3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (4) ด้านการวิจัย (5) ด้านสื่อสารองค์กร 1.2 การบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร 2. ระดับความเชื่อมั่นต่อส�านักงาน ป.ป.ช. 3. สัมฤทธิผลการด�าเนินงาน 3.1 การด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันกับภาคีและพันธสัญญาต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ 3.2 การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ ผลกํารด�ําเนินงํานตํามหน้ําที่และอ�ํานําจ ของคณะกรรมกําร ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 48 ผลกํารด�ําเนินงํานตํามหน้ําที่และอ�ํานําจ ของคณะกรรมกําร ป.ป.ช. สัมฤทธิผลของการด�เนินงานในภาพรวมครอบคลุมการด�เนินงาน ตามอ�นาจหน้าที่ ตามที่กฎหมายก�หนด หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561) มีผลใช้บังคับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ให้สอดคล้องกับ บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นด้านการปราบปรามการทุจริตที่ต้องตรวจสอบผู้ด�ารงต�าแหน่ง ทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รวมถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับต�าแหน่ง ว่ามีพฤติการณ์ร�่ารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้ อ�านาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือไม่ และต้องด�าเนินการภายใต้กรอบระยะตามที่กฎหมายก�าหนด ขณะเดียวกันสามารถมอบหมายให้หน่วยงานอื่น ที่เกี่ยวข้องไปด�าเนินการแทนในบางเรื่องบางระดับได้เพื่อให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น ในด้านการตรวจสอบ ทรัพย์สินและหนี้สินได้ก�าหนดให้เจ้าพนักงานของรัฐที่ด�ารงต�าแหน่งส�าคัญ ๆ มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของตน คู่สมรส (รวมถึงคู่สมรสที่อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสด้วย) และบุตรที่ยังไม่บรรลุ นิติภาวะของบุคคลนั้น ๆ ด้วย อันเป็นกลไกที่ส�าคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ และ การเพิ่มบทบาทในงานด้านการส่งเสริมและการป้องกันการทุจริต โดยการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการรณรงค์ ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้ช่องเบาะแสโดยได้รับการคุ้มครอง รวมถึงการสร้างกลไก มาตรการหรือแนวทาง ในการที่จะท�าให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม เพื่อให้ประเทศไทย ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน โดยผลการด�าเนินงานตามหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สรุปสาระส�าคัญ ได้ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 49 ไต่สวนกรณีกล่าวหาผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ ไต่สวนกรณีกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่างประเทศ ร�่ารวยผิดปกติ ร�่ารวยผิดปกติ ความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ ราชการ ทุจริตต่อหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ ความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม จงใจปฏิบัติหน้าที่/ใช้อ�านาจขัดรัฐธรรมนูญ/กฎหมายหรือฝ่าฝืน/ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านปราบปรามการทุจริต 1. ด้านปราบปรามการทุจริต 1. กระบวนการตรวจรับค�ากล่าวหา 1.1 ความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ในการก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นศูนย์กลางในการรับ ยื่นค�ากล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐในคดีทุจริต รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้จัดตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขึ้นท�าหน้าที่ เป็นองค์กรหลักในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐของเจ้าพนักงานของรัฐ โดยมีความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ ให้เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นกลางและอิสระ และมุ่งตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐให้ครอบคลุม ทุกระดับและรอบด้านโดยกลไกที่มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม โดยมีบุคคลผู้อยู่ภายใต้ การตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ เจ้าพนักงานของรัฐ ได้แก่ (1) เจ้าหน้าที่ของรัฐ (2) ผู้ด�ารงต�าแหน่ง ทางการเมือง (3) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ (4) ผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ ประกอบกับพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 59 วรรคแรก ได้ก�าหนดให้ การกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐบรรดาที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ยื่นค�ากล่าวหา ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือส�านักงาน ป.ป.ช. และมาตรา 60 ยังได้ก�าหนดให้การกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐ ว่ามีการกระท�าความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น อาจท�าด้วยวาจาหรือ ท�าเป็นหนังสือก็ได้ ดังนั้น จึงอาจสรุปจุดมุ่งหมายที่ส�าคัญในการก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นศูนย์กลาง ในการรับค�ากล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐในคดีทุจริตได้ 3 ประการ ดังนี้ 1. เพื่อให้การตรวจรับค�ากล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม เป็นมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐในเรื่องที่กล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐว่าเป็นการกระท�าความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม มีลักษณะกระจัดกระจายไปอยู่ในหลายหน่วยงานด้วยกัน ได้แก่ ส�านักงาน ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ท. ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ส�านักงานการตรวจเงิน แผ่นดิน เป็นต้น ท�าให้การตรวจรับค�ากล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีมาตรฐานแบบแผน เดียวกัน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 50 2. เพื่อให้การตรวจสอบเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น เนื่องมาจากกระบวนการด�าเนินคดีทุจริตตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2550 นั้น มิได้ก�าหนดระยะเวลาในการด�าเนินคดีทุจริตไว้อย่างชัดเจน ท�าให้กระบวนการไต่สวน ข้อเท็จจริงแต่เดิมนั้นเป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้แล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 250 (3) ได้ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจไต่สวนและวินิจฉัยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่ ผู้บริหารระดับสูงหรือข้าราชการซึ่งด�ารงต�าแหน่งตั้งแต่ผู้อ�านวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่ร�่ารวยผิดปกติ กระท�าความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรมเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ด�ารงต�าแหน่งต�่ากว่าผู้อ�านวยการกอง หรือเทียบเท่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ลงไป ท�าให้การตรวจสอบเรื่องกล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐในบางกรณีนั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. กว่าจะทราบได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต�าแหน่งใด และระดับใดแล้ว ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการค้นหาและตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว อีกทั้งเมื่อทราบเป็นที่ แน่ชัดแล้วว่าเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ๆ เป็นต�าแหน่งใดและอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใดแล้ว จะต้องมีการรับส่งเรื่องให้หน่วยงานที่อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อไปอีก อันจะส่งผลให้การด�าเนินคดีมีความ ล่าช้าตามมา 3. เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการเรื่องกล่าวหาร้องเรียนในภาพรวมของประเทศ รวมทั้ง เพื่อให้มีหน่วยงานหลักท�าหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรายงานสถานการณ์การทุจริตของประเทศอย่างเป็นระบบ มากขึ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 250 (3) ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจไต่สวนและวินิจฉัยเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะในบางระดับต�าแหน่งเท่านั้น ว่ามีพฤติการณ์ร�่ารวยผิดปกติ กระท�าความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อต�าแหน่ง หน้าที่ในการยุติธรรมหรือไม่ ดังนั้น ในทางปฏิบัติกระบวนการรับยื่นเรื่องกล่าวหาร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม จึงกระจัดกระจายไปอยู่ในหลายหน่วยงานด้วยกัน มีลักษณะ ต่างหน่วยต่างท�าตามอ�านาจหน้าที่ของหน่วยงาน ขาดความเป็นเอกภาพ ไม่มีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่แห่งเดียวกัน ท�าให้การรวบรวมข้อมูลและรายงานสถานการณ์การทุจริตในภาพรวมของประเทศไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อันส่งผลให้การบริหารจัดการเรื่องกล่าวหาและการวางแผนแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไม่เป็นไป อย่างต่อเนื่อง และขาดจุดเน้นที่ตรงกัน 1.2 หน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการตรวจรับค�ากล่าวหา และการรายงาน ผลการด�าเนินคดีทุจริต รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 234 วรรคสอง บัญญัติให้ การปฏิบัติหน้าที่ตาม (1) (2) และ (3) ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่จะต้องจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะท�าให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และ เที่ยงธรรม ในกรณีจ�าเป็นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอ�านาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตด�าเนินการแทนในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง หรือที่เป็นการกระท�าของเจ้าหน้าที่ ของรัฐบางระดับ หรือก�าหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ด�าเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตก็ได้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 51 จากหลักการดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพื่อก�าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขไว้ในมาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 มาตรา 64 มาตรา 65 และมาตรา 66 โดยจะเห็นได้ว่า กฎหมายได้ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่ และอ�านาจเกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตเจ้าพนักงานของรัฐทุกระดับ และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจมอบหมายให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการในกรณีที่เห็นว่าเรื่องที่ได้รับมาไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือแม้จะอยู่ในหน้าที่และอ�านาจแต่เป็นเรื่องไม่ร้ายแรงที่เป็นการกล่าวหาเจ้าพนักงาน ของรัฐตามมาตรา 61 วรรค 2 หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจมอบหมายให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐด�าเนินการในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งด�ารงต�าแหน่งตั้งแต่อ�านวยการระดับสูงหรือเทียบเท่า ลงมาถูกกล่าวหาว่ากระท�าผิดหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระท�าผิดในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง ตามมาตรา 62 หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจส่งเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 28 (2) และ (4) ที่มิใช่ความผิดร้ายแรง ให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาตามมาตรา 63 ก็ได้ หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งหรือถอดถอนของผู้ถูกร้องด�าเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอ�านาจในกรณีที่มิใช่ เป็นความผิดร้ายแรง หรือกล่าวหาในเรื่องที่มิได้อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 64 ก็ได้ และเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 64 แล้ว ให้หน่วยงานของรัฐนั้นด�าเนินการไปตามหน้าที่และอ�านาจของตนและรายงานผลให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการและภายในก�าหนดระยะเวลาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�าหนดตามมาตรา 65 และในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่เห็นด้วยกับผลการด�าเนินการตามรายงาน ตามมาตรา 65 หรือมีกรณีเห็นว่าผู้ถูกร้องอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือการด�าเนินการนั้นจะไม่เที่ยงธรรม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจเรียกส�านวนการไต่สวนหรือสอบสวน มาเพื่อด�าเนินการได้ โดยจะด�าเนินการไต่สวนใหม่ทั้งหมด หรือน�าผลการไต่สวนหรือสอบสวนของหน่วยงานของรัฐนั้น ทั้งหมดหรือบางส่วนมาถือเป็นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 66 ก็ได้ 1.3 สถิติผลการตรวจรับค�ากล่าวหา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 n แหล่งที่มาของค�ากล่าวหา จากสถิติค�ากล่าวหาร้องเรียนที่เข้ามาสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวนทั้งสิ้น 8,381 เรื่อง เมื่อพิจารณาจากแหล่งที่มาของค�ากล่าวหา พบว่า ค�ากล่าวหาส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ที่ร้องเรียนมายังส�านักงาน ป.ป.ช. โดยตรง จ�านวน 5,568 เรื่อง (ร้อยละ 66.44) รองลงมาเป็นค�ากล่าวหา จากส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ จ�านวน 1,307 เรื่อง (ร้อยละ 15.59) และส�านักงาน ป.ป.ท. จ�านวน 1,034 เรื่อง (ร้อยละ 12.34) ตามล�าดับ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 52 ตารางแสดงสถิติแหล่งที่มาของค�ากล่าวหา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แหล่งที่มาของค�ากล่าวหา จ�านวนค�ากล่าวหา (เรื่อง) ร้อยละ (%) ส�านักงาน ป.ป.ช. 5,568 66.44 ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ 1,307 15.59 ส�านักงาน ป.ป.ท. 1,034 12.34 ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน 138 1.65 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 119 1.42 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 56 0.67 กรมสอบสวนคดีพิเศษ 52 0.62 ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 30 0.36 กรมราชทัณฑ์ 19 0.23 ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน 19 0.23 กระทรวงมหาดไทย 14 0.17 กองบังคับการปราบปราม 8 0.10 ส�านักงานคณะกรรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 8 0.10 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ 3 0.04 กระทรวงสาธารณสุข 2 0.02 ส�านักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2 0.02 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 1 0.01 ส�านักงานอัยการสูงสุด 1 0.01 รวม 8,381 100.00 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. n จ�านวนค�ากล่าวหา จ�าแนกตามประเภทค�ากล่าวหา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีค�ากล่าวหาร้องเรียนที่เข้ามาสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวน 8,381 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค�ากล่าวหาประเภทหนังสือร้องเรียน จ�านวน 4,316 เรื่อง (ร้อยละ 51.50) รองลงมาเป็นหนังสือ ราชการ จ�านวน 1,939 เรื่อง (ร้อยละ 23.14) บัตรสนเท่ห์ จ�านวน 1,594 เรื่อง (ร้อยละ 19.02) ร้องเรียนผ่านทาง เว็บไซต์ จ�านวน 196 เรื่อง (ร้อยละ 2.34) ร้องเรียนด้วยวาจา จ�านวน 116 เรื่อง (ร้อยละ 1.38) แจ้งเบาะแส จ�านวน 89 เรื่อง (ร้อยละ 1.06) ค�ากล่าวหาที่ไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งผู้ถูกร้อง จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 1.15) และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 35 จ�านวน 35 เรื่อง (ร้อยละ 0.42) ตามล�าดับ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค�ากล่าวหาจากในทุกช่องทางการร้องเรียนกล่าวหาตามปีที่เกิดเหตุแล้ว จะเห็นได้ว่า ค�ากล่าวหาส่วนใหญ่เกิดเหตุในปี พ.ศ. 2563 และปี พ.ศ. 2564 รวมจ�านวน 5,097 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 60.82 ของจ�านวนค�ากล่าวหาทั้งหมด รายละเอียดดังตาราง ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 53 ตารางแสดงประเภทค�ากล่าวหา (จ�าแนกตามปีงบประมาณที่เกิดเหตุ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประเภทค�ากล่าวหา ค�ากล่าวหา ปีงบประมาณที่เกิดเหตุ พ.ศ. จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) 2564 2563 2562 2561 2560 2550- 2559 2544- 2549 2514- 2543 ไม่ ระบุ* หนังสือร้องเรียน 4,316 51.50 1,660 1,140 406 257 174 623 37 18 1 หนังสือราชการ 1,939 23.14 550 393 222 128 99 490 31 23 3 บัตรสนเท่ห์ 1,594 19.02 662 384 80 56 60 151 4 2 195 ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ 196 2.34 77 29 15 11 16 21 - - 27 ร้องเรียนด้วยวาจา 116 1.38 40 24 10 8 6 26 - 2 - ไม่ปรากฏชื่อและ ต�าแหน่งผู้ถูกร้อง 96 1.15 56 18 2 - 4 5 - 4 7 แจ้งเบาะแส 89 1.06 33 17 11 10 3 5 - - 10 เหตุอันควรสงสัย 35 0.42 10 4 2 - 1 17 1 - - รวม 8,381 100.00 3,088 2,009 748 470 363 1,338 73 49 243 ร้อยละ (%) 36.85 23.97 8.92 5.61 4.33 15.96 0.87 0.58 2.90 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. หมายเหตุ : *เนื่องจากผู้แจ้งเบาะแส/ผู้ร้องไม่ได้ระบุปีที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ได้แบ่งประเภทค�ากล่าวหาออกเป็น 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากความครบถ้วนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กล่าวคือ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดค�ากล่าวหาครบถ้วนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้แก่ (1) ชื่อและที่อยู่ของผู้กล่าวหา (2) ชื่อหรือต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง และ (3) ข้อกล่าวหาและพฤติการณ์แห่งการกระท�าผิดตามข้อกล่าวหา พร้อมพยานหลักฐานหรืออ้างพยานหลักฐาน และกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดค�ากล่าวหาไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้แก่ ไม่มีชื่อและที่อยู่ของผู้กล่าวหา หรือไม่มีชื่อหรือต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง หรือไม่ระบุข้อกล่าวหาหรือ พฤติการณ์แห่งการกระท�าผิดตามข้อกล่าวหา หรือไม่มีพยานหลักฐานหรืออ้างพยานหลักฐาน โดยการพิจารณา ค�ากล่าวหาในแต่ละกลุ่มนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดค�ากล่าวหาครบถ้วน ตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จ�านวน 6,406 เรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 6,394 เรื่อง (ร้อยละ 99.81) จ�าแนกเป็น 1. ค�ากล่าวหาประเภทหนังสือร้องเรียน จ�านวน 4,316 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 4,308 เรื่อง (ร้อยละ 99.81) ดังนี้ 1.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 2,039 เรื่อง (ร้อยละ 47.24) 1.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 1,501 เรื่อง (ร้อยละ 34.78) 1.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 525 เรื่อง (ร้อยละ 12.16)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 54 1.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 236 เรื่อง (ร้อยละ 5.47) 1.5 กรณีอื่น ๆ จ�านวน 7 เรื่อง (ร้อยละ 0.16) 2. ค�ากล่าวหาประเภทหนังสือราชการ จ�านวน 1,939 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 1,936 เรื่อง (ร้อยละ 99.85) ดังนี้ 2.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 632 เรื่อง (ร้อยละ 32.59) 2.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 987 เรื่อง (ร้อยละ 50.90) 2.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 274 เรื่อง (ร้อยละ 14.13) 2.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 41 เรื่อง (ร้อยละ 2.11) 2.5 กรณีอื่น ๆ จ�านวน 2 เรื่อง (ร้อยละ 0.10) 3. ค�ากล่าวหาประเภทร้องเรียนด้วยวาจา จ�านวน 116 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 115 เรื่อง (ร้อยละ 99.14) ดังนี้ 3.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 62 เรื่อง (ร้อยละ 53.45) 3.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 43 เรื่อง (ร้อยละ 37.07) 3.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 4 เรื่อง (ร้อยละ 3.45) 3.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 6 เรื่อง (ร้อยละ 5.17) 4. ค�ากล่าวหาประเภทยกเหตุอันควรสงสัย จ�านวน 35 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 35 เรื่อง (ร้อยละ 100.00) ดังนี้ 4.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 34 เรื่อง (ร้อยละ 97.14) 4.2 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 1 เรื่อง (ร้อยละ 2.86) รายละเอียดปรากฏตามตาราง ดังนี้ ตารางแสดงสถิติการตรวจรับค�ากล่าวหา (กลุ่มค�ากล่าวหาที่มีรายละเอียดครบถ้วน) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประเภท ค�ากล่าวหา จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) ลักษณะ/รูปแบบการตรวจรับค�ากล่าวหา (เรื่องเสร็จ) คงเหลืออยู่ ระหว่าง ด�าเนินการ (เรื่อง) รับ ด�าเนินการ ออกเลขด�า ส่ง หน่วยงาน ภายนอก ส่งรวม เรื่องซ�้า ไม่รับ พิจารณา/ ไม่อยู่ใน อ�านาจหน้าที่ อื่นๆ รวม หนังสือร้องเรียน 4,316 67.37 2,039 1,501 525 236 7 4,308 8 หนังสือราชการ 1,939 30.27 632 987 274 41 2 1,936 3 ร้องเรียนด้วยวาจา 116 1.81 62 43 4 6 - 115 1 เหตุอันควรสงสัย 35 0.55 34 - - 1 - 35 - รวม 6,406 100.00 2,767 2,531 803 284 9 6,394 12 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. หมายเหตุ : เรื่องคงเหลืออยู่ระหว่างด�าเนินการ หมายถึง ค�ากล่าวหาที่อยู่ระหว่างด�าเนินการในขั้นตอนทางธุรการคดี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 55 ตารางแสดงสถิติการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยงาน จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) ลักษณะการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหา ม.61 ม.62 ม.63 ม.64 ม.61 และ ม.64 ม.63 และ ม.64 ส่งกลับฯ ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ 997 39.39 951 - 46 - - - - ส�านักงาน ป.ป.ท. 188 7.43 - 188 - - - - - ผู้บังคับบัญชา/ผู้มีอ�านาจ แต่งตั้งถอดถอน 1,190 47.02 - - - 1,183 4 3 - ส่งกลับกรณีไม่อยู่ในอ�านาจ 156 6.16 - - - - - - 156 รวม 2,531 100.00 951 188 46 1,183 4 3 156 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดค�ากล่าวหาไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จ�านวน 1,975 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�า กล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 1,960 เรื่อง (ร้อยละ 99.24) จ�าแนกเป็น 1. ค�ากล่าวหาประเภทบัตรสนเท่ห์ จ�านวน 1,594 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 1,581 เรื่อง (ร้อยละ 99.18) ดังนี้ 1.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 377 เรื่อง (ร้อยละ 23.65) 1.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 167 เรื่อง (ร้อยละ 10.48) 1.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 273 เรื่อง (ร้อยละ 17.13) 1.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 763 เรื่อง (ร้อยละ 47.87) 1.5 กรณีอื่น ๆ จ�านวน 1 เรื่อง (ร้อยละ 0.06) 2. ค�ากล่าวหาประเภทร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ จ�านวน 196 เรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 194 เรื่อง (ร้อยละ 98.98) โดยค�ากล่าวหากลุ่มนี้บางส่วน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถพิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติได้ เนื่องจากค�ากล่าวหากลุ่มนี้ ไม่มีชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องเรียน ท�าให้ไม่สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมให้ครบถ้วนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จากผู้ร้องเรียนได้ หรือค�ากล่าวหา ไม่มีชื่อหรือต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง ท�าให้ไม่ทราบว่าผู้ถูกร้องคือบุคคลใด มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามกฎหมายหรือไม่ หรือค�ากล่าวหาไม่ระบุข้อกล่าวหาหรือพฤติการณ์แห่งการกระท�าผิดตามข้อกล่าวหา หรือไม่มีพยานหลักฐานหรืออ้างพยานหลักฐานประกอบข้อกล่าวหาเพียงพอที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณา ด�าเนินการต่อไปได้ ส่งผลให้ค�ากล่าวหาประเภทนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถพิจารณาผลการตรวจรับ ค�ากล่าวหาและมีมติได้ ดังนี้ 2.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 43 เรื่อง (ร้อยละ 21.94) 2.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 14 เรื่อง (ร้อยละ 7.14)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 56 2.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 29 เรื่อง (ร้อยละ 14.80) 2.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 107 เรื่อง (ร้อยละ 54.59) 2.5 กรณีอื่น ๆ จ�านวน 1 เรื่อง (ร้อยละ 0.51) 3. ค�ากล่าวหาประเภทแจ้งเบาะแส จ�านวน 89 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 89 เรื่อง (ร้อยละ 100.00) ดังนี้ 3.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน 20 เรื่อง (ร้อยละ 22.47) 3.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน 2 เรื่อง (ร้อยละ 2.25) 3.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน 10 เรื่อง (ร้อยละ 11.24) 3.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 57 เรื่อง (ร้อยละ 64.04) 4. ค�ากล่าวหาประเภทไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งผู้ถูกร้อง จ�านวน 96 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติแล้ว จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 100.00) ดังนี้ 3.1 เรื่องรับไว้ด�าเนินการ (ออกเลขด�า) จ�านวน - เรื่อง (ร้อยละ -) 3.2 เรื่องส่งหน่วยงานภายนอก จ�านวน - เรื่อง (ร้อยละ -) 3.3 ส่งรวมเรื่องซ�้า จ�านวน - เรื่อง (ร้อยละ -) 3.4 เรื่องไม่รับไว้พิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ จ�านวน - เรื่อง (ร้อยละ -) 3.5 ยุติเรื่องตามข้อ 23 จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 100.00) รายละเอียดปรากฏตามตาราง ดังนี้ ตารางแสดงสถิติการตรวจรับค�ากล่าวหา (กลุ่มค�ากล่าวหาที่มีรายละเอียดไม่ครบถ้วน) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประเภท ค�ากล่าวหา จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) ลักษณะ/รูปแบบการตรวจรับค�ากล่าวหา (เรื่องเสร็จ) คงเหลืออยู่ ระหว่าง ด�าเนินการ (เรื่อง) รับ ด�าเนิน การออก เลขด�า ส่ง หน่วย งาน ภายนอก ส่งรวม เรื่องซ�้า ไม่รับ พิจารณา/ ไม่อยู่ใน อ�านาจ หน้าที่ ยุติเรื่อง ตามข้อ 23 อื่นๆ รวม บัตรสนเท่ห์ 1,594 80.71 377 167 273 763 - 1 1,581 13 ร้องเรียนผ่าน เว็บไซต์ 196 9.92 43 14 29 107 - 1 194 2 แจ้งเบาะแส 89 4.51 20 2 10 57 - - 89 - ไม่ปรากฏชื่อและ ต�าแหน่งผู้ถูกร้อง 96 4.86 - - - - 96 - 96 - รวม 1,975 100.00 440 183 312 927 96 2 1,960 15 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. หมายเหตุ : เรื่องคงเหลืออยู่ระหว่างด�าเนินการ หมายถึง ค�ากล่าวหาที่อยู่ระหว่างด�าเนินการในขั้นตอนทางธุรการคดี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 57 ตารางแสดงสถิติการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยงาน จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) ลักษณะการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหา ม.61 ม.62 ม.63 ม.64 ม.63 และ ม.64 ส่งกลับฯ ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ 10 5.46 1 - 9 - - - ส�านักงาน ป.ป.ท. 49 26.78 - 49 - - - - ผู้บังคับบัญชา/ผู้มีอ�านาจ แต่งตั้งถอดถอน 112 61.20 - - - 111 1 - ส่งกลับกรณีไม่อยู่ในอ�านาจ 12 6.56 - - - - - 12 รวม 183 100.00 1 49 9 111 1 12 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. n ผลการตรวจรับค�ากล่าวหา จากเรื่องกล่าวหาทั้งสิ้น จ�านวน 8,381 เรื่อง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ จ�านวน 8,354 เรื่อง (ร้อยละ 99.68) จ�าแนกเป็น 6 กรณี ดังนี้ 1. กรณีเรื่องรับไว้ด�าเนินการตรวจสอบเบื้องต้น ตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วย การตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีที่เห็นว่าค�ากล่าวหาถูกต้องครบถ้วนและอยู่ในอ�านาจหน้าที่ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ออกเลขเรื่องกล่าวหาเพื่อด�าเนินการตรวจสอบเบื้องต้นหรือเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาสั่งไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วแต่กรณี โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหา และมีมติ จ�านวน 3,207 เรื่อง (ร้อยละ 38.39) 2. กรณีส่งคืน หรือส่งเรื่อง หรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่และอ�านาจป้องกัน และปราบปรามการทุจริตรับไปด�าเนินการแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีที่ส่งเรื่องกล่าวหาคืนพนักงานสอบสวนตามมาตรา 61 (ข้อ 26) หรือกรณีส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งหรือถอดถอนของผู้ถูกร้องด�าเนินการทางวินัย ไปตามหน้าที่และอ�านาจตามมาตรา 64 (ข้อ 27) หรือกรณีที่มอบหมายเรื่องกล่าวหาให้คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐตามมาตรา 62 หรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้พนักงานสอบสวนตามมาตรา 61 และมาตรา 63 หรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งหรือถอดถอนของผู้ถูกร้อง ตามมาตรา 64 รับไปด�าเนินการแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ข้อ 28) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณา ผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ จ�านวน 2,714 เรื่อง (ร้อยละ 32.49) 3. กรณีส่งรวมเรื่องซ�้า ตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีที่ส่งค�ากล่าวหานั้นไปรวมกับค�ากล่าวหาเดิมเพื่อด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจเมื่อพิจารณาเห็นว่า เป็นค�ากล่าวหาเดียวกันกับเรื่องที่อยู่ระหว่างการด�าเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานของรัฐ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย หรือเป็นกรณีที่ส่งค�ากล่าวหานั้นไปให้ผู้รับผิดชอบเรื่องเดิมรับไปพิจารณา เมื่อพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว (ข้อ 22) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ จ�านวน 1,115 เรื่อง (ร้อยละ 13.35)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 58 4. กรณีไม่รับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากไม่ได้เป็นค�ากล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐ หรือกรณีที่เป็นค�ากล่าวหาที่มีข้อมูลหรือรายละเอียดไม่เพียงพอ ที่จะด�าเนินการต่อไปได้ หรือกรณีที่เป็นค�ากล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐที่มิได้อยู่ในหน้าที่และอ�านาจ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติให้เป็นหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือกรณีที่เป็นเรื่อง ที่มีข้อกล่าวหาหรือประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว หรือกรณีที่เป็นเรื่อง กล่าวหาที่เป็นคดีอาญาในประเด็นเดียวกันและศาลประทับฟ้องหรือพิพากษาหรือมีค�าสั่งเด็ดขาดแล้ว หรือกรณี ที่เป็นเรื่องกล่าวหาที่ผู้ถูกร้องตายหรือเรื่องกล่าวหาที่ล่วงเลยมาแล้วเกิน 10 ปี โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ จ�านวน 1,211 เรื่อง (ร้อยละ 14.50) 5. กรณียุติเรื่องกล่าวหาที่ไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง ตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีที่ค�ากล่าวหาไม่ปรากฏชื่อและต�าแหน่งของผู้ถูกร้อง และไม่อาจพิจารณาได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นบุคคลใดหรือด�ารงต�าแหน่งระดับใด (ข้อ 23) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติ จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 1.15) 6. กรณีอื่น ๆ จ�านวน 11 เรื่อง (ร้อยละ 0.13) n ผลการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ จากค�ากล่าวหาทั้งสิ้น จ�านวน 8,381 เรื่อง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจรับค�ากล่าวหาและมีมติส่งเรื่องคืน หรือส่งเรื่อง หรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่น ที่มีหน้าที่และอ�านาจป้องกันและปราบปรามการทุจริตรับไปด�าเนินการแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 2,714 เรื่อง จ�าแนกเป็น 4 กรณี ดังนี้ 1. กรณีส่งเรื่องให้ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติด�าเนินการตามมาตรา 61 และมาตรา 63 จ�านวน 1,007 เรื่อง (ร้อยละ 37.10) แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ 1.1 กรณีส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวนตามมาตรา 61 ในกรณีที่เป็นเรื่องที่ได้รับมาจาก พนักงานสอบสวน และพิจารณาเห็นว่าค�าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ด�าเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นใดนั้น ไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรืออยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่เป็นเรื่องที่มิใช่ความผิดร้ายแรง จ�านวน 952 เรื่อง 1.2 กรณีมอบหมายเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาตามมาตรา 63 ในกรณีที่เห็นว่าผู้ถูกร้องเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 28 (2) และ (4) ที่มิใช่ความผิดร้ายแรง จ�านวน 55 เรื่อง 2. กรณีมอบหมายเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐด�าเนินการ ตามมาตรา 62 ซึ่งเป็นกรณีที่เห็นว่าผู้ถูกร้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งด�ารงต�าแหน่งตั้งแต่อ�านวยการระดับสูง หรือเทียบเท่าลงมาถูกกล่าวหาว่ากระท�าผิด หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระท�าผิดในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิด ร้ายแรง จ�านวน 237 เรื่อง (ร้อยละ 8.73) 3. กรณีส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งหรือถอดถอนของผู้ถูกร้องด�าเนินการ ทางวินัยไปตามหน้าที่และอ�านาจตามมาตรา 64 หรือตามมาตรา 61 และมาตรา 64 หรือตามมาตรา 63 และมาตรา 64 ซึ่งเป็นกรณีที่เป็นเรื่องกล่าวหาที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง หรือกล่าวหาในเรื่องที่มิได้อยู่ในหน้าที่ และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 1,302 เรื่อง (ร้อยละ 47.97) 4. กรณีเรื่องที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรณีที่เป็นค�ากล่าวหา เจ้าพนักงานของรัฐที่มิได้อยู่ในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 59 รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติให้เป็นหน้าที่ และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 168 เรื่อง (ร้อยละ 6.19) ตารางแสดงสถิติการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหาให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยงาน จ�านวน (เรื่อง) ร้อยละ (%) ลักษณะการส่งหรือมอบหมายเรื่องกล่าวหา ม.61 ม.62 ม.63 ม.64 ม.61 และ ม.64 ม.63 และ ม.64 ส่งกลับฯ ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ 1,007 37.10 952 - 55 - - - - ส�านักงาน ป.ป.ท. 237 8.73 - 237 - - - - - ผู้บังคับบัญชา/ผู้มีอ�านาจ แต่งตั้งถอดถอน 1,302 47.97 - - - 1,294 4 4 ส่งกลับกรณีไม่อยู่ในอ�านาจ 168 6.19 - - - - - - 168 รวม 2,714 100.00 952 237 55 1,294 4 4 168 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. 1.4 การวิเคราะห์สถานการณ์การทุจริตจากค�ากล่าวหา ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จากค�ากล่าวหาที่เข้าสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวนทั้งสิ้น 8,381 เรื่อง โดยเป็นเรื่องที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับไว้ด�าเนินการเอง จ�านวน 3,207 เรื่อง รองลงมาเป็นเรื่องที่ส่งหน่วยงานอื่นด�าเนินการตามมาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีเรื่องที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในต�าแหน่งอ�านวยการ ระดับสูง หรือเทียบเท่าลงมา และมิใช่เป็นความผิดร้ายแรง จึงส่งให้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอ�านาจป้องกันและปราบปรามการทุจริต ด�าเนินการแทน จ�านวน 2,714 เรื่อง เป็นค�ากล่าวหาที่ไม่รับพิจารณา/ไม่อยู่ในอ�านาจ จ�านวน 1,211 เรื่อง เป็นค�ากล่าวหาส่งเรื่องรวมซ�้า จ�านวน 1,115 เรื่อง เป็นค�ากล่าวหาที่ส่งให้ส�านักอื่นด�าเนินการ/อื่น ๆ จ�านวน 11 เรื่อง เป็นค�ากล่าวหาที่ยุติเรื่องตามข้อ 23 จ�านวน 96 เรื่อง และเป็นเรื่องคงค้างที่อยู่ระหว่างการตรวจรับ จ�านวน 27 เรื่อง ทั้งนี้ เรื่องที่คงค้างส่วนใหญ่มาจากการร้องเรียนผ่านบัตรสนเท่ห์ ซึ่งเป็นกลุ่มค�ากล่าวหาที่มีรายละเอียดไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 60 โดยเบื้องต้นจะกล่าวถึงเฉพาะในภาพรวมของเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับไว้ด�าเนินการเอง จ�านวน 3,207 เรื่อง และเรื่องที่ส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ จ�านวน 2,714 เรื่อง (ไม่รวมถึง เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งรวมเรื่องซ�้า กรณียุติเรื่อง และกรณีไม่รับพิจารณาหรือไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.) รวมเป็น จ�านวน 5,921 เรื่อง ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท�ารายงานสถานการณ์การทุจริตประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.nacc.go.th หรือ ที่ QR Code นี้ 1. 4 การวิเคราะห์สถานการณ์การทุจริต จากคากล่าวหา ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 จากคำกล่ำวหาที่เข้าสู่สานักงาน ป.ป.ช. จานวนทั้งสิ้น 8,381 เรื่อง โดยเป็นเรื่องที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดาเนินการเอง จานวน 3,207 เรื่อง รองลงมาเป็นเรื่องที่ส่งหน่วยงานอื่นดาเนินการตามมาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกา รป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นกรณีเรื่องที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในตาแหน่งอานวยการ ระดับสูง หรือเทียบเท่าลงมา และ มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง จึงส่งให้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอานาจป้องกันและปราบปรามการทุจริตดำเนินการแทน จำนวน 2,714 เรื่อง เป็น คำกล่าวหาที่ไม่รับพิจารณา/ไม่อยู่ในอานาจ จานวน 1,211 เรื่อง เป็นคำกล่าวหาส่งเรื่อง รวมซ้า จำนวน 1,115 เรื่อง เป็นคากล่าวหาที่ส่งให้สานักอื่นดาเนินการ/อื่น ๆ จานวน 11 เรื่อง เป็นคากล่าวที่ยุติ เรื่องตามข้อ 23 จานวน 96 เรื่อง และเป็นเรื่องคงค้างที่อยู่ระหว่างกำรตรวจรับ จานวน 27 เรื่อง ทั้งนี้ เรื่องที่คงค้าง ส่วนใหญ่มาจากการร้องเรียนผ่านบัตรสนเท่ห์ ซึ่งเป็นกลุ่มคากล่าวหาที่มีรายละเอียดไม่ครบถ้วนตามมาตรา 60 โดยเบื้องต้นจะกล่าวถึงเฉพาะในภาพรวมของเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับไว้ดาเนินการเอง จานวน 3,207 เรื่อ ง และเรื่องที่ส่งให้หน่วยงานอื่นดาเนินการ จานวน 2,714 เรื่อง (ไม่รวมถึง เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งรวมเรื่องซ้า กรณียุติเรื่อง และกรณีไม่รับพิจารณาหรือไม่อยู่ในอานาจหน้าที่และอานาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.) รวมเป็น จำนวน 5 , 921 เรื่อง ทั้งนี้ สานักงาน ป. ป.ช. ได้จัดทารายงานสถานการณ์การ ทุจริตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.nacc.go.th หรือ ที่ QR Code นี้ ภาพรวมคำก ล่าวหาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับไว้ดาเนินการเอง และส่งให้หน่วยงานอื่นดำเนินการ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 60 n ภาพรวมค�ากล่าวหาประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับไว้ ด�าเนินการเอง และส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ ค�ากล่าวหาจ�าแนกตามปีงบประมาณที่เกิดเหตุ ค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส่วนใหญ่เป็นค�ากล่าวหาที่เกิดเหตุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มากที่สุด จ�านวน 2,220 เรื่อง (ร้อยละ 37.49) รองลงมาเป็นค�ากล่าวหาที่เกิดเหตุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 1,474 เรื่อง (ร้อยละ 24.89) ค�ากล่าวหาที่เกิดเหตุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จ�านวน 567 เรื่อง (ร้อยละ 9.58) ค�ากล่าวหาที่เกิดเหตุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จ�านวน 368 เรื่อง (ร้อยละ 6.22) และค�ากล่าวหา ที่เกิดเหตุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จ�านวน 248 เรื่อง (ร้อยละ 4.19) ตามล�าดับ ส่วนที่เหลือเป็นค�ากล่าวหา ที่เกิดเหตุในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 - 2559 จ�านวน 930 เรื่อง (ร้อยละ 15.71) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 - 2549 จ�านวน 48 เรื่อง (ร้อยละ 0.81) และปีงบประมาณ พ.ศ. 2514 - 2543 จ�านวน 28 เรื่อง (ร้อยละ 0.47) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ค�ากล่าวหาที่เกิดในช่วงเวลา 5 ปี งบประมาณย้อนหลัง (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2564) มีจ�านวนมากถึง 4,877 เรื่อง คิดเป็น ร้อยละ 82.37 ของจ�านวนค�ากล่าวหาทั้งหมด ค�ากล่าวหาจ�าแนกตามพื้นที่รับผิดชอบ หากพิจารณาค�ากล่าวหาจ�าแนกตามพื้นที่รับผิดชอบ พบว่า เป็นค�ากล่าวหาที่อยู่ในความรับผิดชอบ ของส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางมากที่สุด จ�านวน 1,269 เรื่อง (ร้อยละ 21.43) รองลงมาเป็นส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 จ�านวน 798 เรื่อง (ร้อยละ 13.48) และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ในเขตพื้นที่ภาค 3 จ�านวน 793 เรื่อง (ร้อยละ 13.39) ตามล�าดับ ในขณะที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ในเขตพื้นที่ภาค 9 มีค�ากล่าวหาในความรับผิดชอบน้อยที่สุด จ�านวน 295 เรื่อง (ร้อยละ 4.98) ตามล�าดับ ตารางแสดงจ�านวนค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกข้อมูลตามพื้นที่รับผิดชอบ และปีงบประมาณที่เกิดเหตุ พื้นที่ รวม ค�ากล่าวหา ปีงบประมาณที่เกิดเหตุ 2564 2563 2562 2561 2560 2550-2559 2544-2549 2514-2543 ไม่ระบุ* ส่วนกลาง 1,269 471 310 126 92 57 183 13 9 8 ภาค 1 514 214 117 45 26 20 86 2 2 2 ภาค 2 412 142 106 33 23 14 83 5 2 4 ภาค 3 793 286 219 75 40 29 134 7 1 2 ภาค 4 798 289 227 64 46 40 121 5 6 - ภาค 5 501 206 118 47 28 20 67 3 - 12 ภาค 6 535 208 118 54 39 25 81 3 1 6 ภาค 7 448 168 94 55 23 21 79 4 2 2 ภาค 8 356 130 90 31 24 12 59 6 4 - ภาค 9 295 106 75 37 27 10 37 - 1 2 ทั้งประเทศ 5,921 2,220 1,474 567 368 248 930 48 28 38 ร้อยละ (%) 100 37.49 24.89 9.58 6.22 4.19 15.71 0.81 0.47 0.64 ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) และระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS) ประมวลผลโดย : ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. หมายเหตุ : * เนื่องจากผู้แจ้งเบาะแส/ผู้ร้องไม่ได้ระบุปีที่เกิดเหตุ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นปีงบประมาณใด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 61 ค�ากล่าวหาจ�าแนกตามหน่วยงานที่ถูกกล่าวหา จากค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยงานที่ถูกกล่าวหามากที่สุด จ�านวน 2,222 เรื่อง (ร้อยละ 37.53) รองลงมาเป็นส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ จ�านวน 833 เรื่อง (ร้อยละ 14.07) กระทรวงมหาดไทย จ�านวน 744 เรื่อง (ร้อยละ 12.57) และเป็นส่วนราชการอื่น ๆ จ�านวน 2,122 เรื่อง (ร้อยละ 35.84) เมื่อพิจารณาค�ากล่าวหาของหน่วยงานที่มีค�ากล่าวหามากที่สุด 3 อันดับแรก สามารถสรุปได้ ดังนี้ l องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 2,222 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค�ากล่าวหาในประเภทจัดซื้อจัดจ้าง จ�านวน 675 เรื่อง (ร้อยละ 30.38) รองลงมาเป็นประเภทปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ละเลย เพิกเฉย ต่อการปฏิบัติตามหน้าที่ กระท�าการเกินอ�านาจหน้าที่ โดยทุจริต และอนุมัติ/ไม่อนุมัติใบอนุญาตโดยมิชอบ เป็นต้น จ�านวน 644 เรื่อง (ร้อยละ 28.98) และประเภท ยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของราชการ จ�านวน 330 เรื่อง (ร้อยละ 14.85) ตามล�าดับ l ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ มีค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 833 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค�ากล่าวหาในประเภทปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ละเลย เพิกเฉย ต่อ การปฏิบัติตามหน้าที่ กระท�าการเกินอ�านาจหน้าที่โดยทุจริต เป็นต้น จ�านวน 648 เรื่อง (ร้อยละ 77.79) รองลงมา เป็นประเภทเรียกรับสินบน จ�านวน 88 เรื่อง (ร้อยละ 10.56) และประเภทยักยอก/เบียดบังเงิน หรือทรัพย์สินของราชการ จ�านวน 64 เรื่อง (ร้อยละ 7.68) ตามล�าดับ l กระทรวงมหาดไทย มีค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 744 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นค�ากล่าวหาในประเภทปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ละเลย เพิกเฉย ต่อการปฏิบัติตาม หน้าที่ กระท�าการเกินอ�านาจหน้าที่โดยทุจริต และอนุมัติ/ไม่อนุมัติใบอนุญาตโดยมิชอบ เป็นต้น จ�านวน 289 เรื่อง (ร้อยละ 38.84) รองลงมาเป็นประเภทออกเอกสารสิทธิที่ดิน จ�านวน 132 เรื่อง (ร้อยละ 17.74) และประเภท ยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของราชการ จ�านวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 12.90) ตามล�าดับ แผนภาพแสดงจ�านวนค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยงานที่มีค�ากล่าวหามากที่สุด 3 อันดับแรก จ�าแนกตามประเภทค�ากล่าวหา ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) และระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS) ประมวลผลโดย : ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นประเภทเรียกรับสินบน จานวน 88 เรื่อง (ร้อยละ 10 . 56 ) และประเภทยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของ ราชการ จำนวน 64 เรื่อง (ร้อยละ 7 . 68 ) ตามลำดับ กระทรวงมหาดไทย มีคากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 จานวน 744 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นคากล่า วหาในประเภทปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ละเลย เพิกเฉย ต่อการปฏิบัติตาม หน้าที่ กระทาการเกินอานาจหน้าที่โดยทุจริต และอนุมัติ/ไม่อนุมัติใบอนุญาตโดยมิชอบ เป็นต้น จานวน 2 89 เรื่อง (ร้อยละ 3 8 . 84 ) รองลงมาเป็นประเภทออกเอกสารสิทธิที่ดิน จานวน 1 32 เรื่อง (ร้อยละ 1 7 . 74 ) และประเภท ยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของราชการ จำนวน 96 เรื่อง (ร้อยละ 1 2 . 90 ) ตามลำดับ แผนภาพแสดงจำนวนคากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยงานที่มีคากล่าวหามากที่สุด 3 อันดับแรก จำแนกตามประเภทคำกล่าวหา ที่มา : ระบบตรว จรับคำกล่าวหา (PESCA) และระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS ) ประมวลผลโดย : สานักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สานักงาน ป.ป.ช. วงเงินงบประมาณของโครงการหรือจำนวนเงินที่มีการทุจริตตามคากล่าวหา จากคากล่าวหาในปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 ที่สานักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดาเนินการเอง จำนวน 3 , 207 เรื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 62 วงเงินงบประมาณของโครงการหรือจ�านวนเงินที่มีการทุจริตตามค�ากล่าวหา จากค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับไว้ด�าเนินการเอง จ�านวน 3,207 เรื่อง เมื่อพิจารณาวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจ�านวนเงินที่มีการทุจริตตามค�ากล่าวหา มีมูลค่ารวม 26,883 ล้านบาท หากจ�าแนกตามประเภทค�ากล่าวหา พบว่า ค�ากล่าวหาประเภทการเรียกรับสินบน มีมูลค่ามากที่สุด จ�านวน 11,027 ล้านบาท (ร้อยละ 41.02) รองลงมาเป็นประเภทการจัดซื้อจัดจ้าง จ�านวน 8,773 ล้านบาท (ร้อยละ 32.64) และการทุจริตในการจัดท�างบประมาณ/โครงการ/เบิกจ่ายเงินในโครงการเป็นเท็จ จ�านวน 5,837 ล้านบาท (ร้อยละ 21.71) ตามล�าดับ และจากค�ากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ ตามมาตรา 61 - 64 กรณีกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐในต�าแหน่งอ�านวยการระดับสูงหรือเทียบเท่าลงมา และมิใช่ เป็นความผิดร้ายแรง จ�านวน 2,714 เรื่อง เมื่อพิจารณาวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจ�านวนเงินที่มีการ ทุจริตตามค�ากล่าวหา มีมูลค่ารวม 1,118 ล้านบาท หากจ�าแนกตามประเภทค�ากล่าวหา พบว่า ค�ากล่าวหา ประเภทการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีมูลค่ามากที่สุด จ�านวน 1,010 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90.33 รองลงมาเป็นการยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของราชการ จ�านวน 72 ล้านบาท (ร้อยละ 6.50) และการจัดซื้อจัดจ้าง จ�านวน 18 ล้านบาท (ร้อยละ 1.64) ตามล�าดับ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าค�ากล่าวหาที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ด�าเนินการเอง มีวงเงินงบประมาณของโครงการ หรือจ�านวนเงินที่มีการทุจริตตามค�ากล่าวหามากถึง 26,883 ล้านบาท ในขณะที่ค�ากล่าวหาที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ มีวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจ�านวนเงินที่มีการทุจริตตามค�ากล่าวหาเพียง 1,118 ล้านบาท ทั้งที่จ�านวนค�ากล่าวหาใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นว่าค�ากล่าวหาที่ส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ เป็นเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การส่งหรือมอบหมายค�ากล่าวหาให้หน่วยงานอื่น ด�าเนินการตามมาตรา 61 - 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 ตารางแสดงวงเงินงบประมาณของโครงการหรือจ�านวนเงินที่มีการทุจริตตามค�ากล่าวหา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ทั้งส่วนที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับไว้ด�าเนินการและส่งให้หน่วยงานอื่นด�าเนินการ จ�าแนกตามประเภทค�ากล่าวหา ที่มา : ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) และระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS) ประมวลผลโดย : ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ส�ํานักงําน ป.ป.ช. รับด�ําเนินกํารเอง ส่งให้หน่วยงํานอื่น ด�ําเนินกําร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 63 2. กระบวนการตรวจสอบเบื้องต้นและการไต่สวนข้อเท็จจริง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีเรื่องกล่าวหาคงค้างสะสม (ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) จ�านวน 12,851 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหารับใหม่ (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 30 กันยายน 2564) จ�านวน 4,081 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 16,932 เรื่อง ซึ่งได้ด�าเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้นและในชั้นการไต่สวน ข้อเท็จจริง รวมทั้งสิ้น 5,587 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหาคงเหลืออยู่ระหว่างด�าเนินการ (ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) จ�านวน 12,312 เรื่อง สามารถจ�าแนกได้ ดังนี้ 1. เรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้น จ�านวน 4,050 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องกล่าวหา ที่ด�าเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จ�านวน 3,083 เรื่อง และเรื่องกล่าวหาที่รับไว้ด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 967 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้ 1.1 ไม่รับไว้พิจารณาตามมาตรา 49 (กรณีกรรมการ ป.ป.ช. จ�านวน 2,287 เรื่อง ที่ก�ากับดูแลมีค�าสั่งไม่รับค�ากล่าวหาไว้พิจารณา) 1.2 ไม่รับหรือไม่ยกขึ้นพิจารณาตามมาตรา 54, 55 จ�านวน 13 เรื่อง 1.3 ไม่รับไว้ด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง/ยุติการสอบสวน จ�านวน 275 เรื่อง 1.4 รับไว้ด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�าแนกเป็น จ�านวน 967 เรื่อง (1) คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์คณะไต่สวน จ�านวน 4 เรื่อง (2) แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน (มาตรา 51) จ�านวน 43 เรื่อง (3) มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้น (มาตรา 50) จ�านวน 920 เรื่อง 1.5 ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการ จ�านวน 5 เรื่อง ตามมาตรา 61 1.6 ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�าเนินการตามมาตรา 62 จ�านวน 80 เรื่อง 1.7 ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 จ�านวน 15 เรื่อง 1.8 ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน จ�านวน 298 เรื่อง ด�าเนินการตามมาตรา 64 1.9 ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 จ�านวน 1 เรื่อง และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 1.10 ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 จ�านวน 9 เรื่อง และส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน ด�าเนินการตามมาตรา 64 1.11 ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 จ�านวน 94 เรื่อง และส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน ด�าเนินการตามมาตรา 64 1.12 กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตามพระราชบัญญัติว่าด้วย จ�านวน 6 เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2. เรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการเสร็จในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 1,537 เรื่อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้ 2.1 ไม่ยกขึ้นพิจารณาหรือยุติการด�าเนินคดี (ขาดอายุความ) จ�านวน 18 เรื่อง หรือให้จ�าหน่ายคดีออกจากสารบบ (ผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย) 2.2 ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วข้อกล่าวหาไม่มีมูล (ให้ข้อกล่าวหาตกไป) จ�านวน 266 เรื่อง 2.3 ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 จ�านวน 1 เรื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 64 2.4 ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�าเนินการตามมาตรา 62 จ�านวน 1 เรื่อง 2.5 ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาฯ ด�าเนินการตามมาตรา 64 จ�านวน 171 เรื่อง 2.6 กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตามพระราชบัญญัติว่าด้วย จ�านวน 4 เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2.7 เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด จ�าแนกเป็น จ�านวน 1,076 เรื่อง (1) ชี้มูลความผิดทางวินัย หรือให้ด�าเนินการตามอ�านาจหน้าที่ จ�านวน 126 เรื่อง (กรณีไม่มีวินัย) (2) ชี้มูลความผิดทางอาญา จ�านวน 100 เรื่อง (3) ชี้มูลความผิดทางอาญา และชี้มูลความผิดทางวินัย จ�านวน 842 เรื่อง หรือให้ด�าเนินการตามอ�านาจหน้าที่ (กรณีไม่มีวินัย) (4) ชี้มูลความผิดฐานร�่ารวยผิดปกติ จ�านวน 7 เรื่อง (5) ชี้มูลความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน จ�านวน 1 เรื่อง ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรา 87 3. เรื่องกล่าวหาคงเหลือที่อยู่ระหว่างด�าเนินการตรวจสอบเบื้องต้นและการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 12,312 เรื่อง จ�าแนกเป็น 3.1 เรื่องที่อยู่ระหว่างด�าเนินการตรวจสอบเบื้องต้น จ�านวน 9,553 เรื่อง 3.2 เรื่องที่อยู่ระหว่างด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 2,759 เรื่อง ตารางแสดงสถิติผลการด�าเนินงานด้านปราบปรามการทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�าแนกข้อมูลตามกระบวนการ/ขั้นตอนการด�าเนินคดี เรื่องตรวจสอบเบื้องต้น จ�านวน เรื่องไต่สวนข้อเท็จจริง จ�านวน 1. ไม่รับไว้พิจารณาตามมาตรา 49 (กรรมการ ป.ป.ช. ที่ก�ากับ ดูแลมีค�าสั่งไม่รับค�ากล่าวหาไว้พิจารณา) 2,287 เรื่อง 1. ให้ข้อกล่าวหาตกไป/ไม่ยกขึ้นพิจารณา/ยุติ การด�าเนินคดี/จ�าหน่ายเรื่องออกจากสารบบ 284 เรื่อง 2. ไม่รับ/ไม่ยกขึ้นพิจารณาตามมาตรา 54, 55 13 เรื่อง 1.1 ไต่สวนแล้วข้อกล่าวหาไม่มีมูล (ให้ข้อกล่าวหาตกไป) 266 เรื่อง 3. ไม่รับไว้ด�าเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง/ยุติการสอบสวน 275 เรื่อง 1.2 ไม่ยกขึ้นพิจารณา/ยุติการด�าเนินคดี (ขาดอายุความ) 18 เรื่อง 4. รับไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง 967 เรื่อง 2. ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการ ตามมาตรา 61 1 เรื่อง 5. ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 5 เรื่อง 3. ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�าเนินการ ตามมาตรา 62 1 เรื่อง 6. ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�าเนินการตามมาตรา 62 80 เรื่อง 4. ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาฯ ด�าเนินการตาม มาตรา 64 171 เรื่อง 7. ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 15 เรื่อง 5. กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 4 เรื่อง 8. ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาฯ ด�าเนินการตามมาตรา 64 298 เรื่อง 6. เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 1,076 เรื่อง 9. ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 1 เรื่อง จ�าแนกเป็น 6.1 ชี้มูลร�่ารวยผิดปกติ 7 100 เรื่อง เรื่อง 10. ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 61 และส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาฯ ด�าเนินการตามมาตรา 64 9 เรื่อง 6.2 ชี้มูลความผิดทางอาญา 6.3 ชี้มูลความผิดทางวินัย 126 842 เรื่อง เรื่อง 11. ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนด�าเนินการตามมาตรา 63 และ ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาฯ ด�าเนินการตามมาตรา 64 94 เรื่อง 6.4 ชี้มูลความผิดทางวินัยและอาญา 6.5 ชี้มูลความผิดทางจริยธรรม 1 เรื่อง 12. กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 6 เรื่อง รวม 4,050 เรื่อง รวม 1,537 เรื่อง ที่มา : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 65 ตารางแสดงสถิติเปรียบเทียบผลการด�าเนินงานด้านปราบปรามการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2564 หน่วย : เรื่อง ปี งบ ประมาณ พ.ศ. จ�านวนเรื่องกล่าวหา เรื่องด�าเนินการเสร็จ คงเหลือ เรื่อง คงค้าง (ร้อยละ) ยอด คงค้าง ยกมา รับใหม่ รวม ชี้มูล ความผิด ให้ข้อ กล่าวหา ตกไป ไม่รับ/ ไม่ยกขึ้น พิจารณา ไม่รับไว้ ไต่สวน ข้อเท็จ จริง ส่งให้ พนักงาน สอบสวน ส่ง หน่วย งาน อื่น ส่งให้ พนักงาน สอบสวน และ หน่วยงาน อื่น รวม 2558 9,522 3,051 12,573 147 92 86 962 19 313 - 1,619 10,954 87.12 2559 10,954 5,382 16,336 225 111 57 1,363 32 623 - 2,411 13,925 85.24 2560 13,925 4,896 18,821 250 131 48 2,082 33 915 - 3,459 15,362 81.62 2561 15,362 4,622 19,984 408 134 40 2,223 59 768 120 3,752 16,232 81.22 2562 16,232 3,285 19,517 300 95 2,106 1,299 37 355 975 5,167 14,350 73.53 2563 14,350 3,563 17,913 514 165 2,470 451 621 576 265 5,062 12,851 71.74 2564 12,851 4,081 16,932 1,076 266 2,318 275 32 550 103 4,620 12,312 72.71 ที่มา : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีปริมาณเรื่องกล่าวหาคงเหลือยกมา ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 จ�านวน 12,851 เรื่อง โดยมีจ�านวนเรื่องกล่าวหารับใหม่ (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 30 กันยายน 2564) รวมทั้งสิ้น 4,081 เรื่อง ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจ�านวนเรื่องกล่าวหารับใหม่กับ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมาแล้ว ปรากฏว่า ส�านักงาน ป.ป.ช. มีจ�านวนเรื่องกล่าวหารับใหม่เพิ่มมากขึ้น จ�านวน 518 เรื่อง และเมื่อรวมจ�านวนเรื่องกล่าวหารับใหม่กับปริมาณเรื่องกล่าวหาสะสมที่รับไว้ด�าเนินการ ทั้งหมดแล้ว ส่งผลให้มีจ�านวนเรื่องกล่าวหาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 16,932 เรื่อง โดยมีเรื่องกล่าวหาคงเหลือสะสมที่อยู่ระหว่างการด�าเนินการ (ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) รวมทั้งสิ้น 12,312 เรื่อง แบ่งออกเป็นเรื่องตรวจสอบเบื้องต้นคงเหลือ จ�านวน 9,553 เรื่อง และเรื่องไต่สวนข้อเท็จจริงคงเหลือ 2,759 เรื่อง ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถด�าเนินการพิจารณาเรื่องกล่าวหาแล้วเสร็จ รวมทั้งสิ้น 5,587 เรื่อง แบ่งออกเป็นเรื่องตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเสร็จ จ�านวน 4,050 เรื่อง และเรื่องไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วเสร็จ 1,537 เรื่อง ซึ่งในจ�านวนนี้เป็นเรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการเสร็จสิ้นแล้ว (เรื่องเสร็จเด็ดขาด) รวม 4,620 เรื่อง และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจ�านวนเรื่องกล่าวหาที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แล้ว ปรากฏว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหาแล้วเสร็จลดน้อยลงกว่า ปีงบประมาณที่ผ่านมา จ�านวน 442 เรื่อง นอกจากนี้แล้ว หากพิจารณาเปรียบเทียบจ�านวนเรื่องกล่าวหา คงเหลือ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แล้วนั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. มีจ�านวน เรื่องกล่าวหาคงเหลือสะสมลดน้อยลงกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา จ�านวน 539 เรื่อง ท�าให้มีเรื่องกล่าวหาคงเหลือ ที่อยู่ระหว่างด�าเนินการ จ�านวน 12,312 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 72.71 ของจ�านวนเรื่องกล่าวหาที่รับไว้ด�าเนินการ ทั้งหมด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 66 ตารางแสดงสถิติผลการชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดี ขนาดคดี และมูลค่าความเสียหาย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยนับ : เรื่อง ประเภทคดี ขนาดคดี ร้อยละ (%) มูลค่าความเสียหาย (บาท) ใหญ่ มาก (XL) ใหญ่ (L) กลาง (M) เล็ก (S) รวม 1. กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ 30 78 59 9 175 16.36 5,605,446,353.14 1.1 กระบวนการยุติธรรม 2 18 10 - 30 2.79 12,157,295.61 1.2 การบริหารงานบุคคล 8 8 17 1 33 3.16 2,712,000.00 1.3 นักการเมือง ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ผู้บริหารระดับสูง และ การทุจริตเชิงนโยบาย 4 2 2 2 10 0.93 173,596,000.00 1.4 การปกครองท้องถิ่น และการปกครองลักษณะท้องที่ 15 50 30 6 101 9.39 416,981,057.53 1.5 กิจการระหว่างประเทศ 1 - - - 1 0.09 5,000,000,000.00 2. กลุ่มคดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19 20 6 2 47 4.37 10,197,546,635.56 2.1 ที่ดิน 13 5 4 1 23 2.14 10,108,601,420.00 2.2 การบริหารจัดการน�้า 2 2 1 - 5 0.46 93,000.00 2.3 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4 13 1 1 19 1.77 88,852,215.56 3. กลุ่มคดีด้านจัดซื้อจัดจ้าง 117 236 124 20 497 46.19 9,319,077,836.63 3.1 การจัดซื้อจัดจ้าง 89 199 99 18 405 37.64 3,738,527,233.63 3.2 การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 28 37 25 2 92 8.55 5,580,550,603.00 4. กลุ่มคดีด้านสังคม 8 15 15 3 41 3.81 93,742,674.39 4.1 การศึกษา 2 11 11 1 25 2.32 69,381,125.39 4.2 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม 4 - - - 4 0.37 19,700,000.00 4.3 สาธารณสุขและสุขภาพ 1 4 3 - 8 0.74 3,415,949.00 4.4 การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม 1 - 1 2 4 0.37 1,245,600.00 5. กลุ่มคดีด้านเศรษฐกิจ 3 8 2 1 14 1.30 17,806,621.15 5.1 การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว 2 2 - - 4 0.37 13,222,410.15 5.2 การคลัง การงบประมาณ และสถาบันการเงิน - 5 2 1 8 0.74 4,584,211.00 5.3 แรงงานและการค้ามนุษย์ 1 1 - - 2 0.19 6. กลุ่มคดีด้านการให้บริการสาธารณูปโภค 5 25 13 1 44 4.09 65,439,999.00 6.1 สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน 5 23 13 1 42 3.90 65,169,999.00 6.2 โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร - 2 - - 2 0.19 270,000.00 7. กลุ่มคดีด้านจริยธรรมและความประพฤติมิชอบ 48 70 67 8 193 17.94 1,968,104,294.36 7.1 ร�่ารวยผิดปกติ 4 2 1 - 7 0.65 471,094,091.75 7.2 เรียกรับสินบนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น 26 43 42 7 118 10.97 1,158,669,144.37 7.3 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 1 8 7 1 17 1.58 1,134,046.21 7.4 การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิด ความเสียหายแก่รัฐหรือทรัพย์ของหน่วยงานของรัฐเป็นจ�านวนมาก 16 17 17 - 50 4.65 337,207,012.03 7.5 การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 1 - - - 1 0.09 8. กลุ่มคดีอื่น ๆ 13 28 19 4 64 5.95 รวม 243 480 305 48 1,076 100.00 26,267,164,414.23 ร้อยละ (%) 22.88 44.61 28.35 4.46 100.00 ที่มา : ส�านักการประชุม ส�านักงาน ป.ป.ช. ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 67 ตารางแสดงสถิติผลการชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดีและต�าแหน่งของผู้ถูกชี้มูลความผิด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยนับ : ราย ประเภทคดี ประเภทต�าแหน่ง รวม ข้าราชการ การเมือง/ ผู้ด�ารง ต�าแหน่ง ทาง การเมือง ผู้บริหาร/ รองผู้บริหาร /ผู้ช่วย ผู้บริหาร ท้องถิ่น และสมาชิก สภาท้องถิ่น ข้าราชการ พลเรือน สามัญ ข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ ต�ารวจ ข้าราชการฝ่าย ทหาร ข้าราชการครู และบุคลากร ทางการศึกษา ข้าราชการ พลเรือน ในสถาบัน อุดมศึกษา พนักงาน รัฐวิสาหกิจ พนักงาน องค์การ มหาชน อื่น ๆ 1. กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ 2 166 24 192 14 2 2 2 - - 300 704 1.1 กระบวนการยุติธรรม 2 25 13 38 14 2 - - - - 15 109 1.2 การบริหารงานบุคคล - 45 2 26 - - 2 1 - - 133 209 1.3 นักการเมือง ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ผู้บริหารระดับสูง และ การทุจริตเชิงนโยบาย - 8 3 7 - - - - - - 28 46 1.4 การปกครองท้องถิ่น และการปกครองลักษณะท้องที่ - 88 6 121 - - - 1 - - 124 340 2. กลุ่มคดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 22 79 38 - - - - 4 - 63 207 2.1 ที่ดิน 1 10 46 16 - - - - 3 - 30 106 2.2 การบริหารจัดการน�้า - 2 7 15 - - - - 1 - 6 31 2.3 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - 10 26 7 - - - - - - 27 70 3. กลุ่มคดีด้านจัดซื้อจัดจ้าง 17 384 151 673 36 55 106 14 15 8 1,292 2,751 3.1 การจัดซื้อจัดจ้าง 14 320 115 553 36 52 97 5 14 8 995 2,209 3.2 การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 3 64 36 120 - 3 9 9 1 - 297 542 4. กลุ่มคดีด้านสังคม - 8 25 16 - - 33 5 - - 53 140 4.1 การศึกษา - 3 5 8 - - 33 5 - - 41 95 4.2 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม - - 17 - - - - - - - 2 19 4.3 สาธารณสุขและสุขภาพ - 3 3 5 - - - - - - 6 17 4.4 การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม - 2 - 3 - - - - - - 4 9 5. กลุ่มคดีด้านเศรษฐกิจ - 2 15 4 - - 1 - 5 - 41 68 5.1 การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว - - 12 - - - 1 - 3 - 38 54 5.2 การคลัง การงบประมาณ และสถาบันการเงิน - 2 - 4 - - - - 2 - 1 9 5.3 แรงงานและการค้ามนุษย์ - - 3 - - - - - - - 2 5 6. กลุ่มคดีด้านการให้บริการสาธารณูปโภค - 35 6 73 - - - - 2 - 170 286 6.1 สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน - 35 6 73 - - - - - - 169 283 6.2 โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร - - - - - - - - 2 - 1 3 7. กลุ่มคดีด้านจริยธรรมและความประพฤติมิชอบ 2 102 100 95 10 - 48 - 4 - 270 631 7.1 ร�่ารวยผิดปกติ - 1 4 1 1 - - - - - 1 8 7.2 เรียกรับสินบนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น - 72 56 76 4 - 44 - 1 - 178 431 7.3 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม - 16 - 5 - - - - - - 9 30 7.4 การปฏิบัติหน้ำที่หรือใช้ อ�านาจหน้ำที่โดยมิชอบก่ อให้ เกิด ความเสียหายแก่รัฐหรือทรัพย์ของหน่วยงานของรัฐเป็นจ�านวนมาก 2 12 40 13 5 - 1 - 3 - 82 158 7.5 การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง - 1 - - - - 3 - - - - 4 8. กลุ่มคดีอื่น ๆ - 28 13 35 1 - 13 4 16 15 73 198 รวม 22 747 413 1,126 61 57 203 25 46 23 2,262 4,985 ร้อยละ (%) 0.44 14.99 8.29 22.59 1.22 1.14 4.07 0.50 0.92 0.46 45.38 87 ที่มา : ส�านักการประชุม ส�านักงาน ป.ป.ช. ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 68 ตารางแสดงสถิติผลการชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดี และประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยนับ : หน่วยงาน ประเภทคดี ประเภทต�าแหน่ง รวม กรุงเทพ มหานคร เมือง พัทยา องค์การ บริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล นคร เทศบาล เมือง เทศบาล ต�าบล องค์การ บริหาร ส่วนต�าบล 1. กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และ การบริหารราชการ - - 3 2 11 40 92 148 1.1 กระบวนการยุติธรรม - - - - 3 6 15 24 1.2 การบริหารงานบุคคล - - - - 1 5 20 26 1.3 นักการเมือง ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ผู้บริหาร ระดับสูง และการทุจริตเชิงนโยบาย - - - - 1 6 1 8 1.4 การปกครองท้องถิ่น และการปกครองลักษณะท้องที่ - - 3 2 6 23 56 90 2. กลุ่มคดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - - - - 1 8 10 19 2.1 ที่ดิน - - - - 1 6 4 11 2.2 การบริหารจัดการน�้า - - - - - 1 1 2 2.3 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - - - - - 1 5 6 3. กลุ่มคดีด้านจัดซื้อจัดจ้าง - - 24 2 21 111 243 401 3.1 การจัดซื้อจัดจ้าง - - 14 2 16 95 207 334 3.2 การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ - - 10 - 5 16 36 67 4. กลุ่มคดีด้านสังคม - - 1 - 1 1 8 11 4.1 การศึกษา - - 1 - - - 4 5 4.2 สาธารณสุขและสุขภาพ - - - - - 1 2 3 4.3 การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม - - - - 1 - 2 3 5. กลุ่มคดีด้านเศรษฐกิจ - - - - - 2 4 6 5.1 การคลัง การงบประมาณ และสถาบันการเงิน - - - - - 2 4 6 6. กลุ่มคดีด้านการให้บริการสาธารณูปโภค - - 2 1 - 17 22 42 6.1 สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน - - 2 1 - 17 22 42 7. กลุ่มคดีด้านจริยธรรมและความประพฤติมิชอบ 1 - 3 3 1 32 66 106 7.1 ร�่ารวยผิดปกติ - - - - - - 2 2 7.2 เรียกรับสินบนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น 1 - 1 2 1 18 49 72 7.3 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ ส่วนรวม - - 2 - - 4 8 14 7.4 การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือทรัพย์ของ หน่วยงานของรัฐเป็นจ�านวนมาก - - - 1 - 10 6 17 7.5 การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง - - - - - - 1 1 8. กลุ่มคดีอื่นๆ - - - 1 2 17 20 40 รวม 1 - 33 9 37 228 465 773 ร้อยละ (%) 0.13 - 4.27 1.16 4.79 29.50 60.16 100.00 ที่มา : ส�านักการประชุม ส�านักงาน ป.ป.ช. ประมวลผลโดย : ส�านักบริหารงานกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 69 จากตารางดังกล่าวข้างต้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด เจ้าพนักงานของรัฐในคดีต่าง ๆ มีจ�านวนทั้งสิ้น 1,076 เรื่อง ในจ�านวนนี้ เป็นคดีขนาดใหญ่ (L) มีจ�านวนมากที่สุด 480 เรื่อง (ร้อยละ 44.61) รองลงมาเป็นคดีขนาดกลาง (M) จ�านวน 305 เรื่อง (ร้อยละ 28.35) คดีขนาดใหญ่มาก (XL) จ�านวน 243 เรื่อง (ร้อยละ 22.58) และคดีขนาดเล็ก (S) จ�านวน 48 เรื่อง (ร้อยละ 4.46) และหากพิจารณาถึง จ�านวนคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐในคดีต่าง ๆ โดยจ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดี และขนาดของคดีแล้ว พบว่า กลุ่มคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมากที่สุด 3 ล�าดับแรก ล�าดับที่ 1 คือ กลุ่มคดีด้านจัดซื้อจัดจ้าง จ�านวน 497 เรื่อง (ร้อยละ 46.19) ล�าดับที่ 2 คือ กลุ่มคดีด้านจริยธรรมและ ความประพฤติมิชอบ จ�านวน 193 เรื่อง (ร้อยละ 17.94) และ ล�าดับที่ 3 คือ กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ จ�านวน 176 เรื่อง (ร้อยละ 16.36) ทั้งนี้ ในส่วนของมูลค่าความเสียหายของคดีในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดในคดีต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 1,076 เรื่อง สามารถคิดประเมินมูลค่าความเสียหายของคดี โดยประมาณ 26,858 ล้านบาท และหากจ�าแนกข้อมูลตามประเภทคดีแล้ว พบว่า ล�าดับที่ 1 กลุ่มคดี ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม 47 เรื่อง เป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายมากที่สุด โดยคิดเป็นจ�านวน เงินประมาณ 10,197 ล้านบาท ล�าดับที่ 2 คือ กลุ่มคดีด้านการจัดซื้อจัดจ้าง รวม 497 เรื่อง มีมูลค่าความเสียหาย โดยคิดเป็นจ�านวนเงินประมาณ 9,319 ล้านบาท และ ล�าดับที่ 3 คือ กลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ รวม 176 เรื่อง มีมูลค่าความเสียหายโดยคิดเป็นจ�านวนเงินประมาณ 5,605 ล้านบาท หากพิจารณาถึงจ�านวนผู้ถูกชี้มูลความผิดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานของรัฐในคดีต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 4,985 ราย และเมื่อพิจารณาถึงประเภทต�าแหน่งผู้ถูกชี้มูล ความผิดที่สามารถระบุประเภทต�าแหน่งได้แล้ว พบว่า ล�าดับที่ 1 คือ ต�าแหน่งประเภทข้าราชการหรือพนักงาน ส่วนท้องถิ่น มีผู้ถูกชี้มูลความผิดมากที่สุด จ�านวน 1,126 ราย (ร้อยละ 22.59) ล�าดับที่ 2 คือ ต�าแหน่งประเภท ผู้บริหารหรือรองผู้บริหารหรือผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น มีผู้ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 747 ราย (ร้อยละ 14.98) และ ล�าดับที่ 3 คือ ต�าแหน่งประเภทข้าราชการพลเรือนสามัญในสังกัดกระทรวงและกรมต่าง ๆ มีผู้ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 413 ราย (ร้อยละ 8.28) และเมื่อพิจารณาถึงประเภทคดีของผู้ถูกชี้มูลความผิดแล้ว พบว่า กลุ่มคดีด้านจัดซื้อจัดจ้าง เป็นประเภทคดีที่มีผู้ถูกชี้มูลความผิดมากที่สุด จ�านวน 2,751 ราย รองลงมา เป็นกลุ่มคดีด้านกระบวนการยุติธรรม การเมือง และการบริหารราชการ จ�านวน 704 ราย กลุ่มคดีด้านจริยธรรม และความประพฤติมิชอบ จ�านวน 631 ราย กลุ่มคดีด้านการให้บริการสาธารณูปโภค จ�านวน 286 ราย กลุ่มคดี ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ�านวน 207 ราย และกลุ่มคดีด้านอื่น ๆ จ�านวน 198 ราย นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดถูกชี้มูล ความผิดโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีทุจริตแล้ว พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต�าบลตามกฎหมาย ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนต�าบล มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกชี้มูลความผิดมากที่สุด จ�านวน 465 แห่ง (ร้อยละ 60.16) รองลงมา คือ เทศบาลต�าบล มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 228 แห่ง (ร้อยละ 29.50) เทศบาลเมือง มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 37 แห่ง (ร้อยละ 4.79) องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 33 แห่ง (ร้อยละ 4.27) และเทศบาลนคร มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกชี้มูลความผิด จ�านวน 9 แห่ง (ร้อยละ 1.16)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 70 เรื่องกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยที่เป็นเรื่องส�าคัญ เรื่องกล่าวหาที่เป็นคดีระหว่างประเทศ จ�านวน 1 เรื่อง 1. เรื่องกล่าวหา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งรองนํายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ว่ํากํารกระทรวงพําณิชย์ กับพวก เปิดประมูลให้เอกชนด�ําเนินกํารปรับปรุงข้ําวเพื่อส่งมอบให้แก่องค์กําร ส�ํารองอําหํารแห่งประเทศอินโดนีเซีย (BULOG) โดยมิชอบ คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 21 มิถุนํายน 2564 พฤติการณ์ องค์การส�ารองอาหารแห่งประเทศอินโดนีเซีย (BULOG) ของรัฐบาลอินโดนีเซีย กับองค์การ คลังสินค้า ได้ตกลงท�าสัญญา Sale and Purchase Contract No. PK/TP-002/DO200/08/2011 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2554 เพื่อตกลงซื้อขายข้าวขาว 15% ปริมาณ 300,000 ตัน ในราคาตันละ 559 เหรียญสหรัฐ เทอมการค้า CFR FO ก�าหนดระยะเวลาการส่งมอบเดือนกันยายน 2554 ถึงเดือนธันวาคม 2554 ช�าระเงิน โดยเล็ตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ประเภทเพิกถอนไม่ได้ ต่อมาองค์การคลังสินค้าได้มีหนังสือ ที่ อคส.10110/3797 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2554 เรื่อง การเสนอขายข้าวขาว 15 % เพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยวิธียื่นซองเสนอราคา ซึ่งเป็นการเชิญชวนให้ผู้สนใจเสนอราคาขายข้าว แต่ไม่ปรากฎว่าหนังสือดังกล่าว ได้มีการประกาศเป็นการทั่วไปให้ผู้ประกอบการค้าข้าวได้รับทราบ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 บริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด ได้มอบอ�านาจให้นางสาววทัญญุตา บุญมาประเสริฐ มายื่นซองเสนอราคาขายข้าว เพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย และ บริษัท นครสวรรค์ค้าข้าว จ�ากัด ได้มอบอ�านาจให้นายสุธี เชื่อมไธสง ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด มายื่นซองเสนอราคาขายข้าว เช่นเดียวกัน ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาการเสนอราคา ได้ด�าเนินการเปิดซองเสนอราคาแล้ว ปรากฏว่าบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด เท่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศ คณะกรรมการพิจารณาการเสนอราคา ได้ด�าเนินการเจรจาต่อรองราคากับบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด โดยใช้ราคาที่องค์การคลังสินค้าท�าสัญญากับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซียเป็นเกณฑ์ราคากลางในการต่อรอง ปรากฏว่าบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด ขอยืนยันราคาจ�านวน 559 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นราคาเท่ากับราคาที่องค์การ คลังสินค้าได้ท�าสัญญาไว้กับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย คณะกรรมการพิจารณาการเสนอราคาพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่ต�่ากว่าราคาที่องค์การคลังสินค้าท�าสัญญากับ BULOG และองค์การคลังสินค้าได้รับประโยชน์จาก ค่าบริหารสัญญา จึงตกลงรับราคาที่เสนอ ซึ่งต่อมาผู้อ�านวยการองค์การคลังสินค้า ได้อนุมัติผลการพิจารณา ของคณะกรรมการพิจารณาการเสนอราคาขายข้าวขาว 15 % เพื่อส่งมอบ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ตามที่คณะกรรมการพิจารณาการเสนอราคาเสนอ และในขณะเดียวกัน ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้มีหนังสือถึง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่าสมาคมไม่ทราบ เรื่องที่ได้จัดให้มีการยื่นซองเสนอราคาขายข้าวเพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG พร้อมกับขอทราบข้อเท็จจริงและ ความคืบหน้า แต่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ไม่ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบแต่อย่างใด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ผู้อ�านวยการองค์การคลังสินค้า กับ บริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด ได้ตกลงท�าสัญญาซื้อขายข้าวขาว 15 % ในเทอม CFR (Cost & Freight) FO เพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยตกลงซื้อขายข้าวขาว 15 % ปีการผลิต 2554 ปริมาณ 100,000 ตัน ในราคาตันละ 559 เหรียญสหรัฐอเมริกา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 55,900,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา และบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด จะช�าระค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสัญญาในอัตราตันละ 7 บาท ของปริมาณข้าวสารที่ส่งมอบให้แก่องค์การ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 71 คลังสินค้า โดยสัญญาซื้อขายข้าวขาวดังกล่าวในข้อ 15 ก�าหนดว่า “ผู้ซื้อจะเปิดโอกาสให้ผู้ขายส่งมอบข้าวเพิ่มเติม เพื่อให้ครบปริมาณ 300,000 ตัน ตามที่ผู้ซื้อได้ขายให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ในกรณีที่ผู้ขายแจ้ง ความประสงค์ที่จะสามารถด�าเนินการส่งมอบได้บนเงื่อนไขราคาขายและค่าใช้จ่าย/ค่าบริหารจัดการสัญญา ในอัตราเดิมที่เสนอไว้ ก่อน 7 วัน ที่จะครบก�าหนดส่งมอบตามที่ระบุในข้อสัญญาข้อ 4 ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจ ของผู้ซื้อตามที่เห็นสมควร” เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้มีหนังสือถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เพื่อขอให้ พิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดการประมูลขึ้นใหม่ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบที่เคยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ไม่ได้ด�าเนินการใด ๆ และไม่ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบ ต่อมาจึงได้เข้าพบนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เพื่อทวงถามกรณีที่บริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด ได้รับมอบให้ด�าเนินการส่งมอบข้าวให้กับ BULOG ซึ่งได้รับแจ้งว่าทางฝ่ายประเทศอินโดนีเซียเป็นผู้ระบุให้บริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด เป็นผู้ส่งมอบข้าว นอกจากนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ยังได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าจะไม่มีการทบทวนกรณีดังกล่าว เนื่องจากกระบวนการ เสนอราคาเป็นไปตามขั้นตอนปกติ โดยทางประเทศอินโดนีเซียส่งรายชื่อผู้ส่งออกให้องค์การคลังสินค้า ทั้งที่ BULOG ไม่เคยให้ข้อเสนอแนะหรือแนะน�ารายชื่อผู้ส่งออกข้าวให้กับองค์การคลังสินค้าแต่อย่างใด เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ครั้งที่ 14/2554 มีมติดังนี้ 1) ให้สัตยาบันในการด�าเนินการท�าสัญญาซื้อขายข้าวสารระหว่างองค์การคลังสินค้า กับผู้ประกอบการ ส่งออกข้าว เพื่อให้ อคส. สามารถส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG ได้ครบตามปริมาณที่ตกลงไว้ 2) อนุมัติในหลักการ การด�าเนินการจัดหา/จัดซื้อข้าวสารของ อคส. เพิ่มเติมเพื่อให้ครบตามปริมาณ ที่ อคส. กับ BULOG ได้ตกลงกันไว้ ทั้งนี้ จะต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ อคส. ได้รับประโยชน์ไม่ต�่ากว่าการด�าเนินการ ที่ผ่านมาตามมติข้อ 1 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 องค์การคลังสินค้า กับบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด ได้อาศัยสัญญาซื้อขายข้าวฯ ดังกล่าว ตกลงท�าบันทึกต่อท้ายสัญญาซื้อขายข้าว 15 % ในเทอม CFR (Cost & Freight) FO เพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มเติมเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายข้าวขาว 15% ที่ท�ากันไว้ โดยตกลงซื้อขาย ข้าวเพิ่มเติมอีกจ�านวน 200,000 ตัน เพื่อให้ครบจ�านวน 300,000 ตัน ตามที่องค์การคลังสินค้าได้ท�าสัญญากับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเสนอ ราคาขายข้าวเพื่อแข่งขันราคากันแต่อย่างใด มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 2. การกระท�าของนายสุรศักดิ์ ศรีประภา มีมูลเป็นความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2552 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12 พระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 72 3. การกระท�าของนายพิทีรต์ ตั้งพสสวัสดิ์ หรือนายพิพรรธารย์ มาตธินินทร์ และนายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทางวินัย ตามข้อบังคับว่าด้วยระเบียบพนักงานองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2516 ข้อ 28 (3) (5) 4. การกระท�าของบริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด นางสาวรัตนา แซ่เฮ้ง บริษัท นครสวรรค์ค้าข้าว จ�ากัด นายสุธี เชื่อมไธสง และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวล กฎหมายอาญามาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามกรทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 5. การกระท�าของนายภูมิ สาระผล พันตรี ดร. วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ นางสาวเรืองวัน เลิศศลารักษ์ นางสาวสุธิดา จันทะเอ หรือนางสาวสุทธิดา ผลดี นางสาววทัญญุตา หรือนางสาวปสุตา บุญมาประเสริฐ นายวิรัตน์ ลิ้มสุวรรณ และนายจิรชัย เหลืองอุไร ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระท�า ความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป 6. การกระท�าของนางชลิดา ดินอุดม นางอัษรา ธนสกุลพร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 นายเรืองฤทธิ์ โลหิตานนท์ และนายคมกิจ ขวัญทิพย์ธนสาร ให้กันไว้เป็นพยาน ตามประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ด�าเนินคดี พ.ศ. 2561 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวน ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายพิทีรต์ ตั้งพสสวัสดิ์ หรือนายพิพรรธารย์ มาตธินินทร์ และนายสมศักดิ์ วงศ์วัฒศานต์ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายสุรศักดิ์ ศรีประภา นายพิทีรต์ ตั้งพสสวัสดิ์ หรือนายพิพรรธารย์ มาตธินินทร์ นายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ บริษัท สยามอินดิก้า จ�ากัด นางสาวรัตนา แช่เฮ้ง บริษัท นครสรรค์ค้าข้าว จ�ากัด นายสุธี เชื่อมไธสง และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร นอกจากนี้ ให้แจ้งองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังด�าเนินการหาผู้รับผิด ทางละเมิดด้วย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 73 เรื่องกล่าวหาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง จ�านวน 3 เรื่อง 1. เรื่องกล่าวหา นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งรัฐมนตรีว่ํากํารกระทรวงทรัพยํากรธรรมชําติ และสิ่งแวดล้อม กับพวก ด�ําเนินโครงกํารอนุรักษ์ทรัพยํากรดินและป่ําไม้ในพื้นที่ป่ําอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบ ภําวะโลกร้อน งบประมําณประจ�ําปี พ.ศ. 2551 กรณีกํารก่อสร้ํางฝํายต้นน�้ําแบบผสมผสํานและกํารเพําะช�ํา/ ปลูกหญ้ําแฝก ซึ่งอยู่ในควํามรับผิดชอบของส�ํานักบริหํารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่-น่ําน) ส�ํานักบริหําร พื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงรําย) และส�ํานักบริหํารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) กรมอุทยํานแห่งชําติ สัตว์ป่ํา และพันธุ์พืช โดยมิชอบ และหักเงินโครงกํารดังกล่ําวไปเป็นประโยชน์ส่วนตน คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 27 พฤษภําคม 2564 พฤติการณ์ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานการประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยกันเงินงบประมาณจ�านวน 770 ล้านบาท เพื่อด�าเนินกิจกรรมก่อสร้างฝายต้นน�้า แบบผสมผสาน จ�านวน 119,600 แห่ง และเพาะช�าหญ้าแฝก จ�านวน 100 ล้านกล้า ในส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 และที่ 13 - 16 จ�านวน 5 ส�านัก ซึ่งในการด�าเนินโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ดังกล่าว ได้ปรากฏพฤติการณ์ดังนี้ 1. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่-น่าน) นายประจักษ์พงษ์ ไทยกลาง ผู้อ�านวยการ ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) นายปรมินทร์ วงศ์สุวัฒน์ ผู้อ�านวยการส่วนจัดการต้นน�้า นายธนชาติ ถิ่นจอมขวัญ หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน�้าแม่ถา นายณัชพล (สมบัติ) เวียงค�า หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ�าเภอนาน้อย จังหวัดน่าน นายชนมภูมิ (ผจญ) จอมทัน หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง อ�าเภอห้างฉัตร จังหวัดล�าปาง และนายวิสุทธิ์ ใสสะอาด ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย อ�าเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ สังกัดส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) ได้กระท�าการหรือร่วมกระท�าการใด ๆ โดยข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ด�าเนินการก่อสร้างฝายและ เพาะช�า/ปลูกหญ้าแฝกตามโครงการดังกล่าว มอบให้หรือหามาให้ซึ่งเงินเป็นจ�านวนประมาณครึ่งหนึ่งของวงเงิน งบประมาณที่เจ้าหน้าที่แต่ละคนรับผิดชอบ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจ�าต้องยอมน�าเงินมามอบให้ 2. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) นายวิทูร เริ่มวิรัตน์ ผู้อ�านวยการส�านักบริหารพื้นที่ อนุรักษ์ที่ 15 นายอุดม ณ สุวรรณ ผู้อ�านวยการส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร และนายภานุเทพ วงศ์วาร ผู้อ�านวยการส่วนจัดการต้นน�้า สังกัดส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ได้ร่วมกันกระท�าการเรียกเก็บเงิน หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการเรียกเก็บเงิน หรือกระท�าการใด ๆ โดยข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับค�าสั่ง ให้ก่อสร้างฝายและเพาะช�า/ปลูกหญ้าแฝกตามโครงการดังกล่าว จ�านวน 100 คน มอบให้หรือหามาให้ซึ่งเงิน เป็นจ�านวนประมาณครึ่งหนึ่งของวงเงินงบประมาณที่เจ้าหน้าที่แต่ละคนรับผิดชอบ เพื่อน�าไปมอบให้กับนาย หรือผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือกว่าขึ้นไป รวมเป็นเงินประมาณ 50.6734 ล้านบาท 3. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) นายปรีชา วลีพิทักษ์เดช ผู้อ�านวยการส�านักบริหาร พื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ได้ใช้ให้นายจ�านงค์ บุญศิลป์ และนายสว่าง กองอินทร์ เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกันกระท�าการเรียกหรือรวบรวมเงินหรือกระท�าการใด ๆ โดยข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ด�าเนินการก่อสร้างฝายและเพาะช�า/ปลูกหญ้าแฝกตามโครงการดังกล่าว มอบให้หรือหามาให้ซึ่งเงินเป็นจ�านวนประมาณครึ่งหนึ่งของวงเงินงบประมาณที่เจ้าหน้าที่แต่ละคนรับผิดซอบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 74 โดยมีนายสุเมธา (สุรเมธา) ไชยอิ่นค�า และนายสมเกียรติ เจริญสุข เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 ส�านักบริหารพื้นที่ อนุรักษ์ที่ 16 เป็นผู้รับเงินเพื่อส่งมอบให้นายนิพนธ์ ยงค์ไสว เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 ส�านักบริหารพื้นที่ อนุรักษ์ที่ 16 และเงินจ�านวนดังกล่าวถูกส่งต่อไปให้นายประกิจ จูฑะพงษ์ เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 4 ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จ�านวน 16 ราย ประกอบด้วย 1. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่-น่าน) นายประจักษ์พงษ์ ไทยกลาง นายปรมินทร์ วงศ์สุวัฒน์ นายธนชาติ ถิ่นจอมขวัญ นายณัชพล (สมบัติ) เวียงค�า นายชนมภูมิ (ผจญ) จอมทัน และนายวิสุทธิ์ ใสสะอาด มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และ มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 82 (1) มาตรา 83 (3) และ (5) และมาตรา 85 (1) (4) และ (7) 2. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) นายวิทูร เริ่มวิรัตน์ นายอุดม ณ สุวรรณ และ นายภานุเทพ วงศ์วาร มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 82 (1) มาตรา 83 (3) และ (5) และมาตรา 85 (1) (4) และ (7) 3. กรณีส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) นายปรีชา วลีพิทักษ์เดช นายประกิจ จูฑะพงษ์ นายนิพนธ์ ยงค์ไสว นายจ�านงค์ บุญศิลป์ นายสว่าง กองอินทร์ นายสมเกียรติ เจริญสุข และนายสุเมธา (สุรเมธา) ไชยอิ่นค�า มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 82 (1) มาตรา 83 (3) และ (5) และมาตรา 85 (1) (4) และ (7) ทั้งนี้ นายจ�านงค์ บุญศิลป์ ได้ถึงแก่ ความตายแล้ว สิทธิน�าคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป จึงให้จ�าหน่ายคดีออกจากสารบบ ส่วนกรณีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระท�าความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ ของรัฐ จ�านวน 16 ราย สังกัดส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่-น่าน) ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) และส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จ�านวน 16 ราย สังกัดส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่-น่าน) ส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) และส�านักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 75 2. เรื่องกล่าวหานางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ต�ําแหน่ง สมําชิกสภําผู้แทนรําษฎร ผู้ถูกกล่ําวหํา กรณีกระท�ํากําร ฝ่ําฝืนหรือไม่ปฏิบัติตํามมําตรฐํานทํางจริยธรรมอย่ํางร้ํายแรง ตํามมําตรฐํานทํางจริยธรรมของตุลํากําร ศําลรัฐธรรมนูญ และผู้ด�ํารงต�ําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่ํากํารตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้ําหน่วยงําน ธุรกํารของศําลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 กรณีกํารเข้ํายึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของรัฐ โดยมิชอบด้วยกฎหมํายในพื้นที่บริเวณหมู่ที่ 6 ต�ําบลรํางบัว อ�ําเภอจอมบึง จังหวัดรําชบุรี โดยประกอบ กิจกํารฟําร์มเลี้ยงไก่ ในชื่อเขําสนฟําร์ม และเขําสนฟําร์ม 2 จ�ํานวนเนื้อที่ 853 -0 - 75 ไร่ (เนื้อที่ตํามเอกสํารแบบ แสดงรํายกํารที่ดิน ภ.บ.ท.5) คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 9 กุมภําพันธ์ 2564 พฤติการณ์ นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับต�าแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 โดยระบุว่า มีรายการที่ดินตามแบบ แสดงรายการที่ดินเพื่อช�าระภาษีบ�ารุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) จ�านวน 29 แปลง พื้นที่ประมาณ 853 – 0 – 73 ไร่ ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ต�าบลรางบัว อ�าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยอาศัยพยานหลักฐานจากข้อเท็จจริงที่หน่วยงานราชการ และบุคลที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่า ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,069 (พ.ศ. 2527) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 โดยปี พ.ศ. 2536 และปี พ.ศ. 2537 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ กรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่ให้ ส.ป.ก. เพื่อให้ไปด�ำเนินการปฏิรูปที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดิน ต่อมาปี พ.ศ. 2554 มีพระราชกฤษฎีกาก�าหนดให้พื้นที่ต�าบลรางบัว อ�าเภอจอมบึง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และ ส.ป.ก. ได้ด�าเนินการโดยปิดประกาศให้เกษตรกรผู้ถือครองที่ดินและท�าประโยชน์ในที่ดินยื่นค�าร้อง ขอเข้าท�าประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวทุกปี ซึ่งที่ดินดังกล่าว ส.ป.ก. และกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานที่มีอ�านาจหน้าที่ ด�าเนินการก�ากับดูแลพื้นที่และมีอ�านาจด�าเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ จากการไต่สวนปรากฏว่า นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ได้ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือ ครอบครอง และท�าประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่จ�านวน 711 – 2 – 93 ไร่ โดยมีพฤติการณ์ ดังนี้ ในปี พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2562 มีการขอใช้ไฟฟ้าต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจอมบึง และช�าระภาษีโรงเรือน และที่ดินต่อองค์การบริหารส่วนต�าบลรางบัว อ�าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อประกอบกิจการปศุสัตว์ ในปี พ.ศ. 2549 – พ.ศ. 2556 มีการช�าระภาษีบ�ารุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลง ต่อองค์การบริหาร ส่วนต�าบลรางบัว ซึ่งมีการกระจายการถือครองที่ดินดังกล่าว โดยอาศัยชื่อบุคคลอื่นมาถือครองที่ดินในเอกสาร ภ.บ.ท. 5 จ�านวนหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2555 ได้มีการโอนกลับมาเป็นชื่อของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2557 องค์การบริหารส่วนต�าบลรางบัวได้ยกเลิกการเก็บภาษีบ�ารุงท้องที่ดังกล่าว เนื่องจาก ที่ดิน ภ.บ.ท. 5 เป็นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อช�าระภาษีบ�ารุงท้องที่ประจ�าปี ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ซึ่งกรมการปกครอง ได้แจ้งให้ยกเลิกแบบแสดงรายการที่ดิน (ภ.บ.ท. 5) และให้งดการประเมินภาษีบ�ารุงท้องที่ส�าหรับที่ดินและการจัดเก็บ ภาษีบ�ารุงท้องที่ส�าหรับที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือที่สาธารณประโยชน์ ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ก็ยังคงยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ และ ส.ป.ก. แต่อย่างใด ในปี พ.ศ. 2555 – พ.ศ. 2562 นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ได้มีการขออนุญาตประกอบกิจการ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อองค์การบริหารส่วนต�าบลรางบัว และใบรับรองมาตรฐานฟาร์ม “เขาสนฟาร์ม” และ “เขาสนฟาร์ม 2” บนที่ดินดังกล่าวต่อกรมปศุสัตว์ และในปี พ.ศ. 2561 ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จ�ากัด เพื่อประกอบกิจการดังกล่าว
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 76 ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยยังคงยึดถือ ครอบครอง และท�าประโยชน์ในที่ดินของรัฐดังกล่าวโดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลงที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และมิได้รับอนุญาต จนกระทั่งถูกตรวจสอบการครอบครองที่ดินจาก ส.ป.ก. และกรมป่าไม้ โดย ส.ป.ก. ได้แจ้งให้นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส่งคืนที่ดินที่ครอบครองและท�าประโยชน์ ดังกล่าวทั้งหมด อีกทั้ง กรมป่าไม้ได้ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระท�าความผิดเกี่ยวกับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ด�าเนินคดีอาญากับนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ในข้อหาบุกรุก ที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่ 711 – 2 – 93 ไร่ และค�านวณค่าเสียหายเป็นตัวเงิน จ�านวน 36,224,791 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระท�าการอันเป็นการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระท�าการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการด�ารงต�าแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง การด�าเนินการ เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 3. เรื่องกล่าวหา นางสมหญิง บัวบุตร เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งสมําชิกสภําผู้แทนรําษฎรจังหวัดอ�ํานําจเจริญ กับพวก ทุจริตในกํารจัดสรรงบประมําณรํายจ่ํายงบประมําณปี พ.ศ. 2555 (งบแปรญัตติ) ให้กับส�ํานักงํานเขต พื้นที่กํารศึกษําในจังหวัดอ�ํานําจเจริญ ทุจริตในกระบวนกํารจัดซื้อจัดจ้ํางงํานปรับปรุงสนํามกีฬําพร้อมอุปกรณ์ (สนํามฟุตซอล) มีลักษณะมุ่งหมํายมิให้มีกํารแข่งขันรําคําอย่ํางเป็นธรรม เพื่อเอื้ออ�ํานวยแก่ผู้เข้ําท�ํากํารเสนอรําคํา บํางรํายให้เป็นผู้มีสิทธิท�ําสัญญํากับหน่วยงํานของรัฐ และกํารก่อสร้ํางไม่ได้มําตรฐํานตํามรูปแบบรํายกําร และวิธีกํารก่อสร้ํางสนํามกีฬําไม่สํามํารถใช้ประโยชน์ได้จริง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 21 กรกฎําคม 2564 พฤติการณ์ ในขั้นตอนการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และการพิจารณาค�าขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 นางสมหญิง บัวบุตร ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกับนายชินภัทร ภูมิรัตน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาศัยโอกาสที่ตนมีอ�านาจหน้าที่เข้าไปพิจารณาค�าขอเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในแผนงานขยายโอกาสและ พัฒนาการศึกษา ผลผลิตผู้จบการศึกษาภาคบังคับ โดยพิจารณาเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เป็นเงิน 4,459,420,000 บาท เพื่อน�ามาจัดสรรแบ่งให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ และพรรคพวกของตน โดยเข้าไปด�าเนินการแทรกแซงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นขบวนการ โดยแบ่งหน้าที่ ให้กับพวกของตนตามบทบาท อ�านาจหน้าที่ที่แต่ละคนมี โดยได้มีการเสนอให้ส�านักงบประมาณพิจารณา และจัดส่งข้อมูลบัญชีคุมยอดรายการแปรญัตติเพิ่มปี 2555 (ใบโควตา) ซึ่งระบุวงเงินที่แต่ละพรรคได้รับ อีกทั้ง ก่อนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในขั้นตอนก่อนการแจ้ง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 77 จัดสรรงบประมาณ นางสมหญิง บัวบุตร ได้ก�าหนดรายชื่อโรงเรียนในเขตพื้นที่จังหวัดอ�านาจเจริญเพื่อให้ได้รับ จัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างสนามฟุตซอล จ�านวน 15 แห่ง ซึ่งโรงเรียนทั้ง 15 แห่ง ไม่มีโครงการและไม่เคย ของบประมาณเพื่อก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอลไปยังส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ส�านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ�านาจเจริญและส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่ประการใด ในขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) พบว่า มีพฤติการณ์ตกลงในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิเข้าท�าสัญญากับ หน่วยงานของรัฐ โดยได้ตระเตรียมการให้เข้าเป็นคู่สัญญา อันเป็นผลสืบเนื่องจากการเจตนาสั่งการ บังคับบัญชา มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้องกระท�าการอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยมีลักษณะแบ่งหน้าที่กันท�าการอันมิชอบ ด้วยกฎหมาย มุ่งหมายแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายส�าหรับตนเองหรือผู้อื่น โดยในการก�าหนด ราคากลางพบว่าก่อนที่ส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ�านาจเจริญจะแจ้งการจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ไปยังโรงเรียนที่มีรายชื่อเพื่อตระเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการก�าหนด ราคากลาง เพื่อพิจารณาก�าหนดราคากลาง แบบแปลนการก่อสร้าง และประมาณราคาพัสดุ เพื่อใช้เป็นแนวทาง ด�าเนินการของโรงเรียนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ ซึ่งคณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการก�าหนด ราคากลางได้ตกลงมอบหมายให้นายวิษณุ เพชรพิมพ์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็นผู้จัดท�า ประมาณการราคางานพื้นกีฬาคอนกรีตเสริมเหล็กและราคาครุภัณฑ์จัดซื้อหรือสั่งซื้อหรือวัสดุครุภัณฑ์กีฬา โดยน�าข้อมูลในแผ่นซีดี (CD) ที่ได้รับจากนายพิพัฒน์ กาลพัฒน์ มาด�าเนินการก�าหนดราคากลาง โดยได้จัดท�า รายการประมาณการราคาวัสดุ ราคากลางปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์และรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ เมื่อนายวิษณุ เพชรพิมพ์ ด�าเนินการจัดท�าเอกสารใบประมาณการราคาวัสดุ (ก่อสร้างพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก) และประมาณการราคาวัสดุแล้วเสร็จ ได้น�าไปให้บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการก�าหนดราคากลางลงนาม โดยมิได้สืบราคาตามท้องตลาดแต่ประการใด เป็นเหตุให้การก�าหนดราคากลางสูงและแพงกว่าราคาท้องตลาด โดยมีเจตนาที่ให้โรงเรียนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณน�าไปใช้ในการด�าเนินการจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนี้ ยังมีการ ประสานให้ผู้อ�านวยการโรงเรียนที่ได้รับแจ้งจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ทั้ง 12 แห่ง เข้าร่วมรับฟังการชี้แจง เกี่ยวกับขั้นตอนการด�าเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ณ ส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อ�านาจเจริญ โดยได้มีการติดต่อนายกิตต์กวินเดชน์ วงศ์หมั่น ผู้แทนจากบริษัท ป๊อป เนทเวอร์ค จ�ากัด ผู้ให้บริการ ตลาดกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ เข้าร่วมชี้แจงเกี่ยวกับเงื่อนไขและการใช้บริการตลาดกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ ของบริษัทผู้ให้บริการตลาดกลาง และวางแผนงานโดยได้มีการก�าหนดตารางปฏิทินวันเวลาขั้นตอนการด�าเนินการ ของแต่ละโรงเรียน ทั้งนี้ โดยมีเจตนาที่จะให้โรงเรียนที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ใช้บริษัท ป๊อป เนทเวอร์ค จ�ากัด เป็นผู้ให้บริการตลาดกลางทางอิเล็กทรอนิกส์ในการเสนอราคา (เคาะราคา) และเอื้ออ�านวยความสะดวกให้กับ กลุ่มผู้เสนอราคา (บางกลุ่ม) ในการเข้าเสนอราคา (เคาะราคา) โดยภายหลังจากที่โรงเรียนทั้ง 12 แห่ง ประกาศประกวดราคาจ้างปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ด้วยวิธิการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว พบว่ามีกลุ่ม ผู้ประกอบการที่ยื่นเสนอราคาจ�านวน 3 ราย คือ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด จี โอ โอ ดี โดยนายอนุชา วงศ์มณีรัตน์ หุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท ที วี เอ็น เทคโนโลยี จ�ากัด โดยนางสาวพรเพ็ญ ภิรมย์กิจ กรรมการผู้จัดการ และ บริษัท วาย อี อี จ�ากัด โดยนายยี พณิชยา กรรมการผู้จัดการ มีคุณสมบัติ ไม่ครบถ้วนถูกต้องตามเงื่อนไขที่ก�าหนด ในการประกวดราคา และมีพฤติการณ์เข้ามายื่นซองประกวดราคาหมุนเวียนเป็นคู่เปรียบเทียบราคากันในการ ประกวดราคาในคราวเดียวกัน อันเป็นการกระท�าการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ในขั้นตอนการก่อสร้างสนามกีฬา (สนามฟุตซอล) โดยเมื่อได้ด�าเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จและ ส่งมอบงาน พบว่า แผ่นยางสังเคราะห์ที่ใช้ในการก่อสร้างบวม โก่งงอ ไม่เรียบ บางแผ่นสีซีด เมื่อประกอบติดตั้ง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 78 แล้วรอยต่อระหว่างแผ่นไม่แนบสนิทเป็นส่วนใหญ่ และแผ่นยางสังเคราะห์ไม่สามารถต้านแรงลมได้ จึงไม่เป็นไป ตามแบบรูปรายการละเอียดและรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ และไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการ ที่แท้จริง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนางสมหญิง บัวบุตร มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และมาตรา 13 2. การกระท�าของนายชินภัทร ภูมิรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) 3. การกระท�าของนายอดุลย์ กองทอง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวล กฎหมายอาญามาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติข้าราชการและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง 4. การกระท�าของนายพลชัย โสภากันต์ นายประยูร เหมือนเหลา นายศักดา อุดมศรี นายเถลิง โทบุดดี นายโกมล กองไชย นายจักรี มลสิน นายประสิทธิ์ สิงห์งาม นายชาญ สาทาวงศ์ นายประชิต พลหาญ นายวิรัตน์ สายสุด นายส�าราญ บุษย์จันทร์ นายธนัญชัย สายสุด นายไพรวัลย์ จันทะนะ นายโชติ ช่วงชิง และ นายวิษณุ เพชรพิมพ์ มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรงตามพระราชบัญญัติข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง และมาตรา 85 วรรคหนึ่ง 5. การกระท�าของนายสังวร บุญสอด มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการ พนักงานเทศบาลจังหวัดอ�านาจเจริญ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2544 ข้อ 3 วรรคหนึ่ง และข้อ 6 วรรคหนึ่ง 6. การกระท�าของห้างหุ้นส่วนจ�ากัด จี โอ โอ ดี นายอนุชาหรือนนทชิต วงศ์มณีรัตน์ บริษัท ที วี เอ็น เทคโนโลยี จ�ากัด นางสาวพรเพ็ญ ภิรมย์กิจ บริษัท วาย อี อี จ�ากัด นายยี พณิชยา บริษัท สปอร์ต แอนด์ เกม จ�ากัด และนางเบญจพันธ์ บุญบงการ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 79 และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 7. การกระท�าของนายพิพัฒน์ กาลพัฒน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติ ข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ ของรัฐ จ�านวน 19 ราย การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนางสมหญิง บัวบุตร นายชินภัทร ภูมิรัตน์ นายอดุลย์ กองทอง ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด จี โอ โอ ดี นายอนุชาหรือนนทชิต วงศ์มณีรัตน์ บริษัท ที วี เอ็น เทคโนโลยี จ�ำกัด นางสาวพรเพ็ญ ภิรมย์กิจ บริษัท วาย อี อี จ�ากัด นายยี พณิชยา บริษัท สปอร์ต แอนด์ เกม จ�ากัด นางเบญจพันธ์ บุญบงการ และ นายพิพัฒน์ กาลพัฒน์
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 80 เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ จ�านวน 18 เรื่อง หน่วยงานของรัฐในส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค จ�านวน 10 เรื่อง 1. เรื่องกล่าวหา การทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรืออัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE จ�านวน 15 เรื่อง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 19 กรกฎําคม 2564 ดังนี้ 1. เรื่องกล่าวหา พลเอก ชวลิต จารุจินดา เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการทหารสูงสุด กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย 2. เรื่องกล่าวหา นายธีระ มินทราศัก เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของส�านักงานจังหวัดยะลา และที่ท�าการปกครองจังหวัดยะลา 3. เรื่องกล่าวหา พลโท ค�านวณ เธียรประมุข เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบก 4. เรื่องกล่าวหา นายก�าธร ตุ้งสวัสดิ์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งนายอ�าเภอเมืองนครปฐม กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของที่ท�าการปกครองอ�าเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม กระทรวงมหาดไทย 5. เรื่องกล่าวหา คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้อ�านวยการสถาบัน นิติวิทยาศาสตร์ กับพวก จ�านวน 2 เรื่อง กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ 6. เรื่องกล่าวหา นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของกรมการปกครอง 7. เรื่องกล่าวหา พลต�ารวจโท กฤษณะ ผลอนันต์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยจีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 8. เรื่องกล่าวหา นายสมพร หลงปาน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้อ�านวยการส่วนบริการพัสดุกรมศุลกากร กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของกรมศุลกากร 9. เรื่องกล่าวหา พลต�ารวจตรี ชินทัต มีศุข เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้บังคับการภูธรจังหวัดชัยนาท กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของต�ารวจภูธรจังหวัดชัยนาท 10. เรื่องกล่าวหา นายชาย พานิชพรพันธุ์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของจังหวัดเพชรบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 81 11. เรื่องกล่าวหา นายโยธินศร์ สมุทรคีรีจ์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้ องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่ำ 6 และ/หรือ ADE ของคณะรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรจังหวัดสุโขทัย 12. เรื่องกล่าวหา พลต�ารวจตรี ปราโมทย์ ไทรหอมหวน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้บังคับการภูธรจังหวัด สุพรรณบุรี กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของต�ารวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี 13. เรื่องกล่าวหา พลเรือโท สุวิทย์ ธาระรูป เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิก โยธิน กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด 14. เรื่องกล่าวหา นายประภาศ บุญยินดี เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของจังหวัดสมุทรสงคราม 15. เรื่องกล่าวหา นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กับพวก กรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย จีที 200 และ/หรือ อัลฟ่า 6 และ/หรือ ADE ของจังหวัดระนอง พฤติการณ์ มูลกรณีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด เครื่องตรวจหาสารเสพติด และเครื่องตรวจหาวัตถุต้องสงสัย GT 200 และ Alpha 6 เกิดจากกระบวนการจัดซื้อที่หน่วยงานของรัฐ จ�านวน 15 แห่ง ดังกล่าว อ้างเหตุผลและความจ�าเป็นในการปฏิบัติภารกิจในการค้นหาวัตถุระเบิด สารเสพติด และวัตถุต้องสงสัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นภารกิจที่เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ปฏิบัติงาน เช่น เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ วัตถุระเบิด (EOD) เจ้าพนักงานปราบปรามยาเสพติด และเจ้าพนักงานอื่นที่มีหน้าที่และอ�านาจในการปราบปราม ผู้กระท�าความผิดตามกฎหมาย อันเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนผู้จ�าหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวได้กล่าวอ้างว่ามีเครื่องมือ GT 200, Alpha 6 และ Mole ที่ช่วยในการปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ และได้สร้างความน่าเชื่อถือโดยกล่าวอ้างถึงหน่วยงานของรัฐในต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เป็นต้น ว่าได้น�าอุปกรณ์ดังกล่าวไปใช้งานในกองทัพด้วย โดยอุปกรณ์ดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ โดยการใช้หลักการไฟฟ้าสถิตและสนามแม่เหล็กไดอะพารา ทั้งที่เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีที่เกินความรู้ความเข้าใจของบุคลากรในหน่วยงานของรัฐที่จัดซื้อ โดยปรากฏว่าเป็นอุปกรณ์ที่หน่วยงานของรัฐดังกล่าวไม่เคยจัดซื้อหรือจัดหามาก่อน และปรากฏว่าในการสาธิต และแสดงประสิทธิภาพการใช้งานอุปกรณ์ได้มีเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ช่วยท�าการสาธิตและแสดงประสิทธิภาพการใช้งาน อันเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์หรือสร้างจิตวิทยา ในการขายสินค้าเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในทางการค้าและแสวงหาก�าไรของเอกชน ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ของรัฐที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเอกชนในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ยังปรากฏพฤติการณ์ว่ามีการสมยอมกัน ระหว่างเอกชนด้วยกันในเสนอราคา โดยมีการกล่าวอ้างถึงการให้สินบนเพื่อให้ได้เปรียบในทางการค้าหรือ การเสนอราคาโดยไม่ต้องแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และผู้ที่ยื่นเสนอราคาได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจ�าหน่าย จากกลุ่มบริษัทที่มีผลประโยชน์ในทางธุรกิจร่วมกัน ซึ่งความข้อนี้หน่วยงานของรัฐทั้ง 15 แห่งได้ทราบเป็นอย่างดี แต่กลับไม่พิจารณายกเลิกการเสนอราคา อันแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเพื่อเอื้ออ�านวยให้ผู้เสนอราคารายใดรายหนึ่ง ได้รับเลือกให้เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ยิ่งกว่านั้น ในกระบวนการตรวจรับพัสดุก็ไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการ ตรวจรับพัสดุได้มีการเชิญผู้ช�านาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิให้มาร่วมทดสอบหรือทดลองในทางเทคนิคหรือในทางวิทยาศาสตร์ และไม่ท�าการตรวจสอบพัสดุที่จัดซื้อเอง แต่กลับให้เอกชนผู้เสนอราคาท�าการทดลองหรือทดสอบเองโดยการเดาสุ่ม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 82 อุปกรณ์ เนื่องจากเสาอากาศของอุปกรณ์สามารถเบี่ยงไปทิศทางใดก็ได้โดยง่าย และกล่าวอ้างว่าสามารถชี้หาวัตถุ ต้องสงสัยได้โดยไม่มีหลักฐานการทดลองหรือทดสอบพัสดุให้ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ข้อสาระส�าคัญในทางคดีที่ว่า อุปกรณ์ดังกล่าวมีประสิทธิภาพหรือไม่ ได้ถูกพิสูจน์และให้เหตุผลในทางวิทยาศาสตร์จากกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแล้วว่า เทคโนโลยีที่กล่าวอ้างนั้นไม่มีอยู่จริงและไม่สามารถท�าให้อุปกรณ์ดังกล่าวใช้งานได้จริง และมีหลักฐานยืนยันว่าพัสดุเป็นเพียงกล่องพลาสติกเปล่า แต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุกลับรับรองว่าพัสดุ ครบถ้วนถูกต้องและมีประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริงตามข้อก�าหนดในสัญญา จนเป็นผลให้มีการเบิกจ่ายเงิน ค่าจัดซื้อพัสดุถึงเครื่องละประมาณ 500,000 - 1,200,000 บาท คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งปวงแล้วเห็นว่า มูลเหตุที่ท�าให้เกิดความเสียหาย ในครั้งนี้ เป็นผลโดยตรงจากการที่หน่วยงานของรัฐไม่พิจารณาแต่งตั้งผู้ช�านาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้น ๆ ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดซื้อและตรวจรับพัสดุ จนเป็นเหตุให้มีการจัดซื้อพัสดุที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สามารถใช้งานได้จริง อีกทั้งไม่มีการด�าเนินการหาราคากลางในการจัดซื้อหรือสืบหาราคาจากหน่วยงานรัฐ แห่งอื่นที่เคยจัดซื้อมาก่อน แต่ได้ตั้งราคาจากเงินงบประมาณที่ได้รับ ท�าให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณ แผ่นดิน เป็นจ�านวน 1,223,518,056.98 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง และส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังด�าเนินการกับเอกชนผู้เสนอราคา รวมทั้ง เรียกค่าเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอ�านาจต่อไป การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัย การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขต อ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี 2. เรื่องกล่าวหา นายอุดม ไชยสาลี เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งเจ้ําพนักงํานที่ดินจังหวัดภูเก็ต หัวหน้ําส่วนแยก กับพวก ด�ําเนินกํารออกโฉนดที่ดินเลขที่ 35753 และ 35754 ต�ําบลเชิงทะเล อ�ําเภอถลําง จังหวัดภูเก็ต โดยมิชอบ คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 21 มิถุนํายน 2564 พฤติการณ์ นายอุดม ไชยสาลี เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนแยก กับพวก ด�าเนินการออกเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดิน เลขที่ 35753 เนื้อที่ 11-1-66.1/10 ไร่ และโฉนดที่ดิน เลขที่ 35754 เนื้อที่ 0-3-9/10 ไร่ ต�าบลเชิงทะเล อ�าเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยอาศัย หลักฐานเดิม เป็น ส.ค. 1 เลขที่ 423 ต�าบลเชิงทะเล อ�าเภอเมืองภูเก็ต ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 35753 และเลขที่ 35754 ต�าบลเชิงทะเล อ�าเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขารวก-เขาเมือง และในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนายอุดม ไชยสาลี นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร และนายธเนศ นิยม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง มาตรา 95 และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 133 ส�าหรับราย นางสวรรยา ศิริพงศ์ มีมูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 83 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐอีก 4 ราย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ที่จะฟังว่าได้กระท�าความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป ขอให้มีค�าร้องขอให้ศาลมีค�าพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 35753 และ 35754 ต�าบลเชิงทะเล อ�าเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกหรือแบ่งแยกออกจากโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 93 วรรคสอง การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายอุดม ไชยสาลี นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร และนายธเนศ นิยม การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอ�านาจ พิจารณาพิพากษาคดี กับนายอุดม ไชยสาลี นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร นายธเนศ นิยม และ นางสวรรยา ศิริพงศ์ และขอให้มีค�าร้องขอให้ศาลมีค�าพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 35753 และเลขที่ 35754 ต�าบลเชิงทะเล อ�าเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกหรือแบ่งแยกออกจากโฉนดที่ดินทั้งสองแปลง ดังกล่าว 3. เรื่องกล่าวหา นายสาโรจน์ ใจมุข เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารโรงพยําบําลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ กับพวก สั่งยําแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสํารซูโดอีเฟดรีนโดยมิชอบ และ/หรือเบียดบังยําหรือเวชภัณฑ์ทํางกํารแพทย์ โดยทุจริต คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกํายน 2563 พฤติการณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2554 นายสาโรจน์ ใจมุข เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งผู้อ�านวยการโรงพยาบาล ทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลบัญชีเงินสวัสดิการข้าราชการและลูกจ้างโรงพยาบาลทองแสนขัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาทองแสนขัน และธนาคารกรุงไทย สาขาอุตรดิตถ์ โดยเป็นผู้มีอ�านาจสั่งจ่ายเช็คช�าระเงินค่ายา และเวชภัณฑ์ พิจารณาและตรวจสอบรวมทั้งเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบให้ด�าเนินการจัดซื้อยาหรือสั่งซื้อยาแก้หวัดสูตรผสม ที่มีส่วนประกอบของซูโดอีเฟดรีนด้วยเงินสวัสดิการดังกล่าว ได้อนุมัติเห็นชอบให้ท�าการจัดซื้อยาตามที่นายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน เสนอ ต่อมานายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน ได้ท�าการสั่งซื้อยาดังกล่าวจากบริษัทผู้ผลิตหรือผู้ขาย จ�านวน 12 ราย รวม 37 ครั้ง รวม 1,311,000 เม็ด และเมื่อโรงพยาบาลทองแสนขันได้รับยาแล้ว นายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน ก็ไม่ได้ น�าเข้าบัญชียาและไม่น�าเข้าคลังเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลทองแสนขัน แต่ได้น�ายาไปให้หรือขายให้กับนายอาร์ท ผู้แทนยา โดยได้ก�าไร 0.80 บาท/เม็ด ซึ่งเงินก�าไรหรือเงินส่วนต่างที่ได้จากการขายยาดังกล่าว นายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน ได้น�าเงินไปมอบให้กับนายสาโรจน์ ใจมุข โดยอ้างว่าเพื่อเป็นเงินสวัสดิการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทองแสนขัน มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนายสาโรจน์ ใจมุข และนายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน มีมูลความผิดอาญา ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 91 และมีมูลความผิดวินัยร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) (4) การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย เนื่องจากผู้บังคับบัญชาได้ด�าเนินการสอบสวนทางวินัยและมีค�าสั่งลงโทษ ไล่นายสาโรจน์ ใจมุข และนายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน ออกจากราชการ ในการกระท�าความผิดนี้เหมาะสมแก่ความผิดแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อด�าเนินการทางวินัยอีก โดยให้มีหนังสือแจ้ง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 84 การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมี เขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายสาโรจน์ ใจมุข และนายธีรพงษ์ เอี่ยมอ่อน 4. เรื่องกล่าวหา นายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งเจ้ําพนักงํานที่ดินจังหวัดนครรําชสีมํา สําขําสีคิ้ว กับพวก สั่งกํารให้มีกํารแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อหําตํามหลักฐํานหนังสือรับรองกํารท�ําประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) และโฉนดที่ดินในพื้นที่ต�ําบลลําดบัวขําว อ�ําเภอสีคิ้ว จังหวัดนครรําชสีมํา โดยมิชอบ คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 12 กรกฎําคม 2564 พฤติการณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2552 นายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่ง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว ส�านักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว สังกัดกรมที่ดิน ได้ใช้อ�านาจในต�าแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ตามหลักฐานหนังสือรับรองการท�าประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2292 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จากเดิมเนื้อที่ 88-2-46 ไร่ เป็นเนื้อที่ 119-2-50 ไร่ มากกว่าหลักฐานเดิม 31-0-04 ไร่ และเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 ได้ใช้อ�ำนาจในต�าแหน่ง เจ้าพนักงานที่ดินสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 18997 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จากเดิมเนื้อที่ 198-1-51 ไร่ เป็นเนื้อที่ 258-1-57 ไร่ มากกว่าหลักฐานเดิม 60-0-06 ไร่ โดยบางส่วนออกทับซ้อนเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาเตียน และป่าเขาเขื่อนลั่น และการรังวัดมีการออกทับซ้อน ที่ดินในเขตด�าเนินการของส�านักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นเหตุให้บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จ�ากัด (มหาชน) เจ้าของที่ดินได้รับประโยชน์จากจ�านวนเนื้อที่เพิ่มขึ้น และท�าให้เกิดความเสียหาย แก่ทางราชการ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. กรณีการรังวัดตรวจสอบเนื้อที่หนังสือรับรองการท�าประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2292 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา การกระท�าของนายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร นายเทียมศักดิ์ จินดา และนายชายธง ณ สงขลา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และมีมูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) มาตรา 85 (1) (4) และ (7) ราย นายประยุทธ มหากิจศิริ และบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จ�ากัด (มหาชน) หรือบริษัท โพสโค – ไทยน๊อคซ์ จ�ากัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) ประกอบมาตรา 108 ทวิ ราย นายประทีป แสวงลาภ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 และอีก 2 ราย ประกอบด้วย นายฌ๊อง ปอล เทเวอแน็ง และ นายจีเทนเดอร์ พี เวอร์มา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ทั้งนี้ ความผิดตามมาตรา 157 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิน�าคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) จึงให้ยุติการด�าเนินคดีอาญาในความผิดฐานนี้ 2. กรณีการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดิน เลขที่ 118997 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา การกระท�าของนายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร นายเทียมศักดิ์ จินดา นายชายธง ณ สงขลา และนายภักดี ภักดีเมฆ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และมีมูลความผิดวินัย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 85 อย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) มาตรา 85 (1) (4) และ (7) ส�าหรับราย นายประยุทธ มหากิจศรี และบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จ�ากัด (มหาชน) หรือบริษัท โพสโค – ไทยน๊อคซ์ จ�ากัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และประมวลกฎหมายที่ดิน ตามมาตรา 9 (1) ประกอบมาตรา 108 ทวิ และอีก 3 ราย ประกอบด้วย นายประทีป แสวงลาภ นายฌ๊อง ปอล เทเวอแน็ง และนายจีเทนเดอร์ พี เวอร์มา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ทั้งนี้ ความผิดตามมาตรา 157 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิน�าคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) จึงให้ยุติการด�าเนินคดีอาญาในความผิดฐานนี้ 3. กรณีจ่ำยเงินตอบแทนในการรังวัดสอบเขตหนังสือรับรองการท�าประโยชน์ เลขที่ 2292 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา และแบ่งแยกโฉนดที่ดิน เลขที่ 118997 ต�าบลลาดบัวขาว อ�าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา การกระท�าของนายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร และนายเทียมศักดิ์ จินดา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) มาตรา 85 (1) (4) และ (7) ส�าหรับรายนายประยุทธ มหากิจศรี และนายประทีป แสดงลาภ มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และอีก 4 ราย ประกอบด้วย นายชายธง ณ สงขลา นายฌ๊อง ปอล เทเวอแน็ง นายจีเทนเดอร์ พี เวอร์มา และบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จ�ากัด (มหาชน) หรือบริษัท โพสโค – ไทยน๊อคซ์ จ�ากัด (มหาชน) ไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอจะฟังได้ว่า ได้กระท�าความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร นายเทียมศักดิ์ จินดา นายชายธง ณ สงขลา และนายภักดี ภักดีเมฆ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร นายเทียมศักดิ์ จินดา นายชายธง ณ สงขลา นายภักดี ภักดีเมฆ นายประยุทธ มหากิจศิริ นายประทีป แสวงลาภ นายฌ๊อง ปอล เทเวอแน็ง นายจีเทนเดอร์ พี เวอร์มา และบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จ�ากัด (มหาชน) หรือบริษัท โพสโค – ไทยน๊อคซ์ จ�ากัด (มหาชน) 5. เรื่องกล่าวหา นายวันชัย ปราบวงษา ผู้อ�านวยการโรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัย อ�าเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในโครงการก่อสร้างสนามฟุตบอล แบบ ฟ 1/42 ของโรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัย คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 5 กรกฎําคม 2564 พฤติการณ์ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2558 ส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อด�าเนินการโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนแรก ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เพื่อก่อสร้างสนามฟุตบอล แบบ ฟ 1/42 จ�านวน 741,000 บาท แก่โรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัย โรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัยได้ด�าเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการดังกล่าวโดยวิธีสอบราคา ในการจัดท�าประกาศสอบราคา มีการส่งประกาศเชิญชวนฯ โดยตรงไปยังผู้มีอาชีพหรือผู้รับจ้างโดยตรง จ�านวน 4 ราย ซึ่งรวมถึงห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี โดยในการยื่นซองสอบราคาของห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี นั้น นายวันชัย ปราบวงษา ผู้อ�านวยการโรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัย ได้มอบหมายให้ญาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 86 ของตนไปยื่นซองสอบราคาแทน โดยนายวันชัย ปราบวงษา เป็นผู้จัดท�าเอกสารทุกอย่าง โดยที่ลายมือชื่อที่ ปรากฏในหนังสือมอบอ�านาจมิใช่ลายมือชื่อของญาติของนายวันชัย ปราบวงษา แต่อย่างใด ต่อมา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นวันเปิดซองสอบราคา ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี เป็นผู้เสนอราคาต�่าสุด จึงได้ท�าสัญญาจ้าง เลขที่ 1/2558 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 โดย นายวันชัย ปราบวงษา ลงนามเป็นผู้ว่าจ้าง ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี โดยนายชวเกียรติ แสงทอง หุ้นส่วนผู้จัดการ ลงนามเป็นผู้รับจ้าง แต่จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการก่อสร้างสนามฟุตบอลดังกล่าว นายวันชัย ปราบวงษา เป็นผู้ด�าเนินการและควบคุมงานทั้งหมด อาทิ การติดต่อตกลงจ้างให้ขนดินมาถมสนามฟุตบอล การจ้างคนงานมาปลูกหญ้า การจ้างท�าประตูฟุตบอล การจ้างคนมาทดสอบคุณภาพดินถม เป็นต้น โดยผู้ควบคุมงาน และผู้ช่วยผู้ควบคุมงาน ไม่เคยพบเห็นห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี ซึ่งเป็นผู้รับจ้าง เข้ามาท�างานตั้งแต่ เริ่มต้นด�าเนินการจนสิ้นสุดโครงการ โดยเมื่อผู้ควบคุมงานได้ทวงถามส�าเนาสัญญาจ้างและเอกสารแนบท้ายสัญญา จากนายวันชัย ปราบวงษา เพื่อน�าไปประกอบการด�าเนินการควบคุมงานจ้างและตรวจรับการจ้างหลายครั้ง แต่นายวันชัย ปราบวงษา ก็ไม่ได้ให้เอกสารดังกล่าว ต่อมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 ผู้รับจ้างส่งมอบงาน แต่กรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน เห็นว่าไม่มีสัญญาจ้างและเอกสารแนบท้ายสัญญาดังกล่าว ท�าให้ไม่สามารถควบคุมงานได้ ประกอบกับเห็นว่า การด�าเนินการในโครงการดังกล่าว นายวันชัย ปราบวงษา มีส่วนได้เสียกับห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี โดยห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี ซึ่งมีชื่อ นายนรวิชญ์ แสงทอง และนายชวเกียรติ แสงทอง บุตรชายของ นายสุรพล แสงทอง (พี่ชายของนางทัศนีย์ ปราบวงษา) มีความเกี่ยวข้องโดยเป็นหลานชายของ นางทัศนีย์ ปราบวงษา ภรรยาของนายวันชัย ปราบวงษา เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ อันถือเป็นเครือญาติของนายวันชัย ปราบวงษา กรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน จ�านวน 2 คน จากจ�านวน 3 คน จึงไม่ยอมลงชื่อในบันทึกการควบคุม งานจ้างและตรวจรับงานจ้าง ท�าให้โรงเรียนบ้านหนองหว้าทับทัยไม่สามารถด�าเนินการเบิกจ่ายเงินค่าจ้าง ให้กับผู้รับจ้างได้ นายวันชัย ปราบวงษา จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างเพิ่มเติมอีกจ�านวน 2 คน ซึ่งคณะกรรมการตรวจการจ้าง จ�านวน 3 คน จากจ�านวน 5 คน ได้ลงชื่อตรวจรับงานจ้าง และส่งเรื่องไปยัง ส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ซึ่งได้เบิกจ่ายเงินให้ผู้รับจ้างแล้ว มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายวันชัย ปราบวงษา มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 และเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 84 วรรคสอง วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง 2. การกระท�าของนายนรวิญช์ แสงทอง นายชวเกียรติ แสงทอง และห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และแก้ไข มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 87 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายวันชัย ปราบวงษา การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษากับนายวันชัย ปราบวงษา นายนรวิญช์ แสงทอง นายชวเกียรติ แสงทอง และ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วิชญเกียรติ เอสทีจี 6. เรื่องกล่าวหา นายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งเลขําธิกําร สภําผู้แทนรําษฎร กับพวก ว่ํามีพฤติกํารณ์ส่อไปในทํางทุจริตในกํารด�ําเนินกํารจัดจ้ํางโครงกํารก่อสร้ํางศูนย์บริกําร จ�ําหน่ํายตั๋วเครื่องบิน รถไฟ และรถ บขส. บริเวณชั้น 1 อําคํารรัฐสภํา 3 ของส�ํานักงํานเลขําธิกํารสภําผู้แทนรําษฎร เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกํายน 2563 พฤติการณ์ นายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ได้สั่งการให้กลุ่มงานพัสดุ ส�านักการคลังและงบประมาณ ยกเลิกการจัดจ้างโครงการนี้ที่อยู่ระหว่างด�าเนินการตามระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 และให้ด�าเนินการจัดจ้างตามระเบียบรัฐสภา ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2555 ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่มีความจ�าเป็นที่จะต้องยกเลิก และได้สั่งการให้กลุ่มงานอาคาร สถานที่ กลุ่มงานพัสดุ เสนอขออนุมัติจัดจ้างโครงการดังกล่าวโดยวิธีพิเศษทั้งที่ไม่เข้าเหตุที่จะด�าเนินการ ตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2555 เพื่อท�าให้ตนเองสามารถเลือกบริษัทเข้ามาเสนอราคาโดยไม่ต้อง มีการประกวดราคาจ้าง อีกทั้งนายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ได้สั่งการให้กรรมการจัดจ้าง โดยวิธีพิเศษเชิญเฉพาะบริษัทที่ตนเองระบุเพื่อเข้ามาเสนอราคาเท่านั้น ประกอบกับผู้เสนอราคาทั้งสองบริษัท มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันก่อนได้รับเชิญให้เข้ามาเสนอราคา มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง 2. การกระท�าของบริษัทผู้เสนอราคาและกรรมการผู้จัดการของบริษัท มีมูลความผิดทางอาญาตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการ เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัย และผู้บังคับบัญชา ได้มีค�าสั่งลงโทษไล่นายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ออกจากราชการแล้ว การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขต อ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ หรือสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย บริษัทผู้เสนอราคา และกรรมการผู้จัดการของบริษัท
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 88 7. เรื่องกล่าวหา นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารโรงเรียนหําดใหญ่วิทยําลัย 2 กับพวก เอื้อประโยชน์ให้น้องสําวเป็นคู่สัญญํากับโรงเรียนหําดใหญ่วิทยําลัย 2 ตํามโครงกํารเรียนฟรี 15 ปี และไม่น�ําเงินส่วนลดค่ําหนังสือเข้ําบัญชีเงินสวัสดิกํารโรงเรียน คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนํายน 2564 พฤติการณ์ เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ในฐานะผู้อ�านวยการโรงเรียน หาดใหญ่วิทยาลัย ได้ใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ด�าเนินการจัดซื้อหนังสือเรียนตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี โดยวิธีพิเศษ จ�านวนเงิน 1,692,441 บาท โดยปรากฏว่า ในขั้นตอนของการเชิญชวนผู้เสนอราคานั้น นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ได้แจ้งรายชื่อร้านค้าหรือผู้แทนจ�าหน่ายพัสดุพร้อมเบอร์โทรติดต่อเพื่อให้เจ้าหน้าที่พัสดุด�าเนินการ เชิญชวนเข้าร่วมในการเสนอราคา โดยสั่งการนางสาวมาลีวรรณ สุขโข ว่ามีความประสงค์ที่จะให้นางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช หรือระยับพันธุ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของตน เข้ามารับงาน ต่อมานางสาวมาลีวรรณ สุขโข ได้น�ารายชื่อร้านค้า หรื อผู้แทนจ�าหน่ายพัสดุประกอบด้วย ร้านยูโนบุ๊คส์ บริษัท เมธี ทีปส์ จ�ากัด ร้านลานอักษร และร้านเอสดีพาณิชย์กิจ และสั่งการให้ นางมนชยา ข�าอ่อน ติดต่อไปยังผู้ขายเข้ามารับเอกสารเกี่ยวกับการเสนอราคา โดยไม่ได้มีการส่ง หนังสือเชิญชวน แต่เป็นการติดต่อทางโทรศัพท์แจ้งให้ทราบถึงก�าหนดวันเวลายื่นซองและเปิดซองเสนอราคา ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 ก�าหนดวันยื่นซองเสนอราคา ปรากฏตามทะเบียนรับซองเสนอราคาว่า มีผู้ขายหนังสือยื่นซองเสนอราคา จ�านวน 3 ราย คือ ร้านยูโนบุ๊คส์ ร้านลานอักษร บริษัท เมธี ทีปส์ จ�ากัด โดยนางมนชยา ข�าอ่อน ไม่ได้รับเอกสารซองเสนอราคาจากผู้เสนอราคา แต่ได้จัดท�าเอกสารและได้น�าเสนอให้ นางแววสุดา สิทธิศักดิ์หรือหนูอุไร หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเป็นผู้ลงนามรับมอบซองเสนอราคา โดยนางแววสุดา สิทธิศักดิ์หรือหนูอุไร ไม่ได้เป็นผู้รับมอบซองเสนอราคาจากผู้เสนอราคาและจากเจ้าหน้าที่พัสดุและไม่ได้เป็น ผู้รวบรวมเอกสารส่งมอบให้กับประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเพื่อพิจารณาราคาของผู้ยื่นเสนอราคา ทั้ง 3 รายดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 ก�ำหนดวันพิจารณาผลการเสนอราคา นายวิสัย เกื้อกูล ในฐานะประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้ท�าการเปิดซองเสนอราคา โดยปรากฏตามทะเบียนรับซอง ใบเสนอราคาซึ่งระบุว่ามีผู้ยื่นซองเสนอราคา จ�านวน 3 ราย โดยผลการเปิดซองเสนอราคาปรากฏว่าร้านยูโนบุ๊คส์ เป็นผู้เสนอราคาต�่าสุดที่ราคา 1,481,764 บาท และมีการรายงานผลต่อนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ทั้งที่ ผู้เสนอราคาในรายบริษัท เมธี ทีปส์ จ�ากัด ไม่เคยทราบและไม่ได้รับแจ้งประกาศว่ามีการจัดซื้อหนังสือ ของโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย 2 ในโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ ปรากฏว่า ผู้เข้าเสนอราคามีลักษณะเป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ ร้านลานอักษร และร้านยูโนบุ๊คส์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในลักษณะเป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยทั้ง 2 ร้านดังกล่าว เป็นกิจการของนางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช โดยในส่วนของร้านลานอักษร แม้จะจดทะเบียนพาณิชย์ในชื่อ ของนายพีราวัจน์ ระยับพันธุ์ แต่อ�านาจในการบริหารกิจการของร้านทั้งหมดยังเป็นของนางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช หรือระยับพันธุ์ ซึ่งเป็นมารดา ส่วนกรณีของร้านยูโนบุ๊คส์ แม้ตามเอกสารใบทะเบียนพาณิชย์ ของกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์จะแสดงว่านางสาววาสนา แซ่ลิ่ว จะเป็นผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของร้าน แต่ก็เป็นเพียงลูกจ้าง ของร้านดังกล่าว โดยเจ้าของร้านที่แท้จริงคือนางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช (ชื่อเดิมนางพวงเพ็ญ ระยับพันธุ์) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านลานอักษรที่แท้จริง ต่อมาโรงเรียนมีความต้องการหนังสือเพิ่มขึ้นอีกจ�านวน 2,800 เล่ม เนื่องจากมีการค�านวณจ�านวน นักเรียนผิดพลาด นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ จึงได้เห็นชอบให้นางสาวมาลีวรรณ สุขโข แจ้งร้านยูโนบุ๊คส์ เปลี่ยนเอกสารเสนอราคาโดยเพิ่มจ�านวนหนังสือที่ต้องการเพิ่มขึ้น และได้มีการจัดท�าใบเสนอราคาใหม่ในนาม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 89 ร้านยูโนบุ๊คส์ โดยไม่ปรากฏหลักฐานใบเสนอราคาฉบับใหม่ของร้านลานอักษร และบริษัทเมธี ทีปส์ จ�ากัด แต่อย่างใด และได้มีการนัดหมายให้นายวิสัย เกื้อกูล ช่วยพิจารณาเปิดซองเสนอราคาอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ท�าการยกเลิก การเปิดซองครั้งแรก ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการด�าเนินการนอกเหนืออ�านาจหน้าที่ที่ก�าหนดไว้ในระเบียบ ส�านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2554 ได้มีการท�าสัญญาซื้อขายหนังสือตามโครงการจากร้านยูโนบุ๊คส์ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง 2. การกระท�าของนางสาวมาลีวรรณ สุขโข มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง 3. การกระท�าของนางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช หรือระยับพันธุ์ และนางสาววาสนา แซ่ลิ่ว มีมูลความผิด ทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 90 4. การกระท�าของนางมนชยา ข�าอ่อน นางแววสุดา หนูอุไรหรือสิทธิศักดิ์ และนายพีราวัจน์ ระยับพันธุ์ จากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า นางมนชยา ข�าอ่อน นางแววสุดา หนูอุไรหรือสิทธิศักดิ์ และนายพีราวัจน์ ระยับพันธุ์ ได้กระท�าความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป 5. การกระท�าของนายวิสัย เกื้อกูล ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลวินัย ไม่ร้ายแรง ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ด�าเนินการทางวินัยโดยได้มีค�าสั่งลงโทษทางวินัย นายวิสัย เกื้อกูล เหมาะสมแล้ว จึงไม่มีเหตุควรส่งผู้บังคับบัญชาเพื่อด�าเนินการทางวินัยอีก การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ และนางสาวมาลีวรรณ สุขโข การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ นางสาวมาลีวรรณ สุขโข นางเพียงเพ็ญ ทิพย์พืช หรือระยับพันธุ์ และนางสาววาสนา แซ่ลิ่ว
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 90 8. เรื่องกล่าวหา นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารโรงเรียนหําดใหญ่วิทยําลัย 2 กับพวก ทุจริตในกํารจัดซื้อจัดจ้ํางโครงกํารห้องเรียนอําเซียนเพื่อยกระดับคุณภําพกํารศึกษําของโรงเรียน หําดใหญ่วิทยําลัย 2 คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิดเมื่อวันที่ 11 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ในฐานะผู้อ�านวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย 2 ได้ให้ นายพลากร กรพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด และบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด เข้ามาด�าเนินการจัดท�าห้องอาเซียนตามโครงการห้องเรียนอาเซียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาช่วงเดือน พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการด�าเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และก่อนที่จะท�าสัญญาจ้าง ต่อมาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2554 นายปัญญา ศรีลารักษ์ ได้จัดท�ารายงานเสนอต่อนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ เพื่อขอจ้างจัดท�าห้องอาเซียนโดยวิธีพิเศษโดยให้เหตุผลว่าการด�าเนินการจัดจ้างครั้งก่อนไม่ได้ผลดี แต่กลับพบว่าการด�าเนินการครั้งก่อนเป็นการด�าเนินการสอบราคาเช่า ซึ่งนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ได้ประกาศยกเลิกการสอบราคาเช่าดังกล่าวแล้ว เนื่องจากไม่มีผู้ยื่นซองสอบราคา และได้เห็นชอบอนุมัติให้จัดจ้าง ท�าห้องอาเซียนโดยวิธีพิเศษ โดยอ้างเหตุว่าห้องอาเซียนเป็นห้องที่สั่งจัดท�าพิเศษ ต้องอาศัยผู้ที่มีความช�านาญ และได้ลงนามค�าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษและคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ทั้งที่การจัดท�า ห้องอาเซียน เป็นงานที่ช่างตกแต่งภายในทั่วไปก็สามารถท�าได้ไม่เป็นงานที่ต้องใช้ช่างผู้มีความช�านาญโดยเฉพาะ ที่จะเข้าลักษณะที่ต้องด�าเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษตามระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554 คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษได้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างมาเสนอราคา ปรากฏว่ามีผู้เสนอราคาที่มีคุณสมบัติและเอกสารถูกต้องจ�านวน 3 ราย คือ บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด ร้านมีเดีย ซัพพลาย และร้านเพชรคอมพิวเตอร์ ผลการพิจารณาบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด เป็นผู้เสนอราคาต�่าสุด ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษนั้น นายปัญญา ศรีลารักษ์ เป็นผู้หาผู้มีอาชีพรับจ้างทั้ง 3 ราย โดย บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด ได้เชิญมาตามค�าแนะน�าของนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ซึ่งเคยเป็นคู่สัญญากับโรงเรียนหาดใหญ่ วิทยาลัย 2 ส่วนอีก 2 ราย ได้ใช้วิธีหาจากอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ ซึ่งผู้รับจ้าง 2 ราย ประกอบธุรกิจนอกพื้นที่ กล่าวคือ ร้านเพชรคอมพิวเตอร์ มีที่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และร้านมีเดียซัพพลาย มีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี ทั้งผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย ไม่เคยลงข้อมูลทางเว็บไซด์ และไม่เคยมีประสบการณ์ท�างานในลักษณะนี้มาก่อน ไม่เป็นผู้มีวิชาชีพโดยตรง โดยร้านเพชร คอมพิวเตอร์ เป็นเพียงร้านจ�าหน่ายคอมพิวเตอร์เท่านั้น ส่วนร้านมีเดีย ซัพพลาย เป็นเพียงร้านที่ท�าเกี่ยวกับงานอิเล็คทรอนิคงานไฟฟ้าเท่านั้น โดยได้มีการพิจารณาใบเสนอราคาของ บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด ก่อนถึงวันพิจารณาซองจริงและในวันก�าหนดยื่นใบเสนอราคา มีเพียงนายพลากร กรพิทักษ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด รออยู่หน้าห้องพิจารณาเพียงรายเดียว จนในวันที่ 22 สิงหาคม 2554 นางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ ได้ลงนามท�าสัญญากับบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด ผู้มีอ�านาจ ลงนามผูกพันบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด โดยตกลงจ้างจัดท�าห้องอาเซียนพร้อมอุปกรณ์ จ�านวน 59 รายการ จ�านวนเงิน 13,000,000 บาท จึงเป็นกรณีที่มีการร่วมกันจัดท�าเอกสารจัดซื้อจัดจ้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อให้เห็นว่า มีการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันมีลักษณะ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด ในการเข้าเป็นคู่สัญญากับโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย 2
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 91 มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง 2. การกระท�าของนายปัญญา ศรีลารักษ์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง 3. การกระท�าของนายพลากร กรพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด บริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด และนายคเชนทร์ ศรีธนะรัตน์ เจ้าของร้านเพชร คอมพิวเตอร์ มีมูลความผิด ทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ส่วนนางสาวมาลีวรรณ สุขโข นายวิสัย เกื้อกูล นางรัตนาภรณ์ พรหมเพชร นางสาวศิริพร พิทักษ์จินดา นางมนชยา ข�าอ่อน และนางแววสุดา สิทธิศักดิ์หรือหนูอุไร จากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระท�าความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ และนายปัญญา ศรีลารักษ์ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนางพิมพ์มาส รังสรรค์สฤษดิ์ นายปัญญา ศรีลารักษ์ นายพลากร กรพิทักษ์ นายคเชนทร์ ศรีธนะรัตน์ และบริษัท บางกอก ซอฟแวร์ จ�ากัด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 92 9. เรื่องกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารส�ํานักงํานพระพุทธศําสนําแห่งชําติ กับพวก กรณีร่วมกันอนุมัติและเบิกจ่ํายเงินงบประมําณสนับสนุนกํารจัดกํารศึกษํา พระปริยัติธรรม ประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2557 ให้แก่วัดโคกขําม และวัดแคทรําย อ�ําเภอตํากฟ้ํา จังหวัดนครสวรรค์ โดยทุจริต จ�ํานวน 5,000,000 บําท คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 19 พฤษภําคม 2564 พฤติการณ์ 1. กรณีวัดโคกขาม นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อ�านวยการส�านักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ติดต่อมาหาพระครูนิทัศน์ธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัดโคกขาม แจ้งว่ามีเงินอุดหนุนให้วัดโคกขาม โดยให้ พระครูนิทัศน์ธรรมโสภิตเปิดบัญชีวัดโคกขามและลงนามเบิกจ่ายเพียงคนเดียว ต่อมาได้ร่วมกับพวกอนุมัติ และเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมให้แก่วัดโคกขาม จ�านวน 5,000,000 บาท ทั้งที่ ทราบดีอยู่แล้วว่าวัดโคกขามไม่ได้เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม เมื่อมีเงินโอนเข้ามายังบัญชีแล้ว นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ได้แจ้งพระครูนิทัศน์ธรรมโสภิตว่าจะต้องเอาเงินคืนให้แก่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ จ�านวน 4,500,000 บาท โดยได้ส่งคนมารับเงินจ�านวนดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 2. กรณีวัดแคทราย นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อ�านวยการส�านักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ร่วมกับพวกอนุมัติและเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมให้แก่วัดแคทราย จ�านวน 5,000,000 บาท ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าวัดแคทราย ไม่ได้เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม เมื่อมีเงินโอนเข้ามายังบัญชีแล้ว พระครูนิรภัยวิเทต ท�าการเบิกเงินจากธนาคารมอบเงินสดให้ลูกน้องของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ จ�านวน 4,500,000 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. กรณีเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุน 1.1 การกระท�าของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นายบุญเลิศ โสภา นายแก้ว ชิดตะขบ และ นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 162 (4) และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 82 (2) มาตรา 83 (3) (5) และมาตรา 85 (1) (4) (7) 1.2 การกระท�าของนายบุญเลิศ โสภา นายแก้ว ชิดตะขบ และนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร มีมูลความผิด ทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 162 (4) และตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 82 (2) มาตรา 83 (1) (3) (5) และมาตรา 85 (1) (4) (7) 2. กรณีอนุมัติงบประมาณอุดหนุน การกระท�าของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 มาตรา 157 และมาตรา 162 (4) และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทาง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 93 วินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 82 (2) มาตรา 83 (3) (5) และมาตรา 85 (1) (4) (7) การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นายบุญเลิศ โสภา นายแก้ว ชิดตะขบ และนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญานายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นายบุญเลิศ โสภา นายแก้ว ชิดตะขบ และนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร 10. เรื่องกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารส�ํานักงําน พระพุทธศําสนําแห่งชําติ กับพวก รวม 4 คน ทุจริตในกํารเบิกจ่ํายเงินอุดหนุนกํารบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจ�ํา ปีงบประมําณ 2557 ที่จัดสรรให้กับวัดละมุดใน ต�ําบลบํางคูเวียง อ�ําเภอบํางกรวย จังหวัดนนทบุรี คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 8 มิถุนํายน 2564 พฤติการณ์ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่ งผู้ อ�านวยการส�านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส�านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประกอบด้วย นางสาวประนอม คงพิกุล ผู้อ�านวยการกองพุทธศาสนาสถาน นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผู้อ�านวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัด และการศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน และพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดคันลัด โดยการอนุมัติเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจ�าปีงบประมาณ 2557 โดยนางสาวประนอม คงพิกุล เป็นผู้สั่งการให้พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ไปจัดหารายชื่อวัดต่าง ๆ โดยเสนอให้ค่าตอบแทนแก่พระครูปลัดสุทธิวัฒน์ วัดละประมาณ 10,000 บาท โดยพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ได้น�ารายชื่อวัดละมุดในไปให้แก่นางสาวประนอม คงพิกุล เพื่อไปแจ้ง แก่นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ให้จัดท�าบันทึกข้อความแล้วน�ามาให้ตนเองลงนามเพื่อเสนอให้แก่ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อนุมัติให้จ่ายเงินอุดหนุนและให้โอนเงินอุดหนุนแก่วัดละมุดใน จ�านวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 เป็นเงินจ�านวน 3,000,000 บาท และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 เป็นเงินจ�านวน 2,000,000 บาท รวมเป็นเงิน จ�านวน 5,000,000 บาท และเมื่อได้มีการอนุมัติเงินแล้ว พระครูปลัดสุทธิวัฒน์จะไปด�าเนินการรวบรวมเงินตามที่นางสาวประนอม คงพิกุล ได้สั่งการ เมื่อได้รับเงินจาก เจ้าอาวาสวัดละมุดใน ทั้ง 3 ครั้ง เป็นเงิน จ�านวน 4,830,000 บาท แล้ว ก็จะน�าเงินไปมอบให้นางสาวประนอม คงพิกุล ตามที่ได้มีการตกลงกันไว้ ซึ่งเมื่อนางสาวประนอม คงพิกุล ได้รับเงินแล้วก็จะน�าเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นางสาวประนอม คงพิกุล และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (4) และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 82 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) (4)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 94 2. การกระท�าของพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ หรือพระครูไพโรจน์ บุญโสม มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (4) ประกอบมาตรา 86 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นางสาวประนอม คงพิกุล และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญากับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นางสาวประนอม คงพิกุล นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ และพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ หรือพระครูไพโรจน์ บุญโสม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 95 หน่วยงานของรัฐในส่วนท้องถิ่น จ�านวน 6 เรื่อง 1. เรื่องกล่าวหา นายฮัสบุลเลาะห์ การีแซ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งนํายกเทศมนตรีต�ําบลมํายอ อ�ําเภอมํายอ จังหวัดปัตตํานี ได้ร่วมกับพวก ในกํารจัดซื้อมุ้งเพื่อป้องกันโรคชิคุนกุนยําในทุกครัวเรือนในรําคําที่สูงกว่ํา รําคําท้องตลําด และเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอรําคําบํางรํายได้เป็นผู้มีสิทธิท�ําสัญญํา คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 5 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 นายฮัสบุลเลาะห์ การีแซ ต�าแหน่ง นายกเทศมนตรีต�าบลมายอ ได้สั่งการให้กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลต�าบลมายอ จัดท�าโครงการจัดซื้อมุ้งเพื่อป้องกันและหยุดยั้ง การแพร่ระบาดของโรคชิคุนกุนยา จ�านวน 954 หลัง วงเงิน 1,812,600 บาท โดยพบว่าราคาที่แท้จริงของมุ้งที่มี ยี่ห้อ ขนาด คุณสมบัติเดียวกันกับที่เทศบาลต�าบลมายอ ด�าเนินการจัดซื้อปรากฏว่า มีราคาเพียงหลังละ 450 บาท เมื่อจัดซื้อมุ้งจ�านวน 954 หลัง จะมีราคาจัดซื้อเพียง 429,300 บาท การจัดซื้อมุ้งของเทศบาลต�าบลมายอ จึงถือ เป็นการจัดซื้อที่มีราคาสูงกว่าราคาปกติตามราคาท้องตลาด เป็นจ�านวนเงิน 1,383,300 บาท และในการเสนอ ราคาห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น. ครุภัณฑ์ โดยนายมูฮ�ามัดยากี เจะปูเตะ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น. ครุภัณฑ์ ไม่ได้ยื่นซองเสนอราคาด้วยตนเอง แต่นายฮัสบุลเลาะห์ ฯ เป็นผู้น�าซองเสนอราคาดังกล่าว ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อด�าเนินการรับซองเสนอราคานั้น ซึ่งเป็นการเอื้ออ�านวยแก่ผู้เข้าท�าการเสนอราคา รายหนึ่งรายใดเพื่อให้เป็นผู้มีสิทธิท�าสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายฮัสบุลเลาะห์ การีแซ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 2. การกระท�าของห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น.ครุภัณฑ์ นายมูฮ�ามัดยากี เจะปูเตะ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น.ครุภัณฑ์ และนางสาวนุสลินทร์ ณธานนทร์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวล กฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย จังหวัดปัตตานีได้มีค�าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผลการสอบสวนพบว่า การกระท�าของนายฮัสบุลเลาะห์ การีแซ ท�าให้เทศบาลต�าบลมายอได้รับความเสียหาย และเนื่องจาก นายฮัสบุลเลาะห์ ฯ ได้พ้นต�าแหน่งนายกเทศมนตรีต�าบลมายอแล้ว เนื่องจากครบวาระการด�ารงต�าแหน่ง เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 จึงไม่อาจให้ผู้นั้นพ้นจากต�าแหน่งได้อีก แต่มีผลให้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ด�ารงต�าแหน่งอื่นใดต่อไป การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนายฮัสบุลเลาะห์ การีแซ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น.ครุภัณฑ์ นายมูฮ�ามัดยากี เจะปูเตะ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด เอ็น.เอ็น.ครุภัณฑ์ และนางสาวนุสลินทร์ ณธานนทร์
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 96 2. เรื่องกล่าวหา นายปรีชานนท์ จ�านงกูล เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งนํายกเทศมนตรีต�ําบลหนองสําหร่ําย อ�ําเภอพนมทวน จังหวัดกําญจนบุรี ได้ร่วมกับพวก ในกํารเบิกจ่ํายเงินให้กับผู้รับจ้ํางทั้งที่ไม่มีกํารตรวจรับกํารจ้ําง หรือตรวจรับพัสดุ และเบิกจ่ํายเงินค่ําใช้จ่ํายในกํารแข่งขันกีฬําทั้งที่ไม่มีกํารจัดจ้ํางจริง อีกทั้งยังสั่งจ่ํายเช็ค เป็นค่ําวัสดุกีฬําเกินกว่ําที่มีกํารจัดซื้อจริง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 5 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ 1. กรณีเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้าง ทั้งที่ไม่มีการตรวจรับการจ้างหรือตรวจรับพัสดุ นายปรีชานนท์ จ�านงกูล นายกเทศมนตรีต�าบลหนองสาหร่าย อนุมัติฎีกาเบิกจ่ายเงิน ทั้งที่ผู้ตรวจฎีกา ยังไม่ได้ลงลายมือชื่อตรวจฎีกา และร่วมกันกับนายประเสริฐ แป้นทอง รองนายกเทศมนตรีต�าบลหนองสาหร่าย นายวีรวุฒิ สุคนธมาน ปลัดเทศบาลต�าบลหนองสาหร่าย นางสาวกัญญา อินทร์ประทับ เจ้าหน้าที่พัสดุ นายชูยศ กุลสุวรรณ หัวหน้ากองช่าง นายณัฐพล ดอนเจดีย์ นายช่างโยธา และนางศศิธร ศิวะบุณย์ หัวหน้ากองคลัง สั่งจ่ายเช็คให้กับผู้รับจ้าง ทั้งที่คณะกรรมการตรวจการจ้างหรือคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ไม่ตรวจรับการจ้าง หรือไม่ตรวจรับพัสดุ ไม่ควบคุมงานโครงการต่อเติมและปรับปรุงศาลาเอนกประสงค์ และไม่มีการตรวจฎีกา ตามฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย แล้วแต่กรณี รวมทั้งสิ้น 29 ฎีกา เป็นจ�านวนเงิน 1,352,239.77 บาท โดยนายสมคิด ค�าภิมาบุศก์ ผู้รับจ้าง ได้ด�าเนินงานตามโครงการต่อเติมและปรับปรุงศาลาเอนกประสงค์ หมู่ที่ 9 ต�าบลหนองสาหร่าย ซึ่งได้ท�างานในส่วนของโถนั่งยอง (แบบมีฐาน) จ�านวนเพียง 1 อัน และกระจกเงาพร้อมกรอบบาน จ�านวนเพียง 1 บาน ซึ่งไม่ครบตามสัญญาจ้าง ตามฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณรายจ่าย 2. กรณีเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการแข่งขันกีฬา ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง นายปรีชานนท์ จ�านงกูล นายกเทศมนตรีต�าบลหนองสาหร่าย สั่งจ้างและอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่าย ในการแข่งขันกีฬาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสัมพันธ์ ครั้งที่ 14 “ตลาดเขตเกมส์” โดยเป็นค่าจ้างรถรับ - ส่งนักกีฬา จ�านวน 36,000 บาท ให้กับนางสาวอ�าพร เสมแก้ว และร่วมกันกับนายประเสริฐ แป้นทอง รองนายกเทศมนตรี ต�าบลหนองสาหร่าย สั่งจ่ายเช็คทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง โดยมีนายสราวุธ หอมจันทร์ เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของ นางสาวอ�าพร เสมแก้ว อีกทั้งนายวีรวุฒิ สุคนธมาน ปลัดเทศบาลต�าบลหนองสาหร่าย ในฐานะผู้ขออนุมัติจัดจ้าง และคณะกรรมการตรวจการจ้างรถรับ - ส่งนักกีฬา ยังตรวจรับการจ้าง และลงลายมือในหน้าฎีกา งบรายละเอียด ใบส�าคัญประกอบฎีกา ใบรับรองผู้เบิก และใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง และนายสราวุธ หอมจันทร์ ยังได้ตกลงร่วมกันกับนายปรีชานนท์ จ�านงกูล นายประเสริฐ แป้นทอง และนายวีรวุฒิ สุคนธมาน ว่าจะท�าการเบิกเงินค่ารถรับจ้างรับ-ส่งนักกีฬา จ�านวน 36,000 บาท อันเป็นเท็จ เพื่อน�าเงินดังกล่าว ไปเป็นค่าอาหารในการจัดการแข่งขันกีฬาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสัมพันธ์ ครั้งที่ 14 “ตลาดเขตเกมส์” และปลอมลายมือชื่อของนางสาวอ�าพร เสมแก้ว ผู้รับจ้าง ในการเบิกจ่ายเงินตามฎีกาเบิกเงินงบประมาณรายจ่าย 3. กรณีสั่งจ่ายเช็คเป็นค่าวัสดุกีฬาเกินกว่าที่มีการจัดซื้อจริง นายปรีชานนท์ จ�านงกูล นายกเทศมนตรีต�าบลหนองสาหร่าย ร่วมกับนายประเสริฐ แป้นทอง รองนายกเทศมนตรีต�าบลหนองสาหร่าย และนายวีรวุฒิ สุคนธมาน ปลัดเทศบาลต�าบลหนองสาหร่าย สั่งจ่ายเช็ค ธนาคารกรุงไทย จ�ากัด (มหาชน) สาขากาญจนบุรี เช็คเลขที่ 0574412 ลงวันที่ 28 กันยายน 2555 จ�านวน 154,839.25 บาท ให้กับห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วรพงษ์ เอสแอนด์ซี เป็นค่าวัสดุการเกษตร จ�านวน 66,300 บาท และค่าวัสดุกีฬา จ�านวน 90,000 บาท แต่วัสดุกีฬามีการจัดซื้อจริงเพียง 54,128 บาท โดยนายวีรวุฒิ สุคนธมาน ปลัดเทศบาลต�าบลหนองสาหร่าย ลงลายมือในหน้าฎีกางบรายละเอียดใบส�าคัญประกอบฎีกา ใบรับรองผู้เบิก ทั้งที่ไม่มีเอกสารประกอบฎีกาเบิกจ่ายเงิน และนางสาวกัญญา อินทร์ประทับ เจ้าหน้าที่พัสดุ ติดต่อขอซื้อวัสดุกีฬา กับนางสาวกันยากร แจ่มใส หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจ�ากัด วรพงษ์ เอสแอนด์ซี ผู้ขาย ในราคา 54,128 บาท แต่ได้จัดท�ารายงานขอซื้อขอจ้าง จ�านวน 90,000 บาท เป็นเหตุให้เทศบาลต�าบลหนองสาหร่ายได้รับความเสียหาย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 97 มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. กรณีเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้างทั้งที่ไม่มีการตรวจรับการจ้างหรือตรวจรับพัสดุ 1.1 การกระท�าของนายปรีชานนท์ จ�านงกูล และนายประเสริฐ แป้นทอง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 1.2 การกระท�าของนายวีรวุฒิ สุคนธมาน นางสาวกัญญา อินทร์ประทับ นายชูยศ กุลสุวรรณ นายณัฐพล ดอนเจดีย์ และนางศศิธร ศิวะบุณย์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามประกาศ คณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดกาญจนบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง 1.3 การกระท�าของนายสมคิด ค�าภิมาบุศก์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 2. กรณีเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการแข่งขันกีฬา ทั้งที่ไม่มีการจัดจ้างจริง 2.1 การกระท�าของนายปรีชานนท์ จ�านงกูล และนายประเสริฐ แป้นทอง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 2.2 การกระท�าของนายวีรวุฒิ สุคนธมาน มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดกาญจนบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง 2.3 การกระท�าของนายสราวุธ หอมจันทร์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 98 3. กรณีสั่งจ่ายเช็คเป็นค่าวัสดุกีฬาเกินกว่าที่มีการจัดซื้อจริง 3.1 การกระท�าของนายปรีชานนท์ จ�านงกูล และนายประเสริฐ แป้นทอง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 3.2 การกระท�าของนายวีรวุฒิ สุคนธมาน และนางสาวกัญญา อินทร์ประทับ มีมูลความผิด ทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดกาญจนบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายวีรวุฒิ สุคนธมาน นางสาวกัญญา อินทร์ประทับ นายชูยศ กุลสุวรรณ นายณัฐพล ดอนเจดีย์ และนางศศิธร ศิวะบุณย์ และส่งส�านวนการไต่สวน ไปยังผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจกับ นายปรีชานนท์ จ�านงกูล และนายประเสริฐ แป้นทอง การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายปรีชานนท์ จ�านงกูล นายประเสริฐ แป้นทอง นายวีรวุฒิ สุคนธมาน นางสาวกัญญา อินทร์ประทับ นายชูยศ กุลสุวรรณ นายณัฐพล ดอนเจดีย์ นายสราวุธ หอมจันทร์ นางศศิธร ศิวะบุณย์ และนายสมคิด ค�าภิมาบุศก์ 3. เรื่องกล่าวหา นายณรงค์ สนั่นเสียง เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งนํายกองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลนําทุ่ง อ�ําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เรียกรับเงินเพื่อจะรับโอนย้ํายบรรจุเป็นพนักงํานส่วนต�ําบลขององค์กํารบริหําร ส่วนต�ําบลนําทุ่ง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 6 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2559 ถึงมกราคม 2560 นายไพโรจน์ แกมนิล ได้ติดต่อพูดคุย กับนายณรงค์ สนั่นเสียง นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลนาทุ่ง อ�าเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย โดยประสงค์ ให้โอนย้าย จ.ส.อ.ดวงเด็ด แกมนิล มาท�างานที่องค์การบริหารส่วนต�าบลนาทุ่ง ซึ่งนายณรงค์ สนั่นเสียง ตกลงจะด�าเนินการเปิดต�าแหน่งเจ้าพนักงานการเกษตรขององค์การบริหารส่วนต�าบลนาทุ่งให้ และนายณรงค์ สนั่นเสียง ได้เรียกรับเงินจากนายไพโรจน์ แกมนิล จ�านวน 50,000 บาท เพื่อเป็นค่าด�าเนินการช่วยเหลือให้ จ.ส.อ. ดวงเด็ด แกมนิล ได้เข้าท�างานเป็นพนักงานส่วนต�าบลขององค์การบริหารส่วนต�าบลนาทุ่ง มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนายณรงค์ สนั่นเสียง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 103 ประกอบมาตรา 103/1 และมาตรา 122 และมาตรา 123/1
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 99 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติสภาต�าบลและองค์การบริหารส่วนต�าบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อด�าเนินการ ตามหน้าที่และอ�านาจกับนายณรงค์ สนั่นเสียง การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษากับนายณรงค์ สนั่นเสียง นอกจากนี้ ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส�านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ 4. เรื่องกล่าวหา นายสุวิทย์ ผลวงศ์ เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งนํายกองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลพิหํารแดง อ�ําเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี กรณีก�ําหนดรํายละเอียดคุณลักษณะรถกระเช้ําไฟฟ้ําอเนกประสงค์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เสนอรําคําบํางรําย คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 5 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ โครงการจัดซื้อรถกระเช้าไฟฟ้าอเนกประสงค์ขององค์การบริหารส่วนต�าบลพิหารแดง เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เป็นโครงการที่มิได้ก�าหนดไว้ในข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลพิหารแดง อ�าเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ได้อาศัยอ�านาจในต�าแหน่งโดยทุจริต น�ารายละเอียดคุณลักษณะของรถกระเช้าไฟฟ้าอเนกประสงค์ซึ่งมีรายละเอียด และคุณลักษณะเหมือนกันกับของบริษัท เทพากร บราเธอร์ จ�ากัด ทุกประการ เสนอให้สภาองค์การบริหาร ส่วนต�าบลพิหารแดงพิจารณาอนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม จ�านวนเงิน 1,950,000 บาท โดยมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอเรื่องเพื่อขออนุมัติจ่ายขาดเงินสะสม ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงิน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 ข้อ 89 ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาก็มิได้ด�าเนินการแก้ไขรายละเอียดคุณลักษณะ ตามที่ปลัดองค์การบริหารส่วนต�าบล เสนอให้มีการแก้ไข ทั้ง ๆ ที่ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่า การก�าหนดคุณลักษณะของรถกระเช้าไฟฟ้าอเนกประสงค์ อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใดโดยเฉพาะ อีกทั้ง ยังเร่งรัดในการท�าสัญญาในเรื่องดังกล่าว โดยที่ยังไม่ได้รับผลการตอบกลับจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ตามที่มีการร้องเรียนก่อน จากพฤติการณ์และการกระท�าดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาเพื่อช่วยเหลือให้บริษัท เทพากร บราเธอร์ จ�ากัด มีสิทธิเข้าท�าสัญญากับองค์การบริหารส่วนต�าบลพิหารแดง โดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกัน ผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนายสุวิทย์ ผลวงษ์ มีมูลความผิดทางอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 และมาตรา 12 และมีมูลความผิด ฐานกระท�าการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลย ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการ ไม่ชอบด้วยอ�านาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาต�าบลและองค์การบริหารส่วนต�าบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวน ไปยังผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อด�าเนินการ ตามหน้าที่และอ�านาจกับนายสุวิทย์ ผลวงษ์
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 100 การด�าเนินการทางอาญา ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน ส�าเนาอิเล็กทรอนิกส์ และค�าวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี นอกจากนี้ ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส�านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ 5. เรื่องกล่าวหา นายสมทรง ลีวัฒนะ นํายกองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลบํางกระสั้น อ�ําเภอบํางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา ทุจริตโดยร่วมกันรับรองควํามเสียหํายอันเกิดจํากอุทกภัยน�้ําท่วม ปี 2554 ให้แก่บ้ําน นํางอัมรํา กลิ่นเจริญ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้ําน หมู่ที่ 6 ต�ําบลบํางกระสั้น อ�ําเภอบํางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยํา อันเป็นเท็จเพื่อให้นํางอัมรําฯ ได้รับเงินช่วยเหลือ จ�ํานวน 20,050 บําท ทั้งที่มิได้รับควํามเสียหํายจริง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 26 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ นางอัมรา กลิ่นเจริญ ได้รับเงินค่าซ่อมแซมบ้านเรือนเสียหาย (ประสบอุทกภัย) ประจ�าปี 2554 ทั้ง ๆ ที่นางอัมรา กลิ่นเจริญ ไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น�้าท่วมจริง และไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และแนวทางของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบบริหารงานของทางราชการและเงินงบประมาณ ของทางราชการ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายสมทรง ลีวัฒนะ ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การกระท�า นายสมทรง ลีวัฒนะ มีมูลความผิดฐานปฏิบัติการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอ�านาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติในทางจะน�ามาซึ่งความเสื่อมเสีย แก่ศักดิ์ต�าแหน่ง หรือแก่เทศบาล หรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 2. การกระท�าของนายไกรวิชิต นามเสาร์ นายชัยวุฒิ วัชรพินธุ์ นายมานพ กลิ่นเจริญ และ นายอนุสรณ์ กลิ่นเจริญ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายไกรวิชิต นามเสาร์ นายชัยวุฒิ วัชรพินธุ์ นายมานพ กลิ่นเจริญ และนายอนุสรณ์ กลิ่นเจริญ และส่งส�านวน ไต่สวน ไปยังผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อด�าเนินการตามหน้าที่และอ�านาจกับนายสมทรง ลีวัฒนะ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายไกรวิชิต นามเสาร์ นายชัยวุฒิ วัชรพินธุ์ นายมานพ กลิ่นเจริญ และนายอนุสรณ์ กลิ่นเจริญ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 101 6. เรื่องกล่าวหา นายสันชัย นักเคน นํายกองค์กํารบริหํารส่วนต�ําบลหน้ําพระธําตุ กับพวก ทุจริตเบิกจ่ํายเงิน ในโครงกํารฝึกอําชีพเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอํายุที่ประสบอุทกภัย จ�ํานวน 4 รุ่น คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 19 มกรําคม 2564 พฤติการณ์ องค์การบริหารส่วนต�าบลหน้าพระธาตุได้รับงบประมาณสนับสนุนจากส�านักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี จ�านวน 120,000 บาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการด�าเนินโครงการ ฝึกอาชีพเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย จ�านวน 4 รุ่น รุ่นละ 5 วัน ระหว่างวันที่ 5 มิถุนายน 2559 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2559 แต่ปรากฏว่า นายสันชัย นักเคน และนางสาวเสาวรัตน์ รื่นเจริญ จัดให้มีการฝึกอบรมจริง เพียงครึ่งวันของวันแรก ซึ่งไม่ครบจ�านวน 5 วัน ตามที่ก�าหนดในแต่ละรุ่น แต่กลับเบิกจ่ายเงินค่าพาหนะเดินทาง ให้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรมรุ่นละ 20 คน 5 วัน ค่าวิทยากรวันละ 2,100 บาท ค่าอาหารและค่าอาหารว่าง/เครื่องดื่ม วันละ 2,000 บาท ทั้งที่ไม่ได้มีการอบรมจริง 5 วัน แต่อย่างใด มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนายสันชัย นักเคน มีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 2. การกระท�าของนางสาวเสาวรัตน์ รื่นเจริญ มีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นางสาวเสาวรัตน์ รื่นเจริญ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาล ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายสันชัย นักเคน และนางสาวเสาวรัตน์ รื่นเจริญ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 102 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จ�านวน 2 เรื่อง 1. เรื่องกล่าวหา นางพิสชา บุญชนะภักดี เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งผู้อ�ํานวยกํารฝ่ํายทรัพยํากรบุคคล ระดับ 12 ธนําคํารพัฒนําวิสําหกิจขนําดกลํางและขนําดย่อมแห่งประเทศไทย กับพวก เสนอขอปรับขั้นเงินเดือนให้แก่ตนเอง และพนักงํานโดยมิชอบ คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 21 ตุลําคม 2563 พฤติการณ์ นางพิสชา บุญชนะภักดี และนายชัยณรงค์ หงส์นคร เสนอขอปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่ พนักงาน จ�านวน 30 ราย ต่อนายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข และได้มีการอนุมัติให้ปรับขึ้นเงินเดือน ทั้งที่ธนาคาร พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้มีค�าสั่งยกเลิกค�าสั่งที่ 14/2549 ลงวันที่ 27 มกราคม 2549 แล้ว เนื่องจากยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. 1. การกระท�าของนางพิสชา บุญชนะภักดี และนายชัยณรงค์ หงส์นคร มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล เงินตอบแทน และค่าใช้จ่ายอื่นของธนาคาร พ.ศ. 2553 ข้อ 27 (3), (4), (7) และข้อ 29 (1), (2) 2. นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข ข้อกล่าวหาในทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่การกระท�า ของนายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข เป็นการประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดและเป็นการบกพร่อง อย่างร้ายแรง การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อด�าเนินการทางวินัยกับ นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้ด�าเนินการ สอบสวนทางวินัยและมีค�าสั่งลงโทษไล่ออกนางพิสชา บุญชนะภักดี และนายชัยณรงค์ หงส์นคร ในการกระท�า ความผิดนี้เหมาะสมแก่ความผิดแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงานส�านวนไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อด�าเนินการ ทางวินัยอีก ให้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ การด�าเนินการทางอาญา ส่งส�านวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขต อ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนางพิสชา บุญชนะภักดี และนายชัยณรงค์ หงส์นคร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 103 2. เรื่องกล่าวหา นายจงเจตน์ บุญเกิด เมื่อครั้งด�ํารงต�ําแหน่งรองกรรมกํารผู้จัดกําร ธนําคํารพัฒนําวิสําหกิจ ขนําดกลํางและขนําดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กับพวก ร่วมกันคัดเลือกธนําคํารสแตนดําร์ดชําร์เตอร์ด (ไทย) จ�ํากัด (มหําชน) (SCBT) เป็นผู้ด�ําเนินโครงกํารระดมเงินทุนด้วยกํารออกบัตรเงินฝํากอัตรําดอกเบี้ยลอยตัว (FRCDs) และท�ําอนุพันธ์บนบัตรเงินฝําก (FRCDs) กับ SCBT โดยมิชอบหรือโดยทุจริต คณะกรรมกําร ป.ป.ช. มีมติชี้มูลควํามผิด เมื่อวันที่ 16 มิถุนํายน 2564 พฤติการณ์ นายจงเจตน์ บุญเกิด กับพวก ด�าเนินการคัดเลือกผู้ด�าเนินโครงการระดมเงินฝากอัตรา ดอกเบี้ยลอยตัว (FRCDs) โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กล่าวคือ ด�าเนินการคัดเลือกโดยไม่มีการขออนุมัติวิธีการ จัดซื้อจัดจ้าง ร่วมกันก�าหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาคัดเลือกโดยมิชอบหรือโดยทุจริต อนุญาตให้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) แก้ไขข้อมูล (Proposal) ภายหลังจากการน�าเสนอเสร็จสิ้นแล้ว และจงใจแจ้งรายละเอียดสาระส�าคัญในเอกสารการเสนอราคาอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการ ธพว. ท�าให้ คณะกรรมการ ธพว. ส�าคัญผิดในข้อเท็จจริงและมีมติเห็นชอบในการแต่งตั้ง SCBT เป็นผู้ด�าเนินโครงการระดมเงิน ด้วยการออกตราสารบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRCDs) ประจ�าปี 2549 นอกจากนี้ นายจงเจตน์ บุญเกิด นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ นายอวิลาส ชุณหกสิการ และนายอาทิตย์ ดั่นธนสาร ได้ร่วมกันด�าเนินการท�าธุรกรรม อนุพันธ์สัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (CCS) และอนุพันธ์สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (IRS) บนบัตรเงินฝาก FRCDs กับ SCBT โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กล่าวคือ ในการประชุมคณะกรรมการ ธพว. ครั้งที่ 7/2549 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2549 ที่ประชุมมีมติอนุมัติแต่งตั้งธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) เป็นผู้ด�าเนินโครงการระดมเงินด้วยการออกบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว FRCDs ประจ�าปี 2549 ซึ่งมติดังกล่าวรวมถึงการด�าเนินการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย โดยทยอยใช้ เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงด้วยการท�า USD/THB Cross Currency Swap (CCS) เป็นช่วง ๆ กับสถาบัน การเงินที่ได้รับการคัดเลือกตามที่ฝ่ายจัดการเสนอ ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 และวันที่ 4 สิงหาคม 2549 นายจงเจตน์ บุญเกิด กับพวก กลับด�าเนินการท�าธุรกรรมอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (IRS) ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 300,000,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,535,000,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 38.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) โดยแก้ไขและปรับธุรกรรมแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงิน (Cross Currency Swap Transaction) ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว. จ่ายให้ SCBT ในวงเงิน 150,000,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 5,767,500,000 บาท จากเดิม อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.40% ต่อปี เปลี่ยนเป็น อัตราดอกเบี้ยในลักษณะ ขั้นบันไดเป็นช่วง ๆ และมีเงื่อนไขพิเศษ คือ มีเบี้ยปรับหากดอกเบี้ยหลุดออกนอกช่วง (Range) ที่ก�าหนด ซึ่งเป็น ธุรกรรมอนุพันธ์แบบซับซ้อน (Exotic) โดยไม่ปรากฏว่ามีการน�าเสนอขออนุมัติการท�าธุรกรรม IRS และได้รับ อนุมัติจากคณะกรรมการ ธพว. แต่อย่างใด การท�าธุรกรรมอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap : IRS) กับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) จึงไม่เป็นไปตามมติคณะกรรมการ ธพว. และการกระท�าดังกล่าวเป็นเหตุให้ ธพว. ได้รับความเสียหายเป็นเงินจ�านวน 5,470,049,771 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. การกระท�าของนายจงเจตน์ บุญเกิด นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ นายอวิลาส ชุณหกสิการ และ นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 มาตรา 11 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับ ธพว. ว่าด้วยการบริหารบุคคล เงินตอบแทน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของธนาคาร พ.ศ. 2547 ข้อ 38 (1) (2) (3)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 104 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวนเอกสารหลักฐาน และค�าวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงกับนายจงเจตน์ บุญเกิด ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล ส�าหรับนางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ นายอวิลาส ชุณหกสิการ และนายอาทิตย์ ดั่นธนสาร ธพว. ได้ด�าเนินการ ทางวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว จึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาของ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามรายทราบ ซึ่งต่อมา ธพว. ได้ด�าเนินการออกค�าสั่งลงโทษฐานความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นายจงเจตน์ บุญเกิด ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลแล้ว การด�าเนินการทางอาญา ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน ส�าเนาอิเล็กทรอนิกส์ และค�าวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายจงเจตน์ บุญเกิด นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ นายอวิลาส ชุณหกสิการ และนายอาทิตย์ ดั่นธนสาร ตามฐานความผิดดังกล่าว โดยส�านักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ได้ยื่นฟ้องนายจงเจตน์ บุญเกิด ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน เป็นจ�าเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีหมายเลขด�า ที่ อท 98/2564 แล้ว การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีค�าพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 105 3. การติดตามบุคคลตามหมายจับ และการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน 3.1 การติดตามบุคคลตามหมายจับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 39 ได้ก�าหนดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือผู้ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มีอ�านาจในการขอให้ศาล ที่มีเขตอ�านาจออกหมายจับและควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาจะหลบหนี ทั้งนี้ ในการจับกุมและควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ ในส�านักงาน ป.ป.ช. พนักงานฝ่ายปกครองหรือต�ารวจ หรือพนักงานสอบสวนด�าเนินการแทนก็ได้ และให้ผู้ที่รับ มอบหมายจะต้องด�าเนินการโดยเร็ว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ต�ารวจ ได้มีการติดตามบุคคลตามหมายจับที่ศาลได้ออกหมายจับไว้ และอยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งสามารถด�าเนินการ จับกุมได้ทั้งสิ้น 90 ราย 3.2 การคุ้มครองช่วยเหลือพยาน ในการด�าเนินการคุ้มครองช่วยเหลือพยานนั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการตามที่พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 131 และมาตรา 133 ก�าหนดไว้ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ความคุ้มครองช่วยเหลือพยาน รวมทั้งสิ้น 4 ราย 4. ผลการด�าเนินคดี หน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการด�าเนินกระบวนพิจารณาคดีในชั้นศาล และภายหลังศาลมีค�าพิพากษา อีกหนึ่งความส�าคัญของภารกิจด้ำนการปราบปรามการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 77 และ มาตรา 93 นั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยชี้มูลความผิดทางอาญาผู้ถูกกล่าวหา และส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และค�าวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุดเพื่อด�าเนินการฟ้องคดีต่อศาล ที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาแล้ว หากต่อมามีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ และไม่อาจหาข้อยุติได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมมีหน้าที่และอ�านาจในการน�าคดียื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาได้เอง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด นอกจากนี้ ในส่วนหนึ่งของภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สิน ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 นั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า ผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนา ไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมมีหน้าที่และอ�านาจในการน�าคดียื่นค�าร้องต่อศาล ที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาได้เอง เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยการตรวจสอบทรัพย์สิน ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และห้ามมิให้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หลักการส�าคัญดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีการตราอนุบัญญัติ อันได้แก่ “ระเบียบ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยการด�าเนินคดี การช่วยเหลือในทางคดี และการด�าเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินในคดี พ.ศ. 2563” ขึ้น เพื่อด�าเนินการในภารกิจด้านการปราบปรามการทุจริต
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 106 และด้านการตรวจสอบทรัพย์สินให้บรรลุผล โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งพนักงานไต่สวนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการด�าเนินคดีในชั้นศาลเป็น “ผู้ว่าคดี” มอบอ�านาจให้ด�าเนินการและประสานงานคดี คดีอาญา และคดีปกครอง ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือส�านักงาน ป.ป.ช. มอบหมาย ติดตามผลการด�าเนินคดี และการบังคับภายหลังศาลมีค�าพิพากษา รวมถึงประสานงานการค้น ยึด อายัดทรัพย์สิน การริบทรัพย์สิน ภายใต้กรอบที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 1. คดีอาญาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด�าเนินการยื่นฟ้องต่อศาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 77 และมาตรา 93 ในกรณีที่คณะกรรมการร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่อาจหาข้อยุติได้ และอัยการสูงสุดได้ส่งส�านวนคืนกลับมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้ก�าหนดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด�าเนินการต่อไปได้ ตามที่เห็นสมควร โดยจะยื่นฟ้องคดีเองก็ได้ แต่ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรฟ้องคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องด�าเนินการฟ้องคดีภายในก�าหนดอายุความ แต่ต้องไม่ช้ากว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่หาข้อยุติไม่ได้ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติมอบหมายผู้ว่าคดีให้ด�าเนินการฟ้องคดีเอง จ�านวน 23 คดี และศาลที่มีเขตอ�านาจพิจารณาคดีได้มีค�าสั่งรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว อาทิ คดีเรียกรับเงินจาก บริษัทรับว่าจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม คดีทุจริตในการด�าเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จ�านวน 163 หลัง ของส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ คดีขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ที่ขึ้นบัญชีไว้ตามประกาศ คณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดราชบุรี เป็นต้น ศาลที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษา จ�านวน (คดี) การด�าเนินการ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่ง ทางการเมือง 1 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง 6 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล 5 คดี อยู่ระหว่างออกหมายจับ 1 คดี 1 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 1 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 2 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 2 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 5 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 6 อยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาในชั้นศาล
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 107 ที่ รายละเอียด จ�าเลย การด�าเนินการ 1 กรณีกระท�าการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน ราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออ�านวยให้บริษัทสมมิตร คอนสตรัคชั่น จ�ากัด มีโอกาสเข้าท�าสัญญาในโครงการ ก่อสร้างบูรณะเขื่อนหินคอนกรีตส�าเร็จรูปริมคลอง ปากบาง นายจรัล สารรักษ์ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 6 มกราคม 2564) 2 กรณีจ้างซ่อมแซมพาหนะและเบิกเงินค่าจ้างซ่อมแซม พาหนะของโรงพยาบาลลานสกา เมื่อปี พ.ศ. 2553 - 2554 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตรวจรับการจ้าง โดยไม่มีการจ้างซ่อมจริง นายไพศาล แก้วนพรัตน์ กับพวก อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 18 มีนาคม 2564) 3 กรณีอนุมัติเงินกู้โครงการเศษฐกิจชุมชน โดยมิชอบ ด้วยระเบียบ โดยอนุมัติเกินวงเงิน 100,000 บาท แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเงินงบประมาณที่ ตนเองเป็นผู้อนุมัติให้กู้ยืม นายกิตติ โพธิรัตน์ นางอมรรัตน์ ขาวศิริ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 17 มีนาคม 2564) 4 กรณีเรียกรับเงินจากบริษัทรับว่าจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขนอม เพื่อแลกกับการอนุญาตให้มีการใช้ท่าเรือ ชั่วคราว และให้เรือเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายชิ้นส่วน เครื่องก�าเนิดไฟฟ้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายคณิน เมืองด้วง กับพวก อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 11 มีนาคม 2564) 5 กรณีด�าเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการบ้าน เอื้ออาทรสระแก้ว (โครงการอรัญประเทศ) ในราคา สูงเกินความเป็นจริง ทั้งที่เป็นที่ดินที่ตกอยู่ในวงล้อม ของที่ดินแปลงอื่น ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ท�าให้ การเคหะแห่งชาติได้รับความเสียหาย นายพิทยา เจริญวรรณ กับพวกรวม 10 คน อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 16 มีนาคม 2564) 6 กรณีตั้งงบประมาณและจัดการงบประมาณและ จัดซื้อจัดจ้างและเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการ ฝึ กอบรมและสัมมนาผู้ น�าท้ องถิ่นจังหวัดชุมพร ประจ�าปี 2559 โดยมิชอบ นายอ�านวย บัวเขียว กับพวก อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 5 เมษายน 2564) 7 ร่วมกันจัดตั้งคณะบุคคลสายงานบริหารสินทรัพย์ โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่ธนาคาร กรุงไทย จ�ากัด (มหาชน) ก�าหนดไว้ในเรื่องการจ่ายเงิน ตอบแทนสินทรัพย์ จ�านวน 1,271,009 บาท เป็นเหตุให้ ธนาคารกรุงไทย จ�ากัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย นายฐณพบ หรือ โสมนัส ชุติมา อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 7 เมษายน 2564) 8 กรณีปราศรัยเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร และยุยงให้ มีการปิดล้อมองค์กรอิสระของกลุ่ม นปช. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 8 เมษายน 2564)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 108 ที่ รายละเอียด จ�าเลย การด�าเนินการ 9 กรณีละเว้นไม่ด�าเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการ สืบสวนข้ อเท็จจริงผู้ อ�านวยการส�านักนิติการ ส�านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่กระท�า ความผิดวินัยเป็ นเหตุให้ พ้ นก�าหนดระยะเวลา ไม่สามารถด�าเนินการทางวินัยได้ ว่าที่ร้อยตรี ทรงยศ พรานเนื้อ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 8 เมษายน 2564) 10 กรณีองค์การบริหารส่วนต�าบลอรัญญิก ด�าเนินการ ขุดลอกคลองระบายน�้า ณ ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายนรินทร์ วัฒนกุลชัย กับพวก อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 10 มิถุนายน 2564) 11 กรณีออกใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ (ฟาร์มไก่) โดยปฏิบัติไม่ชอบตามกฎหมาย และระเบียบ นายสุรินทร์ จารุศศิธร อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 17 มิถุนายน 2564) 12 กรณีด�าเนินโครงการปรับปรุงพื้นที่ลงดินลูกรัง และก่อสร้างร้านค้าชุมชน หมู่ที่ 4 ในเขตทางหลวง โดยไม่วางท่อระบายน�้า จนเป็นเหตุให้น�้าไหลท่วม บ้านเรือนประชาชนได้รับความเดือดร้อน นายบรรเจิด เรือนเพ็ชร อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 22 มิถุนายน 2564) 13 กรณีทุจริตในการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคาร ที่ท�าการองค์การบริหารส่วนต�าบลคันโซ้งแพงกว่า ราคาประเมินของทางราชการ และด�าเนินการจัดซื้อ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขประกาศสอบราคา เป็นเหตุให้ เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ นายเอกสิทธิ์ เมืองเปรม อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 23 มิถุนายน 2564) 14 กรณีจัดท�าหนังสือขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ที่ขึ้น บัญชีไว้ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดราชบุรี ลงวันที่ 28 ธ.ค. 2548 เพื่อบรรจุ และแต่งตั้งผู้สอบขึ้นบัญชีได้ในต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 โดยมิชอบ นายสมนึก มุยเจริญ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 12 กรกฎาคม 2564) 15 กรณีทุจริตในการด�าเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก อาศัย (แฟลต) จ�านวน 163 หลัง ของส�านักงาน ต�ารวจแห่งชาติ พลต�ารวจโท ธีรยุทธ กิติวัฒน์ กับพวก รวม 12 คน อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 13 กรกฎาคม 2564) 16 กรณีจัดท�าหนังสือขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ที่ขึ้น บัญชีไว้ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดราชบุรี ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2548 เพื่อบรรจุ และแต่งตั้งผู้สอบขึ้นบัญชีได้ในต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 โดยมิชอบ นายวิโรจน์ ป้อมลอย อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 15 กรกฎาคม 2564)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 109 ที่ รายละเอียด จ�าเลย การด�าเนินการ 17 กรณีร่ วมกันด�าเนินการประมูลจ้ำงด้ วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ ตามโครงการจ้ำงเหมาเอกชน จัดการมูลฝอยในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวล�าภู ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 โดยมุ่ งหมายมิให้มี การแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม นายรักพงษ์ ณ อุบล กับพวก 8 ราย อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 23 กรกฎาคม 2564) 18 กรณีปลอมหลักฐานการรับการสงเคราะห์ รายงาน การส�ารวจรังวัดสวยอันเป็นเท็จ และยักยอกกล้ายาง นายนิพนธ์ นุ่นแก้ว กับพวก อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 27 กรกฎาคม 2564) 19 กรณีเรียกรับเงินจากบริษัท ไปปส์ แอนด์ ปั๊มส์ จ�ากัด เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการด�าเนินการให้กรมโยธาธิการ และผังเมืองอนุมัติซื้อเครื่องสูบน�้าฝน จ�านวน 3 เครื่อง นายวศิน พันธุ์โอภาส นัดฟ้อง 29 กรกฎาคม 2564 จ�าเลยหลบหนี ออกหมายจับ 20 กรณีไม่ต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้างทั่วไป โดยไม่มี เหตุผลอันสมควร มีเจตนากลั่นแกล้งเพื่อให้เกิด ความเสียหาย นายอนันต์ จั่นบางยาง อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 4 สิงหาคม 2564) 21 กรณีขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ที่ขึ้นบัญชีไว้ตามประกาศ คณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2548 เพื่อบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบขึ้นบัญชีได้ ในต�าแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 โดยมิชอบ นายปาน แค้มวงศ์ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 27 สิงหาคม 2564) 22 กรณีก�าหนดรายละเอียดคุณลักษณะรถกระเช้าไฟฟ้า อเนกประสงค์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เสนอราคา บางรายโครงการจัดซื้อกระเช้าไฟฟ้าอเนกประสงค์ ขององค์การบริหารส่วนต�าบลพิหารแดง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 งบประมาณ 1,950,000 บาท นายสุวิทย์ ผลวงษ์ อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 14 กันยายน 2564) 23 ร่วมกันจัดซื้อแว่นตาโดยวิธีพิเศษตามโครงการป้องกัน และควบคุมโรคเกี่ยวกับดวงตาเฉลิมพระเกียรติ โดยมิชอบ และหลีกเลี่ยงการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้อแก่ ผู้เสนอราคาบางราย นายศราวุธ สันตินันตรักษ์ กับพวกรวม 6 คน อยู่ระหว่างพิจารณา (ยื่นฟ้อง 28 กันยายน 2564) หมายเหตุ “การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีค�าพิพากษา ของศาลอันถึงที่สุด”
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 110 2. ค�าพิพากษาคดีอาญา ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติฟ้องเอง จ�านวน 3 คดี (คดีถึงที่สุดแล้ว) (1) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 คดีหมายเลขแดงที่ อท 53/2563 ระหว่ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. โจทก์ นํายชวนินทร์ เพมะ จ�ําเลย กรณีกล่าวหา นายชวนินทร์ เพมะ นายกเทศมนตรีต�าบลกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จัดท�าเอกสารหลักฐาน และเบิกจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเป็นเท็จ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 981 - 52/2561 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า การกระท�าของนายชวนินทร์ เพมะ ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ผลค�าพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ได้มีค�าพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ อท 53/2563 ระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นายชวนินทร์ เพมะ จ�าเลย โดยสรุปว่าขณะเกิดเหตุ จ�าเลยด�ารงต�าแหน่ง นายกเทศมนตรีต�าบลกงไกรลาศ อ�าเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย มีอ�านาจหน้าที่ในการสั่ง อนุญาต และอนุมัติ เกี่ยวกับราชการของเทศบาล รวมทั้งมีอ�านาจหน้าที่ ในการอนุมัติฎีกาเพื่อเบิกจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการของเทศบาลได้ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน 2555 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2555 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน เกี่ยวกับคดีนี้จ�าเลย ได้ออกเดินทางไปร่วมประชุมในวันที่ 26 มิถุนายน 2555 โดยออกเดินทางเวลา 4 นาฬิกา และไปถึงที่ โรงแรมรีเจนท์ ลอร์ด สถานที่ใช้จัดประชุม เวลาประมาณ 7 นาฬิกา แต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมและเดินทางกลับ และคืนวันที่ 25 มิถุนายน 2555 จ�าเลยไม่ได้พักค้างคืนที่จังหวัดล�าปาง จ�าเลยจึงไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าที่พัก ในลักษณะเหมาจ่ายและไม่มีสิทธิเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง การที่จ�าเลยให้การรับรองว่าจ�าเลยออกเดินทางจากส�านักงาน ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2555 เวลา 8 นาฬิกา และกลับถึงส�านักงานวันที่ 26 มิถุนายน 2555 เวลา 21 นาฬิกา รวมเวลาไปราชการ 1 วัน 13 ชั่วโมง ซึ่งใบเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการที่จ�าเลยรับรองจึงมีรายละเอียด เกี่ยวกับวันเวลาออกเดินทางไปราชการ และระยะเวลาเดินทางไปราชการไม่ตรงต่อความเป็นจริง ซึ่งจ�าเลย มีหน้าที่รับรองเอกสารเพื่อใช้ประกอบการขออนุมัติเบิกค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ตามใบเบิกค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ จึงเป็นการรับรองเอกสารเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (1) (4) และการที่จ�าเลยอนุมัติค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ และอนุมัติฎีกาเบิกเงินตามงบประมาณ รายจ่ายส่งใช้เงินยืมให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นผู้ขอเบิกค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการโดยไม่มีสิทธิเบิกย่อมท�าให้เทศบาล ต�าบลกงไกรลาศได้รับความเสียหาย ทั้งที่จ�าเลยทราบว่าระยะเวลาเดินทางไปราชการไม่ถูกต้องและไม่มีสิทธิเบิก การกระท�าของจ�าเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พิพากษาว่า จ�าเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) การกระท�าของจ�าเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 จ�าคุก 5 ปี ปรับ 10,000 บาท จ�าเลย ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจ�าคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท เมื่อค�านึงถึง อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม ภาวะแห่งจิต สิ่งแวดล้อมและสภาพความผิดของจ�าเลยแล้ว จ�าเลยด�ารงต�าแหน่งนายก เทศมนตรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 111 ต�าบลกงไกรลาศ เป็นเวลากว่า 20 ปี การปฏิบัติหน้าที่ในต�าแหน่งของจ�าเลยน่าจะเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจ ของประชาชน จึงได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนหลายวาระ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ที่จ�าเลยขอเบิก เป็นค่าเบี้ยงเลี้ยงเดินทาง 270 บาท และค่าเช่าที่พัก 1,200 บาท รวมเป็นเงิน 1,470 บาท เป็นเงินจ�านวนเล็กน้อยและจ�าเลยได้คืนเงินจ�านวนดังกล่าวให้แก่เทศบาลต�าบลกงไกรลาศก่อนที่จะถูก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล เมื่อไม่ปรากฏว่าจ�าเลยเคยได้รับโทษจ�าคุกมาก่อน จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตน เป็นพลเมืองดี โทษจ�าคุกให้รอการลงโทษไว้มีก�าหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจ�าเลย ไม่ช�าระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คดีถึงที่สุดแล้ว (2) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 คดีหมายเลขแดงที่ อท.95/2562 ระหว่ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. โจทก์ นํายสุจิต สรณ์คุณแก้ว จ�ําเลยที่ 1 นํายวีระชัย เพชรดี จ�ําเลยที่ 2 กรณีกล่าวหา นายสุจิต สรณ์คุณแก้ว เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่า อ�าเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม กับพวก ไม่น�าเรื่องขอรับความเห็นชอบการเลื่อนระดับของนางสาวปาริชาติ พันเดช เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 4 พนักงานส่วนต�าบล องค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่า เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดมหาสารคาม เพื่อให้ความเห็นชอบ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 170 - 5/2553 วันที่ 19 มกราคม 2553 แก้ไขเพิ่มเติม ในการประชุมครั้งที่ 173 - 8/2553 วันที่ 28 มกราคม 2553 แล้วมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า การกระท�าของ นายสุจิต สรณ์คุณแก้ว และนายวีระชัย เพชรดี มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ส�าหรับนางวิไลจิตร น�าพูลสุขสันต์ พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่า การกระท�าของนางวิไลจิตร น�าพูลสุขสันต์ มีมูลเป็นความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป ซึ่งต่อมาส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งรายงาน การไต่สวนข้อเท็จจริงและมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้อัยการสูงสุด ด�าเนินคดีอาญาแก่นายสุจิต สรณ์คุณแก้ว และนายวีระชัย เพชรดี ตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ผลค�าพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้มีค�าพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ อท.95/2562 ระหว่าง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นายสุจิต สรณ์คุณแก้ว จ�าเลยที่ 1 นายวีระชัย เพชรดี จ�าเลยที่ 2 สรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุจ�าเลยที่ 1 ด�ารงต�าแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่า อ�าเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม มีอ�านาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาต�าบลและองค์การบริหารส่วนต�าบล พ.ศ. 2537 มาตรา 54 และ มาตรา 60 และมีอ�านาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 15 ประกอบ มาตรา 25 อีกทั้งมีอ�านาจหน้าที่ในการสั่งเลื่อนและแต่งตั้งพนักงานส่วนต�าบลให้ด�ารงต�าแหน่งในระดับที่สูงขึ้น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล (ก.อบต.จังหวัด) ตามประกาศคณะกรรมการพนักงาน ส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหาร ส่วนต�าบล (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2550 จ�าเลยที่ 2 ด�ารงต�าแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง 7ว หัวหน้ากลุ่มงาน มาตรฐานการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ส�านักงานท้องถิ่นจังหวัดมหาสารคาม มีอ�านาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และจ�าเลยที่ 2 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะกรรมการพนักงานเทศบาลและคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคามตามค�าสั่ง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 112 จังหวัดมหาสารคามที่ 2231/2559 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2554 มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดประชุม การจัดระเบียบ วาระการประชุม ตรวจสอบและจัดเตรียมเอกสารเพื่อน�าเสนอเข้าที่ประชุม เพื่อให้ที่ประชุมคณะกรรมการพนักงาน ส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคามพิจารณาให้ความเห็นชอบ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จ�าเลยทั้งสองกระท�าผิดต่อกฎหมายอาญา กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ผู้เสียหายต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ วิเคราะห์นโยบายและแผนระดับ 4 มีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามคุณสมบัติเฉพาะส�าหรับต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ วิเคราะห์นโยบายและแผนระดับ 5 ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนต�าบล (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2550 ได้จัดท�าแบบประเมินบุคคลและการปฏิบัติงานเพื่อพิจารณาเลื่อนระดับพนักงานส่วนต�าบลแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่ง ในระดับที่สูงขึ้น เสนอผ่านปลัดองค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่าในขณะนั้น พิจารณาแล้วเห็นควรให้เลื่อนระดับ ตามที่เสนอ และจ�าเลยที่ 1 ได้พิจารณาแล้วเห็นชอบให้ผู้เสียหายผ่านการประเมินสมควรได้รับการพิจารณา เพื่อเลื่อนระดับให้ด�ารงต�าแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนระดับ 5 จ�าเลยที่ 1 ได้ลงนามในหนังสือ แล้วส่งไปยังประธานคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่ก่อนที่คณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคามจะได้พิจารณาให้ความเห็นชอบจ�าเลยที่ 1 มีเจตนาจะไม่ให้ผู้เสียหายได้รับการเลื่อนระดับหรือให้ได้รับการเลื่อนระดับแต่ให้ช้าลง การกระท�าของจ�าเลยที่ 1 เป็นการใช้อ�านาจหน้าที่และเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนากลั่นแกล้งผู้เสียหาย เป็นผลให้ ผู้เสียหายไม่ได้รับการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อเลื่อนระดับจากคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดมหาสารคาม การกระท�าของจ�าเลยที่ 1 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้เสียหาย เมื่อกลุ่มงานมาตรฐานการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ส�านักงานท้องถิ่นจังหวัดมหาสารคาม ได้รับหนังสือดังกล่าว จ�าเลยที่ 2 จะต้องน�าเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม ประจ�าเดือนมิถุนายน 2551 เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบให้ผู้เสียหายเลื่อนระดับตามที่เสนอหรือไม่ แต่จ�าเลยที่ 2 ใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่กระท�าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้เสียหาย โดยจ�าเลยที่ 2 ไม่น�ารายชื่อผู้เสียหายให้ที่ประชุมคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดมหาสารคาม พิจารณาให้ความเห็นชอบประจ�าเดือนมิถุนายน 2551 โดยน�าบันทึกข้อความองค์การบริหาร ส่วนต�าบลเสือเฒ่า ที่จ�าเลยที่ 1 เป็นผู้ลงนามและส่งมาเป็นข้อกล่าวอ้างเพื่อไม่น�าเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม คณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม อันเป็นการกระท�าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จ�าเลยที่ 2 ได้กระท�าทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า จ�าเลยที่ 1 ไม่สามารถขอให้ชะลอการเลื่อนระดับพนักงานส่วนต�าบลรายผู้เสียหายได้ เพราะเรื่องดังกล่าวได้ผ่านการประเมินจากจ�าเลยที่ 1 และผู้บังคับบัญชาชั้นต้นมาแล้ว กรณีดังกล่าวไม่มีกฎหมาย หรือระเบียบใด ที่ให้อ�านาจจ�าเลยที่ 2 ที่จะไม่น�าเรื่องขอเลื่อนระดับของผู้เสียหายให้ที่ประชุมคณะกรรมการ พนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคามเป็นผู้พิจารณาได้ การกระท�าของจ�าเลยทั้งสองเป็นการกระท�าโดยมิชอบ ในหน้าที่ตามกฎหมายที่ตนมีอยู่และเป็นการใช้ดุลพินิจโดยเจตนากลั่นแกล้งผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย องค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เหตุเกิดที่ต�าบลเสือเฒ่า อ�าเภอเชียงยืน และต�าบลแวงน่าง อ�าเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจ�าเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พฤติการณ์ของจ�าเลยที่ 1 ที่ลงนามในหนังสือถึงประธานคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบล จังหวัดมหาสารคาม เพื่อขอรับความเห็นชอบในการเลื่อนรับที่สูงขึ้นของผู้เสียหาย และได้ส่งเรื่องการขอรับ การประเมินเพื่อเลื่อนระดับและแต่งตั้งให้ด�ารงในระดับที่สูงขึ้น ของผู้เสียหาย จ�าเลยที่ 1 ได้ด�าเนินการไปตามขั้นตอน ของกฎหมายและอ�านาจหน้าที่ที่กฎหมายก�าหนดไว้ครบถ้วนแล้ว อ�านาจหน้าที่ของจ�าเลยที่ 1 ในเรื่องการประเมิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 113 เพื่อเลื่อนระดับย่อมสิ้นสุดลง การที่จ�าเลยที่ 1 ท�าบันทึกข้อความขอให้ชะลอการพิจารณาเลื่อนระดับของผู้เสียหาย และขอหลักฐานที่ทางองค์การบริหารส่วนต�าบลเสือเฒ่าได้ประเมินกลับไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่งนั้น มิใช่การกระท�า ที่เกี่ยวกับหน้าที่ของจ�าเลยที่ 1 ตามกฎหมาย การกระท�าของจ�าเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจ�าเลยที่ 1 หากการกระท�าของจ�าเลยที่ 1 จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง จ�าเลยที่ 1 ก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพฤติการณ์ ของจ�าเลยที่ 2 ที่ทราบเรื่องที่จ�าเลยที่ 1 ได้มีบันทึกข้อความขอให้ชะลอการน�าเรื่องขอรับการประเมินของผู้เสียหาย ไว้ก่อน จึงให้ถอนเรื่องไม่น�าเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพนักงานส่วนต�าบลจังหวัดมหาสารคาม ไม่อาจบ่งชี้ได้ว่า จ�าเลยที่ 2 กระท�าการอันเป็นการกระท�าโดยทุจริตแต่อย่างใด จ�าเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พิพากษายกฟ้อง ผลค�าพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว (3) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 คดีหมายเลขแดงที่ อท 64/2563 ระหว่ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. โจทก์ นํางอรณี น�้ําใจตรง จ�ําเลย นางอรณี น�้าใจตรง เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 6 เทศบาลเมืองกาญจนบุรี อ�าเภอเมือง กาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ละเว้นไม่น�าส่งประกาศประกวดราคาและเอกสารประกวดราคาจ้างเหมาปรับปรุง การระบายน�้าถนนแสงชูโต (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323) ส่งที่ท�าการไปรษณีย์ และปลอมตราประจ�าวัน และลายมือชื่อพนักงานรับฝากของไปรษณีย์ฯ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 998 – 69/2561 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2561 ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา นางอรณี น�้าใจตรง เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 6 เทศบาลเมืองกาญจนบุรี อ�าเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 9 เสียง เห็นชอบตามความเห็น ของคณะอนุกรรมการไต่สวน ว่า การกระท�าของนางอรณี น�้าใจตรง ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ ในหน่วยงานของรัฐ กระท�าความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกระท�าการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน ราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออ�านวยแก่ผู้เข้าท�าการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิท�าสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของ ทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดกาญจนบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ข้อ 6 วรรคสอง ผลค�าพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ได้มีค�าพิพากษาเป็นคดีหมายเลขด�าที่ อท 59/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท 64/2563 ระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์ นางอรณี น�้าใจตรง จ�าเลย สรุปได้ว่า
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 114 ขณะเกิดเหตุจ�าเลยรับราชการในต�าแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ ระดับ 5 ส�านักงานเทศบาลเมืองกาญจนบุรี จ�าเลยมีหน้าที่จัดส่งเอกสารเกี่ยวกับประกาศประกวดราคาจ้างเหมาปรับปรุงการระบายน�้าถนนแสงชูโต (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323) ของเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ไปเผยแพร่ข่าวตามที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 ข้อ 38 จ�ำเลยได้รับซองประกาศ ประกวดราคาดังกล่าวจากนางสาวสุนทรเพื่อส่งให้แก่ผู้มีรายชื่อรวม 12 ราย แต่จ�าเลยไม่น�าซองเอกสาร ประกาศประกวดราคาดังกล่าวไปฝากส่ง ณ ที่ท�าการไปรษณีย์กาญจนบุรีตามหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติแต่ลงลายมือชื่อ ของตนเอง ในช่องผู้น�าส่งประกาศประกวดราคา และระบุเวลาน�าส่งเมื่อเวลา 14.30 นาฬิกา ในใบน�าส่งประกาศ ประกวดราคาทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) โดยช�าระค่าฝากส่งเป็นรายเดือน เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ามีการน�าส่ง ประกาศประกวดราคาแล้ว เป็นเหตุให้เอกชนผู้เสนอราคาโครงการนี้รู้ถึงข่าวการประกวดราคาเฉพาะกลุ่ม ในวงจ�ากัด เป็นการกระท�าที่มุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออ�านวยแก่ผู้เข้าท�าการเสนอ ราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิท�าสัญญากับหน่วยงานของรัฐ การกระท�าของจ�าเลยจึงเป็นความผิดฐานกระท�าผิดต่อ ต�าแหน่งหน้าที่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ส�าหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น กฎหมายไม่ได้ก�าหนดอัตราโทษอย่างต�่าไว้ให้จ�าคุก ตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจ�าเลยให้การรับสารภาพจึงรับฟังลงโทษจ�าเลยในความผิด ดังกล่าวได้ โดยไม่จ�าต้องวินิจฉัยพยานโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง การกระท�าของจ�าเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 การกระท�าของจ�าเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จ�าคุก 5 ปี และปรับ 100,000 บาท จ�าเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุ บรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจ�าคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 50,000 บาท โทษจ�าคุก ให้รอการลงโทษไว้มีก�าหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ช�าระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) คดีถึงที่สุด 3. กรณีอัยการสูงสุดหารือจะไม่อุทธรณ์หรือฎีกาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 79 และมาตรา 94 ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา และอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลที่มีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษา เมื่อศาลได้พิพากษาแล้ว หากอัยการสูงสุดเห็นควรไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกา ให้อัยการสูงสุดหารือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก่อน ในกรณีที่มีความเห็นต่างกันและไม่อาจหาข้อยุติได้ให้อัยการสูงสุด พิจารณาด�าเนินการต่อไปโดยค�านึงถึงความเป็นธรรมและประโยชน์ของประเทศเป็นส�าคัญ และชี้แจงเหตุผล ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อัยการสูงสุดหารือคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีที่จะไม่อุทธรณ์ และไม่ฎีกาค�าพิพากษาศาล จ�านวน 276 เรื่อง แบ่งเป็น - หารือไม่อุทธรณ์ค�าพิพากษาศาลชั้นต้น จ�านวน 160 เรื่อง - หารือไม่ฎีกาค�าพิพากษาศาลอุทธรณ์ จ�านวน 116 เรื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 115 ร่าง รายงานประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 108 - หารือไม่ฎีกาคาพิพากษา ศาลอุทธรณ์ จำนวน 116 เรื่อง ผลคำพิพากษาที่อัยการสูงสุดหารือคณะกรรมการ ป.ป.ช. 4. คดีถึงที่สุดแล้ว ในปีงบประมาณ 2564 มีจำนวนทั้งหมด 57 เรื่อง 5. คดีที่อัยการสูงสุดฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปีงบประมาณ 2564 ปี พ.ศ. ที่ชี้มูล ความผิด ชี้มูล ความผิด ทางอาญา (เรื่อง) อัยการสูงสุดอยู่ ระหว่าง พิจารณา ดาเนินการ ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ อยู่ระหว่างดาเนินการ ของคณะกรรมการ ร่วม ป.ป.ช. ฟ้องเอง อัยการ สูงสุด ฟ้องแล้ว ศาล พิพากษาแล้ว เรื่อง อื่นๆ จำนวน ผลการ ติดตาม คดี ยกฟ้อง ลงโทษ 2560 205 17 2 6 139 10 119 6 205 2561 369 3 2 21 337 10 246 6 369 2562 265 21 17 12 212 4 109 3 265 ป.อาญา 65 % พ.ร.บ. ฮั้ว 18% พ.ร.บ. 2502 3% ก.ม.อื่นๆ 5 % ยกฟ้อง 9% ศาลชั้นต้น ป.อาญา พ.ร.บ.ฮั้ว พ.ร.บ.2502 ก.ม.อื่นๆ ยกฟ้อง ป.อาญา 59 % พ.ร.บ.ฮั้ว 18% พ.ร.บ. 2502 4 % ก.ม.อื่นๆ 7 % ยกฟ้อง 12 % ศาลอุทธรณ์ ป.อาญา พ.ร.บ.ฮั้ว พ.ร.บ.2502 ก.ม.อื่นๆ ยกฟ้อง ร่าง รายงานประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 108 - หารือไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำนวน 160 เรื่อง - หารือไม่ฎีกาคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำนวน 116 เรื่อง ผลคำพิพากษาที่อัยการสูงสุดหารือคณะกรรมการ ป.ป.ช. 4. คดีถึงที่สุดแล้ว ในปีงบประมาณ 2564 มีจำนวนทั้งหมด 57 เรื่อง 5. คดีที่อัยการสูงสุดฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปีงบประมาณ 2564 ปี พ.ศ. ที่ชี้มูล ความผิด ชี้มูล ความผิด ทางอาญา (เรื่อง) อัยการสูงสุดอยู่ ระหว่าง พิจารณา ดาเนินการ ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ อยู่ระหว่างดาเนินการ ของคณะกรรมการ ร่วม ป.ป.ช. ฟ้องเอง อัยการ สูงสุด ฟ้องแล้ว ศาล พิพากษาแล้ว เรื่อง อื่นๆ จำนวน ผลการ ติดตาม คดี ยกฟ้อง ลงโทษ 2560 205 17 2 6 139 10 119 6 205 2561 369 3 2 21 337 10 246 6 369 2562 265 21 17 12 212 4 109 3 265 ป . อาญา 65 % พ . ร . บ . ฮั้ว 18 % พ . ร . บ . 2502 3 % ก . ม . อื่นๆ 5 % ยกฟ้อง 9 % ศาลชั้นต้น ป . อาญา พ . ร . บ . ฮั้ว พ . ร . บ . 2502 ก . ม . อื่นๆ ยกฟ้อง ป . อาญา 59 % พ . ร . บ . ฮั้ว 18 % พ . ร . บ . 2502 4 % ก . ม . อื่นๆ 7 % ยกฟ้อง 12 % ศาลอุทธรณ์ ป . อาญา พ . ร . บ . ฮั้ว พ . ร . บ . 2502 ก . ม . อื่นๆ ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ผลค�าพิพากษาที่อัยการสูงสุดหารือคณะกรรมการ ป.ป.ช. 4. คดีถึงที่สุดแล้ว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจ�านวนทั้งหมด 57 เรื่อง 5. คดีที่อัยการสูงสุดฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ปี พ.ศ. ที่ชี้มูล ความผิด ชี้มูล ความผิด ทางอาญา (เรื่อง) อัยการสูงสุด อยู่ระหว่าง พิจารณา ด�าเนินการ ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ อยู่ระหว่างด�าเนินการ ของคณะกรรมการ ร่วม ป.ป.ช. ฟ้องเอง อัยการ สูงสุด ฟ้องแล้ว ศาลพิพากษาแล้ว เรื่องอื่น ๆ จ�านวนผล การติดตาม คดี ยกฟ้อง ลงโทษ 2560 205 17 2 6 139 10 119 6 205 2561 369 3 2 21 337 10 246 6 369 2562 265 21 17 12 212 4 109 3 265 2563 433 241 34 20 137 - 50 1 433 2564 929 210 27 8 12 - - - 257 หมายเหตุ : ข้อมูลติดตามคดี ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ก.ม.อื่น ๆ ก.ม.อื่น ๆ ก.ม.อื่น ๆ ก.ม.อื่น ๆ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 116 ทั้งนี้ จากการติดตามผลการด�าเนินคดีที่อัยการสูงสุดฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. และอยู่ระหว่างการด�าเนินการบังคับคดีตามค�าพิพากษา โดยมีคดีที่น่าสนใจและมีมูลค่าความ เสียหายสูง คือ คดีระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ และนายสุธรรม มลิลา จ�าเลย ซึ่งศาลฎีกา มีค�าพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ให้จ�าเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 151 (เดิม) จ�าคุก 9 ปี พยานหลักฐานที่จ�าเลยน�าเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจ�าคุก 6 ปี และให้จ�าเลยช�าระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,030,343,367.97 บาท นับแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 จนกว่าจ�าเลยจะช�าระเสร็จให้แก่บริษัท ทีโอที จ�ากัด (มหาชน) 6. ด้านการด�าเนินคดีเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการยื่นค�าร้องต่อศาล กรณีผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดง ที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น ด�าเนินการยื่นค�าร้องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวนทั้งสิ้น 17 เรื่อง ดังนี้ ล�าดับ รายละเอียด จ�านวน (เรื่อง) 1 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง 15 2 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 2 คดีจงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน ที่ด�าเนินกระบวนพิจารณาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง จ�านวน 15 เรื่อง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ที่ ผู้ถูกกล่าวหา ต�าแหน่ง 1 นางค�าแหวน นิกรเทศ รองนายกเทศมนตรีต�าบลปากคาด จังหวัดบึงกาฬ 2 นายด�าเนิน แสงงาม รองนายกเทศมนตรีต�าบลบางเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 3 นายสมควร นามนตรี รองนายกเทศมนตรีต�าบลชนบทวิบูลย์ จังหวัดขอนแก่น 4 นายสมาน บุญข�า รองนายกเทศมนตรีต�าบลตลาดเขต จังหวัดกาญจนบุรี 5 นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 6 นายเอ ถนอมมิตรวัฒนา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี 7 นายธีรยุทธ เซี่ยงฉิน รองนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลทับใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8 นายโกเวช เจียรบุตร รองนายกเทศมนตรีต�าบลน�้าน้อย จังหวัดสงขลา 9 นายวรพจน์ ทับพุ่ม นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลหนองปลิง จังหวัดนครสวรรค์ 10 นายสามารถ หมวดมณี รองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง 11 นายบุญโฮม กุลวงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลดงครั่งน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด 12 นายชัยวัฒน์ อินอนงค์ รองนายกเทศมนตรีต�าบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี 13 นายเสนัด อุดมทรัพย์ นายกเทศมนตรีต�าบลเมืองบัว จังหวัดร้อยเอ็ด 14 นายวิชัย รอดเปีย สมาชิกสภาเมืองพัทยา 15 นายสวัสดิ์ ค�ามาตย์ นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลประชาพัฒนา จังงหวัดมหาสารคาม ร่าง รายงานประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 109 2563 433 241 34 20 137 - 50 1 433 2564 929 210 27 8 12 - - - 257 ***หมายเหตุ ข้อมูลติดตามคดี ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้จากการติดตามผลการดาเนินคดีที่อัยการสูงสุดฟ้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ อยู่ระหว่างการดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษา โดย มี คดี ที่ น่าสนใจและมีมูลค่าความเสียหาย สูง คือ คดีระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ และนายสุธรรม มลิลา จาเลย ซึ่งศาลฎีกามีคาพิพากษา ถึงที่สุดเ มื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ให้จาเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 151 (เดิม) จาคุก 9 ปี พยานหลักฐานที่จาเลยนาเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุ บรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจาคุก 6 ปี และให้จาเลยชาระเงิน 46,855,463,990.9 2 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,030,343,367.97 บาท นับแต่ วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จให้แก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) 6 . ด้านการดำเนินคดีเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดาเนินการยื่นคาร้องต่อศาล กรณีผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพ ฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่ง ทรัพย์สินนั้น ดำเนินการยื่นคำร้องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวนทั้งสิ้น 17 เรื่อง ดังนี้ ลำดับ รายละเอียด จานวน (เรื่อง) 1 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 15 2 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 2 คดี จงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน ที่ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 15 เรื่อง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ที่ ผู้ถูกกล่าวหา ตาแหน่ง 1 นางคำแหวน นิกรเทศ รองนายกเทศมนตรีตาบลปากคาด จังหวัดบึงกาฬ 2 นายดำเนิน แสงงาม รองนายกเทศมนตรีตาบลบางเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 3 นายสมควร นามนตรี รองนายกเทศมนตรีตาบลชนบทวิบูลย์ จังหวัดขอนแก่น 4 นายสมาน บุญขำ รองนายกเทศมนตรีตาบลตลาดเขต จังหวัดกาญจนบุรี 5 นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 6 นายเอ ถนอมมิตรวัฒนา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี 7 นายธีรยุทธ เซี่ยงฉิน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทับใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8 นายโกเวช เจียรบุตร รองนายกเทศมนตรีตาบลน้ำน้อย จังหวัดสงขลา 9 นายวรพจน์ ทับพุ่ม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลิง จังหวัดนครสวรรค์ 10 นายสามารถ หมวดมณี รองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง 11 นายบุญโฮม กุลวงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดงครั่งน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด 12 นายชัยวัฒน์ อินอนงค์ รองนายกเทศมนตรีตาบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 117 คดีจงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน ที่ด�าเนินกระบวนพิจารณาในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จ�านวน 2 เรื่อง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ ผู้ถูกกล่าวหา ต�าแหน่ง 1 พลต�ารวจโท พลศักดิ์ บรรจงศิริ รองจเรต�ารวจ (สบ.7) 2 นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร และผู้ตรวจราชการกระทรวงส�านักงานปลัด กระทรวงการคลัง หมายเหตุ “การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีค�าพิพากษา ของศาลอันถึงที่สุด” 7. คดีอาญาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กรณีศาลมีค�าพิพากษาถึงที่สุดให้ทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดินในคดีร�่ารวยผิดปกติ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ชื่อจ�าเลย มูลค่า (บาท) ปีที่ชี้มูลความผิด ปีที่ศาลมีค�าพิพากษา นายสาธิต รังคสิริ 655,999,420 28 ตุลาคม 2559 19 สิงหาคม 2564 8. คดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 จ�านวน 3 คดี (1) ศาลฎีกา คดีหมายเลขด�าที่ คมจ. 1/2564 ระหว่ํางคณะกรรมกําร ป.ป.ช. ผู้ร้อง นํางสําวปํารีณํา ไกรคุปต์ ผู้คัดค้ําน กรณีกล่าวหา นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี กระท�าความผิด มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 22/2564 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วมีมติว่า การกระท�าของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดฐานกระท�าการอันเป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และฐานกระท�าการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการด�ารงต�าแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27 วรรคสอง และมีมติให้เสนอเรื่องนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี กระท�าการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามฐานความผิดดังกล่าว วันที่ยื่นค�าร้องต่อศาลฎีกา วันที่ 16 มีนาคม 2564 วันที่ศาลฎีกามีค�าสั่งรับค�าร้อง วันที่ 25 มีนาคม 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 118 (2) ศาลฎีกา คดีหมายเลขด�าที่ คมจ. 2/2564 ระหว่ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. ผู้ร้อง นํางสําวธณิกํานต์ พรพงษําโรจน์ ผู้คัดค้ําน กรณีกล่าวหา นางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 7 (บางซื่อ - ดุสิต) กรุงเทพมหานคร ใช้ผู้อื่นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติในการพิจารณาและลงมติ ร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. … มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 81/2564 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วมีมติว่า การกระท�าของนางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็น เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในต�าแหน่ง หรือหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดฐานกระท�าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ฐานไม่รักษาไว้ ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่นหรือมีพฤติการณ์ ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ต�าแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ฐานกระท�าการอันเป็นการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ฐานกระท�าการใดที่ก่อให้ เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการด�ารงต�าแหน่ง และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มก�าลัง ความสามารถและยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยค�านึงถึงผลประโยชน์ของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการ ตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 17 และข้อ 21 วันที่ยื่นค�าร้องต่อศาลฎีกา วันที่ 16 กรกฎาคม 2564 วันที่ศาลฎีกามีค�าสั่งรับค�าร้อง วันที่ 11 สิงหาคม 2564 (3) ศาลฎีกา คดีหมายเลขด�าที่ คมจ. 3/2564 ระหว่ําง คณะกรรมกําร ป.ป.ช. ผู้ร้อง นํายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ผู้คัดค้ําน กรณีกล่าวหา นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพัทลุง ใช้ผู้อื่นหรือยินยอม ให้ผู้อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติในการพิจารณาและลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ 2563 วาระที่ 2 และ 3 มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 81/2564 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนข้อเท็จจริง แล้วมีมติว่า การกระท�าของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายภูมิศิษฏ์ คงมี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนางนาที รัชกิจประการ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในต�าแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 119 ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดฐานกระท�า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ฐานไม่รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ ของชาติ ไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่นหรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ต�าแหน่ง หน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบฐานกระท�าการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับ ประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ฐานกระท�าการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ ของการด�ารงต�าแหน่ง และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มก�าลังความสามารถและยึดมั่นในความถูกต้อง ชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยค�านึงถึง ผลประโยชน์ของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ด�ารงต�าแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 17 และข้อ 21 วันที่ยื่นค�าร้องต่อศาลฎีกา วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 วันที่ศาลฎีกามีค�าสั่งรับค�าร้อง วันที่ 3 กันยายน 2564 “การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่า จะมีค�าพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด” 9. แก้ต่างคดีปกครอง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 299 เรื่อง เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางวินัย และผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้ง ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาได้รับส�านวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจ แต่งตั้งถอดถอน ผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้นจะต้องพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก โดยในการพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหา ให้ถือว่า ส�านวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นส�านวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้น แล้วแต่กรณี ตามนัย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 98 เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อด�าเนินคดีปกครอง ขอให้ศาลเพิกถอนค�าสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจ แต่งตั้งถอดถอน และขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะใช้สิทธิตามกฎหมาย เข้าเป็นคู่ความเพื่อชี้แจงข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมมาจากไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมอบหมายให้ผู้ว่าคดีด�าเนินการแก้ต่างแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 120 ล�าดับ เขตอ�านาจศาล จ�านวน (เรื่อง) 1 ศาลปกครองสูงสุด 8 2 ศาลปกครองกลาง 65 3 ศาลปกครองเชียงใหม่ 29 4 ศาลปกครองสงขลา 6 5 ศาลปกครองนครราชสีมา 16 6 ศาลปกครองขอนแก่น 27 7 ศาลปกครองพิษณุโลก 22 8 ศาลปกครองระยอง 7 9 ศาลปกครองนครศรีธรรมราช 13 10 ศาลปกครองอุดรธานี 14 11 ศาลปกครองอุบลราชธานี 52 12 ศาลปกครองเพชรบุรี 18 13 ศาลปกครองนครสวรรค์ 5 14 ศาลปกครองสุพรรณบุรี 6 15 ศาลปกครองภูเก็ต 8 16 ศาลปกครองยะลา 3 รวม 299 10. แก้ต่างคดีอาญา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 19 เรื่อง กรณีผู้ถูกกล่าวหาได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อด�าเนินคดีอาญากับคณะกรรมการ ป.ป.ช. พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมอบหมายผู้ว่าคดีด�าเนินการประสานพนักงานอัยการ เพื่อด�าเนินการแก้ต่างแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ล�าดับ เขตอ�านาจศาล จ�านวน (เรื่อง) 1 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง 1 2 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 10 3 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 1 4 ศาลจังหวัดนนทบุรี 2 5 ศาลจังหวัดล�าพูน 2 6 ศาลจังหวัดนครราชสีมา 1 7 ศาลจังหวัดอุดรธานี 2 รวม 19
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 121 2. ด้านป้องกันการทุจริต การขับเคลื่อนงานด้านป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นการด�าเนินการตามหน้าที่และ อ�านาจตามกฎหมาย ควบคู่ไปกับการตอบสนองเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ในแผนงานและโครงการต่าง ๆ ผ่านกลไก ทั้งในระดับประเทศ และระดับองค์กร โดยมีการประสานงานกับทุกภาคส่วนเพื่อให้การป้องกันการทุจริต บรรลุเป้าหมายและประสบผลส�าเร็จ การด�าเนินภารกิจด้านการป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. จะมุ่งเน้นงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบ (Impact) หรือผลลัพธ์ (Outcome) ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันมีการน�านวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมให้การท�างานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในการด�าเนินงานของส่วนงานต่าง ๆ ในภารกิจด้านการป้องกันการทุจริตจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตราส�าคัญที่ก�าหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งได้แก่ มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 35 นอกจากนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ยังอยู่ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตามแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนั้น ในการด�าเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตจะเริ่มตั้งแต่การเฝ้าระวัง การปลูกฝัง การป้องกัน ตลอดจนการแก้ไข โดยมุ่งเน้น การปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริต การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ การเสริมสร้าง คุณธรรม ความโปร่งใส และหลักธรรมาภิบาลแก่หน่วยงานภาครัฐ การก�าหนดมาตรการ ความเห็น ข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการทุจริต ตลอดจนการเฝ้าระวังสถานการณ์การทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภารกิจป้องกันการทุจริตมีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ซึ่งสามารถจ�าแน ก ตามหน้าที่และอ�านาจตามกฎหมาย และจ�าแนกตามเป้าหมายและตัวชี้วัดตามแผนงานใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. มาตรา 32 : การเสนอ มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ - การลดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ - การส่งเสริมให้ภาครัฐมีคุณธรรม ความโปร่งใส และเป็นไปตามหลักธรรมาธิบาล 2. มาตรา 33 : การสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต - การส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต - ประชาชนมีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริต 3. มาตรา 35 : การด�าเนินการกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการด�าเนินการอย่างใดในหน่วยงานของรัฐ อันอาจน�าไปสู่การทุจริตหรือส่อว่ามีการทุจริต 4. การด�าเนินการเพื่อการยกระดับค่าคะแนน ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทย โดยมีรายละเอียดผลการด�าเนินงาน ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 122 1. มาตรา 32 : การเสนอ มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ 1.1 การลดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 1.1.1 การเสนอมาตรการ/ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต (1) มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทน เพื่อโอกาส ในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 รับทราบมาตรการฯ ตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 3 หน่วยงาน ได้แก่ ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ข้อเสนอแนะต่อส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และข้อเสนอแนะ ต่อกระทรวงศึกษาธิการ ในการนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการตามมาตรการระยะสั้นเร่งด่วน โดยการลงพื้นที่ สุ่มตรวจสอบ ติดตาม และสังเกตการณ์การด�าเนินการรับนักเรียนของสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลาการรับนักเรียนเข้าเรียนของสถานศึกษาเป็นประจ�าทุกปี ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ ตรวจสอบ ติดตาม และสังเกตการณ์การด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 พบปัญหาเกี่ยวกับนโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน ในประเด็นที่เกี่ยวกับการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณา การรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ กลายเป็นช่องทางที่อาจให้มีการกระท�าการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา รวมถึงเป็นช่องว่างที่อาจให้มีการเสนอผลประโยชน์ จากผู้ปกครองนักเรียนและผู้มีอ�านาจ ประกอบกับ พบปัญหาในประเด็นเกี่ยวกับการรับนักเรียนความสามารถพิเศษ ซึ่งการก�าหนดคุณสมบัติของนักเรียนความสามารถพิเศษ ยังขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยอาจส่งผลต่อขั้นตอน/ กระบวนการรับนักเรียนที่ต้องเป็นไปอย่างเสมอภาค โปร่งใส ในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทน เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ จึงมีข้อเสนอแนะ เพิ่มเติมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ด้าน สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบายการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ควรยกเลิกการรับนักเรียนด้วยเงื่อนไข พิเศษทุกข้อ เพื่อเป็นการป้องกันการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนใน สถานศึกษา กรณีมีความจ�าเป็นต้องก�าหนดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติม นอกเหนือจาก 4 ข้อเดิม สถานศึกษาต้องมี การก�าหนดหลักเกณฑ์ หรือนิยามของเงื่อนไขพิเศษในแต่ละข้อให้ชัดเจน รวมถึงก�าหนดรายละเอียดคุณสมบัติ การสมัครเข้าเรียนของนักเรียนเงื่อนไขพิเศษให้ชัดเจน และควรมีความเข้มงวดในการก�าหนดหลักเกณฑ์ที่นอกเหนือ จาก 4 ข้อเดิม มิให้เข้าหลักเกณฑ์เดิมที่ยกเลิกไป เป็นต้น 2. ด้านวิธีปฏิบัติในการรับนักเรียน การแต่งตั้งคณะกรรมการการรับนักเรียน ควรให้ หน่วยงาน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมทุกฝ่าย และควรมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนคณะกรรมการรับ นักเรียนเป็นประจ�าทุกปี เพื่อเป็นการถ่วงดุลอ�านาจและตรวจสอบการด�าเนินการรับนักเรียนให้เป็นไปอย่าง ยุติธรรมและโปร่งใส รวมถึงกระบวนการจัดท�าและคัดเลือกข้อสอบ ควรมีการจัดตั้งเป็นคณะกรรมการเพื่อให้เกิด ความเป็นธรรมและโปร่งใส ประกอบกับการออกข้อสอบหรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ควรมีการควบคุมให้เป็นความลับ และมีความเป็นธรรม เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบของผู้สมัครเข้าศึกษา เป็นต้น 3. ด้านการก�าหนดมาตรการป้องกันการทุจริต ควรน�ามาตรการป้องกันการทุจริต ในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา ไปใช้กับสถานศึกษาอื่น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 123 นอกจากสถานศึกษาในสังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น สถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สถานศึกษาเอกชน เป็นต้น 4. ด้านข้อเสนอของสถานศึกษา ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรก�าหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บุคลากร ที่มีหน้าที่ในการรับนักเรียนถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม และควรพัฒนาระบบการรับสมัคร นักเรียนออนไลน์ ให้เป็นรูปแบบเดียวกัน รวมถึงควรมีการประกาศห้ามไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการอื่นที่ไม่มี หน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการรับนักเรียนของโรงเรียน เพื่อป้องกันการใช้อ�านาจหน้าที่ในต�าแหน่ง เพื่อฝาก นักเรียนเข้าเรียนในสถานศึกษา และมีการก�าหนดบทลงโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อก�าหนดดังกล่าวอย่างเข้มงวด ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 31/2564 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว แล้วมีมติเห็นชอบ ให้แจ้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการตรวจสอบ ติดตาม การด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปยังส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาและแจ้งเวียนหนังสือก�าชับไปยัง หน่วยงานในสังกัดเพื่อให้ด�าเนินการตามข้อเสนอแนะของมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา ต่อไป (2) การเรียกเก็บเงินบ�ารุงการศึกษาและเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน รวมถึงการเปิด หลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและหลักสูตรห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหา กรณีการเรียกเก็บเงินบ�ารุงการศึกษา และเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน รวมถึงการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและหลักสูตร ห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ โดยผิดกฎหมาย ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ศึกษา วิเคราะห์ เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินบ�ารุงการศึกษาและเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน รวมถึงการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและหลักสูตรห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อจัดท�ามาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต ต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในการนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงิน บ�ารุงการศึกษาและเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน รวมถึงการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ และหลักสูตรห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยศึกษากฎหมาย ประกาศ และค�าสั่งที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสภาพปัญหา และข้อร้องเรียน รวมถึงบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการด�าเนินการเพื่อเรียกเก็บเงินบ�ารุงการศึกษา และเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน ประกอบกับ การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและหลักสูตร ห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจากการศึกษาพบว่า กระบวนการด�าเนินการดังกล่าว อาจจะเกิดผลกระทบแก่ประชาชนทั่วไป อาทิ การเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการศึกษาที่เพิ่มขึ้นจากปกติ โอกาสที่เสมอกันของบุคคลในการเข้าถึงการจัดการเรียนการสอน ที่นอกเหนือหรือต่างไปจากเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปที่รัฐจัดให้ ทั้งนี้ จึงมีข้อเสนอแนะให้ส�านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินบ�ารุงการศึกษาและหลักเกณฑ์
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 124 การเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน และหลักเกณฑ์การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและหลักสูตร ห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อป้องกันการร้องเรียนกรณีดังกล่าว รวมถึงพิจารณาให้มีการศึกษาวิจัย เพื่อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ที่จะได้รับ ปัญหา และผลกระทบ จากกรณีการเปิดห้องเรียนพิเศษดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา และให้เกิดความเสมอภาค โดยเด็กที่เรียนดีมีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สามารถเรียนห้องเรียนพิเศษได้ โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ประกอบกับ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล�้าทางการศึกษาในภาพรวมของประเทศ ต่อไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 31/2564 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติเห็นชอบ ให้มีหนังสือรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงิน บ�ารุงการศึกษาและเรียกเก็บเงินค่าปรับพื้นฐาน รวมถึงการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ และหลักสูตรห้องเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ของสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การประกาศหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ขอให้ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย (3) การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักโรงแรม ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 26/2563 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 พิจารณาเรื่องร้องเรียน กรณีเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กรณีไม่เรียกเก็บเงินภาษีผู้เข้าพักโรงแรมให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยพบว่า โรงแรมในจังหวัดหลายแห่ง ไม่มีการน�าส่งค่าธรรมเนียมของผู้พักโรงแรมเป็นเวลากว่า 10 ปี ซึ่งเมื่อประมวลเป็นตัวเงินมีมูลค่าร่วม 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ศึกษา วิเคราะห์ เกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดจากผู้พักโรงแรม เพื่อจัดท�ามาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต ต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในการนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักโรงแรม โดยศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อบัญญัติ และ ประกาศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสภาพปัญหา และข้อร้องเรียน รวมถึงบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในการควบคุมและด�าเนินการเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด และจากการศึกษาพบว่า ในขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักในโรงแรม ปรากฏปัญหา คือ ผู้ควบคุมและจัดการโรงแรมไม่ปฏิบัติตามข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การ บริหารส่วนจังหวัดไม่ด�าเนินการเปรียบเทียบปรับคดีละเมิดข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นปัญหา ในทางปฏิบัติของขั้นตอนกระบวนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักในโรงแรม ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อย และเป็นกรณีที่อาจไม่ต้องเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ จึงมีข้อเสนอแนะ ให้กระทรวงมหาดไทย แจ้งเวียนหนังสือก�าชับไปยังหน่วยงานในสังกัดให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ละเมิดข้อบัญญัติ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักในโรงแรม อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการร้องเรียนการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพิ่มประสิทธิภาพ ในการจัดเก็บรายได้ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน รวมถึงป้องกันมิให้ภาษีของรัฐรั่วไหล คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 31/2564 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว แล้วมีมติเห็นชอบ ให้ประสานไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาและ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 125 แจ้งเวียนหนังสือก�าชับไปยังหน่วยงานในสังกัดบังคับใช้กฎหมายกับผู้ละเมิดข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบ�ารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดจากผู้พักในโรงแรมอย่างเคร่งครัด ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท 0808.3/ว 4115 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือเวียนแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ให้แจ้งก�าชับองค์การบริหารส่วนจังหวัด บังคับใช้กฎหมายกับผู้ละเมิดข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด จากผู้พักในโรงแรมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการร้องเรียนการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน รวมถึงป้องกัน มิให้ภาษีของรัฐรั่วไหล ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ (4) มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ จากปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหา การบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 135/2564 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ พร้อมทั้งให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อ คณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ มีรายละเอียดของข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้ 1) ด้านการจัดที่ดินท�ากินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) : เสนอให้ คทช. ควรบูรณาการหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดท�าระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ประกอบด้วย ข้อมูลการถือครองที่ดินและท�าประโยชน์ในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งกรณีที่มีเอกสารสิทธิ และไม่มีเอกสารสิทธิ และข้อมูลการยื่นค�าร้องขอเข้าท�าประโยชน์ในที่ดินของรัฐทุกประเภท ให้มีตรวจสอบ และคัดกรองผู้มีคุณสมบัติด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลบัตรประจ�าตัวประชาชน 13 หลักกับฐานข้อมูลระบบสวัสดิการแห่งรัฐ และข้อมูลการถือครองที่ดินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการ สร้างการมีส่วนร่วม และให้มีการตรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงที่ดินของรัฐจากการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ ที่ดินอย่างสม�่าเสมอทุกปี 2) ด้านการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ : รัฐบาลควรให้การสนับสนุนและเร่งรัดการ ด�าเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) เพื่อให้การ ด�าเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสัมฤทธิผล สามารถบูรณาการแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐให้ชัดเจนและ ไม่ทับซ้อนกัน และควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ/คณะท�างานเพื่อศึกษาปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขเกี่ยวกั บ การด�าเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ ในบริเวณพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ 3) ด้านการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกที่ดินของรัฐ ประกอบด้วยข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับ 3.1) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย 3.2) มาตรการด้านการบูรณาการและส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 4) ด้านการอนุญาตให้เข้าท�าประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ : มีข้อเสนอแนะสรุปว่า กรณีการเข้าท�าประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ทุกประเภทของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ว่าด้วยการป่าไม้ โดยจะต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะเข้าด�าเนินการได้ หากปรากฏว่า ยังมีส่วนราชการและ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 126 หน่วยงานของรัฐใด เข้าท�าประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการปฏิบัติโดยมิชอบ ตามกฎหมายว่าด้วย การป่าไม้ ให้กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ด�าเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ส�าหรับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่และอ�านาจในการอนุญาตให้เข้าท�าประโยชน์ ที่ดินป่าไม้ทุกประเภท ควรจัดท�าแผนที่แสดงความเหมาะสมการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ โดยการจ�าแนกพื้นที่ต่าง ๆ (Zoning) ตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ ยังเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณา ปรับปรุงแก้ไขระเบียบการอนุญาตให้เข้าท�าประโยชน์ที่ดินป่าไม้ทุกประเภท และให้ภาคประชาชน ชุมชน ผู้น�าท้องที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการติดตามเงื่อนไขการอนุญาตให้เข้าท�าประโยชน์ที่ดินป่าไม้ด้วย สามารถสืบค้น/ดาวน์โหลดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการ/ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ได้ที่เว็บไซต์ส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม หัวข้อ “มาตรการป้องกันการทุจริต” 1.1.2 การติดตามมาตรการ/ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต (1) ผลการติดตามมาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจ�าน�าข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 รับทราบมาตรการ ป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจ�าน�าข้าวและการระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ติดตามผลการด�าเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอเรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการท�าสัญญาซื้อขายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ ต่อคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ว่า เนื่องจากแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและท�าสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ เป็นการก�าหนดหลักการในภาพรวม โดยไม่ได้ระบุเรื่องการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด�าเนินการ และไม่ได้ ระบุถึงการจัดหาและส่งมอบข้าว ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลไม่ได้มีข้าวในสต๊อกแล้ว การจัดหาและส่งมอบข้าว จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนที่มีศักยภาพ มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการส่งออกข้าว ด�าเนินการ ดังนั้น เพื่อให้การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สามารถด�าเนินการได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับการค้าข้าว ของประเทศในปัจจุบัน จึงมีความจ�าเป็นต้องเพิ่มเติมรายละเอียดแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและท�าสัญญา ซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้มีความชัดเจนและเป็นไปตามกฎระเบียบกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พณ 0305/2921 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2563 จัดส่งข้อมูลผลการด�าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจ�าน�าข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มายัง ส�านักงาน ป.ป.ช. และส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 139/2563 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 เพื่อรับทราบผลการติดตามการด�าเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว (2) ผลการติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ ตอบแทน เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 รับทราบมาตรการ ป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมาย ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 119 ทุกประเภท ควรจัดทาแผนที่แสดงความเหมาะสมการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ โดยการจาแนกพื้นที่ต่าง ๆ ( Zoning ) ตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ ยังเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาปรับปรุงแก้ไข ระเบียบการอนุญาตให้เข้าทาประโยชน์ที่ดินป่าไม้ทุกประเภท และให้ ภาคประชาชน ชุมชน ผู้นำท้องที่ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม ใน การติดตามเงื่อนไขการอนุญาตให้เข้าทาประโยชน์ที่ดิ นป่าไม้ ด้วย สามารถ สืบค้น/ ดาวน์โหลดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการ/ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ได้ที่เว็บไซต์สำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม หัวข้อ “ มาตรการป้องกันการทุจริต ” 1.1.2 การติดตามมาตรการ/ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต (1) ผลการติดตามมาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนาข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สืบเนื่องจาก คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อ วันที่ 22 มกราคม 2562 รับทราบ มาตรการ ป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจานาข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐ ต่อรัฐ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไป พิจารณาดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สานักงาน ป.ป.ช. ได้ติดตามผลการดาเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า กระ ทรวงพาณิชย์ ได้เสนอเรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทาสัญญาซื้อขาย ข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ต่อคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ว่า เนื่องจากแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและทาสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่คณ ะรัฐมนตรีรับทราบ เป็นการกาหนดหลักการในภาพรวม โดยไม่ได้ระบุเรื่องการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการ และไม่ได้ ระบุถึงการจัดหาและส่งมอบข้าว ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลไม่ได้มีข้าวในสต๊อกแล้ว การจัดหาและส่งมอบข้าว จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนที่มี ศักยภาพ มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการส่งออกข้าว ดำเนินการ ดังนั้น เพื่อให้การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สามารถดาเนินการได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับการค้าข้าว ของประเทศในปัจจุบัน จึงมีความจาเป็น ต้องเพิ่มเติมรายละเอียดแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและทาสัญญา ซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้มีความชัดเจนและเป็นไปตามกฎระเบียบกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พณ 0305/2921 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2563 จัดส่งข้อมูลผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 เรื่อง มาต รการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจานาข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มายัง สานักงาน ป.ป.ช. และ สานักงาน ป.ป.ช. ได้รายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 139/2563 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 เพื่อรับทราบผลการติดตามการดำเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว (2) ผลการติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ ตอบแทน เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 รับทราบมาตรการ ป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอ บหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 3 หน่วยงาน ได้แก่ ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ข้อเสนอแนะต่อ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และข้อเ สนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ ในการนี้ สานักงาน ป.ป.ช. ได้ดาเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา โดย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 127 โดยมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 3 หน่วยงาน ได้แก่ ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ข้อเสนอแนะต่อ ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ ในการนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อการป้องกันและ แก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ด�าเนินการร่วมกับส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงศึกษาธิการ ในการลงพื้นที่ สุ่มตรวจสอบการด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ของสถานศึกษาแต่ละแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานศึกษาหรือโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการศึกษาข้อมูลตามแนวทาง การรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และจัดท�าแนวทาง การตรวจสอบ ติดตาม และสังเกตการณ์การด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามมาตรการป้องกันการทุจริต ในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อประโยชน์และอ�านวยความสะดวกให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ประกอบกับ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อสั่งการไปยัง ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด พิจารณาด�าเนินการตรวจสอบ ติดตาม และสังเกตการณ์ฯ เพื่อเป็นการด�าเนินการป้องปรามปัญหาการทุจริตในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง และส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนปฏิบัติการในพื้นที่ทั่วประเทศ ได้ด�าเนินการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ติดตาม และสังเกตการณ์การด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียน ในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน “จ�านวนรวมทั้งสิ้น 214 โรงเรียน” โดยมีข้อสังเกต จากการลงพื้นที่ตรวจติดตามเกี่ยวกับการรับนักเรียน ประกอบด้วย 3 ประเด็น ดังนี้ 1. การแจ้งค่าใช้จ่ายและรายละเอียดการเก็บเงินบ�ารุงการศึกษา พบว่า โรงเรียนบางแห่ ง ไม่มีการแจ้งรายละเอียดการเก็บเงินบ�ารุงการศึกษาไว้ในประกาศการรับนักเรียน รวมถึงมีการเก็บค่าสมาคม ผู้ปกครองนอกเหนือจากค่าบ�ารุงการศึกษา ซึ่งไม่อยู่ในอ�านาจหน้าที่ความรับผิดชอบในการเรียกเก็บของโรงเรียน จึงมีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการด�าเนินการรับนักเรียนดังกล่าว 2. การรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ พบว่า โรงเรียนบางแห่งมีการรับนักเรียน ความสามารถพิเศษ โดยก�าหนดหลักเกณฑ์ที่มีความหมายกว้าง และขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณา ความสามารถพิเศษ รวมถึงไม่ได้ประกาศหลักเกณฑ์ก่อนพิจารณาให้ชัดเจน เช่น นักเรียนประเภทความสามารถ พิเศษ ด้านคุณธรรมจริยธรรมจิตอาสา เป็นต้น 3. การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่มีการก�าหนดเงื่อนไขพิเศษ เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 ข้อ อาทิ เป็นนักเรียนที่อยู่ในอุปการะของผู้ที่ท�าคุณประโยชน์ให้กับโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นนักเรียนที่อยู่ในการดูแลของผู้มีส่วนร่วม ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อโรงเรียน (ก�าหนดโควตา คณะกรรมการสถานศึกษา ชมรมผู้ปกครอง และศิษย์เก่า) เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเทศบาล (นายกเทศมนตรีฯ เป็นผู้พิจารณา) เป็นนักเรียนที่อยู่ในอุปการะของส่วนราชการ ที่เป็นเครือข่ายความร่วมมือสนับสนุนโรงเรียน เป็นนักเรียนจากโครงการพระราชด�าริ เป็นบุตรของอาจารย์ผู้สอน ในสถาบันอุดมศึกษา เป็นบุตรของข้าราชการต�ารวจ สถานีต�ารวจในพื้นที่ เป็นต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 31/2564 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว แล้วมีมติเห็นชอบให้แจ้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการตรวจสอบ ติดตาม การด�าเนินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 128 ไปยังส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาและแจ้งเวียนหนังสือก�าชับไปยัง หน่วยงานในสังกัดเพื่อให้ด�าเนินการตามข้อเสนอแนะของมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา ต่อไป (3) ผลการด�าเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ 3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับ คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ 3 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้ส�านักงาน ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาด�าเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย แต่จากการพิจารณาความเห็นของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง พบว่า เป็นเพียงความเห็นที่เกี่ยวข้องต่อข้อเสนอแนะฯ ระยะที่ 3 ว่าเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่ การแจ้งว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการด�าเนินการที่ส่งผลต่อการยกระดับคะแนน CPI แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความชัดเจนในการด�าเนินการเพื่อยกระดับคะแนน CPI มีเพียงการด�าเนินการ ตามพระราชบัญญัติการอ�านวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และเนื่องจาก การประสานงานเพื่อยกระดับคะแนน CPI มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงาน เช่น หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ อนุญาต หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนภาคเอกชนและภาคประชาชน จึงอาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) จึงเห็นควรมีการพัฒนาและน�าเครื่องมือดังกล่าวมาประเมิน ความโปร่งใสของประเทศไทย โดยให้มีประเด็นการประเมินที่สอดคล้องกับการประเมินคะแนน CPI ซึ่งจะช่วย ให้การด�าเนินการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 31/2564 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติรับทราบรายงานผลการติดตามการด�าเนินการ ดังกล่าว ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการจัดท�าแผน เพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต เพื่อบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม ต่อไป (4) ผลการด�าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อด�าเนินการ จัดระเบียบสายสื่อสาร และอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อด�าเนินการ จัดระเบียบสายสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้ส�านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การด�าเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตาม ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ติดตามผลการด�าเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ดังกล่าว และเห็นว่า ควรมีการติดตาม (ร่าง) แผนการปฏิบัติการด้านการจัดระเบียบสายสื่อสาร ระยะ 7 ปี (พ.ศ. 2563 - 2569) ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับส�านักงาน กสทช. และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจัดท�าขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการด�าเนินการตามข้อเสนอแนะฯ มีหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน อีกทั้งยังครอบคุลมพื้นที่ทั่วประเทศ จึงเห็นควรส่งข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งผลการพิจารณาให้ความเห็น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปยังส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เพื่อด�าเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 55/2564 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 มีมติรับทราบรายงานผลการติดตามการด�าเนินการ ดังกล่าวแล้ว
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 129 (5) ผลการด�าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ กรณีศึกษา กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 รับทราบและเห็นชอบข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการทุจริตการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมของกระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรณีศึกษากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาด�าเนินการให้เป็นไปตาม ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท�าแนวทางการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการด�าเนินการ ตามข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยมีหนังสือเพื่อขอทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการด�าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน ส�านักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการติดตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ ส�าหรับการผลักดันในระดับ พื้นที่นั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ได้พิจารณาด�าเนินการตามคู่มือแนวทาง การผลักดันและบูรณาการติดตามข้อเสนอแนะฯ ตามความเหมาะสมตามบริบทพื้นที่ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 144/2564 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 มีมติรับทราบรายงานผลการติดตามการด�าเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้ว (6) ผลการด�าเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐกระท�าการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจ�าและทัณฑสถาน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 รับทราบมาตรการเพื่อป้องกัน มิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจ�าและทัณฑสถานของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม ส�านักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ส�านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน�ามาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขาย ยาเสพติดในเรือนจ�าและทัณฑสถาน ไปถือปฏิบัติหรือด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ติดตามผลการด�าเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว สรุปว่า กรมราชทัณฑ์ มีค�าสั่งที่ 376/2564 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2564 แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจ�า โดยคณะกรรมการ ดังกล่าว ได้จัดท�าแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขาย ยาเสพติดในเรือนจ�า และกรมราชทัณฑ์ได้มีการประกาศใช้แผนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 144/2564 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 มีมติรับทราบรายงานผลการติดตามการด�าเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าวแล้ว 1.2 การส่งเสริมให้ภาครัฐมีคุณธรรม ความโปร่งใส และเป็นไปตามหลักธรรมาธิบาล 1.2.1 การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลแก่หน่วยงานภาครัฐ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเรื่องธรรมาภิบาลที่เท่าทัน ต่อสถานการณ์ ส�าหรับใช้ในการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลให้แก่หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 130 ปกครองส่วนท้องถิ่น และด�าเนินการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ค�าปรึกษา แนะน�าแนวทางในการด�าเนินการ ตามหลักธรรมาภิบาล และให้ค�าปรึกษาแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมิน ITA ต�่ากว่าเกณฑ์ที่ก�าหนด (คะแนนผ่านเกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไป) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญในการด�าเนินการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาล ให้กับกลุ่มเป้าหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นเป็นหน่วยงานที่มีจ�านวนมาก และยังมีผลคะแนน การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสยังไม่ผ่านเกณฑ์จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 7,037 หน่วยงาน โดยได้มีการด�าเนินการ โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ (1) การพัฒนาและสนับสนุนองค์ความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการด�าเนินการ เพื่อยกระดับผลการประเมิน ITA โดยการจัดท�า 1) คู่มือแนวทางการยกระดับธรรมาภิบาลส�าหรับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น โดยมีเนื้อหาเป็นข้อแนะน�าที่ควรค�านึงในการบริหารงานและปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งข้อควรระวัง ที่ไม่ควรปฏิบัติในการบริหารหรือปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวอย่างกรณีศึกษา Do’s & Don’ts 2) คู่มือ “แนวทางการยกระดับผลการประเมิน ITA ตามแบบวัดการรับรู้ IIT และ EIT” ส�าหรับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เนื้อหาน�าเสนอตัวอย่าง/แนวทางปฏิบัติรายตัวชี้วัดของการประเมิน ITA ตั้งแต่ตัวชี้วัดที่ 1 ถึงตัวชี้วัดที่ 8 เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเกิดการสร้างการรับรู้ที่ดีของผู้มีส่วนได้เสียภายใน เช่น บุคลากร เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้เสียภายนอก 3) คู่มือแนะน�าการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Guidelines for OIT)” เนื้อหาน�าเสนอตัวอย่างการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจได้โดยง่าย ตามตัวชี้วัดที่ 9 การเปิดเผยข้อมูล และตัวชี้วัดที่ 10 การป้องกันการทุจริต ภายใต้กรอบการประเมิน ITA เพื่อให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเข้าใจหลักการและความส�าคัญของการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ นอกจากนี้ยังได้มีการน�าเอกสาร วิชาการ/คู่มือดังกล่าวมาผลิตเป็นสื่อเรียนรู้ในรูปแบบวิดีทัศน์ (Animation) และข้อมูลรูปภาพ (Infographic) เพื่อให้สามารถศึกษาและเรียนรู้ได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ได้แก่ สื่อการเรียนรู้การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ และ สื่อการเรียนรู้ส่งเสริมธรรมาภิบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุดหลักความรับผิดชอบ โดยได้ด�าเนินการเผยแพร่ องค์ความรู้ดังกล่าวให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และสามารถดาวน์โหลดได้ที่ “ระบบธรรมาภิบาลออนไลน์” www.ggde.nacc.go.th ได้มีการ ดาเนินการ โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ (1) การพัฒนาและสนับสนุนองค์ความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการ ดาเนินการเพื่อยกระดับผลการประเมิน ITA โดย การจัดทา 1) คู่มือแนวทางการยกระดับธรรมาภิบาลสาหรับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย มีเนื้อหาเป็นข้อ แนะนาที่ควรคานึงในการบริหารงานและปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้ง ข้อควรระวังที่ไม่ควรปฏิบัติในการบริหารหรือปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวอย่างกรณีศึกษา Do ’ s & Don ’ ts 2 ) คู่มือ “ แนวทางการยกระดับผลการประเมิน ITA ตามแบบวัดการรับรู้ IIT และ EIT ” สาหรับ ององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื้อหา นาเสนอตัวอย่าง/แนวทางปฏิบัติรายตัวชี้วัดของการประเมิน ITA ตั้งแต่ ตัวชี้วัดที่ 1 ถึงตัวชี้วัดที่ 8 เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการภายใน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเกิดการสร้างการรับรู้ที่ดีของผู้มีส่วนได้เสียภายใน เช่น บุคลากร เจ้าหน้าที่ของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้เสียภายนอก 3 ) คู่มือแนะนาการเปิดเผยข้อมู ลสาธารณะขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ( Guidelines for OIT )” เนื้อหา นำเสนอตัวอย่างการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจได้ โดยง่าย ตามตัวชี้วัดที่ 9 การเปิดเผยข้อมูล และตัวชี้วัดที่ 10 การป้องกันการทุจริต ภายใต้กรอบการประเมิน ITA เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ำใจหลักการและความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้ มีการนาเอกสารวิชาการ/คู่มือดังกล่าวมาผลิต เป็น สื่อเรียนรู้ ในรูปแบบ วิ ดีทัศน์ ( Animation ) และข้อมูลรูปภาพ ( Infographic ) เพื่อให้สามารถศึกษาและเรียนรู้ได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ได้แก่ สื่อการเรียน รู้การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ และสื่อการเรียนรู้ส่งเสริมธรรมาภิบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุดหลักความรับผิดชอบ โดยได้ดาเนินการ เผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และสามารถดาวน์โหลดได้ที่ “ ระบบธรรมาภิบาล ออนไลน์ ” www . ggde . nacc . go . th (2) การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลและให้คำแนะนำปรึกษา ในการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผลการประเมิน ITA ดำเนินการในรูป แบบการจัดประชุมสัมมนา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 131 (2) การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลและให้ค�าแนะน�าปรึกษา ในการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผลการประเมิน ITA ด�าเนินการในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งรูปแบบ Online และ Onsite และการลงพื้นที่ให้ค�าปรึกษารายหน่วยงาน ให้กับ กลุ่มเป้าหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ จ�านวน 7,037 หน่วยงาน ดังนี้ (2.1) การประชุมเพื่อพัฒนาธรรมาภิบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�านวน 4 ครั้ง โดยน�าเสนอองค์ความรู้ธรรมาภิบาลในเอกสารวิชาการ “แนวทางการยกระดับธรรมาภิบาลส�าหรับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น” และคู่มือ “แนวทางการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยกระดับผลการประเมิน ITA ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (Guidelines for OIT)” เพื่อให้เกิดการพัฒนา ธรรมาภิบาลและยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมกิจกรรม รวมจ�านวน 79 หน่วยงาน (2.2) การสัมมนายกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อเจาะลึกและให้ข้อแนะน�าส�าหรับการประเมิน ITA ในประเด็นการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT) ส�าหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ที่มีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านเกณฑ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 7,037 หน่วยงาน) ผ่านการด�าเนินกิจกรรมจ�านวน 9 ครั้ง ครั้งที่ 1 จัดรูปแบบ Hybrid event มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีที่เข้าร่วมสัมมนา onsite และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาค 1 เข้าร่วมการสัมมนารูปแบบ Zoom Webinar ครั้งที่ 2 - 9 จัดรูปแบบ Zoom Webinar ส�าหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาค 2 - 9 (2.3) การประชุมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมธรรมาภิบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประเด็น“การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT)” กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร และเทศบาลเมือง จ�านวน 4 ครั้ง (4 ภูมิภาค) เพื่อให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นได้เห็นความส�าคัญและมีความเข้าใจในการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะผ่านค�าแนะน�าเชิงลึก ของคณะที่ปรึกษาการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีหน่วยงานเข้าร่วมกิจกรรมรวมจ�านวน 236 หน่วยงาน (2.4) การประชุมยกระดับการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะตามหลักเกณฑ์การประเมิน ITA เพื่อติดตามประเมินผล ให้ค�าแนะน�าและค�าปรึกษาแนวทางการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะแก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ภายหลังการประกาศผลการประเมิน ITA โดยด�าเนินการรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting จ�านวน 2 ครั้ง โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร และเทศบาลเมือง ที่มีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านเกณฑ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เข้าร่วมการประชุมรวมจ�านวน 41 หน่วยงาน (3) การติดตามประเมินผลการยกระดับธรรมาภิบาลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อถอด บทเรียนการขับเคลื่อนการประเมิน ITA ภายในหน่วยงาน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและอุปสรรคของการประเมิน ITA ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะและให้ค�าปรึกษาเชิงลึกแก่หน่วยงาน เพื่อให้สามารถด�าเนินการ พัฒนาและยกระดับผลการประเมิน ITA ภายในหน่วยงานต่อไป โดยลงพื้นที่นิเทศองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการประชุมติดตามรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting รวมจ�านวน 52 หน่วยงาน (4) การสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความส�าคัญต่อ การยกระดับผลการประเมิน ITA ขับเคลื่อนร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อผลักดันให้มีการน�า ผลการประเมิน ITA เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ LPA และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้น�าขั้นตอน กระบวนการ และผลการประเมิน ITA ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ในการประเมินประสิทธิภาพขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ LPA ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ด้านที่ 5 ธรรมาภิบาล
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 132 จากการขับเคลื่อนโครงการปรากฏว่า ผลลัพธ์ภาพรวมผลการประเมิน ITA ของหน่วยงาน ภาครัฐ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผ่านเกณฑ์ จ�านวน 4,146 หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ 49.95 โดยมีจ�านวน หน่วยงานของรัฐผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา จ�านวน 3,051 หน่วยงาน (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ผ่านเกณฑ์จ�านวน 1,095 หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ 13.19) โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพรวมผลการประเมิน ITA ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มี อปท. ผ่านเกณฑ์จ�านวน 3,711 หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ 47.27 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา จ�านวน 2,898 หน่วยงาน (ปี 2563 อปท. ผ่านเกณฑ์เพียง 813 หน่วยงาน หรือร้อยละ 10.35) ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นที่หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการพัฒนา ปรับปรุงการด�าเนินงานภายในหน่วยงานให้มีคุณธรรมและความโปร่งใส ส่งผลให้แนวโน้มค่าคะแนนผลการประเมิน ITA สูงขึ้น * อปท. จ�านวน 7,850 หน่วยงาน องค์กรภาครัฐ 1. การยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) แก่หน่วยงานภาครัฐ ได้จัด “โครงการยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) แก่หน่วยงานภาครัฐ ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปตาม หลักธรรมาภิบาล เพื่อยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐให้มีระดับค่าคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่ก�าหนด โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีค่าคะแนนการ ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต�่ากว่าเกณฑ์ที่ก�าหนด จ�านวน 169 หน่วยงาน โดยจัดเป็น 3 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมสัมมนายกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) แก่หน่วยงานภาครัฐ 2) กิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและยกระดับค่าคะแนนการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) แก่หน่วยงานภาครัฐ 3) กิจกรรมติดตามเพื่อการพัฒนาและยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและ ความโปร่งใส (ITA) ในการด�าเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) * อปท . จำนวน 7,850 หน่วยงาน องค์กรภาครัฐ 1. การยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ( ITA ) แก่หน่วยงาน ภาครัฐ ได้จัด “ โครงการยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ( ITA ) แก่หน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนากำรบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ ให้เป็นไป ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐให้มีระดับค่าคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่กาหนด โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีค่าคะแนน การประเมินคุณธรรมแ ละความโปร่งใสฯ ประจาปี 2563 ต่ากว่าเกณฑ์ที่กาหนด จานวน 169 หน่วยงาน โดย จัดเป็น 3 กิจกรรม คือ 1 ) กิจกรรมสัมมนายกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ( ITA ) แก่หน่วยงานภาครัฐ 2 ) กิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและยกระดับค่าคะแนนการประเมิน คุณ ธรรมและความโปร่งใส ( ITA ) แก่หน่วยงานภาครัฐ 3 ) กิจกรรมติดตามเพื่อการพัฒนาและยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและ ความโปร่งใส ( ITA ) ในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) 2. การกากับ ติดตาม ยุทธศาสตร์ชาติที่ 2 “ยกระดับเจตจานงทางการเมืองในการต่ อต้าน การทุจริตเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติการยกระดับเจตจานงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตสานักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการ 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) สารวจและประมวลความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับเจตจานงทางการเมืองในการต่อต้าน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 133 2 การก�ากับ ติดตาม ยุทธศาสตร์ชาติที่ 2 “ยกระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้าน การทุจริตเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติการยกระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการ 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) ส�ารวจและประมวลความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้าน การทุจริตของภาคประชาชน 2) กิจกรรมเสวนาทางวิชาการเพื่อยกระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต 3) จัดท�ารายงานการยกระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตเผยแพร่ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรภาคเอกชน 1. การจัดท�าคู่มือการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชน ด�าเนินการจัดท�าคู่มือการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาล ในภาคเอกชน พิมพ์ครั้งที่ 1 จ�านวน 5,000 เล่ม โดยเป็นองค์ความรู้ส�าหรับ เอกชนที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ในการศึกษาและท�าความเข้าใจ ข้อก�าหนดในการด�าเนินงานด้านธรรมาภิบาล บรรษัทภิบาลที่มีลักษณะกฎหมาย บังคับและลักษณะที่ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่เป็นแนวปฏิบัติของหน่วยงานก�ากับ ดูแล (Regulator) ความร่วมมือทางวิชาการและกติกาสากลระหว่างประเทศที่ เกี่ยวข้อง ตลอดจนตัวอย่างการน�าไปประยุกต์ใช้และปฏิบัติส�าหรับภาคเอกชน โดยได้มีการจัดส่งคู่มือดังกล่าวไปยังหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานก�ากับดูแล ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เพื่อให้เผยแพร่ต่อไปยังหน่วยงานภาคเอกชนที่เข้ามาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงาน ของรัฐในแต่ละพื้นที่ โดยมีจ�านวนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการเผยแพร่องค์ความรู้ไปแล้ว คิดเป็นร้อยละ 93 เนื่องจากมีงบประมาณคงเหลือในโครงการจึงได้ด�าเนินการจัดพิมพ์คู่มือการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาล ในภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยพิมพ์ครั้งที่ 2 จ�านวน 1,077 เล่ม เพื่อใช้เผยแพร่ให้แก่คู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐต่อไป 2. การจัดท�าคู่มือแนวทางขยายผลการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชน สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ด� ำ เนินการจัดท�าคู่มือแนวทางขยายผลการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาล ในภาคเอกชนสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ จ�านวน 1,000 เล่ม โดยใช้เป็นแนวทาง ปฏิบัติในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาล บริษัทภิบาลภาคเอกชนในระดับพื้นที่ ส�าหรับส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด โดยมี สื่อประชาสัมพันธ์และเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารประกอบการ บรรยายในแต่ละหัวข้อ แบบฟอร์มหนังสือตัวอย่างต่าง ๆ แหล่งความรู้เพิ่มเติม ในแต่ละหัวข้อเรื่อง เป็นต้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ได้น�าแนวทางไปประยุกต์ใช้ในการบรรยายและ ให้องค์ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายภาคเอกชนในแต่ละพื้นที่ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ที่ได้รับการเผยแพร่คู่มือดังกล่าวไปแล้ว คิดเป็นร้อยละ 85 3. การจัดสัมมนาเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแนวทางขยายผลการพัฒนาและส่งเสริม ธรรมาภิบาลในภาคเอกชนสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ด�าเนินการจัดสัมมนาเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแนวทาง ขยายผลการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชนสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ผ่านทางออนไลน์โปรแกรม Zoom โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแนวทางการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในภาคเอกชนแก่เจ้าพนักงาน ป้องกันการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 - 9 และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด โดยอธิบายถึงการจัดท�า องค์กรภาคเอก 1. การจัดทำคู่ม ดาเนินการ จานวน 5, ของรัฐ ในก บรรษัทภิบ แนวปฏิบัต กติกาสากล ปฏิบัติสำห รัฐวิสาหก สำนักงาน ยังหน่วยงานภาคเอกชนที่เข้ามาเป็นคู่สัญญ การเผยแพร่องค์ความรู้ไปแล้ว คิดเ ป็นร้อ จัดพิมพ์คู่มือการพัฒนาและส่งเสริมธรรมา ใช้เผยแพร่ให้แก่คู่สัญญากับหน่วยงานภาค 2. การจัดทาคู่ม สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ดาเนินการจ และส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชนสู่การ โดยใช้ เป็นแนวทางปฏิบัติในการขับเคลื่อ ในระดับพื้นที่ สำหรับสานักงาน ป . ป . ช . ภา โดยมีสื่อประชาสัมพันธ์และเอกสารประกอ บรรยายในแต่ละหัวข้อ แบบฟอร์มหนังส ในแต่ละหัวข้อเรื่อง เป็นต้น เพื่อให้เจ้าห สานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด ได้นาแน ให้องค์ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายภาคเอกช ได้รับการ เผยแพร่คู่มือดังกล่าวไปแล้ว คิดเ 3. การจัดสัมมน ธรรมาภิบาลในภาคเอกชนสู่การปฏิบัติใน ขยายผลการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบ Zoom โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างค เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต สานักงาน การจัดทาคู่มือและซักซ้อมทาความเข้าใจ ร่วมกับสานักงาน ป . ป . ช . ภาค และสำนักง 1 กษณะที่ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่เป็น Regulator ) ความร่วมมือทางวิชาการและ พิมพ์ครั้งที่ 2 จานวน 1,077 เล่ม เพื่อ ำนวน 1,000 เล่ม . ช . ประจำจังหวัด ความเข้าใจแนวทาง ผ่านทางออนไลน์โปรแกรม ป . ป . ช . ประจาจังหวัด โดยอธิบายถึง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 134 คู่มือและซักซ้อมท�าความเข้าใจ แนวทางขยายผลการพัฒนาและส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชนร่วมกับ ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 1.2.2 การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ การประเมินคุณธรรมและความโปร่ งใสในการด�าเนินงานของหน่ วยงานภาครัฐ (การประเมิน ITA) เป็นเครื่องมือการประเมินเชิงบวกที่มุ่งพัฒนาระบบราชการไทยในเชิงสร้างสรรค์มากกว่า มุ่งจับผิด เปรียบเสมือนเครื่องมือตรวจสุขภาพองค์กรประจ�าปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ทั่วประเทศได้รับทราบถึงสถานะและปัญหาการด�าเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร ผลการประเมินที่ได้จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถน�าไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงาน การให้บริการ สามารถอ�ำนวยความสะดวก และตอบสนองต่อประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการประเมิน ITA ยังเป็นเครื่องมือในการยกระดับมาตรฐานการด�าเนินงานภาครัฐตามแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนั้น การประเมิน ITA จึงไม่ได้เป็น เพียงการประเมินคุณธรรมการด�าเนินงาน การป้องกันการทุจริตในองค์กร และการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ แต่ยังเป็นการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพการให้บริการประชาชน เพื่อให้ทราบถึงช่องว่าง ของความไม่เป็นธรรมและความด้อยประสิทธิภาพ ส�าหรับน�าไปจัดท�าแนวทางมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกัน การทุจริตและประพฤติมิชอบของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนระบบราชการไทยต่อไป แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีเป้าหมายหลักประการหนึ่งคือการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐมีความโปร่งใส ผ่านการพัฒนานวัตกรรม การต่อต้านการทุจริตที่เหมาะสมกับบริบท สภาพปัญหา และจุดอ่อนของหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบัน อีกทั้ง การประเมิน ITA ยังมีความสอดคล้องกับแนวทางกิจกรรมการปฏิรูปในด้านการพัฒนาระบบราชการไทย ให้มีความโปร่งใส ไร้ผลประโยชน์ กล่าวได้ว่าการประเมิน ITA เป็นเครื่องมือส�าคัญที่จะช่วยให้กิจกรรมการปฏิรูป ประเทศ (Big Rock) เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลาที่ก�าหนด ดังนั้น จึงได้มีการก�าหนดให้ การประเมิน ITA เป็นค่าเป้าหมายหนึ่งในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นี้ หน่วยงานภาครัฐ จะต้องมีค่าคะแนน ITA 85 คะแนนขึ้นไป เป็นจ�านวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของหน่วยงาน ภาครัฐทั้งหมด หรือราว 5,395 แห่ง ส�าหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นี้ มีหน่วยงานภาครัฐ จ�านวน 8,300 แห่ง ทั่วประเทศ เข้าร่วมการประเมิน ITA ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวได้ว่าเป็นการประเมินด้านธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นี้ มีประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ จ�านวน 1,331,588 ราย สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการตื่นตัวต่อประเด็นการต่อต้านการทุจริตมากยิ่งขึ้น รวมไปถึง มีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานและการให้บริการภาครัฐเพื่อน�าไปสู่การปรับปรุงพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการต่อต้าน การทุจริตจากทุกภาคส่วน สรุปผลการประเมิน ITA ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นี้ หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งได้เริ่มกระบวนการประเมินพร้อมกัน ผ่านระบบ ITAS ที่เว็บไซต์ https://itas.nacc.go.th และ Application ITAS ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และได้สิ้นสุดกระบวนการประเมินเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 แม้ว่าในปีงบประมาณนี้ หน่วยงานภาครัฐจะพบกับ อุปสรรคในการด�าเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่หน่วยงานภาครัฐ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 135 ทั่วประเทศได้ร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนสามารถด�าเนินการประเมินตามขั้นตอน ที่ก�าหนดได้ครบถ้วน โดยได้มีการตรวจให้คะแนนและให้ข้อเสนอแนะในการยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงานของแต่ละหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลการประเมิน ITA 2564 ในภาพรวมระดับประเทศ พบว่ามีผลคะแนนเฉลี่ย 81.25 คะแนน สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 13.35 คะแนน และ เมื่อพิจารณาตามค่าเป้าหมายตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ ซึ่งได้ก�าหนดค่าเป้าหมายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้ว่า หน่วยงานภาครัฐจะต้องมี ค่าคะแนน ITA 85 คะแนนขึ้นไป เป็นจ�านวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด หรือราว 5,395 แห่ง ผลปรากฏว่า มีหน่วยงานบรรลุค่าเป้าหมาย จ�านวน 4,146 หน่วยงาน หรือคิดเป็นร้อยละ 49.95 สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ร้อยละ 36.76 81.25% ค่าเฉลี่ยระดับประเทศ 49.95% หน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ มีผลคะแนนเฉลี่ย 81.25 คะแนน สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 13.35 คะแนน หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ มีผลคะแนนผ่านเกณฑ์ จ�านวน 4,146 หน่วยงาน หรือคิดเป็นร้อยละ 49.95 สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ร้อยละ 36.76 ผลการประเมิน ITA 2564 เมื่อจ�าแนกตาม Rating Score ได้สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยส�าคัญ โดยในปีนี้หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่องค์กรที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ตามหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ในระดับค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่มี Rating Score อยู่ที่ระดับ A คิดเป็นร้อยละ 38.73 ของหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินทั้งหมด โดยเพิ่มจ�านวนขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 26.22 การเคลื่อนตัวของหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่จากระดับ D เมื่อปี 2563 สู่ระดับ A ในปี 2564 เกิดขึ้นได้ด้วยการประสานความร่วมมือกันจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานกลุ่มใหญ่ที่มีการยกระดับผลการประเมิน ITA เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยส�าคัญ ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถด�าเนินการประเมินตามกรอบ การประเมิน ITA ที่ก�าหนดได้และสามารถท�าได้ดีหากมีการก�าหนดกลยุทธ์และสนับสนุนทรัพยากรได้ตรงจุด และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินในการพัฒนาการด�าเนินงานและการเปิดเผยข้อมูล ภาครัฐให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ก�าหนด 7.29 11.69 13.19 49.95 68.78 66.74 67.9 81.25 0 20 40 60 80 100 0 20 40 60 80 100 2561 2562 2563 2564 คะแนนเฉลี่ย ร้อยละของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ คะแนนเฉลี่ย เมื่อพิจารณาตามค่าเป้าหมายตัวชี้วัดของแผนแม่บทภา ยใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ซึ่งได้กำหนดค่าเป้าหมายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้ว่า หน่วยงานภาครัฐจะต้องมี ค่าคะแนน ITA 85 คะแนนขึ้นไป เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด หรือราว 5,395 แห่ ง ผลปรากฏว่า มีหน่วยงานบรรลุค่าเป้าหมาย จานวน 4,146 หน่วยงานหรือคิดเป็น ร้อยละ 49.95 สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ร้อยละ 36.76 81. 25 % ค่าเฉลี่ยระดับประเทศ 49. 95 % หน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ มีผลคะแนนเฉลี่ย 81 . 25 คะแนน สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 13 . 35 คะแนน หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ มีผลคะแนนผ่านเกณฑ์ จานวน 4,146 หน่วยงาน หรือคิดเป็น ร้อยละ 49 . 95 สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ร้อยละ 36 . 76 ผลการประเมิน ITA 2564 เมื่อจาแนกตาม Rating Score ได้สะท้อนให้เห็นความ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีนี้หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่องค์กรที่มีคุณธรรมและความ โปร่งใสตามหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ในระดับค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่มี Rating Score อยู่ที่ระดับ A คิดเป็น ร้อยละ 38 . 73 ของหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินทั้งหมด โดยเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง ร้อยละ 26 . 22 การเคลื่อนตัวของหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่จากระดับ D เมื่อปี 2563 สู่ระดับ A ในปี 2564 เกิดขึ้นได้ด้วยการประสานความร่วมมือกันจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงม หาดไทย จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานกลุ่มใหญ่ที่มีการยกระดับผลการประเมิน ITA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดาเนินการประเมินตาม กรอบการประเมิน ITA ที่กาหนดได้และสามารถทาได้ดี หากมีการกาหนดกลยุทธ์และสนับสนุนทรัพยากรได้ตรงจุด และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของหน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมินในการพัฒนาการดาเนินงานและการเปิดเผยข้อมูล ภาครัฐให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 136 โดยสรุปแล้ว ผลการประเมิน ITA ในภาพรวมระดับประเทศสะท้อนให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2564 นี้ หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่เกิดความตระหนัก และมีความพยายามที่จะพัฒนามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งความพยายาม ที่จะปรับปรุงการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อประชาชนผู้รับบริการมากขึ้น ตลอดจนความพยายาม ที่จะท�าให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของหน่วยงานได้รับการเผยแพร่ที่เว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถ เข้าติดตามหรือตรวจสอบได้ อันเป็นสัญญาณในทางบวกที่หน่วยงานภาครัฐนั้นได้ให้ความส�าคัญต่อการปรับตัว ให้สอดคล้องกับความต้องการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐในปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และเพื่อลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะมีบุคลากรในหน่วยงานทุจริตประพฤติมิชอบ การประเมิน ITA เป็นตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือร่วมแรงกันของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งระบบ ในการปรับปรุงพัฒนาการด�าเนินงานและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้ตอบสนองต่อความต้องการ ของประชาชนและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้ว่า ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยงานภาครัฐ ทั่วประเทศไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรของตนเอง ให้มีความโปร่งใสและตอบสนองต่อประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนระบบราชการไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมาย ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ให้ได้ตามห้วงระยะเวลาที่ก�าหนด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้ในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะยังไม่สามารถ บรรลุค่าเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ร่วมกันได้ แต่จากผลการประเมินที่ได้ สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของหน่วยงานภาครัฐกว่า 8,300 แห่ง ที่มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม (Continuous Improvement) ซึ่งปัจจัยส�าคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงคือ การประสานพลังความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการยกระดับ ITA คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้เสนอรายงานผลการประเมินฯ และข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ได้มีมติรับทราบผลการประเมิน และเห็นชอบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเห็นชอบข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ โดยสรุปสาระส�าคัญได้ดังนี้ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 129 โดยสรุปแล้ว ผลการประเมิน ITA ในภาพรวมระดับประเทศสะท้อนให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2564 นี้ หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่เกิดความตระหนัก และมีความพยายามที่จะพัฒนามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งความพยายามที่จะปรับปรุงการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อประชาชนผู้รับบริการมากขึ้น ตลอดจนความพยายามที่จะทาให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของหน่ วยงานได้รับการเผยแพร่ที่เว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าติดตามหรือตรวจสอบได้ อันเป็นสัญญาณในทางบวกที่หน่วยงานภาครัฐนั้นได้ให้ ความสำคัญต่อการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐในปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และเพื่อลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะมีบุคลากรในหน่วยงานทุจริตประพฤติมิชอบ การประเมิน ITA เป็นตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือร่วมแรงกันของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งระบบ ในการปรับปรุงพัฒนาการดาเนินงานและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้ตอบสนองต่อความต้องการ ของประชาช นและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้ว่า ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หน่วยงานภาครัฐ ทั่วประเทศไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุ งพัฒนาองค์กรของตนเองให้มีความ โปร่งใสและตอบสนองต่อประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนระบบราชการไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามแผน แม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ให้ได้ตามห้วงระยะเวลาที่กาหนด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้ในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะยังไม่สามารถ บรรลุ ค่าเป้าหมายที่กาหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ร่วมกันได้ แต่จากผลการประเมินที่ได้ สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของหน่วยงานภาครัฐกว่า 8 , 300 แห่ง ที่มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม ( Continuous Improvement ) ซึ่งปัจจัยสำคัญประการหนึ่ งที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงคือ การประสานพลังความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการยกระดับ ITA คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้เสนอรายงานผลการประเมินฯ และข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาคณะรัฐมน ตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ได้มีมติรับทราบผลการประเมิน และเห็นชอบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 และเห็นชอบข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 931 3215 1671 1283 887 220 93 0 500 1000 1500 2000 2500 3000 3500 AA A B C D E F จำนวนหน่วยงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 137 1) กระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเร่งรัดส่งเสริมสนับสนุนให้เกิด การพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และทักษะการเปิดเผยข้อมูลการป้องกันการทุจริต และการให้บริการสาธารณะ ทางเว็บไซต์ของหน่วยงานให้มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานการประเมินที่ก�าหนด 2) ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอ�าเภอควรส่งเสริมสนับสนุนและให้ค�าแนะน�าในด้าน กระบวนการบริหารจัดการภายในหน่วยงานแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด 3) ส�านักงานปลัดส�านักนายกรัฐมนตรีควรขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ให้สอดคล้องกับหลักการที่ก�าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นหน้าที่หลักที่ต้องปฏิบัติ 4) หน่วยงานก�ากับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐด�าเนินการก�ากับติดตาม การประเมินฯ และผลักดันให้หน่วยงานภายใต้ก�ากับดูแลด�าเนินการให้เป็นไปตามแนวทางการประเมินที่ก�าหนด 5) หน่วยงานภาครัฐให้ความร่วมมือและเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 โดยการก�าหนดกลุ่มเป้าหมายหน่วยงาน ที่เข้าร่วมการประเมินฯ แนวทางการประเมินฯ และเครื่องมือการประเมินฯ ให้เป็นไปตามที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนด รายงานสรุปผลการด�าเนินโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ของส�านักงานเขต กรุงเทพมหานคร ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ของส�านักงานเขต กรุงเทพมหานคร เริ่มประเมินมาตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยเป็นการด�าเนินการประเมินระดับต�่ากว่ากรม ที่ให้ความส�าคัญเชิงพื้นที่ เพื่อสะท้อน ให้เห็นถึงบทบาทและความส�าคัญของกรุงเทพมหานคร ในฐานะการเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ที่ด�าเนินงานตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มีอ�านาจหน้าที่ในการบริการ สาธารณะให้แก่ประชาชน ซึ่งแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 50 เขต ซึ่งแต่ละเขตมีภารกิจและความรับผิดชอบ ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในเขตพื้นที่ของตน รวมถึงมีประชาชน ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ เอกชน ผู้มาติดต่อราชการเพื่อขออนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ เป็นจ�านวนมาก โดยผลคะแนนการประเมินในภาพรวม ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อยู่ในระดับคะแนน 80.75 ส�านักงานเขตที่ได้คะแนนสูงสุด 3 ล�าดับ ได้แก่ 1) ส�านักงานเขตภาษีเจริญ คะแนน ITA อยู่ที่ 94.41 2) ส�านักงานเขตทวีวัฒนา คะแนน ITA อยู่ที่ 93.62 3) ส�านักงานเขตวังทองหลาง คะแนน ITA อยู่ที่ 92.84 นอกจากนี้ ได้มีการขยายการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ลงสู่สถานีต�ารวจนครบาล 88 แห่ง โดยเริ่ม ประเมินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้เกิดกลไกการมีส่วนร่วมและเกิดการป้องกันการทุจริตในเชิงพื้นที่ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 130 1) กระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเร่งรัดส่งเสริมสนับสนุนให้เกิด การพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และทักษะการเปิดเผยข้อมูล การป้องกันการทุจริต และการให้บริการสาธารณะทาง เว็บไซต์ของหน่วยงานให้มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานการประเมินที่กาหนด 2) ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอาเภอควรส่งเสริมสนับสนุนและให้คาแนะนำในด้าน กระบวนการบริหารจัดการภายในหน่วยงานแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด 3) สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีควรขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ให้สอดคล้องกับหลักการที่กาหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นหน้าที่หลักที่ต้องปฏิบัติ 4) หน่วยงานกากับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐดาเนินการกากับติดตาม การประเมินฯ และผลักดันให้หน่วยงานภายใต้กากับดูแลดำเนินการ ให้เป็นไปตามแนวทางการประเมินที่กาหนด 5) หน่วยงานภาครัฐให้ความร่วมมือและเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 โดยการกาหนดกลุ่มเป้าหมายหน่วยงาน ที่เข้าร่วมการประเมินฯ แนวทางการประเมินฯ และเครื่องมือกำรประเมินฯ ให้เป็นไปตามที่สานักงาน ป.ป.ช. กำหนด รายงานผลการประเมิน ITA 2564 มติคณะรัฐมนตรี ผลการ ประเมิน ITA 2564 รายงานสรุปผลการดาเนินโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร เริ่มประเมินมาตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยเป็นกา รดาเนินการประเมินระดับต่ำกว่ากรม ที่ให้ความสำคัญเชิงพื้นที่ เพื่อสะท้อน ให้เห็นถึงบทบาทและความสาคัญของกรุงเทพมหานคร ในฐานะการเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ที่ดาเนินงานตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มีอานาจหน้าที่ในการ บริ การสาธารณะให้แก่ประชาชน ซึ่งแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 50 เขต ซึ่งแต่ละเขตมีภารกิจและความ รับผิดชอบ ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในเขตพื้นที่ของตน รวมถึงมีประชาชน ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน ผู้มาติดต่อราชการเพื่อขออนุมัติ อนุญาต ต่าง ๆ เป็ นจำนวนมาก โดยผลคะแนนการประเมิน ในภาพรวม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อยู่ในระดับคะแนน 80.75 สานักงานเขตที่ได้คะแนนสูงสุด 3 ลาดับ ได้แก่ 1 ) สานักงานเขตภาษีเจริญ คะแนน ITA อยู่ที่ 94 . 41 2 ) สานักงานเขตทวีวัฒนา คะแนน ITA อยู่ที่ 93 . 62 3) สานักงานเขตวังท องหลาง คะแนน ITA อยู่ที่ 92 . 84 นอกจากนี้ได้มีการขยายการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ลงสู่สถานีตารวจนครบาล 88 แห่ง โดยเริ่ม ประเมินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้เกิดกลไกการมีส่วนร่วมและเกิดการป้องกันการทุจริตในเชิงพื้นที่ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 130 1) กระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเร่งรัดส่งเสริมสนับสนุนให้เกิด การพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และทักษะการเปิดเผยข้อมูล การป้องกันการทุจริต และการให้บริการสาธารณะทาง เว็บไซต์ของหน่วยงานให้มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานการประเมินที่กาหนด 2) ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอาเภอควรส่งเสริมสนับสนุนและให้คาแนะนำในด้าน กระบวนการบริหารจัดการภายในหน่วยงานแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด 3) สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีควรขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ให้สอดคล้องกับหลักการที่กาหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นหน้าที่หลักที่ต้องปฏิบัติ 4) หน่วยงานกากับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐดาเนินการกากับติดตาม การประเมินฯ และผลักดันให้หน่วยงานภายใต้กากับดูแลดำเนินการ ให้เป็นไปตามแนวทางการประเมินที่กาหนด 5) หน่วยงานภาครัฐให้ความร่วมมือและเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 โดยการกาหนดกลุ่มเป้าหมายหน่วยงาน ที่เข้าร่วมการประเมินฯ แนวทางการประเมินฯ และเครื่องมือกำรประเมินฯ ให้เป็นไปตามที่สานักงาน ป.ป.ช. กำหนด รายงานผลการประเมิน ITA 2564 มติคณะรัฐมนตรี ผลการ ประเมิน ITA 2564 รายงานสรุปผลการดาเนินโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร เริ่มประเมินมาตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยเป็นกา รดาเนินการประเมินระดับต่ำกว่ากรม ที่ให้ความสำคัญเชิงพื้นที่ เพื่อสะท้อน ให้เห็นถึงบทบาทและความสาคัญของกรุงเทพมหานคร ในฐานะการเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ที่ดาเนินงานตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มีอานาจหน้าที่ในการ บริ การสาธารณะให้แก่ประชาชน ซึ่งแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 50 เขต ซึ่งแต่ละเขตมีภารกิจและความ รับผิดชอบ ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในเขตพื้นที่ของตน รวมถึงมีประชาชน ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน ผู้มาติดต่อราชการเพื่อขออนุมัติ อนุญาต ต่าง ๆ เป็ นจำนวนมาก โดยผลคะแนนการประเมิน ในภาพรวม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อยู่ในระดับคะแนน 80.75 สานักงานเขตที่ได้คะแนนสูงสุด 3 ลาดับ ได้แก่ 1 ) สานักงานเขตภาษีเจริญ คะแนน ITA อยู่ที่ 94 . 41 2 ) สานักงานเขตทวีวัฒนา คะแนน ITA อยู่ที่ 93 . 62 3) สานักงานเขตวังท องหลาง คะแนน ITA อยู่ที่ 92 . 84 นอกจากนี้ได้มีการขยายการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ลงสู่สถานีตารวจนครบาล 88 แห่ง โดยเริ่ม ประเมินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้เกิดกลไกการมีส่วนร่วมและเกิดการป้องกันการทุจริตในเชิงพื้นที่ รายงานผลการประเมิน ITA 2564 มติคณะรัฐมนตรี ผลการประเมิน ITA 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 138 (Area) เขตกรุงเทพมหานคร อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คู่ขนานไปกับการการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ของส�านักงานเขต กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในมิติของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลต�ารวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ได้มีการแสดงเจตนารมณ์ร่วมระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. และส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ของสถานีต�ารวจนครบาล โดยผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ได้มีการมอบนโยบาย ดังนี้ (1) มอบหมายให้ จเรต�ารวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนและก�ากับติดตามการประเมินผ่านการก�าหนด ให้เป็น “ประเด็นการตรวจราชการ” รวมถึงส่งเสริมและก�ากับติดตามอย่างต่อเนื่อง (2) มอบหมายให้กองบัญชาการต�ารวจนครบาล ก�าหนดผู้ที่รับผิดชอบที่ชัดเจนในการเป็น “ศูนย์กลาง” ในการประสานสถานีต�ารวจนครบาล รวมถึงส่งเสริมและก�ากับติดตามอย่างต่อเนื่อง (3) มอบหมายให้ส�านักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งเสริม ให้ค�าแนะน�า สถานีต�ารวจนครบาล ในด้านการพัฒนา website เพื่อเป็นช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลการด�าเนินงานต่าง ๆ ของสถานีต�ารวจนครบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินที่ก�าหนด (4) มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ และให้ค�าแนะน�าสถานีต�ารวจนครบาล ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการ ด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) (5) ม อบหมายให้ผู้ก�ากับการสถานีต�ารวจนครบาล รับนโยบายในการขับเคลื่อนการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ของสถานีต�ารวจนครบาล และให้มีการก�าหนดผู้รับผิดชอบการประเมินที่ชัดเจน ทั้งในด้านของกระบวนการประเมิน และกระบวนการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน และได้มีการได้มีการขยายการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ลงสู่อ�าเภอทั้ง 878 แห่ง โดยเริ่มประเมิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่ให้บริการกับประชาชนในเขตพื้นที่ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความส�าคัญของการบริหารราชการของอ�าเภอ โดยอธิบดีกรมการปกครองได้ มีการมอบนโยบาย ดังนี้ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 131 ( Area ) เขตกรุงเทพมหานคร อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คู่ขนานไปกับการการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity and Transparency Assessment : ITA ) ของสานักงานเข ต กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในมิติของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลตารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลตารวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ ได้มีการแสดงเจตนารมณ์ ร่วมระหว่างสานักงำน ป.ป.ช. และ สานักงานตำรวจแห่งชาติ ในการ ขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity and Transparency Assessment : ITA ) ของสถานีตารวจนครบาล โดยผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ ได้มีการมอบ นโยบาย ดังนี้ (1) มอบหมายให้ จเรตารวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนและกากับติดตามการประเมินผ่านการ กำหนดให้เป็น “ ประเด็นการตรวจราชการ ” รวมถึงส่งเสริมและกากับติดตามอย่างต่อเนื่อง ( 2 ) มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบา ล กาหนดผู้ที่รับผิดชอบที่ชัดเจน ในการเป็น “ ศูนย์กลาง ” ในการประสานสถานีตำรวจนครบาล ร วมถึงส่งเสริมและกากับติดตามอย่างต่อเนื่อง ( 3 ) มอบหมายให้ สานักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งเสริม ให้คาแนะนา สถานีตารวจนครบาล ในด้านการพัฒนา website เพื่อเป็นช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลการดาเนินงานต่าง ๆ ของสถานีตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์ การประเมินที่กาหนด ( 4 ) มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ส่งเสริม สนับส นุน องค์ความรู้ และให้คาแนะนำสถานีตารวจนครบาล ในเรื่องที่เกี่ ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและ ความโปร่งใสในการ ดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ( 5 ) มอบหมายให้ ผู้กากับการสถานีตารวจ นครบาล รับนโยบายในการขับเคลื่อน การ ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของสถานีตารวจนครบาล และให้มีการกาหนดผู้ รับผิดชอบการประเมินที่ชัดเจน ทั้งใ นด้าน ของกระบวนการประเมินและกระบวนการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน และได้มีการได้มีการขยายการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ลงสู่อาเภอทั้ง 878 แห่ง โดยเริ่มประเมิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่ให้บริการกับประชาชนในเขตพื้นที่ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความสาคัญของการบริหารราชการของอาเภอ โดยอธิบดีกรมการปกครองได้ มีการมอบนโยบาย ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 139 (1) มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ กรมการปกครอง ขับเคลื่อนและก�ากับติดตามการ ประเมิน ผ่านการก�าหนดให้เป็น “ประเด็นการตรวจราชการ” รวมถึงส่งเสริมและก�ากับติดตามอย่างต่อเนื่อง (2) มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กรมการปกครอง “เป็นศูนย์กลาง” ในการประสานงานกับอ�าเภอ ทั้ง 878 แห่ง รวมถึงส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ ให้ค�าแนะน�า และก�ากับติดตาม อย่างต่อเนื่อง (3) มอบหมายให้ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารงานปกครอง ส่งเสริมให้ค�าแนะน�ากับอ�าเภอ ในด้านการพัฒนา website เพื่อเป็นช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลการด�าเนินงานต่าง ๆ ของอ�าเภอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนด (4) มอบหมายให้นายอ�าเภอรับนโยบายในการขับเคลื่อนการประเมินการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ของอ�าเภอ และให้มีการก�าหนดผู้รับผิดชอบการประเมินที่ชัดเจน ทั้งในด้านของกระบวนการประเมินและ กระบวนการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน 2. มาตรา 33 : การสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.1 การส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 2.1.1 การสร้างและพัฒนา และการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (1) การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2561 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาถือเป็นเครื่องมือส�าคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับเครือข่าย ความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชนพัฒนาขึ้น ส�าหรับน�าไปใช้เป็นมาตรฐานกลางในการจัดการเรียนการสอน ในระบบการศึกษาของประเทศ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งถือเป็นกลวิธีใหม่ที่ถูกน�ามาใช้เป็น กระบวนการขัดเกลา เสริมสร้างความตระหนักและปลูกฝังค่านิยมต่อต้านการทุจริตผ่านระบบการศึกษา โดยมุ่งหวัง ให้ผู้เรียนกลายเป็นพลเมืองที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีจิตพอเพียงและเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 เห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ประกอบด้วย 5 หลักสูตร ได้แก่ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 132 (1) มอบหมำยให้ ผู้ตรวจราชการ กรมการ ปกครอง ขับเคลื่อนและกากับติดตาม การประเมิ น ผ่านการกาหนดให้เป็น “ ประเด็นการตรวจราชการ ” รวมถึงส่งเสริ มและกำกับติดตาม อย่างต่อเนื่อง ( 2 ) มอบหมายให้ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กรมการปกครอง “ เป็นศูนย์กลาง ” ในการประสานงานกับอาเภอ ทั้ง 878 แห่ง รวมถึงส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ ให้คาแนะนา และกากับติดตาม อย่างต่อเนื่อง ( 3 ) มอบหมายให้ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารงานปกครอง ส่งเสริมให้คำแนะนำ กับอาเภอ ในด้านการพัฒนา website เพื่อเป็นช่องทางในกำรเปิดเผยข้อมู ลการดาเนินงานต่าง ๆ ของอาเภอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินที่สำนักงาน ป.ป.ช.กำหนด ( 4 ) มอบหมายให้นายอาเภอ รับนโยบายในการขับเคลื่อนการประเมินการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ( Integrity & Transparency Assessment : ITA ) ของอาเภอ และให้มีการกาหนดผู้รับผิดชอบการประเมินที่ชัดเจน ทั้งในด้านของกระบวนการประเมินและ กระบวนการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน 2 . 1 การส่งเสริม เด็กและเยาวชน ให้ มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 2 . 1 . 1 การสร้างและพัฒนา และการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (1) การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2561 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ถือเป็ นเครื่องมือสาคัญในการขับเคลื่อ น ยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564 ) ที่สานักงาน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับเครือข่าย ความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชนพัฒนาขึ้น สาหรับนำไปใช้เป็นมาตรฐานกลางในการจัดการเรียนการสอน ในระบบการศึกษาของประเทศ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งถือเป็นกลวิธีใหม่ที่ถูกนำมาใช้เป็น กระบวนการขัดเกลา เสริมสร้างความตระหนักและปลูกฝังค่านิยมต่ อต้านการทุจริตผ่านระบบการศึกษา โดย มุ่งหวังให้ผู้เรียนกลายเป็นพลเมืองที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีจิตพอเพียงและเ ป็นพลเมืองที่รับผิดช อบต่อสังคม ซึ่ง 2. มาตรา 33 : การสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมและให้ความ ร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 140 1. หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต�ารวจ) 4. หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น�าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5. หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ในการน�าหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา ที่ผ่านมา ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้บูรณาการความร่วมมือกับส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยได้น�า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 (พฤษภาคม 2562) และสถาบันอุดมศึกษาได้น�าหลักสูตรอุดมศึกษาไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนตามความพร้อมของแต่ละสถาบัน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น�าหลักสูตรไปพิจารณาปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมายในการฝึกอบรมตามความพร้อม และความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน ทั้งหลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยมีรายวิชาที่มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมาย และขอบเขตของการกระท�าทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต ความส�าคัญของการต่อต้านการทุจริต 4 ชุดวิชา ได้แก่ 1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม การด�าเนินการประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา โดยการก�ากับติดตามการน�าหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร การประเมิน พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะ เพื่อการ เพิ่มประสิทธิภาพหลักสูตร ๏ การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ด�าเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จ�านวน 2 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ซึ่งสรุปผลสัมฤทธิ์ในการน�าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ของสถานศึกษา จ�านวน 3,311 แห่งทั่วประเทศ พบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 63.06 ถือว่าสถานศึกษามีศักยภาพและความพร้อม น้อยมาก (D) มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้นที่มีศักยภาพและความพร้อมปานกลาง คือ ได้เกรด B ขึ้นไป ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ถือว่า มีความจ�าเป็นเร่งด่วนที่จะได้มีการกระตุ้นและสนับสนุนส่งเสริมให้มีศักยภาพและ ความพร้อมในการน�าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ๏ การประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ด�าเนินการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต โดยใช้กลไกหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นเครื่องมือส�าคัญในการขับเคลื่อนแผนงานด้านการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ ภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) เป้าหมายและตัวชี้วัดที่ 1 ที่ได้ก�าหนดเป้าหมายของแผนงาน คือ ประชาชนมีวัฒนธรรมและ พฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต โดยก�าหนดให้มี “การประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต” โดยในระยะแรก (พ.ศ. 2561 - 2565) ก�าหนดค่าเป้าหมายตัวชี้วัดเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และตามแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ก�าหนดค่าเป้าหมายเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต ในปี 2563 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 46 ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้คัดเลือกให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษาในการวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และประเมินผลสัมฤทธิ์ ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรที่น�าไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา 2 หลักสูตร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 141 ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยในภาพรวมของประเทศ เทียบกับ เป้าหมายที่ได้ก�าหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมาย อยู่ร้อยละ 2.1 กล่าวคือ ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ตัวชี้วัดที่ 1.1 ก�าหนดค่าเป้าหมายเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 50 (พ.ศ. 2561 - 2565) แต่ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับ ร้อยละ 52.1 ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยในภาพรวมของประเทศ เทียบกับ เป้าหมายที่ได้ก�าหนดไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมาย อยู่ร้อยละ 6.1 กล่าวคือ ตามแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบฯ ตัวชี้วัดที่ 1.1 ก�าหนดค่าเป้าหมายเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 46 (ปี 2563) แต่ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับร้อยละ 52.1 (2) การพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 การด�าเนินการประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา โดยการก�ากับติดตามการน�าหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร การประเมิน พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะ เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพหลักสูตร อีกทั้งได้ด�าเนินการเพิ่มประสิทธิภาพหลักสูตรและเสริมสร้างนวัตกรรม การเรียนรู้ต้านทุจริตศึกษา (Anti-corruption Education Platform) และการพัฒนาโปรแกรมแอพพลิเคชั่นมือถือ (Mobile Application) โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๏ การพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 ด�าเนินการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เนื้อหาใหม่ที่มีความสอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบัน ส�าหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา และใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรม จ�านวน 3 หลักสูตร/ชุดการเรียนรู้/เรื่อง ประกอบด้วย 1) เรื่อง การต้านทุจริตในสถานการณ์การเปลี่ยนฉับพลัน ทางเทคโนโลยีดิจิตอล Digital Disruption 2) เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางธรณี และ 3) เรื่อง การพิทักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติน�้าและน�้าบาดาล หลักสูตร/ชุดการเรียนรู้/เรื่อง ได้แก่ 1. เรื่อง การต้านทุจริตในสถานการณ์การเปลี่ยนฉับพลันทางเทคโนโลยีดิจิตอล Digital Disruption 2. เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางธรณี 3. เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติน�้าและน�้าบาดาล โดยก�าหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะน�าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 ไปใช้ จ�านวน 5 ระดับ/กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย) 2. ระดับอุดมศึกษา 3. กลุ่มทหาร ต�ารวจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4. กลุ่มวิทยากร ป.ป.ช. / บุคลากรภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ 5. กลุ่มโค้ช ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ใช้ขับเคลื่อนตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2562 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 134 ในการวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา 2 หลักสูตร ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยในภาพรวมของประเทศ เทียบ กับเป้าหมายที่ได้กาหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580 ) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมาย อยู่ร้อยละ 2 . 1 กล่าวคือ ตามแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาส ตร์ชาติฯ ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 กาหนดค่าเป้าหมายเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 50 (พ.ศ. 2561 - 2565 ) แต่ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับร้อยละ 52 . 1 ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยในภาพรวมของประเทศ เทียบกับ เป้าหมายที่ได้กาหนดไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565 ) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมาย อยู่ร้อยละ 6 . 1 กล่าวคือ ตามแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตแ ละประพฤติมิชอบฯ ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 กาหนดค่าเป้าหมายเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 46 (ปี 2563 ) แต่ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับร้อยละ 52 . 1 ( 2 ) การพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 การดาเนินการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ดาเนินการขับเคลื่อน หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยการกากับติดตามการนาหลักสูตรไปใช้ การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร การประเมิน พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะ เพื่อการ เพิ่มประสิทธิภาพหลักสูตร อีกทั้งได้ดาเนินการเพิ่มประสิทธิภาพหลักสูตรและเสริมสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ต้านทุจริตศึกษา ( Anti - corruption Education Platform ) และการพัฒนาโปรแกรมแอพพลิเคชั่นมือถือ ( Mobile Application ) โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๏ การพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เนื้อหาใหม่ที่มีความสอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบัน สาหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา และใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรม จำนวน 3 หลักสูตร/ชุดการเรียนรู้/เรื่อง ประกอบด้วย 1 ) เรื่อง การต้านทุจริตในสถานการณ์การเปลี่ยนฉับพลัน ทางเทคโนโลยีดิจิตอล Digital Disruption 2 ) เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางธรณี และ 3 ) เรื่อง การพิทักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติน้ำและน้ำบาดาล หลักสูตร/ชุดการเรียนรู้/เรื่อง ได้แก่ 1 . เรื่อง การต้านทุจริตใ นสถานการณ์ การเปลี่ยนฉับพลันทางเทคโนโลยี ดิจิตอล Digital Disruption 2 . เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางธรณี 3 . เรื่อง การพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติน้ำและน้ำบาดาล โดยกาหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2564 ไปใช้ จำนวน 5 ระดับ/กลุ่ม ดังนี้ 1 . กลุ่มการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษา ตอนปลาย) 2 . ระดับอุดมศึกษา 3 . กลุ่มทหาร ตำรวจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 . กลุ่มวิทยากร ป.ป.ช. / บุคลากรภาครัฐ แลรัฐวิสาหกิจ 5 . กลุ่มโค้ช
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 142 ๏ การก�ากับ ติดตาม ความคืบหน้าการด�าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ด�าเนินการก�ากับ ติดตาม ความคืบหน้าการด�าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2563 ทั้ง 5 หลักสูตร โดยมีการน�าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน และน�าไปใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรมของหน่วยงาน ซึ่งปรากฏผลการด�าเนินการ ดังนี้ - หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) สถานศึกษา จ�านวน 56,283 แห่ง น�าไปใช้ 53,398 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 94.87 - หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) สถาบันอุดมศึกษา จ�านวน 165 แห่ง น�าไปใช้ 117 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 70.91 - หลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต�ารวจ ) ประเมิน 2 ส่วน (องค์กรทหาร/ต�ารวจ) มีการน�าไปใช้ทั้งหมด - หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น�า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประเมินจากกลุ่มตัวอย่าง จ�านวน 87 หน่วยงาน/องค์กร น�าไปใช้ จ�านวน 73 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 83.91 - หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประเมินจากกลไกการขับเคลื่อน ระดับพื้นที่ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร มีการน�าไปใช้ทั้งหมด ๏ การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ด�าเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ทั้ง 5 หลักสูตร เพื่อก�ากับ ติดตาม รับทราบปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะแนวทางการน�าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ และสามารถประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti- Corruption Education) ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ การด�าเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษามีองค์ประกอบในการประเมิน ได้แก่ การประเมินเอกสารหลักสูตร การประเมินการใช้หลักสูตร การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร โดยปรากฏผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ดังนี้ การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร พบว่า 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น�าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต�ารวจ) มีคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (ระดับ A) โดยหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น�าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีคะแนนประเมิน ผลสัมฤทธิ์สูงสุด คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 84.87 หลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหาร และต�ารวจ) มีคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 80.11 ส่วนอีก 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใสใจสะอาด “Youngster with good heart”) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) คือ โดยคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์เฉลี่ย หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 77.49 ตามมาด้วยหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) มีคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 75.91 และหลักสูตรอุดมศึกษาวัยใสใจสะอาด (“Youngster with good heart”) มีคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยต�่าที่สุดที่ 68.50
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 143 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา คะแนนประเมิน ผลสัมฤทธิ์ ระดับ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 75.91 B 2. หลักสูตรอุดมศึกษาวัยใสใจสะอาด (“Youngster with good heart”) 68.50 B 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต�ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต�ารวจ) 80.11 A 4. หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น�า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) 84.87 A 5. หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) 77.49 B ๏ การประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ด�าเนินการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับส�านักงานสถิติแห่งชาติ ได้ก�าหนดแนวทางการประเมินเป้าหมาย และตัวชี้วัดแผนย่อยการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป้าหมายที่ 1 ประชาชนมีวัฒนธรรมและพฤติกรรม ซื่อสัตย์สุจริต ตัวชี้วัดที่ 1.1 เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต โดยมีสาระส�าคัญ โดยสรุป คือ เป้าหมายปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ร้อยละ 48 ของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต โดยกลุ่มเป้าหมายในการประเมินเป็นเด็กและยาวชนไทย ในช่วงอายุ 12 - 24 ปี ที่อยู่ในระบบ การศึกษาปกติ ระบบการศึกษานอกระบบ และไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา จากผลส�ารวจของส�านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า เด็กและเยาวชน มีคะแนน ด้านพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.24 คะแนน จากคะแนนเต็ม 3 คะแนน ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ก�าหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลส�าหรับผู้ที่ได้คะแนนเฉลี่ย 2.00 - 3.00 คะแนน อยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 1.00 - 1.99 คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง และคะแนนเฉลี่ย 0.00 - 0.99 คะแนน อยู่ในระดับน้อย ดังนั้น เมื่อพิจารณาสัดส่วนของเด็กและเยาวชน ตามเกณฑ์ดังกล่าว พบว่าเด็กและเยาวชน ร้อยละ 78.3 มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในระดับมาก และร้อยละ 21.7 อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต อยู่ในระดับน้อย มีจ�านวนเล็กน้อย จึงอาจสรุปได้ว่า ในปี พ.ศ. 2564 เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 78.3 2.1.2 การสนับสนุนให้เกิดการส่งเสริมการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และพัฒนานวัตกรรม ทางการศึกษา ดังนี้ (1) การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ด�าเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและเสริมสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education Platform) ให้มีระบบแพลตฟอร์มต้านทุจริตศึกษา รองรับการขับเคลื่อนการเผยแพร่ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ด้านการต้านทุจริตอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยหลักสูตรมีการจัดตามกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) กลุ่มอุดมศึกษา 3) กลุ่มทหารและต�ารวจ 4) กลุ่มเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. / บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และ 5) กลุ่มโค้ช ซึ่งแต่ละกลุ่ม มีความแตกต่างกันทั้งด้านพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ และจุดมุ่งหมายในการเรียน การสร้างระบบแพลตฟอร์ม ต้านทุจริตศึกษาเพื่อให้บริหารจัดการเนื้อหาออนไลน์ (e-Learning Content) ของทุกหลักสูตร และการเข้าเรียน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 144 ของผู้เรียนทุกคน รวมถึงผู้ใช้งานระบบให้อยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งเป็นผลให้สามารถติดตามการเข้าเรียนของผู้เรียน และผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้ได้ต่อเนื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสามารถน�าผลการเรียนมาใช้เพื่อวิเคราะห์ การเรียนรู้ รวมทั้งเป็นข้อมูลในการพัฒนาเนื้อหาและสื่อออนไลน์ให้ดีขึ้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์มากยิ่งขึ้นได้ (2) การพัฒนางานพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุของส�านักงาน ป.ป.ช. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา (COVID-2019) ได้มีการปรับรูปแบบการบรรยายและการเข้าชมเป็นรูปแบบออนไลน์ส�าหรับหน่วยงานที่ได้ติดต่อแสดง ความต้องการที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ และมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เสริมสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ ต้านทุจริตศึกษา ยกระดับพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง Virtual Museum เพื่อให้ตอบสนองกับสภาวการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นการอ�านวยความสะดวกให้แก่ประชาชน หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องการจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ แต่ติดปัญหาเรื่องการเดินทาง และเป็นการเพิ่มช่องทางในการเรียนรู้ในการป้องกันการทุจริตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา) (3) การเสริมสร้างและปลูกฝังแนวคิดให้กับเด็กและเยาวชน ตระหนักถึงปัญหาและผลเสีย ของการทุจริตการเสริมสร้างเด็กและเยาวชนตระหนักถึงปัญหา ผลกระทบจากภัยของการทุจริตคอร์รัปชัน ปลูกฝังกระบวนการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ตามโครงการ “เยาวชนไทย ไม่ลอกการบ้าน ไม่ลอกข้อสอบ” โดยขยายผลครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (9 ภาค และกรุงเทพมหานคร) ได้สร้าง STRONG TDOL ในสถานศึกษา จ�านวน 1,185 คน และการก�าหนดแผนงานเยาวชนไทย ไม่ลอกการบ้าน ไม่ลอก ข้อสอบ เพื่อขยายผลในสถานศึกษาเป้าหมาย (4) การยกระดับศูนย์ให้ค�าปรึกษาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เพื่อพัฒนารูปแบบการให้ค�าปรึกษา ในรูปแบบออนไลน์ กับสถาบันอุดมศึกษาและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้น�าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกอบรมอย่าง ครอบคลุม (5) การสร้างวิทยากรหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ด�าเนินการสร้างวิทยากรต้นแบบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพื่อขยายผลสู่ภาคประชาชน จ�านวน 1,568 คน และวิทยากรตัวคูณในการปลูกฝังวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ในกลุ่มเป้าหมายพระภิกษุสงฆ์และสามเณรที่ท�าหน้าที่เป็นครูสอนศีลธรรมและพระนักเทศน์ จ�านวน 339 รูป เพื่อด�าเนินการขยายผลสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของการทุจริต สามารถแยกแยะประโยชน์ส่วนตน กับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ทนต่อการทุจริต และบูรณาการความร่วมมือต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ 2.2 ประชาชนมีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริต ด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่อ�านาจในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส รวมทั้งด�าเนินการเพื่อป้องกันการทุจริต ตลอดจนเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยม เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการจัดให้มีกลไกแจ้งเตือนกรณี พบว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อว่าอาจมีการทุจริตในหน่วยงานของตน ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการทุจริต รวมถึงค่านิยมที่เน้นการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ในสังคมเพื่อให้เกิดการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 145 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีการด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อส่งเสริมการ มีส่วนร่วมต่อต้านการทุจริตในทุกภาคส่วน ซึ่งด�าเนินการโดยส�านักงาน ป.ป.ช. มุ่งเน้นให้มีการขับเคลื่อนกิจกรรม อย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกันทุกกลุ่มเป้าหมาย ตามแนวคิด STRONG Connectivity หมายถึง การบูรณาการ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมต้านทุจริตอย่างเป็นระบบครอบคลุมทุกภาคส่วน มีศูนย์กลางเชื่อมโยงโครงการ ของส�านักงาน ป.ป.ช. เข้าด้วยกันภายใต้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาและโมเดล STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต (รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ, 2560, 2561, 2562) ในกลุ่มเป้าหมายภาคประชาชนด�าเนินการภายใต้ โครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นการด�าเนินโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยต่อยอดจากการจัดตั้งชมรม STRONG- จิตพอเพียงต้านทุจริต ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งมีการขยายผลจัดตั้งชมรมลงสู่ระดับอ�าเภอ และต�าบลในหลายจังหวัด โดยในส่วนของกรุงเทพมหานครมีการจัดตั้งชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ระดับกลุ่มโซน ครบทั้ง 6 กลุ่มโซน คือ กลุ่มโซนกรุงเทพกลาง กลุ่มโซนกรุงเทพเหนือ กลุ่มโซนกรุงเทพตะวันออก กลุ่มโซนกรุงเทพใต้ กลุ่มโซนกรุงธนเหนือ และกลุ่มโซนกรุงธนใต้ ซึ่งแต่ละชมรมมีองค์ประกอบ ได้แก่ โค้ช STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต คณะกรรมการชมรมฯ สมาชิกชมรมฯ และแกนน�าเยาวชน ภาพรวม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตทั่วประเทศ มีจ�านวนเครือข่ายภาคประชาชน ที่เข้าร่วมกิจกรรมเวทีชุมชน STRONG ขยายผลจิตพอเพียงต้านทุจริตสู่เครือข่ายและชุมชนทั่วประเทศ จ�านวน 12,073 คน และกิจกรรมการสร้างเยาวชน Anti-corruption Young Leaders (ACYL) ทั่วประเทศ จ�านวน 8,295 คน รวมทั้งสิ้น 20,368 คน เมื่อรวมกับโค้ช คณะกรรมการชมรมฯ สมาชิกชมรมฯ แกนน�าเยาวชน และเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2563 จ�ำนวน 65,443 คน คิดเป็นประชาชนที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ STRONG- จิตพอเพียงต้านทุจริต ทั้งสิ้นรวม 85,811 คน รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 138 จัดให้มีกลไกแจ้งเตือนกรณีพบว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อว่าอาจมีการทุจริตในหน่วยงานของตน ส่งเสริมให้ประชาชน และชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการทุจริต รวมถึงค่านิยมที่เน้นการพึ่งพาระบบ อุปถัมภ์ในสังคมเพื่อให้เกิดการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีการดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อส่งเสริมการ มีส่วนร่วมต่อต้านกา รทุจริตในทุกภาคส่วน ซึ่งดาเนินการโดยสำนักงาน ป.ป.ช. มุ่งเน้นให้มีการขับเคลื่อนกิจกรรม อย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกันทุกกลุ่มเป้าหมาย ตามแนวคิด STRONG Connectivity หมายถึง การบูรณาการ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมต้านทุจริตอย่างเป็นระบบครอบคลุมทุกภาคส่วน มีศูนย์กลาง เชื่อมโยงโครงการของ สำนักงาน ป.ป.ช. เข้าด้วยกันภายใต้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาและโมเดล STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต (รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ,2560,2561,2562 ) ในกลุ่มเป้าหมายภาคประชาชนดำเนินการภายใต้ โครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 เป็นการดาเนินโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยต่อยอดจากการจัดตั้งชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งมีการขยายผลจัดตั้งชมรมลงสู่ระดับอาเภอ และตาบลในหลายจังหวัด โดยในส่วนของกรุงเทพมหานครมีการจัดตั้งชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ระดับกลุ่มโซน ครบทั้ง 6 กลุ่มโซน คือ กลุ่มโซนกรุงเทพกลาง กลุ่มโซนกรุงเทพเหนือ กลุ่มโซนกรุงเทพตะวันออก กลุ่มโซนกรุงเทพใต้ กลุ่มโซนกรุงธนเหนือ และกลุ่มโซนกรุงธนใต้ ซึ่งแต่ละชมรมมีองค์ประกอบ ได้แก่ โค้ช STRONG - จิตพอ เพียงต้านทุจริต คณะกรรมการชมรมฯ สมาชิกชมรมฯ และแกนนาเยาวชน ภาพรวม ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 ชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริตทั่วประเทศ มีจานวนเครือข่ายภาคประชาชน ที่เข้าร่วมกิจกรรมเวทีชุมชน STRONG ขยายผลจิตพอเพียงต้านทุจริตสู่เครือข่ายและชุมชนทั่วประเทศ จานวน 12,073 คน และกิจกรรมการสร้างเยาวชน Anti - corruption Young Leaders ( ACYL ) ทั่วประเทศ จำนวน 8,295 คน รวมทั้งสิ้น 20,368 คน เมื่อรวมกับโค้ช คณะกรรมการชมรมฯ สมาชิกชมรมฯ แกนนาเยาวชนและ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 146 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ก�าหนดแนวทางให้ชมรม STRONG-จิตพอเพียง ต้านทุจริต มีกิจกรรมส�าคัญที่ด�าเนินการในทุกจังหวัด คือ การส�ารวจพื้นที่ อย่างน้อยจังหวัดละ 3 อ�าเภอ เพื่อสังเกตกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตหรือการเกิดกรณีขัดกันของผลประโยชน์ในพื้นที่ รวมทั้งให้สมาชิก ในชมรมฯ ร่วมกันจับตามองประเด็นความเสี่ยงดังกล่าว และเมื่อพบกรณีที่อาจเป็นการทุจริต ก็สามารถแจ้ง เบาะแสให้ แก่ส�านักงาน ป.ป.ช. หรือส่งเรื่องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหา หรือบรรเทาความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เกิดผลผลิตส�าคัญภายใต้กิจกรรมของโครงการฯ ได้แก่ การส�ารวจและจับตามอง ความเสี่ยงต่อการทุจริตในระดับพื้นที่ของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ทั่วประเทศ สามารถด�าเนินการ ได้ครอบคลุม 297 อ�าเภอ จากเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ 228 อ�าเภอ และมีการจัดท�าข้อเสนอแนวทางการมีส่วนร่วม ต้านทุจริตโดยภาคประชาชน จ�านวน 105 แนวทาง ผลลัพธ์ที่ส�าคัญของโครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต คือการส่งเสริมให้ประชาชน มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยการร่วมผลักดั น มาตรการและแนวทางป้องกันการทุจริตที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนดสู่การปฏิบัติในการส�ารวจ การจับตามอง และแจ้งเบาะแส (Watch and Voice) จนเป็นผลให้สามารถยับยั้งความเสี่ยง หรือยับยั้งการกระท�าความผิด และกรณีที่มีหลักฐานข้อมูลเพียงพอที่จะแจ้งเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด�าเนินการตามกฎหมายหรือแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยมาตรการหรือแนวทางที่ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต มีการด�าเนินการในหลายพื้นที่ ได้แก่ 1) การร่วมกันตรวจสอบคุณภาพอาหารกลางวันและอาหารเสริม (นม) ของสถานศึกษา 2) การกระท�าความผิดที่เกี่ยวข้องกับการรุกล�้าล�าน�้า 3) การสอดส่องดูแลการรุกล�้าพื้นที่ สาธารณะในเขตชุมชน (ทางเท้า) 4) การติดตั้งป้ายโฆษณาที่ผิดกฎหมายหรือรุกล�้าที่สาธารณะ 5) การติดตาม โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค (เช่น ถนน สะพาน อาคาร ประปา ฯลฯ) และ 6) การจับตามองความเสี่ยงในการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไปในพื้นที่ ทั้งนี้ ผลจากการด�าเนินผลักดันมาตรการหรือแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวมีทั้งกรณีที่มีหลักฐานข้อมูล เพียงพอที่จะแจ้งเรื่องต่อส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เพื่อด�าเนินการตามกฎหมาย เช่น กรณีการติดตั้งเสาไฟ ประติมากรรมกินรี พร้อมโคมไฟระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) ขององค์การบริหารส่วนต�าบลราชาเทวะ อ�าเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ กรณีการติดตั้งเสาไฟฟ้าอยู่กลางถนนภายหลังการก่อสร้างถนนคอนกรีต เสริมเหล็กของจังหวัดเชียงราย และกรณีที่ส่งต่อเรื่องให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ให้แก่ประชาชน เช่น กรณีการรื้อถอนป้ายโฆษณาที่ผิดกฎหมายหรือรุกล�้าที่สาธารณะและการคืนพื้นที่ทางเท้า ให้แก่สาธารณะในหลายจังหวัด ในส่วนของการส่งเสริมบทบาทเยาวชน Anti-corruption Young Leaders (ACYL) ทั่วประเทศ ให้เข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการทุจริตในพื้นที่ สมาชิกแกนน�าเยาวชนในชมรม STRONG-จิตพอเพียง ต้านทุจริต ได้มีส่วนร่วมจัดท�าข้อเสนอแนวทางป้องกันการทุจริตสู่การปฏิบัติ จ�านวน 144 เรื่อง ในประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ 1) การกระท�าความผิดที่เกี่ยวข้องกับการรุกล�้าล�าน�้า 2) การสอดส่องดูแลการรุกล�้าพื้นที่สาธารณะ ในเขตชุมชน (ทางเท้า) 3) การติดตั้งป้ายโฆษณาที่ผิดกฎหมายหรือรุกล�้าที่สาธารณะ ทั้งนี้ จากการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของโครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีตัวอย่างผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact) จากผลงานการจับตามอง และแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ที่น่าสนใจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต กรุงเทพมหานคร จับตามองและ แจ้งเบาะแส (Watch & Voice) กรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเป็นเท็จจากเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ หน่วยงานตรวจสอบได้ท�าการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และประชาชน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 147 ได้รับการรักษาตามสิทธิอย่างถูกต้อง ผู้ประกอบการสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการต้องด�าเนินกิจการ อย่างโปร่งใส เนื่องจากประชาชนผู้ใช้บริการมีความตื่นตัว เข้าใจ และตระหนักในสิทธิการเข้าถึงการรักษาของ ตนเอง รวมทั้งจับตามอง เพื่อป้องกันการทุจริตงบประมาณของแผ่นดิน ภาค 1 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดสมุทรปราการ จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นการติดตั้งเสาไฟประติมากรรมกินรี พร้อมโคมไฟระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) ขององค์การบริหารส่วนต�าบลราชาเทวะ อ�าเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ อ�าเภอบางพลี ได้สั่งการขอให้องค์การบริหารส่วนต�าบลราชาเทวะ อ�าเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ชะลอโครงการออกไปก่อน เพื่อให้หน่วยงานตรวจสอบได้ท�าการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ภาค 2 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดชลบุรี จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นปั๊มน�้าล่องหน โครงการประปาหมู่บ้าน ต�าบลละ 5 ล้าน ใช้งานไม่ได้ตั้งแต่ปี 2559 ในพื้นที่ อ�าเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ ประชาชนในพื้นที่และอ�าเภอพานทอง รวมถึงหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องได้ติดตามทวงถามกับเอกชนคู่สัญญา และได้เข้ามาด�าเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาค 3 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดศรีสะเกษ จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นสิ่งล่วงล�้าล�าน�้า และการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่บริเวณริมอ่างเก็บน�้าห้วยส�าราญ เส้นทางจากบ้านแซร์ไปร์ - ด่านช่องสง�า (ด้านฝั่งขวา) อ�าเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ถึงปัญหาและน�าไปสู่การแก้ไขปัญหา ไม่ละเลยการด�าเนินการตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการกระท�าความผิด ภาค 4 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดอุดรธานี จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นการขุดดินในที่สาธารณะประโยชน์/ป่าชุมชนหนองแวงน้อย น�ามาสร้างถนน ในโครงการพัฒนาทางหลวงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและขนส่ง หมายเลข 2097 สายนาค�าไฮ-บ้านผือ ช่วงรอยต่อระหว่างจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองบัวล�าภู เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ ผู้รับสัมปทานหยุด การด�าเนินการขุดดินในที่สาธารณะประโยชน์/ป่าชุมชน และมีการด�าเนินคดีกับผู้รับสัมปทานและผู้มีส่วน เกี่ยวข้องในการกระท�าความผิด ภาค 5 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นเสาไฟฟ้าอยู่กลางถนนภายหลังการด�าเนินการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กแล้วเสร็จ เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ ชมรมได้มีการติดตามและขอทราบข้อเท็จจริง จนน�าไปสู่การแก้ไขของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยได้เข้ามาด�าเนินการย้ายเสาไฟฟ้าออกนอกเขตถนนเรียบร้อยแล้ว ภาค 6 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดพิจิตร จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน�้าท่วม พื้นที่ชุมชนบางมูลนาก ระยะที่ 3 ต�าบลหอไกร อ�าเภอ บางมูลนาก จังหวัดพิจิตร งบประมาณก่อสร้าง 197,970,000 บาท เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ ผู้รับจ้างแก้ไขปัญหา ของประชาชนที่บ้านเรือนเสียหายจากการก่อสร้าง ประชาชนไม่ต้องเดือดร้อนหรือมีผลกระทบจากปัญหาน�้าท่วม ภาค 7 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดสมุทรสงคราม จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นการรุกล�้าล�าน�้าในแม่น�้าแม่กลอง ตลอดทั้ง 3 อ�าเภอ คือ อ�าเภอเมืองสมุทรสงคราม อ�าเภออัมพวา และอ�าเภอบางคนที เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง (ส�านักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาสมุทรสงคราม และส�านักงานโยธาธิการและผังเมืองสมุทรสงคราม) ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาด�าเนินการ ตามกฎหมายแล้ว ภาค 8 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดภูเก็ต จับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ประเด็นการแสวงหาประโยชน์บนหาดสาธารณะในอ�าเภอเมืองภูเก็ต อ�าเภอกะทู้ และอ�าเภอถลาง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 148 เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ หน่วยงานของรัฐมีการก�ากับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานอย่างสม�่าเสมอ และปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการทุจริต ภาค 9 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดสงขลา จับตามองและแจ้งเบาะแส (watch & voice) ประเด็นการประกอบกิจการดูดทรายคลองภูมี อ�าเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เกิดผลลัพธ์ผลกระทบ คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมจังหวัด กรมเจ้าท่า อ�าเภอรัตภูมิ กอ.รมน.จังหวัดสงขลา ได้ด�าเนินการ ตรวจสอบและจับกุมผู้กระท�าความผิดในพื้นที่ และกิจการดูดทรายลดน้อยลง นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต สามารถขยาย ผลการท�างานด้วยตนเองภายใต้การดูแลของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด โดยการขอรับเงินสนับสนุนจาก กองทุน ป.ป.ช. ได้มากถึง 45 จังหวัด ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ก�าหนดแผนยกระดับ การด�าเนินงานของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตทั่วประเทศ ด้วยการพัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้ STRONG- จิตพอเพียงต้านทุจริต ประจ�าจังหวัด (STRONG Anti-Corruption Learning Center)” เพื่อเป็นพื้นที่แสดง ผลงาน เผยแพร่ความรู้ และสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในกลุ่มสมาชิกชมรมฯ รวมทั้งมีแนวทางที่จะยกระดับสมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต กลุ่มเยาวชน ในทุกจังหวัด ให้เป็น “ชมรมเยาวชน STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ประจ�าจังหวัด (STRONG Anti-Corruption Young Leaders)” เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเพิ่มบทบาทของภาคเยาวชนในชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตทุกจังหวัด ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ส�าหรับกลุ่มเป้าหมายองค์กร ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้เน้นด�าเนินการเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุน หน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดให้มีกลไกแจ้งเตือนกรณีพบว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อว่าอาจมีการทุจริตในหน่วยงานของตน โดยด�าเนินการภายใต้ โครงการ STRONG-องค์กรพอเพียงต้านทุจริต ในกลุ่มเป้าหมายทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันอุดมศึกษา สนับสนุนให้หน่วยงานน�าโมเดล STRONG- จิตพอเพียงต้านทุจริต (รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ, 2560, 2561, 2562) ไปประยุกต์ตามสภาพแวดล้อม สร้างเป็นค่านิยมองค์กรเพื่อให้องค์กรโปร่งใส มีระบบการป้องกัน ตรวจจับ และต่อต้านการทุจริตจากภายในที่มี ประสิทธิภาพ มีจ�านวนหน่วยงานเข้าร่วมเป็นองค์กรพอเพียงต้านทุจริต มากกว่า 50 หน่วยงาน โดยมีการจัดตั้ง เป็นชมรม STRONG ภายในองค์กร และส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องโดยการขอรับเงินสนับสนุนจาก กองทุน ป.ป.ช. ทั้งนี้ หน่วยงานที่เป็นองค์กรต้นแบบภายใต้โครงการ ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ : ส�านักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และส�านักงานเลขาธิการวุฒิสภา หน่วยงานภาคเอกชน : บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จ�ากัด (มหาชน) หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : เทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งองค์กร ต้นแบบมีบทบาทส�าคัญในการสนับสนุนการขยายผลไปสู่หน่วยงานอื่น ๆ ตามกลุ่มประเภทองค์กร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นอีกก้าวส�าคัญของการขับเคลื่อน STRONG-องค์กรพอเพียง ต้านทุจริต ผ่านกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพโค้ช STRONG–องค์กรพอเพียงต้านทุจริต ให้แก่บุคลากรของหน่วยงาน ที่แสดงความประสงค์เข้าร่วมเป็นองค์กรพอเพียงต้านทุจริต โดยอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (โค้ชเพื่อ การรู้คิดต้านทุจริต) เพื่อให้ผู้ผ่านการอบรมท�าหน้าที่เป็นผู้น�าทีมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรม ไปสู่การวางแนวทางปฏิบัติ ขยายผลการรวมกลุ่มของบุคลากรภายในองค์กร รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมประชุม เชิงปฏิบัติการเพื่อขยายผล STRONG–องค์กรพอเพียงต้านทุจริต ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายองค์กรประเภทต่าง ๆ ได้แก่ 1. หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน จ�านวน 7 แห่ง ดังนี้ 1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 3. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 4. องค์การเภสัชกรรม 5. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 6. บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จ�ากัด (มหาชน) และ 7. บริษัท ไทยออยล์ จ�ากัด (มหาชน)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 149 2. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ�านวน 19 แห่ง ดังนี้ 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2. เทศบาลนครนนทบุรี 3. เทศบาลนครยะลา 4. เทศบาลนครสมุทรปราการ 5. เทศบาลนครหาดใหญ่ 6. เทศบาลนคร แหลมฉบัง 7. เทศบาลนครอุบลราชธานี 8. เทศบาลเมืองบ้านทุ่ม จังหวัดขอนแก่น 9. เทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ 10. เทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี 11. เทศบาลต�าบลกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 12. เทศบาลต�าบลปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 13. องค์การบริหารส่วนต�าบลศาลาลัย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 14. องค์การบริหารส่วนต�าบลเขาแดง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 15. องค์การบริหารส่วนต�าบลบ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 16. องค์การบริหารส่วนต�าบลวังก์พง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 17. องค์การบริหาร ส่วนต�าบลทับใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 18. องค์การบริหารส่วนต�าบลเขาล้าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ 19. องค์การบริหารส่วนต�าบลบางรักน้อย จังหวัดนนทบุรี 3. กรุงเทพมหานคร ส�านักส่วนกลาง 17 ส�านัก และส�านักงานเขต 23 เขต 4. สถาบันอุดมศึกษา จ�านวน 11 แห่ง ดังนี้ 1. โรงเรียนนายร้อยต�ารวจ 2. มหาวิทยาลัยราชภัฏ จันทรเกษม 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 4. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 5. มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 6. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 7. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 8. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 9. มหาวิทยาลัยสยาม 10. มหาวิทยาลัยศิลปากร และ 11. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ โดยมีการวิเคราะห์ผลการด�าเนินงานของหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการเพื่อถอดบทเรียน เผยแพร่ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สถาบันอุดมศึกษาทุกประเภททั่วประเทศ จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากประสบการณ์ขององค์กรพอเพียงต้านทุจริต ที่มีคุณค่า โดยมีผู้บริหารและบุคลากรเป็นกลไกส�าคัญ ในการขับเคลื่อนความโปร่งใสภายในองค์กร สร้างผลกระทบ เชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรในวงกว้าง สามารถใช้เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาของหน่วยงานน�าโมเดล STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน และจัดตั้งเป็นชมรมขยายผล การด�าเนินงานผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในการส่งเสริมคุณธรรมความโปร่งใส ไร้สินบนภายในหน่วยงาน ลดความเสี่ยงต่อการทุจริต เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายองค์กรแกนน�าที่สร้างวัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริตได้อย่างยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะมุ่งเน้นการสร้างชมรม STRONG องค์กรพอเพียงต้านทุจริต ในสถาบัน อุดมศึกษา เพื่อให้เกิดชมรมทั้งในระดับบุคลากรและระดับนิสิตนักศึกษาต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังให้ความส�าคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านทุจริต ผ่าน กลไกทางศาสนา ด�าเนินการภายใต้ โครงการบูรณาการแนวทางความร่วมมือทางศาสนาในการต่อต้าน ทุจริต เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาเห็นว่ากลไกพระพุทธศาสนามีความส�าคัญต่อการขับเคลื่อนงาน ด้านการต่อต้านการทุจริต ดังจะเห็นว่าในประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาพุทธมากที่สุด ถึงร้อยละ 94.6 ประชาชน มีความเคารพในพระสงฆ์และคณะสงฆ์มีความใกล้ชิดกับประชาชนทุกระดับ รวมทั้งพระสงฆ์มีบทบาทและหน้าที่ กล่อมเกลาจิตใจและลักษณะนิสัยของคนไทยให้เป็นคนดี ซื่อสัตย์ สุจริตตามหลักธรรมค�าสอน ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ประสานงานกับส�านักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติน�าเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาด�าเนินการประยุกต์หลักธรรมค�าสอนกับ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education เพื่อเผยแพร่ให้กับพุทธศาสนิกชน ในคราวประชุม ครั้งที่ 20/2563 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 และมหาเถรสมาคมได้มีมติ ครั้งที่ 9/2563 มติที่ 192/2563 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบตามเสนอให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร) และพระสงฆ์ ด�าเนินการ ดังนี้ 1. ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมด�าเนินการประยุกต์หลักธรรมค�าสอน กับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education เผยแพร่ให้กับพุทธศาสนิกชน ให้เกิดการ “บวร” บ้าน วัด และโรงเรียน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 150 2. ให้ความร่วมมือกับส�านักงาน ป.ป.ช. ในการด�าเนินการโครงการน�าร่อง โครงการบูรณาการ แนวทางความร่วมมือทางศาสนาในการต่อต้านการทุจริต โดยการประยุกต์หลักธรรมค�าสอน กับหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education เพื่อเผยแพร่ให้กับพุทธศาสนิกชน และ 3. อนุญาตให้ส�านักงาน ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการคณะหนึ่งเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต ประกอบด้วย (1) พระภิกษุสงฆ์ จ�านวน 3 รูป ที่มหาเถรสมาคมมอบหมายเป็นที่ปรึกษา (2) อธิการบดี มจร หรือผู้แทน เป็นที่ปรึกษา และ (3) อธิการบดี มมร หรือผู้แทน เป็นที่ปรึกษา โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานครและพระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม วัดปทุมคงคาวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นที่ปรึกษา โดยมีประธานกรรมการ ป.ป.ช. (พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ) เป็นประธานอนุกรรมการ และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ จัดท�ารายละเอียดในการด�าเนินงานของคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตโดยใช้กลไกทางพระพุทธศาสนา โดยมีพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อจัดท�า หลักธรรมค�าสอนทางพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti - Corruption Education ผลการด�าเนินงานของคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ส�าเร็จเป็น หนังสือ “หลักธรรมค�าสอน ในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education)” และแนวทางการขับเคลื่อน หลักธรรมค�าสอน ในพระพุทธศาสนากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ซึ่งมหาเถรสมาคม ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ให้น�าไปเผยแผ่สู่ภาคประชาชนทั่วประเทศ โดยพระสงฆ์ในสังกัดต่าง ๆ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 151 อาทิ พระสอนศีลธรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) พระธรรมทูต พระธรรมจาริก พระธรรมวิทยากร พระปริยัตินิเทศ พระวิปัสสนาจารย์ และพระสังฆาธิการ รวมจ�านวนมากกว่า 50,000 รูป การบูรณาการแนวทางความร่วมมือทางศาสนาในการต่อต้านการทุจริตโดยการประยุกต์หลักธรรม ค�าสอนกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education จึงเป็นการเสริมพลังการมีส่วนร่วมของ ศาสนบุคคลขับเคลื่อนพลัง “บ-ว-ร” ต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีการด�าเนินการเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ได้พระวิทยากร ที่มีความรู้ความสามารถเป็นจ�านวนมากที่จะเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้กับเด็ก เยาวชน และพุทธศาสนิกชน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ต่อไป ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป กลไกทางศาสนาและกลไกทางการศึกษา จะน�าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา พ.ศ. 2561 แผ่ขยายไปทั่วประเทศพร้อม ๆ กัน ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในทางโลกและทางธรรม ในการปลูกฝังความเข้มแข็งในจิตใจของคนไทยในระดับปัจเจกบุคคล กลไกการศึกษาทางโลกจะปลูกฝังผู้เรียน ให้มีวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม มีความอายและไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตความเป็นพลเมือง ในทั้งสามศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมต่อต้านทุจริตในกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายดังที่กล่าวข้างต้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พัฒนา เครื่องมือสนับสนุนการด�าเนินงานและเชื่อมต่อ ผลผลิตผลลัพธ์ของทุกกลุ่มเป้าหมายเข้าด้วยกัน จ�านวน 3 เครื่องมือ ได้แก่ คลังเครื่องมือป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Toolbox) เป็นเครื่องมือที่เกิดจากการ รับฟังความต้องการของเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ประสงค์ให้ส�านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนข้อมูลที่จ�าเป็นส�าหรับ การมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก โดยการรวบรวมองค์ความรู้พื้นฐาน จากหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องมือตรวจสอบ วิเคราะห์ ระบบแจ้งเรื่องร้องเรียน ฯลฯ ที่อยู่กระจัดกระจาย และยากแก่การเข้าถึง น�ามารวมไว้ในรูปแบบเว็บเพจเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านทางเว็บไซต์ส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งนับตั้งแต่เปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2564 จนถึงกันยายน 2564 มีผู้เข้าชมมากกว่า 13,000 ครั้ง เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน WE STRONG เป็นเครื่องมือที่น�าเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ในการเชื่อมโยงการสื่อสารของเครือข่ายภาคประชาชนชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตในทุกจังหวัด และเครือข่ายชมรม STRONG องค์กรพอเพียงต้านทุจริตทั่วประเทศ เพื่อสร้างศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูล บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งสมาชิกสามารถแจ้งเบาะแส แบ่งปันประเด็นความสนใจ ให้ความรู้ แจ้งข่าวสาร ตลอดจนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการด�าเนินงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาเพื่อต่อยอด การท�างานร่วมกันทั้งกับส�านักงาน ป.ป.ช. และระหว่างเครือข่ายด้วยกันเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ สอดคล้องกับรูปแบบการสื่อสารของคนรุ่นใหม่ ข้อมูล ณ กันยายน 2564 มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ WE STRONG มากกว่า 50,000 คน และ มีผู้สมัครเป็นสมาชิกแอปพลิเคชัน WE STRONG จ�านวนมากกว่า 3,300 คน แผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping) เป็นเครื่องมือที่ส�านักงาน ป.ป.ช. พัฒนาขึ้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยน�าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการรวบรวม จ�าแนก และน�าเสนอข้อมูลเบาะแสหรือความเสี่ยงต่อการทุจริตที่ประมวลจากการด�าเนินกิจกรรมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม ของสมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตทั่วประเทศ เป็นฐานข้อมูลความเสี่ยงต่อการทุจริตทั้งในระดับ จังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ แสดงผลในรูปแบบกราฟฟิกแผนที่ประเทศไทย ซึ่งสามารถน�ามาต่อยอด สู่การวิเคราะห์เปรียบเทียบ คาดการณ์แนวโน้ม และวางแผนการป้องกันการทุจริต โดยการน�าข้อมูลไปใช้ร่วมกับ สถิติคดีและผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 152 Transparency Assessment : ITA) เพื่อก�าหนดเป้าหมายและวิธีการด�าเนินงานด้านป้องกันการทุจริตที่สอดคล้อง กับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การด�าเนิน โครงการการพัฒนาแผนที่พื้นที่เสี่ยงในประเทศไทยอย่างมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีกิจกรรมส�าคัญที่ด�าเนินการในส่วนแรกคือ การต่อยอดน�าข้อมูลพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ไปสู่การแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส�านักด้านป้องกันการทุจริต เป็นศูนย์กลางน�าร่องด�าเนินการร่วมกับส�านักส่วนกลางที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง จ�านวน 8 ส�านัก ประกอบด้วย 1) ส�านักส่ งเสริมและบูรณาการการมีส่ วนร่ วมต้ำนทุจริต 2) ส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม 3) ส�านักต้านทุจริตศึกษา 4) ส�านักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส 5) ส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 6) ส�านักสื่อสารองค์กร 7) ส�านักสืบสวนและกิจการพิเศษ และ 8) ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านป้องกัน และปราบปรามการทุจริต โดยความร่วมมือของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-9 และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด จ�านวน 9 จังหวัด ที่ได้รับมติให้เป็นพื้นที่น�าร่องด�าเนินการภาคละ 1 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี จังหวัดชลบุรี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา การน�าผลการปักหมุดความเสี่ยงต่อการทุจริตไปสู่การแก้ไขปัญหาส่งผลให้มีการขับเคลื่อน ความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ ในแต่ละพื้นที่ อาทิ พื้นที่ภาค 1 เลือกจังหวัดลพบุรีเป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุดกรณีสิ่งล่วงล�้าล�าน�้า แม่น�้าลพบุรี แม่น�้าบางขาม และแม่น�้าป่าสัก จังหวัดลพบุรี พื้นที่ภาค 2 เลือกจังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่น�าร่อง ในประเด็นการบุกรุกเขาป่าไผ่ ต�าบลโป่ง อ�าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พื้นที่ภาค 3 เลือกจังหวัดศรีสะเกษ เป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุดกรณีการบุกรุกบริเวณพื้นที่อ่างเก็บน�้าห้วยส�าราญ อ�าเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่ภาค 4 เลือกจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุดกรณีการบุกรุกบึงแหลมพะยอม บึงใหญ่ โพนทอง อ�าเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่ภาค 5 เลือกจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุด กรณีการบุกรุกพื้นที่สาธารณะหนองหลวง ตั้งอยู่ในพื้นที่ต�าบลเวียงชัยและต�าบลดอนศิลา อ�าเภอเวียงชัย และ ต�าบลห้วยสัก อ�าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พื้นที่ภาค 6 เลือกจังหวัดนครสวรรค์เป็นพื้นที่น�าร่อง ในประเด็นปักหมุดกรณีการรุกล�้าอ่างเก็บน�้าคลองโพธิ์ อ�าเภอแม่เปิน และอ�าเภอชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ภาค 7 เลือกจังหวัดเพชรบุรีเป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุด 2 เรื่อง ได้แก่ กรณีการรุกล�้าแม่น�้าเพชรบุรี ต�าบลแก่งกระจาน อ�าเภอแก่งกระจาน และกรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ต�าบลวังจันทร์ อ�าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ภาค 8 เลือกจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่น�าร่อง ในประเด็นปักหมุดกรณีการประกอบ กิจการขุดตักทรายบริเวณคลองกลาย อ�าเภอนบพิต�า จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ภาค 9 เลือกจังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุด 2 เรื่อง ได้แก่ กรณีการประกอบกิจการดูดทรายคลองภูมี (คลองรัตภูมิ) อ�าเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา และกรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุฉิมพลี ต�าบลเชิงแส อ�าเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา และ พื้นที่กรุงเทพมหานคร เลือกกลุ่มโซนกรุงเทพตะวันออกเป็นพื้นที่น�าร่องในประเด็นปักหมุดกรณีการสร้าง เขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (เขื่อน ค.ส.ล.) บริเวณริมคลองแสนแสบ-คลองนครเนื่องเขตต์ (เขตหนองจอก) ผลลัพธ์ที่ส�าคัญจากกิจกรรมดังกล่าว อาทิ กรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเขาไผ่ อ�าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อมีการลงพื้นที่ร่วมกันของหน่วยงานภายในส�านักงาน ป.ป.ช. และการประสาน ความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดเป็นกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกคณะอนุกรรมการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับ จังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหา ได้แก่ กรมป่าไม้ ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความร่วมมือกับส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดชลบุรีและเครือข่าย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 153 ภาคประชาชนชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดชลบุรี ในการก�าหนดแนวเขตป่าให้ชัดเจน ผลักดัน ผู้บุกรุกใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อท�าการเกษตรไร่มันส�าปะหลังและสวนยางพาราให้ออกจากพื้นที่ ปลูกป่าทดแทน เพื่อคืนแหล่งต้นน�้าให้กับจังหวัดชลบุรี และร่วมกันเฝ้าระวังในระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ดังกล่าว ถูกบุกรุกซ�้าอีก ในส่วนของกิจกรรมที่ 2 คือ การสร้างชุดข้อมูลความเสี่ยงต่อการทุจริตที่เป็นปัจจุบันเพื่อบันทึก ลงในแผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping) ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการรับข้อมูลความเสี่ยง ต่อการทุจริตในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผ่านกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติ Focus Group ในพื้นที่ภาค 1 - 9 และกรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด และสมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ผลการจัดกิจกรรมได้รับข้อมูลความเสี่ยงต่อการทุจริตทั่วประเทศไทยที่สะท้อนโดยภาคประชาชนที่ด�าเนินงาน ร่วมกับส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด น�ามาวิเคราะห์ จ�าแนก และบันทึกเป็นชุดข้อมูลความเสี่ยงต่อการทุจริต ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ปรากฏประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นคล้ายกันในหลายพื้นที่ จ�านวน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ การบุกรุกป่า การรุกล�้าล�าน�้า การจัดสรรพื้นที่ป่าเพื่อเกษตรกรรม การลักลอบดูดทรายในล�าน�้า ฯลฯ เกิดขึ้นหลายจังหวัดในพื้นที่ภาค 2 ภาค 5 และภาค 8 2) ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนน เสาไฟฟ้าประติมากรรม เสาไฟฟ้านวัตกรรม ประปาหมู่บ้าน ทางระบายน�้า เขื่อน ฯลฯ เกิดขึ้นหลายจังหวัดในพื้นที่ภาค 1 ภาค 7 และภาค 9 3) ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตการใช้จ่ายงบประมาณโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ โควิด-19 (เงินกู้ 400,000 ล้านบาท) อาทิ โครงการโคกหนองนา โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการแก้ไขปัญหา ภัยแล้ง/อุทกภัย ฯลฯ เกิดขึ้นหลายจังหวัดในพื้นที่ภาค 3 ภาค 4 และภาค 6 การพัฒนาแผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต จึงเป็นภารกิจที่ตอบโจทย์การส่งเสริมให้ประชาชน รวมตัวกันรังเกียจการทุจริตและมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตในมิติด้านพื้นที่ (Area based) ขณะเดียวกัน ก็ยังได้ข้อมูลในเชิงมิติด้านเวลาและมิติด้านกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน เกิดฐานข้อมูล ความเสี่ยงต่อการทุจริตในทุกจังหวัดทุกพื้นที่เพื่อน�าไปใช้ประโยชน์ผ่านการบูรณาการข้อมูลจากการส�ารวจอื่น ๆ เช่น สถิติคดี การประเมิน ITA การส�ารวจการรับรู้การทุจริต เพื่อการจัดล�าดับประเด็นการทุจริตที่ควรเฝ้าระวัง ในแต่ละจังหวัด เป็นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ให้แก่ภารกิจ การเฝ้าระวังการทุจริตในระดับจังหวัด ตลอดถึงภารกิจการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและปลุกจิตส�านึกในการต้านทุจริต ให้แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดฐานข้อมูลที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพเสริมการท�างาน ทั้งในการประเมิน สถานการณ์ทุจริตที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงการคาดการณ์การทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และจะขยายผล การน�าฐานข้อมูลแผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไปสู่การสร้างสรรค์ โครงการบูรณาการด้านป้องกันการทุจริตอื่น ๆ ของส�านักงาน ป.ป.ช. ต่อไป ผลลัพธ์จากการด�าเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้แนวคิด STRONG Connectivity ส่งผลให้ การบูรณาการเพื่อต่อต้านการทุจริตเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในทุกภาคส่วน กระบวนการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ได้รับการขับเคลื่อนไปอย่างเป็นระบบในทิศทางเดียวกัน สามารถสร้างให้เกิดสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตและชุมชน ที่เข้มแข็งในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งกุญแจส�าคัญสู่ความส�าเร็จคือการผลักดันกระบวนการนี้ให้เคลื่อนเชื่อมโยง ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนส่งผลให้ภาคประชาชน เยาวชน องค์กร และกลไกศาสนามีความเข้มแข็งด้วยเครื่องมือ สนับสนุนการท�างานที่ถ่ายทอดผลผลิตและผลลัพธ์ของการด�าเนินภารกิจป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อย่างเป็นรูปธรรม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 154 3. มาตรา 35 : การด�าเนินการกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการด�าเนินการอย่างใดในหน่วยงาน ของรัฐ อันอาจน�าไปสู่การทุจริตหรือส่อว่ามีการทุจริต 3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา “โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion)” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 คณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2559) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงินลงทุน 62,503.214 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 โครงการก่อสร้าง ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) โครงการ ก่อสร้างอาคารส�านักงานและ อาคารจอดรถ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ด้านทิศใต้ โครงการจัดหารถไฟฟ้าไร้คนขับและโครงการจัดหาระบบสายพานล�าเลียงกระเป๋า สัมภาระ โดย ทอท. ได้ด�าเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามแผนที่ก�าหนดไว้ ยกเว้นงานก่อสร้างอาคาร East Expansion ที่ชะลอการด�าเนินการ (ตามภาพด้านล่าง) ต่อมานักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเห็นคัดค้านการก่อสร้างอาคาร Multi Terminal ปัจจุบันเรียกว่า ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ หรือ North Expansion เนื่องจากจะท�าให้เกิดปัญหามากกว่า การแก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาการจราจรทางอากาศ ปัญหาความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการ เป็นต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 146/2563 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้ พิจารณาข้ อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริต กรณีศึกษาโครงการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสาร ด้านทิศเหนือ (North Expansion) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) มีมติเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันก ระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคาร เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 255 หรือ ทอท. วงเงิ น อาคารเทียบเครื่อง ด้านทิศตะวันออก อาคารจอดรถ โคร และโครงการจัดหา พัฒนาท่าอากาศย East Expansion ท ต่อมานักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความ ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ หร แก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาการจราจรทางอากาศ ป คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเสนอแนะ สุวรรณภูมิระยะที่ 2 กร Expansion ) ของบริษัท ต่อคณะรัฐมนตรีตามม ป้องกันและปราบปรามก 3. มาตรา 35 : การดาเนินการกรณีมีเห ของรัฐ อันอาจนำไปสู่การทุจริตหรือส่อ East Expansion รถไฟใต้ดินไร้คนขับ ( APM ) อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 1 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 147 3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา “ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ ( North Expansion )” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 คณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2559) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จากัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงิ นลงทุน 62,503.214 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสาร ด้านทิศตะวันออก ( East Expansion ) โครงการก่อสร้างอาคารสานักงานและ อาคารจอดรถ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ด้านทิศใต้ โครงการจัดหารถไฟฟ้าไร้คนขับ และโครงการจัดหาระบบสายพานลาเลียงกระเป๋าสัมภาระ โดย ทอท. ได้ดำเนินการ พัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามแผนที่กาหนดไว้ ยกเว้นงานก่อสร้างอาคาร East Expansion ที่ชะลอการดำเนินการ (ตามภาพด้านล่า ง) ต่อมานักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเห็นคัดค้านการก่อสร้างอาคาร Multi Terminal ปัจจุบันเรียกว่า ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ หรือ North Expansion เนื่องจากจะทาให้เกิดปัญหามากกว่าการ แก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาการจราจรทางอากาศ ปัญหาความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการ เป็นต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 146/2563 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการพัฒนาท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion ) ของบริษัท ท่าอำกาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีมติ เห็นควรมีข้อเสนอแนะ ต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้ 3. มาตรา 35 : การดาเนินการกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการดาเนินการอย่างใดในหน่วยงาน ของรัฐ อันอาจนำไปสู่การทุจริตหรือส่อว่ามีการทุจริต East Expansion รถไฟใต้ดินไร้คนขับ ( APM ) อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 1 E E S N W รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 147 3.1 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา “ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ ( North Expansion )” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 คณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2559) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จากัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงิ นลงทุน 62,503.214 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสาร ด้านทิศตะวันออก (East Expansion ) โครงการก่อสร้างอาคารสานักงานและ อาคารจอดรถ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ด้านทิศใต้ โครงการจัดหารถไฟฟ้าไร้คนขับ และโครงการจัดหาระบบสายพานลาเลียงกระเป๋าสัมภาระ โดย ทอท. ได้ดำเนินการ พัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามแผนที่กาหนดไว้ ยกเว้นงานก่อสร้างอาคาร East Expansion ที่ชะลอการดำเนินการ (ตามภาพด้านล่า ง) ต่อมานักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเห็นคัดค้านการก่อสร้างอาคาร Multi Terminal ปัจจุบันเรียกว่า ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ หรือ North Expansion เนื่องจากจะทาให้เกิดปัญหามากกว่าการ แก้ไขปัญหา เช่น ปัญหาการจราจรทางอากาศ ปัญหาความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการ เป็นต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 146/2563 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการพัฒนาท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion ) ของบริษัท ท่าอำกาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีมติ เห็นควรมีข้อเสนอแนะ ต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้ 3. มาตรา 35 : การดาเนินการกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการดาเนินการอย่างใดในหน่วยงาน ของรัฐ อันอาจนำไปสู่การทุจริตหรือส่อว่ามีการทุจริต East Expansion รถไฟใต้ดินไร้คนขับ ( APM ) อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 1 E E S N W
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 155 1. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) หรือ ทอท. ควรเร่งด�าเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยาย อาคาร ผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 ซึ่งอยู่ในแผนงานเดิมโดยเร็ว ให้สอดคล้องกับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ที่ก�าลังจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2565 และควรด�าเนินโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันตก (West Expansion) ในคราวเดียวกัน เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุด 75 ล้านคนต่อปี เพื่อลดความแออัดของอาคารผู้โดยสาร ปัจจุบัน 2. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) ควรด�าเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามค�าแนะน�าของส�านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ด�าเนินการขยาย อาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ เพื่อรองรับผู้โดยสาร ได้สูงสุด 120 ล้านคนต่อปี เป็นล�าดับแรกก่อน แล้วจึงน�าโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสาร ด้านทิศเหนือ (North Expansion) มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงคมนาคม บริษัทท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) รับข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งความเห็นของส�านักงบประมาณและส�านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติไปพิจารณาประกอบการด�าเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ากัด (มหาชน) เร่งรัดการศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Revisit) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ด�าเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ส�านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ทราบด้วยแล้ว 3.2 ข้ อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริตกรณีศึกษา โครงการ 1 หมู่ บ้ำน 1 กิโลเมตร ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ ในช่วงปี 2562 ภายหลังจากที่รัฐบาลได้มีนโยบาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน�าน�้ายางพารามาเป็นส่วนผสม ในการจัดท�าถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ ภายใต้โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการสารผสมเพิ่มรายหนึ่ง ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า การก�าหนดขั้นตอนในการให้การรับรองผู้ประกอบการสารผสมเพิ่ม อาจเข้าข่ายการผูกขาด และส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม การด�าเนินงานก่อสร้างถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในการจัดสร้างถนนรูปแบบใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจากก่อสร้าง ถนนในลักษณะเดิมที่เคยมีการจัดสร้างมาก่อน ยกตัวอย่าง เช่น ถนน ดินลูกรัง ถนนลาดยางมะตอย หรือถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) ซึ่งการด�าเนินงานจัดสร้างถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ดังกล่าว มีขั้นตอน และวิธีการที่อาจยังไม่มีความชัดเจนและมีมาตรฐานเท่าที่ควร ทั้งในเรื่องรายละเอียดของสารเคมีที่น�ามาผสมกับ น�้ายางพารา เงื่อนไขหรือคุณสมบัติของผู้ประกอบการสารผสมเพิ่ม หรือมาตรฐานการตรวจรับถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ ซึ่งความไม่ชัดเจนและไม่มีมาตรฐานเหล่านี้ อาจจะกลายเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริตหรือมีความเสี่ยงให้เกิด การทุจริตได้ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 1 . บริษัท ท่าอากาศยานไทย ขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก ( East Ex ซึ่งอยู่ในแผนงานเดิมโดยเร็ว ให้สอดคล้องกับอาค พ.ศ. 2565 และควรดาเนินโครงการก่อสร้างส่วนต ในคราวเดียวกัน เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามา ของอาคารผู้โดยสารปัจจุบัน 2 . บริษัท ท่าอากาศยานไทย ภูมิตามคาแนะนาของสานักงานสภาพัฒนาการเศร ผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และก 120 ล้านคนต่อปี เป็นลาดับแรกก่อน แล้วจึงนาโ ( North Expansion ) มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวั ทุจริต ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให รับข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งความเห็นของ สา สังคมแห่งชาติไปพิจารณาประกอบการดาเนินการ จากัด ( มหาชน) เร่งรัดการศึกษาความเหมาะสม องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( ICAO ) แ ข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนแผนแม่บทกา ดาเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎห อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไ 3 . 2 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ ใน ปกครองส พาราซอย มีผู้ประก นายกรัฐม การให้กา ผูกขาด แ ก เป็นหนึ่งใน ในลักษณะ ถนนลาดย ดาเนินงาน ที่อาจยังไม่มีความชัดเจนและมีมาตรฐานเท่าที่ควร เงื่อนไขหรือคุณสมบัติของผู้ประกอบการสารผสมเพ ไม่ชัดเจนและไม่มีมาตรฐานเหล่านี้ อาจจะกลายเป็น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 156 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 61/2564 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์แล้ว เห็นควร มีข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันการทุจริต ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้ (1) ข้อเสนอแนะ รัฐบาลควรทบทวนนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางด้วยวิธี ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสร้างถนนที่น�าน�้ายางพารามาเป็นวัสดุส่วนผสม ในการก่อสร้าง (ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์) เพื่อท�าการศึกษาในด้านต่าง ๆ อย่าง รอบคอบ อาทิ เรื่องการก�าหนดราคากลาง เรื่องสารเคมีที่น�ามาผสมกับน�้ายางพารา ต้องมีใช้อย่างแพร่หลาย ไม่เป็นการผูกขาด หรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย รวมตลอดถึงการถอดรูปแบบรายการงานก่อสร้าง ความมั่นคงถาวร และความคุ้มค่า ของถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยค�านึงถึง ประโยชน์ของเกษตรกรอย่างสูงสุด การทบทวนเพื่อท�าการศึกษาในข้างต้น ให้พิจารณาขยายผลครอบคลุมถึงการด�าเนินการ ก่อสร้างถนนพาราซอยซีเมนต์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นด้วย (2) ข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (2.1) รัฐบาลควรพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ในเรื่องของราคายางให้เกิด เสถียรภาพในระยะยาวไม่ให้ราคาตกต�่ามากเกินไป โดยหากรัฐบาลจ�าเป็นต้องแทรกแซงกลไกตลาด ควรด�าเนิน การเท่าที่จ�าเป็นโดยค�านึงถึงหลักการภายใต้เงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งนี้ รัฐบาลอาจขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเป็น ระบบและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หากรัฐบาลจ�าเป็นต้องน�าเสนอนโยบายหรือโครงการเกี่ยวกับการพยุงราคายางพารา รัฐบาลควรส่งเสริมการใช้ยางพาราในแนวทางที่มีหลักเกณฑ์ ขั้นตอนการด�าเนินงานที่ชัดเจน โปร่งใส ที่สามารถ ท�าให้ประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินตกแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้อย่างเต็มที่ โดยเพิ่มช่องทาง ให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการด�าเนินงานได้มากขึ้น ซึ่งจะท�าให้ประโยชน์ จากการด�าเนินงานตามนโยบายของรัฐตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง (2.2) รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีสถาบันที่รับผิดชอบในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับ ยางพารา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ท�าจากยางพาราและสามารถน�าไปสู่การแก้ไขปัญหา เรื่องราคา ยางตกต�่าได้อย่างยั่งยืน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ว่า รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทยรับข้อเสนอแนะของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาด�าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับข้อเสนอแนะ ความเห็น/ข้อสังเกตของ ส่วนราชการไปประกอบการพิจารณาด�าเนินการด้วย รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 149 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม ครั้งที่ 61/2564 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ได้พิจารณา ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ แล้ว เห็นควร มีข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันการทุจริต ตามมาตรา 32 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ. ศ. 2561 ดังนี้ ( 1 ) ข้อเสนอแนะ รัฐบาลควรทบทวนนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ด้วยวิธีให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสร้างถนนที่นาน้ายางพารามาเป็นวัสดุ ส่วนผสมในการก่อสร้าง (ถนนพาราซอยล์ซีเมนต์) เพื่อทาการศึกษาในด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ อาทิ เรื่องการกาหนดรา คากลาง เรื่องสารเคมีที่นามาผสมกับน้า ยางพาราต้องมีใช้อย่างแพร่หลาย ไม่เป็นการผูกขาด หรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต เพียงไม่กี่ราย รวมตลอดถึงการถอดรูปแบบรายการงานก่อสร้าง ความมั่นคงถาวร และความคุ้มค่าของถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรอย่างสูงสุด การทบทวนเพื่อทาการศึกษาในข้างต้น ให้พิจารณาขยายผลครอบคลุมถึงการดาเนินการ ก่อสร้างถนนพาราซอยซีเมนต์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นด้วย ( 2 ) ข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ( 2.1 ) รัฐบาลควรพิจารณาช่วยเ หลือเกษตรกรชาวสวนยาง ในเรื่องของราคายางให้เกิด เสถียรภาพในระยะยาวไม่ให้ราคาตกต่ามากเกินไป โดยหากรัฐบาลจาเป็นต้องแทรกแซงกลไกตลาด ควรดาเนินการ เท่าที่จำเป็นโดยคานึงถึงหลักการภายใต้เงื่อนไขขององค์การการค้าโลก ( WTO ) ทั้งนี้ รัฐบาลอาจขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเป็น ระบบและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หากรัฐบาลจาเป็นต้องนาเสนอนโยบายหรือโครงการเกี่ยวกับการพยุงราคายาง พารา รัฐบาลควรส่งเสริมการใช้ยางพาราในแน วทางที่มีหลักเกณฑ์ ขั้นตอนการดาเนินงานที่ชัดเจน โปร่งใส ที่สามารถ ทาให้ประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินตกแก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้อย่างเต็มที่ โดยเพิ่ม ช่องทางให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินงานได้มากขึ้น ซึ่งจะทาให้ ประโยชน์ จากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง ( 2 . 2 ) รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีสถาบันที่รับ ผิดชอบในการวิจัยและพัฒนานวัตกรร ม เกี่ยวกับยางพารา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ทาจากยางพาราและสามารถนาไปสู่การแก้ไขปัญหา เรื่องราคายางตกต่ำได้อย่างยั่งยืน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ว่า รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน การทุจริต ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทยรับข้อเสนอแนะ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับข้อเสนอแนะ ความเห็น/ข้อสังเกต ของส่วนราชการไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 157 4. การด�าเนินการเพื่อการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทย แผนการด�าเนินงานเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ในการก�ากับดูแลการด�าเนินงานเพื่อยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ของประเทศไทย จึงได้จัดท�าบันทึกถึงหน่วยงานภายในส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อขอทราบข้อมูลกิจกรรม/โครงการที่ส�าคัญ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องในการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) เพื่อน�าข้อมูลมาประกอบการจัดท�าแผนการด�าเนินการเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปี 2564 ซึ่งคณะกรรมการผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) คณะที่ 6 คณะกรรมการผลักดันยุทธศาสตร์ที่ 6 ยกระดับ คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ได้พิจารณา “ร่างแผนการด�าเนินการเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปี 2564” แล้ว มีมติให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ปรับปรุงแก้ไขร่างแผนฯ ตามความเห็น ของคณะกรรมการผลักดันฯ แล้วน�าเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา ต่อไป ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้เสนอ “ร่างแผนการด�าเนินงานเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564” ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบแผนการด�าเนินงานเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในการประชุมครั้งที่ 72/2564 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 โดยส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีบันทึกแจ้งให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องด�าเนินการตามแผนฯ ต่อไป ซึ่งส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท�ารายงาน ผลการด�าเนินการตามแผนการด�าเนินงานเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับทราบผลการด�าเนินการ ในการประชุมครั้งที่ 144/2564 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 โดยผลการด�าเนินการของหน่วยงาน ภายในส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวน 12 ส�านัก และ 1 สถาบัน รวมจ�านวนทั้งสิ้น 33 โครงการ มีผลการด�าเนินการ ตามตัวชี้วัดคิดเป็นร้อยละ 96
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 158 การประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สรุปผลการประเมินการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรหลักในการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย ได้จัดท�ายุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ที่ก�าหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย ใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance and Clean Thailand)” และพันธกิจหลักเพื่อสร้างวัฒนธรรม การต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วน และปฏิรูปกระบวนการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตทั้งระบบให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ผ่านยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ สร้างสังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต ยกระดับเจตจ�านงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต และยกระดับดัชนี การรับรู้การทุจริตของประเทศไทย โดยเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 คือ ประเทศไทยมีค่าดัชนีรับรู้ การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) สูงกว่าร้อยละ 50 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) เป็นประจ�าทุกปี โดยเริ่มท�าการประเมินผลส�าเร็จ โครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินผลส�าเร็จของการด�าเนิน โครงการที่ด�าเนินการในแต่ละปีงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนงาน บูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และงบประมาณประจ�าปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งการด�าเนินโครงการประเมินผลการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมตาม ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นอกจาก การประเมินโครงการที่ด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แล้ว ยังประเมินโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ด�าเนินการแล้วเสร็จแต่ยังไม่ถูกประเมิน ตามที่ก�าหนดในขอบเขตการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อให้การประเมินผลมีความครอบคลุมโครงการ/กิจกรรมที่ได้มีการด�าเนินงานตลอดระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 การประเมินผลการด�าเนินโครงการในครั้งนี้ได้ ประยุกต์ จากตัวแบบซิปป์ (CIPP Model) เป็นกรอบการประเมิน โดยประเมินผลส�าเร็จของโครงการในมิติของบริบท (Context) ปัจจัยน�าเข้า (Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Product) ผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact) ดังแผนภาพที่ 1 ทั้งนี้ ในการประเมินผลปีนี้ยังมีการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการด�าเนินโครงการ ดังแผนภาพที่ 2
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 159 แผนภาพที่ 1 ความส�าเร็จของโครงการตามแนวคิดของตัวแบบซิปป์ (CIPP Model) แผนภาพที่ 2 กรอบแนวคิดความเชื่อมโยงผลส�าเร็จของโครงการกับการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ส�าหรับโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน (Population Target) ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกอบด้วย (1) โครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ที่ด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และด�าเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 มีจ�านวน 75 โครงการ และ (2) โครงการ/กิจกรรมที่ด�าเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ยังไม่ได้ท�าการประเมิน เนื่องจากเป็นโครงการที่ด�าเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิถุนายน 2563 ตามที่ก�าหนดในขอบเขตการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 560 โครงการ และได้มีการก�าหนดจ�านวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติ โดยได้จ�านวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จ�านวนทั้งสิ้น 85 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ/กิจกรรมที่ด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 10 โครงการ และโครงการ/กิจกรรมที่ด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 75 โครงการ นอกจากการก�าหนดให้ จ�านวนโครงการที่เลือกมามีจ�านวนและการกระจายตัวที่เหมาะสม เกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ก�าหนดเกณฑ์ การคัดเลือกโครงการ/กิจกรรมตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินผล ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในการคัดเลือก โครงการแต่ละโครงการจะประกอบไปด้วย 4 หลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) โครงการที่ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 (2) โครงการที่ได้ด�าเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 (ซึ่งระยะเวลาที่ก�าหนดนี้ สามารถขยายมากกว่าสิ้นเดือนมิถุนายน 2564) และโครงการที่ด�าเนินการแล้วเสร็จแต่ยังไม่ได้ประเมินผล รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 152 แผนภาพที่ 1 ความสำเร็จของโครงการตามแนวคิดของตัวแบบซิปป์ ( CIPP Model ) แผนภาพที่ 2 กรอบแนวคิดความเชื่อมโยงผลสำเร็จของโครงการกับการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม สาหรับโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน ( Population Target ) ของปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 ประกอบด้วย (1) โครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ที่ดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 และดาเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 256 4 มีจานวน 75 โครงการ และ (2) โครงการ/กิจกรรม ที่ดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 ที่ยังไม่ได้ทาการประเมิน เนื่องจากเป็ นโครงการที่ดาเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิถุนายน 256 3 ตามที่กาหนดในขอบเขตการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 จานวน 560 โครงการ และได้มีการกาหนดจานวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติ โดยได้จานวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 8 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 จานวน 10 โครงการ และโครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 จำนวน 75 โครงการ นอกจากการกาหนดให้จานวนโครงการที่เลือกมามีจำนวนและการกระจายตัวที่เหมาะสม เกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัว อย่างเพื่อการประเมินผลสาเร็จของโครงการ/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ของ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564 ) กาหนดเกณฑ์การ คัดเลือกโครงการ/กิจกรรมตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินผล ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในการคัดเลือก โครงการแต่ละโครงการจะประกอบไปด้วย 4 หลักเกณฑ์ ดังนี้ ( 1 ) โครงการที่ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ( 2 ) โครงการที่ได้ดาเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 (ซึ่งระยะเวลาที่กาหนดนี้ สามารถขยายมากกว่าสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ) และโค รงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จแต่ยังไม่ได้ประเมินผล ผลผลิตของ โครงการ ผล ลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ มูลค่าทางเศรษฐกิจและ สังคมที่เกิดขึ้นในภาพรวม ผลผลิตของ โครงการ ผล ลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ ผลผลิตของ โครงการ ผล ลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ บริบท (Context ) ปัจจัยนาเข้า (Input ) กระบวนการ (Process ) ผลผลิต (Product ) ผลสืบเนื่องที่เป็นผลลัพธ์ ( Outcome ) และ ผลกระทบ ( Impact ) เกิดขึ้นจากผลผลิตของ โครงการ สถานการณ์ สภาพปัญหา และยุทธศาสตร์หรือ แผนงานที่ใช้ใน การแก้ปัญหา แนวทางการ ดาเนินงานเพื่อให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์ การดาเนินงานจริง เมื่อเทียบกับแนวทาง ที่กำหนดไว้ ผลผลิตที่เกิดขึ้น จากโครงการ การกาหนดวัตถุประสงค์ ของโครงการ - กลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของโครงการ - งบประมาณ บุคลากร และ อุปกรณ์เครื่องมือที่จาเป็น รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 152 แผนภาพที่ 1 ความสำเร็จของโครงการตามแนวคิดของตัวแบบซิปป์ ( CIPP Model ) แผนภาพที่ 2 กรอบแนวคิดความเชื่อมโยงผลสำเร็จของโครงการกับการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม สาหรับโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน (Population Target ) ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกอบด้วย (1) โครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ที่ดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และดาเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 มีจานวน 75 โครงการ และ (2) โครงการ/กิจกรรม ที่ดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ยังไม่ได้ทาการประเมิน เนื่องจากเป็ นโครงการที่ดาเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิถุนายน 2563 ตามที่กาหนดในขอบเขตการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จานวน 560 โครงการ และได้มีการกาหนดจานวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามหลักสถิติ โดยได้จานวนโครงการที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 85 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จานวน 10 โครงการ และโครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 75 โครงการ นอกจากการกาหนดให้จานวนโครงการที่เลือกมามีจำนวนและการกระจายตัวที่เหมาะสม เกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัว อย่างเพื่อการประเมินผลสาเร็จของโครงการ/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ของ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564 ) กาหนดเกณฑ์การ คัดเลือกโครงการ/กิจกรรมตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินผล ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในการคัดเลือก โครงการแต่ละโครงการจะประกอบไปด้วย 4 หลักเกณฑ์ ดังนี้ (1 ) โครงการที่ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 (2 ) โครงการที่ได้ดาเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 (ซึ่งระยะเวลาที่กาหนดนี้ สามารถขยายมากกว่าสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ) และโค รงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จแต่ยังไม่ได้ประเมินผล ผลผลิตของ โครงการ ผล ลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ มูลค่าทางเศรษฐกิจและ สังคมที่เกิดขึ้นในภาพรวม ผลผลิตของ โครงการ ผลลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ ผลผลิตของ โครงการ ผลลัพธ์/ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดขึ้นจากโครงการ บริบท (Context ) ปัจจัยนาเข้า (Input ) กระบวนการ (Process ) ผลผลิต (Product ) ผลสืบเนื่องที่เป็นผลลัพธ์ (Outcome ) และ ผลกระทบ (Impact ) เกิดขึ้นจากผลผลิตของ โครงการ สถานการณ์ สภาพปัญหา และยุทธศาสตร์ หรือ แผนงานที่ใช้ใน การแก้ปัญหา แนวทางการ ดาเนินงานเพื่อให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์ การดาเนินงานจริง เมื่อเทียบกับแนวทาง ที่กำหนดไว้ ผลผลิตที่เกิดขึ้น จากโครงการ การกาหนดวัตถุประสงค์ ของโครงการ - กลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของโครงการ - งบประมาณ บุคลากร และ อุปกรณ์เครื่องมือที่จาเป็น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 160 โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (3) โครงการที่ส่งผลต่อค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการว่ามีความสอดคล้อง กับมิติที่ใช้ในการประเมินคะแนน CPI ทั้งนี้ เหตุผลที่ต้องน�าเอาเกณฑ์นี้มาใช้ประกอบในการคัดเลือกโครงการ ก็เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) ที่ก�าหนดเป้าหมายไว้ว่าประเทศไทยต้องปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยประเมิน จากดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย (อันดับ/คะแนน) ที่จะต้องอยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือ ได้คะแนนไม่ต�่ากว่า 50 คะแนน ภายในปี 2565 และ (4) โครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องสอดคล้อง กับประเภทของโครงการที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม จากเกณฑ์ดังกล่าวจึงได้เลือกโครงการที่น�ามาประเมิน เพื่อเป็นตัวแทนของโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 จ�าแนกตามยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ดังแผนภาพที่ 3 แผนภาพที่ 3 จ�านวนโครงการ/กิจกรรมที่เป็นตัวอย่างส�าหรับการประเมิน จ�าแนกตามยุทธศาสตร์และ ปีงบประมาณ หมายเหตุ : ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไม่มีโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายส�าหรับการประเมิน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ผลการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในภาพรวม พบว่า มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.89 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณา รายยุทธศาสตร์ พบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.86 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 3 มีผลการประเมิน เฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 4 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 5 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 คะแนน และยุทธศาสตร์ที่ 6 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.40 คะแนน ดังแผนภาพที่ 4 โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ( 3 ) โครงการที่ส่งผลต่อค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต ( Corruption Perceptions Index : CPI ) โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการว่ามีความสอดคล้อง กับมิติที่ใช้ ในการประเมินคะแนน CPI ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องนาเอาเกณฑ์นี้มาใช้ประกอบในการคัดเลือกโครงการ ก็เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580 ) ที่กาหนดเป้าหมายไว้ว่าประเทศไทยต้องปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยประเมิน จากดัชนีการรับรู้การทุจริต ( CPI ) ของประเทศไทย (อันดับ/คะแนน) ที่จะต้องอยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้ คะแนนไม่ต่ำกว่า 50 คะแนน ภายในปี 2565 และ ( 4 ) โครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะต้อง สอดคล้องกับประเภท ของโครงการที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม จากเกณฑ์ดังกล่าวจึงได้เลือกโครงการที่นามาประเมินเพื่อเป็น ตัวแทนของโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 จำแนกตามยุทธศาสตร์ที่ 1 - 6 ดังแผนภาพที่ 3 แผนภาพที่ 3 จำนวนโครงการ/กิจกรรมที่เป็นตัวอย่างสำหรับการ ประเมิน จำแนกตามยุทธศาสตร์และ ปีงบประมาณ หมายเหตุ : ปีงบประมาณ 2564 ไม่มีโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสาหรับการประเมิน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ผลการประเมินผลสาเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 ในภาพรวม พบว่า มีผล การประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 89 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณารา ย ยุทธศาสตร์ พบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 86 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 3 มีผลการประเมิน เฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 4 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 5 มีผลการ ประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนน และยุทธศาสตร์ที่ 6 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 40 คะแนน ดังแผนภาพที่ 4 4 1 3 1 1 35 1 2 22 2 13 ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 6 ปีงบประมาณ 2564 ปีงบประมาณ 2563 39 โครงการ 1 โครงการ 3 โครงการ 25 โครงการ 3 โครงการ 14 โครงการ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 161 แผนภาพที่ 4 ภาพรวมผลการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หมายเหตุ : ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไม่มีโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายส�าหรับการประเมิน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ผลการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในภาพรวม พบว่า มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.71 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณา รายยุทธศาสตร์ พบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 2 มีผลการประเมิน เฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 3 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5.00 คะแนนยุทธศาสตร์ที่ 4 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 5 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.88 คะแนน และยุทธศาสตร์ที่ 6 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.62 คะแนน ดังแผนภาพที่ 5 แผนภาพที่ 5 ภาพรวมผลการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 154 แผนภาพที่ 4 ภาพรวมผลการประเมินผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรม ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564 ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หมายเหตุ : ปีงบประมาณ 2564 ไม่มีโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสาหรับการประเมิน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ผลการประเมินผลสาเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในภาพรวม พบว่า มีผล การประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.71 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาราย ยุทธศาสตร์ พบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7 2 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 2 มีผลการประเมิน เฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 3 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนนยุทธศาสตร์ที่ 4 มีผลการ ประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 72 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 5 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 88 คะแนน และยุทธศาสตร์ที่ 6 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4 . 62 คะแนน ดังแผนภาพที่ 5 แผนภาพที่ 5 ภาพรวมผลการประเมินผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรม ตามยุทธศำสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564 ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 4. 89 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 3 4. 86 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 6 - 5 . 00 5 . 00 5 . 00 4. 40 4. 71 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 3 4.7 2 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 6 5 . 00 5 . 00 4 . 72 4. 88 4 . 62 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 154 แผนภาพที่ 4 ภาพรวมผลการประเมินผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรม ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564 ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หมายเหตุ : ปีงบประมาณ 2564 ไม่มีโครงการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสาหรับการประเมิน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ผลการประเมินผลสาเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 ในภาพรวม พบว่า มีผล การประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 71 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาราย ยุทธศาสตร์ พบว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7 2 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 2 มีผลการประเมิน เฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 3 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5 . 00 คะแนนยุทธศาสตร์ที่ 4 มีผลการ ประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 72 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 5 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4. 88 คะแนน และยุทธศาสตร์ที่ 6 มีผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 4 . 62 คะแนน ดังแผนภาพที่ 5 แผนภาพที่ 5 ภาพรวมผลการประเมินผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรม ตามยุทธศำสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564 ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 256 3 4. 89 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 3 4. 86 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 6 - 5 . 00 5 . 00 5 . 00 4. 40 4. 71 คะแนน ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ที่ 3 4.7 2 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ที่ 6 5 . 00 5 . 00 4 . 72 4. 88 4 . 62
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 162 และจากการประเมินผลส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สามารถสรุปข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะได้ดังนี้ 1) ผลการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบด้วยการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม (Social Return on Investment : SROI) การประเมินผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคม (Social Return on Investment : SROI) เป็นการประเมินมูลค่าทางตรงและดัชนีที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการด�าเนินโครงการ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ท�าการประเมิน SROI รายโครงการ จ�านวน 15 โครงการ โดยสามารถสรุปผลการประเมินได้ดังนี้ 1.1) โครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริตประจ�าจังหวัด ในการประเมิน SROI ผลประโยชน์ ที่ได้มาจากการสัมภาษณ์ประธานชมรมหรือตัวแทนเพื่อประมาณค่ามูลค่าของการทุจริตที่สามารถป้องกันได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในการด�าเนินงาน โดยจะใช้ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ตัวแทนใน 5 จังหวัด มาหาค่าเฉลี่ยถ่วงน�้าหนักด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัด (Gross Provincial Product หรือ GPP) เพื่อให้ทราบถึงมูลค่าของประโยชน์เฉลี่ยที่เกิดขึ้น เทียบกับงบประมาณที่แต่ละจังหวัดได้รับ โดยค�านวณ เป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน�้าหนักด้วยสัดส่วนของงบประมาณที่แต่ละจังหวัดได้รับเทียบกับมูลค่าทั้งหมด มูลค่าที่เกิดขึ้น จากการด�าเนินการโครงการจะเท่ากับ 9,428,769 บาท โดยพบว่าค่า SROI = (9,428,769/356,483) เท่ากับ 1 : 26.45 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 26.45 บาท 1.2) โครงการเพิ่มศักยภาพและความโปร่งใสประจ�าจังหวัด การประเมินผลของโครงการ จะประกอบด้วย มูลค่าที่เกิดขึ้นจากการด�าเนินโครงการด้วยกัน 2 ส่วน คือ มูลค่าที่เกิดขึ้นจากประสิทธิภาพ ในการท�างานของบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการเท่ากับ 990,000 บาท และบทบาทของโครงการที่มีต่อการลดปัญหา ทุจริตในจังหวัด มีมูลค่า 1,650,000 บาท ดังนั้น มูลค่าที่เกิดขึ้นจากโครงการจะเท่ากับ 990,000 + 1,650,000 = 2,645,000 บาท งบประมาณที่ใช้ด�าเนินโครงการ เท่ากับ 619,800 บาท โดยพบว่าค่า SROI = (2,645,000/619,800) เท่ากับ 1 : 4.27 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 4.27 บาท 1.3) โครงการการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) มูลค่าที่เกิดขึ้นจากโครงการ จะเท่ากับ 825 บาท x 2,200 คน = 1,815,000 บาท เมื่อเทียบกับงบประมาณที่จ่ายจริงในโครงการคือ 226,485 บาท (จากงบประมาณทั้งหมดที่ตั้งไว้ 1,000,000 บาท) พบว่าค่า SROI = (1,815,000/226,485) เท่ากับ 1 : 8.01 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 8.01 บาท 1.4) โครงการการยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน ที่มีผลคะแนนต�่ากว่าเกณฑ์ที่ก�าหนด กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมลงพื้นที่ให้ ความรู้เกี่ยวกับการยกระดับค่าคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน มูลค่าที่เกิดขึ้นเท่ากับ 625,000 บาท งบประมาณที่ใช้ในการด�าเนิน โครงการเท่ากับ 200,000 บาท จะพบว่ากิจกรรมนี้มีค่า SROI = (625,000/200,000) เท่ากับ 1 : 3.13 หมายความว่า งบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 3.13 บาท 1.5) โครงการประกวดสื่อป้องกันการทุจริต มูลค่าที่เกิดขึ้นจะเท่ากับ 40,000 บาท x 50 ทีม = 2,000,000 บาท งบประมาณที่ใช้ในการด�าเนินการเท่ากับ 800,000 บาท ดังนั้น จะพบว่าค่า SROI = (2,000,000/800,000) เท่ากับ 1 : 2.5 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมา เป็นมูลค่า 2.5 บาท
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 163 1.6) โครงการฝึกอบรมหลักสูตร “เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สิน” ระดับต้น (รุ่นที่ 9) มูลค่าที่เกิดขึ้น จะเท่ากับ 45,320.9 บาท x 25 คน = 1,133,022 บาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้มีประโยชน์กับการท�างาน นานกว่าปีงบประมาณ โดยคาดว่าจะสามารถใช้ได้อย่างน้อย 3 ปี เมื่อน�ามูลค่าต่อปีมาคิดเป็นผลรวม 3 ปี โดยมี การปรับให้เป็นมูลค่าปัจจุบันด้วยอัตราคิดลดร้อยละ 3 จะพบว่า มูลค่าของประโยชน์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเท่ากับ 3,237,879.535 บาท งบประมาณที่ใช้ในโครงการเท่ากับ 999,336 บาท ดังนั้น จะพบว่าค่า SROI = (3,237,879.535/999,336) เท่ากับ 1 : 3.24 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทน กลับคืนมาเป็นมูลค่า 3.24 บาท 1.7) โครงการฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการของ ส�านักงาน ป.ป.ช.” รุ่นที่ 28 มูลค่าที่เกิดขึ้นจะเท่ากับ 24,522 บาท x 51 คน = 1,250,622 บาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้มีประโยชน์กับการท�างานนานกว่าปีงบประมาณ โดยคาดว่าจะสามารถใช้ได้อย่างน้อย 3 ปี เมื่อน�ามูลค่าต่อปีมาคิดเป็นผลรวม 3 ปี โดยมีการปรับให้เป็นมูลค่าปัจจุบันด้วยอัตราคิดลดร้อยละ 3 จะพบว่า มูลค่าของประโยชน์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเท่ากับ 3,508,251 บาท งบประมาณที่ใช้ในโครงการเท่ากับ 139,690 บาท ดังนั้น จะพบว่าค่า SROI = 3,508,251/139,690 = 25.11 จากผลที่ได้ 1 : 25.11 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 25.11 บาท 1.8) โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการการด�าเนินงานขององค์กรด้วยระบบธรรมาภิบาล ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มูลค่าที่เกิดขึ้นจากโครงการเท่ากับ 24,614.5 บาท x 0.65 x 520 คน = 8,319,699.7 บาท (หมายเหตุ เนื่องจากผู้เข้าร่วมบางส่วนอาจไม่ได้น�ำองค์ความรู้นี้ไปใช้ในปีต่อไป จึงไม่ค�านวณมูลค่าปัจจุบันรวม 3 ปี) งบประมาณที่ใช้ทั้งสิ้น 1,500,000 บาท ดังนั้น จะพบว่าค่า SROI = (8,319,699.7/1,500,000) เท่ากับ 1 : 5.55 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการ ให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 5.55 บาท 1.9) โครงการเสริมสร้างบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มูลค่ารวม ที่เกิดขึ้นเท่ากับ 1,450 บาท x 60 = 87,000 งบประมาณที่ใช้เท่ากับ 50,000 บาท ค่า SROI = (87,000/50,000) เท่ากับ 1 : 1.74 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 1.74 บาท 1.10) โครงการอบรมเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านบัญชี มูลค่าที่เกิดขึ้นจากโครงการ จะเท่ากับ 24,614.5 บาท x 0.68 x 229 คน = 8,066,195 บาท งบประมาณที่ใช้ทั้งสิ้น 248,850 บาท ดังนั้น จะพบว่าค่า SROI = (8,066,195/248,850) เท่ากับ 1 : 32.41 หมายความว่างบประมาณ 1 บาท ที่ใช้ในโครงการ ให้ผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นมูลค่า 32.41 บาท ส�าหรับการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมจะประเมินเฉพาะมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นจากการป้องกันความเสียหายจากการทุจริต โดยจากรายงานสถานการณ์การทุจริตประเทศไทย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 พบว่า มูลค่าการทุจริตที่สามารถป้องกันได้จากการชี้มูลความผิด โดย ป.ป.ช. มีค่าเท่ากับ 90,716 ล้านบาท และมูลค่าความเสียหายที่ป้องกันได้จากหน่วยงานภายนอกมีมูลค่าเท่ากับ 3,288 ล้านบาท 2) ปัจจัยที่มีผลต่อความส�าเร็จของการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 2.1) ความรู้ความเข้าใจของผู้รับผิดชอบโครงการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อตัวชี้วัดที่ใช้ประเมิน CPI และตัวชี้วัดในแต่ละด้านที่น�ามาใช้ประเมินทั้ง 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งประกอบไปด้วย 19 ตัวชี้วัด เพื่อสร้างความเข้าใจ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 164 ในประเด็นตัวชี้วัด สามารถออกแบบโครงการ/กิจกรรมที่สะท้อนและสนองตอบตัวชี้วัด และเป้าหมาย รวมถึง ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ด�าเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์ได้อย่างชัดเจน 2.2) การให้ความส�าคัญของผู้บริหารหน่วยงานต่อการด�าเนินงานโครงการ/กิจกรรม การขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งผู้บริหารต้องให้ความส�าคัญ เอาใจใส่ต่อ การด�าเนินงาน สร้างภาพลักษณ์ สร้างทัศนคติให้บุคลากรเห็นถึงความส�าคัญและพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เป็นเพียงภาระงานที่เพิ่มเติมเข้ามาและด�าเนินการเพียงแค่แล้วเสร็จเท่านั้น 2.3) การออกแบบโครงการ/กิจกรรม ที่ตอบโจทย์และตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในระดับพื้นที่ โดยใช้กลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่มาออกแบบ โครงการ/กิจกรรม ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. จะต้องมีกรอบ หรือแนวทางการออกแบบโครงการ/กิจกรรม ตัวอย่าง ให้กับหน่วยงาน มีความยืดหยุ่นสามารถน�าไปปรับใช้ในระดับพื้นที่ โดยรูปแบบการด�าเนินการโครงการ/กิจกรรม เป็นไปตามกฎระเบียบการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. 3) ข้อเสนอแนะแนวทางในการด�าเนินโครงการที่จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนและบรรลุเป้าหมาย แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 3.1) การถอดบทเรียนของโครงการ/กิจกรรม ที่ประสบความส�าเร็จในการขับเคลื่อนด้านการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อน�าไปใช้ในการจัดการความรู้และแนวทางการปฏิบัติส�าหรับโครงการ/ กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องหรือมีรูปแบบการด�าเนินการที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน สร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง ผู้รับผิดชอบโครงการ/กิจกรรม ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3.2) การสร้างความร่วมมือ รูปแบบความร่วมมือ และกลไกการท�างานของภาคีเครือข่ายในระดับ พื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง เป็นรูปธรรม โดยสามารถใช้กลไกความร่วมมือดังกล่าวขับเคลื่อนการท�างานให้บรรลุ ตามเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น 3.3) การสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภายในส�านักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงาน ภายนอกส�านักงาน ป.ป.ช. ในเรื่ององค์ความรู้ที่เกี่ยวกับตัวชี้วัดค่า CPI การออกแบบโครงการ/กิจกรรม ที่ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ ส่งเสริม การสร้างความร่วมมือการสร้างภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับการด�าเนินงาน โครงการ/กิจกรรม ตามบริบทของพื้นที่ การจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอกับความต้องการ และการพิจารณา อนุมัติงบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการ/กิจกรรมที่สะดวกรวดเร็ว เพื่อเป็นการอ�านวยความสะดว ก แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. 3.4) การสื่อสาร ข้อมูลข่าวสาร ผลการด�าเนินการโครงการ/กิจกรรม ของส�านักงาน ป.ป.ช. สู่กลุ่มเป้าหมายภายในและภายนอกประเทศ เพื่อให้ทราบถึงความก้าวหน้า ตัวอย่างความส�าเร็จทั้งในระดับพื้นที่ ระดับหน่วยงาน และทิศทางในการด�าเนินงานของประเทศไทย ด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีรูปแบบ ที่เข้าใจง่าย เห็นผลงานและการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังต้องเป็นการสื่อสารที่ด�าเนินการเชิงรุก อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 3.5) การพัฒนาแพลตฟอร์ม (Platform) ส�าหรับการประเมินผลความส�าเร็จของโครงการ/กิจกรรม ที่รวบรวมข้อมูลโครงการ/กิจกรรม ตามตัวชี้วัดรายยุทธศาสตร์ เพื่อให้สามารถทราบถึงความก้าวหน้า การติดตาม การด�าเนินงาน ผลการประเมินความส�าเร็จ ทั้งในรายยุทธศาสตร์และภาพรวม ทั้งนี้ ยังสามารถน�าข้อมูลมาใช้ ในการก�าหนดแนวทางและวางแผนการด�าเนินงานโครงการ/กิจกรรม ให้บรรลุเป้าหมาย สามารถแก้ไขปัญหา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 165 การทุจริตและประพฤติมิชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.6) ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ท�าให้บางครั้งการด�าเนินโครงการไม่เป็นไป ตามแผนที่วางไว้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง ควรมีการจัดท�าระเบียบให้มีความยืดหยุ่น เพื่อให้การด�าเนินงาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน และแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ก�าหนด อีกทั้งในการจัดสรร โครงการที่มาจากส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง ให้กับส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ด�าเนินการ ไม่มีคู่มือกลางให้กับหน่วยงานใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดท�าโครงการ ส่งผลให้หน่วยงานต้องตีความ การด�าเนินงานเองและผลการด�าเนินโครงการออกมาแล้วไม่ตรงกัน หน่วยงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางควรมีการจัดท�า คู่มือแนวปฏิบัติในการด�าเนินงานให้ชัดเจน 4) ข้อเสนอแนะจากการศึกษา (ของคณะที่ปรึกษาโครงการฯ) 4.1) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นการด�าเนินงานระยะยาวและต่อเนื่อง ต้องใช้เวลา ไม่น้อยกว่า 10 ปี ถึงจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในการท�างาน ไปกับการสร้างทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมของประชาชน ให้ตระหนักถึงความส�าคัญของการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต 4.2) โครงการ/กิจกรรมที่ควรด�าเนินการอย่างต่อเนื่องจะมี 6 ประเภทด้วยกัน ดังนี้ ประเภทที่ 1 โครงการที่มุ่งเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากรของภาครัฐ ในกลุ่มที่มีโอกาสสัมผัสกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเหล่านี้ อย่างต่อเนื่อง ประเภทที่ 2 โครงการ/กิจกรรมที่มุ่งเป้าไปสู่เยาวชนเพื่อสร้างจิตส�านึกและมีความเข้าใจ ลักษณะของการทุจริตและประพฤติมิชอบในบริบทของตนเอง ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักว่าพฤติกรรม เหล่านี้จะส่งผลต่อตนเองและสังคมอย่างไร โดยโครงการ/กิจกรรมเหล่านี้ควรน�าไปใช้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติ (Active Learning) ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น บอร์ดเกม การใช้บทบาทสมมติ (Role Play) การประกวดการท�าสื่อ การเขียน การเปิดโอกาสให้สร้างนวัตกรรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น ประเภทที่ 3 โครงการ/กิจกรรมที่ให้ความส�าคัญกับการพัฒนาหน่วยงานไปสู่การเป็นรัฐบาล ดิจิทัล โดยเฉพาะในมิติที่มีโอกาสเกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบมากที่สุด โดยจะต้องมีการวิเคราะห์ว่าแต่ละ หน่วยงานมิติเหล่านี้อยู่ในส่วนใดของการท�างานบ้าง แล้วหาแนวทางในการเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ใน กระบวนการท�างานดังกล่าว เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้หากเกิดกรณีที่น่าสงสัย รวมถึงการท�าให้กระบวนการ ITA กลายเป็นส่วนหนึ่งวัฒนธรรมการท�างานของหน่วยงาน ประเภทที่ 4 โครงการ/กิจกรรมในเชิงพื้นที่ที่ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนทางสังคม เช่น โครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ทั้งนี้ การด�าเนินงานแม้จะเป็นการด�าเนินงานในระดับพื้นที่ แต่ก็ควรพัฒนา เครือข่ายของพันธมิตรในการด�าเนินการที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงพื้นที่และพันธมิตรที่เป็นหน่วยงานระดับ ประเทศ เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการท�างาน ประเภทที่ 5 โครงการ/กิจกรรมที่สร้างพลังทางสังคมเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมาย การติดตามปัญหา และการด�าเนินการเพื่อปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจัง ประเภทที่ 6 โครงการ/กิจกรรมด้านการสื่อสารที่เน้นความส�าเร็จในการด�าเนินการ เพื่อให้ สังคมได้ทราบถึงความส�าเร็จเหล่านี้ จะได้เกิดความเชื่อมั่นว่าปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นปัญหา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 166 ที่สามารถแก้ไขได้ ทั้งนี้ การสื่อสารควรมีรูปแบบและเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ ออกแบบโดยนักการสื่อสาร ที่มีความช�านาญในการสื่อสารเชิงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเนื้อหาเหล่านี้ควรท�าออกมาในรูปแบบของเนื้อหา ภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่สามารถสืบค้นได้ง่าย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งภายในและภายนอกประเทศ 4.3) การปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสามารถด�าเนินการได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ รูปแบบที่ 1 การด�าเนินการจากบนลงล่าง (Top - down) การด�าเนินการแบบนี้จะใช้ได้ผล ในกรณีที่มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ทางการเมือง มีเจตจ�านงทางการเมืองที่ชัดเจน มีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหา และสามารถเป็นรัฐบาลได้หลายสมัย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชิงนโยบาย รูปแบบที่ 2 การด�าเนินการจากล่างขึ้นบน (Bottom - up) การด�าเนินการแบบนี้เหมาะกับ กรณีที่ประชากรมีความหลากหลาย มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในเชิงพื้นที่ และต้องการให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถด�าเนินการได้ในหลายพื้นที่พร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความส�าเร็จส�าหรับการด�าเนินการเชิงพื้นที่ คือ การสนับสนุนของหน่วยงานในพื้นที่และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่มีความรู้ ความสามารถ มีทรัพยากรเพียงพอ ตลอดจนถึงการมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ทั้งนี้ หากพิจารณาจากบริบทของประเทศไทย ควรบูรณาการแนวทางทั้ง 2 รูปแบบ โดยในระยะแรก (2 - 3 ปี) ให้น�้าหนักไปที่การด�าเนินการตามรูปแบบที่ 2 ประมาณร้อยละ 70 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ค่อยปรับการให้น�้าหนักไปสู่รูปแบบที่ 1 มากขึ้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 167 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน 1. ด้านการก�าหนดต�าแหน่งที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาศัยอ�านาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (3) ประกอบมาตรา 102 และมาตรา 103 ออกประกาศ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อก�าหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยนับแต่พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีประกาศก�าหนดต�าแหน่งจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ�านวน 7 ฉบับ ต�าแหน่งที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน จ�านวน 909 ต�าแหน่ง 36,824 บัญชี ส�าหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีประกาศก�าหนดต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน จ�านวน 2 ฉบับ จ�านวน 135 ต�าแหน่ง 230 บัญชี ประกอบด้วย (1) ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่งของผู้มีหน้าที่ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 (มีผลใช้บังคับ 14 ตุลาคม 2564) โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จ�านวน 67 ต�าแหน่ง 67 บัญชี (2) ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่งของ เจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 (มีผลใช้บังคับ 14 ตุลาคม 2564) โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน จ�านวน 68 ต�าแหน่ง 163 บัญชี ล�าดับ ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่ง ของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ประกาศก�าหนดต�าแหน่ง ของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 1 ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 2 ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ 3 ผู้อ�านวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว รองผู้อ�านวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว 4 ผู้อ�านวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ รองผู้อ�านวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ 5 ผู้อ�านวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ รองผู้อ�านวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ 6 ผู้อ�านวยการศูนย์คุณธรรม รองผู้อ�านวยการศูนย์คุณธรรม 7 ผู้อ�านวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร รองผู้อ�านวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 8 ผู้อ�านวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ รองผู้อ�านวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ 9 ผู้อ�านวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ รองผู้อ�านวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ 10 ผู้อ�านวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 168 ล�าดับ ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่ง ของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ประกาศก�าหนดต�าแหน่ง ของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 11 ผู้อ�านวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ 12 ผู้อ�านวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ รองผู้อ�านวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 13 ผู้อ�านวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน รองผู้อ�านวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน 14 ผู้อ�านวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน รองผู้อ�านวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน 15 ผู้อ�านวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรม แห่งประเทศไทย รองผู้อ�านวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่ง ประเทศไทย 16 ผู้อ�านวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ 17 ผู้อ�านวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้า และการพัฒนา รองผู้อ�านวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้า และการพัฒนา 18 ผู้อ�านวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล รองผู้อ�านวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล 19 ผู้อ�านวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ 20 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ 21 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข รองผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข 22 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง รองผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง 23 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและ เครื่องประดับแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและ เครื่องประดับแห่งชาติ 24 ผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน รองผู้อ�านวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน 25 ผู้อ�านวยการสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองผู้อ�านวยการสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 26 ผู้อ�านวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�างาน รองผู้อ�านวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�างาน 27 ผู้อ�านวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน�้า รองผู้อ�านวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน�้า 28 ผู้อ�านวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ รองผู้อ�านวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ 29 ผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนน�้ามันเชื้อเพลิง รองผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนน�้ามันเชื้อเพลิง 30 ผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนหมู่บ้านและ ชุมชนเมืองแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนหมู่บ้านและ ชุมชนเมืองแห่งชาติ 31 ผู้อ�านวยการส�านักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รองผู้อ�านวยการส�านักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 32 ผู้อ�านวยการส�านักงานความร่วมมือพัฒนา เศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน รองผู้อ�านวยการส�านักงานความร่วมมือพัฒนา เศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 169 ล�าดับ ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่ง ของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ประกาศก�าหนดต�าแหน่ง ของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 33 ผู้อ�านวยการส�านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการส�านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ 34 ผู้อ�านวยการส�านักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ รองผู้อ�านวยการส�านักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ 35 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร 36 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ 37 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ 38 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาพิงคนคร รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาพิงคนคร 39 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 40 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชาติ 41 ผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ รองผู้อ�านวยการส�านักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ 42 ผู้อ�านวยการส�านักงานพิพิธภัณฑ์เกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รองผู้อ�านวยการส�านักงานพิพิธภัณฑ์เกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 43 ผู้อ�านวยการส�านักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษา รองผู้อ�านวยการส�านักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษา 44 ผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมการจัดประชุมและ นิทรรศการ รองผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ 45 ผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม รองผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม 46 ผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม รองผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 47 ผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล รองผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 48 ผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รองผู้อ�านวยการส�านักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 49 ผู้อ�านวยการส�านักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ รองผู้อ�านวยการส�านักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 50 ผู้อ�านวยการหอภาพยนตร์ รองผู้อ�านวยการหอภาพยนตร์ 51 ผู้อ�านวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รองผู้อ�านวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 52 ผู้อ�านวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รองผู้อ�านวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 170 ล�าดับ ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่ง ของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ประกาศก�าหนดต�าแหน่ง ของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 53 เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ 54 เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 55 เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา 56 เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ 57 เลขาธิการคุรุสภา รองเลขาธิการคุรุสภา 58 เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 59 ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา รองผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 60 ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต รองผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต 61 ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย รองผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย 62 ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 63 ผู้อ�านวยการกองทุนสงเคราะห์ รองผู้อ�านวยการกองทุนสงเคราะห์ 64 ผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนอ้อย และน�้าตาลทราย รองผู้อ�านวยการส�านักงานกองทุนอ้อย และน�้าตาลทราย 65 เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ 66 เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบ�าเหน็จบ�านาญ ข้าราชการ รองเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบ�าเหน็จบ�านาญ ข้าราชการ 67 เลขาธิการส�านักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา เกษตรกร รองเลขาธิการส�านักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา เกษตรกร 68 เลขาธิการส�านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่งของ ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563) รองเลขาธิการส�านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 171 2. ด้านการรับยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับไว้เพื่อด�าเนินการตรวจสอบความถูกต้องและ ความมีอยู่จริง รวมถึงตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สินและหนี้สินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวนทั้งสิน 33,182 บัญชี โดยแยกตามอ�านาจหน้าที่ในการตรวจสอบตามต�าแหน่งผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ได้เป็น ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จ�านวน 4,426 บัญชี และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด จ�านวน 28,756 บัญชี รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 163 การทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มี หน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 256 3) 2. ด้านการรับยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องและ ความมีอยู่จริง รวมถึงตรวจสอบควำมเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สิน และหนี้สินในปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 จานวนทั้ งสิน 3 3 , 182 บัญชี โดยแยกตามอานาจหน้าที่ในการตรวจสอบตามตาแหน่งผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ได้เป็น สำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จำนวน 4,426 บัญชี และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดจำนวน 28,756 บัญชี ส่วนกลาง 13 % สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด 87 % สถิติการรับบัญชีทรัพยืสินและหนี้สิน ส่วนกลาง สานักงาน ป . ป . ช. ประจาจังหวัด สถิติการรับบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ส่วนกลาง 13% ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 87%
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 172 นดต้องยื่นบัญชีดังกล่าว โดยบัญชีแสดงรายการ ท 4 คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสานักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการเปิดเผยบ น ป.ป.ช. ประจำจังหวัด 1,267 ฉบับ แบ่งเป็น สำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จาน 1,109 ฉบับ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าพ เปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินเจ้าพนักงานของ รัฐแล้วไม่ปรา 4 คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสานักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการ จานวนทั้งสิ้น 640 ส่วนกลาง 12% ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 88% สถิติการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน 3. ด้านการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 106 ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีแสดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ และเอกสารประกอบของผู้ด�ารงต�าแหน่งตามมาตรา 102 (1) เฉพาะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา และบุคคลตามมาตรา 102 (2) (3) (7) และ (9) รวมทั้งของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าว ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป โดยเร็ว แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบก�าหนดต้องยื่นบัญชีดังกล่าว โดยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน ที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ และเอกสารประกอบต้องไม่ระบุถึงรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์สิน และภาพถ่ายทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่จ�าเป็นหรือที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเจ้าของข้อมูลได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�าหนด โดยการเผยแพร่ให้ก�าหนดช่วงระยะเวลาในการด�าเนินการ ที่ชัดเจน ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการเปิดเผยบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สิน โดยปิดประกาศที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ทั้งส่วนกลางและส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด และ เปิดเผยทางเว็ปไซต์ของส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวนทั้งสิ้น 1,267 ฉบับ แบ่งเป็น ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จ�านวน 158 ฉบับ และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด จ�านวน 1,109 ฉบับ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 173 2564 บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจสอบทรัพย์สิน เปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินเจ้าพนักงานของ รัฐแล 4 คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสานักงาน ป.ป.ช. ได้ดำ จานวนท แบ่งเป็น ของสานักงาน ป .ป.ช. ส่วนกลาง จานวน 1,685 บัญชี และสานักงาน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค สถิติการเปิดเผยการตรวจสอบบัญชี 4. ด้านการเปิดเผยผลการตรวจสอบ บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาผลการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าพนักงาน ของรัฐ กรณีเข้ารับต�าแหน่ง ด�ารงต�าแหน่งครบสามปี และพ้นจากต�าแหน่งหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และปรากฏผลการตรวจสอบว่าทรัพย์สินและหนี้สินเจ้าพนักงานของรัฐนั้นถูกต้องและมีอยู่จริง หรือกรณีที่ได้ ด�าเนินการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินเจ้าพนักงานของรัฐแล้วไม่ปรากฎว่าร�่ารวยผิดปกติ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการจัดท�าประกาศเปิดเผย ผลการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทางเว็ปไซต์ของส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวนทั้งสิ้น 640 ฉบับ จ�านวน 5,684 บัญชี แบ่งเป็น ของส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จ�านวน 1,685 บัญชี และส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค จ�านวน 3,999 บัญชี 5. ด้านการด�าเนินคดีเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน 5.1 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณากรณีผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติกรรมอันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น และได้มีมติกรณีดังกล่าวส่งให้ศาลที่มีเขตอ�านาจวินิจฉัยในปีงบประมาณ 2564 จ�านวน ทั้งสิ้น 21 เรื่อง ล�าดับ รายละเอียด จ�านวน (เรื่อง) 1 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง 19 2 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 2
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 174 รายละเอียดเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งให้ศาลที่มีเขตอ�านาจวินิจฉัย กรณีจงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน จ�านวน 21 เรื่อง รายละเอียดคดี ที่ ผู้ถูกกล่าวหา ต�าแหน่ง 1 นายด�าเนิน แสงงาม รองนายกเทศมนตรีต�าบลบางเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 2 พลต�ารวจโท พลศักดิ์ บรรจงศิริ ผู้บังคับการต�ารวจภูธรจังหวัดสกลนคร 3 นายสมาน บุญข�า นายกเทศมนตรีต�าบลตลาดเขต จังหวัดกาญจนบุรี 4 นายสมควร นามนตรี รองนายกเทศมนตรีต�าบลชลบทวิบูลย์ จังหวัดขอนแก่น 5 นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 6 นายเอ ถนอมมิตรวัฒนา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี 7 นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร 8 นายสามารถ หมวดมณี รองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง 9 นายธีรยุทธ เซี่ยงฉิน รองนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลทับใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 10 นายโกเวช เจียรบุตร รองนายกเทศมนตรีต�าบลน�้าน้อย จังหวัดสงขลา 11 นายวรพจน์ ทับพุ่ม นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลหนองปลิง จังหวัดนครสวรรค์ 12 นายบุญโฮม กุลวงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลดงครั่งน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด 13 นายชัยวัฒน์ อินอนงค์ รองนายกเทศมนตรีต�าบลบางเสร่ อ�าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 14 นายเสนัด อุดมทรัพย์ นายกเทศมนตรีต�าบลเมืองบัว จังหวัดร้อยเอ็ด 15 นายวิชัย รอดเปีย สมาชิกสภาเมืองพัทยา 16 นายสวัสดิ์ ค�ามาตย์ นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลประชาพัฒนา จังหวัดมหาสารคาม 17 นางสาวกิติยา วาดเขียน รองนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี 18 นายอรัญ น้อยดี รองนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลหน้าพระธาตุ จังหวัดชลบุรี 19 นายสว่าง ทิพเจริญ รองนายกเทศมนตรีต�าบลเชียงใหม่ จังหวัดร้อยเอ็ด 20 นายบุญมา ค�านิล รองนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลสิงห์โคก จังหวัดร้อยเอ็ด 21 นายวรวิทย์ ปักกาโล นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลกู่สันตรัตน์ จังหวัดมหาสารคาม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 175 สถิติเปรียบเทียบผลการด�าเนินงาน กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และกรณีจงใจยื่นบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2564 ปีงบประมาณ พ.ศ. จ�านวน ไม่ยื่นบัญชี ยื่นบัญชีเท็จ 2562 46 3 43 2563 22 2 20 2564 21 0 21 5.2 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการไต่สวนกรณีร�่ารวยผิดปกติ อันเนื่องมาจากกรณีมีการกล่าวหา และกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดร�่ารวยผิดปกติ โดยด�าเนินการ ตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินและหนี้สิน การเคลื่อนไหวทางการเงิน หรือการท�าธุรกรรมของบุคคลนั้น และด�าเนินการ อื่นใดภายใต้ อ�านาจที่ก�าหนดไว้ ตามกฎหมายเพื่อให้ ได้ มาซึ่งข้ อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กรณีร�่ารวยผิดปกติที่ส่งให้ศาลที่มีเขตอ�านาจวินิจฉัย ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2564 สถิติเปรียบเทียบผลการด�าเนินงาน ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร�่ารวยผิดปกติ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2564 ปีงบประมาณ พ.ศ. ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือ ร�่ารวยผิดปกติ มูลค่าทรัพย์สินที่ร้องขอให้ ตกเป็นของแผ่นดิน 2562 1 216,062,819.54 บาท 2563 4 746,631,860.07 บาท 2564 7 471,094,091.75 บาท ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ด�าเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือค�าวินิจฉัยว่าร�่ารวย ผิดปกติ ทั้งสิ้น 7 เรื่อง โดย มีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 471,094,091.75 บาท 1) กรณีนายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ ต�าแหน่ งประจ�าส�านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร�่ารวยผิดปกติ มีมูลค่าความเสียหาย 36,930,960.26 บาท 2) กรณีพลต�ารวจโท สมชาย นิตยบวรกุล ต�าแหน่งรองผู้บัญชาการต�ารวจภูธร ภาค 8 ร�่ารวย ผิดปกติ มีมูลค่าความเสียหาย 136,276,311 บาท 3) กรณีนางอบ เนียมรักษา ต�าแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนต�าบลสามเรือน อ�าเภอเมือง ราชบุรี จังหวัดราชบุรี ร�่ารวยผิดปกติ มีมูลค่าความเสียหาย 2,620,900 บาท 4) กรณีนายวัลลภ แวววิจิต ต�าแหน่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดชลบุรี ร�่ารวยผิดปกติ มีมูลค่าความเสียหาย 1,000,000 บาท และนายอุดร จันทร์ธิมา ต�าแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ ร�่ารวยผิดปกติ มูลค่าความเสียหาย 1,684,000 บาท 5) กรณีนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ต�าแหน่งผู้อ�านวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนา สงเคราะห์ ส�านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร�่ารวยผิดปกติ มูลค่าความเสียหาย 56,327,611 บาท 6) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ต�าแหน่งที่ปรึกษาประจ�าส�านักนายกรัฐมนตรี (อดีตอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ) ร�่ารวยผิดปกติ มูลค่าความเสียหาย 53,512,096 บาท 7) นางสุภา สกุลเงิน ต�าแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนต�าบลคลองมะเดื่อ อ�าเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ร�่ารวยผิดปกติ มูลค่าความเสียหาย 182,742,213.49 บาท
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 176 6. ด้านตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน มีบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน ทั้งสิ้น 19,362 บัญชี และเรื่องไต่สวนร�่ารวยผิดปกติ จ�านวน 106 เรื่อง จ�าแนกได้ ดังนี้ จ�านวนบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเรื่องไต่ส่วนร�่ารวยผิดปกติ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ล�าดับ หน่วยงาน ปกติ ยืนยัน เชิงลึก ไต่สวนร�่ารวยผิดปกติ เรื่องตรวจสอบ เรื่องไต่สวน 1 ส่วนกลาง 8,293 251 104 51 9 2 ภูมิภาค 8,553 1,728 433 36 10 รวม 16,846 1,979 537 87 19 19,362 106 สถิติเปรียบเทียบผลการด�าเนินงานด้านตรวจสอบทรัพย์สินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2564 งบประมาณ พ.ศ. จ�านวนบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน (บัญชี) ผลการด�าเนินการเสร็จ (บัญชี) รวม คงเหลือ เรื่อง คงค้าง (ร้อยละ) ยกมา รับใหม่ รวม ปกติ ยืนยัน เชิงลึก 2562 14,376 10,031 24,407 7,837 337 (เรื่อง) 45 (เรื่อง) 8,219 16,188 66.32 2563 36,253 3,897 40,150 19,480 2,567 962 23,009 17,141 42.69 2564 17,373 33,182 50,555 16,846 1,979 537 19,362 31,193 61.70 หมายเหตุ บัญชีคงเหลือปี พ.ศ. 2563 ไม่สัมพันธ์กับยอดยกมาปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากบัญชีที่ด�าเนินการแล้วเสร็จปี พ.ศ. 2563 บางบัญชีมีเหตุต้องน�ากลับมาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง 7. ด้านการสร้างความมีส่วนร่วมในการตรวจสอบทรัพย์สิน และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับภารกิจด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ 1. ส่งผู้แทนไปเป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน การให้ค�าปรึกษาแก่ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน 2. จัดให้มีช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. และบุคคลภายนอก เพื่อเป็นการเพิ่ม ช่องทางในการให้ความรู้เกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อบุคคลภายนอก โดยได้ด�าเนินการจัดให้มี ชุดค�าถามและค�าตอบที่รวบรวมข้อเท็จจริง (FAQ) ที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้รับมาจากผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน โดยเผยแพร่ผ่านทางเว็ปไซต์ของส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 177 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดกรณีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร�่ารวยผิดปกติ ดังนี้ 1. กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งประจ�าส�านักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 พฤติการณ์ นายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งประจ�าส�านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ รวมมูลค่า 36,930,960.26 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า นายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่ง ประจ�าส�านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ รวมมูลค่า 36,930,960.26 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของ ผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 118 และมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน 2. เรื่องกล่าวหาพลต�ารวจโท สมชาย นิตยบวรกุล หรืออ่วมถนอม เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งรองผู้บัญชาการ ต�ารวจภูธรภาค 8 ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 พฤติการณ์ พลต�ารวจโท สมชาย นิตยบวรกุล หรืออ่วมถนอม เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งรองผู้บัญชาการต�ารวจภูธรภาค 8 ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูล อันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 136,276,311 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า พลต�ารวจโท สมชาย นิตยบวรกุล หรืออ่วมถนอม เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งรองผู้บัญชาการต�ารวจภูธรภาค 8 ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติ ตามหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 136,276,311 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 178 ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระท�าการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติ เป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย แจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโท ษ ไล่ออกผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวย ผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน 3. เรื่องกล่าวหานางอบ เนียมรักษา นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลสามเรือน อ�าเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พฤติการณ์ นางอบ เนียมรักษา นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลสามเรือน อ�าเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ รวมมูลค่า 2,620,900 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า นางอบ เนียมรักษา นายกองค์การบริหาร ส่วนต�าบลสามเรือน อ�าเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ รวมมูลค่า 2,620,900 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาล สั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระท�าการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติ เป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 118 และมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย แจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่ง ลงโทษไล่ออกผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 179 4. เรื่องกล่าวหานายวัลลภ แวววิจิต เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี และนายอุดร จันทร์ธิมา เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 พฤติการณ์ นายวัลลภ แวววิจิต และนายอุดร จันทร์ธิมา ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ รวมทั้งเป็นกรณีมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ สืบเนื่องมาจากการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน โดยการเปรียบเทียบเงินรายได้ ในปีภาษี พ.ศ. 2548 ปรากฏว่ามีเงินได้เพิ่มขึ้น ดังนี้ 1. นายวัลลภ แวววิจิต เพิ่มขึ้นจ�านวน 1,000,000 บาท 2. นายอุดร จันทร์ธิมา เพิ่มขึ้นจ�านวน 1,684,000 บาท โดยเงินจ�านวนดังกล่าวได้มาจากการกระท�าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลและศาลฎีกาพิพากษา มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า นายวัลลภ แวววิจิต ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย จ�านวน 1,000,000 บาท นายอุดร จันทร์ธิมา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย จ�านวน 1,684,000 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้อง ศา ลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง ต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติ เป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 การด�าเนินการ การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 180 5. เรื่องกล่าวหานายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผู้อ�านวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ ส�านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 พฤติการณ์ นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ขณะด�ารงต�าแหน่งผู้อ�านวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ ส�านักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีพฤติการณ์ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น มากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่อง มาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจหน้าที่ในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 56,327,611 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่านายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ร�่ารวยผิดปกติ มีพฤติการณ์ ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจหน้าที่ ในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 56,327,611 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระท�าการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสามต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือบางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหา ได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย แจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษ ผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระท�าการทุจริตต่อหน้าที่ การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 181 6. เรื่องกล่าวหา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจ�าส�านักนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 พฤติการณ์ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจ�าส�านักนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลง มากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือ ใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 53,512,096 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาส�านวนการไต่สวนแล้วมีมติว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อ�านาจ ในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 53,512,096 บาท ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และ ความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินการยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบซึ่งมีเขตอ�านาจ พิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย การด�าเนินการ การด�าเนินการทางคดี ให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสารพยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อด�าเนินการยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่ง ให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 182 7. เรื่องกล่าวหา นางสุภา สกุลเงิน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนต�าบลคลองมะเดื่อ อ�าเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ร�่ารวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 พฤติการณ์ นางสุภา สกุลเงิน เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนต�าบลคลองมะเดื่อ อ�าเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร มีพฤติการณ์ร�่ารวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจาก การปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจหน้าที่ในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 182,742,213.49 บาท มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. นางสุภา สกุลเงิน ร�่ารวยผิดปกติ โดยได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่อง มาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อ�านาจในต�าแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 182,742,213.49 บาท โดยให้ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก ผู้ถูกกล่าวหาภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระท�าการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร�่ารวยผิดปกติตกเป็น ของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย การด�าเนินการ การด�าเนินการทางวินัย แจ้งค�าวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษ ไล่ออกภายในหกสิบวัน การด�าเนินการทางคดี ส่งรายงาน ส�านวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นค�าร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร�่ารวย ผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 183 4. ด้านอ�านวยการยุติธรรม ภารกิจส�าคัญอีกประการหนึ่งที่เป็นส่วนในการขับเคลื่อนงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต คือ ภารกิจด้านอ�านวยการยุติธรรม ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. มีผลการด�าเนินการอ�านวยการยุติธรรม ดังนี้ ด้านกฎหมาย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด�าเนินการขับเคลื่อนให้มีกฎหมายตามแผนการ ปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งได้ให้ความส�าคัญ กับกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) โดยในกิจกรรม ปฏิรูปที่ 2 “การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและพัฒนาระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตที่มี ประสิทธิภาพ” และในกิจกรรมปฏิรูปที่ 4 “การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์” ซึ่งมี เป้าหมายของกิจกรรมปฏิรูป คือ การมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ คือ กฎหมายป้องกัน การฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) การก�าหนดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนตนกับส่วนรวมประกอบพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 และยกระดับเป็นกฎหมาย ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ กิจกรรมปฏิรูปดังกล่าว ได้ด�าเนินการจัดท�ารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน การฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) และด�าเนินการยกร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ ด�าเนินการจัดท�ารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมาย ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม และด�าเนินการพิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมตามแผนการปฏิรูป ทั้งนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ยังได้ด�าเนินการรับฟังความคิดเห็น จากภาคประชาชน โดยน�าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและเอกสารประกอบเผยแพร่ เพื่อรับฟังความคิดเห็น ผ่านทางเว็บไซต์ของส�านักงาน ป.ป.ช. (www.nacc.go.th) เพื่อให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อได้รับข้อมูลจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างรอบด้านก่อนจะมีการเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาและมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในอนาคต ด้านการขับเคลื่อนเรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 1. การจัดท�าร่างประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง ก�าหนดต�าแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องห้าม มิให้ด�าเนินกิจการตามความในมาตรา 126 เพิ่มเติม 1.1 คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาการออกประกาศก�าหนดต�าแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐ ตามมาตรา 126 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษา ดังนี้ 1) สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 1.1) ผู้บริหารสูงสุดของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (อธิการบดี หรือบุคคลที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ซึ่งมีลักษณะต�าแหน่งหน้าที่หรือมีลักษณะงานในท�านองเดียวกัน)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 184 1.2) กรรมการสภามหาวิทยาลัย หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นซึ่งมี ลักษณะต�าแหน่งหน้าที่หรือมีลักษณะงานในท�านองเดียวกัน 2) สถาบันอุดมศึกษาในก�ากับของรัฐ 2.1) ผู้บริหารสูงสุดของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (อธิการบดี หรือบุคคลที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ซึ่งมีลักษณะต�าแหน่งหน้าที่หรือมีลักษณะงานในท�านองเดียวกัน) 2.2) กรรมการสภามหาวิทยาลัย หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นซึ่งมี ลักษณะต�าแหน่งหน้าที่หรือมีลักษณะงานในท�านองเดียวกัน 1.2 คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาการออกประกาศก�าหนดต�าแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐ ตามมาตรา 126 ในส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยงานอื่นของรัฐ ประกอบด้วย - กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐที่ท�าหน้าที่ตามกฎหมายโดยเฉพาะด้าน - กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐประเภทกองทุน - กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐประเภทองค์การมหาชน ซึ่งแบ่งออกเป็นองค์การมหาชนประเภท บริการสาธารณะกับองค์การมหาชนประเภทกองทุน - กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐประเภทองค์การวิชาชีพ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาก�าหนดต�าแหน่งที่จะประกาศก�าหนดต�าแหน่งเพิ่มเติม และเห็นชอบให้ มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศก�าหนดต�าแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐตามมาตรา 126 ในส่วนที่เกี่ยวกับ หน่วยงานอื่นของรัฐ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ประกาศก�าหนดต�าแหน่งเพิ่มเติมและอยู่ระหว่างด�าเนินการรับฟังความคิดเห็น มี 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.1) ทุนหมุนเวียน มีต�าแหน่งที่ต้องด�าเนินการรับฟังความคิดเห็น คือ - กรรมการบริหารทุนหมุนเวียน หรือต�าแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรรมการ บริหารทุนหมุนเวียน - ผู้บริหารทุนหมุนเวียน หรือต�าแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นผู้บริหาร ทุนหมุนเวียน ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน 1.2) ส�านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีต�าแหน่งที่ต้องด�าเนินการรับฟังความคิดเห็น คือ - ประธานกรรมการและกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ - เลขาธิการส�านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ - ประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการตรวจสอบ ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 - คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข 2) หน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล มีจ�านวน 12 หน่วยงาน ประกอบด้วย 2.1) ธนาคารแห่งประเทศไทย 2.2) ส�านักงานคณะกรรมการก�ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2.3) ส�านักงานคณะกรรมการก�ากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย 2.4) ส�านักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ 2.5) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 185 2.6) ส�านักงานคณะกรรมการก�ากับกิจการพลังงาน 2.7) ส�านักงานอัยการสูงสุด 2.8) ส�านักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย 2.9) ส�านักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า 2.10) ส�านักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 2.11) ส�านักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ 2.12) กองทุน ป.ป.ช. ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ จะได้ด�าเนินการรับฟังความคิดเห็นฯ และจัดท�าร่างประกาศก�าหนดต�าแหน่งเสนอคณะอนุกรรมการป้องกัน การกระท�าความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมพิจารณาให้ความเห็นประกอบ และเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามล�าดับต่อไป 2. การจัดท�าแนวทางการบริหารความเสี่ยงหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของหน่วยงานต่าง ๆ ส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์มีภารกิจในการรณรงค์เสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม ในทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันการกระท�าความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ส�านักฯ จึงได้การบูรณาการความร่วมมือกับ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันการกระท�าความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับ ประโยชน์ส่วนรวมให้เห็นผลเป็นรูปธรรมและสามารถน�าไปปฏิบัติได้ จึงได้จัดท�า “ประกาศกระทรวง… เรื่อง มาตรการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม” ขึ้น โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อก�าหนดแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ของแต่ละกระทรวง จ�านวน 3 คณะ ให้มีหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ รวบรวม รับฟังความเห็น เพื่อก�าหนดแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยง เกี่ยวกับการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของหน่วยงาน โดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ แต่ละคณะ มีการด�าเนินการ ดังนี้ 2.1 พิจารณาจัดท�าร่างรายงานผลการศึกษาการก�าหนดแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของทั้ง 3 กระทรวง เพื่อศึกษาข้อมูลองค์กรของ กระทรวง กระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุมัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภาพรวมเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม รวมถึงแนวทางปฏิบัติของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงานและหน่วยงานภายในสังกัดที่เกี่ยวกับการป้องกันการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม และความเสี่ยงที่อาจน�าไปสู่การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวมและการทุจริต ซึ่งน�าไปสู่ข้อเสนอแนะที่ต้องมีประกาศกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง เกี่ยวกับ เรื่องการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม และแนวทางการปฏิบัติตาม ประกาศ เรื่อง การป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 2.2 พิจารณาจัดท�าร่างประกาศกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง เกี่ยวกับเรื่องการป้องกันการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม โดยน�าข้อมูลจากการร่างรายงานผลการศึกษาการก�าหนด แนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของทั้ง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 186 3 กระทรวง น�ามาเป็นข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า ร่างประกาศกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง มีแนวทางส�าคัญ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะไปในทิศทางเดียวกัน โดยประกาศของทั้ง 3 กระทรวง จะมีลักษณะ ดังต่อไปนี้ (1) วางหลักการหรือทฤษฎีเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม (2) การก�าหนดห้ามตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ ส่วนรวม (3) การก�าหนดห้ามตามรูปแบบการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม (4) การก�าหนดห้ามตามพฤติการณ์ที่มีโอกาสเกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือการรับสินบน ของแต่ละหน่วยงาน (กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน) 2.3 พิจารณาจัดท�าร่างแนวทางการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง เกี่ยวกับเรื่อง การป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับบุคลากร ในสังกัดของทั้ง 3 กระทรวง ในการด�ารงตนให้ไม่กระท�าความผิดที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ ในการด�าเนินการเพื่อจัดท�าแนวทางบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน นั้นอยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขตามความเห็นของคณะอนุกรรมการ และผู้แทนหน่วยงานของทั้ง 3 กระทรวง และจะน�าเสนอต่อคณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ จึงน�าเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในแต่ละ กระทรวงต่อไป ในส่วนของส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดท�าแผนบริหารความเสี่ยง ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยคณะท�างานวิเคราะห์ความเสี่ยงเกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนของส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท�ารายงานการศึกษาการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการจัดท�าแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานที่อาจเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปี พ.ศ. 2564 รวมถึงได้ก�าหนดมาตรการและการด�าเนินการในการบริหารจัดการความเสี่ยง รายงานต่อเลขาธิการฯ ซึ่งเลขาธิการฯ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ได้เห็นชอบและมีข้อสั่งการไปยังหน่วยงานภายใน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพื่อด�าเนินการ รวมถึงมีการก�าหนดกลไกการก�ากับติดตามอย่างต่อเนื่อง และน�าไปสู่การจัดท�าประกาศส�านักงาน ป.ป.ช. เรื่อง มาตรการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม โดยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ลงนามในประกาศดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในส�านักงาน ป.ป.ช. ให้การด�าเนินงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นมาตรการเพื่อควบคุมความประพฤติในทางวินัยส่วนหนึ่ง และสร้างกลไกการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในสังกัด ซึ่งการป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม เป็นนโยบายส�าคัญของส�านักงาน ป.ป.ช. และเป็นหน่วยงานแรกในการออกประกาศดังกล่าว เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะได้ด�าเนินการในลักษณะดังกล่าวกับกระทรวงต่าง ๆ ต่อไป 3. การตอบข้อหารือ โดยในปี 2564 มีจ�านวนเรื่องที่มีการหารือข้อกฎหมายทางโทรศัพท์ จ�านวน 61 ครั้ง และการหารือ ที่เป็นหนังสือ จ�านวน 30 ฉบับ เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับมาตรา 126 มาตรา 127 และมาตรา 128 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 187 4. การด�าเนินการบูรณาการร่วมกับส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ ส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ได้ด�าเนินการร่วมกับส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 ภาค 2 ภาค 5 ภาค 8 และภาค 9 ภายใต้โครงการสร้างวิทยากรตัวคูณปลูกฝังวิธีคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ส่วนรวม ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมให้กับ กลุ่มเป้าหมายในส่วนภูมิภาคและระดับท้องถิ่น 2. เพื่อให้รับทราบระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวมของเจ้าพนักงานของรัฐ และน�ามาวิเคราะห์จัดท�าแนวทางในการจัดกิจกรรม/โครงการ ที่เหมาะสมต่อไป 3. เพื่อให้ค�าปรึกษาหรือให้ความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม 4. เพื่อรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ได้ด�าเนินการร่วมกับส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1. การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีคิดแยกแยะระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ความหมายของการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม และรูปแบบของการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม หลักทั่วไป แนวคิดและความหมายของการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม รูปแบบการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม และ การให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ป.ป.ช. หมวด 6 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องพร้อมตัวอย่าง 2. การวิเคราะห์ความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม หรืออาจเกิดการทุจริต 3. กรณีศึกษาและการด�าเนินกิจกรรมกลุ่มเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย สามารถก�าหนดพฤติการณ์การกระท�าความผิดโดยระบุว่าพฤติการณ์ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับรูปแบบการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ประเภทใด ลักษณะใด และพฤติการณ์นั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตราใด มีสาระส�าคัญอย่างไรบ้าง โดยให้แต่ละกลุ่มร่วมกันด�าเนินการตามกรณีศึกษาที่แจกให้และน�าเสนอต่อที่ประชุม 4. การจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 5. การให้ค�าปรึกษาหรือให้ความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวม 6. การรับฟังความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม 7. การจัดท�าแบบทดสอบเพื่อวัดระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล กับประโยชน์ส่วนรวมของเจ้าพนักงานของรัฐ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 188 5. การจัดท�าคู่มือเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 แห่งประมวลกฎหมายอาญากับเจ้าพนักงาน ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจค�านวณเป็นเงินได้ตามมาตรา 128 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวทฤษฎี ข้อมูลสถิติคดี แนวค�าพิพากษาเกี่ยวกับการเรียกรับ สินบนและการรับทรัพย์และประโยชน์อื่นใดเพื่อจัดท�าคู่มือคดีสินบน ตามมาตรา 149 ประมวลกฎหมายอาญา และการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ตามมาตา 128 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 6. การจัดท�าหนังสือรวมกฎหมายเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ศึกษาและรวบรวมข้อมูลกฎหมายเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งมีปรากฏแทรกอยู่ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชก�าหนด ระเบียบ ข้อก�าหนด ข้อบังคับ แนวทาง วินัย และประมวลจริยธรรมต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ในการค้นคว้าข้อมูล เพื่อประกอบการตอบข้อหารือ การร้องเรียน และในกระบวนการอื่นที่จ�าเป็นในสภาวการณ์จริง ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยส�านักการขัดกันแห่งผลประโยชน์จึงได้รวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์เข้าไว้ด้วยกัน ตามความจ�าเป็น และความเหมาะสมให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการศึกษา การค้นคว้าหาข้อมูล การท�าวิจัย หรือการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 189 การขับเคลื่อนการด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) จัดท�าขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 65 ที่ก�าหนดให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดท�าแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่ เป้าหมายดังกล่าว และในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ พระราชบัญญัติการจัดท�ายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 10 ก�าหนดให้คณะกรรมการจัดท�ายุทธศาสตร์ชาติแต่ละด้านจัดท�าแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตามที่ก�าหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยแผนแม่บทที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้มีผลผูกพันหน่วยงาน ของรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น รวมทั้งการจัดท�างบประมาณรายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ ต้องสอดคล้องกันแผนแม่บทด้วย คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและประกาศใช้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) จ�านวน 23 แผน ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 และได้มีมติเห็นชอบหน่วยงานเจ้าภาพ และภารกิจของหน่วยงานเจ้าภาพในการขับเคลื่อนแต่ละแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 โดยมอบหมายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีค�าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามา มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน ซึ่งมีประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนอัยการสูงสุด ศาล องค์กรอิสระ หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการ ขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ได้เห็นชอบให้มีการจัดท�าแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ถ่ายทอดประเด็นยุทธศาสตร์จากแผน 3 ระดับ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ แผนระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และด้านความมั่นคง แผนระดับที่ 2 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนระดับที่ 3 ที่เกี่ยวข้อง คือ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยแผนแต่ละระดับมุ่งเป้าหมายในภาพรวมที่สอดคล้องกัน คือ การยกระดับ คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทยให้สูงขึ้น กระบวนการจัดท�าแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ได้ยึดหลักความร่วมมือร่วมใจ (Collaboration) ในรูปแบบ Orchestra Model โดยการประสานความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ทั้งในรูปแบบของการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความเห็นในขั้นตอนต่าง ๆ อาทิ ขั้นการถ่ายทอดค่าเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของแผน การจัดท�าโครงการส�าคัญ การพิจารณาร่างแผนปฏิบัติการด้านฯ รวมถึงการประชุมชี้แจงและเตรียมการเพื่อขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 และเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 190 รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และภาคเอกชน แปลงแนวทางการด�าเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ สู่การปฏิบัติ โดยก�าหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจ�าปี และรายงานผลการด�าเนินงานตามที่ส�านักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก�าหนด แผนปฏิบัติการด้านฯ ได้ก�าหนดเป้าหมายในภาพรวม “ประเทศไทยปลอด การทุจริตและประพฤติมิชอบ” และก�าหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในช่วงปี 2563 - 2565 คือ ดัชนีการรับรู้ การทุจริตของประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ใน 54 และ/หรือได้คะแนนไม่ต�่ากว่า 50 คะแนน แผนปฏิบัติการด้านฯ ดังกล่าว ประกอบด้วยแผนย่อย 2 แผน คือ แผนย่อยการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนย่อย การปราบปรามการทุจริต ซึ่งแต่ละแผนย่อยมีรายละเอียดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย ดังนี้ เป้าหมาย/ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 แผนย่อยการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป้าหมายที่ 1 ประชาชนมีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 46 ร้อยละ 48 ร้อยละ 50 ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ร้อยละ 46 ร้อยละ 48 ร้อยละ 50 ตัวชี้วัดที่ 1.3 ร้อยละของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณธรรมและ ความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 (เกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไป) ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 65 (เกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไป) ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 (เกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไป) เป้าหมายที่ 2 คดีทุจริตและประพฤติมิชอบลดลง ตัวชี้วัดที่ 2.1 จ�านวนคดีทุจริตในภาพรวมลดลง ร้อยละ 6 ร้อยละ 8 ร้อยละ 10 ตัวชี้วัดที่ 2.2 จ�านวนคดีทุจริตรายหน่วยงานลดลง 2.2.1 จ�านวนข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ถูกชี้มูลเรื่องวินัย (ทุจริต) ลดลง ร้อยละ 6 ร้อยละ 8 ร้อยละ 10 2.2.2 จ�านวนข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ถูกชี้มูลว่ากระท�าการทุจริต ลดลง ร้อยละ 6 ร้อยละ 8 ร้อยละ 10 ตัวชี้วัดที่ 2.3 จ�านวนคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมืองลดลง ร้อยละ 15 ร้อยละ 20 ร้อยละ 25 แผนย่อยการปราบปรามการทุจริต เป้าหมายที่ 3 การด�าเนินคดีทุจริตมีความรวดเร็ว เป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ตัวชี้วัดที่ 3.1 กระบวนการด�าเนินคดีทุจริตที่จ�าเป็นต้องขอขยายระยะเวลา เกินกว่ากรอบเวลาปกติที่กฎหมายก�าหนด ไม่เกิน ร้อยละ 50 ไม่เกิน ร้อยละ 35 ไม่เกิน ร้อยละ 25 ตัวชี้วัดที่ 3.2 จ�านวนคดีอาญาที่หน่วยงานไต่สวนคดีทุจริตถูกฟ้องกลับ ไม่เกิน ร้อยละ 6 ของจ�านวน คดีที่ส่งฟ้อง ไม่เกิน ร้อยละ 5 ของจ�านวน คดีที่ส่งฟ้อง ไม่เกิน ร้อยละ 4 ของจ�านวน คดีที่ส่งฟ้อง ในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) หน่วยงานได้น�าโครงการข้างต้นไปใช้ในการจัดท�าค�าของบประมาณในกรอบแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ รวม 29 หน่วยงาน ประกอบด้วย 11 กระทรวง (22 หน่วยงาน) 3 ส่วนราชการไม่สังกัดส�านักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง 1 หน่วยงานของรัฐสภา และ 3 หน่วยงานขององค์กรอิสระ ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวม 578.000 ล้านบาท
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 191 การขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแนวทาง การขับเคลื่อน โดยแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 และก�าหนดให้ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก กิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) จ�านวน 2 กิจกรรมปฏิรูป ได้แก่ กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและระบบ คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ และ กิจกรรมปฏิรูปที่ 3 การพัฒนากระบวนการยุติธรรม ที่รวดเร็ว โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติในการด�าเนินคดีทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งรับผิดชอบ การมี หรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศฯ จ�านวน 3 ฉบับ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงาน ผู้รับผิดชอบหลักกิจกรรม Big Rock ได้จัดท�าแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock และด�าเนินการก�ากับ ติดตาม ความก้าวหน้าการด�าเนินงานโครงการ/การด�าเนินงานภายใต้แผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและตัวชี้วัดตามระยะเวลาที่ก�าหนด ซึ่งได้มีการรายงานความก้าวหน้าการด�าเนินงานต่อ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะอนุกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบเป็นประจ�าทุกเดือน และได้รายงานความก้าวหน้าการด�าเนินงานในระบบติดตามและประเมินผล แห่งชาติ (eMENSCR) โดยมีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ดังนี้ กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต ที่มีประสิทธิภาพ มีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ได้แก่ 1. การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและหัวหน้าหน่วยงานของรัฐฟ้องร้องด�าเนินคดี กับบุคคลที่แสดงความเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ (กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law)) โดยด�าเนินการศึกษากฎหมาย ข้อมูลวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการฟ้องปิดปาก ในประเทศไทยและต่างประเทศ และจัดท�าร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปากในความผิดฐานทุจริต ต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ. … ซึ่งมีสาระส�าคัญในการก�าหนดมาตรการป้องกันการด�าเนินคดีหรือการฟ้อง คดีปิดปากอันเนื่องมาจากการที่บุคคลแสดงความคิดเห็น ให้ถ้อยค�า แจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติการณ์ การทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นศูนย์กลางในการคุ้มครอง ช่วยเหลือผู้ถูกฟ้องคดีปิดปาก ร่วมกับส�านักงาน ป.ป.ท. และพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. (ด้านกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 และได้เสนอต่อ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศฯ เพื่อทราบ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 2. การพัฒนาระบบการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างครบวงจรและมีระบบปกปิดตัวตนที่มีประสิทธิภาพ โดยด�าเนินโครงการพัฒนาช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ประชาชน สามารถเข้าถึงช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกได้โดยสะดวกและมีความปลอดภัย ซึ่งได้มีการศึกษา วิเคราะห์ช่องทางและหลักเกณฑ์ในการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกในปัจจุบัน และด�าเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ได้แก่ การเสนอขอแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในประเด็นการเฝ้าระวังงบประมาณรายจ่ายของรัฐ การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 เพื่อให้ส�านักงานคุ้มครองพยานด�าเนินการคุ้มครองพยานได้ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับเครือข่าย ชมรม STRONG ในการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เรื่องการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส โดยมีส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดเป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนการด�าเนินงาน นอกจากนี้ ได้ด�าเนินโครงการจัดท�าระบบปกปิดตัวตน ที่มีประสิทธิภาพและการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้แจ้งเบาะแสมีความเชื่อมั่นในเรื่องการเก็บรักษา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 192 ความลับและความปลอดภัย มีการศึกษา วิเคราะห์ การด�าเนินการปกปิดตัวตนผู้แจ้งเบาะแสกรณีร้องเรียนผ่าน ช่องทางต่าง ๆ ในปัจจุบัน เพื่อจัดท�าระบบปกปิดตัวตนผู้แจ้งเบาะแสให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการปกปิดตัวตนของผู้แจ้งเบาะแส พยาน ผู้กล่าวหา รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ การด�าเนิน โครงการทั้ง 2 โครงการจะด�าเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 3. การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส รวมถึงการให้ค่าตอบแทน (ระเบียบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการคุ้มครองช่วยเหลือพยาน พ.ศ. 2562) ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและ มีประสิทธิภาพ โดยด�าเนินโครงการพัฒนาระบบเปิดเผยและแจ้งผลการติดตามเรื่องร้องเรียน เพื่อพัฒนาระบบ เปิดเผยเรื่องร้องเรียนและคดี (เรื่องที่อยู่ระหว่างไต่สวน) และการแจ้งผลการติดตามเรื่องร้องเรียน พร้อมทั้ง ก�าหนดแนวทางการปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส�านักงาน ป.ป.ช. จะด�าเนินการต่อยอดในการพัฒนาระบบติดตามการด�าเนินงานเรื่องร้องเรียนและคดีที่ส�านักงาน ป.ป.ช. รับไว้ ด�าเนินการ กิจกรรมปฏิรูปที่ 3 การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติในการด�าเนิน คดีทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ดังนี้ 1. การส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม โดยประชาชนร่วมเป็นเครือข่ายในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการปฏิบัติงานของภาครัฐ รวมทั้งร่วมด�าเนิน มาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) โดยด�าเนินโครงการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต ซึ่งชมรม STRONG ได้มีการด�าเนินการส�ารวจพื้นที่/การประกอบกิจการที่ผิดกฎหมายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (COI) และพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (COI) และน�าข้อมูลภาคสนามมาสู่ชมรม เพื่อก�าหนดแผนด�าเนินการการจัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมต้านทุจริตในเรื่องการจับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch and Voice) ตามสถานการณ์และความเหมาะสมของพื้นที่ การสร้างเยาวชน Anti-corruption Young Leaders และจัดกิจกรรมเวทีชุมชน STRONG ขยายผลจิตพอเพียงต้านทุจริตสู่เครือข่ายและชุมชน โดยด�าเนินการใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการและเป็นเครือข่ายภาคประชาชนของ ส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวนทั้งสิ้น 22,262 คน 2. การด�าเนินคดีทุจริตมีความรวดเร็ว เป็นธรรม โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ มีการด�าเนินการ ดังนี้ 2.1 ส่งเสริมให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมด�าเนินคดีตามกรอบเวลาของกฎหมาย ในมาตรฐานเดียวกันอย่างรวดเร็ว โดยด�าเนินการแก้ไข ร่าง หลักเกณฑ์การก�าหนดขนาดของเรื่องกล่าวหา เพื่อมอบหมายเรื่องกล่าวหาของส�านักงาน ป.ป.ช. และด�าเนินการรวบรวมข้อมูลการก�าหนดขนาดของคดีและ ระยะเวลาในการด�าเนินคดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส�านักงาน ป.ป.ท. และส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลการจัดท�าหรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการก�าหนดขนาดของคดีและ ระยะเวลาในการด�าเนินคดีให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2.2 ยกระดับการท�างานบนฐานดิจิทัล โดยด�าเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงระบบสารสนเทศ ด้านปราบปรามการทุจริต ซึ่งให้ความส�าคัญกับการพัฒนาปรับปรุงระบบสารสนเทศด้านปราบปรามการทุจริต ของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยรวมระบบย่อยให้เป็นระบบเดียว (Portal CCMS) 2.3 พัฒนาระบบฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านการปราบปรามการทุจริต โดยปรับปรุงการเชื่อมโยง ข้อมูลในส่วนของส�านักงานอัยการสูงสุด ส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส�านักงานกิจการยุติธรรม และส�านักงาน ศาลยุติธรรม และมีแผนในการปรับปรุงการเชื่อมระบบฐานข้อมูลในส่วนของส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 อันจะน�าไปสู่การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (Data Center) ที่มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลคดีทุจริตที่สามารถส่งต่อข้อมูลและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ด้านการปราบปรามการทุจริตต่อไป
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 193 2.4 ด�าเนินมาตรการควบคุม ก�ากับ ติดตามการบริหารจัดการโดยยึดหลักคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยมีการประสานความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ การประชุมร่วมกับส�านักงานอัยการสูงสุดในลักษณะของส�านักงาน ป.ป.ช. และ คณะกรรมการบริหาร มีอนุกรรมการประสานงานระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. และส�านักงานศาล การจัดท�าบันทึก ความร่วมมือ (MOU) ระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ศาล ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ การติดตามตัวผู้ถูกจับระหว่างส�านักสืบสวนและกิจการพิเศษ กับส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ เพื่อร่วมกันด�าเนินการ เพื่อน�าตัวผู้กระท�าผิดมาฟ้อง นอกจากนี้ ได้มีการประสานงานกับส�านักงาน ก.พ. เพื่อให้มีการขับเคลื่อน การด�าเนินงานมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ ก ระทรวงต่าง ๆ มีประกาศภายในเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม อยู่ในกรอบการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดีในการส่งเสริมให้มีธรรมาภิบาล ซึ่งมีการด�าเนินการ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ 3. การปรับปรุงหลักเกณฑ์โทษค่าปรับนิติบุคคลที่กระท�าความเสียหายให้กับประเทศตามมาตรฐานสากล ตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 176 ซึ่งสอดคล้องกับบทลงโทษนิติบุคคลตามมาตรฐานสากล ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการ ต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ ในการท�าธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ค.ศ. 1997 นอกจากนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการเสนอแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ในประเด็น ที่เกี่ยวข้อง และมีการศึกษา ทบทวน มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 การมีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ส�านักงาน ป.ป.ช. รับผิดชอบการจัดท�ากฎหมาย 3 ฉบับ โดยมี ผลการด�าเนินงาน ดังนี้ 1. การจัดท�ากฎหมายเกี่ยวกับการก�าหนดความผิดของนิติบุคคล และผู้ร่วมกระท�าความผิดที่เกี่ยวข้อง กับการทุจริตและประพฤติมิชอบ เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 176 ได้บัญญัติบทลงโทษนิติบุคคลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้ สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในการท�าธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศขององค์กรความร่วมมือทาง เศรษฐกิจและการพัฒนา ค.ศ. 1997 เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ยังได้จัดท�าและเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์คู่มือแนวทางก�าหนดมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมส�าหรับนิติบุคคล ในการป้องกันการให้ สินบนเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ 2. การเร่งรัดการจัดท�าพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดหรือปฏิบัติงานอยู่ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล ในการตรวจสอบการร�่ารวยผิดปกติ โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยื่น บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ตน สังกัดหรือปฏิบัติงานอยู่ เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อสังเกต และความเห็นเพิ่มเติมในการก�าหนดหน่วยงานและต�าแหน่งของเจ้าพนักงานของรัฐที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน จึงให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินน�าข้อสังเกตและความเห็น ไปพิจารณาด�าเนินการต่อไป 3. การเร่งรัดการจัดท�าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีค�าสั่งที่ 96/2564 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 194 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณา ร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … และได้มีการศึกษาวัตถุประสงค์ แนวคิด ความเป็นมาของ หลักกฎหมายว่าด้วยการขัดกันฯ และรวบรวมข้อมูล รวมทั้งวิเคราะห์สภาพปัญหา เพื่อยก ร่าง พระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันฯ ซึ่งจะได้มีการด�าเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 มีมติเห็นชอบการจัดท�างบประมาณรายจ่าย บูรณาการและมอบหมายผู้มีอ�านาจก�ากับแผนงานบูรณาการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะที่ 2.2 เป็นผู้มีอ�านาจก�ากับแผนงานบูรณาการ และมอบหมายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นเจ้าภาพหลักแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยคณะกรรมการจัดท�างบประมาณ รายจ่ายบูรณาการฯ มีหน้าที่และอ�านาจในการก�าหนดหลักเกณฑ์ วัตถุประสงค์ ขอบเขตภารกิจ เป้าหมาย แนวทาง การด�าเนินงาน ตัวชี้วัด พิจารณาโครงการ/กิจกรรมของหน่วยรับงบประมาณตามแผนงานบูรณาการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และจัดท�าข้อเสนอการจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ส่งส�านักงบประมาณ ซึ่งการจัดท�าแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีกรอบการด�าเนินงานที่มุ่งตอบสนองต่อ ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายเสริมสร้างความมั่นคงของชาติจากภัยการทุจริต ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนงานบูรณาการ คณะกรรมการจัดท�า งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะที่ 2.2 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ มีมติเห็นชอบก�าหนดแนวทางการจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีแนวทางการด�าเนินงาน 3 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึก ให้มีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต แนวทางที่ 2 ป้องกัน การทุจริตและประพฤติมิชอบ และแนวทางที่ 3 ปราบปรามการทุจริต แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีหน่วยงาน ร่วมบูรณาการ จ�านวน 29 หน่วยงาน ประกอบด้วย 11 กระทรวง (22 หน่วยงาน) 3 ส่วนราชการไม่สังกัดส�านัก นายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง 1 หน่วยงานของรัฐสภา และ 3 หน่วยงานขององค์กรอิสระ ได้รับการจัดสรร งบประมาณทั้งสิ้น จ�านวน 578.000 ล้านบาท (ห้าร้อยเจ็ดสิบแปดล้านบาทถ้วน) จ�าแนกตามแนวทางการด�าเนินงาน ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึก ให้มีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต งบประมาณ 379.9004 ล้านบาท มีหน่วยงานร่วมบูรณาการ จ�านวน 28 หน่วยงาน แนวทางที่ 2 ป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ งบประมาณ 70.0120 ล้านบาท มีหน่วยงานร่วม บูรณาการ จ�านวน 2 หน่วยงาน แนวทางที่ 3 ปราบปรามการทุจริต งบประมาณ 128.0876 ล้านบาท มีหน่วยงานร่วมบูรณาการ จ�านวน 4 หน่วยงาน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 195 การติดตามประเมินผล การติดตามประเมินผลแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบด�าเนินการตามระเบียบ ว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ส�านักงบประมาณก�าหนดการประเมินผลและการรายงานผลไว้ในข้อ 35 เพื่อประโยชน์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนงานบูรณาการ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เป็นเจ้าภาพหลัก จัดท�า รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงานบูรณาการ ตามเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่ ก�าหนดไว้ หรือตามที่ได้ตกลงกับส�านักงบประมาณ ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งระบุปัญหา อุปสรรคและแนวทางแก้ไข ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ส�านักงบประมาณก�าหนด จัดส่งให้ ส�านักงบประมาณ และส�านักงบประมาณจะรวบรวมรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเก้าสิบวันนับแต่ วันสิ้นปีงบประมาณ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการจัดท�างบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณถัดไป และเพื่อให้การขับเคลื่อนการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการจัดท�างบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะที่ 2.2 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการก�ากับและติดตามโครงการ/กิจกรรม งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งได้ก�าหนดแนวทาง การติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ แผนงานบูรณาการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์ และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ และผลการด�าเนินงานของโครงการ กิจกรรม ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ 1. การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของตัวชี้วัดตามแนวทาง 2. การติดตามผลการด�าเนินงานผ่านระบบติดตามและประมวลผล (NACC Smart E-Vision) 3. การประชุมร่วมกับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณ ทุกไตรมาส 4. การลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อติดตามผลการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการของหน่วยงาน ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ 5. การยกตัวอย่างโครงการส�าคัญแต่ละแนวทาง ในการจัดท�ารายงานผลการด�าเนินงาน ผลการด�าเนินงานตามตัวชี้วัดของเป้าหมายและแนวทางตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ก�าหนดเป้าหมาย ของแผนงานบูรณาการ ว่า “ประเทศไทยปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ” และก�าหนดตัวชี้วัดเพื่อการ ประเมินผลการด�าเนินงานในระดับ เป้าหมาย คือ ดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย อยู่ในอันดับ 1 ใน 57 และ/หรือได้คะแนนไม่ต�่ากว่า 50 คะแนน โดยผลของดัชนีการรับรู้การทุจริต ปี พ.ศ. 2564 จัดอันดับโดยองค์กร เพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ประกาศผลเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 พบว่า ประเทศไทยได้คะแนน 35 คะแนน และอยู่ในอันดับ 110 จากทั้งหมด 180 ประเทศซึ่งมีผลการด�าเนินงาน ตามตัวชี้วัดของแนวทางการด�าเนินงานของแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 196 ผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัด จ�าแนกตามแนวทาง เป้าหมาย/แนวทาง ตัวชี้วัด แผน ผล เป้าหมาย : ประเทศไทยปลอด การทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ดัชนีการรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 57 และ/หรือได้คะแนนไม่ต�่ากว่า 50 คะแนน ภายในปี พ.ศ. 2564 50 คะแนน 35 คะแนน อันดับ 110 แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึกให้มี วัฒนธรรมและ พฤติกรรมซื่อสัตย์ สุจริต 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรม ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 48 ร้อยละ 78.30 (สูงกว่าเป้าหมาย) 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ร้อยละ 48 ร้อยละ 70.90 (สูงกว่าเป้าหมาย) 1.3 ร้อยละของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ การประเมิน ITA (ร้อยละ 65 ของหน่วยงาน ที่ประเมิน ITA ได้คะแนน 85 คะแนนขึ้นไป) ร้อยละ 65 ร้อยละ 49.95 (ต�่ากว่าเป้าหมาย) แนวทางที่ 2 ป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบ 2.1 จ�านวนคดีทุจริตในภาพรวม ลดลงร้อยละ 8 ลดลงร้อยละ 19.44 (สูงกว่าเป้าหมาย) 2.2 คดีทุจริตในหน่วยงานลดลง 1) จ�านวนข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ที่ถูกชี้มูลเรื่องวินัย (ทุจริต) 2) จ�านวนข้อร้องเรียนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ที่ถูกชี้มูลว่ากระท�าการทุจริต ลดลงร้อยละ 8 ลดลงร้อยละ 8 ลดลงร้อยละ 33.33 (สูงกว่าเป้าหมาย) ลดลงร้อยละ 19.36 (สูงกว่าเป้าหมาย) 2.3 จ�านวนคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ลดลงร้อยละ 20 0 (สูงกว่าเป้าหมาย) แนวทางที่ 3 ปราบปราม การทุจริต 3.1 กระบวนการด�าเนินคดีทุจริตที่จ�าเป็นต้อง ขยายระยะเวลาเกินกว่ากรอบเวลาปกติ ที่กฎหมายก�าหนด ไม่เกินร้อยละ 35 ร้อยละ 73.38 (ต�่ากว่าเป้าหมาย) 3.2 จ�านวนคดีอาญาที่หน่วยงานไต่สวน คดีทุจริตถูกฟ้องกลับ ไม่เกินร้อยละ 5 ของจ�านวนคดีที่ส่งฟ้อง ไม่เกินร้อยละ 5 0 (สูงกว่าเป้าหมาย) ผลการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีงบประมาณรวมทั้งสิ้น จ�านวน 578.0000 ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 จากระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) รวมก่อหนี้ผูกพัน จ�านวน 527.2714 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 91.22 โดยหน่วยงานอิสระและองค์การมหาชน มีผลการเบิกจ่ายร้อยละ 100 เนื่องจากไม่ได้ใช้ระบบเบิกจ่าย เหมือนหน่วยงานที่มีฐานะเป็นส่วนราชการ โดยข้อมูลผลการเบิกจ่ายจริงจากการรายงานของหน่วยงานอิสระ และองค์การมหาชน สรุปผลการเบิกจ่ายจริงรวมก่อหนี้ผูกพันเป็นจ�านวนทั้งสิ้น 433.5344 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75.01 ซึ่งมีรายละเอียดผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ จ�าแนกตามแนวทาง การด�าเนินงาน ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 197 แนวทางที่ 1 ปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึกให้มีวัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีหน่วยงาน ที่รับผิดชอบโครงการภายใต้แนวทาง จ�านวน 28 หน่วยงาน มีโครงการรวม 28 โครงการ ได้รับการจัดสรร งบประมาณ จ�านวน 379.9004 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย จ�านวน 295.0784 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.67 โดยมีโครงการที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ บรรลุเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย งบประมาณ จ�านวน 28 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 100 ผลลัพธ์ในการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ ได้แก่ การมุ่งเน้นการปลูกฝังวิธีคิด ปลุกจิตส�านึกให้มี วัฒนธรรมและพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีทัศนคติที่ไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ โดยใช้กระบวนการ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ผ่านหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วส่งเสริมให้ ทุกภาคส่วนสามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และมีส่วนร่วมในการป้องกัน และเฝ้าระวังการทุจริต รวมทั้งการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ แนวทางที่ 2 ป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการภายใต้แนวทาง จ�านวน 2 หน่วยงาน มีโครงการรวม 2 โครงการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จ�านวน 70.0120 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย จ�านวน 45.9209 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 65.59 โดยมีโครงการที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ คือ โครงการสร้างนวัตกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตประพฤติมิชอบของส�านักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และโครงการป้องกันการทุจริตของส�านักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผลลัพธ์ในการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ ได้แก่ การมุ่งเน้นการพัฒนา วิเคราะห์ และวางระบบ กลไกของหน่วยงานภาครัฐ ให้มีการก�าหนดมาตรการ กลไก แนวทาง ข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริต รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือป้องกันการทุจริตอย่างเป็นระบบระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การสร้างระบบเฝ้าระวัง และป้องกันการทุจริตเชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐการเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยการตรวจสอบ รายงานการเงินตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และการด�าเนินการด้านตรวจสอบ ทรัพย์สิน แนวทางที่ 3 ปราบปรามการทุจริต มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการภายใต้แนวทาง จ�านวน 4 หน่วยงาน มีโครงการรวม 4 โครงการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จ�านวน 128.0876 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย จ�านวน 92.5351 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 72.24 โดยมีโครงการที่ด�าเนินการแล้วเสร็จ คือ โครงการสืบสวน ปราบปราม เพื่อด�าเนินการกับทรัพย์สินของผู้กระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายฟอกเงิน ของส�านักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และโครงการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น ผลลัพธ์ในการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส�าคัญ ได้แก่ การสืบสวนปราบปรามเพื่อด�าเนินการกับ ทรัพย์สินหรือผู้กระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ การด�าเนินงานด้านการปราบปรามการทุจริต การพัฒนาบุคลากรด้านปราบปรามการทุจริต ปัญหาอุปสรรคการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ท�าหน้าที่ประสานการด�าเนินงาน ตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ถึงปัจจุบัน พร้อมทั้ง ท�าหน้าที่ในการติดตามประเมินผลการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการฯ ซึ่งในการด�าเนินงาน พบปัญหาอุปสรรค โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ปัญหาอุปสรรคจากการขับเคลื่อนด�าเนินงานแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 1.1 การก�าหนดให้มีแผนงานบูรณาการในแต่ละปี จะก�าหนดโดยคณะรัฐมนตรีเป็นปี ๆ ไป ท�าให้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 198 ไม่สามารถวางแผนการด�าเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ล่วงหน้าได้ รวมถึงเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ให้มีแผนงานบูรณาการฯ ระยะเวลาในการจัดท�าแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่เป้าหมาย มีระยะเวลาน้อยมาก ส่งผลให้การจัดท�าแผนงานบูรณาการฯ และงบประมาณของบางหน่วยงานไม่สอดคล้องกับปัญหาการทุจริตที่แท้จริง 1.2 หน่วยงานที่ก�ากับดูแลกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต และหน่วยงานที่ขับเคลื่อน แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนปฏิบัติการด้าน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) บางหน่วยงานยังไม่ได้เข้าร่วมขับเคลื่อน การด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ส่งผลให้การด�าเนินงานยังไม่มีความ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต และยังไม่เห็นผลการด�าเนินงานที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน 1.3 สังคมบางส่วนยังไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ซึ่งเป็น สาเหตุหนึ่งของการทุจริตคอร์รัปชัน และท�าให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตให้ลดลงในเวลาอันรวดเร็ว โดยการปลูกจิตส�านึกและสร้างค่านิยมให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรม และการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กรให้เห็นผลสัมฤทธิ์ ต้องใช้ระยะเวลานานและต้องด�าเนินการ อย่างต่อเนื่อง 2. ปัญหาอุปสรรคจากการด�าเนินงานของหน่วยงาน 2.1 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และมาตรการ ของรัฐบาลเพื่อยับยั้งการระบาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อการด�าเนินโครงการ/กิจกรรมของหลายหน่วยงาน ท�าให้ต้องมีการปรับแผนการปฏิบัติงานและปรับรูปแบบวิธีการด�าเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การงดกิจกรรมรวมคนจ�านวนมากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาด โดยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่งผลให้เบิกจ่ายงบประมาณได้น้อยลง และบางหน่วยงานไม่สามารถด�าเนินงานตามแผนให้แล้วเสร็จ ภายในปีงบประมาณ 2.2 หน่วยงานต่าง ๆ ต้องรายงานผลการด�าเนินการในหลายระบบ ได้แก่ ระบบของส�านักงบประมาณ ระบบของส�านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และระบบของส�านักงาน ป.ป.ช. ท�าให้เป็น ภาระของผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้ง กรณีมีการโยกย้ายสับเปลี่ยนบุคลากรที่ท�าหน้าที่บันทึกข้อมูลในระบบ ท�าให้การ บันทึกข้อมูลในระบบไม่มีความต่อเนื่อง ส่งผลให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลการด�าเนินงานตาม แผนงานได้ 2.3 การจัดสรรงบประมาณเพื่อด�าเนินโครงการ/กิจกรรมเป็นงวด ๆ หรือเป็นรายไตรมาส ส่งผลให้ หน่วยงานต่าง ๆ ไม่สามารถด�าเนินโครงการ/กิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เกิดความล่าช้าในการด�าเนินโครงการ/ กิจกรรม ท�าให้การเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ และต้องมีการปรับแผนการด�าเนินงาน บ่อยครั้ง แนวทางการแก้ไขปัญหาการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในการขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ต้องใช้หลักการบริหารจัดการ ที่สอดคล้องกับแนวคิดบูรณาการ ซึ่งเน้นการประสานมิติต่าง ๆ ระหว่างหน่วยงาน เพื่อช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ในการก�าหนดแผนและด�าเนินงานให้บรรลุเป้าหมายด้านนโยบาย การก�าหนดแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ ก�าหนดโดยคณะรัฐมนตรีและมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าภาพหลักรับไปด�าเนินการ ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้เน้นย�้าให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความส�าคัญของแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและพฤติมิชอบ เท่าที่ควร ส่งผลให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่เห็นความส�าคัญในการแก้ไขปัญหา จึงไม่เสนอของบประมาณ ทั้งที่บางหน่วยงาน มีความเสี่ยงต่อการทุจริต หรือเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีตามมาตรการป้องกันการทุจริต ดังนั้น จึงเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 199 1. แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการขับเคลื่อนด�าเนินงานแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ 1.1 ส�านักงาน ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพหลักแผนบูรณาการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ วิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการทุจริต เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมแก้ไขปัญหาการทุจริต ที่ตรงประเด็น 1.2 เป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีความ สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) การจะขับเคลื่อน การด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบให้บรรลุเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ก�าหนดไว้ ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่ขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ และแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ทุกหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ส�านักงาน สถิติแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส�านักงานคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจ ส�านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ส�านักงานเลขาธิการวุฒิสภา ส�านักงานเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร ส�านักงาน ป.ป.ท. กรมสอบสวนคดีพิเศษ และส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีต้องมี มติเห็นชอบหรือมีข้อสั่งการ ให้หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วมขับเคลื่อนการด�าเนินงานตามแผนงานบูรณาการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ ในทุกปีงบประมาณ 1.3 พัฒนามาตรการและกลไกเชิงรุกในการเสริมสร้างธรรมาธิบาล เพื่อสกัดกั้นการทุจริตในภาครัฐ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนก�าหนดมาตรการแนวทางเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนหลากหลายกลุ่มเข้ามา มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อให้สังคมในภาพรวมมีค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรมตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 2. แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการด�าเนินงานของหน่วยงาน 2.1 การด�าเนินโครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ อันตรายที่เกิดจากการทุจริตประพฤติมิชอบ เพื่อด�าเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในการส่งเสริมและให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและ ประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ต่อต้าน การทุจริตทุกรูปแบบ อันจะน�าไปสู่การบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนการปฏิรูปประเทศ โดยมีงบประมาณเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 2.2 ส�านักงาน ป.ป.ช. และส�านักงบประมาณ เร่งรัดการด�าเนินงานโดยการประสานหน่วยงาน ที่มีการปรับเปลี่ยนแผนการด�าเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องตามสถานการณ์ โดยขอให้หน่วยงานเร่งรัดด�าเนินงาน ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย แนวทางการด�าเนินงาน และตัวชี้วัดของแผนงานบูรณาการ รวมถึงปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน 2.3 การบูรณาการข้อมูลด้วยระบบดิจิทัล รวมถึงการจัดท�าคู่มือการรายงานผลการด�าเนินงานให้กับ หน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออ�านวยความสะดวกให้กับผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ หากมีการโยกย้ายสับเปลี่ยน บุคลากรก็สามารถด�าเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 200 กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) จัดตั้งขึ้ น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 162 เริ่มด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นปีแรก โด ยได้รับจัดสรรงบประมาณ จ�านวน 10,000,000 บาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย จ�านวน 100,000,000 บาท เพื่อรองรับการด�าเนินงาน ภายใต้วัตถุประสงค์ของกองทุน ป.ป.ช. 4 วัตถุประสงค์ ดังนี้ วัตถุประสงค์ที่ 1 สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ และสนับสนุน ภาคเอกชนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ในการป้องกันการทุจริต วัตถุประสงค์ที่ 2 เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือและค่าทดแทนตามมาตรา 131 และเงินรางวัลตามมาตรา 137 วัตถุประสงค์ที่ 3 ใช้จ่ายในการคุ้มครองการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการ หัวหน้า พนักงานไต่สวน พนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วัตถุประสงค์ที่ 4 ค่าใช้จ่ายอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ และอ�านาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กองทุน ป.ป.ช. ได้เปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อสนับสนุนการด�าเนินงานในวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 4 โดยผู้สนใจสามารถ ยื่นข้อเสนอโครงการ ผ่าน 3 ช่องทาง คือ การยื่นผ่านระบบขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ป.ป.ช. (https://www.nacc.go.th/NACCFund) การยื่นทางไปรษณีย์ และการยื่นด้วยตนเอง ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจ ยื่นข้อเสนอโครงการทั้งในส่วนภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ มากถึง 200 โครงการ คิดเป็นงบประมาณ 411,311,107 บาท และคณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนจ�านวนทั้งสิ้น 85 โครงการ เป็นเงิน 90,263,219 บาท จ�าแนกเป็น วัตถุประสงค์ที่ 1 จ�านวน 73 โครงการ เป็นเงิน 67,224,919 บาท และ วัตถุประสงค์ที่ 4 จ�านวน 12 โครงการ เป็นเงิน 23,038,300 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมาตรการภาครัฐในการห้ามจัดกิจกรรมและจ�ากัดการรวมกลุ่มของบุคคลได้ส่งผลกระทบต่อการด�าเนินโครงการ โดยผู้ได้รับการสนับสนุนได้มีการปรับรูปแบบการด�าเนินโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรการดังกล่าว เช่น การปรับรูปแบบกิจกรรมเป็นแบบออนไลน์ การลดจ�านวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละครั้งและเพิ่มจ�านวนครั้ง ในการจัดกิจกรรม เป็นต้น ส่งผลให้มีโครงการที่บรรลุผลส�าเร็จ จ�านวน 54 โครงการ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ 68,255,262.44 บาท แบ่งเป็น วัตถุประสงค์ที่ 1 จ�านวน 45 โครงการ เป็นเงิน 52,126,909.59 บาท และวัตถุประสงค์ที่ 4 จ�านวน 9 โครงการ เป็นเงิน 16,128,352.85 บาท และมีเงินเหลือจ่ายจากการด�าเนินโครงการ เป็นเงิน 3,407,800.93 บาท ในขณะนี้ โครงการบางส่วนไม่สามารถด�าเนินการต่อได้ด้วยข้อจ�ากัดข้างต้น จ�าเป็นต้องขอยกเลิกการด�าเนินโครงการ จ�านวน 31 โครงการ เป็นเงิน 18,600,155.63 บาท ซึ่งคณะกรรมการ กองทุน ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญกับโครงการในส่วนนี้โดยให้ประสานกับผู้ได้รับการสนับสนุนให้เสนอขอรับ การสนับสนุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อไป ส�าหรับการด�าเนินงานใน วัตถุประสงค์ที่ 2 คณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้มีมติอนุมัติเบิกจ่ายเงิน จ�านวน 5,805,337.03 บาท เพื่อเป็นเงินรางวัลตามมาตรา 137 และ วัตถุประสงค์ที่ 3 ไม่มีผู้ขอรับการสนับสนุน เงินจากกองทุน ป.ป.ช. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 191 กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 162 เริ่มดาเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นปีแรก โดยได้รับจัดสรรงบประมาณ จานวน 10,000,000 บ ำท และใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย จานวน 100 , 000 ,000 บาท เพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้วัตถุประสงค์ของกองทุน ป.ป.ช. 4 วัตถุประสงค์ ดังนี้ วัตถุประสงค์ที่ 1 สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ และ สนับสนุนภาคเอกชนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ในการป้องกันการทุจริต วัตถุประสงค์ที่ 2 เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีมาตรการคุ้มครองช่วยเหลือและค่าทดแทนตามมาตรา 131 และเงินรางวัลตามมาตรา 137 วั ตถุประสงค์ที่ 3 ใช้จ่ายในการคุ้มครองการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการ หัวหน้าพนักงานไต่สวน พนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 41 วัตถุประสงค์ที่ 4 ค่าใช้จ่ายอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่มี หน้าที่และอานาจเกี่ ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กองทุน ป.ป.ช. ได้เปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ป.ป.ช. ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อสนับสนุนการดาเนินงานในวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 4 โดยผู้สนใจสามารถยื่น ข้อเสนอโครงการ ผ่าน 3 ช่องทาง คือ การ ยื่นผ่านระบบขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุน ป.ป.ช. ( https :// www . nacc . go . th / NACCFund ) การยื่นทางไปรษณีย์ และการยื่นด้วยตนเอง ซึ่ง มีผู้ให้ความสนใจยื่น ข้อเสนอโครงการทั้งใน ส่วน ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ มากถึง 200 โครงการ คิดเป็นงบประมาณ 411 , 311 , 107 บาท และ คณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนจานวนทั้งสิ้น 85 โครงการ เป็นเงิน 90 , 263 , 219 บาท จาแนกเป็น วัตถุประสงค์ที่ 1 จำนวน 73 โครงการ เป็นเงิน 67 , 224 , 919 บาท และ วัตถุประสงค์ที่ 4 จานวน 12 โครงกา ร เป็นเงิน 23 , 038 , 300 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID - 19) และมาตรการภาครัฐในการห้ามจัดกิจกรรมและจากัดการรวมกลุ่มของบุคคลได้ส่งผลกระทบต่อ การดาเนินโครงการ โดยผู้ได้รับการสนับสนุนได้มีการปรับรูปแบบการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับ สถานการณ์และมาตรการดังกล่าว เช่น การปรับรูปแบบกิจกรรมเป็นแบบออนไลน์ การลดจานวนผู้เข้าร่วม กิจกรรมในแต่ละครั้งและเพิ่มจานวนครั้งในการจัดกิจกรรม เป็นต้น ส่งผลให้ มี โครงการ ที่ บรรลุผลสำเร็จ จำ นวน 54 โครงการ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ 6 8 ,2 55 ,2 62.44 บาท แบ่งเป็น วัตถุประสงค์ที่ 1 จานวน 45 โครงการ เป็นเงิน 52,126,909.59 บาท และวัตถุประสงค์ที่ 4 จำนวน 9 โครงการ เป็นเงิน 16,128,352.85 บาท และมี เงินเหลือจ่ายจากการดาเนินโครงการ เป็นเงิน 3,407,800.93 บาท ใ นขณะนี้ โครงการบางส่วนไม่สามารถ ดาเนินการต่อได้ด้วยข้อจากัด ข้างต้น จาเป็นต้อง ขอยกเลิกการดำเนินโครงการ จานวน 31 โครงการ เป็นเงิน 18 , 600 , 155 .6 3 บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้ให้ความสาคัญกับโครงการในส่วนนี้โดยให้ประสาน กับผู้ได้รับการสนับสนุนให้เสนอขอรับการสนับสนุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อไป
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 201 คณะกรรมการกองทุน ป.ป.ช. ได้มุ่งเน้นการด�าเนินงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการขับเคลื่อนและ ตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งสัมฤทธิผลของการด�าเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ วัตถุประสงค์ที่ 1 สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ และ สนับสนุนภาคเอกชนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ในการป้องกันการทุจริต กองทุน ป.ป.ช. ได้สนับสนุนให้เครือข่าย องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรภาคเอกชน ประชาชน เด็กและเยาวชน มีการรับรู้ มีส่วนร่วมในการเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง ตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ การจับตามองและ แจ้งเบาะแส (Watch & Voice) และป้องปรามการทุจริต ได้มากกว่า 14,868 คน อาทิ โครงการชมรม STRONG พิจิตร สอดส่องเฝ้าระวังการทุจริตเพื่อพิจิตรโปร่งใส โดยชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดพิจิตร เป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนสามารถร่วมจับตามองและแจ้งเบาะแส และป้องกันการทุจริตในหน่วยงาน ภาครัฐ เกิดการพัฒนาการป้องกันการทุจริตเชิงรุกที่สามารถยับยั้งและแก้ไขปัญหาการทุจริตในระดับพื้นที่ และ เกิดจิตส�านึกในเรื่องการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น ประชาชนในพื้นที่ 12 อ�าเภอ และส่วนราชการ จ�านวน 60 คน ท�าหน้าที่ติดตามสอดส่องงานโครงการต่าง ๆ จ�านวน 12 อ�าเภอ อ�าเภอละ 5 คน โดยมีผลการติดตามสอดส่องและแจ้งเบาะแสและได้ประเด็นความเสี่ยงที่ได้ จากการสอดส่องและแจ้งเบาะแส (Watch and Voice) ร่วมกัน อาทิ การใช้จ่ายเงินอุดหนุนหน่วยงานต้นสังกัด จะด�าเนินการก�ากับติดตามและควบคุมการใช้งบประมาณของโครงการให้ถูกต้อง โปร่งใส และส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของหน่วยงานผู้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณและประชาชน เป็นต้น โครงการการสร้างเครือข่ายป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตระดับต�าบล (STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต ระดับต�าบล) จังหวัดสกลนคร โดย ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดสกลนคร เพื่อสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวังการทุจริตในระดับ ต�าบลและหมู่บ้าน เพื่อจับตามอง (Watch & Voice) ในการเฝ้าระวัง สอดส่อง และแจ้งเบาะแสในระดับพื้นที่ ตลอดจนเพื่อสร้างความตื่นรู้ และไม่ทนต่อการทุจริตในวงกว้าง โดยเป็นการตื่นรู้ในระดับสังคมต�าบล และหมู่บ้าน โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายใน 9 อ�าเภอ 75 ต�าบล 894 หมู่บ้าน ทั้งนี้ มีการจัดท�าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับพื้นที่ในการเฝ้าระวังการทุจริตของเขตพื้นที่จังหวัด เพื่อน�ามาวิเคราะห์ความเสี่ยง และเฝ้าระวังเพื่อหากลไก มาตรการ ข้อเสนอแนะ แนวทางในการเฝ้าระวังการทุจริต และ โครงการเสริมสร้างการมีส่วนร่วม การขยาย เครือข่าย การเฝ้าระวังและการรณรงค์การต่อต้านการทุจริต จังหวัดน่าน โดยชมรม STRONG – จิตพอเพียง ต้านทุจริต จังหวัดน่าน เพื่อมุ่งหวังให้กลุ่มเป้าหมายมีทัศนคติและค่านิยมไม่ยอมรับการทุจริต เกิดการเฝ้าระวัง การทุจริตในชุมชน เสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เพื่อร่วมกันต่อต้านการทุจริต และเกิดการขยายกลุ่มเครือข่ายของชมรมให้ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดน่าน ใน 3 อ�าเภอน�าร่อง (อ�าเภอแม่จริม อ�าเภอบ่อเกลือ และอ�าเภอเมืองน่าน) เพื่อขับเคลื่อนและขยายเครือข่ายชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต ในระดับอ�าเภอ โครงการที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการป้องกันการทุจริต และสร้างแกนน�าเพื่อต่อยอดในระดับชุมชน ก่อให้เกิดเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต อาทิ โครงการเยาวชนร่วมสร้างชุมชนสุจริตป้องกันทุจริตปลูกจิตส�านึกดี TO BE NUMBER ONE โดยชมรม TO BE NUMBER ONE บ้านหนองแก จังหวัดหนองบัวล�าภู เป็นการจัดอบรมในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพื่อสร้าง ความรู้ความเข้าใจเรื่องการป้องกันการทุจริต สร้างแกนน�าเพื่อต่อยอดในระดับชุมชน มีผู้เข้าร่วมโครงการ จ�านวน 300 คน และการติดตามแกนน�าในพื้นที่ ก่อให้เกิดเครือข่ายของเด็ก เยาวชน ในการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต เกิดการท�างานร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนแนวทาง ความคิดเห็นและประสบการณ์การท�ากิจกรรมของแต่ละพื้นที่ และเกิดความตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โครงการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 202 แกนน�าครูและเยาวชนนักตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่น (ปีที่ 2) โดยกลุ่มสื่อใสวัยทีนเป็นการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ในกลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มครูแกนน�า เพื่อพัฒนาหลักสูตรสร้างนวัตกรรมป้องกันการทุจริต และสนับสนุน การจัดท�ากิจกรรม การถอดบทเรียนเพื่อจัดท�าเล่มหลักสูตรและคู่มือมีผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ เด็ก เยาวชน และครูแกนน�า จ�านวน 236 คน มีการจัดท�าเล่มหลักสูตรและคู่มือ จ�านวน 200 เล่ม โดยผลของการด�าเนิน โครงการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และครูแกนน�า มีองค์ความรู้ในการป้องกันการทุจริต เกิดความตระหนักรู้ ในการป้องกันการทุจริต มีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อป้องกันการทุจริต สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อต่อยอดในการแก้ไขปัญหาการทุจริตระดับพื้นที่ได้และ โครงการสื่อสาร สร้างสรรค์ เท่าทันการทุจริต (ระดับปฐมวัย) โดยบริษัท เอสไอแอลซี จ�ากัด เป็นการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ให้แก่ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับด้านการเท่าทันการทุจริต และให้ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสามารถน�าองค์ความรู้ไปพัฒนาสื่อนวัตกรรมการสอนเด็กระดับปฐมวัย (อายุระหว่าง 2 – 5 ปี) โครงการได้ผลิตหลักสูตรพัฒนานวัตกรรมการสอนเด็กปฐมวัย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ด้านการเท่าทันการทุจริต จ�านวน 1 หลักสูตร เกิดแกนน�าและเครือข่ายครูปฐมวัยในเรื่องการเท่าทันการทุจริต จ�านวน 484 คน รวมถึงได้สื่อนวัตกรรมจากการประยุกต์องค์ความรู้ที่ได้จากการอบรม ส่งผลให้ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ สามารถน�าความรู้จากการอบรมไปพัฒนาต่อประยุกต์ใช้กับหลักสูตร สามารถออกแบบกระบวนการสอนผ่าน การละเล่นในรูปแบบของกิจกรรม เช่น ละคร หุ่นเงา นิทาน บทบาทสมมติ โดยสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับการ สร้างความตระหนักรู้ด้านการเท่าทันการทุจริตให้กับเด็ก มีการสร้างความร่วมมือกับครอบครัวของเด็กให้ได้เข้ามา เรียนรู้ร่วมกัน และครูสามารถขยายผลเผยแพร่ความรู้ให้กับโรงเรียนเครือข่ายได้ โครงการด้านการประชาสัมพันธ์เผยแพร่การป้องกันการทุจริตโดยภาคเอกชน ซึ่งได้ด�าเนินการผลิตสื่อ ที่หลากหลายในการสร้างการรับรู้กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในด้านการป้องกันการทุจริต อาทิ สารคดีเชิงข่าวแนว สืบสวนสอบสวนจากคดีทุจริต สารคดีข่าวโทรทัศน์ ซีรีย์ บทเพลง คลิปสั้น คลิปเสียง อินโฟกราฟฟิก เผยแพร่ ผ่านโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ เช่น YouTube, Facebook, Instagram และ TikTok อาทิ โครงการซีรีย์ มือสะอาด โดยบริษัท ทีวีบูรพา จ�ากัด เป็นการผลิตและเผยแพร่คลิปเรื่องราวบุคคลผู้เป็น แบบอย่างที่ดี ด้านความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนความมีคุณธรรม จริยธรรม ในการด�าเนินชีวิต ผ่านสื่อโทรทัศน์ รายการ “คนค้นตน” และทางสื่อออนไลน์เพจคนค้นตน (Facebook : เพจคนค้นตน) จ�านวน 10 คน โดยได้มี หน่วยงานภาครัฐได้น�าคนต้นแบบในโครงการมือสะอาดไปเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนไปใช้ในการ ปฏิบัติงานและด�าเนินชีวิตเพื่อเป้าหมายในการปราบปรามต้นตอการทุจริต และจากการติดตามผลพบว่า สังคม เกิดความตระหนัก รับรู้และมีการแสดงออกทางความคิดเห็นในเรื่องการทุจริตผ่านสื่อออนไลน์ รวมถึงผลส�ารวจ ได้สะท้อนผ่านการแสดงความคิดเห็นต่อบุคคลผู้เป็นแบบอย่างที่ดีว่าสามารถเป็นต้นแบบในการด�าเนินชีวิต และสร้างแรงบันดาลใจได้มาก โครงการ CORE-RAP-TION แร็พสะอาด ต้านคอร์รัปชัน โดยบริษัท ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน เป็นการผลิตเพลงแนวแร็พ-ฮิปฮอปเพื่อต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชันในประเทศไทย จ�านวน 2 เพลง พร้อม Music Video จ�านวน 2 คลิป คือ เพลง “แลนด์ OF จะตาย (DYING LAND)” ร้องโดย KANOM และ Z TRIP และเพลง “เงินทอนแลนด์ (CHEAT THE CHANGE)” ร้องโดย เอ็ด 7 วิ เผยแพร่ผ่านช่องทาง ออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube และ TikTok เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมและปลูกฝังจิตส�านึกถึงปัญหา คอร์รัปชัน โดยมียอดรวมการรับชมของผู้รับชม MV เพลงทั้ง 2 เพลง จ�านวน 3,124,691 วิว ส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมาย เกิดการตระหนักรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการทุจริตและคอร์รัปชันมากขึ้น โดยมียอดผู้เข้าถึง (Reach) สื่อของโครงการ รวมทุกช่องทาง จ�านวน 3,351,352 Reach และมียอดการมีส่วนร่วม (Engagement) รวมทุกช่องทาง จ�านวน 489,407 Engagement โดยเฉพาะ โครงการสร้างนวัตกรรมเครือข่ายจุดกระแสสังคมไม่ทนต่อ การทุจริต ปี 2 โดยบริษัท ตีฆ้องร้องป่าว จ�ากัด ซึ่งร่วมกับภาคประชาชนและภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 203 ในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน และน�าเสนอประเด็นในรูปแบบข่าวสืบสวน เปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ ประเด็นปัญหาทุจริต มีผลงานเป็นที่ประจักษ์จากการลงพื้นที่ให้ความรู้แก่ชาวบ้านเกิดการรวมกลุ่ม มีส่วนร่วม และสร้างการเฝ้าระวัง จนเกิดเวทีระดับจังหวัดในพื้นที่ ส่งผลให้เครือข่ายลุ่มน�้าย่างน่าน สามารถทวงพื้นที่ อุทยานแห่งชาติและป่าดอยภูคา จ�านวน 150 ไร่ ได้ส�าเร็จ วัตถุประสงค์ที่ 4 ค่าใช้จ่ายอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ และอ�านาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กองทุน ป.ป.ช. ได้ให้การสนับสนุนโครงการแก่ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องกล่าวหาที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 61 มาตรา 63 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 นอกจากนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาการด�าเนินงานของกองทุน ป.ป.ช. ให้ตอบสนองต่อความต้องการ ของผู้รับบริการมากยิ่งขึ้น กองทุน ป.ป.ช. ได้ประเมินความพึงพอใจของผู้ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า ผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการด�าเนินงานของกองทุน ป.ป.ช. ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.32 เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่มีความพึงพอใจ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.07 ประกอบด้วย ความพึงพอใจด้านการให้บริการ ด้านกระบวนการขั้นตอน การให้บริการ ด้านสิ่งอ�านวยความสะดวก และด้านระยะเวลาในการจัดสรรงบประมาณ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 204 สัมฤทธิผลของการด�เนินงานตามระบบการประเมินผลราชการ แบบบูรณาการ ตามระบบการประเมินผลราชการแบบบูรณาการ นาและบริหารจัดการองค์ กร การพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร สถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ มีความ รับผิดชอบและหน้าที่หลัก ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน ให้แก่บุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช. เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการ ดังนี้ ( 1 ) การพัฒนาความรู้และเสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากร โดยจะกาหนดปฏิทินการอบรมประจาปี และ การเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถนะในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละพันธกิจ โดยมีเป้าหมาย น ป.ป.ช. ที่จะมุ่งเน้นให้ทุกคนต้องได้รับการพัฒนาในหลักสูตรพื้นฐานที่กาหนดเป็น ซึ่งสถาบันฯ เป็นผู้ดาเนินการ ( In house 1. งาน พ ัฒนา ความรู้ 2 . งาน KM 3 . งานแสวงหา ความ ร่วมมือ 4 . งานเผยแพร่ ความรู้ (1) ด้าน การพัฒนาบุคลากร 1. ความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร 1.1 การพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร (1) ด้านการพัฒนาบุคลากร สถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ มีความรับผิดชอบและหน้าที่ หลักในการพัฒนาความรู้และเสริมสร้างสมรรถนะที่จ�าเป็นต่อการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมถึง การแสวงหาความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาสถาบันฯ พัฒนาหลักสูตร เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ การทุจริตของประเทศแก่หน่วยงานภาครัฐและประชาชน เพื่อการยกระดับสถาบันฯ ให้เป็นสถาบันวิชาการ ต่อต้านการทุจริตของประเทศ โดยมีการด�าเนินในภาพรวม ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 205 และมีการด�าเนินงานในแต่ละส่วนโดยสรุป ดังนี้ 1. การพัฒนาความรู้และเสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากร โดยจะก�าหนดปฏิทินการอบรมประจ�าปี และแผนการจัดส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมกับหน่วยงานภายนอกในหลักสูตรส�าคัญหรือหลักสูตรเฉพาะทาง เป็นประจ�าทุกปี เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถนะในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละพันธกิจ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาบุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ที่จะมุ่งเน้นให้ทุกคนต้องได้รับการพัฒนาในหลักสูตรพื้นฐาน ที่ก�าหนดเป็นหลักสูตรภาคบังคับและหลักสูตรเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะเฉพาะด้าน ซึ่งสถาบันฯ เป็นผู้ด�าเนินการ (In house Training) โดย จ�านวน 2,606 คน และได้รับการพัฒนาในหลักสูตรอื่นที่สถาบันฯ จัดส่งบุคลากรเข้าอบรมร่วมกับหน่วยงานภายนอก (Public Training) จ�านวน 70 หลักสูตร 163 คน ดังนี้ (1.1) หลักสูตรภาคบังคับ แบ่งเป็น - ด้านการพัฒนาผู้บริหาร ได้แก่ หลักสูตรนักบริหาร ป.ป.ช. ระดับกลาง (นบก.) หลักสูตรนักบริหาร ป.ป.ช. ระดับสูง (นบปส.) และหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปราม การทุจริตระดับสูง (นยปส.) - ด้ำนป้องกันการทุจริต ได้ แก่ หลักสูตรเจ้ำพนักงานป้ องกันการทุจริตระดับต้น หลักสูตรเจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตระดับกลาง - ด้านปราบปรามการทุจริต ได้แก่ หลักสูตรผู้ช่วยพนักงานไต่สวน หลักสูตรวิชาชีพพนักงาน ไต่สวนระดับกลาง และหลักสูตรวิชาชีพพนักงานไต่สวนระดับสูง - ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ได้แก่ หลักสูตรเจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินระดับต้น หลักสูตรเจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินระดับกลาง และหลักสูตรเจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินระดับสูง - ด้านสายงานสนับสนุน ได้แก่ หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. (หลักสูตรส�าหรับข้าราชการใหม่ที่อบรมส�าหรับข้าราชการทุกสายงาน (ยกเว้น ต�าแหน่งผู้ช่วยพนักงานไต่สวน) หลักสูตรส�าหรับพนักงานบริหารทั่วไป หลักสูตรเตรียมความพร้อมส�าหรับ พนักงานบริหารทั่วไปเพื่อเป็นหัวหน้างาน (1.2) หลักสูตรเสริมทักษะและสมรรถนะ แบ่งเป็น - ด้านการพัฒนาผู้บริหาร ได้แก่ หลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะผู้บริหารเชิงลึก - ด้านป้องกันการทุจริต ได้แก่ หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะเจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต (Smart Prevention Officer) - ด้านปราบปรามการทุจริต ได้แก่ หลักสูตรพนักงานไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เทคนิคในการด�าเนินคดีร�่ารวยผิดปกติ และการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนกับการตรวจสอบ และไต่สวนของพนักงานไต่สวน - ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ได้แก่ หลักสูตรไต่สวนคดีร�่ารวยผิดปกติ - ด้านสายงานหลักและสายงานสนับสนุน ได้แก่ หลักสูตรการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ หลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานระบบสารสนเทศส�านักงาน ป.ป.ช. หลักสูตรเตรียมความพร้อม ในการปรับเปลี่ยนการท�างานไปสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. 4.0 และการบริหารจัดการความรู้ส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 206 (1.3) หลักสูตรที่จัดส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมของหน่วยงานภายนอก เป็นการจัดส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมร่วมกับหน่วยงานภายนอก ทั้งกรณีที่มีค่าใช้จ่าย และ กรณีที่ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้จัดส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมร่วมกับหน่วยงาน ภายนอกในหลักสูตรต่าง ๆ จ�านวน 70 หลักสูตร มีผู้เข้ารับการอบรม จ�านวน 163 คน ทั้งนี้ การจัดฝึกอบรมหลักสูตรที่สถาบันฯ ด�าเนินการ จะเปิดโอกาสให้บุคลากรจากองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เห็นสมควรเข้าร่วมอบรม กับบุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ด้วย เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการด�าเนินงานร่วมกัน 2. งานบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) เป็นกระบวนงานในการบริหารจัดการความรู้ที่รวบรวมองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ จากการ จัดอบรมภายในและการจัดส่งอบรมร่วมกับหน่วยงานภายนอก น�าองค์ความรู้ที่รวบรวมได้ จ�าแนกเป็นหมวดหมู่ ที่แบ่งเป็นด้านการป้องกันการทุจริต ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการตรวจสอบทรัพย์สิน ด้านบริหารและ ด้านสายงานสนับสนุน ซึ่งบุคลากรสามารถเรียนรู้ ทบทวนความรู้เพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง โดยสามารถเรียนรู้ได้ที่ ศูนย์ KM ของสถาบันฯ หรือเลือกทบทวนหลักสูตร หัวข้อวิชาจากเว็บไซต์สถาบันฯ ผ่านเมนู KM ได้ทุกที่ทุกเวลา 3. งานแสวงหาความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันต่างประเทศ เป็นงานแสวงหาความร่วมมือทางวิชาการจากสถาบันต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาหลักสูตร องค์ความรู้และนวัตกรรมในการอบรมร่วมกัน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สถาบันฯ ร่วมกับส�านักงาน ว่าด้วยยาเสพติด และอาชญากรรมแห่งสหประชาติ (UNODC) ส�านักงานกิจการยาเสพติดและการบังคับใช้ 4 หน้า 19 - ด้านสายงานหลักและสายงานสนับสนุน ได้แก่ หลักสูตรการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤ .ช. 4 . 0 และการบริหารจัดการความรู้สานักงาน ป.ป.ช. 4 หน้า 196 - ด้ำนตรวจสอบทรัพย์สิน ได้แก่ หลักสูตรไต่สวนคดีร่ารวยผิดปกติ - ด้านสายงานหลักและสายงานสนับสนุน ได้แก่ หลักสูตรการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ .ช. 4 . 0 และการบริหารจัดการความรู้สานักงาน ป.ป.ช. หมายเหตุ หลักสูตรนักบริหารระดับกลาง ต้องด�ารงต�าแหน่งระดับกลาง/ช�านาญการแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 207 กฎหมายระหว่างประเทศ (INL) สถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ (IACA) และสถาบัน ฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการด�าเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย (ILEA) ในการให้ความรู้หลักสูตรต่าง ๆ ที่ช่วย เสริมสร้างทักษะเฉพาะด้าน เพื่อช่วยให้บุคลการมีความรู้รอบด้านและครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี มากขึ้น อาทิ การประชุมเชิงปฏิบัติการในการตรวจสอบเส้นทางการเงินดิจิทัล ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล การประชุมเชิงปฏิบัติการในการคุ้มครอง ผู้แจ้งเบาะแส การฟอกเงินและการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เป็นต้น 4. งานเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับคดีส�าคัญ ๆ ของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมถึงความรู้ ในการป้องกันการทุจริตของภาคประชาชน ผ่านเว็บไซต์ส�านักงาน ป.ป.ช. และสถาบันฯ ตลอดจนสื่อสังคม ออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจในการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ถูกต้อง และท�าให้ประชาชนเกิด ความตระหนักและเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปแบบเครือข่ายเพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริต รวมถึง การปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของชุมชน ทั้งนี้ จะจัดสถานที่ในลักษณะของศูนย์เผยแพร่ความรู้แก่หน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ณ อาคารส�านักงาน ป.ป.ช. ถนนพิษณุโลก และเปิดให้ประชาชนเข้าศึกษา ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ต่อไป การด�าเนินงานของสถาบันฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีปัญหาและข้อจ�ากัด อันเนื่องมาจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การจัดโครงการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ของสถาบันฯ ไม่สามารถด�าเนินการในรูปแบบ On-site ได้ตามปกติ ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการด�าเนินการในลักษณะ ออนไลน์ เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปรับปรุงรูปแบบการบรรยายให้ความรู้ที่มี ความกระชับ ความน่าสนใจ และก�าหนดระยะเวลาที่ให้เหมาะสม รวมถึง คงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ปรับให้อยู่ใน ลักษณะออนไลน์ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และลดความเครียดทางสายตา และเป็นการเตรียมความพร้อมในการ ปรับเปลี่ยนภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามที่นโยบายของรัฐบาล โดยใช้รูปแบบการฝึกอบรมแบบผสมผสาน (Blended Training) กล่าวคือการฝึกอบรมในห้องเรียนแบบเผชิญหน้าผสมผสานกับเรียนแบบออนไลน์ ตลอดจน การจัดท�าสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบวิดีโอเพื่อเป็นสื่อส�าหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีผลการด�าเนินการ ฝึกอบรม/พัฒนาบุคลากร ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 208 ภาพที่ 1 ผลการพัฒนาบุคลากร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ�านวน 2,606* คน - นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปราม การทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 12 - เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตระดับกลาง รุ่นที่ 4 - เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตระดับต้น รุ่นที่ 10 - พัฒนาสมรรถนะเจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต (Smart Prevention Officer) รุ่นที่ 2-3 - เสริมสร้างความรู้ เรื่อง “สิทธิมนุษยชนกับการ ตรวจสอบและไต่สวนของพนักงานไต่สวน” รุ่นที่ 1 - วิชาชีพพนักงานไต่สวนระดับกลาง รุ่นที่ 13-15 - วิชาชีพพนักงานไต่สวน (กรณีย้ายสายงาน/รับโอน) - เทคนิคในการด�าเนินคดีร�่ารวยผิดปกติ รุ่นที่ 1 - การไต่สวนคดีร�่ารวยผิดปกติ รุ่นที่ 7-8 - การบูรณาการองค์ความรู้การด�าเนินคดีทุจริต ในหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรม - สร้างวิทยากรตัวคูณในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและ หนี้สินแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ - การพัฒนาข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ข้าราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. รุ่นที่ 30 - เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินระดับต้น รุ่นที่ 10 - นักบริหาร ป.ป.ช. ระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 5 - การเสริมสร้างสมรรถนะผู้บริหารเชิงลึก - การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ - บริหารจัดการความรู้ส�านักงาน ป.ป.ช. - การเตรียมความรู้ในการปรับเปลี่ยนการท�างาน ไปสู่ส�านักงาน ป.ป.ช. (NACC Next Step 4.0) ให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. - การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานระบบ สารสนเทศส�านักงาน ป.ป.ช. จ�านวน 108 คน - ประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและ กฎหมายมหาชน (ปรม.) - การพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) - อัยการจังหวัด - การบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) - Infographic Presentation Design เพิ่มพลังการสื่อสารในยุค ไทยแลนด์ 4.0 - เทคนิคการถอดองค์ความรู้ - เทคนิคการเขียนบทความทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์ในวารสารใน ประเทศและวารสารนานาชาติ - เทคนิคการประชุมและเขียนรายงานการประชุม - ผู้ก�ากับการ - การสืบสวนสอบสวนคดีการเงินการธนาคาร - การประเมินแผนงานและโครงการ - วางแผนพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรอย่างไรให้ทันสมัยและ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน - การจัดซื้อจัดจ้างอย่างมืออาชีพ - การควบคุมและบริหารงานก่อสร้าง - การทดสอบเจาะระบบผ่านเว็บแอพพลิเคชั่นเบื้องต้น - เทคนิคและการทดสอบเจาะระบบเครือข่าย - เทคนิคการเขียนหนังสือราชการและการเขียนรายงานการประชุม - การสร้าง Infographic เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ - ผู้ประกาศในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ระดับกลาง - Analytical Thinking for Professional Internal Auditor - การด�าเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล - พัฒนาการสื่อสารในยุคดิจิทัล - เทคนิคการผลิตและเผยแพร่สื่อดิจิทัล - การวิเคราะห์อัตราก�าลังด้วยภาระงาน และการบริหารก�าลังคน อย่างได้ผล (Effective Workload Analysis & Workforce Management) - การรักษาความปลอดภัยบุคคลส�าคัญ รุ่นที่ 28 - วิทยากรขับเคลื่อนสมอง - เสวนาทักษะส�าคัญในการประเมินค่าเครื่องจักร - หลักสูตรเทคนิคการจัดท�า TOR ที่มีประสิทธิภาพ - กลยุทธ์การตรวจรับพัสดุให้ชอบด้วยกฎหมาย ปี 2564 รุ่นที่ 1 - หลักสูตรออกแบบ Infographic ให้โดนใจด้วย PowerPoint (ออนไลน์) ปี 2564 รุ่นที่ 1 การอบรมภายใน (In house Training) การอบรมภายนอก (Public Training)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 209 - Superb Supervisor (สุดยอดหัวหน้างาน) รุ่นที่ 2 - Thinking จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ - Problem Solving and Decision-Making Techniques (เทคนิคการแก้ปัญหาและตัดสินใจ) รุ่น 2 - Power Up Positive Thinking เพิ่มศักยภาพการท�างานด้วยความคิดบวก - วิทยาการพลังงานส�าหรับนักบริหารรุ่นใหม่ รุ่นที่ 8 (วพม.8) - การส�ารวจและท�าแผนที่ให้ได้มาตรฐานด้วยอากาศยานไร้คนขับ - Crowdfunding แพลตฟอร์มระดมทุนยุคมิลเลนเนี่ยม - การบริหารงานต�ารวจชั้นสูง รุ่นที่ 50 - Smart Secretary & Super Admin ปี 2564 รุ่นที่ 1 - มาตรฐานวิชาชีพด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Certificate in Public Procurement : e-CPP) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รุ่นที่ 1 - 2 - Agile Organization Management สู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน - AI for Management สู่การพัฒนาองค์กรอัจฉริยะยุคใหม่ - การออกแบบสถาปัตยกรรมองค์กรเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล (Enterprise Architecture Enables Digital Innovation) - ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.และระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 ปี พ.ศ. 2564 - The 6 CRITICAL PRACTICES FOR LEADING A TEAM - Facebook Page for Marketing (All-in-one) - การด�าเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - พัฒนาการสื่อสารยุคดิจิทัล - เทคนิคการผลิตและเผยแพร่สื่อดิจิทัล - การวิเคราะห์อัตราก�าลังด้วยภาระงาน และการบริหารก�าลังคนอย่างได้ผล (Effective Workload Analysis & Workforce Management) การอบรมภายนอก (Public Training) (ต่อ) หมายเหตุ * บุคลากรเข้ารับการอบรมมากกว่า 1 หลักสูตร ในด้านความส�าเร็จในการพัฒนาบุคลากร สถาบันฯ ได้ประเมินผลการน�าความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติ หน้าที่ โดยการส�ารวจผลการน�าความรู้ไปใช้จากผู้เข้ารับการอบรมและจากผู้บังคับบัญชาของผู้เข้ารับการอบรม ภายหลังการอบรมแล้ว 3 เดือน พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่สามารถน�าความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปใช้ ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ คิดเป็นร้อยละ 98.63 (เฉพาะหลักสูตรที่มีการติดตามประเมินผลภายหลังอบรมภายใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 210 การยกระดับสถาบันฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ ส�านักงาน ป.ป.ช. วางแผนยกระดับสถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยได้วางระบบการบริหารจัดการความรู้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควบคู่กับการฝึกอบรมบุคลากรด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนี้ 1. ระบบฐานข้อมูล เป็นการจัดท�าระบบสารสนเทศฐานข้อมูลบริหารจัดการงานด้านพัฒนาบุคลากร ได้แก่ ระบบข้อมูลประวัติบุคลากร ระบบทะเบียนประวัติการฝึกอบรม ระบบข้อมูลประกอบการฝึกอบรม ระบบ ข้อมูลหลักสูตร ระบบข้อมูลวิทยากร ระบบรายงานสรุป ระบบสืบค้นข้อมูล พร้อมทั้ง จัดท�าคู่มือประกอบการ ใช้งาน ในแต่ละระบบและมีการจัดอบรมเพื่อสอนการใช้งานระบบฯ 2. ระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้ มีการส�ารวจ รวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ โดยขอให้หน่วยงานภายในส�านักงาน ป.ป.ช. จัดส่งหนังสือ คู่มือ สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ การถอดบทเรียน องค์ความรู้จากบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดมุมความรู้ คือ ห้องปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้ (KM LAB) เพื่อให้บริการส�าหรับบุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อการศึกษาเรียนรู้ ด้วยตนเอง ฯลฯ 3. การพัฒนารายบุคคลตามหลักสมรรถนะ มีการด�าเนินการจัดท�าแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) ในกลุ่มข้าราชการในสายงานน�าร่อง จ�านวน 10 สายงาน โดยก�าหนดให้ข้าราชการในสายงานดังกล่าวประเมิน ขีดความสามารถ และค้นหาจุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง และก�าหนดหัวข้อ/ประเด็น/หรือหลักสูตรต่าง ๆ ในการพัฒนาตนเองร่วมกับผู้บังคับบัญชา เพื่อจัดท�าแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) และด�าเนินการพัฒนาตนเอง ตามแผนฯ ต่อไป 4. การพัฒนาหลักสูตรส�าหรับงานสนับสนุน เป็นการพัฒนาหลักสูตรพื้นฐาน และหลักสูตรเสริม ทักษะ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา วิเคราะห์สายงานสนับสนุนทั้งหมดของส�านักงาน ป.ป.ช. และหัวข้อวิชาที่ควร เรียนรู้ และสามารถเรียนรู้ร่วมกัน 5. การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากร เป็นการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์การบริหารและ พัฒนาทรัพยากรบุคคลส�านักงาน ป.ป.ช. ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562-2565) โดยระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ ด�าเนินโครงการตามแผนฯ ในส่วนที่สถาบันฯ เป็นผู้รับผิดชอบหรือด�าเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น จ�านวน 12 โครงการ โดยมีผลส�าเร็จในการด�าเนินงานคิดเป็นร้อยละ 99.49 6. การให้บริการศูนย์บริการทางวิชาการและเทคโนโลยีการฝึกอบรม ได้ด�าเนินการคัดแยกหนังสือ วิจัย วารสาร นิตยสาร ฯลฯ เพื่อส่งท�าลายตามระบบ และจัดซื้อหนังสือใหม่ เช่น กฎหมาย คู่มือการใช้โปรแกรมต่าง ๆ จัดวางบนชั้นแยกประเภทหมวดหมู่ รวมถึงจัดพื้นที่ตกแต่งภายในห้องสมุดเหมาะกับการใช้งาน รวมถึง จัดท�าช่องทางการเผยแพร่หนังสือห้องสมุดและประชาสัมพันธ์การเข้าใช้ห้องสมุด ตลอดจนพัฒนารูปแบบ การอบรมออนไลน์ จัดซื้อโปรแกรม เช่น Zoom, Microsoft Teams, Google Meet การติดตั้งโสตทัศนูปกรณ์ ส�าหรับบันทึกจัดเก็บวิดีโอระหว่างการอบรมให้พร้อมเผยแพร่เพื่อเป็นสื่อส�าหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. การเสริมสร้าง ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สถาบันฯ ด�าเนินกิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างและปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลักของส�านักงาน ป.ป.ช. “ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ” เช่น การเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ การประพฤติปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลัก ผ่านกิจกรรมการเผยแพร่เจตนารมณ์/ทัศนะของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร การผลิตสื่อ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลักและเผยแพร่ผ่านทางช่องทาง Facebook
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 211 ของสถาบันฯ และกลุ่มไลน์ รวมถึงกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในการเป็นข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. ผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) การจัดท�าสื่อสารคดีเกี่ยวกับการท�างานของ ข้าราชการ ป.ป.ช. เป็นต้น 8. การด�าเนินการด้านการต่างประเทศ เป็นการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่อต้านการทุจริต ของนานาประเทศ ได้แก่ หน่วยงานความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและยาเสพติด (International Narcotics and Law Enforcement : INL) สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจ�าประเทศไทย, สถาบันฝึกอบรมระหว่าง ประเทศ ว่าด้วยการด�าเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายกรุงเทพ (International Law Academy (ILEA Bangkok) ทั้งนี้ เพื่อขอรับการสนับสนุนการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อพัฒนาความรู้ทักษะที่จ�าเป็น ต่อการปฏิบัติงานและตอบสนองต่อภารกิจของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมถึงสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ปฏิบัติงาน ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของนานาประเทศ การสรรหาบุคคลเพื่อด�ารงต�าแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง คุณสมบัติและวิธีการได้มาซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2564 ก�าหนดคุณสมบัติ คุณวุฒิ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ รวมทั้งวิธีการได้มาซึ่งเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป (ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 138 ตอนที่ 33 ก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564) ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการคัดเลือก ผู้ที่มีความเหมาะสมและต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ด�ารงต�าแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 แผนปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งในช่วงภาวะวิกฤต (การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 113/2564 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 มีมติเห็นชอบกรอบ แผนปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งในช่วงภาวะวิกฤติ (การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)) โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่อยู่ ในหน้าที่และอ�านาจเช่นเดิมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Web Conference) และให้ด�าเนินการในส่วนที่ เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้ง ในช่วงภาวะวิกฤต ตามความจ�าเป็นและเหมาะสม มิให้เกิดผลกระทบต่องานส�าคัญและจ�าเป็นเร่งด่วน และต้องรองรับ ต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 2. จัดให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประเภทตรวจไว หรือ Rapid Antigen Test Kit (ATK) และมีระบบส่งต่อในกรณีตรวจพบเชื้อไปยังโรงพยาบาล เกษมราษฎร์ 3. ให้มีการมอบหมายงานและรายงานผลการปฏิบัติงาน ส�าหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home : WFH) ตามแบบที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนด รวมทั้งให้ทุกส่วนราชการรายงานรายชื่อ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 212 เจ้าหน้าที่ในสังกัดที่ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home : WFH) ให้ส�านักบริหารทรัพยากรบุคคลทราบ เพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูล 4. ให้พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจ�าทุกทางเข้า - ออกของส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง ตรวจตราให้บุคลากรตรวจวัดอุณหภูมิและลงทะเบียนเข้า - ออกอาคาร โดยวิธีการสแกน QR Code อย่างเคร่งครัด 5. ให้บันทึกและจัดเก็บข้อมูลของพนักงานรักษาความปลอดภัยและพนักงานท�าความสะอาดทุกคน ที่เข้ามาปฏิบัติงานที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ให้ชัดเจน 6. ให้ด�าเนินการจัดซื้อเครื่องฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส�าหรับพ่นท�าความสะอาด อาคารสถานที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. 7. จัดให้บุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางและจังหวัดใกล้เคียง เข้ารับการฉีดวัคซีน รวมทั้งสิ้น 1,516 ราย คิดเป็น อัตราร้อยละ 51 ของบุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ทั้งหมด 8. จัดให้มียาและอุปกรณ์ช่วยเหลือเบื้องต้น ส�าหรับบุคลากรที่ติดเชื้อหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ประกอบด้วย ปรอทวัดไข้ จ�านวน 30 อัน เครื่องวัดออกซิเจน จ�านวน 30 อัน ยาพาราเซตามอล จ�านวน 30 ขวด ยาฟ้าทะลายโจร จ�านวน 30 ขวด หน้ากากอนามัย จ�านวน 30 กล่อง และแอลกอฮอล์ จ�านวน 30 ขวด 9. จัดให้มียาพ่นจมูกและล�าคอเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้กับบุคลากร ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดหรือสุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรค จ�านวน 1,000 ชุด 10. ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดส�านักงาน ป.ป.ช. ถือปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันและ ควบคุมโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามค�าสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และประกาศของจังหวัดโดยเคร่งครัด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 213 (2) ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร 1. การด�าเนินการก่อสร้างอาคารส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด อาคารชุดพักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ ในการปฏิบัติงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและสามารถอ�านวยความสะดวกให้กับประชาชนหรือส่วนราชการในการติดต่อราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีนโยบายในการพัฒนาองค์กร และสนับสนุนการปฏิบัติงานของส่วนปฏิบัติการในพื้นที่ ให้รองรับการท�างานของเจ้าหน้าที่ สร้างขวัญก�าลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในการมีอาคารที่ท�าการส�านักงานและอาคาร ที่พักอาศัยอย่างเหมาะสมและมั่นคงปลอดภัย จึงมีการก่อสร้างอาคารส�านักงานและอาคารชุดพักอาศัย ขึ้น โดยในปัจจุบัน ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการก่อสร้างอาคารส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดที่ด�าเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ จ�านวน 12 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ นครปฐม นครราชสีมา พิษณุโลก ร้อยเอ็ด ล�าปาง กาฬสินธุ์ หนองบัวล�าภู สุโขทัย นครพนม และ นราธิวาส 2. ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่อยู่ระหว่างด�าเนินการก่อสร้างอาคารส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด พร้อม อาคารชุดพักอาศัย และสิ่งก่อสร้างประกอบ ในปีงบประมาณรายจ่ายประจ�าปี พ.ศ. 2564 จ�านวน 19 แห่ง ได้แก่ นครราชสีมา พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยภูมิ ขอนแก่น ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ล�าพูน น่าน ตาก เพชรบูรณ์ ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ ชัยนาท สิงห์บุรี ปทุมธานี สงขลา และสตูล 3. ส�านักงาน ป.ป.ช. ที่อยู่ระหว่างด�าเนินการจัดท�ารูปแบบรายการงานก่อสร้าง และก�าหนดคุณลักษณะ เฉพาะและราคากลางงานก่อสร้าง เพื่อเตรียมก่อสร้างในปีงบประมาณ 2565 อีกจ�านวน 9 แห่ง ได้แก่ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เชียงใหม่ ล�าปาง สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม และระนอง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะ สามารถเริ่มด�าเนินการจัดจ้างก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 203 1. การดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด อาคารชุดพักอาศัย และสิ่งก่อสร้างประกอบ ในการ ปฏิบัติงานของสานักงาน ป.ป.ช. ภาค และสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด ให้ เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ และสามารถ อานวยความสะดวกให้กับประชาชนหรือส่วนราชการในการติดต่อราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ มีนโยบายในการพัฒนาองค์กร และสนับสนุนการปฏิบัติงานของส่วนปฏิบัติการในพื้นที่ ให้ รองรับการ ทำงาน ของเจ้าหน้าที่ สร้างขวัญกาลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ ในการ มีอาคารที่ทาการสำนักงานและอาคา ร ที่พักอาศัยอย่างเหมาะสมและมั่นคงปลอดภัย จึงมีการก่อสร้างอาคารสำนักงาน และอาคารชุดพักอาศัย ขึ้น โดยในปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. สานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ นครปฐม นครราชสีมา พิษณุโลก ร้อยเอ็ด ลำปาง กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู สุโขทัย นครพนม และ นราธิวาส 2. สำนักงาน ป.ป.ช. ที่อยู่ระหว่างดาเนิน การ ก่อสร้างอาคารสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด พร้อม อาคารชุดพักอาศัย และสิ่งก่อสร้างประกอบ ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 จานวน 1 9 แห่ง ได้แก่ นครราชสีมา พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยภูมิ ขอนแก่น ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ลาพูน น่าน ตาก เพชรบูรณ์ ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ ชัยนาท สิงห์บุรี ปทุมธานี สงขลา และสตูล 3. สานักงาน ป.ป.ช. ที่อยู่ระหว่างดาเนินการจัดทารูปแบบรายการงานก่อสร้าง และกำหนดคุณลักษณะ เฉพาะและราคากลางงานก่อสร้าง เพื่อเตรียมก่อสร้างในปีงบประมาณ 2565 อีกจานวน 9 แห่ง ได้แก่ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เชียงใหม่ ลาปาง สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม และระนอง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะ สามารถเริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 2. การดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ( Solar Rooftop ) ตำม เป้ำห มำย กำรพั ฒ นำแ ห่ งส หั ส ว รรษ ห รือ Millenium Development Goals (MDGs ) ซึ่งประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 189 ประเทศ ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทั้งในระดับชาติและ ระดับสากลที่ทุกประเทศจะดาเนินการร่วมกันให้ได้ภายในปี 2558 ซึ่งประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี ในหลายประเทศ องค์การสหประชาชาติจึงได้กาหนดเป้าหมายการพัฒนาขึ้นใหม่ เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs ) ซึ่งจะใช้เป็นทิศทางการพัฒนาถึงปี 2573 ประกอบด้วย 17 (2) ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 214 งงาน และจากอัตราค่าบริการไฟฟ้าของสำนัก 19,841,013 . 41 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่าใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง สานักบริหา หลวง กับ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงาน ป.ป.ช. จะได้ส่วนล 4 4 บาท / หน่วย ใน ton / ปี เทียบเท่าการปลูกต้นสัก 26 ,797 ต้น ห “ กองทุนสวัสดิการสานักงาน ป.ป.ช. ” ขึ้น ตามระเบียบคณะ 2. การด�าเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ Millenium Development Goals (MDGs) ซึ่งประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 189 ประเทศ ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทั้งในระดับชาติและ ระดับสากลที่ทุกประเทศจะด�าเนินการร่วมกันให้ได้ภายในปี 2558 ซึ่งประสบความส�าเร็จเป็นอย่างดีในหลาย ประเทศ องค์การสหประชาชาติจึงได้ก�าหนดเป้าหมายการพัฒนาขึ้นใหม่ เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งจะใช้เป็นทิศทางการพัฒนาถึงปี 2573 ประกอบด้วย 17 เป้าหมาย โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการด�าเนินการตามเป้าหมายที่ 7 สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึง พลังงานสมัยใหม่ ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน โดยหนึ่งในแนวทางเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ดังกล่าวคือ การเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการผสมผสานการใช้พลังงาน และจากอัตราค่าบริการไฟฟ้า ของส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ผ่านมามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ปีละ 19,841,013.41 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่าใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง ส�านักบริหารทรัพย์สินจึงได้น�าเสนอแนวทางการลดค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานไฟฟ้าโดยใช้แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ จากธรรมชาติทดแทน โดยได้เข้าร่วมโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับการไฟฟ้านครหลวง การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวกับการไฟฟ้านครหลวง ส�านักงาน ป.ป.ช. จะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 15 เปอร์เซ็นต์ในส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบ คิดเป็นอัตราค่าไฟฟ้า 3.44 บาท/หน่วย ในอัตราคงที่ 20 ปี ผลจากการเข้าร่วมโครงการคาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณ 504,420.00 บาท/ปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 471.63 ตัน/ปี เทียบเท่าการปลูกต้นสัก 26,797 ต้น หรือคิดเป็น พื้นที่ป่า 268 ไร่
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 215 3. การดูแลด้านสวัสดิการของบุคลากรของส�านักงาน ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดให้มี “กองทุนสวัสดิการส�านักงาน ป.ป.ช.” ขึ้น ตามระเบียบคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ข้อ 9 ซึ่งก�าหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการภายในส�านักงาน ป.ป.ช. ให้เลขาธิการแต่งตั้งคณะกรรมการสวัสดิการขึ้นคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการสวัสดิการภายในส�านักงาน ป.ป.ช.” โดยกองทุนสวัสดิการส�านักงาน ป.ป.ช. จัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ ส�าหรับเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้ 1. จัดท�าประกันอุบัติเหตุกลุ่มให้กับเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการเดินทางอยู่ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน ทั้งการไปแสวงหาข้อเท็จจริงของพนักงานไต่สวนและการเดินทาง ไปราชการของเจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ต�าแหน่งอื่น ๆ โดยจ่ายทุนประกันให้กับบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จ�ากัด (มหาชน) ปีละประมาณ 350,000.- บาท (สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) เจ้าหน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ทุกคนได้รับการประกันอุบัติเหตุกลุ่มกับบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จ�ากัด (มหาชน) - กรณีเสียชีวิตโดยประสบอุบัติเหตุ จะได้รับเบี้ยประกันชีวิต จ�านวน 100,000 บาท - กรณีเสียชีวิตที่ไม่ใช่อุบัติเหตุจะได้รับ 10,000 บาท 2. จัดท�าประกันสุขภาพส�าหรับกรรมการ ป.ป.ช. ที่ปรึกษาฯ เลขานุการฯ ผู้ช่วยเลขานุการฯ และผู้เชี่ยวชาญ และจัดท�าประกันภัยส�าหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) 2.1 ประกันสุขภาพส�าหรับกรรมการ ป.ป.ช. เบี้ยประกัน/คน จ�านวน 50,000 บาท 2.2 ประกันสุขภาพส�าหรับที่ปรึกษาฯ เลขานุการฯ ผู้ช่วยเลขานุการฯ และผู้เชี่ยวชาญ เบี้ยประกันภัย จ�านวน 15,000 บาท 2.3 ประกันสุขภาพส�าหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพิเศษของประธานกรรมการและ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เบี้ยประกัน/คน จ�านวน 15,000 บาท 2.4 ประกันภัยภาคใต้ส�าหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) เบี้ยประกัน/คน จ�านวน 1,800 บาท 3. จัดกิจกรรมมอบทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการและลูกจ้างส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปี 2564 ได้แก่ 3.1 ทุนส่งเสริมการศึกษา จ�านวน 124 ทุน 3.2 ทุนเรียนดี จ�านวน 82 ทุน 4. จัดงานเกษียณอายุราชการส�าหรับข้าราชการที่ปฏิบัติงานจนถึงอายุครบ 60 ปี ประจ�าปี 2564 จ�านวน 16 คน 5. จัดโครงการตู้ยาสามัญประจ�าบ้านส�าหรับเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-9 และ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดทุกแห่ง 6. จัดซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) จ�านวน 2 เครื่อง และติดตั้งไว้ประจ�าอาคาร 1 และอาคาร 4 ของส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่อง AED ให้แก่เจ้าหน้าที่
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 216 ส�านักงาน ป.ป.ช. ให้สามารถใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) ในกรณีฉุกเฉินได้ นอกจากนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ยังได้จัดให้มีการคัดเลือกข้าราชการและลูกจ้างส�านักงาน ป.ป.ช. ระดับ “เพชรน�้าเอก” ประจ�าปี 2564 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ตั้งใจปฏิบัติงานอย่างดีเด่นด้วยความอุตสาหะ เสียสละให้แก่ส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งด�ารงตนอยู่ใน มาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. จนเป็นแบบอย่างที่ดีอันส่งผลให้เกิดพฤติกรรม ในเชิงสร้างสรรค์ และเป็นการสร้างเสริมค่านิยมที่พึงประสงค์จนเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามขององค์กร รวมทั้ง เป็นการสร้างขวัญและก�าลังใจ และความภาคภูมิใจให้แก่บุคลากรส�านักงาน ป.ป.ช. ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี ของส�านักงาน ป.ป.ช. ให้ปรากฏต่อสาธารณชน จึงมีการมอบเข็มรางวัล “เพชรน�้าเอก” ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมประกาศเกียรติบัตรให้กับข้าราชการและลูกจ้างส�านักงาน ป.ป.ช. ผู้ได้รับคัดเลือกฯ จ�านวน 6 ราย ดังนี้ 1. นางสาวลลิตา โภชนพันธ์ ผู้อ�านวยการส�านักบริหารทรัพยากรบุคคล ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 1 ข้าราชการประเภทอ�านวยการ/อ�านวยการยุติธรรม 2. นางสาวจุฑารัตน์ เหลืองเพิ่มสกุล เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินเชี่ยวชาญ (ผู้อ�านวยการ กลุ่มตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง 3) ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 2 ข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับช�านาญการพิเศษ/เชี่ยวชาญ 3. นายปรีชา ยาศรี พนักงานไต่สวนผู้เชี่ยวชาญ (ผู้อ�านวยการกลุ่มไต่สวน 2) ส�านักไต่สวนการทุจริต ภาครัฐ 3 ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 3 ข้าราชการประเภทวิชาการยุติธรรม พนักงานไต่สวนระดับสูง/พนักงาน ไต่สวนผู้เชี่ยวชาญ 4. นางสาวอุษา ชาวอุบล เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตช�านาญการ ส�านักต้านทุจริตศึกษา ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 4 ข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับช�านาญการ 5. นายอานนท์ วรวรรษนันท์ พนักงานไต่สวน ระดับกลาง ส�ำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐ 2 ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 5 ข้าราชการประเภทวิชาการยุติธรรม พนักงานไต่สวน ระดับกลาง 6. นางสาวพิมประไพ ทองหล่อ พนักงานบริหารทั่วไปอาวุโส ส�ำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มที่ 6 ข้าราชการประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ช�านาญงาน และอาวุโส
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 217 (3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�ำนักงาน ป.ป.ช. ได้พัฒนาปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การท�างานแบบ Digital Platform ตามที่ก�าหนดไว้ในแผนดิจิทัลของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ปี พ.ศ. 2564 และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และด�าเนินงานตามพระราชบัญญัติ การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 ซึ่งก�าหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มี การบริหารงานและการจัดท�าบริการสาธารณะในรูปแบบและช่องทางดิจิทัล โดยมีการบริหารจัดการและ การบูรณาการข้อมูลภาครัฐและการท�างานให้มีความสอดคล้องกัน เชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างมั่นคง ปลอดภัยและมีธรรมาภิบาล โดยมุ่งหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพและอ�านวยความสะดวกในการให้บริการ การเข้าถึง ของประชาชน และในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณะ และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้ง ด�าเนินการโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบที่ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และแผนการปฏิรูป ประเทศด้านกฎหมายที่กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ทั้งนี้ ซึ่งสามารถสรุปการด�าเนินงานต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. จัดท�านโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ พระราชกฤษฎีกาก�าหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการท�าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ พ.ศ. 2549 มาตรา 5 และมาตรา 7 ก�าหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดท�าแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความ มั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ เพื่อให้การด�าเนินการใด ๆ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานของรัฐ และสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐมีความมั่นคงปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยจัดท�าเป็นประกาศ และต้องได้รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการหรือหน่วยงานที่คณะกรรมการมอบหมาย คณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ส�านักงาน ป.ป.ช. จึงได้มีการก�าหนดให้มีการทบทวน นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ทบทวน นโยบายและแนวปฏิบัติฯ ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน โดยได้มีการน�ามาตรฐาน ISO 27001 มาใช้ เป็นกรอบในการจัดท�า เพื่อให้ได้นโยบายและแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐานสากลและเป็นการเตรียมความพร้อมในการ ขอรับใบรับรอง ISO 27001 Certified ของศูนย์คอมพิวเตอร์หลัก (Data Center) ทั้งนี้ นโยบายและแนวปฏิบัติฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ น�ามาประกาศใช้เพื่อให้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ได้ มาตรฐานสากล และเจ้าหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. มีแนวปฏิบัติที่ดีรวมทั้งมีความตระหนักในการใช้ระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี 2. พัฒนาระบบสารสนเทศและการบูรณาการข้อมูลหน่วยงานรัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญในเรื่องดังกล่าวและเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล จึงได้ให้ส�านักเทคโนโลยีสารสนเทศ ส�านักงาน ป.ป.ช. ด�าเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศ และน�าเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและเพื่อเป็นองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ ส�าหรับการด�าเนินงาน ในปี พ.ศ. 2564 แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 218 2.1 การเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐอื่น เพื่อท�าการ รับ – ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ท�าการเชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อรับ - ส่งข้อมูล ทางอิเล็กทรอนิกส์ ส�าหรับใช้ในการด�าเนินงานตามภารกิจ ซึ่งปัจจุบันเชื่อมโยงกระบวนการยุติธรรมแล้ว จ�านวน 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมราชทัณฑ์ ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ส�านักงาน ป.ป.ท. ส�าหรับในปี 2564 ได้พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเพิ่มเติม จ�านวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ ส�านักงานอัยการสูงสุด ส�านักงานกิจการยุติธรรม ส�านักงานศาลยุติธรรม และส�านักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการเชื่อมโยงรับ - ส่งข้อมูลในการติดตาม สถานะการด�าเนินงาน และลดขั้นตอนเจ้าหน้าที่ในการบันทึกข้อมูล รวมถึงลดความซ�้าซ้อนการด�าเนินงาน นอกจากนี้ ได้ด�าเนินการเชื่อมโยงข้อมูลกับ linkage Center โดยพัฒนาระบบสืบค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร (Civil Registration Retrieval System) เพื่อน�ามาใช้ในการตรวจสอบข้อมูลส�าหรับการด�าเนินการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและไต่สวนคดีทุจริต 2.2 ระบบสนับสนุนภารกิจหลักของส�านักงาน ป.ป.ช. 2.2.1 ด้านป้องกันการทุจริต : พัฒนาระบบสารสนเทศงานด้านการป้องกันการทุจริต โดยมุ่งเน้น ด้านการป้องปราม (Corruption Deterrence System : CDS) ซึ่งเป็นโครงการที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนดแผน ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปีงบประมาณ 2564 เป็นปีแรกที่เริ่มด�าเนินการ ซึ่งได้ร่วมกันก�าหนดขอบเขต และแนวทางพัฒนาระบบร่วมกันระหว่างส�านักที่มีภารกิจด้านป้องกันการทุจริต ทั้งนี้ เป็นการพัฒนาระบบ เพื่อก�ากับติดตามงานป้องกันการทุจริต มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ได้เห็นภาพรวมของการท�างาน ร่วมกัน ท�าให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการด�าเนินงานมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานร่วมกัน และสามารถก�ากับ ติดตามความก้าวหน้าของงานผ่านระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหา ได้รวดเร็ว นอกจากนี้ ได้มีการเปิดใช้งานระบบตอบค�าถามอัตโนมัติ ในส่วนของค�าแนะน�าในการ ร้องเรียนเพื่อ “หยุด…คนโกงประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบ Chatbot ซึ่งน�าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) มาประยุกต์ใช้ ระบบดังกล่าวสามารถให้บริการประชาชนในการให้ค�าแนะน�าขั้นตอนการส่งเรื่อง ร้องเรียนของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยเป็นระบบตอบค�าถามอัตโนมัติผ่านระบบ Line 2.2.2 ด้านปราบปรามการทุจริต : มีการปรับปรุงระบบสารสนเทศด้านปราบปรามการทุจริต โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศด้านปราบปรามการทุจริตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เช่น ระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและคดี (CCMS), ระบบตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA), ระบบติดตามเรื่องกล่าวหา ในความรับผิดชอบ, ระบบแสดงผลงานด้านการไต่สวนข้อเท็จจริง เป็นต้น ซึ่งในการด�าเนินงานของระบบ สารสนเทศดังกล่าว มีหลายส่วนที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลกัน และมีการท�างานที่ต่อเนื่องกัน ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จึงได้ด�าเนินการปรับปรุงระบบต่าง ๆ เพื่อรวมระบบสารสนเทศด้านปราบปรามการทุจริตทั้งหมดให้อยู่ ภายใต้ระบบเดียว เรียกว่า CCMS Portal เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ข้อมูลในระบบมีความถูกต้อง แม่นย�า ท�าให้สามารถจัดการข้อมูลคดีทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2.3 ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน : มีการปรับปรุงระบบสารสนเทศเพื่อการรวบรวมและวิเคราะห์ ทรัพย์สิน (ACAS) ในส่วนระบบยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน (ODS) ให้สอดคล้องกับประกาศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง แบบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน พ.ศ. 2563 ซึ่งมีการเปิดใช้งานให้สามารถยื่นบัญชีฯ ผ่านระบบออนไลน์ส�าหรับผู้มีหน้าที่ยื่นตามมาตรา 158 ของพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และได้มีการพัฒนาระบบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 219 ออกรายงานติดตามและประเมินผลบัญชีตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการบริหารจัดงานด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ทั้งในส่วนของการติดตามสถานะการตรวจสอบบัญชี ทรัพย์สิน และการจัดการข้อมูลบัญชีทรัพย์สิน เพื่อให้สามารถด�าเนินงานได้ผ่านระบบออนไลน์ครบทุกฟังก์ชั่นงาน 2.3 งานสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการพัฒนาระบบ สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง รวมถึง มุ่งเน้นให้สามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ ได้แก่ 1) ระบบ Smart NACC เป็นระบบส�าหรับ ใช้แจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ภายในส�านักงาน ป.ป.ช. โดยใช้ Mobile Device 2) ปรับปรุงระบบบริหารทรัพยากร บุคคลและระบบประเมินบุคลากร (HRMAS) ได้ด�าเนินงานปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงาน ด้านบริหารทรัพยากรบุคคลส�าหรับผู้ดูแลระบบและผู้ใช้ระบบ 3) ปรับปรุงระบบสารสนเทศงบประมาณ การเงิน และบัญชี (FinApp) โดยเป็นการปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับการด�าเนินงานในปัจจุบันที่ได้มี การปรับเปลี่ยนกระบวนการท�างานให้รองรับการบริหารจัดการงานที่สะดวกและรวดเร็ว 4) ระบบสารสนเทศ การจัดการกองทุน เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนงานบริหารจัดการกองทุนส�านักงาน ป.ป.ช. โดยระยะแรก ได้ด�าเนินการพัฒนาระบบในส่วนของการส่งโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนระยะต่อไปจะด�าเนินการในส่วนของการติดตามและรายงานผลการด�าเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน 3. ด้านข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อสนับสนุนภารกิจของส�านักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้สนับสนุนให้มีการน�าเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาสนับสนุนภารกิจในด้านต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อส�านักงาน ป.ป.ช. ได้แก่ ภารกิจด้านป้องกัน ด้านปราบปราม ด้านการข่าวและ การแสวงหาข้อเท็จจริง และการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่าง ถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 3.1 การอ่าน แปล ตีความ วิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และส�ารวจสภาพพื้นที่เพื่อประกอบส�านวน การไต่สวนคดี หรือแสวงหาข้อเท็จจริง ในคดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย รายงาน การศึกษาสภาพพื้นที่ จ�านวน 7 กรณี ได้แก่ พื้นที่แปลงโฉนดที่ดินที่มีผู้ร้องเรียนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตาก จังหวัดตราด และจังหวัดเชียงใหม่ 3.2 การประสานขอรับการสนับสนุนข้อมูลกับหน่วยงานภายนอก เพื่อสนับสนุนการด�าเนินงาน ด้านภูมิสารสนเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. ข้อมูลระวางแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเชิงเลขจากกรมโยธาธิการ และผังเมือง จ�านวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดเชียงราย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกระบี่ และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งข้อมูลไฟล์ดิจิทัลภาพถ่ายทางอากาศ ขนาด 9 x 9 นิ้ว จากกรมแผนที่ทหาร จ�านวน 1,968 ภาพ ส�าหรับใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนและคดี ประเภททรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 220 (4) ด้านการวิจัย ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยที่ด�าเนินการแล้วเสร็ จ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อวัดความส�าเร็จของงานวิจัยด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่สามารถน�าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์และแผนที่ก�าหนดไว้ได้อย่างคุ้มค่า โดยการประมวลผลข้อมูล การน�างานวิจัยไปใช้ประโยชน์จากผู้บริหาร หน่วยงานในส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งจากการ ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า มีการน�าผลการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการเสนอมาตรการ/แนวทาง แก้ไขปัญหา ปรับปรุง/พัฒนากระบวนการปฏิบัติงาน และมีการเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ 1. การน�าผลการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลในการเสนอมาตรการ/แนวทางแก้ไขปัญหาการทุจริตต่อหน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น การก�าหนดมาตรการป้องกันการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เพื่อป้องกันความเสี่ยง การทุจริตของหน่วยงานในประเด็นที่พบบ่อย เช่น การทุจริตในจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้าง การทุจริตเกี่ยวกับ ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น รวมทั้งการขับเคลื่อนการท�างานด้านป้องกันการทุจริตให้มีความเหมาะสมกับบริบท ในพื้นที่ เช่น การสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต เป็นต้น 2. การน�าผลการวิจัยไปใช้ประกอบการวางแผนงาน ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการปฏิบัติงาน ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การวิเคราะห์สถิติเรื่องร้องเรียนเพื่อวางแผน เฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่ การลงพื้นที่ตรวจสอบการทุจริตในเชิงรุก การบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง ส�านักงาน ป.ป.ช หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายป้องกันการทุจริต การสร้างความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิด การป้องปรามการทุจริตในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เป็นต้น 3. การเผยแพร่ผลงานวิจัยทางเว็บไซต์ของส�านักงาน ป.ป.ช. และบทความในวารสารวิชาการ ป.ป.ช. โดยมีการประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริหาร หน่วยงานในส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อให้น�า องค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ เช่น การน�าข้อมูลจากงานวิจัยไปใช้ประกอบการบรรยายในการประชุม/สัมมนา ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่าง ๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชน การใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง ในงานวิชาการ วิทยานิพนธ์ เป็นต้น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีงานวิจัยที่ด�าเนินการเสร็จสิ้น จ�านวน 6 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการด�าเนินงานด้านการป้องกันการทุจริต กับส�านักงาน ป.ป.ช.” 1. วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษารูปแบบและประเมินโครงการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการด�าเนินงาน ด้านการป้องกันการทุจริตกับส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อน�ามาสู่การจัดท�าข้อเสนอแนะต่อส�านักงาน ป.ป.ช. ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเป็นการศึกษาการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนผ่านโครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ซึ่งเป็น โครงการด้านการป้องกันการทุจริต ที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ให้ความส�าคัญ อีกทั้งมีการด�าเนินงานอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั่วประเทศมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือภาคประชาชน 2. ผลการศึกษา : การศึกษานี้มีข้อค้นพบหลักคือ รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการด�าเนินงานด้านการ ป้องกันการทุจริตกับโครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต ตามแนวคิดของ Cohen and Uphoff พบว่า
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 221 ในภาพรวมภาคประชาชนมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.87 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมปฏิบัติการ ค่าเฉลี่ย 4.03 คะแนน รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนร่วมตัดสินใจ ค่าเฉลี่ย 3.91 คะแนน ด้านการมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ ค่าเฉลี่ย 3.86 คะแนน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมประเมินผล ค่าเฉลี่ย 3.68 คะแนน นอกจากนี้ จากการประเมินโครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต โดยประยุกต์จากตัวแบบซิปป์โมเดล (CIPP Model) พบว่า ผลการประเมินในภาพรวมของโครงการอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.90 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีระดับผลการประเมินอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านผลผลิต (Product) ค่าเฉลี่ย 4.09 รองลงมาคือ ด้านบริบท (Context) ค่าเฉลี่ย 3.93 ด้านกระบวนการ (Process) ค่าเฉลี่ย 3.91 ด้านผลลัพธ์ (Outcome) ค่าเฉลี่ย 3.82 และด้านที่มี ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านปัจจัยน�าเข้า (Input) ค่าเฉลี่ย 3.76 3. ข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อโครงการ STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต คือ ส�านักงาน ป.ป.ช. ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการประเมินผลมากขึ้น เช่น การประเมินผล โครงการในภาพรวม การประเมินการใช้จ่ายงบประมาณ และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ส�านักงาน ป.ป.ช. ควรสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการร้องเรียน/แจ้งเบาะแสการทุจริตว่า ข้อมูลที่แจ้งไปจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ และเรื่องที่ร้องเรียน/แจ้งเบาะแสได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจและกล้าที่จะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น 2. โครงการวิจัยเรื่อง “แนวปฏิบัติที่ดีในการป้องกันการทุจริตเชิงรุก : กรณีศึกษาโครงการสร้าง ระบบเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตเชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐ” 1. วัตถุประสงค์ : การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบ วิธีการ การด�าเนินโครงการสร้างระบบเฝ้าระวังและ ป้องกันการทุจริตเชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐ 2) ศึกษาแนวคิดและกระบวนการ ประสิทธิภาพ ปัญหา อุปสรรค และข้อจ�ากัด ของการด�าเนินโครงการสร้างระบบเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริต เชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐ และ 3) จัดท�าแนวทาง และข้อเสนอแนะ ในการน�ารูปแบบ วิธีการ ป้องกันการทุจริตเชิงรุกมาปรับใช้ ในส�านักงาน ป.ป.ช. 2. ผลการศึกษา : การศึกษานี้มีข้อค้นพบหลักคือ 1) จุดอ่อนในการด�าเนินการป้องกันการทุจริตเชิงรุกของส�านักงาน ป.ป.ช. เช่น การขาดแนวทางและหลักเกณฑ์รองรับการด�าเนินการ แนวทางการด�าเนินงานและความเข้าใจมีความแตกต่างกัน จึงท�าให้ผลของการด�าเนินการป้องกันการทุจริตเชิงรุกผูกติดอยู่กับตัวบุคคลและแนวทางการบริหาร การตอบสนอง ของส�านักงาน ป.ป.ช. ต่อการแจ้งเบาะแส/ร้องเรียนของเครือข่ายที่ล่าช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพ ขาดระบบรองรับ หรือกระบวนการด�าเนินงานป้องเชิงรุกอย่างเป็นระบบ การรวมศูนย์อ�านาจในการอนุมัติ/อนุญาต 2) ช่องทาง การแจ้งเบาะแส/ร้องเรียน จะต้องมีระบบการรับแจ้งเบาะแส/ร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยการน�าระบบเทคโนโลยีมาปรับใช้ มีระบบการก�ากับติดตามตลอดกระบวนการของเรื่อง (Tracking) 3) การตอบสนองต่อการแจ้งเบาะแส/ร้องเรียน ต้องด�าเนินการอย่างรวดเร็ว และตอบกลับต่อผู้แจ้งเบาะแส/ร้องเรียน ว่าหน่วยงานได้รับเรื่องร้องเรียนและจะด�าเนินการต่อเรื่องร้องเรียนอย่างสุดความสามารถ 4) รูปแบบการป้องกัน การทุจริตเชิงรุก จะต้องมีรูปแบบการด�าเนินการที่มีความชัดเจนและด�าเนินการอย่างเป็นมาตรฐาน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 222 3. ข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1) มาตรการทางกฎหมาย ก�าหนดให้มีระเบียบ/แนวทาง ในการด�าเนินการป้องกันการทุจริตเชิงรุก ก�าหนดให้มีระเบียบการประสานงานการด�าเนินการป้องกันการทุจริต เชิงรุกระหว่างส�านักงาน ป.ป.ท. และส�านักงาน ป.ป.ช. การปรับแก้กฎหมายเพื่อให้ส�านักงาน ป.ป.ช. มีอ�านาจ ในการก�าหนดให้หน่วยงานของรัฐด�าเนินการปรับปรุงแก้ไข ตามมาตรการการป้องกันการทุจริตที่ออกโดย ส�านักงาน ป.ป.ช. 2) มาตรการทางบริหาร จัดให้มีบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่าง ส�านักงาน ป.ป.ท. และส�านักงาน ป.ป.ช. ในการด�าเนินการป้องกันการทุจริตเชิงรุก โดยใช้อ�านาจตาม พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 3) มาตรการทางการจัดการ ก�าหนดนโยบายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีระบบการคัดกรองเรื่องแจ้ง เบาะแส/ร้องเรียน การจัดให้มี Platform ในการแจ้งเบาะแส/ร้องเรียน 3. โครงการวิจัยเรื่อง “การเพิ่มประสิทธิภาพภารกิจป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด 1. วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาการด�าเนินภารกิจป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด และปัญหาอุปสรรคในการด�าเนินงาน อันน�าไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาการด�าเนิน ภารกิจป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดให้สามารถด�าเนิน ภารกิจป้องกันการทุจริตในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม 2. ผลการศึกษา : ผลการศึกษา พบว่า ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดสามารถด�าเนินภารกิจ ป้องกันการทุจริตตามที่ได้ก�าหนดไว้ในหน้าที่และอ�านาจ แต่การด�าเนินงานยังไม่สามารถแก้ไขและป้องกันการทุจริต ได้ ตามสภาพปัญหาในพื้นที่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ขาดการมีส่วนร่วมในการก�าหนดรายละเอียด โครงการที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาการทุจริตในพื้นที่จึงส่งผลให้การด�าเนินโครงการและกิจกรรมที่ก�าหนดจาก ส�านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด รวมถึงยังมีปัญหาอุปสรรค หลายประการ เช่น การมีกฎระเบียบที่ก�าหนดหน้าที่และอ�านาจไม่ชัดเจนในการด�าเนินภารกิจป้องกันการทุจริตเชิงรุก การมีอัตราบุคลากรไม่สอดคล้องกับปริมาณงาน การด�าเนินโครงการที่ซ�้าซ้อนกันระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เป็นต้น 3. ข้อเสนอแนะ : เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการด�าเนินภารกิจป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ส�านักงาน ป.ป.ช. ควรเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่มีส่วนร่วม ในการก�าหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตให้มีความเหมาะสมกับปัญหาการทุจริตในจังหวัด รวมถึงส�านักงาน ป.ป.ช. ควรมีการก�าหนดกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการด�าเนินภารกิจป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดเพื่อให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การป้องกันการทุจริตเชิงรุกและการบริหารจัดการการรับแจ้งเบาะแสการทุจริต จากเครือข่ายและประชาชนในพื้นที่ 4. โครงการวิจัยเรื่อง “โครงการประเมินกระบวนการและผลการปฏิบัติงานตามภารกิจด้านการตรวจสอบ ทรัพย์สินและหนี้สินของส�านักงาน ป.ป.ช.” 1. วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาขั้นตอนการด�าเนินงานและระยะเวลาการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของผลการด�าเนินงานตามภารกิจด้านการตรวจสอบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 223 ทรัพย์สินและหนี้สินของส�านักงาน ป.ป.ช. ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคและปัจจัยที่มีผลต่อความส�าเร็จในการด�าเนินงานตามภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ของส�านักงาน ป.ป.ช. และเพื่อจัดท�าข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. ผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่า ขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของส�านักงาน ป.ป.ช. มีความเหมาะสม ยกเว้นบางประเด็นย่อยที่ต้องปรับแก้ไข เพื่อให้การด�าเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส�านักตรวจสอบทรัพย์สินควรปฏิบัติงานเฉพาะการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเท่านั้น ส่วนภาระงานสนับสนุนอื่น ๆ ควรมีหน่วยงานอื่นรับผิดชอบ เป็นต้น ในภาพรวมของส�านักงาน ป.ป.ช. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 หน่วยงาน ที่มีภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน มีผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมีหน่วยงานที่มีคะแนนประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 79.07 และหน่วยงานที่มีคะแนน ประสิทธิภาพเท่ากันทั้งสองปี มีจ�านวน 5 หน่วยงาน พบว่าเป็นหน่วยงานที่มีค่าคะแนนประสิทธิภาพสูงสุด (หน่วยงานแถวหน้า) ที่มีคะแนน ประสิทธิภาพเท่ากับ 1.00 เท่ากันทั้งสองปี ส่วนการประเมินมิติประสิทธิผล ของการปฏิบัติงานตามภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ในภาพรวม อยู่ในระดับ “มีประสิทธิผลมาก” ส่วนผลการประเมินในมิติประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน ตามภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในภาพรวม อยู่ในระดับ “มีประสิทธิผลน้อย” 3. ข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของ ส�านักงาน ป.ป.ช. มีหลายประเด็น เช่น การพัฒนาระบบในการประสานงานให้หน่วยงานภายนอกสามารถ ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และมีมาตรการให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลส่งข้อมูลอย่างถูกต้องตรงตามระยะเวลา ที่ก�าหนด เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินโดยน�าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยการท�างาน เป็นต้น 5. โครงการวิจัยเรื่อง “การทุจริตในระดับพื้นที่ : กรณีเขตพื้นที่ในความรับผิดชอบของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5” 1. วัตถุประสงค์ : การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การทุจริต รูปแบบและลักษณะของการทุจริต ที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 และจังหวัดในภาค 5 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิด การทุจริตในแต่ละรูปแบบของการทุจริต และวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของการปฏิบัติงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 และจังหวัดในภาค 5 และ 3) เพื่อจัดท�าข้อเสนอแนะหรือแนวทางการป้องกันการทุจริตในพื้นที่ของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 และจังหวัดในภาค 5 2. ผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่า จากการศึกษาข้อมูลคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2562 พบว่า การทุจริตที่พบในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 มี 5 รูปแบบ ได้แก่ การทุจริตในงานจัดซื้อจัดจ้าง การทุจริตในงานการเงินและบัญชี การทุจริตในงานการบริการและบังคับใช้ กฎหมาย การทุจริตในงานบริหารงานบุคคล และการทุจริตในงานภาษีอากรและการจัดเก็บรายได้อื่น ๆ ซึ่งรูปแบบ การทุจริ ตที่พบมากที่สุด 2 อันดับแรก คือ การทุจริตในงานจัดซื้อจัดจ้าง จ�านวน 45 เรื่อง ซึ่งเกิดขึ้นได้ขั้นตอนต่าง ๆ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 224 ของการจัดซื้อจัดจ้าง มีจ�านวนทั้งสิ้น 79 คดี และการทุจริตในงานการเงินและบัญชี จ�านวน 45 เรื่อง โดยปัจจัย ที่ก่อให้เกิดการทุจริตใน 2 รูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นมากที่สุด พบว่า เกิดจากปัจจัยภายในตัวบุคคล ได้แก่ ความไม่ซื่อสัตย์สุจริต และความโลภ 3. ข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะหรือแนวทางการป้องกันการทุจริตในงานจัดซื้อจัดจ้าง ควรเน้นการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวด รวมถึงการด�าเนินการของหน่วยงานตรวจสอบต้องมีความรวดเร็ว และควรเน้นการตรวจสอบเชิงรุก ในพื้นที่ ในส่วนของการทุจริตในงานการเงินและบัญชี ควรเน้นการใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยในงาน การเงินและบัญชี เพื่อช่วยลดโอกาสการทุจริต นอกจากนี้ ระบบการควบคุมภายในต้องมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ 6. โครงการวิจัยเรื่อง “โครงการประเมินกระบวนการและผลการปฏิบัติงานตามภารกิจ ด้านการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช.” 1. วัตถุประสงค์ : การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาประเภท ลักษณะคดี ขั้นตอนการด�าเนินงานและระยะเวลา การปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. 2) ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของ ผลการด�าเนินงานตามภารกิจด้านการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น และ 3) จัดท�าข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานและการด�าเนินการอื่น ๆ เพื่อให้การปฏิบัติงาน ปราบปรามการทุจริตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. ผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่า ผลการประเมินประสิทธิภาพในภาพรวมอยู่ในระดับ มีประสิทธิภาพปานกลาง มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.00 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน เมื่อพิจารณารายตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 1 “การประเมินผลการด�าเนินงานด้านการปราบปรามการทุจริตตามเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ในแผนปฏิบัติการและ แผนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจ�าปี” พบว่า ผลการด�าเนินงานในทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการตรวจรับ ค�ากล่าวหา การตรวจสอบเบื้องต้น และการไต่สวน มีระดับค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.33 อยู่ในระดับ มีประสิทธิภาพปานกลาง และตัวชี้วัดที่ 2 “การประเมินผลการด�าเนินงานด้านการปราบปรามการทุจริตของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายก�าหนด” เทียบกับระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริง พบว่า ในภาพรวมผลการด�าเนินงานในทั้ง 3 ขั้นตอนดังกล่าว มีระดับค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.67 อยู่ในระดับ มีประสิทธิภาพมาก ส�าหรับการประเมินประสิทธิผล ประกอบด้วย 1 ตัวชี้วัด คือ ความส�าเร็จของการด�าเนินคดี ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2563 พบว่า การด�าเนินงาน ด้านการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. มีประสิทธิผลอยู่ในระดับ มีประสิทธิผลมากที่สุด มีค่าคะแนน ในระดับ 5 เนื่องจากศาลมีการพิพากษาลงโทษตามที่ชี้มูล โดยมีการยกฟ้องเป็นส่วนน้อย 3. ข้อเสนอแนะ : ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การพัฒนาการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อให้มี การส่งข้อมูลเอกสารหลักฐานด้วยความรวดเร็ว การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการด�าเนินงานปราบปราม การทุจริต เป็นต้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 225 (5) ด้านสื่อสารองค์กร การขับเคลื่อนงานสื่อสารเพื่อสร้างกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. เน้นการบูรณาการงานสื่อสารกับทุกภาคส่วนให้สอดคล้องและตอบสนองนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ นโยบายและแผนว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ยุทธศาสตร์ส�านักงาน ป.ป.ช. และยุทธศาสตร์การสื่อสารเพื่อต่อต้านการทุจริต มุ่งไปสู่เป้าหมาย คือ บูรณาการงานสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ถึงผลที่เกิดจากการทุจริต รู้จักแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนร่วม เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และปลุกกระแสสังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต ซึ่งจะส่งผลให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมสุจริตและมีค่า CPI ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีภาวะวิกฤติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 ส�านักงาน ป.ป.ป. โดยส�านักสื่อสารองค์กร ต้องปรับรูปแบบ และสร้างวิถี การท�างานใหม่ (New Normal) ด้านการสื่อสารโดยน�าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับสถานการณ์และมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ การเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาพรวมไปสู่สาธารณชน อย่างต่อเนื่องผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Line Facebook Twitter เป็นต้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารจากภาคีเครือข่ายสื่อมวลชน ทุกแขนงเป็นอย่างดี ดังนั้น วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) จึงไม่ใช่อุปสรรคในการสื่อสาร โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้สื่อสารปลุกกระแสสังคมให้ตื่นตัว ไม่ยอม ไม่ทน ไม่เฉยต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” มีเนื้อหา ดังนี้ (1) ปลูกฝังความคิดพื้นฐานในการต่อต้านการทุจริต เช่น การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และส่วนรวม ให้ความรู้ว่าการโกงคืออะไร บทบาทหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 (10) (2) ส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องและมาตรการต่อต้านการทุจริต โดยยกสถานการณ์การทุจริตที่เกิดขึ้น จากพฤติกรรมจุดเล็ก ๆ ที่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาจนไปถึงการทุจริตเชิงนโยบาย (3) เผยแพร่กระบวนการท�างาน ผลงาน กลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพื่อสร้าง ความไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม (4) สร้างวัฒนธรรมสุจริตในสังคมไทยให้ยั่งยืน โดยปลูกจิตส�านึกความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่นิ่งเฉย หากพบเห็นการทุจริต และส่งเสริมยกย่องคนดี เปิดพื้นที่ให้คนดีมีที่ยืนในสังคมอย่างภาคภูมิใจ โดยมีผลการด�าเนินงานที่ส�าคัญ ดังนี้ 1. ประชาสัมพันธ์ปลุกจิตส�านึกให้สังคมไม่ยอมรับการทุจริต ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 1.1 ด�าเนินการโดยส�านักสื่อสารองค์กร 1.1.1 งานตามภารกิจ เช่น จัดรายการวิทยุ “ป.ป.ช. พบประชาชน” รายการวิทยุชุมชน “ภารกิจพิชิตโกง” และ “ป.ป.ช. จังหวัดขจัดโกง” การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ (Website, Facebook, Twitter, Line, Instagram, Youtube) การบริจาคโลหิต เป็นต้น 1.1.2 งานตามแผนปฏิบัติการฯ เช่น งานวันสถาปนาส�านักงาน ป.ป.ช. ผลิตวารสารสุจริต งานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) การบูรณาการการสื่อสารเพื่อยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต สู่สาธารณะ “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” การเผยแพร่ข่าวเชิงสืบสวนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นต้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 226 1.2 ด�าเนินการโดยส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด การรณรงค์เพื่อสร้างกระแสต่อต้านการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เป็นการบูรณากา ร งานสื่อสารกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริต เช่น การประชาสัมพันธ์ทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ, โทรทัศน์, ผลิตสื่อ Infographic, คลิปต่อต้านการทุจริต, การแถลงข่าว, จัดท�าเว็บไซต์ สื่อออนไลน์ และ กิจกรรมส่งเสริมเครือข่ายพร้อมสนับสนุนข้อมูลและสื่อประชาสัมพันธ์ ที่สามารถน�าไปขยายผลต่อในพื้นที่ได้ เช่น สัมมนาเครือข่ายสื่อมวลชนท้องถิ่น สื่อพื้นบ้าน ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ และเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วม งานสื่อสารตามความเหมาะสมกับบริบทของเครือข่ายในพื้นที่ในการสร้างกระแสสังคมไม่ทนต่อการทุจริต 2. การเสริมสร้างบทบาทเครือข่ายงานสื่อสารร่วมต้านการทุจริต เพื่อให้เกิดพลังการสื่อสารอย่าง เป็นเอกภาพ จึงได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. องค์กร สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานด้านสื่อสารและภาคอุตสาหกรรมบันเทิง รวม 25 หน่วยงาน ในวันที่ 20 สิงหาคม 2563 เพื่อส่งเสริมให้ เครือข่ายทุกภาคส่วนมาร่วมขับเคลื่อนงานสื่อสาร กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงผลที่เกิดจากการทุจริต และสร้าง สังคมที่ไม่มีการทุจริต เช่น การจัดรายการ ป.ป.ช. สื่อสาร ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น 3. การแถลงผลงานและรายงานความคืบหน้าคดีที่ส�าคัญสู่สาธารณชน โดยในปีนี้มีการรักษา ระยะห่าง จึงได้ปรับวิธีการแถลงข่าวมาเป็นแบบแถลงข่าวออนไลน์ ผ่านระบบ ZOOM และเฟซบุ๊ก เป็นต้น เพื่อให้สังคมรับรู้ข่าวสาร อย่างต่อเนื่อง อันเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการท�างาน ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และส�านักงาน ป.ป.ช. 4. การให้บริการข้อมูลส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่ออ�านวยความสะดวกแก่ประชาชนในการติดต่อสอบถาม ให้ค�าแนะน�าเบื้องต้น โดยมีผู้ที่เดินทางมาที่ส�านักงาน ป.ป.ช. และให้บริการข้อมูลผ่านระบบโอเปอเรเตอร์ หมายเลข 02 528 4800 และ Call Center หมายเลข 1205 5. การขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ตามแผนบูรณาการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รัฐบาลมีมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้มีการบูรณาการงานประชาสัมพันธ์ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบร่วมกันระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับส�านักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการรับรู้ข่าวสารการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบโดยเผยแพร่ผ่านสื่อของ กรมประชาสัมพันธ์ ได้แก่ สปอตโทรทัศน์รณรงค์ต่อต้านการทุจริต รายการโทรทัศน์ “กะเทาะเปลือกคอร์รัปชัน” รายการวิทยุบันทึกสถานการณ์ ช่วง “กะเทาะเปลือกคอร์รัปชัน” ละครรณรงค์เพื่อต่อต้านการทุจริต และ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ เป็นต้น 6. การผลิตสื่อรณรงค์ภายใต้การสนับสนุนงานกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (กองทุน ป.ป.ช.) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวัตถุประสงค์ที่ 1 สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบการใช้อ�านาจรัฐ และสนับสนุนภาคเอกชนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือรณรงค์ ในการป้องกันการทุจริตโดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลงานสื่อทั้งสิ้นจ�านวน 14 โครงการ กล่าวโดยสรุปจากการขับเคลื่อนงานสื่อสารเพื่อสร้างกระแสสังคมให้มีความตื่นตัวในการไม่ยอม ไม่ทน ไม่เฉยต่อการทุจริตทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” และ มีการบูรณาการงานสื่อสารร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน จากการด�าเนินงานดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้สังคมเริ่มตระหนัก ถึงผลกระทบจากการทุจริต รู้จักแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม และประชาชนเริ่มตื่นตัวและไม่ทน ต่อการทุจริต จะเห็นได้จากการที่ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังการทุจริตจากการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและการใช้ จ่ายงบประมาณแผ่นดินในพื้นที่จังหวัดของตน เช่น กรณีอาหารกลางวันเด็กนักเรียน การรุกล�้าพื้นที่สาธารณะ โครงการจัดซื้อเสาไฟประติมากรรม เป็นต้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 227 1.2 การบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. ประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ มิติด้าน ประสิทธิผลตามแผนยุทธศาสตร์ มิติด้านคุณภาพของการตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย มิติด้านประสิทธิภาพของ การปฏิบัติราชการ และมิติด้านการพัฒนาองค์กร ตามแผนภาพที่ 1 ดังนี้ แผนภาพที่ 1 : แสดงความเชื่อมโยงกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยค�าอธิบายและการให้น�้าหนักของแต่ละมิติ ตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นดังนี้ มิติ ค�าอธิบาย น�้าหนัก (ร้อยละ) มิติที่ 1 ด้านประสิทธิผลตามแผน ยุทธศาสตร์ แสดงผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ แผนปฏิบัติราชการตามที่ได้รับงบประมาณมาด�าเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 30 มิติที่ 2 ด้านคุณภาพของการตอบสนอง ต่อผู้มีส่วนได้เสีย แสดงผลการปฏิบัติราชการโดยให้ความส�าคัญกับ ผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. 10 มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพของ การปฏิบัติราชการ แสดงความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ในการปฏิบัติราชการ 40 มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์กร แสดงความสามารถในการบริหารจัดการองค์กรและ บุคลากร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติราชการของทุกกลุ่ม ภารกิจ 20 น�้าหนักรวมทุกมิติ 100 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 218 1. 2 การบรรลุเป้าหมายระดับองค์กร กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของสานักงาน ป.ป.ช. ประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ มิติด้าน ประสิทธิผลตามแผนยุทธศาสตร์ มิติด้านคุณภาพของการตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย มิติด้านประสิทธิภาพของ การปฏิบัติราชการ และมิติด้านการพัฒนาองค์กร ตามแผนภาพที่ 1 ดังนี้ แผนภาพที่ 1 : แสดงความเชื่อมโยงกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยคาอธิบายและการให้น้าหนักของแต่ละมิติ ตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ของสานักงาน ป.ป.ช. ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 เป็นดังนี้ มิติ คาอธิบาย นาหนัก (ร้อยละ) มิติที่ 1 ด้านประสิทธิผลตามแผน ยุทธศาสตร์ แสดงผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ แผนปฏิบัติราชการตามที่ได้รับงบประมาณมาดาเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 30 มิติที่ 2 ด้านคุณภาพของการ ตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย แสดงผลการปฏิบัติราชการโดยให้ความสาคัญกับผู้มีส่วน ได้เสียต่อการดำเนินงาน ของสานักงาน ป.ป.ช. 10 มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพของการ ปฏิบัติราชการ แสดงความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในการ ปฏิบัติราชการ 4 0 มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์กร แสดงความสามารถในการบริหารจัดการองค์กรและ บุคลากร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติราชการของทุกกลุ่ม ภารกิจ 20 นาหนักรวมทุกมิติ 100 2 1 3 มิติที่ การพั นาองค์กร มิติที่ 1 ประสิทธิผลตามแผนยุทธศาสตร์ มิติที่ 2 คุณภาพของการตอบสนอง ต อผ ้มีส วน ด้เสีย มิติที่ 3 ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ สำนักงาน ป . ป . ช .
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 228 ความเชื่อมโยงแผนระดับชาติสู่เป้าหมายผลลัพธ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการก�าหนดหลักเกณฑ์ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนภาพที่ 2 : แนวทางการก�าหนดตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการระดับองค์กร การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามค�ารับรองการปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระดับองค์กร เพื่อให้การปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นไปตามหลักการ ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาตรา 45 และเพื่อด�าเนินการให้เป็นไปตาม มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 365-23/2555 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2555 ที่เห็นชอบในหลักการของการประเมินผลการปฏิบัติราชการ โดยให้หน่วยงานหรือองค์กรภายนอกเป็นผู้ประเมิน ผลการปฏิบัติราชการส�านักงาน ป.ป.ช. เฉพาะในระดับองค์กร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 229 ตัวชี้วัดตามค�ารับรองการปฏิบัติราชการของส�านักงาน ป.ป.ช. (ระดับองค์กร) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มุ่งเน้นให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ด�าเนินการได้ตามเป้าประสงค์และพันธกิจส�าคัญหลายประการ ประการแรก คือ ความส�าเร็จในการด�าเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) ประการที่สอง คือ ความส�าเร็จในการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ประการที่สาม คือ ความส�าเร็จในการด�าเนินงานตาม แผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และประการสุดท้าย คือ ความส�าเร็จในการด�าเนินงานตามภารกิจหน้าที่ตามโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการส�านักงาน ป.ป.ช. และแผนงาน/โครงการที่ปรากฏอยู่ในแผนปฏิบัติการและแผนการใช้งบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของส�านักงาน ป.ป.ช. ทั้งนี้ การด�าเนินงานตามเป้าประสงค์และพันธกิจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งไปสู่ผลลัพธ์ในการเพิ่ม ค่าคะแนนดัชนีชี้วัดการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ให้สูงกว่า 50 คะแนน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 และแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ตาม ปัญหา/อุปสรรคส�าคัญที่ผ่านมาของส�านักงาน ป.ป.ช. คือการแปลงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ลงสู่แผนการปฏิบัติประจ�าปีที่สะท้อนถึง ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบตามที่ยุทธศาสตร์ชาติฯ ก�าหนดไว้ ยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถ วัดประสิทธิผลของการด�าเนินงานให้สะท้อนสู่เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ตัวชี้วัดระดับองค์กรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จึงมุ่งเน้นและผลักดันการประเมินการปฏิบัติราชการ ของส�านักงาน ป.ป.ช. ให้ตอบสนองต่อยุทธศาตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ผ่านแผนปฏิบัติการ พ.ศ. 2560 - 2564 ที่มีการจัดท�าโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติฯ คือ “ชุดโครงการสหยุทธ์” ซึ่งมีชุดโครงการที่มีลักษณะการด�าเนินการสนับสนุนระหว่างโครงการด้วยกัน โดยโครงการอาจมาจาก ยุทธศาสตร์เดียวหรือหลายยุทธศาสตร์เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยง และการบูรณาการ ระหว่างโครงการ ให้เกิดการสนับสนุนในทุกประเด็น เพื่อให้เป้าหมายและผลลัพธ์บรรลุตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 รวมทั้ง แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ เพื่อให้เป้าหมายและผลลัพธ์บรรลุเป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน (11. การป้องกันและปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบ) ด้วยเช่นกัน กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ประกอบด้วย 4 มิติ ซึ่งมีน�้าหนักทุกมิติรวมร้อยละ 100 และตัวชี้วัดรวมทั้งสิ้น 9 ตัวชี้วัดหลัก 14 ตัวชี้วัดย่อย และผลการประเมินความก้าวหน้าการปฏิบัติราชการตาม ค�ารับรองการปฏิบัติราชการ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในภาพรวมมีค่าคะแนน 3.7122 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 230 ตัวชี้วัด หน่วยวัด น�้าหนัก (ร้อยละ) ผลการ ด�าเนินการ คะแนน คะแนนถ่วง น�้าหนัก ผลการปฏิบัติราชการตามค�ารับรองการปฏิบัติราชการในภาพรวม 100 3.7122 มิติที่ 1 ด้านประสิทธิผลตามแผนยุทธศาสตร์ 30 3.6965 1. ระดับความส�าเร็จของความร่วมมือการยกระดับดัชนีชี้วัด การรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index - CPI) ระดับ 10 2.66 2.6632 0.2663 2. ระดับความส�าเร็จของการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ แผนงานบูรณาการฯ และแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 20 4.2131 2.1 ระดับความส�าเร็จของการบรรลุเป้าหมายผลลัพธ์ของ โครงการส�าคัญตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 แผนการ ปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ แผนงานบูรณาการฯ และแผนปฏิบัติการ ด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบฯ ร้อยละ (10) 89.03 3.9032 0.3903 2.2 ระดับความส�าเร็จของการบรรลุเป้าหมายผลลัพธ์ตามตัวชี้วัด ของยุทธศาสตร์ชาติฯ ร้อยละ (10) 95.23 4.5231 0.4523 มิติที่ 2 ด้านคุณภาพของการตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย 10 3.4600 3. ระดับความเชื่อมั่นต่อส�านักงาน ป.ป.ช. ร้อยละ 10 77.30 3.4600 0.3460 มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ 40 4.1006 4. ผลิตภาพของการตรวจสอบและไต่สวน 20 5.0000 4.1 การตรวจสอบ เรื่อง (5) 11,292 5.0000 0.2500 4.2 การไต่สวน เรื่อง (15) 6,360 5.0000 0.7500 5. ผลิตภาพของการตรวจสอบทรัพย์สิน 10 1.5420 5.1 การตรวจสอบปกติ บัญชี (4) 16,846 1.1526 0.0461 5.2 การตรวจสอบยืนยัน บัญชี (2) 1,979 1.0000 0.0200 5.3 การตรวจสอบเชิงลึก บัญชี (2) 537 3.2450 0.0649 5.4 การไต่สวนกรณีร�่ารวยผิดปกติ เรื่อง (2) 1.1600 (1) ตรวจสอบ เรื่อง (0.4) 87 1.0000 0.0040 (2) ไต่สวน เรื่อง (1.6) 19 1.2000 0.0192 6. ผลิตภาพของการป้องกันการทุจริต ร้อยละ 10 98.60 4.8603 0.4860 มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์กร 20 3.0852 7. ระดับความส�าเร็จของการบริหารความเสี่ยงองค์กร ระดับ 7 2.63 2.6250 0.1838 8. ระดับการพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานด้านการปราบปราม การทุจริต ระดับ 6 3.66 3.6597 0.2196 9. ระดับการพัฒนาการบริหารงานและการให้บริการของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ผ่านระบบดิจิทัล ระดับ 7 3.05 3.0530 0.2137
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 231 2. ระดับความเชื่อมั่นต่อส�านักงาน ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มอบหมายบริษัท อินโฟเสิร์ช จ�ากัด ให้ส�ารวจความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสีย ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการรับรู้ของผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับ บทบาท หน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. ในการด�าเนินการภารกิจด้านป้องกันการทุจริต ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการตรวจสอบทรัพย์สิน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อประเมิน ระดับความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. และให้ส�านักงาน ป.ป.ช. มีข้อมูลประกอบการวางแผน พัฒนา/ปรับปรุงการด�าเนินงานในภารกิจ ด้านการป้องกันการทุจริต ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการ ตรวจสอบทรัพย์สิน และการพัฒนา/ปรับปรุงงานการประชาสัมพันธ์ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับ ความเป็นจริง จากการส�ารวจผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งหมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่ได้รับผลกระทบ และหรือส่งผลกระทบต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงาน ของส�านักงาน ป.ป.ช. ทางตรง คือ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อหรือสัมผัสกับส�านักงาน ป.ป.ช. และ ผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ทางอ้อม คือ ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อหรือ สัมผัสกับส�านักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบาทหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. อันได้แก่ ประชาชนทั่วไป กลุ่มเยาวชน ประชาชนทั่วไปกลุ่มวัยท�างาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ ภาคเอกชน/นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ ภาคประชาสังคม/ NGOs. สื่อมวลชน และกลุ่มประชาชนจากทุกภาคส่วนที่เคยมาติดต่อกับส�านักงาน ป.ป.ช. หรือมีส่วนร่วม ในภารกิจหลักของส�านักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 1,834 ราย ผลการส�ารวจสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) การติดต่อหรือการเข้าร่วมกิจกรรมกับส�านักงาน ป.ป.ช. : จากกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 1,834 ราย ประมาณร้อยละ 26.1 ระบุว่าเคยติดต่อหรือเข้าร่วมกิจกรรมกับส�านักงาน ป.ป.ช. (ผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงาน ของส�านักงาน ป.ป.ช. ทางตรง) และอีกร้อยละ 73.9 ระบุว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อกับส�านักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบทหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. จากสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ (ผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงาน ของส�านักงาน ป.ป.ช. ทางอ้อม) แผนภาพที่ 1 ประสบการณ์/การเคยติดต่อ หรือร่วมกิจกรรมกับส�านักงาน ป.ป.ช. 2. ระดับความเชื่อมั่นต่อสานักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ได้มอบหมายบริษัท อินโฟเสิร์ช จากัด ใ ห้ สำรวจความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียต่อการ ดาเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการรับรู้ของผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ของสานักงาน ป.ป.ช. ในการดาเนินการภารกิจด้านป้องกันการทุจริต ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการ ตรวจสอบทรั พย์สิน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของสานักงาน ป.ป.ช. เพื่อประเมินระดับความ เชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. และให้สำนักงาน ป.ป.ช. มีข้อมูลประกอบการวางแผน พัฒนา/ ปรับปรุงการดำเนินงานในภารกิจ ด้านการป้องกันการทุจริต ด้านการปราบปรา มการทุจริต ด้านการตรวจสอบ ทรัพย์สิน และการพัฒนา/ปรับปรุงงานการประชาสัมพันธ์ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับความเป็นจริง จากการสำรวจผู้มีส่วนได้เสียต่อการดำเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ซึ่งหมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ ได้รับผลกระทบ และหรือส่งผลกระทบต่อการดำ เนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยผู้มีส่วนได้เสียต่อการ ดำเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ทางตรง คือ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อหรือสัมผัสกับสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้มีส่วนได้เสียต่อการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ทางอ้อม คือ ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อ หรือสั มผัสกับสานักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. อันได้แก่ ประชาชนทั่วไป กลุ่มเยาวชน ประชาชนทั่วไปกลุ่มวัยทางาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ ภาคเอกชน/นักธุรกิจ/ผู้ประกอบการ ภาคประชา สังคม/ NGOs . สื่อมวลชน และกลุ่มประชาชนจากทุกภาคส่วนที่เคยมาติ ดต่อกับสานักงาน ป.ป.ช. หรือมีส่วนร่วม ในภารกิจหลักของสำนักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งสิ้น 1,834 ราย ผลการสารวจสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) การติดต่อหรือการเข้าร่วมกิจกรรมกับสานักงาน ป.ป.ช. : จากกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 1,834 ราย ประมาณร้อยละ 2 6. 1 ระบุว่าเคยติดต่อหรือเข้าร่ วมกิจกรรมกับสานักงาน ป.ป.ช. (ผู้มีส่วนได้เสียต่อการ ดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ทางตรง) และอีกร้อยละ 73 . 9 ระบุว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อกับ สานักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบทหน้าที่ของสานักงาน ป.ป.ช.จากสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ (ผู้มีส่วนได้ เสียต่ อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ทางอ้อม) แผนภาพที่ 1 ประสบการณ์/การเคยติดต่อ หรือร่วมกิจกรรมกับสำนักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 232 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 223 2 ) การรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ของสานักงาน ป.ป.ช.: ประมาณร้อยละ 77. 6 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. ผ่านช่องทางโทรทัศน์ รองลงมาเป็นสื่อสังคม ออนไลน์ จากคาบอกเล่าจากเพื่อน/ญาติ/คนรู้จัก แผ่นพับ/เอกสารเผยแพร่ เว็บไซต์สานักงาน ป.ป.ช. การแถลงข่าว ของสานักงาน ป.ป.ช. ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กลางแจ้ง การจัดกิจกรรม/โครงการ หนังสือพิมพ์/วารสาร/นิตยสาร และวิทยุ ตามลำดับ แผนภาพที่ 2 ช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. 3 ) การรับรู้บทบาท หน้ำที่ การดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช.: ประมาณ 4 ใน 5 ของผู้ตอบ แบบสอบถาม มีการรับรู้การดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ในด้านการปลูกฝังวิธีคิด/สร้างจิต รองลงมาเป็น ภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต และด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ตามลำดับ 4) ความพึงพอใจต่อการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช.: ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถาม มีระดับความพึงพอใจต่อการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3 .79 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) คิดเป็นร้อยละ 75.8 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “ พึงพอใจค่อนข้างมาก ” เมื่อพิจารณาจาแน กตามกลุ่มเป้าหมาย พบว่า กลุ่มสื่อมวลชน มีความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. สูงที่สุด (3.89 คะแนน)) รองลงมาคือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ (3.82 คะแนน) และกลุ่มประชาชนวัยทางาน (3.81 คะแนน) ส่วนกลุ่มที่มี ความพึงพอใจต่ำที่สุด คือ กลุ่มภาคประชาสัง คม/NGOs (3.52 คะแนน) แผนภาพที่ 3 ระดับความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 223 2 ) การรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ของสานักงาน ป.ป.ช.: ประมาณร้อยละ 77.6 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสานักงาน ป.ป.ช. ผ่านช่องทางโทรทัศน์ รองลงมาเป็นสื่อสังคม ออนไลน์ จากคาบอกเล่าจากเพื่อน/ญาติ/คนรู้จัก แผ่นพับ/เอกสารเผยแพร่ เว็บไซต์สานักงาน ป.ป.ช. การแถลงข่าว ของสำนักงาน ป.ป.ช. ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กลางแจ้ง การจัดกิจกรรม/โครงการ หนังสือพิมพ์/วารสาร/นิตยสาร และวิทยุ ตามลำดับ แผนภาพที่ 2 ช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. 3 ) การรับรู้บทบาท หน้ำที่ การดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช.: ประมาณ 4 ใน 5 ของผู้ตอบ แบบสอบถาม มีการรับรู้การดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ในด้านการปลูกฝังวิธีคิด/สร้างจิต รองลงมาเป็น ภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต และด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ตามลำดับ 4) ความพึงพอใจต่อการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช.: ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถาม มีระดับความพึงพอใจต่อการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3 .79 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) คิดเป็นร้อยละ 75.8 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “ พึงพอใจค่อนข้างมาก ” เมื่อพิจารณาจาแน กตามกลุ่มเป้าหมาย พบว่า กลุ่มสื่อมวลชน มีความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. สูงที่สุด (3.89 คะแนน)) รองลงมาคือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ (3.82 คะแนน) และกลุ่มประชาชนวัยทางาน (3.81 คะแนน) ส่วนกลุ่มที่มี ความพึงพอใจต่ำที่สุด คือ กลุ่มภาคประชาสัง คม/NGOs (3.52 คะแนน) แผนภาพที่ 3 ระดับความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. 2) การรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ของส�านักงาน ป.ป.ช. : ประมาณร้อยละ 77.6 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของส�านักงาน ป.ป.ช. ผ่านช่องทางโทรทัศน์ รองลงมาเป็น สื่อสังคมออนไลน์ จากค�าบอกเล่าจากเพื่อน/ญาติ/คนรู้จัก แผ่นพับ/เอกสารเผยแพร่ เว็บไซต์ส�านักงาน ป.ป.ช. การแถลงข่าวของส�านักงาน ป.ป.ช. ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กลางแจ้ง การจัดกิจกรรม/โครงการ หนังสือพิมพ์/ วารสาร/นิตยสาร และวิทยุ ตามล�าดับ แผนภาพที่ 2 ช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารของส�านักงาน ป.ป.ช. 3) การรับรู้บทบาท หน้าที่ การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. : ประมาณ 4 ใน 5 ของผู้ตอบ แบบสอบถามมีการรับรู้การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในด้านการปลูกฝังวิธีคิด/สร้างจิตส�านึก รองลงมา เป็นภารกิจด้านปราบปรามการทุจริต และด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ตามล�าดับ 4) ความพึงพอใจต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. : ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถาม มีระดับ ความพึงพอใจต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.79 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) คิดเป็นร้อยละ 75.8 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “พึงพอใจค่อนข้างมาก” เมื่อพิจารณาจ�าแนกตามกลุ่มเป้าหมาย พบว่า กลุ่มสื่อมวลชน มีความพึงพอใจโดยรวมต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. สูงที่สุด (3.89 คะแนน) รองลงมาคือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ (3.82 คะแนน) และกลุ่มประชาชนวัยท�างาน (3.81 คะแนน) ส่วนกลุ่ม ที่มีความพึงพอใจต�่าที่สุด คือ กลุ่มภาคประชาสังคม/NGOs (3.52 คะแนน) แผนภาพที่ 3 ระดับความพึงพอใจโดยรวมต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช.
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 233 5) ความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. : ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถาม มีระดับ ความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.86 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.3 อยู่ในระดับ “เชื่อมั่นค่อนข้างมาก” โดยมีความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานด้านการปลูกฝัง วิธีคิด/สร้างจิตส�านึกมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 3.90 คะแนน รองลงมาเป็นด้านป้องกันการทุจริต (เฉลี่ยอยู่ที่ 3.88 คะแนน) ส่วนด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อ ประชาสัมพันธ์ของส�านักงาน ป.ป.ช. มีระดับคะแนนความเชื่อมั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 3.85 คะแนนเท่ากัน แผนภาพที่ 4 ระดับความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เมื่อเปรียบเทียบผลส�ารวจความเชื่อมั่นในภาพรวมของผู้มีส่วนได้เสียต่อการด�าเนินงานของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับผลส�ารวจฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรากฏว่า ระดับความเชื่อมั่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ร้อยละ 77.3) ซึ่งสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ร้อยละ 66.6) ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญกับการยกระดับความเชื่อมั่น ด้วยการด�าเนินการของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในแต่ละภารกิจเชิงรุกมากขึ้น ประกอบการในการส�ารวจความเชื่อมั่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้มีการจ�าแนกข้อมูลผู้ตอบแบบส�ารวจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจ�าแนกผลการส�ารวจออกเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์ ในการติดต่อหรือสัมผัสกับส�านักงาน ป.ป.ช. และผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อหรือสัมผัสกับ ส�านักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบาทหน้าที่ของส�านักงาน ป.ป.ช. โดยท้ายสุดจะมีการด�าเนินการยกระดับ การสร้างความเชื่อมั่นด้วยการจัดท�าแผนการยกระดับแยกตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. คาดว่าหากสามารถด�าเนินการตามแผนการยกระดับความเชื่อมั่นได้ตามที่ก�าหนดไว้จะส่งผลให้ค่าความเชื่อมั่น มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น โดยจ�าแนกการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในแต่ละภารกิจ ดังนี้ 1. ภารกิจการปราบปรามการทุจริต : พบว่า มีการด�าเนินคดีที่รวดเร็วขึ้น และมีผลงานออกสู่สังคม ที่มากขึ้น โดยเห็นได้จากจ�านวนเรื่องไต่สวนที่ด�าเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีการด�าเนินการ แล้วเสร็จ จ�านวน 726 เรื่อง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ได้ด�าเนินการแล้วเสร็จ จ�านวน 420 เรื่อง 2. ภารกิจป้องกันการทุจริต : มีการขยายกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น มีการขยายสมาชิกชมรม เครือข่าย STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต 3. ภารกิจด้านการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร : ส�านักงาน ป.ป.ช. มีการเผยแพร่และ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ส�านักงาน ป.ป.ช. ผลการด�าเนินงานในภารกิจต่าง ๆ มากขึ้น รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 224 5 ) ความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช.: ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถาม มีระดับความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3. 86 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77 . 3 อยู่ในระดับ “ เชื่อมั่นค่อนข้างมาก ” โดยมีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานด้านการปลูกฝัง วิธีคิด/สร้างจิตสานึกมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 3. 90 คะแนน รองลงมาเป็นด้านป้องกันการทุจริต (เฉลี่ยอยู่ที่ 3. 88 คะแนน) ส่วนด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านการให้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อ ประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ป.ป.ช. มีระดับคะแนนความเชื่อมั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 3. 85 คะแนนเท่ากัน แผนภาพที่ 4 ระดับ ความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสานักงาน ป .ป.ช. เมื่อเปรียบเทียบผลสารวจความเชื่อมั่นในภาพรวมของผู้มีส่วนได้เสียต่อการดาเนินงานของ สานักงาน ป.ป.ช. ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับผลสำรวจฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ปรากฏว่า ระดับ ความเชื่อมั่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ร้อยละ 77 . 3 ) ซึ่งสูงกว่าปี งบประมาณ พ.ศ. 2563 (ร้อยละ 66 . 6 ) ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับความเชื่อมั่น ด้วยการดำเนินการของ สำนักงาน ป.ป.ช. ในแต่ละภารกิจเชิงรุกมากขึ้น ประกอบการในการสารวจความเชื่อมั่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ มีการจาแนกข้อมูลผู้ตอบแบบสารวจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจาแนกผลการสารวจออกเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์ ในการติดต่อหรือสัมผัสกับสานักงาน ป.ป.ช. แล ะผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อหรือสัมผัสกับสานักงาน ป.ป.ช. แต่มีการรับรู้/รู้จักบทบาทหน้าที่ของสานักงาน ป.ป.ช โดยท้ายสุดจะมีการดาเนินการยกระดับการสร้างความเชื่อมั่น ด้วยการจัดทาแผนการยกระดับแยกตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งสานักงาน ป.ป.ช. คาด ว่าหากสามารถ ดาเนินการตามแผนการยกระดับความเชื่อมั่นได้ตามที่กาหนดไว้จะส่งผลให้ค่าความเชื่อมันมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น โดยจำแนกการดาเนินงานของสานักงาน ป.ป.ช. ในแต่ละภารกิจ ดังนี้ 1. ภารกิจการปราบปรามการทุจริต: พบว่า มีการดาเนินคดีที่รวดเร็วขึ้น และมีผลงานออก สู่สังคมที่มากขึ้น โดยเห็นได้จากจานวนเรื่องไต่สวนที่ดาเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 1 มีการ ดาเนินการแล้วเสร็จจานวน 726 เรื่อง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ได้ดาเนินการแล้วเสร็จจานวน 420 เรื่อง 2. ภารกิจป้องกันการทุ จริต: มีการการขยายกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น มีการขยาย สมาชิกชมรมเครือข่าย STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต 1 สานักงาน ป.ป.ช. ( 2563 ).สถานการณ์การทุจริตประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 . หน้า 61 - 62 .
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 234 ในหลายช่องทางด้วยกัน ท�าให้กลุ่มเป้าหมายที่ท�าการส�ารวจได้รับข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางกลุ่มไลน์ของชมรม และบางส่วนได้รับจากคนใกล้ชิดที่อยู่ในชมรมผ่านทางไลน์ส่วนตัว ท�าให้รับรู้ เข้าใจอ�านาจหน้าที่ของ ส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น แผนภาพที่ 5 เปรียบเทียบระดับความเชื่อมั่นต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 หมายเหตุ : ปี 2562 ข้อมูลจาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปี 2563-2564 ข้อมูลจาก ส�านักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. 6) ภาพลักษณ์ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. : ในภาพรวมผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่า มีระดับ ความคิดเห็นต่อภาพลักษณ์ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.91 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.2 อยู่ในระดับ “ภาพลักษณ์ดี” โดยประชาชนเห็นว่าส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กร ที่น่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์ และมีความเสมอภาค/ไม่เลือกปฏิบัติ เฉลี่ยอยู่ที่ 3.95 - 4.03 คะแนน อยู่ในระดับ “ภาพลักษณ์ดี” ข้อเสนอแนะจากการส�ารวจ ส�าหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการส�ารวจ เพื่อเป็นการยกระดับความมั่นใจ และความเชื่อมั่นของทุกภาคส่วน ต่อการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ด้วยความซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ อย่างเต็มที่ ส�านักงาน ป.ป.ช. ควรมีการด�าเนินการตามภารกิจ ดังนี้ 1. ด้านป้องกันการทุจริต/การปลูกฝังวิธีคิด/สร้างจิตส�านึก : ควรส่งเสริมให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วม ในการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือเป็นพยาน และมีสิทธิรับเงินรางวัล ควรขยายกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน โดยจัดให้มีอาสาพัฒนาในการเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสในทุกพื้นที่ และการท�างานด้านการต่อต้านการทุจริต (Anti-Corruption) จ�าเป็นต้องท�างานร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกี่ยวกับการ ไม่ให้-ไม่รับสินบน และต้องท�างานร่วมกันทั้งองคาพยพ 2. ด้านปราบปรามการทุจริต : ด้านขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ควรปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว ให้มีการลดขั้นตอนการด�าเนินงาน แต่ยังคงมีขั้นตอนการท�างานที่ชัดเจน มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 225 3. ภารกิจด้านการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร: สำนักงาน ป.ป.ช. มีการเผยแพร่และ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่สานักงาน ป.ป.ช. ผลการดาเนินงา นในภารกิจต่าง ๆ มากขึ้น ในหลายช่องทางด้วยกัน ทาให้กลุ่มเป้าหมายที่ทาการสำรวจได้รับข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางกลุ่มไลน์ของชมรม และบางส่วนได้รับจากคนใกล้ชิดที่อยู่ในชมรมผ่านทางไลน์ส่วนตัว ทำให้รับรู้ เข้าใจอำนาจ หน้าที่ของ สำนักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น แผนภาพที่ 6 เปรียบเทียบระดับความเชื่อมั่นต่อการดาเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 หมายเหตุ: ปี 2562 ข้อมูล จาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย ปี 2563 -2564 ข้อมูล จาก สำนักวิจัยและบริการวิชาการด้านการป้องกันการทุจริต สานักงาน ป.ป.ช. 6 ) ภาพลักษณ์ต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช.: ในภาพรวมผู้มีส่วนได้เสียเห็นว่า มีระดับความคิดเห็นต่อภาพลักษณ์ ต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. เฉลี่ยอยู่ที่ 3.91 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78 .2 อยู่ในระดับ “ ภาพลักษณ์ดี ” โดย ประชาชนเห็นว่าสานักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์ และมีความเสมอภาค/ไม่เลือกปฏิบัติ เฉลี่ยอยู่ที่ 3.95 -4 .03 คะแนน อยู่ใน ระดับ “ ภาพลักษณ์ดี ” ข้อเสนอแนะจากการสำรวจ สำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการสารวจ เพื่อเป็นยกระดับความมั่นใจ และความเชื่อมั่นของทุกภาค ส่วนต่อการดาเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ด้วยความซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ อย่างเต็มที่ สานักงาน ป.ป.ช. ควรมีการดำเนินการตามภารกิจ ดังนี้ 1 . ด้านป้องกันการทุจริต/การปลูกฝังวิธีคิด/สร้างจิตสานึก: ควรส่งเสริมให้ประชาชนสามารถมี ส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือเป็นพยาน และมีสิทธิรับเงินรางวัล ควรขยายกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน โดยจัดให้มีอาสาพัฒนาในการเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสในทุกพื้นที่ และการทางานด้านการต่อต้านการ ทุจริต (Anti -Corruption ) จาเป็นต้อ งทางานร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกี่ยวกับการ ไม่ให้ - ไม่รับสินบน และต้องทำงานร่วมกันทั้งองคาพยพ 2 . ด้านปราบปรามการทุจริต: ด้านขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ควรปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว ให้มีการลดขั้นตอนการดาเนินงาน แต่ยังคงมีขั้นตอนการทางานที่ ชัดเจน มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ ในทุกเรื่องที่สามารถเปิดเผยได้ ผ่านช่องทางสื่อสารที่หลากหลาย และควรมีการปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา/ เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ควรให้ความสำคัญกับการคุ้มครองพยานหรือการดูแลผู้แจ้งเบาะแส ค่าเฉลี่ย (คะแนน) ปี 2562 ปี 2563 ปี 2564 3 . 29 3 . 33 3 . 86 65 . 8 % 77 . 3 % 66 . 6 %
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 235 ในทุกเรื่องที่สามารถเปิดเผยได้ ผ่านช่องทางสื่อสารที่หลากหลาย และควรมีการปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา/ เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ควรให้ความส�าคัญกับการคุ้มครองพยานหรือการดูแลผู้แจ้งเบาะแส 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน : ควรพัฒนาระบบในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน โดยเฉพาะกรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีหรือจงใจยื่นเท็จ ปกปิด ให้สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากแหล่งอื่นในการตรวจสอบ ข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินได้อย่างเป็นระบบ 4. ด้านการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร : ควรเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับประชาชนทุกกลุ่ม ทุกระดั บ ให้หลากหลาย ทั้งการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารในพื้นที่ระดับชุมชน และพัฒนาระบบ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่/ภารกิจ และผลงานของส�านักงาน ป.ป.ช. การด�าเนินคดี/การแจ้งผลการชี้มูลความผิด การไต่สวน/ฟ้องร้อง ตลอดจนความคืบหน้าของคดีใหญ่ ๆ ที่อยู่ใน ความสนใจของประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีและประชาชน ได้รับรู้ รวมทั้งควรก�าหนดวันเวลาการแถลงข่าวที่แน่นอน เพื่อให้สื่อมวลชนหรือสื่อต่าง ๆ มีตารางเวลารับข่าว/ เผยแพร่ข่าวที่แน่นอน โดยส�านักงาน ป.ป.ช. อาจก�าหนดให้มีการแถลงข่าวเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง เพื่อลดความผิดพลาดหากให้นักข่าวพิมพ์เนื้อข่าวเอง ซึ่งจะส่งผลให้มีส�านักข่าวที่เข้าถึงชาวบ้านได้ในวงกว้าง เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ เป็นต้น มาให้ความสนใจเพิ่มขึ้น
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 236 3. สัมฤทธิผลของการด�าเนินงาน 3.1 การด�าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันกับภาคีและพันธสัญญาต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ประเทศไทยและทั่วโลกต่างเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา (COVID-19) ส่งผลให้หลายประเทศใช้มาตรการปิดประเทศ (lockdown) เพื่อลดการแพร่ระบาด รวมถึง ออกมาตรการห้ามการเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ และห้ามบางประเทศเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งประเทศไทย ก็มีการใช้มาตรการดังกล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดและการออกมาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบ โดยตรงต่อการปฏิบัติงานในภารกิจด้านการต่างประเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. จึงได้ด�าเนินการปรับเปลี่ยน รูปแบบการท�างานเป็นการติดต่อประสานงานหรือการเข้าร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล (VDO Conference) โดยมีผลการด�าเนินการและการติดต่อประสานงานในด้านต่าง ๆ ดังนี้ การประสานงานและการด�าเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ คดีทุจริตระหว่างประเทศเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง การกระท�าความผิดมีความซับซ้อน และมักมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปยังประเทศต่าง ๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรหลักของประเทศไทยในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเป็นหน่วยงานกลาง ในการด�าเนินการเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศตามพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศในการต่อต้าน การทุจริต ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ก�าหนด ได้มีการบูรณาการการท�างานร่วมกับหน่วยงานภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลางตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และส�านักงาน ปปง. ในฐานะหน่วยข่าวกรองทางการเงินของประเทศไทย เพื่อรวบรวมพยาน หลักฐานส�าคัญจากต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของต่างประเทศ และมุ่งมั่นในการขยาย เครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 (United Nations Convention Against Corruption : UNCAC) ประเทศไทยในฐานะรัฐสภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) มีพันธกรณีในการด�าเนินการตามกลไก การประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ โดยข้อบทที่ 63 วรรค 4(จ) ได้ก�าหนดให้รัฐภาคีประเมินติดตาม การปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ระหว่างกัน โดยด�าเนินการอย่างเป็นระยะ และเน้นการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ โดยปัจจุบันการด�าเนินการประเมินดังกล่าวอยู่ในรอบการประเมินที่ 2 (พ.ศ. 2559 - 2564) ซึ่งจะประเมินติดตาม การปฏิบัติตามหมวดที่ 2 เรื่องมาตรการป้องกันการทุจริต และหมวดที่ 5 เรื่องการติดตามทรัพย์สินคืน และประเทศไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกลไกการประเมินในฐานะรัฐผู้ถูกประเมินโดยมีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 237 และราชอาณาจักรภูฏานเป็นรัฐผู้ประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ของประเทศไทย และมีฐานะรัฐ ผู้ประเมิน โดยเป็นการประเมินการปฏิบัติตามอนุสัญญา UNCAC ของราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐ เอกวาดอร์ ส�านักงาน ป.ป.ช. ยังคงด�าเนินการอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ประสานงาน (focal point) ของประเทศไทย ในฐานะรัฐภาคี ในการให้ความเห็นทางกฎหมายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการด�าเนินการของประเทศไทยในการ ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ทั้งสองหมวดดังกล่าว ดังนี้ (1) ตามที่สหประชาชาติได้ก�าหนดให้มีการประชุมสมัยพิเศษของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านการทุจริต (Special Session of the General Assembly against Corruption : UNGASS) ระหว่างวันที่ 2 – 4 มิถุนายน 2564 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยพลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในระบบทางไกล ซึ่งมี การรับรองร่างปฏิญญาทางการเมือง (political declaration) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงแนวทางร่วมกันของรัฐภาคีในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ทั้งในหมวดหมู่มาตรการ ป้องกันการทุจริต (Preventive measures) การติดตามทรัพย์สินคืน (Asset recovery) นั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการประสานกับหน่วยงานของไทยซึ่งมีภารกิจเกี่ยวข้องกับประเด็นตามร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว จ�านวน 41 หน่วยงาน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเนื้อความร่างปฏิญญาฯ และขออนุเคราะห์ความเห็น เพื่อท�าการรวบรวม และวิเคราะห์ เพื่อน�ามาประกอบการจัดท�าท่าทีของไทยในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว น�าไปสู่การได้มีข้อเสนอ ประเด็นการปฏิเสธการให้ที่พักพิง (safe haven) แก่ผู้กระท�าความผิดในคดีทุจริต และการด�าเนินการเพื่อไม่ให้ นโยบายส่งเสริมการท�าธุรกิจ การลงทุนและการเข้าเมือง (business, investment and immigration policies) ถูกใช้ประโยชน์โดยผู้กระท�าความผิดในคดีทุจริต ซึ่งที่ประชุม UNGASS ได้รับรองประเด็นดังกล่าวในปฏิญญา ทางการเมืองแล้ว (2) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อกฎหมายและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ�านวน 3 หน่วยงาน ได้แก่ ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ส�านักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และส�านักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในการน�าส่งข้อมูลไปยังส�านักงาน UNODC เกี่ยวกับข้อริเริ่มและแนวปฏิบัติของรัฐภาคีในประเด็นการอนุวัติการ ตามพันธกรณีในหมวดที่ 2 (มาตรการป้องกัน) ของอนุสัญญา UNCAC เกี่ยวกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพ ขององค์กรตรวจเงินแผ่นดินบทบาทของรัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติ ในการป้องกันการทุจริตในมิติของการด�าเนิน มาตรการที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการจัดการการคลังของรัฐโดยสอดคล้องกับ หลักการพื้นฐานของระบบกฎหมายภายในของประเทศไทย (3) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อกฎหมายและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อน�าส่งข้อมูลไปยัง ส�านักงาน UNODC เกี่ยวกับประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อส�านักงาน UNODC ใช้ประโยชน์ในงานวิจัยและรายงาน ต่อที่ประชุม คณะท�างานว่าด้วยการป้องกันการทุจริต (Open-ended Intergovernmental Working Group on Prevention of Corruption) โดยส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ประสานหน่วยงานภายนอกที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง ในหัวข้อต่าง ๆ ในแบบสอบถามดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความถูกต้องรวมถึงตอบแบบสอบถาม และให้ข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมเอกสารประกอบ ตามประเด็นที่เกี่ยวกับอ�านาจหน้าที่และการด�าเนินการของหน่วยงานภายนอก จ�านวน 11 หน่วยงาน อาทิ ส�านักงาน ปปง. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมศุลกากร ฯลฯ นอกจากการด�าเนินการในฐานะรัฐผู้ประเมินดังกล่าวแล้ว ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มอบหมายผู้แทน เข้าร่วมประชุมภายใต้กรอบการประชุมของอนุสัญญา UNCAC และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การประชุมสมัยต่อเนื่องของการประชุมกลุ่มทบทวนการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้าน
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 238 การทุจริต สมัยที่ 12 (The Resumed 12 th Session of the Implementation Review Group of UNCAC) การประชุมคณะท�างานระหว่างรัฐว่าด้วยการติดตามทรัพย์สินคืน สมัยที่ 15 (The 15 th Session of the Open-ended Intergovernmental Working Group on Asset Recovery) และการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างรัฐว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศสมัยที่ 10 (The 10 th Session of the Open-ended Expert Meeting to Enhance International Cooperation) ซึ่งการประชุมในกรอบอนุสัญญา UNCAC ดังกล่าวนี้ มีสารัตถะเกี่ยวกับภาพรวมของกระบวนการติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญา UNCAC เพื่อพิจารณาอุปสรรคและ แนวปฏิบัติที่ดีในการด�าเนินการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการอนุวัติการตามอนุสัญญาฯ ตลอดจน การรายงานผลลัพธ์และความคืบหน้าของการด�าเนินการภายใต้กลไกการประเมินติดตามการปฏิบัติตาม อนุสัญญาฯ และร่วมกันวิเคราะห์แง่มุมเชิงปฏิบัติการของการติดตามทรัพย์สินคืนและการด�าเนินความร่วมมือ ระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้อ�านาจหน้าที่ในการต่อต้านการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการด�าเนินการหลายส่วน ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะในการน�ากลไกการประเมินตามอนุสัญญาฯ UNCAC มาปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปรับปรุงกลไกความรับผิดทางสังคมและระบบการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม (ตามมาตรา 13 ของอนุสัญญา UNCAC) ในการจัดการปัญหาคอร์รัปชัน เช่น จัดตั้งชมรม STRONG ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ในการรายงานและแจ้งเบาะแสข้อมูลการทุจริต (Watch and Voice) และน�าไปสู่ฐานข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเพื่อก�าหนดลงในแผนที่ทุกอ�าเภอทั่วประเทศ ผ่านโครงการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk mapping Project) ตลอดจนการจัดท�าคู่มือ แนวทางการก�าหนดมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมส�าหรับ นิติบุคคล เพื่อเป็นการเผยแพร่และให้ความรู้ ตลอดจนเพื่อป้องกันปัญหาการรับสินบนในภาคเอกชนและเพื่อขับเคลื่อน มาตรา 176 ตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อย่างเป็นรูปธรรม การประชุมระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับทวิภาคี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ท�าให้การประชุมระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ต่างก็ให้ส�าคัญกับ การแก้ไขปัญหาการทุจริตในช่วงดังกล่าว โดยได้มีการจัดประชุมเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคีเกี่ยวกับการป้องกันและมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงการ แพร่ระบาด ในการนี้ ผู้แทนส�านักงาน ป.ป.ช. ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศทั้งระดับ ภูมิภาคและระดับทวิภาคี ได้เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลตามวาระต่าง ๆ ของการประชุม ระหว่าง ประเทศ โดยได้น�าเสนอการจัดท�ารายงานการศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการทุจริตท่ามกลางวิกฤติ โควิด-19 และเสนอแนวทางการแก้ปัญหารวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตาม พระราชก�าหนดการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมยกตัวอย่างการด�าเนินคดี ตามข้อร้องเรียนการทุจริต โดยการประชุมดังกล่าวประกอบด้วย การประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “การตอบโต้ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการเปิด ภาคเศรษฐกิจอีกครั้งผ่านหุ้นส่วนความร่วมมือสายแถบและเส้นทาง” ในรูปแบบทางไกล เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ในรูปแบบทางไกล จัดขึ้นโดยคณะกรรมการตรวจตราแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (The National Commission of Supervision of the People’s Republic of China)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 239 การประชุมต่อต้านการทุจริตในเอเชียแปซิฟิค (24 th Steering Group Meeting of the Anti-Corruption Initiative for Asia-Pacific) ในรูปแบบทางไกล เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 การประชุม APEC Network on Anti-Corruption Authorities and Law Enforcement Agencies : ACT-NET) ครั้งที่ 8 ในรูปแบบทางไกล เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมประจ�าปีของคณะท�างานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการทุจริตและความโปร่งใส ในกรอบเอเปค (APEC ACTWC) ครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมประจ�าปีของคณะท�างานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการทุจริตและความโปร่งใส ในกรอบ APEC (APEC ACTWG) ครั้งที่ 33 ในรูปแบบทางไกล เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ส�าหรับการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีความเติบโตสูงสุดของโลก และมุ่งส่งเสริม การค้าการลงทุนและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ ในปี 2565 ประเทศไทย มีก�าหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยการประชุมแบ่งเป็นหลายระดับ ได้แก่ ระดับผู้น�า ระดับรัฐมนตรี ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค และคณะท�างานกว่า 100 การประชุม ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. รับผิดชอบ การประชุม คณะท�างานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการทุจริตและความโปร่งใสในกรอบเอเปค (ACTWG) เพื่อรายงาน ความคืบหน้าในการด�าเนินการต่อต้านการทุจริตของแต่ละเขตเศรษฐกิจ หารือในประเด็นการทุจริตที่ก�าลังเกิดขึ้น หรือเป็นที่จับตามองของโลก และ การประชุมเครือข่ายหน่วยงานต่อต้านการทุจริตและบังคับใช้กฎหมายภายใต้ กรอบความร่วมมือเอเปค (ACT-NET) ทั้งนี้ ในการประชุมคณะท�างานฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้กล่าวรับมอบต�าแหน่งประธานการประชุม คณะท�างานฯ และการประชุมเครือข่ายฯ และได้รายงานแผนการเป็นเจ้าภาพของการประชุมเอเปคของไทยในปี 2565 ผ่านการประชุมในระบบทางไกล โดยรายงานความคืบหน้าโครงการภายใต้ความรับผิดชอบ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อการต่อต้านการทุจริต (Workshop on Technology for Transparency : Digital Disruption to Corruption) ซึ่งมีก�าหนดจัดขึ้นในช่วงการประชุม เจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 1 (Senior Officials Meeting : SOM1) กุมภาพันธ์ 2565 และโครงการจัดการ อภิปรายในหัวข้อ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสื่อในการต่อต้านการทุจริต (Panel Discussion on Empowering the Media’s Inclusion in the Fight Against Corruption) ในช่วงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 3 (Senior Officials Meeting : SOM3) สิงหาคม 2565 ส�าหรับการประชุมระดับภูมิภาคภายใต้กรอบความร่วมมือหน่วยงานต่อต้านการทุจริต ในภูมิภาค อาเซียน (ASEAN-PAC) ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคโดยก�าหนดจัดการประชุมปีละ 2 ครั้ง ประกอบด้วย การประชุมประจ�าปีของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-PAC Principle Meeting) และการประชุมฝ่ายเลขานุการของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-PAC Secretariat Meeting) โดยแต่ละปีประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพตามล�าดับตัวอักษร โดยในปี ที่ผ่านมาส�านักงาน ป.ป.ช. ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมจ�านวนสองครั้ง ได้แก่ การประชุมประจ�าปีของหน่วยงาน ต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 15 (15 th ASEAN-PAC Principle Meeting) เมื่อเดือนตุลาคม 2562 และการประชุมฝ่ายเลขานุการของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 16 (The Visual 16 th ASEAN-PAC Meeting) เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ในการนี้ ในระหว่างการประชุมฝ่ายเลขานุการฯ ครั้งที่ 16 ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้กล่าวขอบคุณประเทศสมาชิกที่ได้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส�าหรับการเป็นเจ้าภาพ ASEAN-PAC ในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมทั้งสองครั้งได้ส�าเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมกันนี้ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งมอบความเป็นเจ้าภาพ (Chairmanship) และหน้าที่เลขานุการการประชุม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 240 ASEAN-PAC ให้แก่องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ และ ในการประชุมครั้งนี้ ผู้แทนส�านักงาน ป.ป.ช. ได้น�าเสนอรายงานสรุปผลการด�าเนินการต่าง ๆ ของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมต่อประเทศสมาชิก ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ประเทศเวียดนาม โดยองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งสาธารณรัฐ สังคมนิยมเวียดนามในฐานะเจ้าภาพ ASEAN-PAC ถัดจากประเทศไทย ได้จัดการประชุมฝ่ายเลขานุการของ หน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 17 (17 th Secretariat Meeting of the AEAN-PAC Parties against Corruption : ASEAN-PAC) ในรูปแบบการประชุมทางไกล ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือและพิจารณา เนื้อหาของเอกสารส�าคัญของกลุ่ม ASEAN-PAC คือบันทึกความเข้าใจระหว่างกันของหน่วยงานต่อต้านการทุจริต ในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ (ASEAN-PAC MoU) ซึ่งเอกสารส�าคัญดังกล่าวได้ถูกด�าเนินการแก้ไขในส่วนที่ เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อกลุ่มจากความร่วมมือ SEA-PAC เป็น ASEAN-PAC และแก้ไขข้อมูลที่ เกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงการปรับแก้และเพิ่มเติมเนื้อความของบันทึกความเข้าใจให้มีความสมบูรณ์ และมีความเป็นสากลมากขึ้น ปัจจุบันส�านักงาน ป.ป.ช. โดยส�านักกิจการและคดีทุจริตระหว่างประเทศอยู่ระหว่า ง การพิจารณาร่าง MoU ฉบับร่างสุดท้ายก่อนที่จะมีการรับรองร่างดังกล่าวในการประชุมประจ�าปีครั้งถัดไป ซึ่งจะมีก�าหนดจัดขึ้น ณ ประเทศบูรไน ในฐานะประเทศเจ้าภาพต่อจากประเทศเวียดนาม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 241 3.2 การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ในภารกิจปฏิบัติการในพื้นที่ ส�านักงาน ป.ป.ช. ในภารกิจปฏิบัติการในพื้นที่มีผลสัมฤทธิ์ในการด�าเนินงาน โดยใช้กลไก การบริหารงาน ดังนี้ 1. กลไกการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักการแบ่งอ�านาจ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญกับการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักการแบ่งอ�านาจ โดยมอบนโยบายให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการในสังกัดส�านักงาน ป.ป.ช. ก�าหนดให้มีส่วนปฏิบัติการในพื้นที่ ประกอบด้วย ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด จ�านวน 76 แห่ง และส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 - 9 รวมจ�านวน 85 แห่ง และมีการกระจายอ�านาจบางอย่างให้ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ไปปฏิบัติ รวมทั้งใช้กลไกส�าคัญในการถ่ายทอดและแปลงนโยบายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และส�านักงาน ป.ป.ช. ไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ส่วนภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนการด�าเนินการตามแผนปฏิบัติการและแผนการใช้งบประมาณ รายจ่ายประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระดับส�านัก/ระดับจังหวัด พร้อมให้มีการก�ากับติดตามเพื่อให้งานบรรลุ เป้าหมายตามตัวชี้วัดตามค�ารับรองการปฏิบัติราชการ แยกตามภารกิจได้ ดังนี้ งานปราบปรามการทุจริต กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ด้านการปราบปรามการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีหน้าที่และอ�านาจหลักในการรับเรื่องกล่าวหาภายในเขตจังหวัดที่รับผิดชอบด�าเนินการ ตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งตามแผนปฏิบัติการฯ ก�าหนดเป้าหมายงานตรวจสอบเบื้องต้นของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด (ทั้งปี) รวมจ�านวน 2,139 เรื่อง มีเรื่องตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเสร็จในภาพรวม จ�านวน 2,851 เรื่อง เกินกว่าเป้าหมายที่ก�าหนดเนื่องจากกลุ่มภารกิจปฏิบัติการในพื้นที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท้องที่เกิดเหตุ รับเรื่องกล่าวหาภายในเขตแต่ละจังหวัด ย่อมท�าให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถด�าเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง และการเข้าถึงพยานหลักฐานได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติมอบหมายให้กรรมการ ป.ป.ช. ก�ากับดูแลส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีอ�านาจในการพิจารณากลั่นกรองเรื่องตรวจสอบ เบื้องต้นโดยผ่านกระบวนการของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหาแต่ละพื้นที่/ภาค ก่อนน�าเสนอ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงท�าให้การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้งาน ตรวจสอบเบื้องต้นมีผลสัมฤทธิ์ในภาพรวมสูงกว่าค่าเป้าหมายระดับส�านัก ส่วนเรื่องไต่สวนเบื้องต้น ก�าหนดเป้าหมาย จ�านวน 1,653 เรื่อง มีเรื่องแล้วเสร็จในภาพรวม จ�านวน 1,091 เรื่อง ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ก�าหนดตามแผนปฏิบัติการฯ ส่วนใหญ่เป็นส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�า จังหวัดขนาดใหญ่ เนื่องจากส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด/ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค มีเรื่องไต่สวนเบื้องต้นที่อยู่ใน ความรับผิดชอบเป็นเรื่องขนาดใหญ่ (L) ถึงขนาดใหญ่มาก (XL) มีความยุ่งยากซับซ้อน มีหลายข้อกล่าวหา หรือมีผู้ถูกกล่าวหาหลายคน เช่น คดีจัดซื้อจัดจ้าง (ฮั้วประมูล) เป็นต้น ประกอบกับพนักงานไต่สวนผู้รับผิดชอบ ส่วนใหญ่ยังขาดประสบการณ์ในการท�าส�านวนไต่สวน ท�าให้การพิจารณาประเด็นข้อกล่าวหา พยานหลักฐาน ซึ่งต้องอ้างอิงข้อกฎหมายหลายฉบับ การวิเคราะห์พยานหลักฐาน และการสรุปส�านวนใช้ระยะเวลานาน งานตรวจสอบทรัพย์สิน กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ด้านการตรวจสอบทรัพย์สินของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีหน้าที่รับและตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สิน และหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในแต่ละจังหวัดที่มีหน้าที่ยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามที่กฎหมายก�าหนด ซึ่งตามแผนปฏิบัติการฯ ก�าหนดเป้าหมายงานตรวจสอบ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 242 ทรัพย์สินและหนี้สิน (กรณีตรวจสอบปกติ) ของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด (ทั้งปี) รวมจ�านวน 19,268 บัญชี มีบัญชีแล้วเสร็จในภาพรวม จ�านวน 8,553 บัญชี น้อยกว่าเป้าหมายที่ก�าหนด เนื่องจากมีการรับบัญชีในกรณีเข้ารับต�าแหน่งเฉพาะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล แต่ยังไม่มี การเลือกตั้งผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมืองขององค์การบริหารส่วนต�าบล อันเนื่องมาจากการเกิดสถานการณ์การ แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงเกิดชะลอการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ท�าให้มี บัญชีฯ ที่รับไว้ด�าเนินการจ�านวนน้อยกว่าค่าเป้าหมายที่ก�าหนด ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดได้ปรับ แผนงานการด�าเนินงาน มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมในการรับบัญชีฯ โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การยื่นบัญชีฯ ให้แก่เจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนต�าบล ซึ่งจะมีการเลือกตั้งผู้บริหารใหม่ ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 กรณีตรวจสอบยืนยันข้อมูล ตามแผนปฏิบัติการฯ ก�าหนดเป้าหมายงานตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีตรวจสอบยืนยันข้อมูล (ทั้งปี) จ�านวน 3,267 บัญชี มีบัญชีแล้วเสร็จในภาพรวม จ�านวน 1,728 บัญชี น้อยกว่าเป้าหมาย เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. มีนโยบายมุ่งเน้นให้ด�าเนินการตรวจสอบ บัญชีค้างเก่าทั้งหมดให้แล้วเสร็จ ประกอบกับมีบัญชีที่ขออนุมัติตรวจสอบยืนยันข้อมูลจ�านวนน้อย จึงมีบัญชีฯ ที่รับไว้ด�าเนินการจ�านวนน้อยกว่าค่าเป้าหมาย รวมทั้งต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ จากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สถาบันทางการเงิน ส�านักงานที่ดิน ฯลฯ เพื่อมาวิเคราะห์สรุปผลการตรวจสอบบัญชีฯ ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่าจะได้รับเอกสารครบถ้วน จึงท�าให้การตรวจสอบบัญชีฯ มีความล่าช้า ส่วนกรณีตรวจสอบเชิงลึก ตามแผนปฏิบัติการฯ ก�าหนดเป้าหมายงานตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีตรวจสอบเชิงลึก (ทั้งปี) จ�านวน 246 บัญชี มีบัญชีแล้วเสร็จในภาพรวม จ�านวน 433 บัญชี มากกว่าเป้าหมาย เนื่องจากในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจ�านวนบัญชีกรณีตรวจสอบปกติและตรวจสอบยืนยันข้อมูลที่ขอ อนุมัติตรวจสอบเชิงลึกจ�านวนน้อย ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงมีเวลามุ่งเน้นบริหารจัดการตรวจสอบเชิงลึกที่ เป็นบัญชีค้างเก่า ซึ่งได้รวบรวมเอกสารหลักฐานจากผู้ยื่นบัญชีฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้แล้ว ท�าให้การสรุป ผลการตรวจสอบบัญชีฯ มีความรวดเร็วประกอบกับกรรมการ ป.ป.ช. ที่ก�ากับดูแลส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค มีอ�านาจในการพิจารณากลั่นกรองรายงานสรุปผลการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของกลุ่มภารกิจปฏิบัติการ ในพื้นที่ ก่อนน�าเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงท�าให้การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปด้วย ความรวดเร็ว งานป้องกันการทุจริต กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ด้านการป้องกันการทุจริตของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีหน้าที่บูรณาการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกับส�านักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงานอื่น ๆ ให้ค�าแนะน�ากับหน่วยงานภาครัฐในการด�าเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตรวจสอบ ติดตาม เฝ้าระวัง ประเมินสภาวการณ์การทุจริตเพื่อให้เกิดการป้องกันโดยเร็ว โดยการขับเคลื่อนงานแผนงาน/ ตามแผนปฏิบัติการและแผนการใช้งบประมาณรายจ่าย ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระดับส�านัก/ระดับ จังหวัด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การปฏิบัติงานด้านการป้องกันการทุจริต ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาการทุจริตในพื้นที่ โดยส�ารวจข้อมูลจากสถิติเรื่องกล่าวหาร้องเรียน ในความรับผิดชอบของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดว่ามีประเภทคดี เรื่องใดจ�านวนมาก มีพฤติการณ์การ กระท�าความผิดอย่างไร มีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลหรือคณะบุคคลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระท�าความผิด เพื่อน�าไปเป็นข้อมูลประกอบในการจัดท�าโครงการ/กิจกรรม ให้ตอบโจทย์กับการแก้ไขปัญหาการทุจริตในพื้นที่ รวมทั้งมีการบูรณาการการท�างานป้องกันการทุจริต ร่วมกับเครือข่าย ป.ป.ช. มีการน�าเครือข่ายชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต เข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสการทุจริต และเฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่ รวมทั้ง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 243 น�าเครือข่ายภาครัฐ ได้แก่ คณะอนุกรรมการการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนงานป้องกัน การทุจริตในพื้นที่แต่ละจังหวัด จึงท�าให้การปฏิบัติงานป้องกันการทุจริตเกิดผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่ง ผลกระทบต่อการจัดโครงการ/กิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจ�านวนมาก เจ้าหน้าที่ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการ ด�าเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเป็นไปตามค�าสั่ง ประกาศ หรือมาตรการควบคุมโรคติดต่อ ของจังหวัด โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายในการจัดกิจกรรม หรือลดจ�านวนกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มจ�านวนครั้งในการจัดกิจกรรม รวมทั้งน�าสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการจัดโครงการ/กิจกรรม จึงท�าให้งานบรรลุผลส�าเร็จตามเป้าหมาย ระดับส�านัก งานอ�านวยการและงบประมาณ กลุ่มภารกิจปฏิบัติการพื้นที่ด้านอ�านวยการและงบประมาณของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด มีหน้าที่จัดท�าฐานข้อมูลทางด้านงานคดี งานตรวจสอบทรัพย์สิน งานป้องกันการทุจริต และงานด้านการบริหารภายในภาคที่รับผิดชอบ ด�าเนินการเกี่ยวกับการเงิน การงบประมาณ การบัญชี และการพัสดุ ของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด พร้อมทั้งจัดท�ารายงานผล การปฏิบัติราชการเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเป็นภารกิจที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของภารกิจหลักทั้ง 3 ด้าน ให้บรรลุผลส�าเร็จตามเป้าหมายในแผนปฏิบัติการฯ โดยมีส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค เป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ท�าหน้าที่ก�ากับดูแล ตรวจสอบความถูกต้อง ของการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งวางแนวทางการปฏิบัติงานภายในภาคให้เป็นแนวทางเดียวกัน จึงท�าให้ การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ทางการเงินการคลัง รวมทั้งรองรับการตรวจ ของส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือส�านักตรวจสอบภายใน กรณีส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด และส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค เป็นหน่วยรับตรวจ โดยมิได้ทักท้วงแต่อย่างใด 2. การน�ากลไกการตรวจราชการมาใช้ในการบริหารจัดการติดตามการปฏิบัติราชการในภารกิจ ของส�านักงาน ป.ป.ช. ผลส�าเร็จการด�าเนินงานโดยการน�ากลไกการตรวจราชการมาใช้ในการบริหารจัดการ โดยก�าหนดให้ ผู้ตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติราชการ และน�านโยบายคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปสู่การปฏิบัติ ให้ค�าปรึกษา แนะน�า และแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในสังกัดส�านักงาน ป.ป.ช. ทั้งส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 - 9 โดยผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดภายในเขตพื้นที่ภาค 1 - 9 โดยผู้อ�านวยการส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งการตรวจราชการประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในเรื่องการบริหารจัดการงานในแต่ละภารกิจทั้งงาน ปราบปรามการทุจริต การตรวจสอบทรัพย์สิน การป้องกันการทุจริต และงานอ�านวยการและงบประมาณ การสดับตรับฟังปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน การให้ค�าปรึกษาและให้ค�าแนะน�าในการปฏิบัติงานแก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ และน�าข้อมูลปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานที่ได้จากการตรวจราชการในแต่ละครั้ง มาวิเคราะห์ เพื่อน�าเสนอเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อโปรดทราบหรือพิจารณาสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาพัฒนาปรับปรุงแก้ไขปัญหา รวมทั้งส่งข้อมูลให้ผู้ช่วยเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค ได้รับทราบเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน พร้อมทั้งจะมีการติดตาม ผลการด�าเนินการของส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด เป็นระยะ ผ่านช่องทางต่าง ๆ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 244 เกี่ยวกับการด�าเนินการตามค�าแนะน�าของผู้ตรวจราชการส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้การปฏิบัติราชการของ ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่ก�าหนด 3. กลไกการบูรณาการการท�างานร่วมกันระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งการท�างาน ร่วมกับเครือข่าย ป.ป.ช. เช่น สมาชิกชมรม STRONG เป็นต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญกับการป้องกันการทุจริตในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะ การด�าเนินงานตามนโยบายส�าคัญซึ่งจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งเครือข่าย ป.ป.ช. ที่เป็นประชาชนในพื้นที่ เช่น สมาชิกชมรม STRONG เป็นต้น เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริต ร่วมสอดส่องและตรวจสอบการด�าเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังใช้กลไกการขับเคลื่อนผ่านการประชุม คณะอนุกรรมการการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด เป็นอนุกรรมการ และผู้อ�านวยการส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อให้การแก้ไขปัญหา การทุจริตในระดับพื้นที่สามารถบรรลุผลตามเป้าหมายที่ก�าหนด
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 245 ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกต ของคณะกรรมกําร ป.ป.ช. ◆ การพัฒนาการด�าเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตจากรัฐสภา ◆ ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อรัฐสภา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 246 การพัฒนาการด�เนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามข้อเสนอแนะ/ ข้อสังเกตจากรัฐสภา ในการรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต่อรัฐสภา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ได้ให้ข้อเสนอแนะและข้อสังเกตในหลาย ประเด็น ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการพัฒนาการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตดังกล่าว จึงขอน�าเสนอความก้าวหน้าในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ 1. ประเด็นการพัฒนาบุคลากรของส�านักงาน ป.ป.ช. ควรมีการก�าหนดเป้าหมายในภาพรวมของการ พัฒนาบุคลากร โดยจัดท�าแผนการส่งเสริมและสนับสนุนในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด�าเนินการพัฒนา บุคลากร และจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออ�านวยต่อการท�างานให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ภายใต้ งบประมาณ และกรอบระยะเวลา เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญที่เพียงพอต่อ การปฏิบัติงาน โดยในประเด็นนี้ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดท�าแผนพัฒนาบุคลากรในแต่ละสายงาน และในแต่ ละระดับทั้งที่ปฏิบัติงานในส่ วนกลางและส่ วนปฏิบัติการพื้นที่อย่ำงต่ อเนื่อง และยึดหลัก ตามกระบวนการพัฒนาบุคลากรที่เป็นไปตามมาตรฐานและขั้นตอน เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งหลักสูตรการฝึกอบรมที่จัดขึ้นนั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยสถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายในที่รับผิดชอบในเรื่องการพัฒนาบุคลากร โดยมีรายละเอียดปรากฏ อยู่ในส่วนของความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร ด้านการพัฒนาบุคลากรของรายงานประจ�า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 2. ประเด็นการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. ควรมีการวางแผนระบบการท�างาน ที่ชัดเจน มีการจัดท�าแผนงานโครงการที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์เป้าหมายของการด�าเนินการ และประโยชน์ ที่ได้รับจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ รวมทั้งควรมีการน�าเสนอข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ และสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลต่าง ๆ แก่ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยในประเด็นนี้ส�านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การท�างานแบบ Digital Platform ตามที่ก�าหนดไว้ในแผนดิจิทัลของส�านักงาน ป.ป.ช. ปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ ยังได้มีการน�า เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการด�าเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมโยง กับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานภาครัฐอื่น เพื่อรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนา ระบบสนับสนุน ภารกิจหลักของส�านักงาน ป.ป.ช. เช่น ระบบบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนคดี (CCMS) ระบบการ ตรวจรับค�ากล่าวหา (PESCA) ระบสารสนเทศเพื่อการรวบรวมและวิเคราะห์ทรัพย์สิน (ACAS) และระบบ สารสนเทศงานด้านการป้องกันการทุจริตโดยมุ่งเน้นด้านการป้องปราม (CDS) เป็นต้น และการน�าเทคโนโลยี ภูมิสารสนเทศมาสนับสนุนภารกิจด้านการป้องกัน ด้านการปราบปราม ด้านการข่าวและการแสวงหาข้อเท็จจริง และการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนและวิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏอยู่ในส่วนของความส�าเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศของรายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 3. ประเด็นการพัฒนาช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาแจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนการทุจริต รวมทั้งสามารถเข้ามาติดตามความก้าวหน้าในการด�าเนินงานและเรื่องที่สนใจได้อย่าง สะดวกและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยประเด็นนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความส�าคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนา
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 247 ช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ที่สนใจเข้ามาแจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนการทุจริต รวมทั้งติดตาม ความก้าวหน้าในการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเป็นองค์กรที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยได้จัดให้มีช่องทางการเข้าถึงอย่างหลากหลาย เพื่ออ�านวยความสะดวกแก่ประชาชน ทั้งทางโทรศัพท์ หมายเลข 02 528 4800 หรือ Call Center หมายเลข 1205 ช่องทางสื่อออนไลน์ประเภท Website Facebook Twitter Line Instagram และ Youtube นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ อาทิ คลังเครื่องมือป้องกัน การทุจริต (Anti – Corruption Toolbox) แอปพลิเคชัน WE STRONG แผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping) ให้กับกลุ่มชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านการทุจริตที่จัดตั้งขึ้นทุกจังหวัด เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏอยู่ในส่วนของความส�าเร็จ ในการพัฒนาและบริหารจัดการองค์กร ด้านสื่อสารองค์กรของรายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 4. ประเด็นการจัดให้มีรางวัลเพื่อส่งเสริมให้คนดีได้รับการยอมรับและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคม เนื่องจากในรายงานประจ�าปีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็นข้อมูลที่น�าเสนอผลการด�าเนินคดีกับผู้กระท�า ความผิดทางทุจริต จึงควรจัดให้มีโครงการที่ส่งเสริมให้เกิดการท�าความดีและน�าเสนอข้อมูลข่าวสารในเชิงบวก เช่น การสร้างหอเกียรติยศ (Hall of Fame) เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมให้ประชาชนกระท�าความดีมากยิ่งขึ้น โดยประเด็นนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยเข็มกิตติคุณของส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2564 เพื่อเชิดชูเกียรติบุคคลที่ช่วยเหลือสนับสนุน ท�าคุณประโยชน์ หรือด�าเนินการอันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้า ที่ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือส�านักงาน ป.ป.ช. อันมีลักษณะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นแบบอย่างและเกียรติประวัติอันดี ควรแก่การยกย่องให้ปรากฏสืบไป ซึ่งการพิจารณามอบเข็มกิตติคุณนี้ เริ่มด�าเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 248 ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อรัฐสภา 1. ข้อเสนอแนะด้านการป้องกันการทุจริต ตามบทบัญญัติมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอ�านาจในการเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ ดังมี รายละเอียดผลการด�าเนินงานหัวข้อ การจัดท�ามาตรการ และหัวข้อการติดตามมาตรการ นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นว่า เพื่อให้สามารถด�าเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควร เสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด�าเนินการตามมาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน การทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะ มาตรการป้องกันการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อาทิ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ ปัญหาการออกเอกสารสิทธิ ในที่ดินโดยมิชอบ การบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยมุ่งเน้นในประเด็นการประชาสัมพันธ์และการสร้าง ความเข้าใจให้กับภาคประชาชน ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจสอบ และสอดส่องดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตามบทบัญญัติมาตรา 33 ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานของรัฐ ในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตผ่านมาตรการและกลไกต่าง ๆ นั้น ส�านักงาน ป.ป.ช. เห็นควรให้มีการพิจารณาปรับปรุง แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การให้หน่วยงานของรัฐมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ ตรวจสอบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมสุจริตในกลุ่มเด็กและ เยาวชนผ่านหลักสูตรการศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทั้งนี้ เห็นควรให้รัฐสภาช่วยขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริตและประพฤติมิชอบ ในกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) ประเด็นกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่ 4 การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์ ตัวชี้วัดที่ 2.2 ในประเด็นเรื่องการยกระดับมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม ให้กลายเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ 2. ข้อเสนอแนะด้านการขับเคลื่อนและผลักดันกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างขับเคลื่อนปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ เพื่อสนับสนุนการ ด�าเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ และเห็นควรเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาผลักดันร่างกฎหมาย รวม 3 ฉบับ ดังนี้ 1. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ที่มา 1) ส�านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือที่ นร 0503/ว 421 ลงวันที่ 3 กันยายน 2563 มายัง ส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 249 ตามที่ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ที่ส�านักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ด�ารงต�าแหน่งประเภท วิชาการระดับผู้ทรงคุณวุฒิ โดยไม่ต้องน�าความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากต�าแหน่ง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงลงมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบ หากมีกรณีที่จะต้องด�าเนินการแก้ไขในท�านองเดียวกันกับพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ให้เร่งรัดการพิจารณาเสนอแก้ไขกฎมายดังกล่าวโดยด่วน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุม (ด้านกฎหมาย) ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ตามที่ส�านักงาน ป.ป.ช. เสนอ ในประเด็นที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ในกรณี ที่จะต้องแต่งตั้งผู้บริหารของส�านักงาน ป.ป.ช. และจ�าเป็นต้องน�าความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งและทรงให้ พ้น จากต�าแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 180 ซึ่งร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน ตามแนวทางการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีฯ เป็นที่เรียบร้อย และได้มีหนังสือไปยังส�านักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … พร้อมรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … และหลักฐานการเปิดเผยการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายดังกล่าว 2) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มอบหมายส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบกิจกรรมการปฏิรูปประเทศที่ส่งผลต่อประชาชน อย่างมีนัยส�าคัญ (Big Rock) กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 การพัฒนาระบบราชการไทยที่โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์ รวมทั้ง มีข้อเสนอในการมีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปฏิรูปแต่ละด้าน ได้ก�าหนดให้มี การทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ตามที่ส�านักงาน ป.ป.ช. เสนอ โดยเห็นว่ากลไก ของกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยชี้มูลความผิดทางวินัย เพื่อลงโทษผู้ถูกกล่าวหา มาตรการติดตามทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศคืนเพื่อให้ทรัพย์สินนั้น กลับมาเป็นของแผ่นดินและลดช่องทางการทุจริต การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยังขาดความชัดเจน ตลอดจนการเฝ้าระวังการกระท�าความผิดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีความส�าคัญและเป็นต้นตอ ของปัญหาการทุจริตในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างยั่งยืน ความจ�าเป็นที่ต้องมีกฎหมายเพื่อแก้ไข ปัญหาเกี่ยวกับการด�าเนินคดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายที่บทบัญญัติของ กฎหมายยังมีความไม่ชัดเจน อีกทั้งกลไกในการด�าเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาส�าหรับการฟ้องคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ตลอดจนกลไกการอุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาของศาลในคดีอาญาและ คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินยังมีช่องว่างที่ท�าให้การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทั้งนี้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสภาวการณ์ของปัญหาการทุจริตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้อยู่ระหว่างตระเตรียมการเพื่อรับฟังความคิดเห็น ของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดท�าร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 250 สาระส�าคัญ 1) ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งและการพ้นจากต�าแหน่งของข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้ สอดคล้องกับมาตรา 180 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ข้าราชการผ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ต�าแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากต�าแหน่ง เว้นแต่กรณีที่พ้นจากต�าแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ และให้มีความ สอดคล้องแนวทางการบรรจุและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานธุรการขององค์กรอิสระอื่น โดยก�าหนด ให้การแต่งตั้งและการพ้นจากต�าแหน่งของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารระดับสูงของส�านักงาน ป.ป.ช. ต้องให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอ�านาจสั่งบรรจุและ น�าความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และการพ้นจากต�าแหน่งของเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพราะไม่ผ่านการประเมินตามบทบัญญัติมาตรา 150 (4) ให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้น�าความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากต�าแหน่ง 2) ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มีหลักการที่จะเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทั้งสิ้น 8 ประเด็น รวมจ�านวน 15 มาตรา ดังนี้ (1) ยกเลิกข้อ 2 แห่งค�าสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 21/2561 เรื่อง การแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับลงวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2561 และเพิ่มบทบาทของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการตีความและวินิจฉัยปัญหาการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ (เพิ่มวรรคสอง ของมาตรา 8) (2) เพิ่มกลไกและมาตรการการติดตามทรัพย์สินที่เกิดจากการกระท�าผิดคืนทั้งที่อยู่ในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อน�าทรัพย์สินนั้นกลับมาเป็นของแผ่นดิน และลดช่องทางการทุจริต (ยกเลิก (5) ของมาตรา 34 และเพิ่มมาตรา 34/1) (3) เพิ่มกลไกและมาตรการเฝ้าระวังการกระท�าความผิดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงสภาพปัญหาของการทุจริตอย่างแท้จริง (เพิ่มมาตรา 35/1) (4) เพิ่มกลไกการด�าเนินคดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เกิด ความชัดเจน ภายใต้การคุ้มครองสิทธิของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ (เพิ่มมาตรา 45/1) (5) เพิ่มกลไกการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความชัดเจนในหน้าที่และอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้มูลความผิดทางวินัย (เพิ่มมาตรา 91/1) (6) ปรับปรุงกลไกและเพิ่มประสิทธิภาพในการอุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาของศาล โดยก�าหนดให้อัยการสูงสุดต้องหารือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีที่จะไม่อุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาของศาล อีกทั้งยังเพิ่มกลไกให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจอุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาของศาลได้เสมือนเป็นโจทก์ (แก้ไขปรับปรุงมาตรา 94 และเพิ่มมาตรา 122/1) (7) ปรับปรุงกลไกการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน (ยกเลิกวรรคสี่และวรรคห้า ของมาตรา 105 และเพิ่มมาตรา 105/1)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 251 (8) แก้ไขปรับปรุงกลไกการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ต้องยื่นบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 42 มาตรา 103 และมาตรา 158 โดยก�าหนดให้ยื่นด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบในแนวทางที่ได้รับฟังความคิดเห็นและหลักการของการจัดท�าร่าง พระราชกฤษฎีกาก�าหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งให้จัดท�าแยกเป็นรายฉบับ แบ่งต�าแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 130 เป็นกลุ่มตามประเภท หน่วยงาน โดยฉบับแรกให้เริ่มที่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอ�านาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปราม การทุจริต หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ส�านักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส�านักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมบังคับคดี ก�าหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งสังกัดหน่วยงานของรัฐ ในร่างพระราชกฤษฎีกาก�าหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ฉบับแรก โดยให้มีหน้าที่ยื่นบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สิน ในวันที่ 1 มกราคม 2565 2. ร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และ ประพฤติมิชอบ พ.ศ. … ที่มา เป็นการเสนอให้มีกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ก�าหนดให้มีกฎหมายเพื่อป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP Law) สาระส�าคัญ เป็นร่างกฎหมายที่ก�าหนดกลไกส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการต่อต้านหรือชี้เบาะแส การทุจริตและประพฤติมิชอบ และบุคคลที่แสดงความคิดเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ จะได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามกฎหมาย อันเนื่องมาจากการที่ตนถูกน�ากระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือ โดยมิชอบ ในลักษณะของการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้ง หรือเอาเปรียบ บุคคลดังกล่าวหรือโดยมุ่งหวังผลประโยชน์อย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ โดยร่างกฎหมายดังกล่าว มีลักษณะเป็นกฎหมายกลางที่บูรณาการการท�างานระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้น พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่มีหน้าที่และอ�านาจเกี่ยวกับ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยก�าหนดกลไกให้หน่วยงานดังกล่าวมีอ�านาจพิจารณายุติการด�าเนินการ ทั้งในทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง กับผู้ถูกฟ้องคดีปิดปากได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเสริม โดยก�าหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีปิดปากสามารถเรียกค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดี และยังได้ก�าหนดมาตรการส่งเสริม การป้องกันการฟ้องคดีปิดปากโดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปราม การทุจริตเข้ามาสนับสนุนการพิจารณาการด�าเนินการที่มีลักษณะเป็นการฟ้องคดีปิดปากและเป็นหน่วยงานกลาง ในการให้ความคุ้มครองช่วยเหลือการฟ้องคดีปิดปากด้วย
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 252 3. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. … การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมหรือเรียกสั้น ๆ ว่าผลประโยชน์ ทับซ้อน (Conflict of interest) เกิดขึ้นได้กับบุคลากรในภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งองค์การเพื่อความร่วมมือและ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD)) ได้ให้นิยามค�าว่า Conflict of interest ของเจ้าหน้าที่รัฐว่า หมายถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐมีผลประโยชน์ส่วนตัว ที่สามารถส่งผลท�าให้การท�าหน้าที่บิดเบือนไป ผลประโยชน์ทับซ้อนจึงถือเป็นก้าวแรกที่จะน�าไปสู่ปัญหา การทุจริตคอร์รัปชัน จึงมีความจ�าเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดการกระท�าที่เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมขึ้น ดังนั้น ในแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 (การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์) จึงได้ก�าหนดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม ประกอบพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ภายในปี 2564 และยกระดับเป็นกฎหมายว่าด้วย การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม ภายในปี 2565 โดยมีส�านักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งส�านักงาน ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศดังกล่าว โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม ประกอบพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 และด�าเนินการพิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วย การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม โดยร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมาย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อก�าหนดกรอบการกระท�าที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมเพื่อส่งเสริม และสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าวให้สามารถแยกแยะระหว่างประโยชน์ ส่วนตนกับส่วนรวมออกจากกันได้ อันจะมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคม และสร้างบรรทัดฐาน ทางสังคมขึ้นใหม่ รวมถึงก�าหนดการกระท�าอันจะเป็นความผิดที่ต้องรับโทษทางกฎหมาย ทั้งประเภทความผิด ที่เป็นความผิดในตัวเอง (mala in se) และความผิดตามที่กฎหมายห้าม (mala prohibita) ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายสูงสุดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ตั้งค่า เป้าหมาย “ประเทศไทยปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ” นอกจากนี้ ยังมีประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการพิจารณาลงโทษทางวินัยผู้ถูกกล่าวหาของผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด ซึ่งมีประเด็นปัญหาในการตีความ ข้อกฎหมายที่แตกต่างกันในประเด็นหลักๆ ดังนี้ 1. ประเด็นเกี่ยวกับอ�านาจชี้มูลความผิดทางวินัย อันเนื่องมาจากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้ชี้มูลความผิดทางอาญาฐานทุจริตต่อหน้าที่ เนื่องจากค�าวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่วางแนวไว้ตั้งแต่ปี 2558 ว่าข้อกล่าวหาที่อยู่ในอ�านาจ ไต่สวนและพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายถึงเฉพาะข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น โดยความ ผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ถือเป็นมูลความผิดทางวินัย ส่วนความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการ ถือเป็นความผิดทาง อาญาตามประมวลกฎหมายอาญา การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติชี้มูลความผิดทางวินัย ในความผิดฐานอื่นนอกเหนือจากความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงเป็นการด�าเนินการที่ปราศจากอ�านาจ หรือนอกเหนืออ�านาจหน้าที่ ไม่ผูกพันผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนที่จะต้องปฏิบัติตาม
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 253 ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ที่ก�าหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจในการไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าความผิดฐาน ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�าความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอ�านาจในการไต่สวนและวินิจฉัยความผิดทางวินัยฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากมูลความผิดทางวินัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มิได้มีความหมายแต่เฉพาะฐานทุจริตต่อหน้าที่เท่านั้น ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 158/2551 ประกอบกับการไต่สวนและวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อประกอบการวินิจฉัยกรณีมีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระท�าความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระท�า ความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อต�าแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และในการกระท�าความผิด ตามข้อกล่าวหาดังกล่าวมีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นกระท�าความผิดทางวินัย ในฐานความผิดอื่น ก็ย่อมอยู่ในอ�านาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยมีมติได้ ทั้งนี้ ตามนัยแนวบรรทัดฐาน ค�าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2546 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ค�าพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2552 ประกอบกับตามค�าสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญที่ 41/2563 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ที่ได้มีค�าสั่งไม่รับค�าร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แม้จะมิได้ วินิจฉัยเกี่ยวกับอ�านาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีความเห็นตามค�าสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญที่ 51/2561 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2561 และค�าสั่งที่ 41/2563 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอ�านาจชี้มูลความผิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. ประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาออกค�าสั่งลงโทษทางวินัย กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากราชการไปแล้ว เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า การสั่งลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งออกจากราชการไปแล้วตามมาตรา 100/1 ระหว่างที่ยังมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพื่อก�าหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ในการด�าเนินการและสั่งลงโทษทางวินัยกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐซึ่งออกจากราชการแล้วไว้เป็นการเฉพาะนั้น จะต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ก�าหนดไว้ ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การที่ผู้มีอ�านาจด�าเนินการทางวินัย จะสั่งลงโทษข้าราชการพลเรือนซึ่งออกจากราชการไปแล้วตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการสอบสวน และมีมติชี้มูลความผิดทางวินัย จึงต้องด�าเนินการตามเงื่อนไขที่ก�าหนดไว้ในมาตรา 100 กล่าวคือ สั่งลงโทษ ภายในสามปีนับแต่วันที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นออกจากราชการ ในกรณีที่การด�าเนินการทางวินัย ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นการด�าเนินการตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ อันเป็นกฎหมายเดิมก่อนที่จะมีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 3) ฯ นั้น จะต้อง ปรากฏว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�าเนินการสอบสวนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันซึ่งเป็นระยะเวลาที่ก�าหนดไว้ ส�าหรับการด�าเนินการสอบสวนทางวินัย ซึ่งความเห็นดังกล่าวไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 98 วรรคสาม ที่บัญญัติหน้าที่ ของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนว่า “…ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณา สั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนได้รับแจ้งมติที่ได้ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา ทบทวนตามมาตรา 99 วรรคสอง ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหานั้นจะพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อนหรือหลัง
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 254 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติวินิจฉัยมูลความผิด …” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวก�าหนดไว้ชัดเจนไม่ว่า ผู้ถูกกล่าวหานั้นจะพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อนหรือหลังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติวินิจฉัยชี้มูล ความผิด ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนต้องพิจารณาสั่งลงโทษวินัยหรือมีค�าสั่งให้พ้นจากต�าแหน่ง ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวางหลักว่า กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวินิจฉัยมูลความผิดเมื่อพ้นก�าหนดเวลาตามมาตรา 48 ต่อผู้ถูกกล่าวหาเฉพาะกรณีที่พ้นจากการ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วเท่านั้น โดยไม่ว่าจะพ้นก่อนหรือหลังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติวินิจฉัยมูลความผิด หรือไม่ก็ตาม ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาไม่จ�าต้องพิจารณาโทษทางวินัยตาม ฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ ส่วนกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวินิจฉัยมูลความผิดผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาได้รับส�านวน การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้มีมติวินิจฉัยมูลความผิดเมื่อพ้นก�าหนดเวลา ตามมาตรา 48 ก็ตาม ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอ�านาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาก็ย่อมต้องพิจารณาโทษทางวินัย ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก และให้ถือว่า ส�านวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นส�านวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวตามมาตรา 98 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 255 ◆ ภาพกิจกรรม ◆ รายงานการเงินของส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ * หมายเหตุ ฉบับยังไม่ได้รับการรับรองจากส�านักงานตรวจเงินแผ่นดิน ◆ รายงานการเงินของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ * หมายเหตุ ฉบับยังไม่ได้รับการรับรองจากส�านักงานตรวจเงินแผ่นดิน ภําคผนวก
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 256 ภําพกิจกรรม u วันที่ 1 ตุลาคม 2563 Mr. Gregory Shaw ผู้อ�านวยการฝ่ายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและยาเสพติด (The International Narcotics and Law enforcement Division; INL) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจ�าประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ณ ห้องรับรองพิเศษ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 8 ธันวาคม 2563 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกล่าวถ้อยแถลง ในประเด็น เรื่องการต่อต้านการทุจริตในช่วงระหว่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การตอบโต้ ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการเปิดภาคเศรษฐกิจอีกครั้งผ่านความร่วมมือของหุ้นส่วนสายแถบและเส้นทาง ในรูปแบบทางไกล ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการการตรวจตราแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (NCS) ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 18 มิถุนายน 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการหารือข้อราชการกับ Mr. FU Kui (ฟู่ ขุย) รองประธานคณะกรรมการการตรวจตราแห่งชาติ แห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีน (National Commission of Supervision: NCS) ในรูปแบบทางไกล ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี การขยายความร่วมมือกับต่างประเทศในการต่อต้านการทุจริต
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 257 u วันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา กรรมการ ป.ป.ช. เข้าร่วมการประชุมสมัยต่อเนื่อง ครั้งที่ 2 ของการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญา UNCAC (IRG) สมัยที่ 11, การประชุมกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ สมัยที่ 9, การประชุมคณะท�างานระหว่างรัฐว่าด้วยการติดตาม ทรัพย์สินคืน สมัยที่ 14 ในรูปแบบทางไกล ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 9 ธันวาคม 2563 นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา กรรมการ ป.ป.ช. น�าคณะผู้แทนจากส�านักงาน ป.ป.ช. เข้าร่วม การประชุมประจ�าปีของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 16 (the 16th ASEAN-PAC Principals Meeting) ในรูปแบบทางไกล ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 14 ธันวาคม 2563 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมประชุมหารือร่วมกับผู้แทนจากส�านักงาน ป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในปี พ.ศ. 2564 ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 18 มกราคม 2564 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม การประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้น�าเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2564 ในรูปแบบการประชุมทางไกล ณ ห้องเกียรติยศ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) ถนนนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 258 u วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน ในการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ประจ�าภาค 8 ณ ห้องประชุม ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดภูเก็ต และลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้าง อาคารส�านักงานและอาคารที่พักแห่งใหม่ ต�าบลตลาดเหนือ อ�าเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ผลงานการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ u วันที่ 7 ตุลาคม 2563 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกส�านักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าว กรณีเรื่องกล่าวหา นายนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ละเว้น ไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบ�ารุงทางอเนกประสงค์ ชนิด 10 ล้อ จ�านวน 2 คัน เป็นเงิน 50,850,000 บาท ให้แก่บริษัทคู่สัญญา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 16 ตุลาคม 2563 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกส�านักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าว กรณีเรื่องกล่าวหา นายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดล�าพูน กับพวก ร่วมกันทุจริตจัดซื้อ ชุดของใช้ประจ�าวัน (Care Set) วงเงิน 16,343,000 บาท ในโครงการป้องกันผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง ต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 259 u วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ส�านักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าวเรื่องกล่าวหา นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณียึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ในบริเวณพื้นที่ หมู่ ที่ 6 ต�าบลรางบัว อ�าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ณ ห้องนนทบุรี 1 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 16 กรกฎาคม 2564 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกส�านักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าวกรณีชี้มูลความผิดนายทรงชัย นกขมิ้น นายกองค์การบริหารส่วนต�าบลราชาเทวะ จังหวัดสมุทรปราการ กับพวก กรณีจัดซื้อรถยนต์ดับเพลิงกู้ภัยขององค์การบริหารส่วนต�าบลราชาเทวะ และนายประสิทธิ์ วุฒินันชัย เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขต 5 กับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างสนามกีฬาอเนกประสงค์ฟุตบอลโกลหนู สตรีทซอคเกอร์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่อ�าเภอฝางและอ�าเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 260 u วันที่ 10 มิถุนายน 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลต�ารวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ ประชุมร่วมประสานความร่วมมือระหว่างส�านักงาน ป.ป.ช. กับส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ณ ห้องนนทบุรี 1 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี การบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐเพื่อสร้างแนวร่วมต้านทุจริต u วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลต�ำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการต�ารวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ ร่วมระหว่าง ส�านักงาน ป.ป.ช. และส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการด�าเนินงานของหน่ วยงานภาครัฐ (ITA) ลงสู่ สถานีต�ารวจนครบาล 88 แห่ง ณ ห้องพรหมนอก ส�านักงาน ต�ารวจแห่งชาติ
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 261 การสร้างความมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายในมิติงานป้องกันการทุจริต u วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโล่เกียรติยศการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ITA Awards) โดยมี นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. และนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ท�าเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร u วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ส�านักงาน ป.ป.ช. จัดกิจกรรมงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” โดยมีพลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Tac Team ไทย ลดทุจริต”, การแสดงพระธรรมเทศนา “ต้านโกง” โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต และ พระอาจารย์ ดร.สมพงษ์ รตนว�โส ณ ห้องนนทบุรี 1 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์รายการ กะเทาะเปลือกคอร์รัปชัน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD ในประเด็น “คณะกรรมการ สปท. กับการส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ณ ห้องรับรอง อาคาร 1 ชั้น 2 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 20 สิงหาคม 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. จัดการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติ เรื่อง “ถอดกับดักคอร์รัปชัน : The Big Push in Corruption Trap” ผ่านระบบ ZOOM โดยมีพลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “กับดักคอร์รัปชันในอนาคต : การถอดกับดักที่ทรงพลัง” ณ ห้องนนทบุรี 1 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 262 u วันที่ 13 กันยายน 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการสรุปผลการผลักดันและบูรณาการติดตามการยกระดับ คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทย ผ่านระบบ Zoom Application และถ่ายทอดสดผ่าน Facebook ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยมีพลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานในพิธีเปิด และกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “TaC Team Thailand (Together against Corruption) เพื่อเพิ่มคะแนนและลดอันดับ CPI ของประเทศไทย” ณ ห้องนนทบุรี 3 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 26 สิงหาคม 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. แถลงผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการด�าเนินงานของหน่วยงาน ภาครัฐ (ITA) ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภายใต้ชื่องาน “ITA DAY 2021: More Open, More Transparent” ผ่านระบบ Zoom Webinar และ YouTube Live : ITAS NACC โดยมีนางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ประกาศผลการประเมิน ITA พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.ภักดี โพธิศิริ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมตอบข้อซักถาม สื่อมวลชน ณ ห้องรับรองพิเศษ ชั้น 2 อาคาร 1 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันที่ 9 มีนาคม 2564 พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อผลักดันมาตรการป้องกันการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสินบน เพื่อผลักดันมาตรการป้องกันการทุจริต ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสินบน ณ ห้องแมคโนเลีย 1 - 3 โรงแรมทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 263 u วันที่ 10 มีนาคม 2564 พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการผลักดันและบูรณากา ร ติดตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการทุจริต ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กิจกรรมการประชุม เชิงปฏิบัติการเพื่อผลักดันและบูรณาการติดตามการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index) ของประเทศไทย โดยมีนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร u วันที่ 17 มีนาคม 2564 พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การประสานความร่วมมือและเสริมสร้างประสิทธิภาพนวัตกรรม ต่อต้านการทุจริต เพื่อลดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ของประเทศไทย” โดยมี นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร u วันที่ 29 มีนาคม 2564 รศ.ดร. มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจจัดท�ารายละเอียดในการด�าเนินงาน ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจริต โดยใช้กลไกทางพระพุทธศาสนาครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม อาคารสิริภักดีธรรม ชั้น 3 วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ โดยมีพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นประธานการประชุม u วันที่ 7 เมษายน 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. โดยส�านักส่งเสริมการบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต และส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดชลบุรี น�าคณะ Tac Team ต้านทุจริต ร่วมกับ ป่าไม้บางละมุง ฝ่ายปกครองอ�าเภอบางละมุง ลงพื้นที่ตรวจสอบ สภาพป่าสงวนแห่งชาติ บริเวณเขาไผ่ หมู่ที่ 1 ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน และกลุ่มอนุรักษ์ ชมรม Strong กลุ่มคนรักษ์เขาไผ่
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 264 u วันที่ 8 เมษายน 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัดชลบุรี น�าคณะ TaC Team ต้านทุจริต ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการ การด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตจังหวัดชลบุรี ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุม ชลบุรี ศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยมีนายนริศ นิรามัยวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานการประชุม u วันที่ 14 กันยายน 2564 ส�านักงาน ป.ป.ช. จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ผลการส�ารวจความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสียต่อ การด�าเนินงานของส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ผ่านระบบ Zoom Application โดยมีนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานเปิดการสัมมนา ณ ห้องนนทบุรี 3 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี u วันทื่ 19 ตุลาคม 2563 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงข่าวเปิดตัวไวรัลวีดิโอ ชุด “ซ่อนกลิ่น” ในแคมเปญ “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” เพื่อเป็นสื่อรณรงค์ในการต่อต้านการทุจริต ตลอดจนสร้างความกดดันทางสังคม (Social Sanction) ให้การทุจริตเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทรรศนะของสังคม ณ ห้องนนทบุรี 2 ชั้น 3 อาคาร 4 ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า) จังหวัดนนทบุรี
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 265 u วันที่ 13 ตุลาคม 2563 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และนายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช ร่วมกิจกรรม เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร การเข้าร่วมกิจกรรมในวันส�คัญ u วันที่ 23 ตุลาคม 2563 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และข้าราชการส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระลานพระราชวังดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร u วันที่ 30 ตุลาคม 2563 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อัญเชิญผ้าพระกฐิน พระราชทาน ประจ�าปีพุทธศักราช 2563 ถวาย ณ พระอารามหลวง วัดเจริญสุขารามวรวิหาร ต�าบลบางนกแขวก อ�าเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมียอดเงินท�าบุญ เป็นจ�านวนทั้งสิ้น 2,163,667.01 บาท
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 266 u วันที่ 5 ธันวาคม 2563 (ช่วงเช้า) พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยภริยา และผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ประกอบด้วยพิธีท�าบุญตักบาตร พิธีวางพานพุ่มและพิธีถวายบังคม ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร u วันที่ 7 ธันวาคม 2563 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันประสูติ 7 ธันวาคม 2563 ณ วังศุโขทัย กรุงเทพมหานคร u วันที่ 1 มกราคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสิน ทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และลงนาม ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 ณ ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง และศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร u วันที่ 8 มกราคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย ผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ร่วมถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระรูปและลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 8 มกราคม 2564 ณ วังศุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 267 u วันที่ 14 มกราคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บริหารส�านักงาน ป.ป.ช. ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และร่วมลงนามถวายพระพร ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ และหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน ณ ศาลา สหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร u วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2564 ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการวิทยุ และโทรทัศน์ ชั้น 1 บริษัท อสมท. จ�ากัด (มหาชน) ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร u วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 พลต�ารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 89 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการวิทยุและโทรทัศน์ ชั้น 1 บริษัท อสมท. จ�ากัด (มหาชน) ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร u วันที่ 3 ธันวาคม 2563 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย นายพิเชฐ พุ่มพันธ์ รองเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าในพิธีสวดเจริญมหามงคลรวมศาสนา 3 ธันวาคม 2563 สืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี” รวมใจภักดิ์ น้อมร�าลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ “พ่อแห่งแผ่นดิน” ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 268 รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 258 ภาพกิจกรรมส่วนภูมิภาค งบประมาณประจาปี พ.ศ. 2564 การติดต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด สานักงาน ป.ป.ช. ภาค สานักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน ้า) รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 258 ภาพกิจกรรมส่วนภูมิภาค งบประมาณประจาปี พ.ศ. 2564 การติดต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด สานักงาน ป.ป.ช. ภาค สานักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน ้า) รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 258 ภาพกิจกรรมส่วนภูมิภาค งบประมาณประจาปี พ.ศ. 2564 การติดต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด สานักงาน ป.ป.ช. ภาค สานักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน ้า) รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 หน้า 258 ภาพกิจกรรมส่วนภูมิภาค งบประมาณประจาปี พ.ศ. 2564 การติดต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. สานักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด สานักงาน ป.ป.ช. ภาค สานักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน ้า) ภาพกิจกรรมส่วนภูมิภาค งบประมาณประจ�ปี พ.ศ. 2564 การติดต่อส�นักงาน ป.ป.ช. ส�านักงาน ป.ป.ช. ภาค ส�านักงาน ป.ป.ช. ประจ�าจังหวัด ส�านักงาน ป.ป.ช. (สนามบินน�้า)
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 269 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงฐํานะกํารเงิน ณ วันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 270 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงฐํานะกํารเงิน ณ วันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 271 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงผลกํารด�ําเนินงํานทํางกํารเงิน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 272 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงกํารเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 273 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ หมํายเหตุประกอบงบกํารเงิน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 274
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 275
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 276
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 277
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 278
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 279
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 280
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 281
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 282
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 283
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 284
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 285
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 286 ส�ํานักงํานคณะกรรมกํารป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ รํายงํานรํายได้แผ่นดิน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 287 กองทุนป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงฐํานะกํารเงิน ณ วันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 288 กองทุนป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงผลกํารด�ําเนินงํานทํางกํารเงิน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 289 กองทุนป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ งบแสดงกํารเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 290 กองทุนป้องกันและปรําบปรํามกํารทุจริตแห่งชําติ หมํายเหตุประกอบงบกํารเงิน ส�ําหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยํายน 2564
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 291
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 292
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 293
รายงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 294 รํายงํานประจ�ําปีงบประมําณ พ.ศ. 2564 ANNUAL REPORT 2021 ISBN : 978-616-8280-12-6 บรรณาธิการ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะผู้จัดท�ารายงาน 1. รองศาสตราจารย์ มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ที่ปรึกษาคณะท�างาน 2. เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประธานคณะท�างาน 3. นายอุทิศ บัวศรี (รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 4. นายพิเชฐ พุ่มพันธ์ (รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 5. นายสุรพงษ์ อินทรถาวร (รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 6. นายสาโรจน์ พึงร�าพรรณ (รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 7. นายพิเศษ นาคะพันธุ์ (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 8. นา ยนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 9. นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 10. นางสมพร สมผดุง (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.) คณะท�างาน 11. ผู้อ�านวยการส�านักบริหารงานกลาง คณะท�างาน 12. ผู้อ�านวยการส�านักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม คณะท�างาน 13. ผู้อ�านวยการส�านักพัฒนาระบบตรวจสอบทรัพย์สิน คณะท�างาน 14. ผู้อ�านวยการส�านักกฎหมาย คณะท�างาน 15. ผู้อ�านวยการส�านักกิจการและคดีทุจริตระหว่างประเทศ คณะท�างาน 16. ผู้อ�านวยการส�านักคดี คณะท�างาน 17. ผู้อ�านวยการส�านักบริหารทรัพยากรบุคคล คณะท�างาน 18. ผู้อ�านวยการส�านักวิจัยและบริการวิชาการ คณะท�างาน ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริต 19. ผู้อ�านวยการส�านักสื่อสารองค์กร คณะท�างาน 20. ผู้อ�านวยการส�านักนโยบายและยุทธศาสตร์ คณะท�างานและเลขานุการ 21. ผู้อ�านวยการกลุ่มติดตามและประเมินผล คณะท�างานและผู้ช่วยเลขานุการ ส�านักนโยบายและยุทธศาสตร์ 22. นางสาววลัยพร สุรพัฒน์พงษ์ คณะท�างานและผู้ช่วยเลขานุการ 23. นายจุมพล กฤษฎาพรรณ คณะท�างานและผู้ช่วยเลขานุการ 24. นางสาวธิดารัตน์ พิศไหว คณะท�างานและผู้ช่วยเลขานุการ ปีที่พิมพ์ 2565 จ�านวนที่พิมพ์ 1,300 เล่ม ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 จัดพิมพ์โดย ส�านักนโยบายและยุทธศาสตร์ ส�านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ต�าบลท่าทราย อ�าเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 0 2528 4931 - 35 โทรสาร 0 2528 4936