Thu Feb 09 2023 00:00:00 GMT+0000 (Coordinated Universal Time)

ประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580)


ประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580)

ประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) โดยที่พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 บัญญัติให้มี คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีหน้าที่และอำนาจกากับดูแลการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบ นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ตามที่ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ซึ่งเป็นการจัดทานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ ระยะยาว (15 ปี) เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายหลักในการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่มีอยู่อย่างจากัดให้เกิ ดความสมดุลของระบบนิเวศ โดยคานึงถึง ขีดจากัดของทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟู เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง บูรณาการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดินและ สมรรถนะของดิน เชื่อมโยงกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเทศ ผ่านกระบวนการ มีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและลดความเหลื่อมล้า ในสังคม ส่งผลให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ จึงออกประกาศแจ้งการใช้นโยบายและแผนการ บริหารจัดกำรที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อเป็นกรอบนโยบายและ ทิศทางการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในภาพรวมของประเทศอย่างบูรณาการ สอดคล้องกับ แผนระดับที่ 1 (ยุทธศาสตร์ชาติ) ระยะ 20 ปี แผนระดับที่ 2 (แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ) รวมถึง นโยบายและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังมีสาระสำคัญตามที่แนบท้าย ประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ 18 มกรา คม พ.ศ. 25 6 6 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ้ หนา 27 ่ เลม 140 ตอนพิเศษ 32 ง ราชกิจจานุเบกษา 10 กุมภาพันธ์ 2566

  • 1 - นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 25 80 ) สํานักงาน คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี

  • ค - สาร บั ญ หน้า คํานํา สารบัญ สรุปสาระสําคัญ … ก ส่วนที่ 1 บทนํา … … 1 1.1 หลักการและเหตุผล … 1 1.2 วัตถุประสงค์ … 2 1.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ … 3 1.4 กระบวนการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ … 3 1.5 กรอบแนวคิดการดําเนินงาน … . 6 1.6 หลักการสําคัญ … … 7 ส่วนที่ 2 สถานการณ์และแนวโน้มปัญหาที่ดินและทรัพยา กรดิน … 11 2.1 ประเด็นปัญหาหลักของการใช้ที่ดินและทรัพยากรดินในภาพรวมของประเทศ … 12 2.1.1 การสงวนและคุ้มครองที่ดินของรัฐ … 12 2.1.2 การใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศ … 23 2.1.3 ทรัพยากรดิน … … 37 2.1.4 ปัญหาด้านการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ … 41 2.1.5 สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ํา … … 42 2 . 1 . 6 ความต้อง การใช้พลังงาน … 50 2.1.7 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ … 53 2.2 ประเด็นปัญหาหลักของการใช้ที่ดินในภาพรวมระดับโลกและภูมิภาค … 53 2.2.1 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและการทวีความสําคัญของภูมิภาคเอเชีย … 53 2 .2.2 การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและอนุภูมิภาค … 53 2.2. 3 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของโลก .. … 54 2.2. 4 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ … 55 ส่วนที่ 3 นโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง … 57 3.1 บริบทภายในประเทศ … … … 57 3.1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 … … 5 7 3 .1.2 นโยบายรัฐบาล (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) … . 59 3.1.3 แผน 3 ระดับ . … . … . … 60 ( 1) แผนระดับที่ 1 … … … … 60 • ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) … 6 0

  • ง - สารบัญ ห น้า (2) แผนระดับที่ 2 … 63 (2.1) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) .. … . … 63 (2.2) แผนการปฏิรูปประเทศ … . . 66 (2.3) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) . 69 (3) แผนระดับที่ 3 (แผนอื่นที่เกี่ยวข้อง) … . … 71 3. 2 บริบทระหว่างประ แทศ … 84 ● เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( Sustainable Development Goals : SDGs … 84 ส่วนที่ 4 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ … … 88 4.1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) … 88 4.1.1 การประเมินสภาพแวดล้อมภายนอก … 88 4.1.2 การประเมินสภาพแวดล้อมภายใน … 90 4.2 การนําผลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) เพื่อกําหนดกลยุทธ์ … 93 4.2.1 กลยุทธ์การส่งเสริมและพัฒนาจุดแข็ง … 93 4.2.2 กลยุทธ์การแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อน … 93 4.2.3 กลยุทธ์การเสริมสร้างโอกาส … 94 4.2.4 กลยุทธ์การลดวิกฤติและอุปสรรค … … 95 ส่วนที่ 5 นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) … 96 5 . 1 หลักการ … … 96 5 . 2 วิสัยทัศน์ … . 96 5 . 3 พันธกิจ … . … 96 5 . 4 เป้าประสงค์ … 97 5 . 5 นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580 ).. 97 ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษำ ความสมดุลทางธรรมชาติ … … … 103 ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด … 107 ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมเพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชน … … .. 113 ประเด็นนโยบายด้านที่ 4 การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ … 115

  • จ - สารบัญ หน้า ส่วนที่ 6 การขับเคลื่อนและการติดตามและประเมินผล นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) … 132 6.1 แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ … 132 6.2 กลไกการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) … 135 6.2.1 ระดับ นโยบาย … 135 6.2.2 ระดับหน่วยงาน … 136 6.3 การติดตามความก้าวหน้าและทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) … 139 ภาคผนวก … … 141 บรรณานุกรม … ข . \

  • จ - สารบัญรูปภาพ หน้า รูปที่ 1 - 1 กรอบแนวคิดการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) .. … . 10 รูปที่ 2 - 1 สถิติพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศของกรมป่าไม้ แยกรายภาค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2563 … 20 รูปที่ 2 - 2 สถิติพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศของกรมอุทยานแห่งชาติฯ แยกรายภาค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2563 . … … .. 20 รูปที่ 2 - 3 สถานภาพชายฝั่งทะเลประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 .. … . 22 รูปที่ 2 - 4 ความคืบหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564) .. … . 31 รูปที่ 2 - 5 ลักษณะการถือครองที่ดิน ทางการเกษตร จําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2562 . … .. 33 รูปที่ 2 - 6 ห่วงโซ่ปัญหาของปัญหาการไร้ที่ดินทํากินและการสูญเสียที่ดิน . … .. 35 รูปที่ 2 - 7 การกระจายตัวของคนจนจําแนกรายภาค พ.ศ. 2531 – 2562 . … .. 36 รูปที่ 2 - 8 จํานวนครัวเรือนยากจนจําแนกตามลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2562 .. … . . 37 รูปที่ 2 - 9 ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2553 - 2562) . … .. 4 4 รูปที่ 5 - 1 นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) . … .. 9 8 รูปที่ 5 - 2 ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 : การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษา ความสมดุลทางธรรมชาติ . … … …99 รูปที่ 5 - 3 ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 : การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด . … .. 10 0 รูปที่ 5 - 4 ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 : การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน . … .. 10 1 รูปที่ 5 - 5 ประเด็นนโยบายด้านที่ 4 : การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ … .. 10 2 รูปที่ 6 – 1 การแปลงนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ . … . 13 4 รูปที่ 6 - 2 การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรดินโดยการบูรณาการ ตามอํานาจหน้าที่และภารกิจของ คทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง .. … . 13 5 รูปที่ 6 - 3 กลไกการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประ เทศ … 13 8

  • ฉ - สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 2 - 1 ข้อมูลการจําแนกที่ดินของรัฐ . … .. 11 ตารางที่ 2 - 2 สถิติปริมาณข้อมูลเอกสารสิทธิทั่วประเทศ ตั้งแต่เริ่มออกโฉนดครั้งแรก พ.ศ. 2444 – 30 กันยายน พ.ศ. 2562 .. … … . 11 ตารางที่ 2 - 3 พื้นที่ป่าไม้และสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ . … .. 13 ตารางที่ 2 - 4 พื้นที่ป่าไม้รายภาค ปี พ.ศ. 2558 – 2563 . … .. 13 ตารางที่ 2 - 5 ข้อมูลขนาดพื้นที่อนุรักษ์ / พื้นที่สงวนหวงห้าม ประเภทต่าง ๆ .. … . 14 ตารางที่ 2 - 6 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2559 – 2563 .. … . 14 ตารางที่ 2 - 7 พื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเล .. … . 15 ตารางที่ 2 - 8 เนื้อที่ป่าชายเลน จําแนกตามภาค พ.ศ. 2543 – 2562 . … .. 15 ตารางที่ 2 - 9 สถิติการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พ.ศ. 2558 – 2562 .. … . 16 ตารางที่ 2 - 10 ผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน โดยกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2562 . … … .. 17 ตารางที่ 2 - 11 สถานการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินในประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2561 .. … . 23 ตารางที่ 2 - 12 สถิติการใช้ที่ดินทางการเกษตรจําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2558 – 2562 … … 25 ตารางที่ 2 - 13 ข้อมูลพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของประเทศ .. … . 27 ตารางที่ 2 - 14 พื้นที่ดินที่ถูกทิ้งร้าง (ไม่ได้ใช้ประโยชน์) ของประเทศ จําแนกรายภาค ช่วง พ.ศ. 2556 – 2561 . … .. 32 ตารางที่ 2 - 15 ตารางค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคใน การถือครองทรัพย์สิน พ.ศ. 2556 – 2562 … 34 ตารางที่ 2 - 16 จํานวนผู้ขึ้นทะเบียนไร้ที่ดินทํากิน ช่วงปี พ.ศ. 2557 – 2561 . … .. 34 ตารางที่ 2 - 17 ข้อมูลเนื้อที่การจําแนกชั้นความรุนแรงของการสูญเสียดินประเทศไทย .. … . 40 ตารางที่ 2 - 18 ระดับความรุนแรงของการสูญเสียดินในพื้นที่ราบและพื้นที่สูง .. … . .. 4 0 ตารางที่ 2 - 19 ค่าดัชนีชี้วัดการจัดการน้ํา หรือ WMI จําแนกตามมิติการจัดการและภูมิภาค . … .. 43 ตารางที่ 2 - 20 ปริมาณน้ําท่าจําแนกตามพื้นที่ภูมิภาค .. … . 45 ตารางที่ 2 - 21 สถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลาง … … 4 6 ตารางที่ 2 - 22 ความต้องการใช้น้ําทั้งประเทศ ทั้งน้ําผิวดินและน้ําบาดาล พ.ศ. 2562/2563 . … .. 4 7 ตารางที่ 2 - 23 ข้อมูลโครงการชลประทาน ตั้งแต่ต้นจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 .. … . 4 8 ตารางที่ 2 - 24 สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้งของประเทศไทย พ.ศ. 2555 – 2559 . … .. 49 ตารางที่ 2 - 25 สถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2557 – 2561 .. … . 49 ตารางที่ 2 - 26 การใช้พลังงานขั้นต้น พ.ศ. 2562 .. … . 50 ตารางที่ 2 - 27 ปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย จําแนกตามชนิดพลังงาน พ.ศ. 2556 – 2562 . … .. 51 ตารางที่ 2 - 28 ปริมาณการใช้พลังงานทดแทน เดือนมกราคม - ธันวาคม ระหว่าง พ.ศ. 2559 – 2562 . … .. 5 1 ตารางที่ 2 - 29 การใช้พลังงานไฟฟ้า จําแนกตามสาขาเศรษฐกิจ พ.ศ. 2558 – 2562 .. … . 5 2 ตารางที่ 3 - 1 ควา มเชื่อโ ยงของ นโยบา ยและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) กับบริบทภายในประเทศ แผนระดับชาต ิ … 86

  • ช - สรุปสาระสําคัญ นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) 1 . ความสําคัญ พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 10 (1) กําหนดให้คณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ มีหน้าที่และอํานาจในการกําหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ เพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี โ ดยมาตรา 13 และมาตรา 14 กําหนดว่า ในการดําเนินการ จัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติประกาศกําหนด และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ แล้ว ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติประ กาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้คณะกรรมการตามกฎหมาย อื่น หรือหน่วยงานของรัฐ ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจให้เป็นไปตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ทั้งนี้ บทบัญญัติในมาตรา 11 ได้กล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมว่า การกําหนดนโยบายและแผนการบริหา ร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศต้องกําหนดเป้าหมาย นโยบาย และทิศทางในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ ที่ดินของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคํานึงถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหารประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้า นการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน สิทธิในทรัพย์สินของประชาชน การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และหลักภูมิสังคม ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อรักษา ความสมดุ ลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม การบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน รวมทั้งวิธีปฏิบัติและระยะเวลา ในการดําเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในนโยบา ยและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ 2 . วัตถุประสงค์ 1 ) เพื่อเป็นกรอบนโยบาย และทิศทาง ในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ อย่างบูรณาการ ในระยะ 15 ปีข้างหน้า 2 ) เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทําแผนปฏิบัติการ ระยะกลาง ( 5 ปี ) และสามารถนําไปขับเคลื่อนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ให้ เป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นเชิงรุก และมีประสิทธิภาพ 3 ) เพื่ อเพิ่ มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ โดยคํานึ งถึง มิติทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเท ศ รวมถึงสามารถสร้างความสมดุล และยั่งยืนในการพัฒนาประเทศ - จ -

  • ซ - 3 . วิสัยทัศน์ การ บริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน 4 . นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) ซึ่งเป็นกร อบนโยบายหลัก ( Policy Framework ) ระยะ 15 ปี ประกอบด้วย 4 ประเด็นนโยบายหลัก 19 ตัวชี้วัด 11 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 17 แผนงานที่สําคัญ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ หลักการ การ บริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เป็นการดําเนินการเพื่อให้เกิดความสมดุล ของ ระบบนิเวศ ที่มุ่งเน้นการคํานึงถึงขีดจํากัดของทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ตามหลักการอนุรักษ์ดินและน้ํา และหลักการบริหารจัดการเชิงระบบนิเวศ การมี การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ทั่วถึง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิ จพอเพียง การบูรณาการ ให้ การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน มีความเชื่อมโยงกับ การจัดการทรัพยากรน้ํา ป่าไม้ และชายฝั่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเทศ โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการร่วมคิด แนวทาง ร่วมแก้ไขปัญหา และร่วมกระบวนการตัดสินใจ การคํานึงถึงสิทธิในทรั พย์สินของประชาชน หลักธรรมาภิบาล การรับรู้ข่าวสาร การกระจายอํานาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และภูมิสังคม ซึ่งจะทําให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่มีอยู่อย่างจํากัดมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน แก้ไขปัญหาควา มเดือดร้อนของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ส่งผลให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ วิสัยทัศน์ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน พันธกิจ (1) สงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐ และอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ป่า เพื่อรักษาความสมดุล ของระบบนิเวศ (2) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด (3) กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม และส่งเสริมการจัดที่ดินทํากินให้ประชา ชน (4) เพิ่ม ศักยภาพกลไก เครื่องมือ องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ก - 1

  • ฌ - เป้าประสงค์ (1) แนวเขตที่ดินของรัฐมีความชัดเจน รวมถึง เพิ่มและรักษาพื้นที่ป่า ธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจเพื่อ การใช้ประโยชน์ ให้มีสัดส่วนร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (2) ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศมีการนํามาใช้ ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นฐานในการพัฒนา ประเทศอย่างยั่งยืน (3) การกระจายการถือครองที่ดินของประเทศมีการกระจายตัวมากขึ้น และประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดิน มีคุณภาพชีวิตที่ดี (4) มีกลไก เครื่องมือ องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศมีประสิทธิภาพ ประเด็นนโยบายหลัก 4 ด้าน (1) ประเด็นนโยบาย ด้าน ที่ 1 : การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษา ความสมดุลทางธรรมชาติ วัตถุประสงค์เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการสงวนหวงห้ามและบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ในภาพรวม และมุ่งเน้นการอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ป ระโยชน์ ของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์และรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ เพื่อเป็นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นไปตาม เป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยมุ่งหวังเพื่อให้แนวเขตที่ดินของรัฐมีความชัดเจน การบริหาร จัดการที่ ดินของรัฐเกิดประสิทธิภาพ รวมทั้ งทรัพยากรธรรมชาติเกิดความสมดุลและยั่ งยืน ประชาชน ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ โดยมีการดําเนินงานภายใต้ 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 4 แผนงานที่สําคัญ ดั งนี้ ตัวชี้วัด 1 . จํานวนพื้นที่ที่มีการจัดทําเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐตามหลักเกณฑ์ One Map แล้วเสร็จ 2 . ที่ดินของรัฐถูกบุกรุก ( ลดลง ) 3 . ความสําเร็จของการพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกั บ ประชาชน ( เพิ่มขึ้น ) 4 . สัดส่วนของพื้นที่ป่าต่อพื้นที่ประเทศ ( เพิ่มขึ้น ) 5 . ระดับความหลากหลาย ทางชีวภาพ ในพื้นที่ป่า ( คงเดิม/เพิ่มขึ้น ) แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การแก้ไข ปัญหาความทับซ้อนเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐ 2. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 3. การอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ป่า เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ด้ว ย กระบวน การมีส่วนร่วม แผนงานที่สําคัญ 1 . แผนงานแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐและให้ความช่วยเหลือผู้ ได้รับผลกระทบ 2 . แผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 3 . แผนงานพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐ เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน 4 . แผนงานอนุรักษ์บริหารจัดการและฟื้นฟูพื้นที่ป่า ก - 2

  • ญ - (2) ประเด็นนโยบาย ด้าน ที่ 2 : การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด วัตถุประสงค์ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนมีความเหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน ภายใต้ขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ได้อย่าง สมดุล และ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธร รมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ความมั่นคงของประเทศ ตามหลักการพัฒนาที่ ยั่งยืน โดยมี การดําเนินงานภายใต้ 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 7 แผนงานที่สําคัญ ดังนี้ ตัวชี้วัด 1 . สัดส่วนของที่ดินที่มีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน และสมรรถนะของดิ น ( ลดลง ) 2 . สัดส่วนของที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ ( ลดลง ) 3 . สัดส่วนของดินที่ได้รับการฟื้นฟูหรือพัฒนาคุณภาพเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ ( เพิ่ม ขึ้น ) 4 . สัดส่วนของพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทําการเกษตรตามแนวทางเกษตรอย่างยั่งยืน ( เพิ่ม ขึ้น ) 5 . สัดส่วนของการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง ( เพิ่ม ขึ้น ) แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดินให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แผนงานที่สําคัญ 1 . แผนงานวางแผนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2 . แผนงานฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพดิน 3 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิตภาคเกษตร 4 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชุมชนเมืองและชนบท 5 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน 6 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล แม่น้ํา และปากแม่น้ํา 7 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษ (3) ประเด็นนโยบาย ด้าน ที่ 3 : การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิต ของประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการกระจายการถือครองที่ดินด้วยวิธีการที่เหมาะสมและ เป็นธรรม รวมถึงการจัดที่ดินทํากิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยมีการดําเนินงานภายใต้ 4 ตัวชี้วัด 2 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 3 แผนงานที่สําคัญ ดังนี้ ตัวชี้วัด 1 . สัดส่วนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดินทํากิน ( ลดลง ) 2 . ระดับรายได้ของผู้ได้รับการจัดที่ดิน ( เพิ่ม ขึ้น ) 3 . ระดับความพึงพอใจของผู้ได้รับการจัดที่ดินทํากิน ( เพิ่ม ขึ้น ) 4 . สัดส่วนการถือครองที่ดินของประเทศมีการกระจายตัว ( เพิ่ม ขึ้น ) ก - 3

  • ฎ - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การยกระดับเครื่องมือและกลไกกํากับควบคุมการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม 2. การจัดที่ดินทํากินให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แผนงานที่สําคัญ 1 . แผนงานยกระดับเครื่องมือและกลไกกระจายการถือครองที่ดิน 2 . แผนงานจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวม โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ ภายใต้กลไก ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ 3 . แผนงานเพิ่ มประสิ ทธิภาพและมาตรฐานการจัดที่ ดินทํากิ นให้ประชาชนตามภารกิจ ของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง (4) ประเด็นนโยบาย ด้าน ที่ 4 : การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ให้เอื้อต่อการกําหนดทิศทางและกํากับดูแลการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดความเป็นเอกภาพ โดยมีการดําเนินงานภายใต้ 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 3 แผนงานที่สําคัญ ตัวชี้วัด 1 . มีระบบฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 2 . มีการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน 3 . มีการพัฒนาเครื่ องมื อทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลื อก เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 4 . มีการพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน 5 . มีการส่งเสริมการนําเทคโนโลยีนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การพัฒนากลไกการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้มีประสิทธิภาพ 2. การพัฒนาเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์ สูงสุดและเป็นธรรม 3. การพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน แผนงานที่สําคัญ 1 . แผนงานพัฒนากลไกเชิงสถาบันและการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดิ นและทรัพยากรดิน 2 . แผนงานพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 3 . แผนงานพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ก - 4

  • ฏ - 5 . การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ บรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ และตัวชี้วัดที่กําหน ด จําเป็นต้องมีการสนับส นุน ส่งเสริมและผลักดันจากทุ กภาคส่วนอย่างบูรณาการในทุกระดับ ทั้งภาคการเมือง ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน ภาคเอกชน สถาบันการศึกษำ และองค์กรพัฒนาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีทิศทางมุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้น นโยบายและ แผน การบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) จึงได้กําหนดแนวทาง ในการขับเคลื่อน และการติดตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ดังนี้ 5.1) แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ การถ่าย ท อดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อผลักดันให้เกิดการดําเนินงานตามแนวนโยบายและสามารถเกิดผลในทางปฏิบัติ บรรลุเป้าประสงค์ และเป้าหมายตัวชี้วัดที่กําหนดไว้ได้ จําเป็นต้องได้รับการสนับสนุนแล ะความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิด การบูรณาการทุกระดับ ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอ กชน องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจน ภาคประชาชนอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ ดังนี้ 5.1.1) การผลักดันให้นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เป็นส่วนขยายภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูป ประเทศด้านทรัพยาก รธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านสังคม เพื่อให้ความสําคัญและสนับสนุนการขับเคลื่อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปพร้อมกับ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้อม และด้านสังคม ที่ มีการถ่าย ท อดลงสู่ หน่วยงานแต่ละระดับให้มีความสอดคล้องและ มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน 5.1.2) การถ่ายทอดเป้าหมายและแนวนโยบายสู่ แผนปฏิบัติการระยะกลาง (5 ปี) โดยดําเนินการผ่านแผนปฏิบัติการด้าน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเ ทศ เพื่อแปลงนโยบาย ไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน และถ่ายทอดเป้าหมาย ตัวชี้วัดไปสู่การกําหนดค่าเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา โดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ต้องประสานชี้แจงทําความเข้าใจและเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาชุมชน ในการนําแนวนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปผนวก ไว้ในแผนแม่บท ของหน่วยงานให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก - 5

  • ฐ - 5.1.3) สร้าง ความ เข้าใจในบทบาทของแต่ละภาคส่วน โดยสร้างระบบการถ่ายทอดและ สร้างความเข้าใจให้แก่ทุกภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐส่วนกลาง ระดับภาค และส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงประชาชน ให้ได้รับรู้และเข้าใจในบทบาท ของตนเอง เพื่อให้เกิดการยอมรับและตระหนัก ถึงความสําคัญต่อนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) และดําเนินงานสอดประสานซึ่งกันและกั น ในการขับเคลื่อน กำรบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศให้มีประสิทธิภาพ มาก ยิ่งขึ้น 5.1.4) การสร้า ง ระบบการกํากับและการตรวจสอบการดําเนินงานตามนโยบายและ แผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ให้มีประสิทธิภาพ ( 1 ) การพัฒนาตัวชี้วัดเป้าหมายที่มีลักษณะบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน โดยพิจารณากําหนดตัวชี้วัดย่อยที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นด้าน ที่ดินและทรัพยากรดิน ให้เป็นเป้าหมาย ร่วมกันของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเป็นทิศทางการปฏิบัติงานอย่างบูรณาการระหว่างกระทรวง กลุ่มจังหวัด จังหวัดและพื้นที่ รวมทั้งประชาชน และสร้างความเข้าใจกับสํานักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณ อย่างบูรณาการ ( 2 ) การรายงานผลความก้าวหน้าของเป้าหมายและตัวชี้วัด รวมถึงปัญหาและอุปสรรค ในการถ่ายทอดไปสู่การปฏิบัติ หรือแนวนโยบายที่ไม่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกั บแผนเ ฉพาะด้าน เสนอต่อ คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน และคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อกระตุ้นและเร่งรัดให้เกิดการขับเคลื่อนตามแนวนโยบายให้นําไปสู่การบรรลุเป้าหมาย ตัวชี้วัด รวม ทั้ง ควรมีการเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับ ข้อจํากัด ปัญหา และอุปสรรค 5 . 2 ) การติดตามความก้าวหน้าและทบทวนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เป็นระยะ การติดตามและ ประเมินผลสัมฤทธิ์ ของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ในทุกระยะ 5 ปี เพื่อพิจารณาความสําเร็จและปัญหา อุปสรรคในการดําเนินงาน รวมทั้งกําหนดแนวทางการดําเนินงานเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิ นของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ในแต่ละช่วงระยะเวลา ให้เกิดประสิทธิภาพ จากนั้นจึงนําผลที่ได้รับและข้อเสนอแนะนําเสนอต่อคณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน และคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พิจารณา ตามลําดับ เพื่อขอรับข้อเสนอแน ะต่อแนวทาง การแก้ไขปัญหาและแนวทางการดําเนินการในระยะต่อไป ให้สามารถ บรรลุเป้าหมายของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ก - 6

  • 1 - ส่วนที่ 1 บทนํา 1.1 หลักการและเหตุผล จากสถานการณ์ปัญหาของระบบการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน ของประเทศที่ขาดเอกภาพ ในเชิงนโยบา ย และมีข้อจํากัดทางด้านกลไกและเครื่องมือ อันเนื่องมาจากอํานาจการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้อง ด้านที่ดินกระจายอยู่ในส่วนราชการต่าง ๆ หลายหน่วยงาน มีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกั บการบริหารจัดการที่ดิน และ หลายคณะ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องบังคับใช้หลายฉบับ การบูรณาการการทํางานที่มีประสิทธิภาพอย่าง ไม่ เพียงพอ การ ขาดระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึง การจัดการที่ดินส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือแก้ไข ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าการแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ในระยะยาว จึง ส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับ ที่ดิน เช่น การทับซ้อนของแนวเขตที่ดินของหน่วยงานต่าง ๆ ที่นํามาซึ่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ ควำมเหลื่อมล้ําและไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน การกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน การไร้ที่ดินทํากิน การบุกรุกที่ดินของรัฐ การใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามศักยภาพของที่ดิน ตลอดจนการทิ้งร้างไม่ทําประโยชน์ ล้วนเป็น ปัญหาที่เกิดสะสมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และเป็นอุป สรรคต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมขอ ง ประเทศ ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการ ตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 49 ก ลงวันที่ 14 เมษายน 2562) โดยมาตรา 4 กําหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดิน แห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คทช” มีหน้าที่ และอํานาจตามมาตรา 10 ( 1 ) ในการกําหนดนโยบายและ แผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี โดยมาตรา 11 กําหนดให้นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ต้องกําหนดเป้าหมาย นโยบาย และทิศทางในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคํานึงถึง ความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหารประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชา ติ นโยบาย และแผนการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน สิทธิในทรัพย์สินของประชาชน การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของ ประชาชน ชุมชน และหลักภูมิสังคม ซึ่ งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม และการบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสม ตามศักยภาพของ ที่ดิน รวมทั้งวิธีปฏิบัติและระยะเวลาในการดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ ในนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ โดยที่ มาตรา 14 กําหนดให้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเท ศแล้ว ให้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และในการนี้ ให้คณะกรรมการตามกฎหมาย อื่นหรือหน่วยงานของรัฐดําเนินการตามหน้าที่ และอํานาจเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ

  • 2 - การดําเนินการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ซึ่ งเป็นกรอบนโยบาย ( Policy Framework ) ระยะ 15 ปี ดําเนินการบนกรอบนโยบายที่ ดิน และ ทรัพยากรดิน ที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะก รรมการ นโยบายที่ ดิ นแห่ งชาติ พ.ศ. 2557 มีมติเมื่ อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 เห็นชอบในหลักการของ กรอบ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดิน 4 ด้าน คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การ อนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการใช้ที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการจัดที่ดินให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสอย่างทั่วถึง และเป็นธรรม และยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน รวมถึงมติ คณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ที่เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การใช้ที่ดิน และ ทรัพยากรดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดที่ดินให้ประชาชนผู้ยากไร้อย่างทั่วถึงและ เป็นธรรม และยุทธศาสตร์ที่ 4 การบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดิน โดยปัจจุบันกรอบนโยบายและ แผน ดังกล่าว อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนและดําเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับ ต่อมา ภายหลังได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2564 จัดตั้งสํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบ ในการดําเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และดําเนินการเกี่ยวกับ การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ ดังนั้น จึงได้มีการดําเนินการทบทวนนโยบายแล ะ แผนการบริหาร จัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ซึ่งเป็นกรอบนโยบาย ( Policy Framework ) ระยะยาว ( 15 ปี) ของประเทศ ให้ครอบคลุมภารกิจที่เพิ่มขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมีประเด็นการแก้ไขปัญหาสําคัญในเรื่องที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ ได้แก่ การรักษาความสมดุล ทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่าง ยั่งยืน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม การแก้ไข ปัญหาแนวเขตที่ ดินของรัฐ การเสริมสร้าง ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ตลอดจนการบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ที่ ดินเป็นไปอย่างเหมาะสม และยั่งยืน โดยกรอบนโยบาย ( Policy Framework ) ระยะยาว ด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ระยะ 15 ปี พ.ศ. 2566 – 2580 จะเป็นกรอบ แนวทางหลักในการแปลงนโยบายและแผนไปสู่ การปฏิบัติ และขับเคลื่อน ภายใต้การจัดทําแผนปฏิบัติการ ด้านการบริการจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ระยะ 5 ปี ในแต่ละช่วงในลักษณะบูรณาการเพื่อให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดําเนินงาน การจัดสรรงบประมาณอย่างบูรณาการ และไม่เกิด ความซ้ําซ้อนในการดําเนินงาน 1.2 วัตถุประสงค์ 1 ) เพื่ อ เป็นกรอบนโยบาย และทิศทาง ในการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ อย่างบูรณาการ ในระยะ 15 ปีข้างหน้า 2 ) เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทําแผนปฏิบัติการ ระยะกลาง ( 5 ปี ) และสามารถนําไปขับเคลื่อนให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ให้ เป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นเชิงรุก และมีประสิทธิภาพ

  • 3 - 3 ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ โดยคํานึงถึงมิติ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่ นคงของประเทศ รวมถึงสามารถสร้างความสมดุล และยั่งยืนในการพัฒนาประเทศ 1.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1) มีนโยบายการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ โดยมีกลไก และเครื่องมือในการผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่า งมีประสิทธิภาพ 2) สร้างความตระหนัก ความเข้าใจที่ถูกต้องถึงความสําคัญของที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อให้เกิด ความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 1.4 กระบวนการจัดทํานโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 1.4.1 การดําเนินงานภายใต้ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2557 (ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 206 ง ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2557 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 16 ตุลาคม 2557) ได้กําหนดอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ตามข้อ 8 (1) ในการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 เห็นชอบ ในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดิน 4 ด้าน ประก อบด้วย ด้านการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ด้านการใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิด ประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม ด้านการจัดการที่ดินให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และ ด้านการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดิน โดยในระยะแรก ให้มุ่งเน้นการดําเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้าน การจัดที่ ดินทํากินให้แก่ผู้ ยากไร้ที่ ไม่มีที่ ดินทํากินก่อน เพื่ อให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยการดําเนินการจัดทํา (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินข องประเทศ กําหนดกรอบ ระยะเวลา 20 ปี คือ พ.ศ. 2560 - 2579 และมีการดําเนินการโดยสรุป ดังนี้ 1) การจัดทํา (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 เห็นชอบ (ร่าง) นโยบาย และแผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) และให้เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณา ต่อไป 2) การเสนอ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ต่อสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจาร ณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลําดับต่อไป โดยสํานักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แจ้งความเห็นในเบื้องต้นต่อ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) เสนอ ขอให้ พิจารณาทบทวนและปรับปรุง (ร่าง) นโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ให้มีความสอดคล้อง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม เรื่อง การกําหนด รูปแบบและกลไกในการติดตามและประเ มินผล

  • 4 - 3) การทบทวน (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 รวมทั้งดําเนินการเพิ่มเติมรูปแบบแล ะกลไกในการติดตาม ประเมินผล และนําเสนอต่อสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาและดําเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนการนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 4) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจ้งผลการพิจารณาเห็นว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2560 - 2579) ต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอให้สํานักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากลั่นกรองตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการเสนอ แผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ต่ อไป 1.4.2 การดําเนินการภายใต้พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 13 บัญญัติให้ การดําเนินการ จัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ต้องจัดให้มี การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ คณะกรรมการนโยบายที่ดิน แห่งชาติ ประกาศ กําหนด เนื่องจากนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ที่ระบุไว้ ตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มีความเกี่ ยวข้องกับสิทธิในทรัพย์สิน ของประชาชน การบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนและ หลักภูมิสังคม ซึ่งจะทําให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่มีอยู่อย่างจํากัด มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็น ธรรมและยั่งยืน อันจะช่วย แก้ไขปัญหาความเดือ ด ร้อนของประชาชนและ ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ดังนั้น ในกระบวนการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของ ประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุกา ร คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ รับผิดชอบการดําเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ดินของประเทศ ได้มีการดําเนินการเพื่อให้การจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ เป็ นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมีการดําเนินการ ดังนี้ 1) จัดทําร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับฟัง ความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินแล ะทรัพยากรดิน ของประเท ศ พ.ศ. … . โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดิน แห่งชาติ พ.ศ. 2562 พร้อมทั้งจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรมแกรนด์ ทาวเวอร์ อินน์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ รวม ทั้ง ดําเนินการ รับฟัง ความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปผ่านทางเว็บไซต์ของสํานักงาน จํานวน 2 ครั้ง คื อ ในระหว่างวันที่ 9 ตุลาค ม 2563 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 และในระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ปรากฏว่าไม่มีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

  • 5 - 2) นําร่างประกาศคณะกรรมนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับฟังความคิดเห็นและ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินขอ ง ประเทศ พ.ศ. … เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ ครั้ งที่ 1/2564 เมื่ อวันที่ 29 มีนาคม 2564 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างประกาศฯ ดังก ล่าว และ มอบ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ดําเนินการตามขั้นตอนการจัดทําประกาศเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ประธานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ (นายกรัฐมนตรี) ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรั พยากรดิ นของประเทศ พ.ศ. 2564 เมื ่ อวั นที ่ 23 เมษายน 2564 และได้ มี การประกาศลงใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อ วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 (เล่ม 138 ตอนพิเศษ 102 ง) 3 ) ทบทวนและปรับปรุง (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ บนหลักการของ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 256 0 - 257 9 ) ที่ คณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2557 มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ประกอบกับ ได้มีการพิจารณาทบทวนภารกิจของคณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ ให้สอดคล้องและครอบคลุม ตามเจตนารมณ์ในพ ระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 รวมทั้งการทบทวนกรอบ ระยะเวลาของนโยบายและแผนฯ ให้ สอดคล้องกับแผนระดับที่ 1 และแผนระดับที่ 2 โดยดําเนินการทบทวนข้อมูล ด้านที่ดินและทรัพยากรดิน ประกอบด้วย (1) สถานการณ์ปัญหาที่ดินและทรัพยากรดินที่มีข้อมูลเป็นปั จจุบัน และแนวโน้มที่ อาจจะเกิดในอนาคต และ (2) ศึกษา และทบทวน นโยบาย แผน กฎหมาย ระเบียบ และ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการ กําหนดกลยุทธ์และตัวชี้วัดของแผนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนระดับที่ 1 (ยุทธศาสตร์ชาติ) แผนระดับที่ 2 (แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นโยบาย ความมั่นคงแห่งชาติ ) รวมทั้ง แผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4 ) ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทํานโยบายแล ะ แผน การบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายที่ ดินแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนฯ (ตามมาตรา 13 แห่ง พระราชบัญญัติ ค ณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562) โดยดําเนินการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ผ่านวิธีการและช่องทาง ที่ หลากหลาย ได้แก่ - การรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้แทนหน่วยงานของรัฐ กลุ่มผู้แทนภาคประชาชนในพื้นที่ 4 ภูมิภาค ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ - การจัดทําหนังสือแจ้งเวียนหน่วยงานของรัฐทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กา ร มหาชน รวมถึงหน่วยงานภาคประชาสังคมที่มีบทบาทและภารกิจที่เกี่ยวข้อง - การเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสํานักงา น คณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ - การเปิดให้ประชาชนมารับข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ณ สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 6 - ทั้ งนี้ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาประกาศการรับฟังความคิดเห็นต่อนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) ผลภาพรวมสรุปว่า มีผู้เข้าร่วมให้ความคิดเห็น ผ่านทุกช่องทาง รวมทั้งสิ้น 567 ราย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการของประเด็นนโยบายและ แผนฯ ดังกล่าว คิดเป็นร้อยละ 99.29 5) นํา ( ร่าง ) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เสนอต่อ คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทางและมาตรการการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ที่ประชุมมีมติรับทราบความคืบหน้าการจัดทํานโยบายและแผนฯ และมอบฝ่ายเลขานุการเร่งดําเนินการเพื่อนําเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป 6) คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 25 8 0) 1.5 กรอบแนวคิดการดําเนินงาน ที่ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสําคัญต่อการพั ฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึง ในด้านการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ดังนี้ 1) ที่ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สําคัญในการผลิตของประเทศ ทั้งใน ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคบริการ เนื่ องจากที่ ดินเป็นแหล่งกําเนิดในการผลิตสินค้า ทางการเกษตรและอาหาร ซึ่งผลิตผลทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทําให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทําให้เกิดธุรกิจต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร เช่น การแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งส่งผลให้มีการเติบโต และขยา ยตัวในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ที่ดินบางประเภทที่มีความสําคัญและมีลักษณะที่โดดเด่น สามารถเป็น แหล่งท่องเที่ ยวสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่ งก่อให้เกิดภาคบริการที่ สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศได้อีกทางหนึ่ง 2) ที่ดินเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน เนื่ องจากเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ที่สําคัญในการดํารงชีวิตของประชาชน 3) ที่ดินช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ เนื่องจากการใช้ที่ดินที่ไม่ตรงตามศักยภาพกับประเภท การใช้ที่ดิน จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ การเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ โดยเฉ พาะพื้นที่ป่า และพื้นที่ทําการเกษตร ทั้งนี้ การจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ดําเนิ นการโดยมี ความสอดคล้ องกั บ รั ฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจั กรไทย พุ ทธศั กราช 2560 และ แผนระดับต่าง ๆ ได้แก่ แผนระดับที่ 1 (ยุทธศาสตร์ชาติ) แผนระดับที่ 2 (แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรู ป ประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ) และแผนระดับที่ 3 ที่เกี่ยวข้อง อันจะนําไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในกำรสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรดิน รวมถึงการใช้องค์ความรู้ทางวิชาการ ได้แก่ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) การประชุ มกลุ่ มย่อย การประชุ มเชิ ง ปฏิบัติ การ

  • 7 - ซึ่งการประยุกต์ใช้แนวคิดดังกล่าวจําเป็นต้องพิจารณาบริบทการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างรอบด้าน เพื่อให้การจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินฯ มีข้อมูลที่ถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน เป็นที่ยอมรับ ของทุกภาคส่วน 1.6 หลักการสําคัญ หลักการสําคัญที่นํามาใช้ป ระกอบการพิจารณาจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อเป็นกรอบในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วยหลักการ ที่สําคัญ ดังนี้ 1. ห ลักธรรมาภิบาล ( Good Governance ) เป็นหลักการที่มุ่งเน้นให้เกิดความยั่งยืนในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การกระจาย อํานาจที่ยึดหลักการพื้นที่ - หน้าที่ - การมีส่วนร่วม ( Area - Function - Participation : AFP ) การบังคับใช้ กฎหมาย อย่างมีประสิทธิภาพ และความเป็นธรรม ความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจ การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ และการกําหนดภาระรับผิดชอบ ( Accountability ) ของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง 2. หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ( Sufficiency Economy ) เป็น แนวทางการดํารงอยู่และ ปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ โดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย (1) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่ น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น (2) ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้น ๆ อย่างรอบคอบ ( 3) ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต มีเงื่อนไขของการตัดสินใจและดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ใน ระดับพอเพียง 2 ประการ ดังนี้ (1) เ งื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ความรอบคอบ ที่จะนําความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ และ (2) เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสั ตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิต 3. หลักการอนุรักษ์ดินและน้ํา ( Soil and Water Conservation ) เป็นหลักการใช้ทรัพยากรดิน และน้ําอย่างเหมาะสม ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความยั่งยืน การนํามาตรการ อนุรักษ์ดินและน้ํามาใช้เพื่อป้องกันและรักษาดินไม่ให้ถูกชะล้างพังทลาย ทั้งบนพื้นที่ที่มีความลาดเทต่ํา จนถึงพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง ซึ่งปัจจุบันมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ําที่ใช้กันอยู่ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มาตรการวิธีกล ( Mechanical Measure s ) และมาตรการวิธีพืช ( Vegetative Measures ) การเลือกใช้ มาตรการใดควรพิจารณาลักษณะดิน ลักษณะภูมิประเทศ ปริมาณน้ําฝน ตลอดจนการใช้ประโยชน์บนพื้นที่ดิน โดยเลือกวิธีการผสมผสานมาตรการให้เหมาะสมเพื่อให้การทําการเกษตรเกิดความยั่งยืน

  • 8 - 4. หลักการบริหารจัดการเชิงระบบนิเวศ ( Ecosystem Approach ) เป็นหลักการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยคํานึงถึงความสัมพันธ์เชิงระบบหรือองค์รวม ( Holistic ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อบูรณาการด้านการจัดการที่ดิน น้ํา และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในบริเวณนั้น ให้เกิดความสมดุล ในด้านการอนุรักษ์ มีการนําทรัพยากรมาใช้อย่างยั่งยืน และการแบ่งปันการใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเท่าเทียมกัน การดํารงอยู่ของระบบนิเวศอย่างสมดุลแล ะการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้แก่ การจัดการลุ่มน้ําอย่างบูรณาการและการบริหาร จัดการลุ่มน้ํา 5. หลักการระวังไว้ก่อน ( Precautionary Principle ) เป็นหลักการจัดการเชิงรุกที่เน้นการป้องกัน ผลกระทบ โดยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีระบบนิเวศ ที่เปราะบางและพื้นที่เสี่ยง 6. หลักภูมิสังคม ( Geosocial ) เป็นหลักการพัฒนาที่เน้นสภาพตามความเป็นจริงของภูมิประเทศ ลักษณะของพื้นที่ วิถีชีวิต ค่านิยม ความหลากหลายของวัฒนธรรม และประเพณีที่อยู่รอบ ๆ ท้องถิ่นที่อยู่อาศัย โดยคํานึงถึงความพร้อมของทุกคนในสังคม ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันและพลังในการร่วมกันคิดร่วมกันทําในสิ่ง ที่ ทุกคนเห็นว่าเป็นปัญหาและจะต้องพัฒนาให้ก่อประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมในสังคม จากนั้ นจึงขยาย การดําเนินงานออกสู่สังคมภายนอก 7. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ( Participation ) เป็นกระบวนการที่ประชาชนและผู้ที่ เกี่ยวข้อง มีโอกาสได้เข้าร่วม ร่วมคิดแนวทาง ร่วมแก้ไขปัญหา ร่วมในกระบวนการตัดสินใจ และร่วมกระบวนการพัฒนา ในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนา โดย การมีส่วนร่วมของประชาชนที่นําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) การมีส่วนร่วมในการรับรู้ สามารถให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2) การมีส่วนร่วมในการเลือกและ เสนอแนวทางเพื่อตัดสินใจ 3) การมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสิ นใจ 4) การมีส่วนร่วมในการดําเนินงานติดตาม ตรวจสอบ และ 5) การมีส่วนร่วมรับประโยชน์ และ เป็นเจ้าของนโยบายสาธาร ณะ 8. หลักการพัฒนาที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง ( Human - Centered Development ) เป็นหลักกา ร พัฒนาโดยใช้ “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคงของชาติ พัฒนาคนทุกวัยให้เป็นคนดี คนเก่ง มีศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีจิตสํานักรับผิดชอบต่อส่วนรวมไปสู่การสร้าง สังคมที่พึงปรารถนา โดยบูรณาการให้เกิดองค์รวม มีดุลยภาพ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม และมิติด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดสภาพที่เรียกว่าเป็นภาวะยั่งยืน เกิดความสมดุล ระหว่างคน ธรรมชาติ และสรรพสิ่งที่เกื้อกูลกัน ซึ่งจะ ส่งผลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง 9. หลั กการพั ฒนาที ่ ยั่ งยืน ( Sustainable Development ) เป็นหลักการพัฒนา ที่ มุ่ งเน้น การคํานึงถึงขีดจํากัดของทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวด ล้อม โดยการพัฒนาจะตอบสนองความต้องการของคนทั้งในยุคปัจจุบันและยุคต่อไปอย่างเท่าเทียมกัน โดย มีหลักการสําคัญ คือ การสร้างสมดุลของการพัฒนาทั้ง 3 มิติ อันได้แก่ 1) มิติด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็ น การพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ กระจายรายได้ให้เอื้อประโยชน์ต่อคนในสังคม 2) มิติการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาคนให้มีความรู้ มีสมรรถนะและมีผลิตภาพสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิด สังคมที่มีคุณภาพ และเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และ 3) มิติการพัฒนาสิ่ งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณที่ระบบนิเวศสามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้

  • 9 - 10. หลักการพัฒนาที่ มุ่ งผลสัมฤทธิ์ ( Results Based Development ) เป็นหลักการพัฒนา ที่มุ่งเน้นให้ความสําคัญกับวัตถุประสงค์และผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินงาน ทั้งในแ ง่ของผลผลิต ( Output ) ผลลัพธ์ ( Outcome ) และความคุ้มค่าของเงิน ( Value for money ) รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพและสร้างความพึงพอใจ ให้แก่ประชาชนซึ่งเป็นผู้รับบริการ โดยจะมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน และตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ตั้งไว้ เพื่อบรรลุการบริหารที่ มุ่งมั่น การจัดการทางทรัพยากรการบริหารมาอย่างประหยัด ( Economy ) เน้นการใช้ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ( Efficiency ) และ การได้ผลงานที่บรรลุเป้าหมายขององค์กร ( Effectiveness )

  • 10 - รูป ที่ 1 - 1 กรอบแนวคิดการจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีหน้าที่ “กําหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศเพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี โดยต้องกําหนดเป้าหมาย นโยบาย และทิศทางในการพัฒนา การใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย คํานึง ถึง ความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหาร ประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นโยบายและ แผนการส่งเสริมและรักษา คุณภาพ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และ แผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการที่ดินแ ละทรัพยากรดิน สิทธิในทรัพย์สินของ ประชาชน การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และ หลักภูมิสังคม ( พระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562) สถานการณ์ปัญหาที่ดินและทรัพยากรดิน 1. ปัญหาที่ดิน เช่น - ปัญหาการบุกรุกที่ดิน - ปัญหาด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน - ความเหลื่อมล้ําและไม่เป็นธรรม ในการกระจายการถือครองที่ดิน 2. ปัญหาด้านคุณภาพของดิน เช่น - การขาดความอุดมสมบูรณ์ - การชะล้างพังทลายของดิน 3. ปัญหาด้านการบริหารจัดการ ความเป็นมา วิธีการ/เครื่องมือ หลักการที่นํามาพิจารณา 1. หลักธรรมาภิบาล 2. หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3. หลักการอนุรักษ์ดินและน้ํา 4. หลักการบริหารจัดการเชิงระบบนิเวศ 5. หลักการระวังไว้ก่อน 6. หลักภูมิสังคม 7. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน 8. หลักการพัฒนาที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง 9. หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 10.หลักการพัฒนาที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ - การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง - การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) - การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับกฎหมาย นโยบาย และแผนระดับประเทศ - การประชุมกลุ่มย่อย ( Focus Group ) - การประชุมเชิงปฏิบัติการ ( Workshop ) ประเด็นนโยบาย นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) นโยบายที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดิน ของรัฐอย่างมี ประสิทธิภาพ และ การรักษาความสมดุล ทางธรรมชาติ นโยบายที่ 2 ด้านการใช้ที่ดินและ ทรัพยากรดินให้เกิด ประโยชน์สูงสุด นโยบายที่ 3 ด้านการกระจาย การถือครองที่ดิน อย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชน นโยบายที่ 4 การบูรณาการและ เสริมสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน อย่างมีเอกภาพ กลยุทธ์/แนวทางการดําเนินงาน ภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์ 4 ด้าน กลไกการขับเคลื่อน การจัดทําแผนปฏิบัติการ ด้านบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ การติดตามและ ประเมินผล ความร่วมมือ การมีส่วนร่วม รัฐบาล เจ้าหน้าที่ และ หน่วยงานของรัฐ ประชาชน ประชารัฐ

  • 11 - ส่วนที่ 2 สถานการณ์และแนวโน้มปัญหาที่ดินและทรัพยากรดิน ประเทศไทยมีเนื้อที่ รวม 320.7 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นที่ดินรัฐ ประมาณ 194 ล้านไร่ (คิดเป็นร้อยละ 60 ของพื้นที่ประเทศ) และที่ดินเอกชน ประมาณ 127 ล้านไร่ (คิดเป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ) โดยใน ส่วนของที่ดินของรัฐ จําแนกออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ พื้นที่ป่าตามกฎหมาย คิดเป็นร้อยละ 4 2 ของพื้นที่ ประเทศ ที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 - 01) คิดเป็นร้อยละ 10.5 ของพื้นที่ประเทศ พื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้จําแนก คิดเป็ นร้อยละ 5 ของพื้นที่ประเทศ และพื้นที่ราชพัสดุ คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของพื้นที่ประเทศ รายละเอียดแสดง ดังตารางที่ 2 - 1 สําหรับที่ดินเอกชน จําแนกตามรูปแบบเอกสารสิทธิ 4 รูปแบบ ได้แก่ โฉนด คิดเป็นร้อยละ 31.8 ของพื้นที่ประเทศ น.ส. 3 ก คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของพื้นที่ประเทศ น.ส. 3 คิดเป็นร้อยละ 2.9 ของพื้นที่ ประเทศ และใบจอง คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของพื้นที่ประเทศ รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 2 ตารางที่ 2 - 1 ข้อมูลการจําแนกที่ดินของรัฐ ประเภท จํานวนพื้นที่ (ล้านไร่) ร้อยละของพื้นที่ประเทศ พื้นที่ป่าตามกฎหมาย 135 4 2 ที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 - 01) 33.7 10 . 5 พื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้จําแนก 17.2 5 พื้นที่ราชพัสดุ 8.1 2 . 5 รวม 194 60 ที่มา: กรมที่ดิน (2559) ตารางที่ 2 - 2 สถิติปริมาณข้อมูลเอกสารสิทธิทั่วประเทศ ตั้งแต่เริ่มออกโฉนดครั้งแรก พ.ศ. 2444 – 30 กันยายน พ.ศ. 2562 ประเภท จํานวนเอกสารสิทธิ (แปลง) จํานวนเนื้อที่ (ล้านไร่) ร้อยละของพื้นที่ประเทศ โฉนด 24,461,590 102 . 1 31 . 8 น.ส. 3 ก 2,948,161 13 . 9 4 . 3 น.ส. 3 1,010,390 9 . 2 2 . 9 ใบจอง 157,996 1 . 5 0 . 5 รวม 38,578,137 126 . 7 39 . 5 ที่มา: กรมที่ดิน (25 64 ) ที่ดินและทรัพยากรดินเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความอยู่ดีมีสุข ของประชาชนในประเทศ ที่ดินจึงเป็นทรัพยากรที่มีความสําคัญต่อการดํารงชีวิตของประชาชนและการพัฒนา ประเทศเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ที่ดินและทรัพยากรดินนับเป็นทรัพยากรที่มีจํากัด เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถ ขยายที่ดินออกไปได้โดยง่าย อีกทั้งการกําเนิดแร่ธาตุและสารอาหารในดินตามกระบวนการทางธรรมชาติจะต้องใช้ เวลายาวนาน ภาครัฐจึงจําเป็นต้องดําเนินนโยบายในการดูแลรักษา ป้องกัน ฟื้นฟูและพัฒนาที่ดินและทรัพยากรดิน ในระดับประเทศและท้องถิ่นให้เกิดความ สมดุล ทั้งในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

  • 12 - การ ดําเนินนโยบายของรัฐในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทําให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นําด้านเศรษฐกิจและหุ้นส่วนด้านการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลให้ ความต้องการใช้ทรัพยากรในการพัฒนาประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีการนําที่ดินและ ทรัพยากรดินมาใช้เพื่อการผลิตและการบริการมากเกินกว่าศักยภาพในการร องรับ จึงส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรม ต่อที่ดินและทรัพยากรดิน รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ประกอบกับ ปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยและ ที่ดินทํากิน ทําให้เกิดแรงจูงใจในการบุกรุกที่ดินของรัฐเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และขยายพื้นที่ทางการเกษตร เพื่อเพิ่มผลผลิต รวมทั้งการ บุกรุกจับจองที่ดินของนายทุน และการออกโฉนดที่ดิน หรือเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง โดยไม่บังคับใช้กฎหมาย อย่างจริงจังกับผู้บุกรุก ทําให้มีการบุกรุกที่ดินของรัฐเป็นจํานวนมาก ดังนั้น ในการวิเคราะห์สถานการณ์ และแนวโน้มปัญหาที่ดินและทรัพยากรดิน ได้มีการวิเคราะห์ภายใต้ สถานการณ์ ในระดับประเทศที่เป็นปัจจัยสําคัญทั้งภายในและภายนอก ที่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ดินและทรัพยากรดินที่สําคัญ 2.1 ประเด็นปัญหาหลักของการใช้ที่ดินและทรัพยากรดินในภาพรวมของประเทศ 2.1.1 การสงวนและคุ้มครองที่ดินของรัฐ 1) พื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ข้อมูลสถิติพื้นที่ป่าไม้ของสํานักการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 256 3 พบว่าพื้นที่ ป่าไม้ของประเทศไทยมีจํานวนรวม 102.35 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31.6 4 ของพื้นที่ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2558 ที่มีพื้นที่ป่าไม้จํานวน 102.24 ล้านไร่ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0. 10 พื้นที่ป่าไม้ส่วนใหญ่อยู่ใน ภาคเหนือ โดยมีพื้ นที่ ป่าไม้เท่ากับ 56.3 0 ล้านไร่ ซึ่ งคิดเป็นร้อยละ 55 ของพื้ นที่ ป่าไม้ทั้ งประเทศ เมื่อพิจารณาสัดส่วนพื้น ที่ป่าไม้รายภาคระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 256 3 พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ สูงสุด คิดเป็นร้อยละ 52. 38 ของพื้นที่ทั้งภาค รองลงมา คือ ภาคกลางมีสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 33.16 ของพื้นที่ทั้งภาค ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้น้อยที่สุด เพียงร้อยละ 1 4 . 99 ของพื้นที่ ทั้ง ภาค เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ รายภาค ในปี พ.ศ. 2558 เทียบกับปี พ.ศ. 256 3 พบว่า ทุกภาค (ยกเว้นภาค เหนือ ) มีพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น โดยภาคใต้มีสัดส่วนพื้ นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 0 .3 2 ของพื้นที่ภาค รองลงมา คือ ภาคตะวันออกร้อยละ 0. 15 ของพื้นที่ภาค ภาคกลางร้อยละ 0. 14 ของพื้นที่ภาค และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 0. 05 ของพื้นที่ภาค ตามลําดับ ส่วนภาคเหนือมีสัดส่วน พื้นที่ป่าไม้ลดลง ร้อยละ 0. 18 ของพื้นที่ภาค รายละเอียดดั ง ตารางที่ 2 - 3 และตารางที่ 2 - 4

  • 13 - ตารางที่ 2 - 3 พื้นที่ป่าไม้และสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ปี พ.ศ. พื้นที่ป่าไม้ (ล้านไร่) สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ ต่อพื้นที่ทั้งประเทศ 2558 102.24 31.60 2559 102.17 31.58 2560 102.16 31.58 2561 102.49 31.68 2562 102.48 31.68 2563 102 . 35 31 . 64 ที่มา: สํานัก จัด การที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ ตารางที่ 2 - 4 พื้นที่ป่าไม้รายภาค ปี พ.ศ. 2558 - 2563 ปี พ.ศ. ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคใต้ พื้นที่ป่าไม้รวม ล้านไร่ % ล้านไร่ % ล้านไร่ % ล้านไร่ % ล้านไร่ % ล้านไร่ % 2558 56 .50 52 . 56 15 . 66 14 . 94 5 . 09 22 . 25 13 . 92 33 . 02 11 . 07 23 . 99 102 . 24 31 . 60 2559 56 . 43 52 . 50 15 . 65 14 . 93 5 . 10 22 . 32 13 . 91 32 . 98 11 . 08 24 . 00 102 . 17 31 . 58 2560 56 . 38 52 . 45 15 . 66 14 . 94 5 . 11 22 . 34 13 . 92 33 . 01 11 . 09 24 . 02 102 . 16 31 . 58 2561 56 . 48 52 . 55 15 . 75 15 . 03 5 . 13 22 . 40 13 . 92 33 . 02 11 . 21 24 . 28 102 . 49 31 . 68 2562 56 . 39 52 . 46 15 . 75 15 . 03 5 . 13 22 . 40 13 . 98 33 . 16 11 . 23 24 . 33 102 . 48 31 . 68 2563 56 . 30 52 . 38 15 . 71 14 . 99 5 . 13 22 . 40 13 . 98 33 . 16 11 . 22 24 . 31 102 . 35 31 . 64 ที่มา: สํานักจัดการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ ข้อมูลสถิติพื้นที่อนุรักษ์ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 25 63 ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แบ่งพื้นที่อนุรักษ์ออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรุกขชาติ พบว่าในปี พ.ศ. 256 3 มีพื้นที่อนุรักษ์รวม 67. 84 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 256 2 ที่มีเนื้อที่รวม 67. 6 2 ล้านไร่ หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0. 3 3 สําหรับพื้นที่ ป่าสงวนแห่งชาตินั้น มีเนื้อที่รวม 143 . 93 ล้านไร่ ซึ่งจํานวนและเนื้อที่ป่าสงวนแห่งชาติในทุกภาคและ ทั้งประเทศคงที่ทุกปี ภาคเหนือมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติมากที่สุด คิดเป็น 69.92 ล้านไร่ หรือร้อยละ 48.58 ของป่าสงวนแห่งชาติทั้งประเทศ ส่วนภาคใต้มีจํานวนป่าสงวนแห่งชาติที่ได้รับการจัดตั้งมากที่สุด คือ 468 แห่ง รายละเอียดดังตารางที่ 2 - 5 และตารางที่ 2 - 6

  • 14 - ตารางที่ 2 - 5 ข้อมูลขนาดพื้นที่อนุรักษ์ / พื้นที่สงวนหวงห้าม ประเภทต่าง ๆ ประเภท พื้นที่อนุรักษ์ 2558 2559 2560 2561 2562 2563 แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) แห่ง พื้นที่ (ล้านไร่) อุทยาน แห่งชาติ 127 38.87 129 39 .04 131 39 . 47 132 39 .50 133 39 . 7 0 133 39.70 วนอุทยาน 119 0.91 119 0. 9 1 95 0. 71 93 0. 72 91 0. 71 91 0 . 66 เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า 58 23.08 59 23 . 14 60 23 . 30 60 23 . 36 60 23 . 36 60 23 . 36 เขตห้ามล่า สัตว์ป่า 60 2.69 65 3 . 16 69 3 . 53 73 3 . 59 75 3 . 79 88 4 . 07 สวน พฤกษศาสตร์ 18 0.03 18 0.03 18 0.03 18 0.03 18 0.03 16 0 . 03 สวนรุกขชาติ 52 0.0 2 53 0.0 2 53 0.0 2 53 0.0 3 53 0.0 3 52 0.02 รวม 434 65 . 60 443 66 . 30 426 67 . 06 429 67 .23 430 67.62 440 67.84 ที่มา: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตารางที่ 2 - 6 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2559 - 2563 ภาค 2559 2560 2561 2562 2563 พื้นที่ป่า ล้านไร่ พื้นที่ป่า ล้านไร่ พื้นที่ป่า ล้านไร่ พื้นที่ป่า ล้านไร่ พื้นที่ป่า ล้านไร่ เหนือ 257 69.92 257 69.92 257 69.92 257 69.92 257 69.92 ตะวันออก เฉียงเหนือ 353 34.58 353 34.58 353 34.58 353 34.58 353 34.58 กลางและ ตะวันออก 143 21 . 81 143 21 . 81 143 21 . 81 143 21 . 81 143 21 . 81 ใต้ 468 17 . 61 468 17 . 61 468 17 . 61 468 17 . 61 468 17 . 61 รวม 1,221 143 . 93 1,221 143 . 93 1,221 143 . 93 1,221 143 . 93 1,221 143 . 93 หมายเหตุ : 1. เนื้อที่ป่าสงวนแห่งชาติในตารางนี้เป็นเนื้อที่รวมทั้งหมดตามที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังไม่ได้หักเนื้อที่ ซ้อนทับและเนื้อที่เพิกถอนเพื่อใช้ประโยชน์ออก 2. จังหวัดนครสวรรค์ กําแพงเพชร และอุทัยธานี รวมอยู่ในภาคเหนือ ที่มา: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

  • 15 - สําหรับพื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเล โดย ข้อมูล กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ปี พ.ศ. 2558 มีขนาดพื้นที่รวมทั้งสิ้น 59,640 ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น พื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทางทะเล (เฉพาะพื้นที่ทะเล) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ชายฝั่ง (เฉพาะพื้นที่ ทะเล) พื้นที่กําหนดมาตรการ ในการทําประมง ครอบคลุมพื้นที่ทะเล และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม (พื้นที่ทะเล) รายละเอียดดังตารางที่ 2 - 7 ตารางที่ 2 - 7 พื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเล ประเภทพื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเล* 2558 ** พื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเลทั้งสิ้น 59,640 พื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล (เฉพาะพื้นที่ทะเล) 4,790 เขตห้ามล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ชายฝั่ง (เฉพาะพื้นที่ทะเล) 189 พื้นที่กําหนดมาตรการในการทําประมง ครอบคลุมพื้นที่ทะเล 50,105 พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม (พื้นที่ทะเล) 4,556 หมายเหตุ : * พื้นที่คุ้มครองที่ประกาศแล้วเป็นพื้นที่ทางทะเล ยังไม่ได้มีการคํานวณพื้นที่ที่มีการทับซ้อนกันระหว่างพื้นที่ คุ้มครองรูปแบบต่าง ๆ และยังขาดข้อมูลพื้นที่ของที่รักษาพืชพันธุ์ 30 แห่ง ** หน่วย ตารางกิโลเมตร ที่มา : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ข้อมูลสถิติพื้ นที่ ป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ ง ระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2562 พบว่า พื้นที่ป่า ชำยเลนของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2562 มีประมาณ 1.74 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น จากปี พ.ศ. 2557 ที่มีพื้นที่ป่าชายเลนจํานวน 1.53 ล้านไร่ หรื อคิดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.19 โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เมื่อพิจารณาพื้นที่ ป่าชายเลนจําแนกรายภาค ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2557 เทียบกับปี พ.ศ. 2562 พบว่าทุกภาคมีพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้น โดยภาคกลางมีสัดส่วนพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.71 รองลงมา คือ ภาคตะวันออก ร้อยละ 22.30 รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 8 ตารางที่ 2 - 8 เนื้อที่ป่าชายเลน จําแนกตามภาค พ.ศ. 2543 – 2562 ภาค เนื้อที่ป่าชายเลน (ไร่) 2543 2547 2552 2557 2562 รวมทั่ว ประเทศ 1,579,780 . 77 1,458,174 . 54 1,525,060 . 56 1,534,584 . 74 1,737,019 . 74 ภาคกลาง 67,961 . 90 49,979 . 16 75,683 . 26 68,148 . 48 108,156 . 87 ภาค ตะวันออก 165,292 . 01 152,247 . 34 161,550 . 42 164,649 . 70 201,374 . 34 ภาคใต้ 1,346,526 . 86 1,255,948 . 04 1,287,826 . 88 1,301,786 . 56 1,427,488 . 53 ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2564)

  • 16 - เมื่อพิจารณาผลการจําแนกพื้นที่ป่าชายเลนและป่าพรุ ทั้งในและนอกขอบเขตป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 จากภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูง ด้วยคอมพิวเตอร์และสายตาร่วมกัน เมื่อปี พ.ศ. 2562 พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลน (คงสภาพ) รวมทั้งหมดจํานวน 1,737,020 ไร่ ซึ่งอยู่ ในขอบเขตตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 1,526,746 ไร่ อยู่นอกขอบเขตตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 210,274 ไร่ พื้นที่ป่าชายหาด รวมทั้งหมดจํานวน 47,150 ไร่ อยู่ในขอบเขตตาม มติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 15,842 ไร่ อยู่นอกขอบเขตมติคณะรั ฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 31,308 ไร่ และพื้นที่ป่าพรุ รวมทั้งหมดจํานวน 37,140 ไร่ อยู่ในขอบเขตตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 15,522 ไร่ อยู่นอกขอบเขตมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 จํานวน 21,618 ไร่ 2) การบุกรุกพื้นที่ของรัฐและการใช้ที่ดินไม่เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน ข้อมูลการบุกรุกพื้ นที่ ป่าไม้ของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในช่ว ง ปี พ.ศ. 2558 - 2562 พบว่า ในปี พ.ศ. 2562 มีสถิติการกระทําผิดกฎหมายเกี่ยวกับ การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ รวม 1,853 คดี มีพื้นที่ ถูกบุกรุก รวม 33,449 . 14 ไร่ ลดลงจาก พ.ศ. 2561 ที่มีพื้นที่ที่ถูกบุกรุก รวม 45,416 . 85 ไร่ แต่มีจํานวนคดี เพิ่ มมากขึ้ น ส่วนส ถิติการกระทําผิดกฎหมายเกี่ ยวกับการบุกรุกพื้ นที่ ป่าไม้ในเขตพื้ นที่ ป่าอนุรักษ์ ใน ความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า ในปี พ.ศ. 2562 มีคดีบุกรุก 1,046 คดี และมีพื้นที่ถูกบุกรุก รวม 16,534 . 12 ไร่ ลดลงจาก พ.ศ. 2561 ที่มีคดีบุกรุกจํานวน 1 ,539 คดี และพื้นที่ ถูกบุกรุก รวม 21,896 . 12 ไร่ รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 9 ตารางที่ 2 - 9 สถิติการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พ.ศ. 2558 - 2562 ปี (พ.ศ.) เขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ เขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในความรับผิดชอบ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จํานวนคดีบุกรุก (คดี) พื้นที่ที่ถูกบุกรุก (ไร่) จํานวนคดีบุกรุก (คดี) พื้นที่ที่ถูกบุกรุก (ไร่) 2558 3,685 164,196 . 96 3,476 34,144 . 45 2559 3,039 83,673 . 35 2,209 50,053 . 22 2560 2,173 46,241 . 37 2,068 35,189 . 52 2561 1,767 45,416 . 85 1,539 21,896 . 12 2562 1,853 33,449 . 14 1,046 16,534 . 12 หมายเหตุ: 1 ) เขตพื้นที่ป่าในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า 2 ) เนื่องจากเป็นข้อมูลนําเสนอของหน่วยงาน ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ป่าไม้ เป็นเพียงข้อมูล ที่ใช้ประกอ บเท่านั้น ที่มา: กรมป่าไม้ ( 2563 ) และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ( 2563 )

  • 17 - ในส่วนของผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน โดยกรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 255 8 – 2562 มีคดีรวมทั้งสิ้น 1,330 คดี ผู้ต้องหา 406 คน สูญเสียพื้นที่ ป่าชายเลน 52,970.46 ไร่ โดยในช่วงปี พ.ศ. 255 8 – 2559 จํานวนคดีและพื้นที่ถูกบุกรุกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2559 – 2562 จํานวนคดีและพื้นที่ที่ถูกบุกรุกเริ่มมีแนวโน้มลดลง ข้อมูลแสดงดั งตารางที่ 2 - 10 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ดําเนินการรื้อถอนผลอาสินในพื้นที่ทวงคืน เพื่อดําเนินการฟื้นฟู และ/หรือเข้าสู่กระบวนการพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดินตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป โดยระหว่างปี พ.ศ. 255 8 – 2562 ได้ดําเนินการรื้อถอนผลอาสินในพื้นที่ทวงคืนแล้วกว่า 368 แปลง เนื้อที่รวม 18 , 014.26 ไร่ สําหรับ ปี พ.ศ. 2562 ดําเนินการรื้อถอนแล้ว 110 แปลง เนื้อที่ 4 , 988.35 ไร่ ตารางที่ 2 - 10 ผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน โดยกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 255 8 – 2562 ปีงบประมาณ จํานวนคดี จํานวนผู้ต้องหา (คน) พื้นที่ถูกบุกรุก (ไร่) 2558 88 54 1 , 430.14 2559 326 162 17 , 591.11 2560 385 65 16 , 622.69 2561 219 24 8 , 813.08 2562 172 17 5 , 195.49 รวม 1,330 406 52 , 970.46 ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (2564) ยุ ทธศาสตร์ กรมป่ำไม้ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579 ) ได้ ระบุ สภาพปั ญหำ ควา ม ขัดแย้ง การใช้ที่ดินป่าไม้ที่มีความรุนแรง เนื่องจากที่ดินมีอยู่อย่างจํากัด แต่จํานวนประชากรและความต้องการ ใช้ประโยชน์ที่ดินมีมากขึ้น และปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ตรงตามศักยภาพของพื้นที่ เช่น มีการใช้พื้นที่ป่ำ สําหรับกิจกรรมทางการเกษตรหรือการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม หรือมีการขยายตัวของพื้นที่เมืองแล ะ อุตสาหกรรม เข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรม มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า ไม้ไม่เหมาะสมตามสถานภาพของพื้นที่ และการกระจาย การถือครองที่ดินยังไม่เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ปัญหาไฟป่ายังเป็นสาเหตุสําคัญของการเสื่อมโทรม ของพื้นที่ป่าและส่วนใหญ่มีสาเหตุจากมนุษย์ โดยยังมีการควบคุมและจัดการไฟป่าที่ไม่เหมาะสมตามหลักวิชาการ ก่อให้เกิดการ เสื่อมโทรมของพื้นที่ป่า เช่น การป้องกันไฟป่าอย่างเคร่งครัดในพื้นที่ป่าเต็งรัง ส่งผลกระทบทางลบ ต่อการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของป่าและการเติบโตของพืชบางชนิด นอกจากนี้ในเอกสาร เรื่อง การแก้ไขปัญหา ที่ดินป่าไม้แห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ยังระบุสาเหตุการใช้ที่ดินป่าไม้ไม่ถูกต้องตามศักยภาพว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการจําแนกพื้นที่ป่าไม้ เพื่อการบริหารจัดการ ( Zoning ) ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน และไม่สามารถควบคุมการใช้พื้นที่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทําให้มีการขยายพื้นที่การเกษตรหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ และจัดว่าเป็น การใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ถูกต้องตามศักยภาพ เช่น การกําหนดพื้นที่เศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังเป็นป่าไม้สมบูรณ์

  • 18 - 3) ความขัดแ ย้งจากการบุกรุกใช้ที่ดินป่าไม้ ความขัดแย้งในพื้นที่ป่าไม้ สาเหตุหลักมาจากนโยบาย แผน และองค์กร ที่เกี่ยวข้องมี ปัญหา คื อ นโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ขาดเอกภาพและเป้าหมายที่ชัดเจน นโยบายส่งเสริมการปลูกพืช เศรษฐกิจ และพัฒนาการท่องเที่ยว ทําให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้ โดยรัฐบาลและหน่วยงานภาคเอกชน พยายามส่งเสริมให้ประชาชนปลูกพืชอาหาร พืชพลังงาน และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ข้าว มันสําปะหลัง ยางพารา และปาล์ม ซึ่งส่วนใหญ่ดําเนินการโดยประชาชนในท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ ประกอบอาชีพดังกล่าว โดยรัฐบาลมีมาตรการส่งเสริม เช่น นโยบายส่งเสริมการปลูกยางพารา นโยบายการประกันรายได้ของเกษตรกร การประกันราคาผลผลิตทางการเกษตร การรับจํานําผลผลิต มาตรการสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําในการลงทุน การดําเนินการเหล่านี้มุ่งหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจและ สังคมเป็นหลัก ประชาชนบางส่วนได้เพิ่มผลผลิต ทางการเกษตรโดยขยายพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเข้าไปในพื้นที่ป่าไม้ ทําให้พื้นที่ป่าไม้บางแห่งถูกบุกรุก นอกจากนี้ นโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวของรัฐบาลโดยไม่ควบคุม ผลกระทบกับพื้นที่ป่าไม้ทําให้มีการนําที่ดินป่าไม้มาใช้ ประโยช น์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างไม่ถูกกฎหมาย เช่น รีสอร์ท และมีการใช้ประโยชน์เกินขีดจํากัดที่ทรัพยากรป่าไม้ สามารถรับได้ ทําให้สภาพทรัพยากรป่าไม้เสื่อมโทรม เป็นต้น 4) ความขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดิน ในเอกสารการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ของคณะกรรมการ ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส วน 1 : 4000 ( One Map ) พ.ศ. 2559 ได้อธิบายว่า การบริหารจัดการการกําหนดเขตที่ดินของรัฐที่ผ่านมา ทําให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดินขอ ง ประชาชน กับรัฐ โดยเฉพาะความขัดแย้งในพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากนโยบาย แผน และองค์กร ที่เกี่ยวข้องมีปัญหา คือ นโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ขาดเอกภาพและเป้าหมายที่ชัดเจน นโยบายส่งเสริมการปลูกพืช เศรษฐกิจและพัฒนาการท่องเที่ยว แผนแม่บทเพื่อพัฒนาการป่าไม้ของประเทศไทยในอดีตล้มเหลว นอกจากนี้ การมีระบบฐานข้อมูลที่ดินป่าไม้ที่ไม่สมบูรณ์ คือ แนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐประเภทอื่นไม่ชัดเจนและ มีการทับซ้อนกัน การจําแนกพื้นที่ที่ดินป่าไม้เพื่อการบริหารจัดการ ( Zoning ) ยังไม่มีประสิทธิภาพ และ ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริงในปัจจุบัน ฐานข้อมูลผู้ใช้ประโยชน์และผู้ครอบครองพื้นที่เขตป่าไม้และที่ดินรัฐ ประเภทอื่นยังไม่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันสมัย รวมถึงกฎหมายที่มีอยู่ไม่ทันสมัย ขาดประสิทธิภาพในการป้องกัน และแก้ไขปัญหา กฎหมายบางมาตราไม่มีความชัดเจนเกี่ยว กับเขตป่าและที่ดิน บางฉบับไม่สามารถบังคับใช้ ได้อย่างเป็นระบบหรือครบวงจร ไม่มีมาตรการที่เพียงพอและเหมาะสม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทําให้ไม่มีการกันพื้นที่ ชุมชนและพื้นที่ทํากินของประชาชนที่อยู่ก่อนการประกาศเขตป่าไม้ออกจากพื้นที่ป่าสงวน ทําให้ประชาชน ที่ควรเป็นผู้มี สิทธิในที่ดินเหล่านี้ต้องกลายเป็นผู้บุกรุก ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่ อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558 นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งดําเนินการพิจารณากําหนดแนวเขตป่าไม้ใหม่ โดยจัดทําเป็นแผนที่ดิจิทัล มาตราส่วน 1 : 4000 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุง แผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 แ ละแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงแผนที่ แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 ( One Map ) โดยให้คณะกรรมการฯ มีอํานาจหน้าที่ ในการกําหนดนโยบาย อํานวยการและกํากับดูแลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 แบบดิจิทัลและรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกส่วนราชการใช้และยึดถือเป็นแนวทางเดียวกัน

  • 19 - เพื่อให้ได้เส้นแสดงแนวเขตที่ดินของรัฐ หรือที่เรียกว่า เส้น One Map ซึ่งแสดงอาณาเขตที่ดินของรัฐครอบคลุม ที่ดินของทุกหน่วยงานรัฐบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 4000 ทั้งนี้ เส้น One Map จะเกิดจากการปรับปรุง แนวเขต ที่ประกาศ ตามกฎหมาย แนวเขตจริง และแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศตามห้วงเวลา รวมทั้งสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ จากการสํารวจ ในภาคสนามเพิ่มเติมตามความจําเป็นเพื่อความถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยแนวเขตทั้งหมดจะต้อง ต่อกันสนิท ไม่ทับซ้อนหรือมีช่องว่าง สําหรับสภาพปัญหาความขัดแย้งด้านแนวเขตที่ดิน ที่คณะกรรมการปรับปรุงแผนที่ แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 ( One Map ) ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหา เช่น ป่าสงว น แห่งชาติทับซ้อนกับป่าไม้ถาวร ป่าสงวนแห่งชาติทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ ดิน (ส.ป.ก.) อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ที่ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น 5 ) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของที่ดินป่าไม้ ปัจจุบันพบว่าความหลากหลายทางชีวภาพถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องจากสาเหตุสําคัญ คือ การทําลายถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล อมของระบบนิเวศ เช่น การตัดไม้ ทําลายป่าและการเผาป่า โดยสถิติการดับไฟป่าของกรมป่าไม้ พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีพื้นที่ ป่า ถูกไฟไหม้รวม 63,901 ไร่ เพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2561 ที่มีพื้นที่ถูกไฟไหม้เพียง 17,556 ไร่ เมื่อพิจารณาพื้นที่ ถูกไฟไหม้ที่มีการดับไฟป่าในแต่ละภูมิภาค พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พื้นที่ภาคเหนือถูกไฟไหม้ มากที่สุด 49,353 ไร่ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนื อ ภาคใต้ และภาคกลาง ตามลําดับ ส่วนข้อมูล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พบว่า มีพื้นที่ถูกไฟไหม้รวม 151,772 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่มีพื้นที่ถูกไฟไหม้รวม 55,766 ไร่ เมื่อพิจารณาพื้นที่ ถูกไฟไหม้ที่มีการดับไ ฟป่าในแต่ละภูมิภาค พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ภาคเหนือมีพื้นที่ถูกไฟไหม้ มากที่สุด 102,469 ไร่ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ตามลําดับ เมื่ อพิจารณาในช่วง 5 ปีที่ ผ่านมา (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2562 ) รวมถึง ปี งบประมาณ 2563 (ณ วั นที ่ 30 มิ ถุ นายน 2563 ) พบว่ำ ช่ วงปี งบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2562 พื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ พื้นที่ที่ถูกไฟไหม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในส่วนพื้นที่ในความรับผิดชอบ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า ช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2562 พื้นที่ที่ ถูก ไฟไหม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สําหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ) พบว่า พื้นที่ถูกไฟไหม้ในพื้นที่ของกรมป่าไม้ เกือบทุกภาคลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ยกเว้น ภาคเหนือ ซึ่งมีพื้น ที่ ถูกไฟไหม้มากถึง 57,575 ไร่ ซึ่งมากกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ทั้งปี เช่นเดียวกับพื้นที่ ถูกไฟไหม้ในพื้นที่ของกรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า เกือบทุกภาคเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ทั้งปี ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยมีพื้นที่ถูกไฟไหม้ทั้งประเทศ รวม 174,813 ไร่ ดังนั้น ปัญหาไฟไหม้ป่าจึงเป็นปัญหาสําคัญที่ควรมีมาตรการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

  • 20 - รูปที่ 2 - 1 สถิติพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศของกรมป่าไม้ แยกรายภาค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2563 รูปที่ 2 - 2 สถิติพื้นที่ไฟป่าทั่วประเทศของกรมอุทยานแห่งชาติฯ แยกรายภาค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2563 ที่มา: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 2563 6 ) การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ชายฝั่งทะเล จากรายงานการศึกษาจัดทําฐานข้อมูล พื้นที่คุ้มครองทางทะเล ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานว่า ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีพื้นที่ติด ชายฝั่งทะเลรวม 24 จังหวัด คิดเป็นพื้นที่ครอบคลุม 138 อําเภอ 816 ตําบล รวมพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งสิ้น 20,799,646 ไร่ หรือ 33,278 ตารางกิโลเมตร โดยรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน จําแนกเป็น ประเภทไม้ยืนต้น มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 21 . 14 ประเภทที่นา ร้อยละ 12 . 27 และประเภทป่าดิบ ร้อยละ 11 . 32 ของพื้นที่ นอกจากนั้น ยังพบการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (ร้อยละ 9 . 18 ) สถานที่เพาะเลี้ยง สัตว์น้ํา (ร้อยละ 7 . 83 ) ป่าชายเลน (ร้อยละ 7 . 5 5 ) พืชไร่ (ร้อยละ 4 . 44 ) และป่าพรุ (ร้อยละ 1 . 70 ) เป็นต้น

  • 21 - เมื่ อพิจารณาเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ ดินป่าชายเลน จากผลการจําแนกการใช้ ประโยชน์ที่ดินในป่าชายเลน บริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ในพื้นที่ 24 จังหวัด วิเคราะห์ด้วยภาพถ่าย ดาวเทียมรายละเอียดสูงในปี พ.ศ. 2562 ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ครอบคลุมที่ดินป่าชายเลนรวม 3,041,708 ไร่ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ป่าชายเลน รวม 1,737,020 ไร่ หรือ ร้อยละ 57 ของที่ดินป่าชายเลนทั้งหมด โดยพบใ นจังหวัดพังงามากที่สุด รองลงมาคือ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา จํานวน 416,078 ไร่ (ร้อยละ 13 . 7 ) พบในจังหวัดจันทบุรีมากที่สุด พื้นที่เกษตรกรรม จํานวน 218,142 ไร่ (ร้อยละ 7 . 2 ) พบในจังหวัดสตูลมากที่สุด ข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานกิจกรรมที่ดําเนินการเพื่อ ตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น ทําให้เกิดสภาพการเปลี่ยนแปลงของที่ดินชายฝั่งในประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ทํานาเกลือ พื้นที่ชุมชนและเมือง แหล่งป่าไม้ การทําเหมืองแร่และเหมืองทราย พื้นที่รับน้ํา และการคมนาคมขนส่ง โดยผลวิเคราะห์การจําแนกการใช้ประโยชน์ ที่ดินป่าชายเลนในประเทศไทย ด้วยภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูง ปี พ.ศ. 2562 ด้วยคอมพิวเตอร์และสายตา ร่วมกัน บริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันพื้นที่ 24 จังห วัด ในขอบเขตตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2543 พบว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนใหญ่ เป็นพื้นที่ป่าชายเลน รวม 1,737,020 ไร่ พบในจังหวัดพังงามากที่สุด รองลงมาคือพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา จํานวน 416,078 ไร่ พบในจังหวัดจันทบุรีมากที่สุด และพื้นที่เกษตรกรรม จํานวน 218,1 42 ไร่ พบในจังหวัดสตูลมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่งพื้นที่ชายฝั่งทะเลมีการใช้ ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 30 แห่ง เนื่องจากเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ สูงสุดในการพัฒนาทั้งด้านความสะดวกในการคมนาคม การขนส่ง สร้ำงท่าเรือน้ําลึก และอุตสาหกรรมจํานวนมาก จําเป็นต้องใช้น้ําในการระบายความร้อน ทําความสะอาด หรือเจือจางของเสีย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ต้องใช้น้ํา จํานวนมากในการหล่อเย็น และมีท่าเรือในการขนส่งเชื้อเพลิง เป็นต้น ในส่วนของพื้นที่ทํานาเกลือ มีประมาณ 120,000 ไร่ มากกว่าครึ่งหนึ่ งอยู่บริเวณที่ลุ่มน้ําทะเลท่วมถึงในเขตอ่าวไทยตอนบน พื้นที่ชุมชนชายฝั่งที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนหรือติดกับป่าชายเลน มีประมาณ 1,000 หมู่บ้าน ซึ่งยังมีความจําเป็นที่ต้องพึ่งพาอาศัยป่าชายเลนตามวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่มีอยู่ ทั้งด้านการทําประมง ชายฝั่งและการใช้ไม้เ พื่อใช้สอยในครัวเรือน ซึ่งสามารถจําแนกสภาพปัญหาป่าชายเลนตามสภาพพื้นที่และวิถีชีวิต วัฒนธรรม คือ • พื้นที่ป่าชายเลนที่ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่และมีบางส่วนที่ชุมชนเข้าไปอยู่อาศัย และ ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ พบมาก ในบริเวณพื้นที่ป่าชายเลนชายฝั่งทะเลอันดามัน ในจังหวัด ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และจังหวัดภูเก็ต • พื้นที่ป่าชายเลนที่มีราษฎรเข้าบุกรุกครอบครองและเข้าใช้ประโยชน์เพื่อการเลี้ยงกุ้ง พบมากในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณภาคตะวันออกในจังหวั ดระยอง และจันทบุรี บริเวณภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช • พื้ นที่ ป่าชายเลนที่ ออกเอกสารสิทธิครอบครองตามกฎหมายและมี อาชีพ การปลูกป่าชายเลน แต่ประสบปัญหาไม่คุ้มทุน จึงเปลี่ยนแปลงไปทําเป็นพื้นที่ นากุ้ง และขายที่ดินให้กับเอกชน ปัจจุบัน มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ส่วนใหญ่ พบบริเวณ พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณอ่าวไทยตอนบน ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจังหวัดเพชรบุรี

  • 22 - สําหรับสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่ง ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) (2562) รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2561 จากชายฝั่งความยาวรวม 3,151.13 กิโลเมตร มีชายฝั่งที่มีปัญหากัดเซาะระยะทาง 726.76 กิโลเมตร โดยเป็นพื้นที่กัดเซาะที่ยังไม่มีการแก้ไขปัญหา รวม 89.28 กิโลเมตร ในจํานวนนี้อยู่ในระดับกัดเซาะรุนแรง ( SV ) 22.51 กิโลเมตร และพื้นที่กัดเซาะที่แ ก้ไข แล้วรวม 637.48 กิโลเมตร ส่วนชายฝั่งที่ไม่มีปัญหากัดเซาะ แต่พบว่ามีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ําแนวชายฝั่ง มีระยะทาง 70.57 กิโลเมตร ทั้งนี้การกัดเซาะชายฝั่งจะเกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ราบน้ําขึ้นถึงบริเวณป่าชายเลน ส่วนบริเวณ หาดทรายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในพื้นที่แหล่งท่อง เที่ยวเขตอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย พื้นที่ที่มีอัตราการกัดเซาะ รุนแรงเฉลี่ยมากกว่า 5 เมตร เกิดขึ้นใน 1 1 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส และพื้นที่ที่มีอัต รา การกัดเซาะ ปานกลางเฉลี่ย 1 - 5 เมตรต่อปี มี 16 จังหวัด ทั้งนี้ชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่ ปากแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จนถึงปากแม่น้ําท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและ มีการกัดเซาะขั้นรุนแรงมากที่สุด ในส่วนการกัดเซาะชายฝั่ งทะเลด้านทะเลอันดามัน เกิดขึ้นน้อยกว่าชายฝั่งทะเล ด้านอ่าวไทย โดยการกัดเซาะชายฝั่งทะเลด้านอันดามันเกิดขึ้นในพื้นที่หาดทรายมากกว่าที่ราบน้ําขึ้นถึงต่อเนื่อง กับป่าชายเลน รูปที่ 2 - 3 สถานภาพชายฝั่งทะเลประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 ที่มา: รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2562 โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

  • 23 - 2.1.2 การใช้ ประโยชน์ ที่ดินของประเทศ กรมพัฒนาที่ดิน ได้รายงานข้อมูลการสํารวจและจัดทําแผนที่การใช้ที่ดินของประเทศไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2560/2561 พบว่า ประเทศไทยมีสภาพการใช้ที่ดินประเภทพื้นที่เกษตรกรรมมากที่สุด คิดเป็นเนื้อที่ 178.7 ล้านไร่ หรือร้อยละ 55.73 ของพื้นที่ทั้งประเทศ รองลงมาคือพื้นที่ป่าไม้ เนื้อที่ 104.7 ล้านไร่ (ร้อยละ 32.63) พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่ 18.7 ล้านไร่ (ร้อยละ 5.84) พื้นที่แหล่งน้ํา เนื้อที่ 9.4 ล้านไร่ (ร้อยละ 2.92) และพื้นที่เ บ็ดเตล็ด (เช่น พื้นที่ทิ้งร้าง พื้นที่ลุ่ม เหมืองแร่ บ่อทราย ฯลฯ) เนื้อที่ 9.2 ล้านไร่ (ร้อยละ 2.86) เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงปีที่จัดเก็บข้อมูล ได้แก่ พ.ศ. 2553/2556 พ.ศ. 2558/2559 และ พ.ศ. 2560/2561 พบว่า มี พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่แหล่งน้ ํา และพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ส่วนพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เบ็ดเตล็ดมีแนวโน้มลดลง รายละเอียด แสดงดังตารางที่ 2 - 11 ตารางที่ 2 - 1 1 สถานการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินในประเทศไทย พ.ศ. 2556 - 2561 ประเภทการใช้ที่ดิน พ.ศ. 2553 / 2556 พ.ศ. 2558 / 2559 พ.ศ. 2560 / 2561 เนื้อที่ (ไร่) ร้อยละ เนื้อที่ (ไร่) ร้อยละ เนื้อที่ (ไร่) ร้อยละ พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง 16,521,933 5 . 15 17,918,984 5 . 59 18,744,001 5 . 84 พื้นที่เกษตรกรรม 174,306,042 54 . 36 177,689,189 55 . 42 178,737,674 55 . 73 นาร้าง 1,192,118 0 . 37 1,033,086 0 . 32 885,389 0 . 28 นา 75,915,232 23 . 67 73,334,825 22 . 87 70,566,944 22 . 00 พืชไร่ 40,712,712 12 . 70 41,223,678 12 . 86 43,807,391 13 . 66 ไม้ยืนต้น 36,432,545 11 . 36 42,868,837 13 . 37 44,593,479 13 . 91 ไม้ผล 11,225,594 3 . 50 10,298,430 3 . 21 10,421,629 3 . 25 พืชไร่หมุนเวียน 4,040,856 1 . 26 4,333,190 1 . 35 3,842,071 1 . 20 สถานที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา 2,904,827 0 . 91 2,680,772 0 . 84 2,735,623 0 . 85 อื่น ๆ (พืชสวน , ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ , พืชน้ํา) 1,882,158 0 . 59 1,916,371 0 . 60 1,885,148 0 . 59 พื้นที่ป่าไม้ 109,260,949 36 . 86 105,846,356 33 . 00 104,656,533 32 . 63 ป่าสมบูรณ์ 99,494,310 31 . 02 98,651,749 30 . 76 97,475,667 30 . 39 ป่ารอสภาพฟื้นฟู 9,766,639 3 . 04 7,194,607 2 . 24 7,180,866 2 . 24 พื้นที่แหล่งน้ํา 8,982,751 2 . 80 9,181,526 2 . 86 9,373,612 2 . 92 พื้นที่เบ็ดเตล็ด 11,625,212 3 . 63 10,060,832 3 . 13 9,185,067 2 . 86 พื้นที่ทิ้งร้าง 8,498,800 2 . 65 7,288,641 2 . 27 6,340,429 1 . 98 พื้นที่ลุ่ม 1,753,974 0 . 55 1,506,397 0 . 47 1,465,491 0 . 46 อื่น ๆ (เหมืองแร่ , บ่อลูกรัง , บ่อทราย) 1,372,438 0 . 43 1,265,794 0 . 39 1,379,147 0 . 43 รวม 320,696,887 100 . 00 320,696,887 100 . 00 320,696,887 100 . 00 ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน (2564)

  • 24 - 1) พื้นที่การเกษตร ข้อมูลของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ที่รายงานเนื้อที่การใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2562 พบว่า ภาพรวมทั้งประเทศ มีเนื้อที่ทางการเกษตรรวม 149.3 ล้านไร่ ส่วนใหญ่ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่รวม 63.9 ล้านไร่ (ร้อยละ 42.78) รองลงมาคือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งมีพื้นที่ทางการเกษตรใกล้เคียงกันที่ 32.5 ล้านไร่ (ร้อยละ 21.78) และ 30 . 9 ล้านไร่ (ร้อยละ 20. 71 ) ตามลําดั บ รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 12 เมื่อจําแนกตามประเภทพืชต่าง ๆ ที่ปลูก ได้แก่ นาข้าว พืชไร่ สวนไม้ผลและไม้ยืนต้ น สวนผัก ไม้ดอก หรือไม้ประดับ และเนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ พบว่า ทั้งประเทศมีการทํานาข้าว มากที่ สุด คิดเป็น 68.7 ล้านไร่ หรือร้อยละ 46.04 รองลงมาคือสวนไม้ผล ไม้ยืนต้น 36.9 ล้านไร่ (ร้อยละ 24.75) และพืชไร่ 30.7 ล้านไร่ (ร้อยละ 20.59) เมื่อพิจารณารายภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ มีสัดส่วนการทํานาข้าวสูงที่สุด (ร้อยละ 65.37 และ 48.45 ตามลําดับ) ภาคกลางมีสัดส่วนพื้นที่ นาข้าวและพืชไร่ใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 32.75 และ 28.88 ตามลําดับ) ส่วนภาคใต้มีลักษณะการปลูกพืช ที่ ต่างจาก ภาคอื่นอย่า งชัดเจน โดยพื้นที่การเกษตรร้อยละ 90 เป็นสวนไม้ผลและไม้ยืนต้น

  • 25 - ตารางที่ 2 - 12 สถิติการใช้ที่ดินทางการเกษตรจําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2558 – 2562 หน่วย: ไร่ ภาค ประเภทเนื้อที่ 2558 2559 2560 2561 2562p ทั่วราชอาณาจักร เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 149,242,394 149,260,164 149,253,717 149,244,274 149,252,451 นาข้าว 68,734,117 68,729,987 68,728,288 68,718,193 68,722,388 พืชไร่ 30,730,917 30,735,295 30,734,029 30,732,882 30,736,029 สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น 36,924,720 36,935,557 36,932,123 36,932,558 36,936,484 สวนผักและไม้ดอก 1,398,973 1,401,594 1,400,999 1,401,970 1,402,143 เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ 11,453,667 11,457,731 11,458,278 11,458,671 11,455,407 เนื้อที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร 69,213,513 69,261,919 69,286,820 68,964,312 68,960,364 ภาคเหนือ เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 32,500,063 32,504,845 32,506,672 32,502,092 32,505,134 นาข้าว 15,751,710 15,751,277 15,752,577 15,748,120 15,748,246 พืชไร่ 10,282,549 10,283,894 10,283,982 10,282,739 10,284,637 สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น 4,004,803 4,007,948 4,008,689 4,008,867 4,010,253 สวนผักและไม้ดอก 446,751 447,148 447,066 447,936 447,885 เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ 2,014,250 2,014,578 2,014,358 2,014,430 2,014,113 เนื้อที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร 17,030,731 17,088,848 17,141,599 17,044,656 17,130,176 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 63,859,855 63,865,824 63,858,125 63,853,250 63,857,027 นาข้าว 41,751,543 41,750,651 41,747,008 41,743,105 41,745,365 พืชไร่ 11,446,864 11,448,934 11,446,544 11,446,224 11,447,347 สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น 5,900,901 5,904,428 5,902,798 5,901,930 5,903,827 สวนผักและไม้ดอก 317,896 318,111 318,047 318,041 318,157 เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ 4,442,651 4,443,700 4,443,728 4,443,950 4,442,331 เนื้อที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร 26, 013,942 26,020,316 26,020,284 25,930,614 25,924,938

  • 26 - ตารางที่ 2 - 12 สถิติการใช้ที่ดินทางการเกษตรจําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2558 – 2562 หน่วย: ไร่ ภาค ประเภทเนื้อที่ 2558 2559 2560 2561 2562p ภาคกลาง เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 30,898,306 30,904,295 30,907,550 30,906,164 30,908,195 นาข้าว 10,073,366 10,072,483 10,074,230 10,072,458 10,074,388 พืชไร่ 8,991,149 8,992,094 8,993,014 8,993,417 8,993,552 สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น 7,413,868 7,415,439 7,416,143 7,415,755 7,416,721 สวนผักและไม้ดอก 466,520 468,362 467,522 467,655 467,693 เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ 3,953,403 3,955,917 3,956,641 3,956,879 3,955,841 เนื้อที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร 14,055,013 14,042,786 14,022,654 14,007,013 13,943,739 ภาคใต้ เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 21,750,985 21,751,986 21,747,981 21,749,309 21,748,728 นาข้าว 1,032,303 1,030,378 1,029,266 1,029,235 1,029,177 พืชไร่ 10,355 10,373 10,489 10,502 10,493 สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น 19,605,148 19,607,742 19,604,493 19,606,006 19,605,683 สวนผักและไม้ดอก 127,348 127,549 128,230 128,184 128,275 เนื้อที่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น ๆ 975,831 975,944 975,503 975,382 975,100 เนื้อที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร 11,372,002 11,368,174 11,360,668 11,240,454 11,220,504 หมายเหตุ: p คือ ตัวเลขเบื้องต้น ที่มา: สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

  • 27 - 2) พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง ข้อมูลการสํารวจและจัดทําแผนที่การใช้ที่ดินของประเทศไทย ของกรมพัฒนาที่ดิ น พบว่าปี พ.ศ. 2560/2561 มีพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างรวม 18,744,001 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.84 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วง พ.ศ. 2553/2556 และ พ.ศ. 2558/2559 ที่มีพื้นที่เท่ากับร้อยล ะ 5.15 และ 5.59 ตามลําดับ เมื่อพิจารณาขนาดพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเทียบระหว่างปี พ.ศ. 2560/2561 และ 2558/2559 รายภาค พบว่า แนวโน้มพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของทุกภาคมีแนวโน้มเพิ่ มขึ้น อย่างต่อเนื่ อง โดยภาคใต้มีสัดส่วนการเพิ่ มขึ้ นของพื้ นที่ ชุมชนมากที่ สุด (เพิ่ มร้อยละ 9.91) รองลงมา คือ ภา ค ตะวันออกเฉียงเหนือ (เพิ่มร้อยละ 6.23) รายละเอีย ดแสดงดังตารางที่ 2 - 13 ตารางที่ 2 - 1 3 ข้อมูลพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของประเทศ ภาค ขนาดพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (ไร่) ร้อยละเปลี่ยนแปลง ระหว่างปี 2560/2561 และ ปี 2558/2559 พ.ศ. 2553 / 2556 พ.ศ. 2558 / 2559 พ.ศ. 2560 / 2561 ภาคเหนือ 3 , 859 , 283 4 , 109 , 747 4,259,380 + 3 . 64 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 , 442 , 912 5 , 737 , 864 6,095,420 + 6 . 23 ภาคกลาง 5 , 486 , 789 6 , 156 , 106 6 , 284 , 077 + 2 . 08 ภาคใต้ 1 , 732 , 949 1 , 915 , 267 2,105,124 + 9 . 91 รวมทั้งประเทศ 16,521,933 17,918,984 18,744,001 + 4 . 60 ร้อยละของพื้นที่ประเทศ 5 . 15 5 . 59 5 . 84 หมายเหตุ: พื้นที่ประเทศ คิดเป็น 320 , 696 , 887 ไร่ ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน (2564) 3) พื้นที่เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงสู่การพัฒนาเศรษฐกิจระดับ ภูมิภาค 3 . 1) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC ) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC ) เป็นการพัฒนามาจากการเป็นสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( The Association of South East Asian Nations : ASEAN ) เสาหลัก ของการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเพื่อให้อาเซียนมีการเคลื่อนย้ายสินค้าบริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ อย่างเสรี ปัจจุบันประเทศสมาชิก อาเซียนรวม 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน โดยในอนาคต AEC จะเป็นอาเซียน+ 3 โดยจะเพิ่มประเทศ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ด้วย และต่อไปก็จะมีการเจรจา อาเซียน+ 6 จะมีประเทศ จีนเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ต่อไปยุทธศาสตร์การก้าวไปสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่สําคัญ ประกอบด้วย การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง การเป็นภูมิภาคที่มี การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ เท่าเทียมกัน และการเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้อาเซียนได้ กําหนด 12 สาขาอุตสาหกรรมสําคัญลําดับแรก อยู่ภายใต้ตลาดและฐานการผลิตเดียวกันของอาเซียน ได้แก่ เกษตร ประมง ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยน ต์ การขนส่งทางอากาศ สุขภาพ e - ASEAN ท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ รวมทั้งความร่วมมือในสาขาอาหาร เกษตรและป่าไม้

  • 28 - 3 . 2 ) แผนงานพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ( Greater Mekong Subregion - GMS ) ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม สหภาพพม่า และจีนตอนใต้ มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ สนับสนุนการจ้างงาน และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ ดีขึ้น ส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางเทคโนโลยีและการศึกษาระหว่างกัน ตลอดจนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมีประสิทธิภาพแผนงาน GMS มีความร่วมมือครอบคลุม 9 สาขา ได้แก่ 1) คมนาคมขนส่ง 2) โทรคมนาคม 3) พลังงาน 4) ท่องเที่ยว 5) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 6) ทรัพยากรธรร มชาติและสิ่งแวดล้อม 7) การอํานวย ความสะดวกการค้า 8) การลงทุน และ 9) การเกษตร ภายหลั งวิ กฤติ เศรษฐกิ จในปี 2540 ประเทศ GMS ได้ เพิ ่ มจุ ดเน้น ความร่วมมือตามยุทธศาสตร์ 3 Cs – การเชื่อมโยง ( Connectivity ) การพัฒนาขีดความสามาร ( Competitiveness ) และประชาคม ( Community ) โ ดยเน้นการพัฒนาตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ( Economic Corridor ) ในพื้นที่ ที่ มีศักยภาพตามแนวคมนาคมเชื่ อมโยงหลัก 3 แนว ได้แก่ 1) แนวเหนือ - ใต้ เชื่ อมโยงไทย - พม่า/ลาว - จีน 2) แนวตะวันออก - ตะวันตก เชื่อมโยงพม่า - ไทย - ลาว - เวียดนาม และ 3) แนวตอนใต้ เชื่อมโยงไทย - กัมพูชา - เวียดนาม โดยจังหวัดของไทยซึ่งตั้งอยู่ตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ( Economic Corridors ) มี 26 จังหวัด ดังนี้ - แนวพื้นที่พัฒนาตะวันออก - ตะวันตก ( East - West Economic Corridor : EWEC ) ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร - แนวพื้นที่พัฒนาเหนือ - ใต้ ( North - South Economic Corridor : NSEC ) ประกอบด้วย 13 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลําปาง นครสวรรค์ อยุธยา ลําพูน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก พิษณุโลก กําแพงเพชร กรุงเทพมหานคร - แนวพั ฒนาพื ้ นที ่ ตอนใต้ ( Sout hern Economic Corridor : SEC ) ประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และกาญจนบุรี 3 . 3 ) โครงการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยในอนาคต ข้อมูลของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) รายงานว่า ในยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มียุทธศาสตร์ที่ 7 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งมุ่งเน้นการขยายขีดความสามารถและพัฒนา คุณภาพการให้บริการ รองรับการขยายตัวของเมือง และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุก กลุ่มในสังคม สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาความเชื่อมโยง ในอนุภูมิภาคและในอาเซียนอย่างเป็นระบบ ส่งเสริม โครงข่ายเชื่อมโยงภายในประเทศ สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ พัฒนาระบบการบริหาร จัดการ และการกํากับดูแลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินการ สร้างความเป็นธรรม การเข้าถึงบริการพื้นฐานและการคุ้มครองผู้บริโภคการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อ เนื่องเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิ จ ให้กับประเทศ และการพัฒนาผู้ประกอบการสาขาโลจิสติกส์ และหน่วยงานที่มีศักยภาพเพื่อขยายการทําธุรกิจ ในต่างประเทศ ทั้งนี้ในกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระยะ 20 ปี กําหนดทิศทางให้ประเทศไทย เป็นประเทศรายได้สูงที่มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม เป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ก้าวสู่ความเป็นชาติกำรค้าและบริการ ( Trading and Service Nation )

  • 29 - มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ให้กระทรวงคมนาคมเร่ง จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบขนส่งหลัก ระบบขนส่งเสริม ( Feeder System ) และการพัฒนาระบบ การจัดการสินค้ำ บริการ และโลจิสติกส์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเขตพัฒนา เศรษฐกิจพิเศษชายแดน รวมทั้งเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร และรองรับการขยายตัวของเมืองต่าง ๆ ด้วย สําหรับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ ได้แก่ การพัฒนาเส้นทางถนน เช่น โครงข่ายมอเตอร์เวย์ ความยาวรวม 949 กิโลเมตร โดยเป็นการขยายเส้นทางเพื่อรองรับการจราจรที่ขยายตัว มากขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว การพัฒนาเส้นทางราง โครงข่าย รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จจะมี จํานวนทั้งสิ้น 14 สายทาง 367 สถานี คิดเป็นระยะทางกว่า 553 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้ คาดว่าโครงข่ายร ถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2572 เส้นทางรถไฟในอนาคตจะมีความยาว 4,721 กิโลเมตร โดยเป็นระบบรถไฟทางคู่ระยะทาง 3, 396 กิโลเมตร โดยมีโครงการสําคัญ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม โครงการทางรถไฟสายมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ , ชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น โครงการทางรถไฟสายขอนแก่น - หนอ งคาย และชุมทางจิระ - อุบลราชธานี เป็นต้น เส้นทางรถไฟความเร็วสูง ( HSR ) อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ ระยะทาง 473 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา โครงการรถไฟควา มเร็ว สูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) และโครงการร ถไฟความเร็วสูงซึ่งอยู่ระหว่างเตรียม ความพร้อมโครงการ จํานวน 6 โครงการ ระยะทาง 1,993 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - พิษณุโลก โครงการรถไฟความเร็วสูง นครราชสีมา - หนองคาย โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – หัวหิน โครงการรถไฟความเร็วสูง พิษณุโ ลก - เชียงใหม่ โครงการรถไฟความเร็วสูง หัวหิน - สุราษฎร์ธานี และโครงการ รถไฟความเร็วสูง สุราษฎร์ธานี - ปาดังเบซาร์ รวมถึงการพัฒนาท่าอากาศยานด้วยวิสัยทัศน์การพัฒนาของไทย ที่ต้องการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค จึงมีการพัฒนาทั้งการส ร้างท่าอากาศกา รพัฒนา และปรับปรุง ท่าอากาศยาน การเพิ่มขีดความสามารถบริหารจัดการทางอากาศ การพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน เ ป็นต้น โดยมีโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานเชีย งใหม่ ระยะที่ 1 การพัฒนา ท่าอากา ศ ยาน สุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 การพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา การพัฒนำท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 การก่อสร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน เป็นต้น 4 ) พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ 4. 1) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นโครงการพัฒนาพื้ นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกซึ่งเป็นที่รู้จักกว่า 30 ปี หรือที่เรียกว่า อีสเทิร์นซีบอร์ด โครงการอีอีซี มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และ ฉะเชิงเทรา โดยแผนการพัฒนาอีอีซี เล็งเห็นถึงค วามสําคัญของการพัฒนาพื้นที่ทั้งทางกายภาพและทางสังคม เพื่ อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้ งนี้ แผนการพัฒนาพื้ นที่ อีอีซีถูกบรรจุ ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แผนปฏิบัติการการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล แผนปฏิบัติ การการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ และศูนย์กลางการเงิน แผนปฏิบัติการ

  • 30 - การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย แผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว และแผนปฏิบัติกา ร การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี โดยมีประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวั นออก เรื ่ อง แผนผั งการใช้ ประโยชน์ ในที ่ ดิ นและแผนผั งการพั ฒนาโครงสร้ำงพื ้ นฐานและ ระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2562 กําหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในพื้นที่ 4. 2) เขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตเศรษฐกิจพิเศษประเทศไทย คือ บริเวณพื้นที่ที่คณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) กําหนดให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรัฐจะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์การลงทุน การบริหารแรงงานต่างด้าวแบบไป - กลับ การให้บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จและการบริการอื่น ที่จําเป็น โดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนของไทย เริ่มจากการผลักดันของธนาคารพัฒนา แห่งเอเชีย ( Asian Development Bank : ADB ) ภายใต้กลยุทธ์ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงการระเบีย ง เศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2541 โดยกําหนดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนใส่ในแผนปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ย น ระเบียงการขนส่ง ( Transport Corrido rs ) ให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจ ( Economic Corridors ) คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556 มอบหมายให้สํานักงาน คณะกรรมการพัฒนา การ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่ อนํานโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นส่วนหนึ่ งของแผน ที่ นําทางในการเข้าสู่ ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อสร้างฐานการผลิตเชื่อมโยงกับอาเซียนและพัฒนาเมืองชายแดน และได้มีคําสั่งที่ 72/2557 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557 แต่งตั้งคณะกรรม การนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) โดยมีหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติเป็นประธาน มี สศช. เป็นฝ่ายเลขานุการ และมีคณะอนุกรรมการหลักอีก 6 คณะ ทําหน้าที่ ขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ ที่เป็นหัวใจสําคัญของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ ในปีถัดมา มี ประกาศกําหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามหลักเกณฑ์และจัดลําดับความสําคัญของพื้นที่ชายแดน ที่มีศักยภาพและเหมาะสมพัฒนาเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จํานวน 10 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตาก มุกดาหาร สระแก้ว ตราด สงขลา หนองคาย นราธิวาส เชียงราย นครพนม และกาญจนบุรี โดย กนพ. ได้กําหนดแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีวัตถุประสงค์สําคัญ เพื่อ ให้เกิดการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคโดยใช้โอกาสจากอาเซียน ลดความเหลื่อมล้ําทางรายได้ ยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่บริเวณชายแดน รวมทั้งเพิ่มความส ำมารถ ในการแข่งขันและ การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

  • 31 - รูปที่ 2 - 4 ความคืบหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564) ที่มา: สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2564) 5 ) การไม่ทําประโยชน์ในที่ดินหรือการใช้ที่ดินไม่เต็มศักยภาพ ข้อมูลการใช้ที่ดินของประเทศไทย ที่สํารวจโดยกรมพัฒนาที่ดิน พบว่า ในปี พ.ศ. 2561 ทั่วประเทศมีพื้นที่ถูกทิ้งร้างรวม 6,340,429 ไร่ หรือร้อยละ 1.98 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยภาคตะวันออก เฉียงเหนือมีพื้นที่ดินถูกทิ้งร้างมากที่สุด 2,794,451 ไร่ (ร้อยละ 44 ของพื้นที่ถูกทิ้งร้างทั้ งประเทศ) เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของขนาดที่ดินที่ถูกทิ้ งร้าง พบว่า ในปี พ.ศ. 2561 ภาพรวมทั้งประเทศ มีที่ดินถูกทิ้งร้างลดลงกว่า 2.1 ล้านไร่ หรือลดลงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2556 สอดคล้องกับข้อมูล รายภาคซึ่งพื้นที่ดินถูกทิ้งร้างของทุกภาคลดลงเช่นเดียวกัน ซึ่งพื้นที่ดินที่ถูกทิ้งร้างในอดีต มีแนวโน้มถูกพัฒนำ เพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การขยายตัวของพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เกษตรกรรม การใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ด้านพลังงาน รวมถึงการขยายตัวของเมือง รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 14 ในส่วนของการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เต็มศักยภาพนั้น เกิดจากการขยายตัวของความเป็น สังคมเมืองสูงขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทําให้ทรัพยากรดินถูกนํามาจัดสรรเพื่อการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่าไม้เปลี่ ยนไปเป็นพื้นที่ชุมชน ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น การขยายตัวของพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรมเข้าไป ในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งจําเป็นต้องมีมาตรการด้านการกําหนดเขตการใช้ที่ดินที่ชัดเจนและเข้มงวด เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่เกษตรกรร มที่มีคุณภาพ รวมถึงพื้นที่ป่าและแหล่งน้ําเอาไว้ และหาพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและจํากัดการขยายพื้นที่อุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษให้ตั้งอยู่ในเขตที่เหมาะสม หรือในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีการเร่งเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา อ้อย มันสําปะหลัง เป็นต้น ทําให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่า

  • 32 - ตารางที่ 2 - 1 4 พื้นที่ดินที่ถูกทิ้งร้าง (ไม่ได้ใช้ประโยชน์) ของประเทศ จําแนกรายภาค ช่วง พ.ศ. 2556 - 2561 ภาค ขนาดพื้นที่ (ไร่) (ร้อยละที่เปลี่ยนแปลง เทียบกับปีก่อนหน้า) พ.ศ. 2553/2556 พ.ศ. 2558/2559 พ.ศ. 2560/2561 ภาคเหนือ 1 , 520 , 163 1,220,616 1,112,791 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 , 937 , 552 3 , 514 , 349 2,794,451 ภาคกลาง 2,020,600 1,782,816 1,662,565 ภาคใต้ 1 , 020 , 485 770,860 770,622 รวม 8,498,800 7,288,641 6,340,429 ร้อยละของเนื้อที่ประเทศ 1 2.65 2 . 27 1 . 98 หมายเหตุ: 1 คํานวณจากเนื้อที่ประเทศทั้งหมด 320 , 696 , 887 ไร่ ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน (2564) 6 ) ปัญหากรรมสิทธิ์และความเหลื่อมล้ําในการถือครองที่ดิน 6 .1) เอกสารสิทธิและความเหลื่อมล้ําในการถือครองที่ดิน การศึกษาของดวงมณี เลาวกุล (2556) พบว่า ในปี พ.ศ. 2555 ประชาก ร ร้อยละ 50 ถือครองที่ดินเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ขณะที่กลุ่มประชากรร้อยละ 10 ที่มีการถือครองที่ดินสูงสุด ( decile 10) ถือครองที่ดินกว่าร้อยละ 60 ของจํานวน ที่ดินทั้งหมด ทําให้ความแตกต่างในการถือครองที่ดินของกลุ่ม ประชากรร้อยละ 10 ที่ถือครองที่ดินสูงสุด ( decile 10) กับกลุ่มประชากรร้อยละ 10 ที่ถือครองที่ดินต่ําสุด ( decile 1) แตกต่างกันถึง 853.64 เท่า ทั้งนี้ขนาดการถือครองที่ดินของผู้ถือครองที่ดินที่มากที่สุด มีที่ ดินรวมกัน ทั้งสิ้น 631,263 ไร่ รองลงมามีที่ดินรวมกัน 345,071 และ 271,720 ไร่ ตามลําดับ ในส่วนของการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตร ข้อมูลปี พ.ศ. 2562 พบว่า ทั่วประเทศมีพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรรวม 149,252,451 ไร่ จําแนกเป็นเนื้อที่ของตนเอง (เป็นเจ้าของ) รวม 71,587,043 ไร่ (ร้อยละ 47.96) และเป็นเนื้อที่ของผู้อื่น รวม 77 , 665 , 408 ไร่ (ร้อยละ 52.04) เมื่ อพิจารณาแนวโน้มสภาพความเป็นเจ้าของโดยเปรียบเทียบกับปี พ.ศ. 2558 พบว่า แนวโน้มสภาพ ความเป็นเจ้าของยังค่อนข้างคงที่ โดย จําแนกเป็นเนื้อที่ของตนเอง ร้อยละ 47.94 และเป็นเนื้อที่ของผู้อื่น ร้อยละ 52.06 ในกลุ่มของการถือครองที่เป็นเนื้อที่ของตนเองนั้น พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นที่ดินของตนเอง ส่วนที่เหลือเป็นการจํานองของผู้อื่น รวมถึงจํานอง/ขายฝากผู้อื่น ส่วนในกลุ่มของการถือครองที่ เป็นเนื้อที่ผู้อื่น พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่รับจํานอง หรือรับขายฝาก หรือได้ทําฟรี รองลงมาคือการเช่าผู้อื่น เมื่อพิจารณา ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตรจําแนกรายภาค ในปี พ.ศ. 2562 พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของการถือครองที่เป็นเนื้อที่ของ ตนเองมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.87 รองลงมา คือ ภาคใต้ ซึ่งมีสัดส่วนของการถือครองที่เป็นเนื้อที่ของตนเองร้อยละ 53.03 ส่วนภาคกลางเป็นภาคที่มีสัดส่วนการถือครอง ที่เป็นเนื้อที่ ของตนเองน้อยที่สุด เพียงร้อยละ 34.61

  • 33 - รูปที่ 2 - 5 ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตร จําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2562 ที่มา: สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หากพิจารณาการกระจายการถือครองที่ดินของเกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตนเอง พบว่า เกษตรกร ส่วนใหญ่ร้อยละ 32.84 ถือครองที่ดินจํานวน 10 - 19 ไร่ รองลงมาเป็น 20 - 39 ไร่ ที่มีสัดส่วน การถือครองร้อยละ 25.95 และมีเกษตรกรร้อยละ 10 ที่ถือครองที่ดินแปลงใหญ่ (มากกว่า 40 ไร่) นอกจากนี้ ยังมีลูกจ้างภาคเกษตรที่ไม่เป็นเจ้าของที่ดินและไม่ได้เช่าที่ดินอีกร้อยละ 0.85 ของผู้ที่ทํางานในภาคเกษตร ทั้งหมด ซึ่งในจํานวนนี้เป็ นคนจนและกลุ่มเปราะบาง ( bottom 40) กว่าร้อยละ 68 ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ํา ในการถือครองที่ดิน โดยเกษตรกรที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้ เมื่อพิจารณาลักษณะหนังสือสําคัญแสดงเอกสารสิทธิที่เกษตรกรถือครอง จากข้อมูลสํามะโนการเกษตร พ.ศ. 2561 จําแนกตามรายภาค พบว่าเกษ ตรกรของทุกภาค ส่วนใหญ่มีกรรมสิทธิ์ ในรูปแบบโฉนด/ตราจอง/นส.5/นส.3/นส.3ก. และ นส.3ข. ในช่วงร้อยละ 60 – 70 ในส่วนของข้อมูลความเหลื่อมล้ําในการถือครองทรัพย์สิน ที่สํารวจจากภาวะ เศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2556 – 2562 พบว่า ความเหลื่อมล้ํา ในการถือครองทรัพย์สินยังคงอยู่ในระดับสูง โดยในปี พ.ศ. 2562 ความเหลื่อมล้ําในการถือครองทรัพย์สิน ประเภทบ้าน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประกอบธุรกิจ/เกษตรฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดย มีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคอยู่ที่ 0.670 0 และ 0.8929 เพิ่มขึ้นจาก 0.6644 และ 0.8796 ในปี พ.ศ. 2560 ตามลําดับ ทั้งนี้การถือครองบ้าน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประกอบธุรกิจ/เกษตรฯ เป็นประเภททรัพย์สินที่มีความไม่เสมอภาคมากที่สุด และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับ ทรัพย์สิน ทางกำรเงิน หากพิจารณาการกระจายการถือครองทรัพย์สินประเภทบ้าน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็น ที่อยู่ อาศัยในช่วงปี พ.ศ. 2556 - 2562 พบว่า ในกลุ่มประชากรร้อยละ 10 ที่มีรายได้สูงสุด ( decile 10) มีส่วนแบ่งมูลค่าทรัพย์สินเฉลี่ยร้อยละ 34.7 ของมูลค่าทรัพย์สินรวม (ปี พ.ศ. 2556 - 2562) ในขณะที่กลุ่มที่มี รายได้น้อยที่สุด ( decile 1) มีส่วนแบ่งมูลค่าทรัพย์สินเพียงร้อยละ 3.4 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งประเทศ ทําให้มี ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มอยู่ที่ 10.2 เท่า แม้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2556 - 2562 แนวโน้มส่วนแบ่งมูลค่า ทรัพย์สินประเภทดังกล่าวของกลุ่มรายได้ที่ 10 จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลง แต่ส่วนแบ่งมูลค่าทรัพย์สินของชั้นดังกล่าว ยังคงสูงกว่า กลุ่มรายได้ที่ 1 - 9 ค่อนข้างมาก รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 15

  • 34 - ตารางที่ 2 - 1 5 ตารางค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคในการถือครองทรัพย์สิน พ.ศ. 2556 – 2562 ประเภทสินทรัพย์ ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค 2556 2558 2560 2562 ทรัพย์สินรวม 0 . 6336 0 . 6423 0 . 6207 0 . 6207 - บ้าน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ เป็นที่อยู่อาศัย 0 . 6740 0 . 6814 0 . 6644 0 . 6700 - บ้าน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ ประกอบธุรกิจ/เกษตร และอื่น ๆ 0 . 8821 0 . 8937 0 . 8796 0 . 8929 - ยานพาหนะ 0 . 7039 0 . 6971 0 . 6874 0 . 6837 - ทรัพย์สินทางการเงิน 0 . 7966 0 . 7872 0 . 8056 0 . 8004 ที่มา : ข้อมูลจากการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สํานักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดยกองพัฒนาข้อมูล และตัวชี้วัดสังคม สศช. 6 .2) การไร้ที่ดินทํากินและความยากจน 6 . 2 . 1 ) ปัญหาการไร้ที่ดินทํากิน ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ไร้ที่ดินทํากิน ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2561 พบว่า มีผู้ขึ้นทะเบียนผู้ไร้ที่ดินทํากินประมาณ 823 , 000 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 386 , 000 คน (ร้อยละ 47) ส่วนภาคอื่น ๆ มีจํานว นผู้ขึ้น ทะเบียนใกล้เคียงกันในช่วง 140 , 000 - 150 , 000 คน โดยในเอกสารสรุปสถานการณ์การถือครองที่ดินและสาเหตุ การสู ญเสี ยที ่ ดิ นของเกษตรกรรายย่ อยในประเทศไทย ได้ สรุ ปประเภทของผู้ ไร้ ที ่ ดิ นทํากิ นไว้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ไม่เคยมีที่ดินทํากินมาก่อน กรณีนี้เกิดจากพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ยากจน ไม่มีที่ดินทํากินอยู่แล้ว หรือมีที่ดินแต่ได้ยกให้ลูกคนอื่น ๆ หรือได้สูญเสียกรรมสิทธิ์ที่ดินไปก่อนหน้า และกลุ่มที่ 2 เคยมีที่ดินเป็นของตนเอง โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่เดิมมีที่ดินเป็นของตนเองซึ่งอาจจะอยู่ในกลุ่มคนจนหรือไม่จนก็ได้ แต่ จากนั้นมีการสูญเสีย ที่ดินในภายหลัง ซึ่งผลกระทบของการไร้ที่ดินทํากินหรือการสูญเสียที่ดิน คือ การบุกรุกพื้นที่สาธารณะทั้งของรัฐ และเอกชน การอพยพย้ายถิ่นเข้าสู่เมือง การเช่าที่ดินเอกชน รวมถึงเกิดความเหลื่อมล้ําด้านรายได้ รายละเอียด แสดงดังตารางที่ 2 - 16 ตารางที่ 2 - 1 6 จํานวนผู้ขึ้นทะเบียนไร้ที่ดินทํากิน ช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2561 ภูมิภาค จํานวนผู้ขึ้นทะเบียนไร้ที่ดินทํากิน (ราย) (ร้อยละ) ภาคเหนือ 149,449 (18.14) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 386,838 (46.95) ภาคกลาง 145,074 (17.61) ภาคใต้ 142,575 (17.30) ที่มา: สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) (2564

  • 35 - รูปที่ 2 - 6 ห่วงโซ่ปัญหาของปัญหาการไร้ที่ดินทํากินและการสูญเสียที่ดิน ที่มา: เอกสารสรุปสถานการณ์การถือครองที่ดินและสาเหตุการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทย โดย ดร.อาทิตยา พองพรหม 6 .2.2) ปัญหาความยากจน (1) สถานการณ์ความยากจนในภาพรวม ข้อมูลของสํานักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่าสถานการณ์ควา ม ยากจน ในปี พ.ศ. 2562 ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยสัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 9.85 ในปี พ.ศ. 2561 มาอยู่ ที่ร้อยละ 6.24 ในปี พ.ศ. 2562 หรือมีคนจนจํานวน 4.3 ล้านคน ลดลงจาก 6.7 ล้านคนในปีก่อนหน้า ภาพรวมคนไทยในปี พ.ศ. 2562 มีรายได้ 9,847 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2560 ที่มีรายได้ 9,614 บาทต่อคนต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.42 ขณะที่ครัวเรือนยากจนมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2,823 บาท ต่อคนต่อเดือนในปี พ.ศ. 2560 เป็น 3,016 บาทต่อคนต่อเดือนในปี พ.ศ. 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.81 สัดส่วนคนจนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศมีน้อยกว่าร้อยละ 10 ตั้ งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะปี พ.ศ. 2562 พบว่า ภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ภาคใต้ (ร้อยละ 11.27) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ร้อยละ 8.37) และภาคเหนือ (ร้อยละ 6.67) ตามลําดับ

  • 36 - ทั้งนี้สัดส่วนคนจนมีแนวโน้มลดลงในทุกภูมิภาค โดยกรุ งเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนคนจนต่ํากว่าพื้นที่อื่น อย่างชัดเจน โดยมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าร้อยละ 10 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา มีสัดส่วนคนจนในช่วงร้อยละ 1 - 2 เท่านั้น รองลงมาคือพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งมีสัดส่วนคนจนน้อยกว่าร้อยละ 1 0 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ทั้งนี้ ในอดีตภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดตลอดระยะ 30 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2561 ภาคใต้กลับมาเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด โดยครัวเรือน ยากจนภาคใต้กว่าร้อยละ 40 เป็นครัวเรือนยากจนที่อยู่ ในภาคการเกษตร รูปที่ 2 - 7 การกระจายตัวของคนจนจําแนกรายภาค พ.ศ. 2531 - 2562 ที่มา : ข้อมูลจากการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สํานักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดยกองพัฒนา ข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สศช. ( 2 ) คนจนตามลักษณะทางเศรษฐกิจและครัวเรือน เมื่อพิจารณาคนจนจําแนกตามลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม ของครัวเรือน พ.ศ. 2562 พบว่า ครัวเรือนที่ไม่ปฏิบัติงานในเชิงเศรษฐกิจมีจํานวนครัวเรือนยากจนสูงสุดที่ 4 . 27 แสนครัวเรือน รองลงมาเป็นผู้ถือครองทําการเกษตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน จํานวน 1 . 98 แสนครัวเรือน ผู้ปฏิบัติงาน ในกระบวนการผลิตและก่อสร้าง 1 . 69 แสนครัวเรือน และคนงานเกษตร 1 . 14 แสนครัวเรือน โดยครัวเรือน 4 กลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของครัวเรือนยากจนทั้งหมด ทั้งนี้หากพิจารณาครัวเรือนยากจนที่ทํางาน เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรม พบว่า มีจํานวนถึง 4 . 34 แสนคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33 . 24 ของครัวเรือน ยากจนทั้งหมด

  • 37 - เมื่อพิจารณาคนยากจนที่มีงานทําจําแนกตามสาขาเศรษฐกิจ พบว่า สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้และการประมง มีสัดส่วนคนจนสูงสุดที่ ร้อยละ 11 . 33 รองลงมาคือสาขา การทํา เหมืองแร่และเหมืองหิน การก่อสร้าง กิจกรรมบริการอื่น ๆ และกิจกรรมการจ้างงานในครัวเรือนส่วนบุคคล ที่ ร้อยละ 9 . 13 7 . 77 6 . 40 และ 5 . 18 ตามลําดับ ซึ่ งในปี พ.ศ. 2561 สาขาทางเศรษฐกิจ 3 อันดับแรก คือ 1 ) เกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง 2 ) การก่อสร้าง 3 ) กิจกรรมบริการอื่น ๆ ส่วนในปี พ.ศ. 2562 คือ 1 ) เกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง 2 ) การทําเหมืองแร่และเหมืองหิน 3 ) การก่อสร้าง โดยจะเห็นได้ ว่าแรงงานที่ยากจนส่วนมาก ยังคงอยู่ในสาขาที่ใช้แรงงานเป็นหลัก รูปที่ 2 - 8 จํานวนครัวเรือนยากจนจําแนกตามลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2562 ที่มา : ข้อมูลจากการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สํานักงานสถิติแห่งชาติ ประมวลผลโดยกองพัฒนาข้อมูล และตัวชี้วัดสังคม สศช. 2. 1 . 3 ทรัพยากรดิน 1) สภาพดินปัญหา จากรายงานสภาพทรัพยากรดินและที่ดินของประเทศไทย (กรมพัฒนาที่ดิน , 2558) พบว่า ดินปัญหาที่เกิดตามสภาพธรรมชาติในประเทศไทย ได้แก่ ดินเปรี้ยวจัดหรือดินกรดกํามะถัน มีเนื้อที่รวม 5.57 ล้านไร่ พบมากในภาคกลาง รองลงมาคือภาคใต้ และภาคตะวันออก ตามลําดับ ดินอินทรีย์ (ดินที่มีสารอินทรีย์ในรูปของอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในเนื้อดินมากกว่าร้อย ละ 20) มีเนื้อที่รวม 0.34 ล้านไร่ พบในบริเวณที่ลุ่มน้ําขังชายฝั่งทะเลของภาคใต้ และภาคตะวันออก ดินเค็ม มีเนื้อที่รวม 4.22 ล้านไร่ พบมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ตามลําดับ ดินทราย มีเนื้อที่ รวม 11.76 ล้านไร่ พบทั่ วไปในทุ กภาคของประเทศ ดินตื้ น มีเนื้ อที่ รวม 34.04 ล้านไร่ พบมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ตามลําดับ และดินบนพื้นที่สูงชัน หรือพื้นที่ลาดชันเชิงซ้อน หรือพื้นที่ภูเขา ที่มีความลาดชันมากกว่าร้อยละ 35 ซึ่งเสี่ยง ต่อการถูกช ะล้างพังทลาย ง่ายต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม และยากแก่การเกษตรกรรม มีเนื้อที่รวม 96.97 ล้านไร่

  • 38 - ข้อมูลจากการประเมินความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2550 โดยกรมพัฒนาที่ ดิน แบ่งพื้ นที่ เสื่ อมโทรมออกเป็น 4 ระดับ จําแนกตามสถานภาพชั้ นความเสื่ อมโทรม ได้แก่ (1) พื้นที่เสื่อมโทรมระดับดุลธรรมชาติ เนื้อที่ 151 ล้านไร่ หรือร้อยละ 47.27 ของพื้นที่ประเทศ (2) พื้นที่เสื่อมโทรมระดับเฝ้าระวัง มีเนื้อที่ 132.7 ล้านไร่ หรือร้อยละ 41.47 ของพื้นที่ประเทศ (3) พื้นที่เสื่อม โทรมระดับรุนแรง มีเนื้อที่ 35.7 ล้านไร่ หรื อร้อยละ 11.18 ของพื้นที่ประเทศ และ (4) พื้นที่เสื่อมโทรมระดับวิกฤติ มีเนื้อที่ 0.18 ล้านไร่ หรือร้อยละ 0.06 ของพื้นที่ประเทศ และกรมพัฒนาที่ดิน (2542) ได้รายงานว่าประเทศไทย มีพื้นที่ที่ดินขาดอินทรียวัตถุ 98.7 ล้านไร่ (ร้อยละ 21.8 ของพื้นที่ที่ มีปัญหาทั้งหมด) โดยที่พื้นที่ที่ ดิน ขาดอินทรียวัตถุสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 75.7 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ ทางด้านเกษตรกรรม คิดเป็น 209.84 ล้านไร่ (ร้อยละ 46.3 ของพื้นที่ที่มีปัญหาทั้งหมด) โดยที่พื้นที่ที่ดินที่มีปัญหา ต่อการใช้ประโยชน์ทา งด้านเกษตรกรรมสูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ร้อยละ 75.3) ภาคเหนือ (ร้อยละ 71.39) 2) ปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยกองสํารวจดินและวิจัยทรัพยากรดิน (พ.ศ. 2558) พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของไทยมีระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ํา รวม 1 36.1 ล้านไร่ รองลงมาคือความอุดมสมบูรณ์ ของดินปานกลาง 63.5 ล้านไร่ และความอุดมสมบูรณ์ของดินสูง 6.1 ล้านไร่ พื้นที่ที่เหลือเป็นพื้นที่ลาดชันเชิงซ้อน พื้นที่เบ็ดเตล็ด พื้นที่น้ํา เมื่อพิจารณารายภาค พบว่า • ภาคเหนือ ความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 70.43 ของภาค รองลงมาคือความอุดมสมบูรณ์ระดับต่ํา ร้อยละ 25.10 • ภาคกลาง ความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 58.95 รองลงมาคือระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 29.86 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภำคอื่น ๆ แล้ว ดินภาคกลางมีสัดส่วนความอุดมสมบูรณ์ในระดับสูงมากกว่าดินภาคอื่น ๆ เนื่องจาก สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่ม วัตถุต้นกําเนิดดินส่วนใหญ่เป็นพวกตะกอนน้ําพัดพา ทําให้มีศักยภาพทางการเกษตรสูงค่อนข้างสูง • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ํา คิดเป็น ร้อยละ 71.53 ของภาค เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นดินทรายที่เกิดจากการสลายตัวผุพัง ของหินทราย มีปริมาณอนุภาคดินเหนียว ( clay particle ) และอินทรียวัตถุในดิน ( soil organic ) ต่ํา • ภาคตะวันออก ความอุดมสมบูรณ์ของดินอยู่ใน ระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 47.95 ระดับสูงร้อยละ 4.40 และระดับต่ําคิดเป็นร้อยละ 47.66 โดยส่วนหนึ่งเป็นดินที่มี ความอุดมสมบูรณ์ต่ําเนื่องจากเป็นดินทราย ที่เกิดจากการสลายตัวของหินทราย • ภาคใต้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ําคิดเป็นร้อยละ 67.28 และ มีพื้นที่บางส่วนเป็นดินที่ความอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับปานกลางและระดับสูง คิดเป็น ร้อยละ 32.09 และ ร้อยละ 0.63 ตามลําดับ

  • 39 - 3) การปนเปื้อนของดิน การศึกษาของ มณฑ์สุชาติ (2554) พบว่า พื้ นที่ ดินปนเปื้ อนของประเทศไทย มีจํานวนมากถึง 134.5 ล้านไร่ หรือเท่ากับร้อยละ 42.0 เนื่องจากดินเป็นแหล่งรองรับสิ่งปฏิกูลที่ได้จากวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตร ทางอุตสาหกรรม และจากชุมชน จากการใช้สารเคมีทางการเกษตร และผลกระทบ จากการใช้ปุ๋ยเคมีทางการเกษตร เช่น สาร กําจัดแมลง สารกําจัดไร สารรมควันพิษ สารกําจัดหนู สารกําจัด โรคพืช สารกําจัดวัชพืช สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช สารกําจัดหอยทากและอื่น ๆ สารเคมีกําจัด ศัตรูพืชเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสารประกอบของธาตุโลหะหนักต่าง ๆ เช่น ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี แคดเมียม สารหนู และปรอท เป็น ต้น ทําให้เกิดการสะสมโลหะหนักเหล่านี้เป็นปริมาณมากในดินและอาจถูกพัดพาสู่แหล่งน้ํา มีผลโดยตรง ต่อมนุษย์ โดยถ้าหากเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหารเมื่อมีการสะสมมาก ทําให้เกิดพิษต่อตับ ไต และเป็นสารก่อมะเร็ง โรคที่พบเห็นบ่อย ได้แก่ โรคอิไต - อิไต ( Itai - Itai ) ทําให้ปวดเจ็บกระดูก ถ้าเป็นมากกระดูก จะย่อผิดรูป โรคมินามาตะ ( Minamata ) จาก มีการสะสมของปรอทอินทรีย์เข้าสะสมอยู่ในเนื้อปลา ผู้บริโภค ปลา หอยนางรม กุ้ง และปู โรค methemoglobinemia ซึ่งเกิดจากการดื่มน้ําที่มีสารอินทรีย์ประเภทไนเตรท - ไนโตรเจน เข้าไปมากทําให้เกิดโร คโลหิตเป็นพิษในเด็กอ่อน ถ้าเป็นมากอาจเสียชีวิตได้ (สํานักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , 2551) 4) การชะล้างพังทลายของดิน ข้อมูลเนื้อที่การสูญเสียดิน ใน ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2563 ของกรมพัฒนา ที่ดิน รายงาน ระดับความรุนแรงของการสูญเสียดินโดยแบ่งเป็น ระดับน้อย (0 - 2 ตัน/ไร่/ปี) ระดับปานกลาง (2 - 5 ตัน/ไร่/ปี) ระดับรุนแรง (5 - 15 ตัน/ไร่/ปี) ระดับรุนแรงมาก (15 - 20 ตัน/ไร่/ปี) และระดับรุนแรงมากที่สุด (มากกว่า 20 ตัน/ไร่/ปี) ทั้งในพื้นที่ราบ (ความลาดชัน น้อยกว่ำ 35 เปอร์เซ็น ต์ ) และพื้นที่สูง (ความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ ) ข้อมูลพบว่า ภาพรวมทั้งประเทศส่วนใหญ่มีระดับความรุนแรงของการ สูญเสียดินระดับน้อย คิดเป็น 242.5 2 ล้านไร่ (ร้อยละ 75.62 ของเนื้อที่ ทั้งหมดของ ประเทศ) รองลงมาคือ ระดับปานกลาง คิดเป็น 46.0 5 ล้านไร่ (ร้อยละ 14.36 ของ เนื้อ ที่ทั้งหมดของประเทศ ) ส่วนระดับรุนแรงมากที่สุดมีอยู่ 10.2 5 ล้านไร่ (ร้อยละ 3.20 ของเนื้อที่ทั้งหมดของประเทศ ) เมื่อรวมระดับปานกลาง - รุนแรงมากที่สุด (ค่าการสูญเสียดิน ที่ยอมรับได้เท่ากับ 2 ตัน/ไร่/ปี) พบว่า มีพื้นที่สูญเสีย ที่ดินเท่ากับ 78. 18 ล้านไร่ หรือร้อยละ 24.38 สําหรับข้อมูลจําแนกตามภาค พบว่า ภาคเหนือ มีการสูญเสียดินระดับปานกลางขึ้นไปมากที่สุด คิดเป็น 30.2 4 ล้านไร่ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ คิดเป็น 19.4 1 และ 15.98 ล้านไร่ ตามลําดับ เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการชะล้างพังทลายของดิน ปี พ.ศ. 2545 เทียบกับปี พ.ศ. 2563 พบว่า ในพื้นที่ราบ มีแนวโน้มของการสู ญ เสียดินปานกลาง และรุนแรงมากที่สุด โดยลดลงประมาณ 10.06 และ 0.58 ล้านไร่ ตามลําดับ ในขณะที่แนวโน้มการสูญเสียดินน้อย รุนแรง และรุนแรงมาก ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6.99 3.48 และ 0.18 ล้านไร่ ตามลําดับ สําหรับพื้นที่สูง มีแนวโน้มของการสูญเสียดินปานกลาง รุนแรง และรุนแรง มากที่สุด ลดลงประมาณ 11.91 9.17 และ 2.01 ล้านไร่ ตามลําดับ ในข ณะ ที่แนวโน้มของการ สูญ เสียดินน้อย และรุนแรงมาก เพิ่มขึ้นประมาณ 22.45 และ 0.64 ล้านไร่ ตามลําดับ รายละเอียดแสดง ดังตารางที่ 2 - 17 และตารางที่ 2 - 18

  • 40 - ตารางที่ 2 - 1 7 ข้อมูลเนื้อที่การจําแนกชั้นความรุนแรงของการสูญเสียดินประเทศไทย ภูมิภาค/ จังหวัด ระดับความรุนแรง (ตัน/ไร่/ปี) รวมระดับ ปานกลาง - รุนแรงมาก ที่สุด * ร้อยละ น้อย ( 0 - 2 ) ปานกลาง ( 2 - 5 ) รุนแรง ( 5 - 15 ) รุนแรงมาก ( 15 - 20 ) รุนแรงมากที่สุด ( > 20 ) ภาคเหนือ 75,783,261 17,597,265 5,789,352 1,530,041 5,327,761 30,244,419 38 . 69 ภาค ตะวันออก เฉียงเหนือ 86,120,532 12,096,270 5,640,647 349,607 1,326,905 19,413,429 24 . 83 ภาคกลาง 11,221,478 1,237,840 168,934 12,867 50,666 1,470,307 1 . 88 ภาค ตะวันออก 18,406,157 3,120,828 1,623,792 155,561 135,281 5,035,462 6 . 44 ภาค ตะวันตก 22,778,972 4,255,297 1,277,310 139,134 354,142 6,025,883 7 . 71 ภาคใต้ 28,212,077 7,740,097 4,189,307 995,734 3,059,778 15,984,916 20 . 45 รวมทั้งสิ้น 242,522,477 46,047,597 18,689,342 3,182,944 10,254,533 78,174,416 100 . 00 * หมายเหตุ ค่าการสูญเสียดินที่ยอมรับได้ เท่ากับ 2 ตัน/ไร่/ปี ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน ( พ.ศ. 2563 ) ตารางที่ 2 - 1 8 ระดับความรุนแรงของการสูญเสียดินในพื้นที่ราบและพื้นที่สูง ชั้นความรุนแรงของการสูญเสียดิน พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2563 ผลต่าง พื้นที่ ราบ (ที่ราบลําน้ํา ที่ราบเชิงเขา และเนินเขา ความลาดชันน้อยกว่า 35 เปอร์เซ็นต์) ชั้นที่ 1 การสูญเสียดินน้อย 165,816,561 172,808,023 6,991,462 ชั้นที่ 2 การสูญเสียดินปานกลาง 39,152,036 29,087,277 - 10,064,759 ชั้นที่ 3 การสูญเสียดินรุนแรง 9,240,050 12,717,861 3,477,811 ชั้นที่ 4 การสูญเสียดินรุนแรงมาก 727,599 905,762 178,163 ชั้นที่ 5 การสูญเสียดินรุนแรงมากที่สุด 2,946,932 2,364,255 - 582,677 พื้นที่สูง (ภูเขา และที่ราบหุบเขา ความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์) ชั้นที่ 1H การสูญเสียดินน้อย 47,269,417 69,714,454 22,445,037 ชั้นที่ 2H การสูญเสียดินปานกลาง 28,869,209 16,960,320 - 11,908,889 ชั้นที่ 3H การสูญเสียดินรุนแรง 15,142,470 5,971,481 - 9,170,989 ชั้นที่ 4H การสูญเสียดินรุนแรงมาก 1,635,494 2,277,182 641,688 ชั้นที่ 5H การสูญเสียดินรุนแรงมากที่สุด 9,897,125 7,890,278 - 2,006,847 รวม 102,813,715 102,813,715 - รวมทั้งประเทศ 320,696,893 320,696,893 - ที่มา: กรมพัฒนาที่ดิน ( 2563 )

  • 41 - เมื่อพิจารณาความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน ตามประเภทการใช้ที่ดิน พบว่า พื้นที่ การชะล้างพังทลายของดินระดับน้อย มีการใช้ที่ดิน ได้แก่ ป่าไม้ ที่นา สวนผักและไม้ดอก ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ส่วนพื้นที่ ที่เกิดการชะล้างพังทลายรุนแรงมาก พืชที่ปลูกในพื้นที่นี้ ได้แก่ พืชไร่ พื้นที่รกร้าง พื้นที่ที่มีอัตราการสูญเสียดิน สูงสุดในทุกภาค คือพื้นที่รกร้างและพื้นที่ที่ปลูกพืชไร่ ยกเว้น ภาคกลางที่พื้นที่ปลูกพืชไร่มีอัตราการสูญเสียดิน ที่ ต่ํากว่าภาคอื่น ๆ การใช้ที่ดินที่มีอัตราการสูญเสียดินต่ําที่สุด คือ พื้นที่นา 2.1.4 ปั ญ หาด้านการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ ปัญหาเชิงการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ สรุปได้ดังนี้ 1) การขาดความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการที่ดินในภาพรวมของประเทศ ปัญหาการขาดความเป็นเอกภาพของการบริหารจัดการที่ดิน จากการไม่มีแผนแม่บท ที่ทุ ก หน่วยงานยอมรับและจะต้องปฏิบัติร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ความไม่ชัดเจนของเนื้อหาสาระของนโยบาย ที่กําหนดและการขาดกฎหมายระดับพร ะราชบัญญัติรองรับอํานาจในการดําเนินนโยบาย และยังขาดนโยบาย และมาตรการเพื่อจํากัดขนาดการถือครองที่ดินและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้ เกิดความเหลื่อมล้ําและไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน รวมถึงการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งทําให้เกิด นโยบา ยหลายนโยบายที่ไม่มีความเป็นเอกภาพและไม่ต่อเนื่องในการดําเนินการ จึงมีความขัดแย้งเกิดขึ้นและ สะสมมาตามลําดับ นอกจากนี้มีการปฏิบัติงานซ้ําซ้อนหรือปฏิบัติงานเฉพาะด้านตามอํานาจที่มีอยู่ การขาดปัจจัย เกื้อหนุนการปฏิบัติงาน การขาดระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงกลไกแ ละเครื่องมือในการบริหารจัดการ ที่ดินยังไม่สามารถสร้างประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในสังคม 2) การวางผังเมืองและการใช้พื้นที่ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย (2557) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (2558) รายงานว่า กา ร เปลี่ยนแปลงของโลกและประเทศไทยในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อการวางผังเมืองมากขึ้นทั้งในด้านการวาง ผังเพื่อรองรับและควบคุมการขยายตัวของเมือง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเมืองให้ เจริญก้าวหน้า การรักษำ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า ส่งเสริมการ ดํารงรักษาหรือบูรณะสถานที่และวัตถุ ที่มีประโยชน์หรือคุณค่ำ ในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี เพื่อคงไว้ ซึ่งอัตลักษณ์ ที่ สําคัญของประเทศ การรองรับและป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติ การรองรับสังคมผู้สูงอายุ และส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้ พิการ และการก้าวเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยปัญหาสําคัญ ด้านการผังเมือง คือ ขั้นตอนการจัดทําผังเมืองที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน และต้ องใช้ระยะเวลาในการดําเนินการแต่ละ ขั้นตอนค่อนข้างมาก ทําให้ผังที่ประกาศใช้มีความล้าสมัย โดยเฉพาะ ในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัด จนก่อให้เกิดการขยายตัว ของชุมชนเมืองในพื้นที่ลุ่มน้ําอย่างไร้ทิศทางทําให้การควบคุมการใช้พื้นที่ของประเทศยังไม่ประสบความสําเร็จ เท่าที่ควร ผั งเมืองแต่ละพื้นที่ไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ขาดการนําผังลุ่มน้ํามาใช้ประกอบในการวางผังเมือง ในแต่ละพื้นที่

  • 42 - 3) การขาดประสิทธิภาพของเครื่องมือทางกฎหมายและมาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ เครื่องมือทางกฎหมายและมาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ที่นํามาใช้ในการบริหารจัดการที่ดิน ยังไม่ ได้ ให้ความสําคัญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการใช้ที่ดินในอนาคต เครื่องมื อ ที่ใช้ส่วนใหญ่ มุ่งไปที่การจัดสรรที่ดินอย่างเหมาะสมในทางเศรษฐกิจ จึงจําเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดการบังคับ ใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่ดินให้มีการคํานึงถึงความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีมาตรการหรือกฎหมายบางฉบับที่มีอํานาจในการจัดการด้านที่ดินอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าเป็นมาตรการหรือกฎหมายที่เกิดขึ้นจากกลไกรูปแบบพิเศษ เช่น คําสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ งมีการออกคําสั่ งด้านที่ ดินหลายฉบับ ทั้ งคําสั่ งฯ ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปราม และหยุดยั้งการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้ คําสั่งฯ ที่ 26/2559 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ ในการดําเนินโครงการพัฒนาที่ อยู่อาศัยเพื่ อแก้ไขปัญหาการบุกรุกลําน้ําสาธารณะ คําสั่ งฯ ที่ 36/2559 เรื่อง มาตรการในการแก้ไข ปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบกฎหมาย เป็นต้น จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าในกลไกทางรัฐสภาพรู ปแบบปกตินั้น จะสามารถออกกฎหมายหรือมาตรการที่มี ความเด็ดขาด ได้เทียบเท่าหรือไม่ 4) การขาดการบูรณาการฐานข้อมูลการใช้ที่ดินของประเทศ การมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางด้านที่ดินและทรัพยากรดิน ตามภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการนําข้อมูลไปใช้ ทําให้มีข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลเชิงพื้นที่หรือข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ( GIS ) ยังขาดการเชื่อมโยงแลกเปลี่ ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ที่ มีประสิทธิภาพเพียงพอ เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงข้อมูล หรือลักษณะข้อมูลของแต่ละหน่วยงาน ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลที่แตกต่างกัน ทําให้มีความยากในการนําข้อมูลมาเปรียบเทียบเพื่อวิเคราะห์ หรือนําไปต่อยอดในการใช้ประโยชน์ได้ 2. 1 . 5 สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ํา 1) ภาพรวมประสิทธิภาพการจัดการน้ําของประเทศ ข้อมูลจากรายงานผลการสํารวจโครงการระบบการจัดเก็บข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานระดับ พื้นที่ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอย่างยั่งยืน ในลุ่มน้ําทั่วประเทศจํานวน 25 ลุ่มน้ํา เพื่อจัดทําดัชนีชี้วัด การจัดการน้ํา ( Water Management Index; WMI ) โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยพิจารณา 8 มิติ ได้แก่ มิติที่ 1 ต้นทุนทรัพยากรน้ํา มิติที่ 2 การจัดการน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค มิติที่ 3 ความมั่นคง ของน้ํา เพื่อการพัฒนา มิติที่ 4 ความสมดุลของน้ําต้นทุนและการใช น้ํา มิติที่ 5 การจัดการคุณภาพน้ํา และสิ่งแวดล้อม มิติที่ 6 การจัดการภัยพิบัติที่เกิดจากน้ํา มิติที่ 7 การจัดการและอนุรักษ์ป่าต้นน้ํา และ มิติที่ 8 การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา พบว่า ภาพรวมทั่วประเทศมีค่าดัชนีชี้วัดการจัดการน้ํา หรื อ WMI เทำกับ 3.42 ซึ่งถือว่าอยู่ ในระดับมีประสิทธิภาพ ส่วนในระดับภูมิภาค มีดัชนีชี้วัด การจัดการน้ํา ในช่วงค่าที่ไม่แตกต่างกันนัก คือมีค่าอยู่ ในระดับ “มีประสิทธิภาพ” โดยภาคใต้มีค่าสูงสุดคือ 3.60 รองลงมาเป็นภาคเหนือ (3.56) ภาคกลาง (3.27) และต่ําสุดในภาคตะวันอ อกเฉียงเหนือ (3.12) อย่างไรก็ตาม ยังมีมิติการจัดการน้ําบางมิติที่ยังอยู่ ในระดับศักยภาพ และ สามารถจัดการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ในหลายพื้นที่ เช่น มิติความมั่นคงของน้ําเพื่อ การพัฒนาในด้า น เกษตรกรรม การผลิต และบริการ มิติการจัดการคุณภาพน้ําและสิ่งแวดล้อมน้ํา รวมถึงมิติ การบริหารจัดกา ร ทรัพยากรน้ํา รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 19

  • 43 - ตารางที่ 2 - 1 9 ค่าดัชนีชี้วัดการจัดการน้ํา หรือ WMI จําแนกตามมิติการจัดการและภูมิภาค มิติการบริหารจัดการ ทั่วประเทศ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ มิติที่ 1 ต้นทุนทรัพยากรน้ํา ( Resources ) (เช่น น้ําฝน น้ําท่า น้ํากักเก็บ น้ําบาดาล ฯลฯ) 3 . 52 3 . 66 3 . 36 3 . 46 3 . 63 มิติที่ 2 การจัดการน้ําเพื่อ การอุปโภคบริโภค ( Household water security ) 4 . 47 4 . 55 4 . 49 4 . 19 4 . 30 มิติที่ 3 ความมั่นคงของน้ําเพื่อ การพัฒนา ( Economic water security ) (ด้านเกษตรกรรม การผลิต และบริการ) 2 . 78 2 . 62 2 . 46 3 . 33 2 . 39 มิติที่ 4 ความสมดุลของน้ําต้นทุน และการใช้น้ํา ( Balance in resources and usage ) 3 . 71 4 . 37 2 . 63 2 . 48 5 . 00 มิติที่ 5 การจัดการคุณภาพน้ํา และสิ่งแวดล้อมน้ํา ( Environmental water security ) 2 . 96 2 . 94 3 . 14 2 . 71 3 . 20 มิติที่ 6 การจัดการภัยพิบัติที่เกิด จากน้ํา ( Resilience to water - related disasters ) 3 . 54 3 . 63 3 . 04 3 . 78 4 . 40 มิติที่ 7 การจัดการและอนุรักษ์ป่า ต้นน้ํา ( Management of upstream forest ) 3 . 66 4 . 21 3 . 12 3 . 33 3 . 19 มิติที่ 8 การบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ํา ( Water resources management performance ) 2 . 71 2 . 47 2 . 69 2 . 90 2 . 68 เฉลี่ยทั้ง 8 มิติ 3 . 42 3 . 56 3 . 12 3 . 27 3 . 60 หมายเหตุ : ดัชนีชี้วัดการจัดการน้ําในพื้นที่ต่าง ๆ แสดงถึงระดับสถานการณ์จัดการน้ําของพื้นที่ ตามเกณฑ์ ที่ได้กําหนดใน ระดับ 0 ถึง 5 คะแนน 4 . 01 - 5 . 00 สถานะ : ต้นแบบ ( Model ) คะแนน 3 . 01 - 4 . 00 สถานะ : มีประสิทธิภาพ ( Effective ) คะแนน 2 . 01 - 3 . 00 สถานะ : มีศักยภาพ ( Capable ) คะแนน 1 . 01 - 2 . 00 สถานะ : ต้องพัฒนา ( Engaged ) คะแนน 0 . 00 - 1 . 00 สถานะ : อันตราย ( Harzardous ) ที่มา: รายงานโครงการระบบการจัดเก็บข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานระดับพื้นที่เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอย่างยั่งยืน ในลุ่มน้ําทั่วประเทศจํานวน 25 ลุ่มน้ํา โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (โครงการระยะที่ 1) ( 2562 )

  • 44 - 2) ปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยรายปี ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ( 2563 ) รายงานปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2553 - 2562 ) พบว่า ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีปริมาณฝนเฉลี่ยทั่วประเทศ 1,343 . 4 มิลลิเมตร ต่ํากว่าค่าปกติหรือปริมาณฝนเฉลี่ยคาบ 30 ปี (พ.ศ. 2524 - 2553 ) ซึ่งมีค่าปกติคือ 1641 . 7 มิลลิเมตร คิดเป็น ร้อยละ 15 . 39 และยังมีปริมาณฝนเฉลี่ยลดลงจากปี พ.ศ. 2561 ที่มีปริมาณฝนเฉลี่ย 1,660 . 9 มิลลิเมตร โดยภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีปริมาณฝนสูงสุด 2,498 . 5 มิลลิเมตร รองลงมาคือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ( 1,668 . 1 1,379 . 8 1,203 . 0 1,036 . 1 และ 926 . 2 มิลลิเมตร ตามลําดับ) ปริมาณน้ําฝนรายปีมีความผันแปรตามพื้นที่ย่อยระดับตําบลระหว่าง 585 - 5,058 มิลลิเมตรต่อปี จังหวัดที่มีปริมาณน้ําฝนสูง ได้แก่ระนอง พังงา และตราด ตามลําดับ และจังหวัดที่มีปริมาณน้ําฝนต่ํา ได้แก่ อ่างทอง สิงห บุรี และพระนครศรีอยุธยา ตามลําดับ ลุ่มน้ําภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีปริมาณน้ําฝนสูงสุด ส่วนลุ่มน้ํา เพชรบุรี มีปริมาณน้ําฝนต่ําสุด รูปที่ 2 - 9 ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2553 - 2562 ) ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา ( 2563 ) 3 ) ปริมาณน้ําท่า น้ําบาดาล น้ํากักเก็บ กรมชลประทาน (2563) ได้รายงานปริมาณน้ําท่าในประเทศไทยทั้ ง 25 ลุ่ มน้ํา ใน พ.ศ. 2561/2562 โดยพบว่ามีปริมาณน้ําท่าตามธรรมชาติเฉลี่ยทั้งปีรวม 197,320.92 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 14.22 จาก พ.ศ. 2560/2561 ที่มีปริมาณน้ําท่าเฉลี่ยทั้งปีรวม 230,041.76 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยภาคใต้มีปริมาณน้ําท่ามากที่สุด 63,682.63 ล้านลูกบาศก์เมตร รองล งมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนื อ ภาคกลาง และภาคตะวั นออก โดยมี ปริ มาณ 42 , 989.80 35 , 715.50 32 , 834.91 และ 22 , 098.08 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลําดับ เมื่อพิจารณาตามลุ่มน้ํา ข้อมูลโดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (2562) พบว่าลุ่มน้ําที่มีปริมาณน้ําท่าสูง ได้แก่ ลุ่มน้ําภาคใต้ฝั่งตะวันออก น่าน และโขง ตามลําดับ ลุ่มน้ําที่มี ปริมาณน้ําท่าน้อย ได้แก ลุ่มน้ําท่าจีน ชายฝั่งทะเลประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ตามลําดับ จังหวัดที่มีปริมาณ น้ําท่าสูง ได้แก่ กาญจนบุรี สุราษฎร ธานี และนครศรีธรรมราช ตามลําดับ ส่วนจังหวัดที่มีน้ําท่าน้อย ได้แก่ สมุทรสาคร นนทบุรี และสมุทรสงคราม ตามลําดับ รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 20

  • 45 - ตารางที่ 2 - 20 ปริมาณน้ําท่าจําแนกตามพื้นที่ภูมิภาค ภาค พื้นที่ลุ่มน้ํา * ปริมาณน้ําท่า ปี (พ.ศ.) (ตร.กม.) 2560 / 2561 2561 / 2562 เหนือ 128,448 . 00 41,661 . 01 35,715 . 50 ตะวันออกเฉียงเหนือ 176,602 . 00 54,741 . 39 42,989 . 80 กลาง 98,473 . 00 36,936 . 23 32,834 . 91 ตะวันออก 36,438 . 00 24,433 . 49 22,098 . 08 ใต้ 71,401 . 00 72,269 . 64 63,682 . 63 รวมทั้งประเทศ 511,362 . 00 230,041 . 76 197,320 . 92 หมายเหตุ: * ข้อมูลพื้นที่ลุ่มน้ํา 25 ลุ่มน้ํา จากคณะกรรมการอุทกวิทยาแห่งชาติ ที่มา: กรมชลประทาน ( 2563 ) กรมชลประทาน (2563) รายงานสถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลาง ในปี พ.ศ. 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2563) พบว่า อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่มีปริมาตรน้ํา 33,619 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 16.90 จาก พ.ศ. 2562 ที่มีปริมาตรน้ํา 40,454 ล้านลูกบาศก์เมตร และ อ่างเก็บน้ําขนาดกลาง มีปริมาตรน้ํา 1 , 584 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงร้อยละ 24.44 จาก พ.ศ. 2562 ที่ มี ปริมาตรน้ํา 2 , 096 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่มีปริมาตรน้ําใช้การ 10 , 095 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 30.03 ของปริมาตรน้ําในอ่าง ลดลงร้อยละ 40.30 จาก พ.ศ. 2562 ที่มีปริมาตรน้ําใช้การ 16 , 909 ล้านลูกบาศก์เมตร และอ่างเก็บน้ําขนาดกลางมีปริมาตรน้ําใช้การ 1 , 213 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 76.57 ของปริมาตรน้ําในอ่าง ลดลงร้อยละ 28.92 จาก พ.ศ. 2562 ที่มีปริมาตรน้ําใช้การ 1 , 706 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อพิจารณาแนวโน้มช่วงปี พ. ศ. 2561 - 2563 พบว่า ในรอบ 3 ปีนี้ แนวโน้มปริมาตรน้ําและปริมาณน้ําใช้การลดลงในอ่างเก็บน้ําทั้งสองขนาด รายละเอียดแสดงดัง ตารางที่ 2 - 21 ตารางที่ 2 - 2 1 สถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลาง หน่วย : ล้านลูกบาศก์เมตร ปี (พ.ศ.) 2558 2559 2560 2561 2562 2563 อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ ปริมาตรน้ํา 36,561 32,411 38,561 44,375 40,454 33,619 เหนือ 10,490 8,304 11,131 13,934 12,000 8,732 ตะวันออกเฉียงเหนือ 3,022 2,345 3,400 4,012 2,730 2,636 ตะวันออก 428 413 514 762 541 268 กลาง 384 348 451 602 288 219 ตะวันตก 16,470 15,860 16,970 19,286 19,411 17,507 ใต้ 5,767 5,141 6,094 5,779 5,484 4,257 ปริมาตรน้ําใช้การ 13,069 8,919 15,033 20,832 16,909 10,095 เหนือ 3,761 1,575 4,402 7,188 5,255 1,988

  • 46 - ตารางที่ 2 - 2 1 สถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลาง หน่วย : ล้านลูกบาศก์เมตร ปี (พ.ศ.) 2558 2559 2560 2561 2562 2563 ตะวันออกเฉียงเหนือ 1,381 704 1,749 2,362 1,081 986 ตะวันออก 347 332 415 662 441 168 กลาง 333 297 391 542 225 159 ตะวันตก 3,193 2,583 3,693 6,009 6,134 4,230 ใต้ 4,054 3,428 4,383 4,069 3,773 2,564 อ่างเก็บน้ําขนาดกลาง ปริมาตรน้ํา 1,953 1,524 2,475 3,036 2,096 1,584 เหนือ 343 207 411 623 423 287 ตะวันออกเฉียงเหนือ 861 694 1,031 1,075 673 637 ตะวันออก 266 236 374 603 420 250 กลาง 41 48 55 197 117 82 ตะวันตก 68 29 93 111 69 40 ใต้ 374 309 512 427 394 288 ปริมาตรน้ําใช้การ 1,686 1,263 2,183 2,662 1,706 1,213 เหนือ 282 146 328 534 327 191 ตะวันออกเฉียงเหนือ 726 569 888 929 524 498 ตะวันออก 227 197 335 550 365 198 กลาง 31 39 52 173 92 58 ตะวันตก 59 20 83 102 59 32 ใต้ 360 292 497 374 339 235 หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี ที่มา: กรมชลประทาน ( 2563 ) ในส่วนของปริมาณน้ําบาดาล ข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล (2563) รายงานสถิติ น้ําบาดาลในประเทศจากข้อมูลบ่อสังเกตการณ์ 1,162 สถานี 2,098 บ่อ กระจายอยู่ใน 27 แอ่งน้ําบาดาล พบว่า มีปริมาณน้ําบาดาลกักเก็บรวมทั้งประเทศ 1.137 ล้านล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เป็นปริมาณน้ําบาดาล ที่สามารถนํามาใช้ได้อย่างปลอดภัย 45,386 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือร้อยละ 3.99 ของปริมาณน้ําบาดาล ที่กักเก็บทั้งหมด โดยภาคกลางมีปริมาณน้ํากักเก็บมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38.31 ของปริมาณน้ําบาดาลที่กักเก็บ ทั้งหมด รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก คิดเป็น ร้อยละ 19.39 17.51 14.76 5.43 และ 4.60 ตามลําดับ ในขณะที่น้ําบาดาลที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 35.48 ของปริมาณน้ําบาดาลที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย ทั้ งประเทศ รองลงมาคือ ภาคใต้ ภาคก ลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก เมื่ อพิจารณา ตาม ลุ่มน้ํา ข้อมูลโดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (2562) พบว่า ลุ่มน้ําที่มีปริมาณน้ําบาดาลที่นํามาใช้ได้มาก ได้แก่ ลุ่มน้ําภาคใต้ฝั่งตะวันออก น่าน และโขง ตามลําดับ ขณะที่ลุ่มน้ําที่มีปริมาณน้ําบาดาลที่สามารถนํามาใช้ ได้ น้อย ได้แก่ ท่าจีน ชายฝั่งทะเลประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ตามลําดับ

  • 47 - 4) ความต้องการใช้น้ําของประเทศ ข้อมูลความต้องการใช้น้ําทั้งประเทศทั้งน้ําผิวดินและน้ําบาดาล ในรอบปี พ.ศ. 2562/ 2563 ของกรมทรัพยากรน้ํา พบว่า ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ําทุกกิจกรรมรวม 62,457.67 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเป็นการใช้น้ําเพื่อเกษตรกรรมมากที่สุด 51,527.62 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 82.50 ของความต้องการใช้น้ําทั้งหมด รองลง คือ การรักษาระบบนิเวศ อุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 12.3 5 3.26 และ 1.89 ตามลําดับ ส่วนการใช้น้ําบาดาลของประเทศไทยสําหรับบ่อเอกชนที่ขออนุญาตใน พ.ศ. 2562 พบว่า มีจํานวนบ่อน้ําบาดาลรวม 64,946 บ่อ (ณ เดือนธันวาคม 2562) มีปริมาณน้ําบาดาลตามใบอนุญาต รวมทั้งสิ้นประมาณ 59 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเป็นการใช้น้ําบาดาลเพื่อการทําธุรกิ จมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.75 ของปริมาณน้ําบาดาลทั้งหมดตามใบอนุญาต รองลงมาคือ เกษตรกรรม และอุปโภคบริโภค คิดเป็นร้อยละ 24.40 และ 17.85 ตามลําดับ ทั้งนี้น้ําบาดาลที่ใช้จริงมีปริมาณรวม 11.7 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเป็นการใช้ น้ําบาดาลเพื่อการทําธุรกิจมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.30 รองลงมาคือ เกษตรกรรม และอุปโภคบริโภค คิดเป็น ร้อยละ 9.96 และ 2.74 ของปริมาณน้ําบาดาลทั้งหมดที่ใช้จริงตามลําดับ (กรมทรัพยากรน้ําบาดาล , 2563) รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 22 ตารางที่ 2 - 2 2 ความต้องการใช้น้ําทั้งประเทศ ทั้งน้ําผิวดินและน้ําบาดาล พ.ศ. 2562/2563 ประเภทการใช้น้ํา ความต้องการใช้น้ํา 2562 / 2563 (หน่วย: ล้านลูกบาศก์เมตร) ร้อยละ อุปโภคบริโภค 2,037 . 63 3 . 26 เกษตรกรรม 51,527 . 62 82 . 50 อุตสาหกรรม 1,177 . 40 1 . 89 การรักษาระบบนิเวศ 7,715 . 02 12 . 35 รวม 62,457 . 67 100 . 00 หมายเหตุ: ปริมาณความต้องการใช้น้ําทั้งประเทศวิเคราะห์จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ํา 2 ส่วน ดังนี้ 1 ) แผนบริหารจัดการน้ําและเพาะปลูกฤดูฝน พ.ศ. 2562 ในพื้นที่นอกเขตชลประทาน วันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม 2562 2 ) ความต้องการใช้น้ําเชิงพื้นที่รายตําบลช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนเมษายน 2563 ในพื้นที่เกษตรน้ําฝน (พื้นที่นอกเขตชลประทาน) ที่มา: กรมทรัพยากรน้ํา ( 2563 ) 5) พื้นที่ชลประทาน จาก ข้อมูล สารสนเทศโครงการชลประทาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายงา น ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่การเกษตรรวม 14 9 .3 ล้านไร่ มีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทาน ประมาณ 60.3 ล้านไร่ และมีพื้ นที่ ชลประทานที่ พัฒนาแล้วรวมทั้ งสิ้ น 34.9 ล้านไร่ ประกอบด้วย โครงการ ชลปร ะทานขนาดใหญ่ 19.3 ล้านไร่ โครงการชลประทานขนาดกลาง 6. 3 ล้านไร่ และโครงการชลประทาน ขนาดเล็ก 9.3 ล้านไร่ รวมจํานวนโครงการทุกขนาด 2 1 , 229 โครงการ ปริมาตรน้ํากักเก็บประมาณ 8 3 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ทั้งสิ้น 3 1 .4 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่การเกษตรอื่น ๆ จะเป็นพื้นที่เกษตรน้ําฝน

  • 48 - รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 23 พื้นที่ชลประทานของประเทศไทยมีการกระจายตัวในภาคกลางมากที่สุด โดยเฉพาะในลุ่มน้ําเจ้าพระยาและท่าจีน เมื่อประเมินระดับ ความพร้อมด้านการชลประทาน โดยใช้ตัวชี้วัดเป็นค่า พื้นที่ ชลประทานต่อพื้นที่เกษตรกรรม พบว่า ภาคกลางมีความพร้อมสูงสุดที่ร้อยละ 46.52 รองลงมาคือ ภาคเหนือ (ร้อยละ 15.59) ภาคใต้ (ร้อยละ 14.35) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ร้อยละ 7.49) ตามลําดับ ในมิติของลุ่มน้ํา ลุ่มน้ําท่าจีนมีค่าสูงสุดที่ร้อยละ 66.42 และลุ่มน้ําสาละวินมี ค่าน้อยที่สุด (ร้อยละ 1.66) เมื่อพิจารณาครัวเรือนเกษตรที่มีพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน พบว่าประเทศไทย มีครัวเรือนทั้งหมด 21.90 ล้านครัวเรือน มีครัวเรือนเกษตรทั้งหมด 6.11 ล้านครัวเรือน มีครัวเรือนเกษตรที่มี พื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน 541 , 477 ครัวเรือน โ ดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีครัวเรือนเกษตร 2 , 795 , 899 ครัวเรือน แต่มีเพียงร้อยละ 5.56 ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน ขณะที่ภาคกลาง มีครัวเรือนเกษตร 1 , 033 , 112 ครัวเรือน และมีถึงร้อยละ 17.78 ที่มีพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน ตารางที่ 2 - 2 3 ข้อมูลโครงการชลประทาน ตั้งแต่ต้นจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 256 4 โครงการ จํานวนโครงการ (แห่ง) ปริมาตรน้ําเก็บ กัก (ล้าน ลบ.ม.) พื้นที่ชลประทาน (ไร่) พื้นที่รับประโยชน์ (ไร่) โครงการชลประทานขนาดใหญ่ 101 74 , 066 . 078 19 , 268 , 906 4 , 804 , 049 โครงการชลประทานขนาดกลาง 889 5 , 372 . 546 6 , 278 , 064 2 , 141 , 141 โครงการชลประทานขนาดเล็ก 20 , 239 3 , 522 . 052 9 , 334 , 052 24 , 489 , 705 รวมทั้งสิ้น 21 , 229 82, 960.675 34 , 881 , 022 31 , 434 , 895 ที่มา: กรมชลประทาน ( 256 4 ) 6) พื้นที่ประสบภัยแล้งและอุทกภัย ข้อมูลสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2559 รายงา น โดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า จํานวนราษฎรและครัวเรือนราษฎรที่ได้รับผลกระทบมีแนวโน้มลดลงทุก ปี แต่ในส่วนของพื้นที่ความเสียหายทางการเกษตรมีขนาดพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ในส่วนของระดับ ความรุนแรงของพื้นที่แล้งซ้ําซากที่พิจารณาจากแผนที่พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ําซาก พ.ศ. 2561 พบว่ำพื้นที่ ที่ มีปัญหาภัยแล้งตั้ งแต่ 6 ครั้ งขึ้ นไปในรอบ 10 ปี ส่วนใหญ่อยู่ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดหนองบัวลําภู ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี และบางส่วนของภาคกลางตอนบน เช่น จังหวัดสุโขทัย กําแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ในส่วนของสถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานข้อมูลว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 - 2561 ประเทศไทยประสบปัญหา อุทกภัยครั้ งใหญ่ปีละ 4 - 7 ครั้ ง โดยปี พ.ศ. 2560 มีจํานวนครั้ งของการเกิดอุทกภัยให ญ่ จํานวนและ ครัวเรือนราษฎร และมูลค่าความเสียหาย มากที่สุด รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 2 4 และตารางที่ 2 - 25

  • 49 - ตารางที่ 2 - 2 4 สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้งของประเทศไทย พ.ศ. 255 5 - 25 59 สถานการณ์ ความแห้งแล้ง พื้นที่ประสบภัย 2555 2556 2557 2558 2559 พื้นที่ประสบภัย จังหวัด 53 58 50 40 40 อําเภอ 575 598 396 265 267 กิ่งอําเภอ - - - - - ตําบล 4,117 3,953 2,491 1,458 1,444 หมู่บ้าน 40,723 37,118 23,229 12,972 11,840 ความเสียหาย ราษฎร (คน) 15,235,830 9,070,144 5,771,955 3,988,125 3,015,391 ราษฎร (ครัวเรือน) 4,188,516 2,678,487 1,747,870 1,443,543 1,061,125 ปศุสัตว์ (ตัว) - - - - - พื้นที่การเกษตร (ไร่) 1,486,512 2,406,665 1,675,015 2,393,460 2,728,354 มูลค่าความเสียหาย (บาท) 399,178,544 2,914,986,854 68,983,841 637,982,948 145,396,739 ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ตารางที่ 2 - 2 5 สถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2557 - 2561 2557 2558 2559 2560 2561 จํานวนครั้ง 4 4 6 7 5 พื้นที่ประสบภัย จังหวัด 58 49 62 68 66 อําเภอ 440 241 252 698 420 ตําบล 2,249 964 3,020 4,599 1,852 หมู่บ้าน 15,044 5,736 21,170 39,769 14,964 ความเสียหาย ราษฎร เดือดร้อน (คน) 1,810,748 885,915 1,128,447 3,678,474 1,009,289 ราษฎร เดือดร้อน (ครัวเรือน) 601,796 211,360 423,176 1,333,791 418,338 พื้นที่การเกษตร (ไร่) 1,706,254 694,282 566,972 6,525,738 na ปศุสัตว์ (ตัว) 23,002 87 5,632 1,411,636 2,057 มูลค่าความ เสียหาย (บาท) 323,578,804 162,063,478 271,167,957 1,050,281,997 542,067,800 หมายเหตุ: na คือ ไม่มีข้อมูล ที่มา: ศูนย์อํานวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2564)

  • 50 - 2 . 1 . 6 ความต้องการใช้พลังงาน 1) ปริมาณการใช้พลังงานขั้นต้น ข้ อมูลของสํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (2563) รายงานว่า ปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เป็นการเพิ่มขึ้นของการใช้ในส่วนของน้ํามันก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทน สอดคล้องกับ GDP ของประเทศที่ สศช. แถลง โดยที่มีการขยายตัวร้อยละ 2.4 ตาม กา ร ขยายตัว ของการลงทุนและการบริโภคของเอกชน และราคาน้ํามันดิบดูไบ อยู่ที่ 63.3 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้การใช้น้ํามันเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากการใช้ในภาคขนส่ง การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ตามการใช้ ในภาคการผลิตไฟฟ้า และการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้ นร้อยละ 3.3 สอดคล้องกับการใช้พลังงานทดแทนในการผลิต ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 26 ตารางที่ 2 - 2 6 การใช้พลังงานขั้นต้น พ.ศ. 2562 ชนิด การใช้พลังงานขั้นต้น หน่วย: พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ํามันดิบต่อวัน (ร้อยละการเปลี่ยนแปลง เทียบกับปีก่อนหน้า) 2559 2560 2561 2562 น้ํามัน 798 - 816 (2.3) 831 (1.9) 845 (1.7) ก๊าซธรรมชาติ 901 - 895 ( - 0.7) 883 ( - 1.3) 901 (2.1) ถ่านหิน/ลิกไนต์ 357 - 360 (0.7) 384 (6.6) 342 ( - 10.9) พลังงานทดแทน 601 - 533 ( - 11.2) 551 (3.4) 570 (3.3) พลังน้ํา/ไฟฟ้านําเข้า 40 - 50 (24.9) 59 (17.7) 54 ( - 7.0) รวม 2 , 697 - 2 , 654 ( - 1.6) 2 , 708 (2.0) 2 , 713 (0.2) ที่มา: สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (2563) 2) ปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน ( 2563 ) รายงานว่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ของประเทศไทยใน พ.ศ. 2562 มีปริมาณ 89,193 พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ ลดลงร้อยละ 0 . 61 จาก พ.ศ. 2561 ที่มีการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายรวมทั้งสิ้น 89,724 พันตันเทียบ เท่าน้ํามันดิบ ส่วนใหญ่เป็นการใช้ น้ํามันสําเร็จรูป ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน เมื่อพิจารณาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า การใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ของประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 27

  • 51 - ตารางที่ 2 - 2 7 ปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย จําแนกตามชนิดพลังงาน พ.ศ. 2556 - 2562 หน่วย : พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ ชนิดพลังงาน ปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย จําแนกตามชนิดพลังงาน พ.ศ. 2556 - 2562 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 ถ่านหิน 7,092 8,292 8,836 8,603 9,129 10,265 8,622 น้ํามันสําเร็จรูป 36,079 36,270 38,100 39,828 40,681 41,473 42,168 ไฟฟ้า 14,189 14,588 15,065 15,783 16,036 16,131 16,158 ก๊าซธรรมชาติ 8,661 8,879 8,793 8,763 8,628 8,725 8,452 พลังงานหมุนเวียน 1 / 13,978 14,729 14,039 12,632 12,636 13,129 13,768 รวมทั้งสิ้น 79,999 82,759 84,832 85,609 87,111 89,724 89,193 หมายเหตุ: 1 / ข้อมูลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ที่มา : สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน ( 2563 ) 3 ) ปริมาณการใช้พลังงานทดแทน ข้อมูลการใช้พลังงานทดแทน ช่วงปี พ.ศ. 2559 - 2562 พบว่า การใช้พลังงานทดแทน ทุกประเภทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการใช้พลังงานทดแทนรวมทั้งสิ้น 14,136 พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ เพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2561 ที่มีการใช้พลังงานทดแทน 12,996 พันตั นเทียบเท่าน้ํามันดิ บ คิดเป็นร้อยละ 8 . 77 ทั้งนี้มีการใช้ไฟฟ้าและความร้อนที่ผลิตได้จากพลังงานทดแทน 3,239 และ 8,525 พันตัน เทียบเท่าน้ํามันดิบ ตามลําดับ ส่วนเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งประกอบด้วย เอทานอล และไบโอดีเซล มีการใช้ 829 และ 1,543 พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ ตามล ําดับ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน , 2563 ) รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 28 ตารางที่ 2 - 28 ปริมาณการใช้พลังงานทดแทน เดือนมกราคม - ธันวาคม ระหว่าง พ.ศ. 2559 - 2562 การนําเข้าพลังงาน ปริมาณ (พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ) อัตราการเปลี่ยนแปลง (ร้อยละ) พ.ศ. 2561 กับ พ.ศ. 2562 2559 2560 2561 2562 1 ) ไฟฟ้า 1 / 2,122 2,473 2,960 3,239 + 9 . 42 2 ) ความร้อน 2 / 7,182 7,322 7,919 8,525 + 7 . 65 3 ) เชื้อเพลิงชีวภาพ - เอทานอล 684 3 / 733 781 829 + 6 . 14 - ไบโอดีเซล 1,063 1,203 1,336 1,543 + 15 . 49 รวม 11,051 11,731 12,996 14,136 + 8 . 77 หมายเหตุ: 1 / ไฟฟ้า (รวมการผลิตนอกระบบ) ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม น้ํา ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ 2 / ความร้อน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ 3 / มีการเปลี่ยนแปลงวิธีคํานวณค่าความร้อนจากน้ํามันเบนซินเป็นเอทานอล ที่มา : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ( 2563 )

  • 52 - 4 ) ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2562 ทั้งประเทศเท่ากับ 203,714 ล้านกิโลวัตต์ - ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 . 3 จากปีก่อนหน้าจากการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ ยกเว้นภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งที่มีการใช้ไฟฟ้าลดลง โดยภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ยังคงมีการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2562 สูงสุดใกล้เคี ยงกัน คิดเป็น 80,172 และ 72,028 กิโลวัตต์ - ชั่วโมง หรือร้อยละ 39 . 36 และ 35 . 36 ของการใช้ ไฟฟ้าทั้ งประเทศ ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรมมีอัตราความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่ มขึ้ นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 . 5 จากปีก่อนหน้า การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมลดลง เป็นผลจำกการลดลงของการใช้ ไฟฟ้าในอุตสาหกรรมอาหาร เหล็กและโลหะพื้นฐาน อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนต์ และ ซีเมนต์ ตามสภาวะ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายละเอียดแสดงดังตารางที่ 2 - 29 ตารางที่ 2 - 29 การใช้พลังงานไฟฟ้า จําแนกตามสาขาเศรษฐกิจ พ.ศ. 2558 – 2562 หน่วย: ล้านกิโลวัตต์ - ชั่วโมง สาขาเศรษฐกิจ 2558 2559 2560 2561 2562 รวมทุกประเภท 181,377 190,504 193,860 197,214 203,714 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - 5 . 0 1 . 8 1 . 7 3 . 3 บ้านอยู่อาศัย 41,443 44,128 44,614 45,382 49,393 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - 6 . 5 1 . 1 1 . 7 8 . 8 ธุรกิจ ( 1 ) 61,446 64,768 65,216 68,263 72,028 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - 5 . 4 0 . 7 4 . 7 5 . 5 อุตสาหกรรม ( 2 ) 76,914 80,211 82,057 81,617 80,172 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - 4 . 3 2 . 3 - 0 . 5 - 1 . 8 ขนส่ง 108 113 245 216 215 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - 4 . 6 116 . 8 - 11 . 8 - 0 . 5 เกษตรกรรม 381 267 298 365 469 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - - 29 . 9 11 . 6 22 . 5 28 . 5 อื่น ๆ ( 3 ) 1,085 1,017 1,430 1,371 1,437 ร้อยละเปลี่ยนแปลง (เทียบปีก่อนหน้า) - - 6 . 3 40 . 6 - 4 . 1 4 . 8 หมายเหตุ: ตั้งแต่ปี 2558 รวมผู้ผลิตพลังงานควบคุมที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ( 1 ) รวมส่วนราชการ องค์กรที่ไม่แสวงหากําไร และไฟสาธารณะ ( 2 ) รวมอุตสาหกรรมการทําเหมืองแร่ และเหมืองหิน ( 3 ) การใช้พลังงานไฟฟ้าชั่วคราว ที่มา: กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน (2563) ในส่วนของการจําหน่ายพลังงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ในช่วงปี พ.ศ. 2558 - 2562 พบว่า ในปี พ.ศ. 2562 มีการจําหน่ายไฟฟ้าทั่วประเทศ 188.6 พันล้านกิโลวัตต์ - ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2561 ที่มีการจําหน่ายไฟฟ้า 183.5 พันล้านกิโลวัตต์ - ชั่วโมง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.77 ของปีก่อนหน้า โดยภาคกลาง (ไม่รวมกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ) ได้รับการจําหน่ายไฟฟ้าสูงสุด 79.9 พันล้านกิโลวัตต์ - ชั่วโมง หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ของการจําหน่ายไฟฟ้าทั้งประเทศ เมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่

  • 53 - ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครห ลวง (เฉพาะกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ของประเทศ พบว่า ได้รับจําหน่ายพลังงานไฟฟ้ารวม 53.3 พันล้านกิโลวัตต์ - ชั่ วโมง คิดเป็นร้อยละ 28 ของการจําหน่ายไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งสูงกว่าภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ทั้งภาค 2. 1 . 7 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ เมื่อพิจารณาจํานวนผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2558 - 2562 พบว่า สัดส่วนผู้สูงอายุทั่วราชอาณาจักรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย พ.ศ. 2562 มีสัดส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 1 6.73 ของประชากร เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2558 ที่มีร้อยละ 14.39 หรือเพิ่มจากประมาณ 9.5 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2558 เป็นกว่า 11 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2562 เมื่ อพิจารณาจํานวนผู้ สูงอายุรายภาคพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจํานวนผู้สูงอายุมากที่สุด (ประมาณ 3.5 ล้านคน) รองลงมา คือ ภาคกลาง (ประมาณ 2.9 ล้านคน) แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนผู้สูงอายุรายภาค พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงสุด (ร้อยละ 18.87 ของประชากรทั้งภาค) รองลงมาคือภาคกลาง (ร้อยละ 16.63 ของประชากรทั้งภาค) ส่วนภาคใต้มีสัดส่วนน้อยที่สุด (ร้อยละ 14.56 ของประชากรทั้งภาค) ข้ อมูลดังกล่าวสวนทางกับแนวโน้มประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15 - 59 ปี) ที่มีแนวโน้มลดลง โดยปี พ.ศ. 2562 ทั่วราชอาณาจักรมีประชากรวัยแรงงาน 42.8 ล้านคน (ร้อยละ 64.37) ลดลงจากปี พ.ศ. 2558 ที่ มีประชากรวัยแรงงาน 43.2 ล้านคน (ร้อยละ 65.73) โดยภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประชากรวัยแรงงานลดลง สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ( Aged society ) ตามนิยามของสหประชาชาติ ซึ่งหมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ 2. 2 ประเด็ นปัญหาหลักของการใช้ที่ดินในภาพรวมระดับโลกและภูมิภาค 2.2.1 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและการทวีความสําคัญของภูมิภาคเอเชีย ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจโลกแบบหลายศูนย์กลาง ( Multi - Polar World ) ชัดเจนมากขึ้น มีการถ่ายเทอํานาจทางเศรษฐกิจจากประเทศมหาอํานาจในโลกตะวันตกมายังโลก ตะวันออกและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มากขึ้น หลายปีที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียได้เข้ามามีบทบาทใน การขับเคลื่อน เศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโลกแ ละ การเติบโตของมหาอํานาจทางเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นประเทศกําลังพัฒนา ได้แก่ จีนและอินเดีย โดยมีปัจจัย สนับสนุนหลัก คือ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การมีทรัพยากรภายในภูมิภาคที่ทําให้ต้นทุนการผลิต ถูกกว่า รวมถึงนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐและการริเริ่มใช้เทคโนโลยีแ ละนวัตกรรมที่ต่อเนื่อง (สภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2556) 2 .2.2 การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและอนุภูมิภาค การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าการลงทุน มีบทบาทที่ชัดเจน มากขึ้น เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ( Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP ) เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง ASEAN 10 ประเทศกับภาคีที่มีอยู่ 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งได้ลงนามร่วมกันที่จะเ จรจาความตกลง RCEP เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดย RCEP เป็นการพัฒนาต่อยอดความตกลงการค้าเสรีที่อาเซียนมีอยู่แล้ว 5 ฉบับ กับ 6 ประเทศ (อาเซียน - จีน อาเซียน - ญี่ปุ่น อาเซียน - เกาหลี อาเซียน - อินเดีย และอาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์) โดยมีหลักการที่ตั้งอยู่

  • 54 - บนผลประโยชน์ร่วม กันอย่างรอบด้าน ในการสนับสนุนการขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกันเป็นระบบการค้าเสรีที่ใช้กฎระเบียบเดียวกันของภาคีทั้งหมด 16 ประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นไปเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของอาเซียนกับเศรษฐกิจโลก ครอบคลุมทุกมิติการค้า ทั้งด้าน สินค้า บริการ ลงทุน มาตรการทางการค้าและความร่วมมือทางเ ศรษฐกิจ เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต การค้า และการลงทุน ให้สอดคล้องและมีความสะดวกทางการค้าและการลงทุนขึ้น (สํานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2559) และการรวมกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ( Greater Mekong Sub - Region Economic Corridors ) ประกอบด้วย ลาว กัมพูชา จีน พม่า เวียดนาม และไทย ซึ่งอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้ งยังเป็นจุดศูนย์กลางในการเชื่ อมโยงติดต่อระหว่างภูมิภาคเอเชี ยใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การ เกษตร และบริการ สนับสนุนการจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีมากขึ้น ส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือทางเทคโนโลยีและการศึกษาระหว่างกัน ตลอดจนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งเสริมกัน อย่างมี ประสิทธิภาพ ส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถ รวมทั้งโอกาสทางเ ศรษฐกิจในเวทีการค้าโลก โดยใช้กรอบ การลงทุน ระดับภูมิภาค ( Regional Investment Framework : RIF ) เป็นกลไกสําหรับการลงทุน เป็นต้น (สภาที่ ปรึกษำ เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ , 2556) 2.2. 3 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของโลก การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของโลกส่งผลต่อเศรษฐกิจและรูปแบบการดําเนินชีวิต โดยในปี พ.ศ. 2558 ประชากรโลกมีจํานวน 7 , 349 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 7 , 758 ล้านคนในปี พ.ศ. 2563 ประมาณครึ่งหนึ่งจะอาศัย อยู่ในทวีปเอเชีย นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติยังได้ประเมินสถานการณ์ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2544 – 2643 (ค.ศ. 2001 - 2100) จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุจากการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนผู้สูงอายุจะ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.3 ในปี พ.ศ. 2558 เป็นร้อยละ 13.8 ในปี พ.ศ. 2563 ขณะที่วัยแรงงา น (อายุ 25 - 59 ปี) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 45.4 เป็นร้อยละ 45.7 ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่หลังจากปี พ.ศ. 2563 วัยแรงงาน จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนวัยเด็ก (อายุ 0 - 24 ปี) ลดลงจากร้อยละ 42.3 เป็นร้อยละ 40.8 ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยประเทศพัฒนาแล้วจะเข้าสู่สังค มสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว และส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการเตรียมตัวสําหรับ การเป็นสังคมสูงวัยค่อนข้างนานเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกําลังพัฒนา เช่น สาธารณรัฐฝรั่งเศส ใช้ระยะเวลา 115 ปี ราชอาณาจักรสวีเดน 85 ปี สหรัฐอเมริกา 69 ปี เป็นต้น ขณะที่ประเทศกําลังพัฒนาส่วนใหญ่ ใช้ ระยะเวลาที่สั้นกว่ามาก เช่น จาไมกา 25 ปี สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา 23 ปี เป็นต้น เช่นเดียวกับประเทศไทย มีระยะเวลาที่เข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ค่อนข้างเร็วประมาณ 16 ปี ก่อนที่ จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลต่อการออม การลงทุน และการคลังขอ งประเทศ ขณะเดียวกันแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลงและกระจายตัวของประชากรโลกที่พบว่า มากกว่าร้อยละ 50 จะอาศัยอยู่ ในเขตเมือง ซึ่งมีสัดส่วนการบริโภคมากกว่าร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด และกลุ่มผู้สูงอายุในประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นกลุ่มสําคัญที่ทําให้มีการบริโภคสินค้าและบริ การเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบริโภคสินค้าและบริการ ด้านสุขภาพ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสําหรับประเทศไทยในการพัฒนาสินค้าและวัฒนธรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการบริการ ทางการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุเพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงอายุในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ธุรกิจ Nursi ng home ธุรกิจด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวสําหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น และยังก่อให้เกิดความต้องการ แรงงานในสาขาอาชีพที่เน้นในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นตามมา เช่น ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ( Care Giver ) เป็นต้น (สํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , 2559) อย่างไร ก็ตาม การเป็นสังคมสูงวัยของโลกยังอาจ เป็นภัยคุกคามสําคัญสําหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน เนื่องจากการลดลงของวัยแรงงาน จึงอาจก่อเกิดการแย่งชิง ประชากร วัยแรงงาน โดยเฉพาะคนที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นกําลังแรงงานสําคัญในการพัฒนาประเทศ

  • 55 - การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของโลกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่เป็นสังค ม ผู้สูงอายุที่สมบูรณ์มานานกว่า 40 ปีแล้ว เช่น ฝรั่งเศส สวีเดน สหรัฐอเมริกา อิตาลี และญี่ปุ่น เป็นต้น สําหรับ ประเทศกําลังพัฒนา ได้แก่ เกาหลี สิงคโปร์ จีน อินโดนีเซีย บรูไน ไท ย และเวียดนาม กําลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคม ผู้สูงอายุ องค์การสหประชาชาติได้ประเมินสถานการณ์ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2544 - 2643 (ค.ศ. 2001 - 2100) จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุจากการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ โดยสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 12.3 ในปี พ.ศ . 2558 เป็นร้อยละ 13.8 ในปี พ.ศ. 2563 ขณะที่วัยแรงงาน (อายุ 25 - 59 ปี) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากร้อยละ 45.4 เป็นร้อยละ 45.7 ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่หลังจากปี พ.ศ. 2563 วัยแรงงานจะลดลง อย่างต่อเนื่อง ส่วนวัยเด็ก (อายุ 0 - 24 ปี) ลดลงจากร้อยละ 42.3 เป็นร้อยละ 40. 8 ในช่วงเวลาดังกล่าว โครงสร้างทางด้านประชากรของประเทศไทยได้มีการเปลี่ ยนแปลงจากในอดีต แนวโน้ม ที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวขึ้น จะส่งผลให้ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด ของประเทศหรือคิดเป็นจํานวนกว่า 17.7 ล้านคน จะเป็นประชากรสูงวัยที่ มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป การลดลง ของอัตราการเกิดในช่วงก่อน ประกอบกับ จํานวนประชากรที่เข้าสู่การเป็นประชากรสูงวัยที่มีจํานวนมากขึ้น จะทําให้สัดส่วนของผู้ที่อยู่นอกวัยทํางานต่อจํานวนประชากรที่อยู่ในวัยระหว่าง 15 - 59 ปี หรืออัตราการพึ่งพิง ของประชากร ( Dependenc y Ratio ) โดยรวมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32.4 ในปี พ.ศ. 2553 เป็นร้อยละ 38.6 ในปี พ.ศ. 2573 โดยเป็นสัดส่วนการพึ่งพิงของกลุ่มประชากรสูงอายุถึงร้อยละ 11.9 และร้อยละ 25.1 ตามลําดับ 2.2. 4 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของตัวแปรทางภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ ปริมาณน้ําฝน ย่อมส่งผลกระทบ ต่อระบบและภาคส่วนต่าง ๆ และอาจทําให้ระบบนิเวศ ฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ํา เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อภาคส่วนที่ต้องพึ่งพาปัจจัยเหล่านี้ ได้ แก่ ภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การตั้งถิ่นฐานของชุมชน เป็นต้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงนับเป็นความเสี่ยง หรือแรงกดดันที่เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ ซึ่งเกิดจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ มที่ขาดประสิทธิภาพ ทําให้ปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมมีความรุนแรงขึ้น จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นและมีแนวโน้ม สูงขึ้น ปริมาณน้ําฝน และระดับน้ําทะเลเปลี่ยนแปลงไป โดยในรายงานการประเมินครั้งที่ 5 ของคณะกรรมการ ระหว่างรัฐว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC ) ( IPCC, 2014) สรุปเกี่ยวกับอุณหภูมิพื้นผิวของโลกไว้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกและมหาสมุทรในช่วง 3 ทศวรรษหลัง พบว่า มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าอุณหภู มิ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2850 โดยเพิ่มสูงขึ้น 0.38 องศาเซลเซียส ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2003 - 2012 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระหว่างปี ค.ศ. 1850 - 1990 (สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม , 2557) ในขณะที่ได้มีการกําหนดเป้าหมายในการควบคุม การเพิ่มอุณหภูมิไว้ให้ ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ภายในปี พ.ศ. 2563 แต่ประเทศต่าง ๆ ยังไม่มีการดําเนินการ อย่างจริงจัง สําหรับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล พบว่า อัตราเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ประมาณ 1.7 มิลลิเมตรต่อปี ในช่วงปี ค.ศ. 1901 - 2010 ค่าเฉลี่ยระดับน้ําทะเลโลกเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.19 เม ตร การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศส่งผล คือ จะทําให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น และมีผลต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ฤดูกาล เปลี่ยนแปลงไป น้ําแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย ปริมาณน้ําทะเลเพิ่มสูงขึ้น จนทําให้พื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งต้องจมลง ในทะเล การเกิดภาวะฝนแล้งหรือฝนตกรุนแ รงและมีพายุขนาดใหญ่บ่อยครั้งและยาวนานขึ้น พื้นที่ที่เคย อุดมสมบูรณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นทะเลทราย พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย เกิดการระบาดของโรคและ

  • 56 - แมลงศัตรูพืช จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมเกิดความเหลื่อมล้ํากันมากขึ้น เนื่องจากคนจน ไม่มีทรัพยากรที่จะสนับสนุนในการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่สามารถอพยพ ไปอาศัยอยู่ที่อื่นได้ และเกิดการแย่งชิงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งประกอบด้วยการดําเนินงานหลัก 2 ส่วน คือ การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Adaptation ) ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถ ในการปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ( Mitigation ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นแบบปล่อยคาร์บอนต่ํา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ การเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน เช่น การปลูกป่า เป็นต้น ล้วนเป็น กา ร ดําเนินการที่จําเป็นต้องอาศัยระยะเวลานาน เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในลักษณะ ข้ามพรมแดน ( Transboundary ) การแก้ไขปัญหาจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศอีกด้วย (สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , 2558) รายงานประเมินสถานกา รณ์ด้านการเปลี่ ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับที่ 5 ( The Fifth Assessment Report : AR 5) ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC ) มีข้อค้นพบที่ชัดเจนว่าบทบาทและกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ จํานวนประชากร กิจกรรมด้านเศรษฐกิจ วิถีการดําเนินชีวิตการใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การใช้ประโยชน์ที่ดิน เทคโนโลยี และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ รวมทั้ง การวิเคราะห์ผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกเพื่อไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม การคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิอากาศของ IPCC ในอีกกว่า 100 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556 – 264 3) พบว่าอุณหภูมิ เฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.1 – 6.4 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ไม่มีการดําเนินการใด ๆ และคลื่น ความร้อนจะเกิดถี่มากขึ้นและระยะเวลายาวนานขึ้น ความรุนแรงของการเย็นลงของอุณหภูมิในฤดูหนาวเป็นครั้ง คราวและต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณฝนที่ตกลงมามีความ รุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคแต่ไม่มี รูปแบบที่ชัดเจน และค่าเฉลี่ยระดับน้ําทะเลโลกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีระดับความเสี่ยงและ ความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่มีความเปราะบางสู ง ต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมีอุณหภูมิเฉลี่ยในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น 4.8 องศาเซลเซียส ในอีก 100 ปีข้างหน้า ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดโต่ง เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง อุทกภัย และพายุโซโคลน เนื่องจากมีพื้นที่แนวชายฝั่งยาว มีการกระจุ กตัวของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามพื้นที่ ชายฝั่ง และมีสภาพเศรษฐกิจที่พึ่งพิงเกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้ การจัดลําดับขององค์กร German watch ระบุว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ มี ความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระยะยาว และการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา สรุปว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2578) ประเทศไทยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย เพิ่มสูงขึ้น และมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยมากกว่า 35 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน ปริมาณน้ําฝนรายปีเฉลี่ย เพิ่มมำกขึ้น และจํานวนวันฝนตกในช่วงฤดูฝนและการกระจายตัวของฝนเพิ่มขึ้น ทําให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ํา ในแหล่งน้ํา และมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งและอุทกภัยในบางพื้นที่ ซึ่งกระทบต่อการจัดการน้ําของประเทศ ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคเกษตร และภาคเมือง

  • 57 - ส่วนที่ 3 นโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แผนระดับที่ 1 (ยุทธศาสตร์ชาติ) แผนระดับที่ 2 (แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชา ติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ และแผน ความมั่นคงแห่งชาติ) กฎหมาย นโยบาย และแผนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 3.1 บริบทภายในประเทศ 3.1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 43 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ ฯลฯ (2) จัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม แล ะ ควา ม หลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ฯลฯ หมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา 50 บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ ฯลฯ (2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ (8) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม ฯลฯ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 57 รัฐต้อง ฯลฯ (2) อนุรักษ์ คุ้มครอง บํารุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดําเนินการและได้รับประโยชน์จากการดําเนินการ ดั งกล่าวด้วยตามที่กฎหมายบัญญัติ

  • 58 - หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 72 รัฐพึงดําเนินการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรน้ํา และพลังงาน ดังต่อไปนี้ (1) วางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดิน ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน (2) จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมตลอดทั้งพัฒนาเมืองให้มีความเจริญโดยสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในพื้นที่ (3) จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึง และเป็นธรรม ฯลฯ มาตรา 73 รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ํา และสามารถ แข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด มาตรา 77 รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมาย ที่หมดความจําเป็ นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบ อาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดําเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดย สะดวก และสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ก่อนการตรา กฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อ ง วิเคราะห์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและ การวิเคราะห์นั้ นต่อประชาชน และนํามาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้ นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กําหนด โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสม กับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการ ในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จําเป็น พึงกําหนด หลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการดําเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกําหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 257 การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดําเ นินการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้ (1) ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ (2) สังคมมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอันทัดเทียมกันเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ํา (3) ประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข มาตรา 258 ให้ดําเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลดังต่อไปนี้ ฯลฯ

  • 59 - ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ฯลฯ (2) ให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชน ฯลฯ ค. ด้านกฎหมาย (1) มีกลไกให้ดําเนินการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา 77 และพัฒนาให้สอดคล้อง กับหลักสากล โดยให้มีการใช้ระบบอนุญาตและระบบการดําเนินการโดยคณะกรรมการเพียงเท่าที่จําเป็น เพื่อให้ การทํางานเกิดความคล่องตัว โดยมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และไม่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจําเป็น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ฯลฯ ช. ด้านอื่น ๆ ฯลฯ (2) จัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมทั้งการตรวจสอบ กรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินทั้งประเทศเพื่อแก้ไขปัญหากรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินอย่างเป็นระบบ ฯลฯ 3. 1 . 2 นโยบายรัฐบาล (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) นโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) มีความสอดคล้องกับคําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ดังนี้ นโยบายด้านที่ 7 การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก ข้อ 7.2.3 แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ที่ดินทํากิน สร้างชุมชนที่น่าอยู่ มุ่งเน้นการจัดการ ที่อยู่อาศัย การพัฒนาทักษะอาชีพ และการพัฒนาพื้นที่เมืองแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง สังคม ที่เอื้ออาทร มีความสะดวกสบาย ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ ของเมืองและชุมชน และมีระบบเศรษฐกิจที่มั่งคง เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นฐานการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน นโยบายด้านที่ 10 เรื่อง การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้าง การเติบโตอย่างยั่งยืน ข้อ 10.1 ปกป้อง รักษา ฟื้ นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า โดยให้ความสําคัญกับ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ เพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล และยั่ งยืน ทั้งพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ ป่าชายเลนและป่าชุมชน รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง หยุดยั้ง การบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างจริงจัง รวมทั้งเร่งฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม แก้ไขกฎหมายป่าไม้

  • 60 - ที่ซ้ําซ้อน เร่งคืนพื้นที่ป่า โดยการบริหารจัดการกำรใช้ประโยชน์ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าและสามารถ ทํากินได้อย่างเหมาะสม นําเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกบุกรุกและการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งเสริมบทบาทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) พร้อมทั้งรณรงค์ สร้างจิตส ํานึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กับเยาวชน ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ข้อ 10.2 ปรับปรุงระบบที่ดินทํากินและลดความเหลื่อมล้ําด้านการถือครองที่ดิน โดยจัดสรรที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรที่ยากไร้และเกษตรกร ตามหลักของคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ กา รกระจายสิทธิการถือครองให้แก่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รุกล้ําและมีมาตรการป้องกันการเปลี่ยนมือ ไปอยู่ในครอบครองของผู้ที่มิใช่เกษตรกรและผู้ยากจน จัดทําระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน จัดทําหลักฐานการถือครองที่ดินของรัฐทุกประเภท จัดทําแผนที่แสดงแนวเขตที่ ดินของรัฐให้ชัดเจนและ เร่งแก้ไขปัญหาเขตที่ดินทับซ้อน และแนวเขตพื้นที่ป่าที่ไม่ชัดเจน เพื่อลดข้อขัดแย้งระหว่างประชาชน กับเจ้าหน้าที่รัฐ 3. 1.3 แผน 3 ระดับ (1) แผนระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรร มาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศมี ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง (2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถ ในการแข่งขัน (3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (4) ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและความเสมอภาคทางสังคม (5) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการ สร้างการเติบโต บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ (6) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหาร จัดการภาครัฐ ทั้งนี้ สาระสําคัญในยุทธศาสตร์ชาติ มีประเด็นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ดังนี้ เกี่ยวข้องโดยหลัก 1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่ เป็นมิตรต่อสิ่ งแวดล้อม ในประเด็น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว ได้แก่ รักษาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม โดยหยุดยั้งการบุกรุกทําลายพื้นที่ป่า โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในกำรบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยง ต่อการถูกบุกรุก มีการบริหารจัดการเชิงพื้นที่และมีการบูรณาการทุกหน่วยงานในการเฝ้าระวังและป้องกัน การบุกรุกป่า ส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าธรรมชาติที่เสื่อมโทรม พื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย พื้นที่ป่าต้นน้ํา บนพื้นที่สูงชัน และพื้นที่ แนวกันชน ส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชุมชน ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ พื้นที่ต้นน้ําที่เหมาะสมและไม่เกิดผลกระทบโดยกําหนดสิทธิชุมชนที่เข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าจะต้องคํานึงถึง ความเปราะบางของระบบนิเวศ ขีดจํากัด และศักยภาพในการฟื้นตัว เพื่อให้ชุมชนมีความ รู้สึกหวงแหน เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และมีการปลูกป่าเพิ่มขึ้นตามหลักการผู้ได้รับประโยชน์จากป่าเป็นผู้ดูแลป่า ส่งเสริมปลูกป่าเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากป่าปลูกแบบครบวงจร สร้างกลไกหรือระบบตัดฟันระยะยาว

  • 61 - ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมายสําหรับพื้นที่ที่อยู่นอกเขตพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่ของเอกชน โดยให้สามารถ นํามาใช้ประโยชน์ควบคู่กับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสามารถระบุแหล่งกําเนิดของไม้ และป้องกัน การลักลอบนําไม้ออกจากป่า รวมถึงการสร้างและพัฒนาพื้นที่สีเขี ยวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและการเรียนรู้ ทางธรรมชาติในเขตชุมชนเมืองและชนบทเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์และรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ เกิดความรู้สึก หวงแหน เกิดจิตสํานึกในการอนุรักษ์และได้รับความสุขจากทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมทั้งการแก้ไขปัญหาชุมชน ที่ทํากินในเขตป่า โดยเน้ นการใช้ประโยชน์ที่ไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบคนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน การจัดทําแผนที่แนวเขตพื้นที่สีเขียว ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และจัดทําฐานข้อมูลพื้นที่สีเขียวรายจังหวัด การส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่ป่าชุมชนและป่าครอบครัวแบบมีส่วนร่วม การสร้า งเครือข่ายภาคประชาชน ทุกระดับอายุให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็น พัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มุ่งเน้นความเป็นเมืองที่ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ จัดทําแผนผังภูมินิเวศเพื่อการพัฒนาเมือง ชนบท พื้นที่เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่อนุรักษ์ตามศักยภาพและความเหมาะสมทางภูมินิเวศอย่างเป็นเอกภาพ โดยการจัดทําผังเมือง และผังชนบท ตามเกณฑ์มาตรฐานและองค์ประกอบของผังเมืองรวมด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน คมนาคมขนส่ ง สาธารณูปโภค สาธารณูปการ การจัดทําแผนผังพื้นที่เขตเกษตรเศรษฐกิจ แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก เพื่อใช้ในการพัฒนาการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ การจัดทําผังพื้นที่อุตสาหกรรมตามเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดจนตัวชี้วัดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การจัดทําผังพื้นที่อนุ รักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งโบราณคดี มรดกทางสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และวิถีชีวิตพื้นถิ่นอย่างยั่งยืน พัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่มีการบริหารจัดการตามแผนผังภูมินิเวศอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาเมือง น่าอยู่อย่างยั่งยืน พั ฒนาชนบทมั่นคง พัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมปลอดภัย พัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พัฒนาพื้นที่ พิเศษเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อุทยานธรณีวิทยา แหล่งโบราณคดี มรดกอาเซียนและมรดกโลก มรดกทางสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และวิถีชีวิตพื้นถิ่น สงวนรักษา อนุรักษ์ ฟื้ นฟู และ พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ มรดกทางสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และวิถีชีวิตพื้นถิ่นบนฐาน ธรรมชาติ และฐานวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยกําหนดให้ภาครัฐเป็นแกนกลางในการให้ความรู้ ประสาน และ บูรณาการทุกภาคส่วนในการเพิ่มและรักษาพื้นที่สีเขียว เพื่อเพิ่มพื้นที่ ป่าไม้ในภาพรวมของประเทศ การฟื้นฟู ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้เรื่องการใช้ประโยชน์ ของชุมชนในพื้นที่ป่าอย่างสมดุล เกี่ยวข้องโดยรอง 1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ในประเด็น การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบ ต่อ ความมั่นคง ได้แก่ การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งทางบก และทางทะเล และการกําหนดพื้นที่อนุรักษ์อย่างถูกต้องและเป็นระบบ สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนในเรื่อง การให้ความสําคัญกับฐานทรัพยำกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ตลอดถึงแนวพระราชดําริในการอนุรักษ์ พัฒนา ฟื้นฟู ป้องกัน และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ จนเกิดความรัก หวงแหน และมีส่วนร่วมในการดําเนินการต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งยั่งยืน

  • 62 - 2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในประเด็น โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ สร้างและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน และแก้ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยการพั ฒนา เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้มีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานที่จะทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรม พัฒนาเมืองและส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจตะวันตกเพื่อเชื่อมต่อกับการพัฒนาภาค ตะวันออก และภาคอื่น ๆ ตลอดจน เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยคํานึงถึงจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ “ประเด็นการเกษตรสร้างมูลค่า” ซึ่งมี 5 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย - ยุทธศาสตร์การ เกษตรอัตลักษ ณ์ พื้นถิ่น - ยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัย - ยุทธศาสตร์เกษตรชีวภาพ - ยุทธศาสตร์เกษตรแปรรูป - ยุทธศาสตร์เกษตรอัจฉริยะ 3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ในประเด็น การลด ความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ ได้แก่ กระจายการถือครองที่ดินและการเข้าถึงทรัพยากร โดยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างเขตพื้นที่ป่าทับซ้อนพื้นที่ทํากินของประชาชน รับรองสิทธิชุมชนในการเข้าใช้ ประโยชน์ที่ดิน กําหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์อย่างเป็นธรรมและกระจาย การถือครองที่ดินในขนาดที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการถือครองที่ดิน ปรับระบบเอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้ผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ใช้เป็น หลักฐานประกอบการขอพิจารณาสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ รว มถึงการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องใน การใช้ประโยชน์ที่ ดินสาธารณะเพื่ อการประกอบอาชีพสําหรับประชาชน เพื่ อให้ผู้ มีรายได้น้อยเข้าถึง กำรใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างเป็นธรรมและมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ประเด็น การกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโล ยี ได้แก่ พัฒนา ศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในภูมิภาค โดยคํานึงถึงสัดส่วนจํานวนประชากร ของ จังหวัดบริวาร เพื่อให้สามารถดูแลการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ กระจาย โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี คมนาคม และการสื่อสาร จัดทําผัง เมืองและผังภาคเพื่อการจัดโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค แหล่งงาน แหล่งน้ํา และการใช้ที่ดิน ให้สามารถพึ่งตนเองได้ภายในกลุ่มจังหวัด และ จัดระบบเมือง ที่เอื้อต่อการสร้างชีวิตและสังคมที่มีคุณภาพและปลอดภัย ให้สามารถตอบสนองต่อสังคมสูงวัยและแนวโน้ม ของการขยายตัวของเมืองในอนาคต โดยพัฒนาระบบผังเมืองของประเทศและผังเมืองระดับพื้นที่ พัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการเมืองและการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ปลอดภัย สะดวก สําหรับคนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็ นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประเด็น การเพิ่มขีดความสามารถของชุมชน ท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งตนเองและการจัดการตนเอง ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นใน การพัฒนา การพึ่งตนเองและการจัดการตนเอง โดยเพิ่มทักษะทางการเงินและการวางแผนการจัดการที่ดิน ที่อยู่อาศัย และระบบการผลิต ด้านอาชีพ

  • 63 - (2) แผนระดับที่ 2 (2.1) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งเป็นแผ นแม่บท เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ดังนี้ เกี่ยวข้องโดยหลัก ประเด็นที่ 18 การเติบโตอย่างยั่งยืน แผนย่อยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว รักษาและเพิ่มพื้นที่ สีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยหยุดยั้งการบุกรุกทําลายพื้นที่ป่า โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกบุกรุก พร้อมทั้งให้มีการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ และมีการบูรณาการทุกหน่วยงานในการตรวจส อบ ติดตาม เฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่า และส่งเสริม การฟื้นฟูระบบนิเวศป่าธรรมชาติที่สภาพเสื่อมโทรม พื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย พื้นที่ป่าต้นน้ําบนพื้นที่สูงชัน และพื้นที่แนวกันชน รวมทั้งส่งเสริมการใช้ประโยชน์พื้นที่ต้นน้ําที่เหมาะสมและไม่เกิดผลกระทบ โดยกําห นด สิทธิชุมชนที่เข้าไปใช้ประโยชน์จากป่านั้นและสร้างกลไกที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมาย เพื่อสามารถ ระบุแหล่งกําเนิดของไม้ ป้องกันการลักลอบทําไม้ที่ผิดกฎหมาย และส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อ การพักผ่อนหย่อนใจและการเรียนรู้ทางธรรมชาติในเขตชุมชนเมืองและชน บท เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ และรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ เกิดความรู้สึกหวงแหน เกิดจิตสํานึกในการอนุรักษ์และได้รับความสุขจากทรัพยากร ธรรมชาติ รวมทั้งส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่ป่าชุมชนและป่าครอบครัวแบบมีส่วนร่วม แผนย่อยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศร ษฐกิจภาคทะเล ให้ความสําคัญกับ การสร้างการเติบโตของประเทศจากกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแผน ในการกําหนดวิธีการจัดการในแต่ละพื้นที่ที่สําคัญทั่วประเทศ เพื่อลดพื้นที่ที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตลอดจนรักษาป่าชายเลนที่สําคัญต่อการดูดซับก๊ำซเรือนกระจก เพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้เป็นไปตาม เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของภาคเอกชนและประชาชนในการดูแล จัดการพื้นที่ทางทะเลดังกล่าว แผนย่อยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ มุ่งเน้น แน วทางการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งในมิติของการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งเป้าสู่การลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสามารถขับเคลื่อนและเสริมสร้างศักยภาพการดําเนินงานเพื่ อแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศได้อย่างยั่งยืน แผนย่อยการยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกําหนดอนาคตประเทศ พัฒนาเครื่องมือ กลไก และระบบยุติธรรม และระบบประชาธิปไตยสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาและยกระดับการประเมินสิ่งแวดล้อม ระดับยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นกลไกในกา รป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ

  • 64 - เกี่ยวข้องโดยรอง ประเด็นที่ 3 การเกษตร แผนย่อยเกษตรปลอดภัย สนับสนุนการบริหารจัดการฐานทรัพยากรทางเกษตรและ ระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งจากการลด ละ เลิกการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย ตลอดจนส่งเสริม การผลิตในระบบ เกษตรกรรมยั่งยืน อาทิ เกษตรผสมผสาน เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ และวนเกษตร เป็นต้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายในสินค้าเกษตร และอาหาร และสร้างความปลอ ดภัยและมั่นคงด้านอาหารในระดับครัวเรือน แผนย่อยเกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาศักยภาพการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการใช้ และการเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบข้ อมูลสําหรับวางแผนการผลิต เพื่อพัฒนา เกษตรกรให้เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ ที่สามารถนําองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาไปสู่รูปแบบฟาร์มอัจฉริยะ แผนย่อยการพัฒนาระบบนิเวศการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพและการจัดการฐานทรัพยากร ทางการเกษตร อนุรักษ์และรักษาฐานทรัพยากรทางการเกษตรที่สําคัญ เพื่อสนับสนุนการสร้างมูลค่าและความมั่นคง ทางอาหาร อาทิ ทรัพยากรน้ํา ทรัพยากรดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์ การคุ้มครองที่ดินทางการเกษต ร ฯลฯ ประเด็นที่ 6 พื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ แผนย่อยการพัฒนาเมืองน่าอยู่อัจฉริ ยะ พัฒนาเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจให้เป็นเมือง อัจฉริยะที่มีความน่าอยู่ 6 เมืองหลักในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพและปริมณฑล เชียงใหม่ ขอนแก่น เมืองใน ระเบียงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สงขลา และภูเก็ต โดยจัดทําแผนแม่บทพื้นที่ศูนย์กลางความเจริญ ตามความเหมาะสมของพื้ นที่ของแต่ละเมือง จัดทําแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของศูนย์เศรษฐกิจ แหล่งที่อยู่อาศัย และพื้นที่เฉพาะในเมือง เช่น เขตอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พื้นที่อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม และพื้นที่เปิดโล่ง ตามหลักการจัดทําแผนผังภูมินิเวศ ฯลฯ แผนย่อยการพัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่มีการบริหาร จัดการตามแผนผังภูมินิเวศอย่างยั่งยืน จัดทําและพัฒนาระบบการเชื่อมโยง จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล ขนาดใหญ่ เพื่อการจัดทําแผนผังภูมินิเวศระดับประเทศ รวมถึงสนับสนุนการบริหารจัดการตามศักยภาพ ของภูมินิเวศ จัดทําแผนผังภูมินิ เวศของพื้นที่ตามเกณฑ์และมาตรฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการ สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการจัดทําผังเมืองและชนบท ตามเกณฑ์มาตรฐานและองค์ประกอบของผังเมืองรวม การจัดทําแผนผังพื้นที่เขตเกษตรเศรษฐกิจ แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก การจัดทําผังพื้นที่ อุตสาห กรรมตามเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดจนตัวชี้วัดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และการจัดทําผังพื้นที่อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งโบราณคดี ครอบคลุมถึงการสงวนรักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ มรดกทางสถาปัตยกรรม และศิลปวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และวิถีชีวิตพื้นถิ่นบนฐานธ รรมชาติ และฐานวัฒนธรรม อย่างยั่งยืน กําหนดให้ภาครัฐเป็นแกนกลางในการให้ความรู้ ประสาน และบูรณาการทุกภาคส่วนในการเพิ่ม และรักษาพื้นที่สีเขียว เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ในภาพรวมของประเทศ การฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลาย ทางชีวภาพ พร้อมกับการปรับปรุงกฎหมายและบังคับใ ช้เรื่องการใช้ประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่ป่าอย่างสมดุล ฯลฯ

  • 65 - ประเด็นที่ 9 เขตเศรษฐกิจพิเศษ แผนย่อยการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นเมืองอัจฉริยะที่มีความน่าอยู่ และทันสมัยระดับนานาชาติ เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนและเศรษฐกิจ สอดคล้องกับนโยบาย ขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แผนย่อยการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ ภาคใต้ ให้เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นกลไกสําคัญ ในการขับเคลื่อนการลงทุนและเศรษฐกิจ สอดคล้องกับนโยบายขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ โดยจัดทํา แผนพัฒนาพื้นที่ศูนย์กลางความเจริญของแต่ละเมือง จัดทําแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของศูนย์เศรษฐกิจ แหล่งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เฉพาะในเมือง ตามแนวคิดการจัดทําแผนผังภูมินิเว ศและแนวคิดการพัฒนาเมืองต่าง ๆ แผนย่อยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สามารถรองรับกิจกรรม ทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเน้นการจัดทําแผนพัฒนาเมืองตามแนวคิด ด้านแผนผัง ภูมินิเวศ และการพัฒนาเมืองรูปแบบต่าง ๆ ประเด็นที่ 16 เ ศรษฐกิจฐานราก แผนย่อยการสร้างสภาพแวดล้อมและกลไกที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พัฒนา กลไกการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณะ โดยการพัฒนาฐานข้อมูลที่ดินให้มีความครอบคลุมทั้งประเทศ โดยแยกตาม ประเภทการใช้ประโยชน์ ผู้ครอบครอง ที่มีความทันสมัย โดยให้เป็นข้อมูลสาธารณะที่เปิดเผยและสามารถ สืบค้นได้ พัฒนากลไกเพื่อทําหน้าที่รับฝากที่ดินจากเอกชนและนํามาหมุ นเวียนสร้างประโยชน์โดยให้ผู้มีรายได้ น้อย รวมทั้งปรับระบบการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ทั้งในเขตปฏิรูปที่ดิน พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และที่สาธารณะ เพื่อให้เกิดผลิตภาพของการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สูงขึ้น ประเด็นที่ 17 ความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคม แผนย่อยมาตรการ แบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นการพัฒนา และพัฒนามาตรการและพัฒนากลไกสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มเปราะบาง มีความเสี่ยงสูง และ มีความสามารถในการปรับตัวต่ํา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรของรัฐในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด และตรงกับกลุ่ มที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงและเหมาะสม ประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ แผนย่อยการพัฒนาการจัดการน้ําเชิงลุ่มน้ําทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ําของประเทศ จัดการน้ําเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมฟื้นฟู อนุรักษ์ พื้นที่ต้นน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ํา พื้นที่พักน้ํา แหล่งน้ําธรรมชาติ แอ่งน้ํา บาดาล และจัดทําแผนและดําเนินการป้องกัน ฟื้นฟู รักษา ร่วมกับแผนรักษาเขตต้นน้ํา และการอนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษา สภาพสิ่งแวดล้อม แหล่งน้ําธรรมชาติ ตำมพื้นที่ที่กําหนด ตามความสําคัญ และข้อตกลงที่มีของแต่ละลุ่มน้ํา รวมถึง จัดระบบการจัดการพิบัติภัยจากน้ําในภาวะวิกฤติให้สามารถลดความสูญเสียและความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกิดจากน้ํา ตามหลักวิชาการให้อยู่ ในขอบเขตที่ ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้สามารถฟื้ นตัวได้ในเ วลาอันสั้น โดยแบ่งตามลักษณะของแต่ละพื้นที่และลุ่มน้ํา แผนย่อยการเพิ่มผลิตภาพของน้ําทั้งระบบ ในการใช้น้ําอย่างประหยัด รู้คุณค่า และสร้าง มูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ําให้ทัดเทียมกับระดับสากล จัดให้มีน้ําเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของเขตเมืองเพื่อ การอยู่อาศัย การพาณิชย์แ ละบริการ พร้อมระบบจัดการน้ําในเขตเมือง มีระบบแผนผังน้ํา ระบบกระจำ ยน้ําดี ระบบรวบรวมน้ําเสีย ระบบป้องกันน้ําท่วมและระบายน้ํา

  • 66 - แผนย่อยการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ําลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชาติทั่วประเทศ โดยให้ ความสําคัญกับการสํารวจ พิสูจน์แนวเขตแม่น้ําลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชา ติ และขึ้นทะเบียนแนวเขตแม่น้ํา ลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชาติ รวมถึงจัดการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการรุกล้ําแนวเขตแม่น้ํา ลําคลอง และแหล่งน้ําธรรมชาติ โดยทําแผนรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและอาคารที่รุกล้ําแม่น้ํา ลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชาติ และรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประ ชาชนทุกภาคส่วน ( 2 .2 ) แผนการปฏิรูปประเทศ ( 2 . 2. 1 ) แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) มีความสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ ดังนี้ เกี่ยวข้องโดยหลัก 1) การปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการปฏิรูปที่ 1 เรื่องทรัพยากรทางบก ประเด็นย่อยที่ 1 ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า (ที่เกี่ยวข้อง) 1.4 เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ตามเป้าหมาย 1.6 จัดระเบียบและแก้ไขปัญหำความขัดแย้งเกี่ยวกั บ การครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ 1.9 สนับสนุนและพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อ ตอบสนองต่อการปฏิรูปทรัพยากรป่าไม่และสัตว์ป่า ประเด็นย่อยที่ 2 ทรัพยากรดิน 2.1 จัดทําแผนการใช้ ที่ ดินของชาติทั้ งระบบให้ สอดคล้อง และเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2.2 ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ ดินให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 เรื่องทรัพยากรน้ํา ประเด็นย่อยที่ 2 การบริหารเชิงพื้นที่ 2.3 การบริหารการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเด็นย่อยที่ 3 ระบบเส้นทางน้ํา 3.1 การจัดการระบบเส้นทางน้ํา ประเด็นการปฏิรูปที่ 3 เรื่องทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประเด็นย่อยที่ 10 การแก้ไขปัญหาการกัด เซาะชายฝั่ง

  • 67 - ประเด็นการปฏิรูปที่ 6 ระบบบริ หารจั ดการทรั พยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม ประเด็นย่อยที่ 4 ปฏิรูปการผังเมือง (ที่เกี่ยวข้อง) 4.1 วางผังเมืองและกํากับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วย การใช้ระบบนิเวศท้องถิ่น และชุมชน เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง ประเด็นย่อยที่ 6 ปฏิรูปองค์กร ระบบแผน ระบบงบประมาณ และเครื่องมือ บริหารจัดการ ประเด็นย่อยที่ 8 การปฏิรูปกฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) การปฏิรู ปประเทศด้านสังคม ประเด็นการปฏิรูปที่ 4 ระบบเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง ขั้นตอนการดําเนินงาน : พัฒนาระบบกลไก และกระบวนการดําเนิน โครงการที่ดินแปลงรวม กิจกรรม : พัฒนาการดําเนินนโยบายการจัดที่ดินแปลงรวมที่เน้นบทบาท ของชุมชน/ที่เน้นกระบวนการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็งไปพร้อม ๆ กัน ( Collective Activities ) เป้าหมายกิจกรรม : การใช้ที่ดินสาธารณะเป็นประโยชน์ร่วมกันอย่าง แท้จริง โดยที่ดินยังเป็นของรัฐอย่างยั่งยืนไม่ ถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนวัตถุประสงค์ เกี่ยวข้องโดยรอง 3 ) การปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ หัวข้อที่ 1 การปฏิรูปด้านความสามารถในการแข่งขัน หัวข้อย่อย 1.1 ผลิตภาพ ( Productivity ) ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 อุตสาหกรรมการเกษตร เป้าหมาย : เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเกษตรของ ประเทศไทย หัวข้อย่อย 1.2 การรวมกลุ่มในภูมิภาค ( Regional Integration ) ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 Clusters and Hubs : พัฒนาอุตสาหก รร ม เป้าหมาย เป้าหมาย : ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเป็นกลไก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคอย่างต่อเนื่อ ง และเป็นรูปธรรม โดยอาศัยความร่วมมือกับประเทศ ในกลุ่ม CLMV เพื่อดึงจุดแข็งที่ไม่เหมือนกันของแต่ละประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอาศัยการพัฒนา พื้นที่ ที่มีศักยภาพ ประเด็นการปฏิรูปที่ 3 พัฒนาเมืองหลัก/เมืองศูนย์กลางของภูมิภาค เป้าหมาย: เพื่อให้การรวมกลุ่มกันในระดับภูมิภาคและการสร้า ง อุตสาหกรรมต่าง ๆ นํามาซึ่งการเจริญเติบโตของเมืองใหม่ ๆ และกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทย หัวข้อที่ 2 การปฏิรูปด้านความเท่าเทียมและการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม หัวข้อย่อย 2.1 การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตในระดับบุคคล

  • 68 - ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 การสร้างและใช้ Big Data ภาคเกษตร เป้าหมาย : มีฐานข้อมูล Big Data ภาคเกษตร ประเด็นการปฏิรูปที่ 3 การพัฒนาแหล่งน้ําและการชลประทานเพื่อ การเกษตร เป้าหมาย : เกษตรกรในพื้นที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี มีรายได้เพิ่มขึ้น ประเด็นการปฏิรูปที่ 4 การจัดตั้ง Centre of Excellence สําหรับ ภาคเกษตร เป้าหมาย : 1 . มี Mobile Application 2 . เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการนํานวัตกรรมการเกษตร มาใช้ในการประกอบอาชีพและมีศักยภาพในการส่งข้อมูล ของตนเข้าสู่ระบบผ่าน Mobile Application ประเด็นการปฏิรูปที่ 6 ส่งเสริม Smart farmer และ Precision farming เป้าหมาย : มีศูนย์ Center of Excellence ประจําภาคทั่วประเทศ หัวข้อย่อย 2.2 การเสริมสร้างพลังอํานาจชุมชน ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาธุรกิจชุมชน เป้าหมาย : 1. มีเครือข่ายธุรกิจชุมชน และมีสินค้าประจําพื้นที่ทั่วประเทศ 2 . มี E - commerce center ทั่วทุกภาคในประเทศ 3. ประชาชนในชุมชนสามารถใช้ e - commerce platfor m ในการสร้างรายได้ ประเด็นการปฏิรูปที่ 7 ระบบภาษี เป้าหมาย : ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประเด็นการปฏิรูปที่ 8 การสร้างความมั่นคงด้านที่ดินให้กับประชาชน เป้าหมาย : ประชาชนมีความมั่นคงด้านที่ดินทํากินและที่อยู่อาศั ย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ( 2 . 2 .2 ) แผนการปฏิรูปประเทศ ( ฉบับ ปรับปรุง ) 1) การปฏิรูปประเทศด้านสังคม กิจกรรมปฏิรูปที่ 5 การสร้างมูลค่าให้กับที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน เป้าหมาย : เกษตรกรและคนยากจนที่ได้รับการจัดที่ดินจากรัฐ สามารถ นําเอกสารสิทธิในที่ดิน หรือหนังสือ/เอกสารอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินไปใช้ เป็นหลักประกัน การเข้าถึง แหล่งทุนสําหรับการประกอบอาชีพ 2 ) การปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ตามเป้าหมาย เป้ำหมาย : จั ดระเบี ยบและแก้ ไขปั ญหาความขั ดแย้ งเกี ่ ยวกับ การครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ ที่ดินป่าไม้ของรัฐทุกประเภทอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

  • 69 - 3 ) การปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 การสร้างเกษตรมูลค่าสูง ( High Value Added ) เป้าหมาย : ยกระดับรายได้ภาคการเกษตร อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ ชีวภาพ ( 2.3 ) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) การวางกรอบการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี ภายใต้ แผนพัฒนา เศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) กําหนด ให้ ประเทศ สามารถก้าวข้ามความท้าทาย ที่เป็นอุปสรรค ต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่ง จําเป็นจะต้องเร่งแก้ไขจุดอ่อนและข้อจํากัด ของประเทศที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับความเสี่ยงสําคัญที่มาจา กการเปลี่ยนแปลง ของบริบท ทั้งจากภายนอก และภายใน ตลอดจนการเสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรค์ประโยชน์ จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และทันท่วงที ดังนั้น การกําหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะ ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีวัตถุประสงค์ เพื่ อ พลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจ สร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” ซึ่งหมายถึง การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโครงสร้าง นโยบาย และกลไก เพื่อมุ่งเสริมสร้างสังคมที่ก้าวทันพลวัตของโลก และเกื้อหนุนให้คนไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้ อย่างเต็มศักยภำพ พร้อมกับการยกระดับกิจกรรมการผลิตและการให้บริการให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายหลักของการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน จํานวน 4 ประการ ดังนี้ 1) การ ปรับโครงสร้าง ภาคการ ผลิต และบริการ สู่ เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม มุ่งยกระดับขีดความสามารถ ในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการสําคัญ ผ่านการผลักดันส่งเสริม การสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ที่ตอบโจทย์พัฒนาการของสังคม ยุคใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่ งแวดล้อม พร้อมทั้ งให้ความสําคัญกับการเชื่ อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่ นและ ผู้ประกอบการรายย่อยกับห่วงโซ่ มูลค่า ของภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย รวมถึงพัฒนาระบบนิเวศ ที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนและนวัตกรรม 2) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม มุ่งลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในเชิงรายได้ พื้นที่ ความมั่งคั่ง และการแข่งขันของภาคธุรกิจ ด้วยการสนับสนุนช่วยเหลือกลุ่ม เปราะบาง และผู้ ด้อยโอกาสให้มีโอกาสในการเลื่ อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายโอกาส ทางเศรษฐกิจ และจัดให้มีบริการสาธารณะที่มี คุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมในทุกพื้นที่ พร้อมทั้ง เพิ่มโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจให้เปิดกว้างและเป็นธรรม 3) การเปลี่ยน ผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน มุ่งลดการก่อมลพิษ ควบคู่ ไปกับ การผลักดันให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและสอดค ล้องกับขีดความสามารถ ในการรองรับของระบบนิเวศ ตลอดจนลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ ภายในปี 2608

  • 70 - 4 ) การ เสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และ ความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ มุ่งสร้างความพร้อมในการรับมือและแสวงหาโอกาสจากการเป็นสังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยโรคระบาด และภัยคุกคามทางไซเบอร์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ กลไกทางสถาบันที่ เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างและระบบการบริหารงาน ของ ภาครัฐให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีได้อย่างทันเวลา มีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่ อนที่ชัดเจนในลักษณะ ของวาระการพัฒนาที่เอื้อให้เกิดการทํางานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการ ผลักดัน การพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนี่งให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยกําหนดหมุดหมายการพัฒนา จํานวน 13 หมุดหมาย ซึ่งบ่งบอกถึงสิ่งที่ประเทศไทยปรารถนาจะ “ เป็น ” หรือมุ่งหวัง จะ “ มี ” โดยมีหมุดหมายที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ดังนี้ 1) มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนําด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2) มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม หมุ ดหมายที ่ 8 ไทยมี พื ้ นที ่ และเมื องอั จฉริ ยะที ่ น่ำอยู ่ ปลอดภั ย เติ บโต ได้อย่างยั่งยืน หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครอง ทางสังคม ที่เพียงพอเหมาะสม 3) มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม หมุดหมายที่ 1 1 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( 2. 4) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 – 2570) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) มีประเด็นที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ดังนี้ นโยบายและความมั่นคงที่ 4 : การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล • เป้าหมายที่เกี่ยวข้อง : ประเทศไทยสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคง ทางทะเลได้อย่างต่อเนื่อง จนไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ • กลยุทธ์ : กลยุทธ์หลักที่ 2 การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างสมดุล และยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีน้ําเงิน นโยบายและความมั่นคงที่ 5 : การป้องกันและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต ้ • เป้าหมายที่เกี่ยวข้อง : จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น • กลยุทธ์ : กลยุทธ์หลักที่ 2 การยกระดับการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและ บริบทของพื้นที่

  • 71 - นโยบายและความมั่นคงที่ 9 : การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย • เป้าหมายที่เกี่ยวข้อง : การยกระดับการจัดการความเสี่ยงสาธารณ ภัยที่สําคัญ อันเกิดจากภัยธรรมชาติ ภัยจากสิ่งแวดล้อม ภัยที่เกิดจากการกระทําของมนุษย์ที่เป็นภัยซ้ําซากและซ้ําซ้อน ( Recurring and Compound Hazards ) ไปสู่มาตรฐานตามหลักสากล • กลยุทธ์ : กลยุทธ์หลักที่ 1 การลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ (3) แผนระดับที่ 3 ( แผน อื่นที่เกี่ยวข้อง ) ( 3. 1 ) นโยบายป่าไม้แห่งชาติ นโยบายป่าไม้แห่งชาติ ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่ อให้ประเทศไทยมีพื้ นที่ ป่าไม้ที่ เหมาะสมกับความสมดุลของระบบนิ เวศ และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน หยุดยั้งและป้องกันการทําลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่ ำของชาติอย่างมี ประสิทธิภาพ มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างเหมาะสม ยั่งยืน เป็นธรรม เป็นฐานการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยคํานึงถึงดุลยภาพ ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้ระบบบริหารจัดการ ทรัพยากรป่าไม้มีประสิทธิภาพบนพื้นฐาน องค์ความรู้และนวัตกรรม รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยกําหนดนโยบายไว้ทั้งหมด 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) นโยบายด้านการจัดการป่าไม้ 2) นโยบายด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้ และอุ ตสาหกรรมป่ำไม้ และ 3) นโย บายด้ำนการพั ฒนาระบบบริ หารและองค์ กรเกี ่ ยวกั บการป่ำไม้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนโยบายการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ดังนี้ (3. 1 .1 ) นโยบายด้านการจัดการป่าไม้ 1 ) เชื่อมโยงการทํางานของภาครัฐในการบริหารจัดการป่าไม้ทุกระดับให้มีเอกภาพ และประสานกันตามห่วงโซ่การพัฒนาระหว่างการบริหารราชการทุกระดับ รวมทั้งมีการประสานความร่วมมือ และพัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการในลักษณะหุ้นส่วนการพัฒนาป่าไม้ ของชาติในภำคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยดําเนินการอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง 2 ) กําหนดให้มีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศอย่างน้อยในอัตราร้อยละ 40 ของพื้นที่ ประเทศ ประกอบด้วย ป่าอนุรักษ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ และป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ โดยกําหนดให้เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจและ ป่าชุมชน ให้ได้ตามเป้าหมายภายใต้กรอบเวลาที่กําหนดในแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ 3 ) จําแนกพื้นที่ป่าไม้เพื่อการบริหารจัดการในภาพรวมของประเทศและระดับพื้นที่ พร้อมทั้งกําหนดแนว ทางการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม 4 ) ปรับปรุงแนวเขตที่ดินป่าไม้ทุกประเภทของรัฐให้ชัดเจนและมีเอกภาพ 5 ) พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรป่าไม้ ให้มีมาตรฐานเอกภาพ ทันต่อสถานการณ์ ครอบคลุมพื้นที่ป่าไม้ทุกประเภท เชื่อมโยงกับข้อมู ลด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรอื่นของประเทศ 6 ) ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทและหน้าที่ของทุกภาคส่วนให้มีจิตสํานึกและมีส่วน ร่วม รับผิดชอบ อนุรักษ์ จัดการและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน 7 ) หยุดยั้งและป้องกันการทําลายทรัพยากรป่าไม้ในที่ดินป่าไม้ของรัฐทุกรูปแบบ 8 ) บริหารจัดการป่าอนุรักษ์เพื่ อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชีวภาพ รวมทั้งป้องกันภัยธรรมชาติต่าง ๆ

  • 72 - 9 ) จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ ยวกับการครอบครองหรือ ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ของรัฐอย่างเหมาะสม เป็นธรรม ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คํานึงถึง ผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าไม้และสิ่งแวดล้อมจากการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ 10 ) พัฒนากลไกทางเศรษฐศาสตร์และการตลาดเพื่ อสนับสนุนการพัฒนา ทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสม 11 ) ฟื้ นฟูป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มีความสมบูรณ์ โดยกําหนดพื้นที่เป้าหมายใน การฟื้นฟูอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง มีการติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ต่อสาธารณะบนพื้นฐานการมีส่วนร่วม 12 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการป่าชุมชนให้มีประสิทธิภาพ สามารถอํานวย ประโยชน์ต่อชุมช น 13 ) พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าทั้งระบบ แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่า อย่างเป็นรูปธรรม สัตว์ป่าได้รับการคุ้มครอง รักษา และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ( 3. 1 .2 ) นโยบายด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรม ป่าไม้ 1 ) ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจทั้งในที่ดินของรัฐที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ และในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่มิใช่ของรัฐให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไม้ 2 ) ส่งเสริมและสนับสนุ นอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตผลจากป่าไม้ครบวงจรในทุกระดับ และพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม 3 ) พัฒนาและส่งเสริมการรับรองป่าไม้ตามมาตรฐานการรับรองป่าไม้ให้เป็นที่ ยอมรับและได้รับการรับรอง 4 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ประโยชน์การบริการจากป่ำไม้อย่างสมดุล ยั่งยืน 1 . 3 นโยบายด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ 1 ) กําหนดให้มียุทธศาสตร์หรือแผนการวิจัยภาคป่าไม้ในนโยบายยุทธศาสตร์หรือ แผนการวิจัยระดับชาติและ/หรือ พิจารณาจัดตั้งสถาบันวิจัยป่าไม้ในระดับชาติรวมทั้งสนับสนุนและพัฒนางาน วิชาการ วิจัย และนวัตกรรมให้ตอบสนองต่อการปฏิรูปทรัพยากรป่าไม้ทั้งระบบ 2 ) ปรับปรุงและพัฒนากฎหมำยเกี่ยวกับการป่าไม้และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของสังคมและสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ในการบริหารจัดการป่าไม้ทั้งระบบ รวมทั้งพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เท่าเทียม และ นําเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ( 3. 2 ) แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทําลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทําลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการ บริหาร จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ได้กําหนดยุทธศาสตร์การพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติไว้ 4 ประเด็น ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ดังนี้

  • 73 - ประเด็นยุทธศาสตร์ ผนึกกําลังป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทําลายทรัพยากร ป่าไม้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้ให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยอำศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ป่าและพื้นที่รอบป่า ประเด็นยุทธศาสตร์ ปลุกจิตสํานึกรักผืนป่าของแผ่นดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อปลุก จิตสํานึกให้ประชาชนรัก หวงแหน และปกป้อง ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ซึ่งมิใช่เป็นความรับผิดชอบของผู้ใด ผู้หนึ่งหรือห น่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ประชาชนต้องรับรู้และมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ประเด็นยุทธศาสตร์ ปฏิรูประบบการพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงระบบของการพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย ระเบียบวิธีการ การจัดโครง สร้างขององค์กรที่เกี่ยวข้อง ปัญหาด้านกําลังคน การกระจายอํานาจ ระบบงบประมาณ การประสานงาน และการตรวจสอบประเมินผล ประเด็นยุทธศาสตร์ ฟื้นฟูและดูแลรักษาป่าไม้อย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์เพื่อลด การบุกรุก ทําลายป่า จึงจําเป็นต้องวางแนวทางในการฟื้นฟู ปลูกป่า และดูแลรักษา โดยให้มีการมีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วน เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างมีความสุข และป่าที่ได้รับการฟื้นฟู ดูแล มีความสมบูรณ์และยั่งยืน ( 3 .3 ) นโยบายและแผนการส่ งเสริ มและรั กษาคุ ณภาพ สิ ่ งแวดล้ อมแห่ งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 นโยบายและแผนการส่ งเสริ มและรั กษาคุ ณภาพสิ ่ งแวดล้ อมแห่ งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 เป็นการวางกรอบนโยบายและทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมของประเทศ ระยะ 20 ปี ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม อย่ำงเข้มข้นและนําไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งจะทําให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้บรรลุตามเป้าหมายอันจะสร้างให้เกิดความสมดุลใน 3 มิติ คือ มิติเศรษฐกิจ มิติสั งคม และมิติสิ่งแวดล้อม รวมถึง การพัฒนา ที่ยั่งยืนของประเทศ โดยมีวิสัยทัศน์ คือ “ประเทศไทยมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่สมดุล และยั่งยืน และเป็นสังคม ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ประกอบด้วย 4 นโยบายหลัก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ได้แก่ นโยบายที่ 1 จัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติอย่างมั่นคงเพื่อความสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน เป้าประสงค์ : มีทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ และความสมดุลของระบบนิเวศ และเป็นฐานในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร น้ํา และพลังงาน นโยบายที่ 2 สร้างการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่งคั่งแล ะ ยั่งยืน เป้าประสงค์ : ประชาชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ต่อสุขภาพ บนฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  • 74 - นโยบายที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เป้ำประสงค์ : มี เครื ่ องมื อและกลไกที ่ เพิ ่ มสมรรถนะให้ การบริ หารจั ดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพ เป็นเชิงรุก และสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ ให้มีการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ 4 สร้างความเป็นหุ้นส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแล ะ สิ่งแวดล้อม เป้าประสงค์ : ทุกภาคส่วนมีบทบาทในการร่วมดูแลรักษา และใช้ประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมของประเทศในลักษณะความเป็นเจ้าของทรั พยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ( 3. 4 ) แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BC G พ.ศ. 2564 – 2570 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 เห็นชอบให้การขับเคลื่อนการพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว ( Bio - Circular - Green Economy : BCG Model ) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป โดยมีความเชื่อมโยง และสอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580 ) สรุปได้ดังนี้ วิสัยทัศน์ : เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ปร ะชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรจากความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์ เป้าหมาย : ความหลากหลายชีวภาพ ได้ รับการ คุ้ มครอง ป้ องกัน อนุรักษ์ ฟื้ นฟู เพิ่มจํานวน และใช้ประโยชน์ อย่าง มี คุณค่าและ ยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุ นทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป้าหมาย : เศรษฐกิจฐานรากเติบโต อย่าง มีคุณภาพ พร้อมช่องว่าง ของความเหลื่อมล้ํา ทางสังคม ที่ลดลง ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถ แข่งขันได้อย่างยั่งยืน เป้าหมาย : อุตสาหกรรมและบริการ BCG เดิมและ ใหม่ มีขีดความสามารถในการ แข่งขัน ที่สูงขึ้น อย่าง ยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ของโลก เป้าหมาย : สร้างสังคมฐานความรู้ และความสามารถในการพึ่ งพาตนเองได้ ทางเทคโนโลยี

  • 75 - ( 3. 5 ) แผนแม่บทกระทรวงทรั พยากรธรรมชาติ และสิ ่ งแวดล้ อม ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 25 80) มีวิสัยทัศน์ คือ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ยั่งยืน” ประกอบด้วย 5 ประเด็นยุทธศาสตร์ โดยมีประเด็นสําคัญที่เชื่อมโยง สอดคล้องกับนโยบายและ แผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ดังนี้ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 ขับเคลื่อนกระบวนทัศน์ใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ในอนาคต เป้าประสงค์ : 1.2 พื้นที่มีศักยภาพและสมรรถนะในการขับเคลื่อนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสู่ ความยั่งยืน ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์อย่าง สมดุล เป้าประสงค์ : 2.1 มีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า ในเชิงเศรษฐมิติ กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ 5 สงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู ให้เกิดความสมบูรณ์เชิงพื้นที่ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้ำงความสมดุลและยั ่ งยืนด้ำนทรัพยากรน้ําให้กับ ประชาชนอย่างทั่วถึ ง และรักษาระบบนิเวศ เป้าประสงค์ : 3.1 สร้างสมดุลระหว่างต้นทุนน้ําที่มีอยู่และน้ําที่ถูกใช้ไปให้เหมาะสม กับบริบท และความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ 6 อนุรักษ์ ฟื้ นฟู พัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา เพื่อการจัดสรรน้ํา ให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ําอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน กลยุทธ์ที่ 7 พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการน้ํา และจัดการสภาวะ วิกฤตน้ํา ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดี เป้าประสงค์ : 4.1 ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมที่สมดุลตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ( BCG Economy ) กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ 8 ดํารงวิถีชีวิตแนวใหม่ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใ หม่ ( BCG Economy) ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 5 เพิ่มศักยภาพองค์กรรองรับวิถีใหม่และนวัตกรรมใหม่ เป้าประสงค์ : 5.1 ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 5 . 2 องค์กรมีการทํางานโดยใช้เทคโนโ ลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบเพื่อให้ได้ ข้อมูล ที่ถูกต้อง รวดเร็ว ทันสมัย สําหรับผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน

  • 76 - 5 . 3 มีระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมที่มีมาตรฐานและบังคับใช้กฎหมาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าเทียม และเป็นธรรม กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ 10 เพิ่มขีดควา มสามารถในการจัดการภาวะวิกฤต กลยุทธ์ที่ 11 ขับเคลื่อนองค์กรดิจิทัล กลยุทธ์ ที่ 12 ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ทันสมัย ( 3. 6 ) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ศ. 2558 – 2593) มติคณะรัฐมนตรีเมื่ อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เห็นชอบกับแผนแม่บทรองรับ การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (พ.ศ. 2558 – 2593) โดยแผนแม่บทฉบับนี้เป็นแผนระยะยาวสําหรับรองรับ การดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิ อากาศและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ําตามแนว ทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมีการเติบโต ที่ปล่อยคาร์บอนต่ํา ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2593 ประกอบด้วย 2 ยุทธศาสตร์หลัก โดยมียุทธศาสตร์สําคัญที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวทาง การดําเนินงานที่เกี่ยวข้อง คือ การจัดการน้ําอย่างบูรณาการ การสร้างความพร้อมในการรับมือ และลดความเสียหายจากอุทกภัยและภัยแล้ง การสร้างความพร้อมในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศที่มีผล กระทบต่อการเกษตร และความมั่นคงทางอาหาร การสงวนรักษาและฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ และสร้างความพร้อมและขีดความสามารถเพื่อลดความเสี่ยง และความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการ เติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ํา มีแนวทาง ดําเนินการที่เกี่ยวข้อง คือ การส่งเสริมการเกษตรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ํา และการอนุรักษ์และ เร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองเพื่อดูดซับมลพิษ ( 3. 7 ) (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 - 2570) วิสัยทัศน์ “ทุกหมู่ บ้านมีน้ําสะอาดอุปโภค บริโภค น้ําเพื่ อการผลิตมั่ นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดล ง อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรน้ํา คุณภาพน้ําอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ําอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” เป้าหมายในภาพรวมของแผนแม่บทฯ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ • ประชาชนทั้งในเมืองและชนบท มีน้ําอุปโภคและน้ําดื่มเพียงพอ ได้ มาตรฐานสากล ในราคาที่เหมาะสม มีการประหยัดน้ําทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน รวมทั้งมีความสามารถ ในการบริหารจัดการน้ําระดับชุมชม และท้องถิ่น • สามารถจัดหาน้ําเพื่อการผลิต (เกษตร อุตสาหกรรม) ได้อย่ำงสมดุลระหว่าง ศักยภาพกับความต้องการ มีการใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด ผลิตภาพสูงขึ้น รวมทั้ง สามารถจัดหาน้ํา บรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนน้ําในพื้นที่เกษตรน้ําฝนให้เพียงพอต่อการดํารงชีพและการทําการเกษตร ในฤดูฝน

  • 77 - • มีระบบป้องกันน้ําท่วมและอุทกภัยที่มีประสิทธิภาพ ทั้ งโครงสร้างและการบริหาร จัดการ มีผังการระบายน้ําทุกระดับ การบริหารพื้นที่น้ําท่วมและพื้นที่ชะลอน้ํา • ป่าต้นน้ําได้รับการฟื้นฟู สามารถชะลอการไหลบ่าของน้ํา มีการใช้ประโยชน์จาก ลุ่มน้ําตามผังที่กําหนด มีการอนุรักษ์ดินและน้ําในพื้นที่ลาดชัน ทั้งในพื้นที่อนุรักษ์และพื้นที่เกษตร • การฟื้นฟูแม่น้ําลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชาติ ให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน ชุมชน ขนาดใหญ่มีการบําบัดน้ําเสียก่อนปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อม มีการจัดการโดยการป้องกันและลดน้ําเสียที่ต้นทาง ป้องกันน้ําเค็ม และการกัดเซาะปากแม่น้ําในพื้นที่เฉพาะ แผนแม่บทฯ ได้กําหนดประเด็นการพัฒนาสําคัญไว้ 5 ด้าน โดย มีด้านที่เกี่ยวข้อง กับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ได้แก่ • ด้านที่ 1 การจัดการน้ําอุปโภคบริโภค - พัฒนา ขยายเขต และเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาหมู่บ้าน โดย พัฒนา ระบบ ประปา และขยายเขต เพิ่ มประสิ ทธิภาพระบบผลิตและระบบส่งน้ําเดิม และจัดหาน้ําสะอาดให้ครัวเรือน ที่ไม่มีป ระปา - พัฒนาระบบประปาเมือง/พื้นที่เศรษฐกิจ โดยจัดหาน้ําต้นทุน/ก่อสร้างระบบผลิต ขยายเขต/เพิ่มเขตจ่ายน้ํา ปรับปรุงระบบประปาเมืองให้ได้มาตรฐาน จัดทําแผนประปาเมืองหลัก/พื้นที่เศรษฐกิจ/ พื้นที่ท่ องเที่ยว และลดการสูญเสียน้ําในระบบท่อส่งจ่ายน้ําประปา - พัฒนาน้ําอุปโภคบริโภคให้ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม โดยพัฒนาปรับปรุง คุณภาพน้ําดื่มให้ได้มาตรฐาน และมีการตรวจสอบคุณภาพน้ําประปา • ด้านที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ําภาคการผลิต - เพิ่มประสิทธิภาพโครงการแหล่งน้ําและระบบส่งน้ําเดิม โดยปรับปรุงโครงการ ชลประทานขนาดใหญ่/กลาง ปรับปรุง โครงการพัฒนาแหล่งน้ําขนาดเล็กและเพิ่มปริมาณน้ําต้นทุนในโครงการ แหล่งน้ําเดิม - การจัดหาน้ําในพื้นที่เกษตรน้ําฝน โดยพัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา ในพื้นที่เกษตรน้ําฝน อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ําพื้นที่เกษตรน้ําฝน พัฒนาแหล่งน้ํา ในพื้นที่ ส.ป.ก และพัฒนา น้ํา บาดาลเพื่อการเกษตร - พัฒนาแหล่งเก็บกักน้ํา/ระบบส่งน้ําใหม่ พัฒนาระบบผันน้ําและระบบเชื่อมโยง แหล่งน้ํา เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรน้ําจากพื้นที่ที่มีเหลือไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการ - การเพิ่มผลิตภาพมูลค่าภาค เกษตร โดยมีโครงการนําร่องและประเมินผล จากนั้นจึง ขยายผลไป ยัง พื้นที่ อื่นๆ • ด้านที่ 3 การจัดการน้ําท่วมและอุทกภัย - การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา โดยการปรับปรุ งสิ่งกีดขวางทางน้ํา การแก้ไข ปัญหาน้ําท่วมถนนสายหลักและ ปรับปรุงลําน้ํา เพื่อรักษาสภาพลําน้ํา กําจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในแม่น้ําสายหลัก แม่น้ําสาขา และแหล่งน้ําปิด - ป้องกันน้ําท่วมชุมชนเมือง โดยการจัดระบบป้องกันชุมชนเมือง และการสร้าง เขื่อนป้องกันตลิ่ง - การจัดการพื้นที่น้ําท่วม/พื้นที่ชะลอน้ํา โดยการพัฒนาแก้มลิง พื้นที่ลุ่มต่ํารับ น้ํานอง การพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพ อาคารบังคับน้ํา และสถานีสูบน้ํา เพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เฉพาะจุด

  • 78 - • ด้านที่ 4 การอนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ํา - การอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ําที่เสื่อมโทรม มีการจัดทําแผนฟื้นฟูรายลุ่มน้ํา ตามลําดับความรุนแรง ของปัญหา - การป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ต้นน้ํา โดยการจัดทําฝาย เพิ่มความชุ่มชื้น ระบบอนุรักษ์ดิน และน้ําในพื้นที่เกษตรลาดชัน จัดทําแนวป่ากันชน การปลูกป่าเลียนแบบ ธรรมชาติทดแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และการปลูกหญ้าแฝก - การเพิ่มประสิทธิภาพในการบําบัดและควบคุมการระบายน้ําเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวม ระบบบําบัดน้ําเสียรวมของชุมชน และการนําน้ําที่บําบัด กลับมาใช้ใหม่ ในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการและที่อยู่อาศัย และเพื่อให้ระบบบําบัดน้ําเสียสามารถดําเนินการ ได้ ควรมีการเก็บค่าบําบัดน้ําเสีย การจัดทําแผนหลักการจัดการน้ําเสียในพื้นที่เฉพาะ - การจัดสรรน้ําเพื่อรักษาระบบนิเวศ โดยมีการดําเนินการในกลุ่มน้ําหลักที่มีน้ํา ต้นทุน การจัดทําแผนหลัก ป้องกันน้ําเค็ม/การกัดเซาะปากแม่น้ําในพื้นที่เฉพาะ - การอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ําลําคลองและแหล่งน้ําธรรมชาติทั่วประเทศ โดย จัดทําตัวชี้วัด River Health Index จัดทําฐานข้อมูลลําน้ํา และแหล่งน้ําทั่วประเทศพร้อมสถานการณ์ปัจจุบัน กําหนดเป้าหมายลําน้ํา/แหล่งน้ําเพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟู มีการจัดลําดับความสําคัญและดําเนินการเป็นรูปธรรม ( 3. 8 ) ยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) วิสัยทัศน์ คือ เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน เป้าประสงค์ คือ เกษตรกรหลุดพ้ นจากกับดักรายได้ปานกลาง (รายได้ประชาชาติต่อหัว มากกว่า 13,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 390,000 บาท/คน ในปี 2579 ) โดย 1 ) เกษตรกรมีความสามารถในอาชีพของตนเอง ( Smart Farmer ) 2 ) สถาบันเกษตรกรมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ( Smart Agricultural Group ) 3 ) สิ นค้ำเกษตรมี คุ ณภาพมาตรฐานตรงตามความต้ องการของตลาด ( Smart Agricultural Product ) 4 ) พื้นที่เกษตรและภาคการเกษตรมีศักยภาพ ( Smart Area / Agriculture ) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ • ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร มี แนวทางการพัฒนา คื อ 1 ) สร้ำงความเข้ มแข็ งให้ กั บเกษตรกรและสถาบั นเกษตรกร Smart Farmer, Smart Group, Smart Enterprise 2 ) เสริ มสร้ำงความภาคภู มิ ใจ และความมั ่ นคงในอาชี พเกษตรกรรม 3 ) บริหารจัดการแรงงานภาคเกษตรและเทคโนโลยีเพื่อทดแทนแรงงานอย่างเป็นระบบรองรับสังคมเกษตร สูงอายุ • ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร มีแนวทางการพัฒนา คือ 1 ) พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพ มาตรฐานสินค้าสู่มาตรฐานระดับสากล โดยใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและความรู้แบบองค์รวม 2 ) ส่งเสริมการเกษตรตลอดโซ่อุปทานสอดคล้องกับ ความต้องการ ของตลาดและมูลค่าสูง มุ่งสู่การเป็นฟาร์มอัจฉริยะ

  • 79 - • ยุ ทธศาสตร์ ที ่ 3 การเพิ ่ มความสามารถในการแข่ งขั นภาคการเกษตร ด้วยเทคโนโลยี แ ละนวัตกรรม มีแนวทางการพัฒนา คือ 1 ) พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อน เกษตร 4 . 0 ภายใต้ Thailand 4 . 0 2 ) บริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเกษตร ให้เกษตรกรเข้าถึง และนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง 3 ) พัฒนาผลงานวิจัยและสารสนเทศให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ ปร ะชาสัมพันธ์ และเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลในระดับโลก • ยุทธศาสตร์ที่ 4 การบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่าง สมดุลและยั่งยืน มีแนวทางการพัฒนา คือ 1 ) บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับ SDGs 2 ) ฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรการเกษตรให้มีความสมดุลและยั่งยืน • ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ มีแนวทางการพัฒนา คือ 1 ) พัฒนาบุคลากรและนักวิจัยเป็น Smart Officer และ Smart Researcher 2 ) เชื่อมโยง และบูรณาการ การทํางานของหน่วยงานทุกภาคส่วนโดยกลไกประ ชารัฐ และปรับระบบบริหารงานให้ทันสมัย 3 ) ปรับปรุง และ พัฒนากฎหมายด้านการเกษตรเพื่อรองรับบริบทการเปลี่ยนแปลง ( 3. 9 ) ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) วิสัยทัศน์ คือ คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 มี 5 ประเด็นยุทธศาสตร์ คือ  ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน O เป้าประสงค์: สนับสนุนให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ▪ กลยุทธ์ที่ 1 ผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายด้านที่อยู่อาศัย ▪ กลยุทธ์ที่ 2 สร้างโอกาสในการมีที่อยู่อาศัย ▪ กลยุทธ์ที่ 3 เสริมสร้างและพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านที่อยู่อาศัย อย่างเป็นระบบ  ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การเ สริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย O เป้าประสงค์: ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการเงิน ▪ กลยุทธ์: เสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงระบบการเงิน  ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการที่อยู่ อาศัย O เป้าประสงค์: ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัย ▪ กลยุ ทธ์ ที ่ 1 ส่ งเสริ มการมี ส่ วนร่ วมของภาคเอกชนและท้ องถิ่น ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ▪ กลยุทธ์ที่ 2 เสริมสร้างและพัฒนากลไกการบูรณาการ ▪ กลยุทธ์ที่ 3 สร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านที่อยู่อาศัย  ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง ได้อย่างยั่งยืน O เป้าประสงค์: ชุมชนเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ▪ กลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมการจัดสวัสดิการในชุมชน ▪ กลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมให้ประชาชนรักถิ่นที่อยู่

  • 80 -  ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี O เป้าประสงค์: การจัดการระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ จัดการ ที่ดิน และผังเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ▪ กลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมการจัดการที่ดินและผังเมือง ▪ กลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมการจัดการระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณูปการ ▪ กลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ( 3. 1 0 ) ยุทธศาสตร์กรมป่าไม้ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579 ) วิสัยทัศน์ คือ บริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ให้มั่นคงและยั่งยืน พันธกิจ คือ ป้องกันและรักษาพื้นที่ป่าไม้ให้คงอยู่ บริหารจัดการที่ดินป่าไม้ อย่างเป็นระบบและเป็นธรรม เพิ่มและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการ ทรัพยากรป่าไม้ โดยการมีส่วนร่วม วิจั ยและพัฒนาการป่าไม้ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และเสริมสร้าง ขีดความสามารถเชิงรุกขององค์กร ระบบ กลไก และข้อมูลในการบริหารจัดการ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีประสิทธิภาพ เป้าหมาย คือ ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการจัดการอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยให้ มีพื้นที่ป่ำไม้อย่างน้อยร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศภายใน 20 ปี ยุทธศาสตร์กรมป่าไม้ แบ่งออกเป็น 7 ประเด็น ได้แก่ (3. 1 0.1 ) ป้ องกั นรั กษาพื ้ นที ่ ป่ำที ่ เหลื อให้ คงอยู ่ และยั ่ งยื น โดยการ 1 . 1 ) เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานป้องกันรักษาป่า 1 . 2 ) ยึดคืนพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุก (รายนายทุน) 1 . 3 ) เพิ่มศักยภาพในการป้องกันและควบคุมไฟป่า 1 . 4 ) จําแนกที่ดินป่าไม้ให้เหมาะสมและจัดทําแนวเขต ป่าไม้ให้ชัดเจนบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน 1 . 5 ) สร้างความเข้มแข็ งของระบบสารสนเทศ ทรัพยากรป่าไม้ระดับชาติ 1 . 6 ) ประเมินและจําแนกเขตป่าเสื่อมโทรมและป่าที่ถูกบุกรุกอย่างเหมาะสม และ 1 . 7 ) ควบคุมและพัฒนาการจัดการและการใช้ประโยชน์ป่าไม้และที่ดินป่าไม้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม (3.10. 2 ) ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการ 2 . 1 ) ฟื้นฟูป่าเสื่อม โทรมอย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล 2 . 2 ) ส่งเสริมและสนับสนุนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู ป่าเสื่อมโทรม 2 . 3 ) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและปลูกจิตสํานึก 2 . 4 ) ส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโ ยชน์ จากพื้นที่ป่าที่ได้รับการฟื้นฟู และ 2 . 5 ) เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการฟื้นฟูป่าตามแนวเขต ชายแดน ( 3 .10.3 ) ส่งเสริมธุรกิจป่าไม้และป่าเศรษฐกิจจากป่าปลูก และการส่งเสริม ชุมชนในเมือง/ ชุมชนชนบทเป็นพื้นที่สีเขียว โดยการ 3 . 1 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกป่าเศรษฐกิจ 3 . 2 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายผู้ปลูกป่า 3 . 3 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกต้นไม้ ที่ มีมูลค่า 3 . 4 ) เพิ่มและพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชุมชน 3 . 5 ) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วม ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และ 3 . 6 ) พัฒนาระบบการรับรองป่าไม้ ( Forest Certification ) ที่ได้มาตรฐาน (3.10. 4 ) แก้ไขปัญหาราษฎรในพื้นที่ป่าไม้อย่างเป็นระบบและเป็นธรรม โดยการ 4 . 1 ) จัดทําฐานข้อมูลผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ และ 4 . 2 ) แก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ ที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาบนพื้นฐานการบูรณาการอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมาย

  • 81 - (3.10. 5 ) สนับสนุนและส่งเสริ มการวิจัยเพื่ อพัฒนาการบริหารจัดการ ทรัพยากรป่าไม้ โดยการ 5 . 1 ) ศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านป่าไม้ 5 . 2 ) พัฒนาศักยภาพ การวิจัยด้านป่าไม้ 5 . 3 ) พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีผลงานวิจัยด้านป่าไม้ และ 5 . 4 ) พัฒนาระบบ ฐานข้อมูลด้านป่าไม้ (3.10. 6 ) บูรณาการและส่ งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน โดยการ 6 . 1 ) ส่งเสริมและพัฒนาการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และจัดการป่าไม้ 6 . 2 ) พัฒนาและส่งเสริมป่าชุมชน อย่างมีประสิทธิภาพ 6 . 3 ) พัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนที่สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่นและเกื้อกูลธรรมชาติ อย่างเหมาะสม 6 . 4 ) ส่งเสริมและขยายผลการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดําริ และ 6 . 5 ) อนุรักษ์และพัฒนา ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ( 3. 1 1 ) ยุทธศาสตร์กรมพัฒนาที่ดิน ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579 ) ยุ ทธศาสตร์กรมพัฒนาที่ดิน จัดทําขึ้นเพื่อเป็นกรอบการพัฒนาทรัพยากรที่ดิน โดยเน้น “เกษตรกร” เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอย่างสมดุล ภายใต้วิสัยทัศน์ “ พัฒนาที่ดินให้สมบูรณ์ เพิ่มพูน ผลผลิตในทิศทางการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนบนพื้นฐานการมีส่วนร่วม” ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ไ ด้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 เพิ่ มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรดินด้วย การสํารวจจําแนกดิน วิเคราะห์ดิน และวางแผนการใช้ที่ดินอย่างเป็นระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 1 ) ด้านการสํารวจจําแนกดิน โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทรัพยากรดินให้มี ความเหมาะสมกับความต้องการของเกษตรกร สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายและสะดวก การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดทําฐานข้อมูลทรัพยากรดินให้มีความถูกต้อง เหมาะสม และครอบคลุมทุกพื้ นที่ และทุกชนิดพืช และการจัดตั้ งศูนย์ปฏิบัติการ ( War Room ) ด้านข้อมูลดินและการพัฒนาที่ ดิน ทั้ งใน ส่วนกลางและ ส่วนภูมิภาค 2 ) ด้านการวิเคราะห์ดิน น้ํา พืช โดยการปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์ดิน น้ํา พืช ให้ตรง ตามความต้องการของเกษตรกรในการนําไปใช้ประโยชน์ การปรับปรุงการแปรความหมาย ผลการวิเคราะห์ ดินให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้รับบริการสามารถนําข้อมูลไปใช้งานได้ง่าย 3 ) ด้านการจัดทําแผนการใช้ที่ ดิน โดยการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ เกษตรกรด้านการวางแผนการใช้ที่ดิน ส่งเสริมการใช้แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินระดับตําบล เสริมสร้าง องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการเขตเกษตร เศรษฐกิจสําหรับสินค้าเกษตร สําหรับใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทางการเกษตรได้อย่างเหมาะสม การพัฒนาระบบการจัดทําแผนที่/สํารวจแผนที่การใช้ที่ดินให้ใช้ระยะเวลา ลดลงโดยใช้เทคโนโลยีที่มีความแม่นยําและทันสมัย และการสร้างแบบจําลองในการวิเคราะห์คาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโย ชน์ที่ดินในอนาคต ยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยงานวิจัย และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินเชิงนวัตกรรม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เทคโนโลยีและ นวัตกรรมด้านการพัฒนาที่ดินที่เกษตรกรนําไปปฏิบัติได้ง่าย และลงทุนต่ํา การพัฒนางานวิจัยแ ละส่งเสริม เทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ ดินเชิงนวัตกรรม การบริหารจัดการข้อมูลด้านงานวิจัยและเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาที่ดินเชิงนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และการพัฒนาศักยภาพนักวิชาการให้มีความรู้ความสามารถ ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

  • 82 - ยุทธศาสตร์ที่ 3 บริหารจัดการทรัพยำกรดินอย่างสมดุลและยั่งยืนด้วยการ ฟื้นฟู ปรับปรุงดิน และอนุรักษ์ดินและน้ํา ซึ่งแบ่งออกเป็น 1 ) ด้านการฟื้นฟูปรับปรุงดิน โดยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการฟื้นฟูปรับปรุง บํารุงดินที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและง่ายต่อการปฏิบัติ การพัฒนาคู่มือด้านการฟื้นฟูปรับปรุงดินทุกป ระเภท ให้เป็นมาตรฐานตามหลักวิชาการ ส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีด้านการฟื้นฟูปรับปรุงบํารุงดินให้เหมาะสม กับสภาพปัญหาของพื้นที่ และส่งเสริมให้เกษตรกรดําเนินการปรับปรุงบํารุงดินในพื้นที่ทําการเกษตร อย่างต่อเนื่อง 2 ) ด้านการอนุรักษ์ดินและน้ํา โดยการพัฒนาคู่มือด้านการอนุรักษ์ดินและน้ําให้ เป็นไปตามมาตรฐานตามหลักวิชาการ ส่งเสริมและขยายผลมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ํา จัดทําระบบอนุรักษ์ ดินและน้ําให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และถูกต้องตามหลักวิชาการ และการพัฒนาแหล่งน้ําตามความเหมาะสม กับสภาพพื้นที่ ยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างและพัฒนาความเข้มแข็งให้กับหมอดินอาสา เกษตรกร และภาคีเครือข่าย โดยการสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการพัฒนาที่ดินมีความเข้มแข็งและสามารถ นําเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินไปถ่ายทอดให้กับภาคีเครือข่ายได้ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาที่ดิน ให้เป็นไปตามหลักวิชาการให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพ ( Smart Farmer ) และการเสริมสร้างความมั่ นคง ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและขยายผลการทําการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียง ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินบนพื้นฐาน การมีส่วนร่วม โดยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการพัฒนาที่ดินให้มีความถูกต้อง ทันสมัย และครอบคลุมการนําไปใช้ประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและเครือข่ายด้านการพัฒนาที่ ดิน การสนั บสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน บนพื้นฐานการมีส่วนร่วม และการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุ ทธศาสตร์ ที ่ 6 พั ฒนาองค์ กรสู ่ ความเป็ นเลิ ศด้ำนการพั ฒนาที ่ ดิน โดยการพัฒนาด้านการจั ดทําแผนและการติดตามประเมินผล การพัฒนาด้านการบริหารงบประมาณ ให้มีประสิทธิภาพ การพัฒนาบริหารจัดการด้านกฎหมายและระเบียบให้เอื้ออํานวยการปฏิบัติตามภารกิจของ กรมฯ การพัฒนา การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ทันเวลา เป็นที่ยอมรับ การพัฒนำด้านการจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนา ระบบบริหารองค์กร ( 3. 12 ) แผนยุทธศาสตร์กรมส่งเสริมสหกรณ์ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579 ) แผนยุทธศาสตร์กรมส่งเสริมสหกรณ์ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579 ) จัดทําขึ้น เพื่ อเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานในสังกัดได้นําไปปฏิบัติใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์และ กลุ่มเกษตรกรสู่ ความเข้มแข็ง ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า “สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็งเป็นศูนย์กลาง และกลไกการขับเคลื่ อน เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้งนี้ แผนดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ โดยมีความสอดคล้อง และเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) จํานวน 3 ยุทธศาสตร์ ดังนี้

  • 83 - ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิธีการสหกรณ์ และปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาระบบการบริหารจัดการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เกิด ความมั่นคง และทันต่อการเปลี่ยนแปลง ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาศักยภาพสหกรณ์ /กลุ่มเกษตรกร ให้เป็นกลไกในการ ขับเคลื่ อนเศรษฐกิจ และสังคม ( 3. 13 ) แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ของสํานักงานการ ปฏิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม วิสัยทัศน์ : องค์การทันสมัยในการจัดการการ ปฏิรูป ที่ดินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของเกษตรกร เป้าประสงค์ : คุ้มครอง พื้นที่ เกษตรกรรม เพื่อให้ เกษตรกรในเขต ปฏิรูป ที่ ดิน ประกอบ อาชีพ เกษตรกรรม ได้อย่างยั่งยืน แผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ของ ส.ป.ก. ประกอบด้วย 4 เรื่อง โดยมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) จํานวน 3 เรื่อง ดังนี้ 1) แผนปฏิบัติราชการที่ 1 เรื่ อง การบริหารจัดการและคุ้ มครองที่ ดินเพื่อ เกษตรกรรม โดยมุ่งเน้นการวางแผนและจําแนกการใช้ที่ดินในเขต ปฏิรูปที่ดิน จัดหาที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดิน และ จัดที่ดินแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร หน่วยงานและบุคคลอื่น และคุ้มครองพื้นที่เพื่อเกษตรกรรม 2) แผนปฏิบัติ ราชการที่ 2 เรื่อง การ เพิ่มศักยภาพ พื้นที่ในเขต ปฏิรูป ที่ดิน โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในเขตปฏิรูปที่ดิน 3) แผนปฏิบัติ ราชการที่ 3 เรื่อง การเพิ่ม ขีด ความสามารถเกษตรกรและ สถาบัน เกษตรกร ใน เขตปฏิรูปที่ดิน โดยมุ่งเน้น พัฒนาศักยภาพ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ( 3. 14 ) (ร่าง) แผนปฏิบัติราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2566 – 2580 ) แผนปฏิบัติราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีเป้าหมายทั้งใน ระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น โดยมุ่งเน้นในการป้องกันและรักษาพื้นที่ป่าอนุรักษ์เดิมที่มีอยู่ และฟื้นฟูพื้นที่ ป่าเสื่อมโทรม ให้กลับสมบูรณ์ เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ต ลอดจนความ หลากหลายทางชีวภาพ ตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ พืช ได้แก่ “เพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ให้ได้ร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศภายในปี 2569 ” ทั้งนี้ แผนดังกล่าวมีความสอดคล้อง และเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพ ยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) จํานวน 2 เรื่อง ดังนี้

  • 84 - 1 ) แผนปฏิบัติ ราชการที่ 1 เรื่อง อนุรักษ์ ปกป้องรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ โดยมุ่งเน้นอนุรักษ์ คุ้มครอง ปกป้องรักษา และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างมี ประสิทธิภาพให้มีสภาพสมบูรณ์ 2) แผนปฏิบัติ ราชการที่ 3 เรื่อง บริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า อย่างสมดุลในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าเพื่อลดผลกระทบภายใต้บริบท การเปลี่ยนแปลงและความต้อ งการของประชาชนอย่างสมดุลและ เป็นธรร ม ( 3. 1 5 ) (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 – 2570) การพัฒนาการท่องเที่ ยวของประเทศไทยในระหว่าง ปี พ.ศ. 2566 – 2570 จะเป็นการยกระดับและขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่สอดคล้องและต่อยอดจากแผนพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ( พ.ศ. 2555 – 2559) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ( พ.ศ. 2560 – 2564) และแผนพัฒนากา รท่องเที่ยวแห่ง ชาติ (พ.ศ. 2564 – 2565) โดยมุ่ ง เน้นการพลิกโฉมการท่อง เที่ยวไทย และ ขับเคลื่อน การพัฒนาตลอดทั้งห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาและขับเคลื่อนการท่องเที่ยว อย่าง ครอบคลุมและทั่วถึง ภายในระยะเวลา 5 ปี คือ “ กา ร ท่องเที่ยว ของประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ เน้น คุณค่า มีความสามารถในการปรับตัว เติบ โตอย่างยั่งยืน และ มีส่วนร่วม ( Rebuilding High Value Tourism Industry with Resilience, Sustainability and Inclusive Growth)” โดยมียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมการพั ฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ( Sustainable Tourism) การท่องเที่ยวของประเทศจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว จะต้องมีการพัฒนา บนพื้นฐานของความยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภาคการผลิตและธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว มีการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวและชุมชนท่องเที่ยว โดยคํานึงถึงความสามารถในการรองรับ นักท่องเที่ยว พร้อมการบริหารจัดการจํานวนนักท่องเที่ยว และการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว เช่น การปล่อยมลพิษ ของเสีย และภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยสามารถ ต่อยอดและสร้างคุณค่าจากทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม เอกลักษณ์ความเป็นไทย และแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน ได้อย่างยั่งยืน 3. 2 บริบทระหว่างประเทศ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( Sustainable Development Goals : SDGs ) สหประชาชาติได้กําหนดกรอบวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกในช่วง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งประชาคม โลกตกลงร่วมกันที่จะใช้เป็นกรอบในการดําเนินงานด้านการพัฒนา ตามแนวทางการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น ทั้ งมิติเศรษฐกิจ ( Economic Dimension ) มิติทางสังคม ( Social Dimension ) และมิติด้านสิ่ งแวดล้ อม ( Environmental Dimension ) โดยกําหนดไว้ทั้งสิ้น 17 เป้าหมาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแนวนโยบายการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ ในทุกพื้นที่ เป้าหมายที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุควา มมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนากา ร และ ส่งเสริม เกษตรกรรมที่ยั่งยืน

  • 85 - เป้าหมายที่ 6 สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ําและสุขอนามัยสําหรับทุกคนและ มีการบริหารจัดการที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 9 สร้างโครงสร้างพื้ นฐานที่ มีความทนทาน ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุ มและยั่งยืนและส่งเสริมนวัตกรรม เป้าหมายที่ 10 ลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศและระหว่างประเทศ เป้าหมายที่ 11 ทําให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความครอบคลุม ปลอดภัย มีภูมิต้านทาน และยั่งยืน เป้าหมายที่ 12 แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 13 เร่งต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายที่ 1 4 ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้ อย่างยั่ งยืน ต่อสู้ กับการแปรสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่ อมโทรมขอ งที่ ดิน และฟื้ นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

  • 86 - ตารางที่ 3 - 1 ความเชื่อมโยงของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) กับบริบท ภายในประเทศ แผนระดับชาติ และระหว่างประเทศ นโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ประเด็นนโยบายที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ประเด็นนโยบายที่ 2 การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประเด็นนโยบายที่ 3 การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ประเด็นนโยบายที่ 4 ด้านการบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ บริบท ภายในประเทศ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพ ของ ปวงชนชาวไทย มาตรา 43 (2) หมวด 4 หน้าที่ของปวงชน ชาวไทย มาตรา 50 (2) (8) หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 57 (2) หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 72 (1) (2) (3) มาตรา 73 มาตรา 77 หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 257 (1) (2 ) (3) มาตรา 258 ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (2) ค. ด้านกฎหมาย (1) ช. ด้านอื่น ๆ (2) นโยบายรัฐบาล (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ด้านที่ 7 การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก (ข้อ 7.2.3) ด้านที่ 10 การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (ข้อ 10.1 , 10.2) แผนระดับ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แผนระดับ 2 แผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 3 การเกษตร ประเด็นที่ 6 พื้นที่และเมืองน่า อยู่อัจฉริยะ ประเด็นที่ 9 เขตเศรษฐกิจพิเศษ ประเด็นที่ 16 เศรษฐกิจฐานราก ประเด็นที่ 17 ความเสมอภาค และหลักประกันทางสังคม ประเด็นที่ 18 การเติบโตอย่างยั่งยืน ประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ํา ทั้งระบบ แผนการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นการปฏิรูปที่ 1 เรื่องทรัพยากรทางบก ประเด็นการปฏิรูปที่ 6 ระบบบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ประเด็นการปฏิรูปที่ 4 ระบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง ขั้นตอนการดําเนินงาน : พัฒนาระบบกลไก และกระบวนการดําเนินโครงการที่ดินแปลงรวม กิจกรรม : พัฒนาการดําเนินนโยบายการจัดที่ดินแปลงรวมที่เน้นบทบาทของชุมชน/ที่เน้นกระบวนการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง ไปพร้อม ๆ กัน ( Collective Activities ) เป้าหมายกิจกรรม : การใช้ที่ดินสาธารณะเป็นประโยชน์ร่วมอย่างแท้จริงโดยที่ดินยังเป็นของรัฐอย่างยั่งยืนไม่ถูกเปลี่ยน มือเปลี่ยนวัตถุประสงค์

  • 87 - ตารางที่ 3 - 1 ความเชื่อมโยงของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) กับบริบท ภายในประเทศ แผนระดับชาติ และระหว่างประเทศ นโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ประเด็นนโยบายที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ประเด็นนโยบายที่ 2 การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประเด็นนโยบายที่ 3 การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ประเด็นนโยบา ยที่ 4 ด้านการบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ แผนระดับ 2 (ต่อ) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 ( Big Rock ) เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ตามเป้าหมาย ด้านสังคม กิจกรรมปฏิรูปที่ 5 ( Big Rock ) การสร้างมูลค่าให้กับที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมุดหมายที่ 1 ไทย เป็นประเทศชั้นนําด้านสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่า อยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และคนไทย ทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอเหมาะสม หมุดหมายที่ 11 ไทยสา มารถลดความเสี่ยงและผลกระทบ จากภัย ธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายและแผน ระดับชาติว่าด้วย ความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2566 - 2570 ประเทศชาติมีเสถียรภาพ ประชาชนอยู่ดีมีสุข ปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ มีศักยภาพบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยั่งยืน หมวดประเด็นความมั่นคง นโยบายและความมั่นคงที่ 4 การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล นโยบายและความมั่นคงที่ 5 การป้องกันและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นโยบายและความมั่นคงที่ 9 การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บริบทระหว่างประเทศ เป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน ( SDGs Goal ) เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน ทุกรูปแบบ ทุกสถานที่ เป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคง ทาง อาหาร ส่งเสริม เกษตรกรรม อย่างยั่งยืน เป้าหมายที่ 6 รับรองการมีน้ํา ใช้ การจัดการ น้ํา และ สุขาภิบาล ที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 9 พัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน ที่ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัว ให้เป็น อุตสาหกรรม อย่างยั่งยืน และ ทั่วถึง และสนับสนุน นวัตกรรม เป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ํา ทั้งภายในและ ระหว่างประเทศ เป้าหมายที่ 11 ทําให้เมืองและการ ตั้ง ถิ่นฐานของมนุษย์ มี ความปลอดภัยทั่วถึง พร้อมรับ การ เปลี่ยนแปลง และ พัฒนา อย่างยั่งยืน เป้าหมายที่ 12 แผนการบริโภค และการผลิต ที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 13 ดําเนิน มาตรการ เร่งด่วนเพื่อรับมือ กับกา ร เปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ และผลกระทบ เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และ ส่งเสริมการใช้ ประโยชน์จาก ระบบนิเวศทางบก อย่างยั่งยืน

  • 88 - ส่วนที่ 4 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 4.1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) สําหรับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เป็นการวิเคราะห์จากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายนอกและภายใน โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ ภายนอกจะพิจารณาจากโอกาส ( Opportunity ) และอุปสรรค ( Threat ) ของสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยให้เข้าใจ ถึงโอกาสจากปัจจัยภายนอกที่มีผลทําให้เกิดความได้เปรียบ ในขณะเดียวกัน ผลจากการ วิเคราะห์ข้อจํากัด ทําให้มีการเตรียมเฝ้าระวัง ป้องกันภัยคุกคามจากปัจจัยภายนอกที่จะเกิดขึ้น สําหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ ภายในจะพิจารณาจุดแข็ง ( Strength ) และจุดอ่อน ( Weakness ) ที่ น่าจะมีผลต่อการบริหารจัดการที่ ดิน และทรัพยากรดิน เพื่อนําข้อได้เปรียบจากจุดแข็งมา ช่วยสร้างโอกาสให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ประสบความสําเร็จ และผลการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนจะช่วยลดหรือบรรเทาข้อเสียเปรียบที่เกิดขึ้นได้อย่าง ทันท่วงที ดังนี้ 4.1.1 การประเมินสภาพแวดล้อมภายนอก โอกาส ( Opportunity ) อุปสรรค ( Threat ) 1. ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) และนโยบายความมั่นคง ของชาติ มุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่ งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้วยการมีส่วนร่วมขอ ง ประชาชน และกําหนดเป้าหมายและแนวทางที่ ชัดเจนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ 1. เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้ประชากร จํานวนมากที่มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ ที่ ดีขึ้น เกิดความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น และสังคมจะ พัฒนาไปสู่ความเป็นเมือง ( urbanization ) มากขึ้น ตามไปด้ วย ซึ ่ งการเน้ นการกระตุ ้ นการใช้ จ่าย ทางเศรษฐกิจ การบริโภค และการลง ทุนโดยเฉพาะ ในโครงสร้ำงพื ้ นฐานแล ะ อสั งหาริ มทรั พย์ กา ร เปลี่ ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความ ต้ องการพลั งงาน ส่ งผลกระทบต่ อความสมดุล ของที่ดินและทรัพยากรดิน และความมั่นคงด้าน อาหารที ่ เน้ นความพอเพี ยง การเข้ำถึ งการใช้ ประโยชน์ และเสถียรภาพ 2. รัฐบาลในปัจจุบันมีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไข ปัญหาด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ รวมทั้งมีนโยบายปฏิรูปกฎหมายด้านที่ดิน ให้มี ความสอดคล้องเชื่อมโยงและไม่เป็นอุปสรรคต่อ การพัฒนาประเทศ 2. สถานการณ์ การเข้าสู่ สังคมผู้ สูงอายุของโลก ที่ปัจจุบันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเทศไทย โดยมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและกระจายตัว ของประชากรโลกที่พบว่า มากกว่าร้อยละ 50 จะอาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งมี สัดส่วนการบริโภค

  • 89 - โอกาส ( Opportunity ) อุปสรรค ( Threat ) มากกว่าร้อยละ 80 ของประชากร ทั้งหมด และ กลุ่มผู้สูงอายุในประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นกลุ่ม สําคัญ ที่ ทําให้มีการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่ มขึ้น ซึ่งรวมถึงความต้องการใช้พื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ ในการทําเกษตรกรรม 3. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามกรอบสหประชาชาติ ( Sustainable Development Goals : SDGs ) กําหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดิน ซึ่งจะเป็นกลไกในการผลักดันให้ประชาคมโลก และทุกประเทศให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหา ที่ดิน และการบริหารจัดการให้มีความยั่งยืน 3. การกําหนดแผนการใช้ที่ ดินมักถูกแทรกแซง โดยกลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ รวมถึง การทุจริตเ ชิงนโยบาย การขาดการตรวจสอบ ที่รัดกุมและต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศขาดทิศทาง การพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 4. แผนการลงทุนทางด้านการคมนาคม การขนส่ง สาธารณู ปโภค เป็ นปั จจัยที่ นําไปสู่ การเพิ่ ม ประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและมูลค่า ที่ดินที่สูงขึ้น 4. การเป ลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบ โดยตรงต่อที่ดินและทรัพยากรดิน ทั้งการเปลี่ยนแปลง รูปแบบของฤดูกาล การเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงและ บ่อยครั้ งขึ้ น ความเสื่ อมโทรมขอ ง ทรัพยากร ธรรมชาติ ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะที่เป็ น ประเทศ เกษตรกรรม มีรูปแบบการพัฒนาและวิถีชีวิต ที่พึ่งพิงความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงนับเป็นภัย คุกคามที่สําคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมาย การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งการรักษากา ร เติบโต ทางเศรษฐกิจ การขจัดปัญหาความยากจน และ การยกระดับคุ ณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น รวมถึงการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

  • 90 - 4.1.2 การประเมินสภาพแวดล้อมภายใน จุดแข็ง ( Strength ) จุดอ่อน ( Weakness ) 1. ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไทยส่วนใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะกับการทําการเกษตรกรรม เมื่อประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่มีความเหมาะสม ทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีฐานการผลิต ทางการเกษตรกรรมที่แข็งแกร่ง และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ 1. ในระดับนโยบายเกิดจากการไม่มีแผนการใช้ที่ดิน ที่จะใช้เป็นกรอบแนวทางการบริหารจัดการที่ดิน ของประเทศ เนื่องจากปัจจุบันยั งไม่มีหน่วยงานใด เป็นเจ้าภาพหลักในการวางแผนระยะยาวแบบ บูรณาการ จึงไม่มีการวางและจัดทําผังประเทศไทย ให้รองรับทั้ งการเพิ่ มจํานวนประชากร และ กา ร เตรียมการสําหรับปัญหาที่ จะเกิดขึ้ นใน อนาคต เช่น การเ ปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ สร้าง ภัยพิบัติให้กับมวลมนุษย์มากขึ้ น ได้แก่ อุ ทกภั ย แผ่ นดิ นไหว และวาตภั ย รวมทั้ง การลงทุนจัดทําโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของ รัฐ มีแต่การวางและจัดทําผังที่แก้ปัญหาเฉพาะ หน้าเท่านั้น รวมทั้งปัญหำการวางผังเมืองและ จัดทําผังเมือง มีกระบวนการและขั้นตอนมาก ทํา ให้ล่าช้าในการป ระกาศใ ช้เป็นผลให้ไม่ทันต่อ การพัฒนาและ การเจริญเติบโตของเมืองที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ 2. มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งเป็น คณะกรรมการระดั บนโยบายของประเทศ เพื่ อแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการที่ ดิ นและ ทรั พยากรดิ น โดยมี การจั ดทํานโยบายและ แผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา อนุมัติรวมทั้ งกําหนดแนวทางหรือมาตรการ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ 2. มีหลายหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่เกี่ย วข้องกับ การบริหารจัดการที่ดินในแต่ละระดับ รวมถึงการ มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามกฎหมายเพื่อบริหาร จั ดการที ่ ดิ นหลายคณะ เป็ นผลทําให้ การ ปฏิบัติงานเกิดความซ้ําซ้อนหรือปฏิบัติงานเฉพาะ ด้านตามอํานาจที่มีอยู่ จึงขาดความเป็นเอกภาพ ในการ บริหารจัดการที่ดินในภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้ การจัดทําแผนงานใน ระดับหน่วยงาน ปฏิ บั ติ มั กต้ องปรั บเปลี ่ ยนตามนโยบายที่ เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายการเมืองและการ ปกครองในแต่ละช่วงเวลา ทําให้ขาดควา ม ต่อเนื่อง ในการดําเนินงาน

  • 91 - จุดแข็ง ( Strength ) จุดอ่อน ( Weakness ) 3. โครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นคณะกรรมการ ทําให้เกิดการบูรณาการ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และมีส่วนร่วม ในการผลักดันนโยบายในภาพรวมของประเทศ 3. การมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ ที่ ดินและทรั พยากรดิน และมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งกําหนดแนวเขตที่ดินหลายฉบับ โดยจัดทําแผนที่ แนวเขตที่ดินมีมาตราส่วนที่แตกต่างกัน ทําให้ เกิดปัญหาที่ดินทับซ้อน อักทั้งข้อจํากัดในเรื่อง เทคโนโลยีการจัดทําแผนที่ในอดีตที่ไม่สามารถ จําแนกพื้ นที่ ชุมชนและพื้ นที่ ทํากินออกจาก ขอบเขตพื้นที่ป่า ได้อย่างชัดเจน ทําให้ประชาชน ที่อยู่อาศัยและทํากินก่อนประกาศเป็นพื้นที่ป่า กลายเป็ นผู้บุกรุก ประกอบกับกฎหมายที่มีอยู่ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากขาดการ ควบคุมและบังคับใช้ ส่งผลให้มีข้อพิพาทเรื่อง แนวเขตมาโดยตลอด ซึ่งเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ทั้งระหว่างหน่วยงานของภาครัฐ ภาครัฐกั บ เอกชน และระหว่างภาคประชาชน 4. หลายหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่และภารกิจใน การจั ดการและแก้ ไขปั ญ หาด้ำนที ่ ดิ นและ ทรัพยากรดินมีการดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง 4. ขาดฐานข้อมูลที่สามารถใช้บริหารจัดการในภาพรวม ของประเทศที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ที่ดินมีการดําเนินงาน จากหลายหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ของ การนําข้อมูลไปใช้ โดยปัญหาที่ พบ คือ ข้อมูล หลายส่วนอยู่ในรูปของข้อมูลเชิงพื้นที่หรือข้อมูล แบบภูมิสารสนเทศ ( GIS ) ที่มีมาตราส่วนแตกต่างกัน การมีข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของข้อมูล และหลายข้อมูล ไม่สามารถ อ้างอิงกันได้ 5. ที่ดินและท รัพยากรดินที่มีอยู่อย่างจํากัด ในขณะ ที่ประชากรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทํา ใ ห้ ที่ดินไม่ เพียงพอ ต่อความต้องการในการดํารงชีวิต ประชาชนบางส่วน ไม่มีที่ดินทํากินเป็นของตัวเอง หรือมีไม่เพียงพอ หรือมีที่ดินทํากินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ การกระจาย การถือครองที่ดินในสัดส่วนที่ต่ํา ซึ่งการถือครอง ที่ดินส่วนใหญ่โดยคนส่วนน้อย (กลุ่มนายทุน) จากการซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดินทําให้พื้นที่/ที่ดิน ที่มีศักยภาพทางการเกษตรตกไปอยู่ในครอบครอง

  • 92 - จุดแข็ง ( Strength ) จุดอ่อน ( Weakness ) ของผู้มิใช่เกษตรกรหรือนายทุน การถือครองที่ดิน โดยไม่ได้ทําประโยชน์หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ จากการซื้ อขายเพื่ อเก็งกําไรในอสังหาริ มทรั พย์ เหล่านี้อันนํามาซึ่งการเกิดปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า และที่ดินของรัฐเพื่อเข้าไปใช้ประโยชน์ในการขยาย พื้นที่ทางการเกษตร การบุกรุกจับจองของนายทุน การออกโฉนดที่ดินหรือเอกสารสิทธิที่ไม่ถูกต้อง การบุกรุกที่ ดินของรัฐที่ สงวนหวงห้ามไว้เพื่ อ นําไปใช้ประโยชน์ และการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม กับศักยภาพของที่ดิน 6. ปัญหาประชาชนไม่มีที่ดินทํากิน แม้ว่านโยบาย การจัดหาที่ดินทํากินให้กับเกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทํากิน มีการดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้ภารกิจ ของหลายหน่วยงาน โดยการจัดที่ดินในรูปของนิคม สร้างตนเอง นิคมสหกรณ์ รวมทั้งการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม แต่เนื่องจากสภาพที่ดินที่นํามา จัดให้กับเกษตรกรมีสภาพพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม และขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนา พื้นที่จึงเป็นไปด้วยความล่าช้า ทําให้การดํารงชีวิต มีความยากลํา บาก ส่งผลให้ประชาชนที่ได้รับ การจัดสรรที่ดินทํากินที่รัฐจัดให้ต้องกลับมาเป็น ผู้ไร้ที่ดินทํากินเช่นเดิม รวมทั้ง ยังประสบกับปัญหา การขาดแคลนที่ ดินของรัฐที่ จะนํามาจัดให้กับ ประชาชน ซึ่งปัญหาทั้งหลายดังกล่าวได้นําไปสู่ การบุกรุกเพื่อทํากินในที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ และกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน อย่างต่อเนื่ อง โดยเฉพาะการบุกรุกเข้าไปใช้ ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติ เกิดปัญหาการโต้แย้งสิทธิ์ และเป็นข้อพิพาท ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชนมาอย่าง ยาวนานในหลายพื้นที่

  • 93 - จุดแข็ง ( Strength ) จุดอ่อน ( Weakness ) 7. ในบางพื้นที่ยังมีปัญหาดิ นที่มีปัญหาและขาดความ อุดมสมบูรณ์ ทั้งดินอินทรีย์ ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินค่อนข้างเป็นทราย ดินทรายจัด ดินตื้น และ ดิน บนพื้นที่ลาดชันเชิงซ้อนหรือพื้นที่ภูเขาลาดชันสูง นอกจากนี้ ยังพบปัญหาการปนเปื้ อนของดิน การเสื่อมโทรมของดิน การเลือกปลูกพืชไม่เหมาะสม กับสภาพของดิน การใช้สารเคมีจํานวนมาก และ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้งที่ทําให้สูญเสีย ความชื้นในดิน หรือการเกิดน้ําป่าไหลหลาก ทําให้ สูญเสียหน้าดินอย่างรวดเร็ว รวมทั้งกา ร สูญเสีย ดิน และการชะล้างพังทลายของดิน 4.2 การนําผลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) เพื่อกําหนดกลยุทธ์ ผลจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ( SWOT Analysis ) ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน สามารถนํามาใช้เป็นแนวทางเพื่อกําหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ในด้านการส่งเสริมและ พัฒนาจุดแข็ง การแก้ไขปัญหาและปรับปรุงจุดอ่อน การเสริมสร้างโอกาส ลดวิกฤตและอุปสรรคจาก การดําเนินงานภายใต้สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และ เทคโนโลยี สรุปได้ดังนี้ 4.2.1 กลยุทธ์การส่งเสริมและพัฒนาจุดแข็ง 1) พัฒนากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับและสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ ให้เป็นองค์กรกําหนดนโยบายในภาพรวมในการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินให้มีความต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความยั่งยืน 2) สร้างความเข้าใจ บูรณาการและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่มี อํานาจ หน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิ น เพื่อให้เกิดการประสานงานและมีส่วนร่วมใน การขับเคลื่อนการปฏิบัติงานที่สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถผลักดันการนํานโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม มีความเป็นเอกภาพ และต่อเนื่อง 3 ) ส่งเสริมการจัดที่ดินทํากินที่มีศักยภาพทางการเกษตรให้กับประชาชนที่มีพื้นฐาน การประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพื่อเสริมสร้างการเป็นฐานการผลิตทางการเกษตรที่มั่นคงของประเทศ 4.2.2 กลยุทธ์การแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อน 1) กําหนดแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาด้าน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน

  • 94 - 2) พัฒนาการวางแผนการใช้ที่ดินและผังเมืองเพื่อใช้เป็นกรอบหลักในการ บริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศในระยะยาว ทั้งในระดับประเทศ ระดับภาค และระดับลุ่มน้ํา โดยให้ความสําคัญ ในการประเมินรองรับสถานการณ์ในอนาคต ทั้งการเพิ่มจํานวนประชากร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว และวาตภัย รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) ปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ การกําหนดเขตกา รใช้ที่ดินที่มีอยู่หลายฉบับในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ที่อาจเป็นปัญหา ในทางปฏิบัติ ทั้งระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐกับเอกชน และระหว่างภาคประชาชนด้วยกัน รวมทั้ง การพัฒนากฎหมายใหม่เพื่อให้สามารถนํามาบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหำด้านที่ดิน ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนการกําหนดระเบียบและแนวทาง ปฏิบัติเพื่อให้บริหารจัดการที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามแนวทางธรรมาภิบาลและประชารัฐ 4) พัฒนาและจัดทําฐานข้อมูลด้านที่ดินและทรัพยากรดินที่สามารถใช้บริหารจัดการ ใ นภาพรวมของประเทศที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ที่ดินที่มี การดําเนินงานจากหลายหน่วยงานให้มีมาตราส่วนเดียวกันและสามารถอ้างอิงกันได้ 5) กําหนดมาตรการทางกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และสังคม เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ ที่ดินที่มีคุณภาพ มี ประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยแก้ปัญหาที่ดินไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ที่ดินทิ้งร้าง และการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม เพื่อให้มีผลต่อการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําเรื่องที่ดินทํากิน ปัญหาผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทํากิน รวมทั้งผลักดันให้เกิดความเป็นธรรมในการกา รกระจายการถือครองที่ดิน ของประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง 6) สนับสนุนให้มีการแก้ไขและพัฒนาคุณภาพของดินอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในบางพื้นที่ ยังมีปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งดินอินทรีย์ ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินค่อนข้างเป็นทราย ดินทรายจัด ดินตื้น และ ดินบนพื้นที่ลาดชันเชิงซ้อนหรือพื้นที่ภูเขาลาดชันสูง รวมทั้งการแก้ไข และปรับปรุงดินในพื้นที่ ที่มีปัญหาการปนเปื้อนของดิน ดินเสื่อมสภาพ การตกค้างสารเคมีจํานวนมาก พื้นที่เกิดภัยพิบัติซ้ําซาก และ พื้นที่ที่มีปัญหาชะล้างพังทลายของดิน เพื่อให้ที่ดินที่จัดให้กับประชาชนมีสภาพพื้นที่เหมาะสมต่อการทําประโยชน์ 4.2.3 กลยุทธ์การเสริมสร้างโอ กาส 1) ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรดินและที่ดิน กําหนด ยุทธศาสตร์ ตลอดจนจัดทําแผนงานและโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ที่ได้กําหนดเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ

  • 95 - 2) ผลักดันการนําเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบสหประชาชาติ ( Sustainable Development Goals : SDGs ) ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันของประชาคมโลก มีการกําหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดิน ซึ่งจะเป็น กลไกในการผลักดันให้ประชาคมโลกและ ทุกประเทศ ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาที่ดินและการบริหารจัดการให้มีความยั่งยืนไปพัฒนาผนวกเข้ากับ การปฏิบัติงานในภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 4.2.4 กลยุทธ์การลดวิกฤติและอุปสรรค ส่งเสริมและสนับสนุนให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศในทุกระดับ โดยสามารถคงความอุดมสมบูรณ์ที่ดินและทรัพยากรดิน รักษาสมดุลทางธรรมชาติและระบบนิเวศ มีการใช้ประโยชน์ ที่คุ้มค่าและยั่งยืน เป็นฐานการผลิตทางการเกษตรกรรมและกำรพัฒนาเศรษฐกิจที่มั่นคงและแข็งแกร่ ง

  • 96 - ส่วนที่ 5 นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580) การกําหนดนโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ที่มีเจตนารมณ์เพื่อให้การ บริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินมีกรอบทิศทางในการพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคํานึงถึง ความสอ ดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายการบริหารประเทศ แผนพัฒนาเศรษ ฐ กิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึง แผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ โดยการกําหนดนโยบายและแผนฯ อย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม การบูรณาการการใช้ ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน รวมทั้งวิธีปฏิบัติ 4 ระยะเวลาดําเนินการ เพื่อให้ บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ 5 . 1 หลักการ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เป็นการดําเนินงานเพื่อให้เกิดความสมดุลของ ระบบนิเวศ ที่มุ่งเน้นการคํานึงถึงขีดจํากัดของทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามหลักการอนุรักษ์ดินและน้ํา และหลักการบริหารจัดการเชิงระบบนิเวศ การกระจาย การถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การบูรณาการการใช้ประโยชน์ ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน มีความเชื่อมโยงกับการจัดกำรทรัพยากรน้ํา ป่าไม้ และชายฝั่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ของประเทศ โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการร่วมคิดแนวทาง ร่วมแก้ไขปัญหา และ ร่วมกระบวนการตัดสินใจ การคํานึงถึงสิทธิในทรัพย์สิน ของประชาชน หลักธรรมาภิบาล การรับรู้ข่าวสาร การกระจาย อํานาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนและภูมิสังคม ซึ่งจะทําให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินที่มีอยู่ อย่างจํากัดมีประประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรมและยั่งยืน แก้ ไขปัญหาความเดือดร้อนของ ประชาชน และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ส่งผลให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน และมีคุณภาพ 5 . 2 วิสัยทัศน์ “การบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่ อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน” 5 . 3 พันธกิจ 1 . สงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐ และอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าเพื่อรักษาความสมดุล ของระบบนิเวศ 2 . เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3 . กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม และส่งเสริมการจัดที่ดินทํากินให้ประชาชน 4 . เพิ่มศักยภาพกลไก เครื่องมือ องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน

  • 97 - 5 . 4 เป้าประสงค์ 1 . แนวเขตที่ดินข องรัฐมีความชัดเจน รวมถึงเพิ่มและรักษาพื้นที่ป่า ธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ เพื่อการใช้ประโยชน์ ให้มีสัดส่วนร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ 2 . ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศมีการนํามาใช้ ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นฐานในการพัฒนา ประเทศอย่างยั่งยืน 3 . การกระจายการถือครองที่ ดินของประเทศมีการกระจายตัวมากขึ้ น และประชาชนที่ ได้รับ การจัดที่ดิน มีคุณภาพชีวิตที่ดี 4 . มีกลไก เครื่ องมือ องค์ความรู้ ด้านการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ที่มีประสิทธิภาพ 5 . 5 นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580 ) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580 ) ประกอบด้วย ประเด็นนโยบายหลัก 4 ด้าน ประกอบด้วย 19 ตัวชี้วัด 11 แนวทางการพัฒนาหลัก 17 แผนงานสําคัญ ได้แก่ ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 : การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการ รักษา ความสมดุลทางธรรมชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสงวนหวงห้ามและบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ในภาพรวม และมุ่งเน้นการอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ เพื่อการใช้ประโยชน์ ของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์และรักษาความสมดุลทางธรรมชาติเพื่อเป็นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นไปตาม เป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก 4 แผนงานสําคัญ ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 : การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประ โยชน์สูงสุด มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนมีความเหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน มีความสมดุล และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงของ ประเทศ ตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก 7 แผนงานสําคัญ ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 : การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดั บ คุณภาพ ชีวิตของประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการกระจายการถือครองที่ดินด้วยวิธีการที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงการจัดที่ดินทํากิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด 2 แนวทางการพัฒนาหลัก 3 แผนงานสําคัญ ประเด็นนโยบาย ด้านที่ 4 : การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินให้เอื้อต่อการกําหนดทิศทางและกํากับดูแลการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิด ความ เ ป็นเอกภาพ ประกอบด้วย 5 ตัวชี้วัด 3 แนวทางการพัฒนาหลัก 3 แผนงานสําคัญ โดยประเด็นนโยบายหลัก 4 ด้าน มีกรอบแนวคิด เป้าหมาย และผลลัพธ์เชิงนโยบายที่คาดหวัง ในแต่ละ ระยะ แสดงใน รูปที่ 5 - 1 ถึง 5 - 5

  • 99 - รูปที่ 5 - 2 ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 : การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ

  • 100 - รูปที่ 5 - 3 ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 : การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด วัตถุประสงค์ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนมีความเหมาะสมกับศักยภาพ ของที่ดินและสมรรถนะของดิน ภายใต้ขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ ได้อย่าง สมดุล และ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ความมั่นคงของประเทศ ตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน

  • 101 - รูปที่ 5 - 4 ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 : การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

  • 102 - รูปที่ 5 - 5 ประเด็นนโยบายด้านที่ 4 : การ บูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ

  • 103 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสงวนหวงห้ามและบริหารจัดการที่ดินของรัฐในภาพรวม และมุ่งเน้นการอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ป่า ธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ ของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์ และรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ เพื่อเป็นฐานการพัฒนาที่ยั่งยื น เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ ตัวชี้วัด 1. จํานวนพื้นที่ที่มีการจัดทําเส้นแนวเขตที่ ดินของรัฐตามหลักเกณฑ์ One Map แล้วเสร็จ 2. ที่ดินของรัฐถูกบุกรุก (ลดลง) 3. ความสําเร็จของการพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนของพื้นที่ป่าต่อพื้นที่ประเทศ (เพิ่มขึ้น) 5. ระดับความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่า (คง เดิม/เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 3 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 8 แนวทางการพัฒนาย่อย ดังนี้ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 1 การแก้ไขปัญหาความทับซ้อนเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐ ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 การแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ 1.1.1 การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 1.1.2 การพัฒนาระบบบริหารจัดการและดูแลรักษาแนวเขตที่ดินของรัฐด้วยระบบที่มี ประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย 1.2 การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ 1.2.1 การพิสูจน์สิทธิเพื่ออํานวยความเป็นธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการกําหนด แนวเขตที่ ดินของรัฐ 1.2.2 มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 2 การป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ประกอบด้วย 3 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2.1.1 การเร่งรัดออกหนังสือสําคัญสําหรับที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2.1.2 การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการดูแลรักษาและบริหารจัดการที่ดินของรัฐ 2.1.3 การกําหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐทั้งในภาพรวม เชิงประเด็น และเชิงพื้นที่ อย่างสอดคล้องกัน 2.1.4 การเสริมอํานาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในการป้องกันการบุกรุก ที่ดินของรัฐ ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ

  • 104 - 2.2 การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2.2.1 การดําเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของรัฐภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง บนพื้นฐานของความเป็นธรรม 2.2.2 การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐโดยไม่ออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมาย ที่ดินแก่ผู้บุกรุก 2.2.3 การดําเนินกำรกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกรุกที่ดินของรัฐตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 2.2.4 การกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทั้งในภาพรวม เชิงประเด็น และเชิงพื้นที่อย่างสอดคล้องกัน 2.2.5 การเสริมอํานาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วม แก้ไข ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2.3 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ 2.3.1 การพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน 2.3.2 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ ด้วยมาตรการหรือแนวทางอื่นที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 3 การอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ป่า เพื่อรักษาควา ม สมดุล ทางธรรมชาติด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ประกอบด้วย 3 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 3.1 การอนุรักษ์ สงวน หวงห้าม และคุ้มครองพื้นที่ป่าเพื่อความสมดุลของระบบนิเวศ 3.1.1 การนํานโยบายกําหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ํามาใช้เป็นเครื่องมือจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ป่า 3.1.2 การประกาศพื้นที่ต้นน้ําลําธารให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ตามกฎหมาย เพื่อรักษา ความสมดุลทางธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ 3.2 การดูแลรักษาและบริหารจัดการพื้นที่ป่าให้คงสภาพในการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ 3.2.1 การจําแนกพื้นที่ป่าเพื่อการบริหารจัดการในภาพรวมและระดับพื้นที่ ควบคู่กับ การกําหนดแนวทางการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดินป่าในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม 3.2.2 การป้องกันและแก้ไขการบุกรุกพื้ นที่ ป่าและการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น 3.2.3 การนําแนวเขตที่ดินของรัฐที่ปรับปรุงแล้วเสร็จไปใช้บริหารจัดการแนวเขตที่ดิน ป่าทุกประเภทให้เกิดความชัดเจนและมีเอกภาพ 3.2.4 การส่งเสริมการบริหารจัดกา รพื้นที่ป่าในลักษณะกลุ่มป่าหรือผืนป่า ( Forest Complex ) เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศป่า โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งในและ ระหว่างประเทศ

  • 105 - 3.3 การฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมให้คืนความสมบูรณ์ด้วยการมีส่วนร่วม 3.3.1 การกําหนดพื้นที่เป้าหมายในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มีความสมบูรณ์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง 3.3.2 การส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพป่าโดยการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน 3.3.3 การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการฟื้นฟูป่าอย่างยั่งยืน แผนงานสําคัญ แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก 1 . แผนงานแก้ไขปัญหาแนวเขต ที่ดินของรัฐ และให้ควา ม ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ - การพิสูจน์สิทธิ ใน ที่ดิน ตามมาตรการของ คทช. โด ย ใช้ ภาพถ่ายทางอากาศ - การปรับปรุงแผนที่แนวเขต ที่ดินของรัฐ ( One Map ) - มาตรการ ทางการเงิน กา ร คลัง และมาตรการ ทางเลือกอื่น ๆ เพื่อชดเชย เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จาก การ แก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดิน ของรัฐ - สํานักนายกรัฐมนตรี ( สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ ) - กระทรวงกลาโหม - สํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) 2. แผนงานป้องกันและแก้ไข ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ - มาตร การทาง กฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย - การกระจายอํานาจสู่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น - การใช้ทุนทางสังคมหรือ มาตรการทางสังคมในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการ บุกรุกที่ดินของรั ฐ - ระบบเทคโนโลยีและ นวัตกรรมเพื่อการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการบุกรุก ที่ดินของรัฐ - กระทรวงการคลัง - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) 3. แผนงานพิสูจน์สิทธิในที่ดิน ของรัฐเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่าง หน่วยงานของรัฐกับประชาชน - การพิสูจน์สิทธิ ในที่ดิน ตามมาตรการของ คทช. โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ - กระทรวงการคลัง - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย

  • 106 - แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - การแก้ไข ปัญหา / จัดการ เรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ของ ประชาชน (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) 4 . แผนงานอนุรักษ์ บริหาร จัดการ และฟื้นฟูพื้นที่ป่า - มาตรการทาง กฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย - การ กําหนด ชั้นคุณภาพ ลุ่มน้ํา - มาตรการ เชิง เศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างแรงจูงใจ และ กระตุ้น ให้เกิดการ มีส่วนร่วม ในการอนุรักษ์ บริหารจัดการ และฟื้นฟูพื้นที่ป่า - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)

  • 107 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด วัตถุประสงค์ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนมีความเหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน ภายใต้ขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ได้อย่าง สมดุล และ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รวมถึง ความมั่นคงของประเทศ ตามหลักการพัฒนำที่ยั่งยืน ตัวชี้วัด 1. สัดส่วนของที่ดินที่มีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน และสมรรถนะของดิ น (ลดลง ) 2. สัดส่วนของที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ (ลดลง ) 3. สัดส่วนของดินที่ได้รับการฟื้นฟูหรือพัฒนาคุณภาพเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนของพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทําการเกษตรตามแนวทางเกษตรอย่างยั่งยืน (เพิ่มขึ้น) 5. สัดส่วนของการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง (เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 3 แนวทา งการพัฒนาหลัก และ 9 แนวทางการพัฒนาย่อย ดังนี้ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนให้เกิด ประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน 1.1.1 การจําแนกประเภทและกําหนดสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งในระดับประเทศและ ระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ เหมาะสมตามศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน 1.1.2 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ โดยให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน 1.2 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชน 1.2.1 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดมูลค่า ทางเศรษฐกิจ สังคม และประโยชน์สาธารณะ 1.2.2 การส่งเสริมและสนับสนุนให้นําที่ ดินรกร้างว่างเปล่า หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งของภา ครัฐและเอกชนมาใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่า โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น 1.2.3 การบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือกลไกอื่นเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  • 108 - ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 2 การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดินให้สามารถนําไปใช้ ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การป้องกันคุณภาพดินเสื่อมโทรมและขาดความอุดมสมบูรณ์ 2.1.1 การป้องกันการเสื่อมโทรมและการชะล้างพังทลายของดิน 2.1.2 การเสริมสร้างองค์ความรู้ในการบํารุงรักษาคุณภาพดินควบคู่กับการใช้ประโยชน์ ที่ถูกต้องและเหมาะสม 2.1.3 การกําหนดมาตรการกํากับและควบคุมการใช้สารเคมีหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินที่จะ ส่งผลให้คุณภาพของดินเสื่อมโทร ม 2.1.4 การสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์คุณภาพดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยไม่ทําลาย คุณภาพดิน 2.2 การฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดินที่เสื่อมโทรมและขาดความอุดมสมบูรณ์ 2.2.1 การน้อมนําแนวทางการอนุรักษ์ดินและน้ําตามพระราชดําริมาใช้ในการฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดิน 2.2.2 การส่งเสริมการนําองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดิน ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรายสาขาอย่างเหมาะสม ตามศักยภาพ ประกอบด้วย 5 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 3.1 การเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคง ทางอาหาร 3.1.1 การกําหนดพื้นที่เกษตรกรรม (โซนนิ่งภาคเกษตร) ที่มีการวางผังและระบบโครงสร้าง พื้นฐานที่เอื้อต่อกระบวนการผลิต 3.1.2 การพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตภาคการเกษตรให้มีผลผลิต ต่อหน่วยเพิ่มมากขึ้น และใช้ต้นทุนลดลง โดยการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยี และน วัตกรรม 3.1.3 การปรับกระบวนการผลิตจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวสู่การทําเกษตรกรรมยั่งยืน สอดคล้องกับการอนุรักษ์ดินและน้ํา 3.1.4 การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพ และขยายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ทํากิน ของเกษตรกรให้มากขึ้น เพื่อเป็นฐานการผลิตภาคเกษตรที่ยั่งยืน 3.1.5 การสร้างกลไกป้องกันและแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินเกษตรกรรม เพื่อรักษา ฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน 3.1.6 การส่งเสริมการทําเกษตรสร้างมูลค่าอย่างยั่ งยืน เช่น เกษตร อัตลักษณ์พื้ นถิ่น เกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ เกษตรแปรรูป และเกษตรอัจฉริยะ เป็นต้น

  • 109 - 3.2 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชุมชนเมืองและชนบทให้มีความสามารถในการปรับตัว เพื่อรองรับความเสี่ยงและภัยพิบัติ 3.2.1 การส่งเสริม และสนับสนุนการจัดรูปแบบเมืองและชุมชนที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ของประชาชนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.2.2 การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชนบท เช่น การสร้างสวนสาธารณะ และพื้นที่ สีเขียวสาธารณะ เป็นต้น 3.2.3 การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในชุมชนเมืองและชนบ ท 3.2.4 การพัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชนเมืองและชนบทอย่างมีประสิทธิภาพ 3.2.5 การพัฒนาระบบคาดการณ์ ประเมินผลกระทบ และระบบเตือนภัยที่อาจจะเกิดขึ้น จากความเสี่ยงและภัยพิบัติ 3.2.6 การกําหนดแนวทางในการรับมือ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา รวมถึงกําหนดมาตรการให้ ความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงและภัยพิบัติ โดยการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน 3.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานอย่างสมดุลและยั่งยืน 3.3.1 การจัดทําเขตศักยภาพสําหรับพื้นที่อุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และ โครงสร้างพื้นฐานอย่างชัดเจน เพื่อใช้สําหรับการวางแผน กําหนดมาตร การควบคุมการใช้ประโยชน์และพัฒนา พื้นที่อย่างยั่งยืน โดยคํานึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม 3.3.2 การกําหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยคํานึงถึงผลกระ ทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนและ สิ่งแวดล้อม 3.4 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล แม่น้ํา และปากแม่น้ํา อย่างเหมาะสมและยั่งยืน สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ 3.4.1 การป้องกันการรุกล้ําพื้ นที่ ชายฝั่ งทะเลและปากแม่น้ํา โดยกําหนดแนวเขต หรือหมุดแนวเขตให้ชัดเจน 3.4.2 การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ําอย่างยั่งยืน ป้องกันไม่ให้เกิดการกัดเซาะและทําลายระบบนิเวศ 3.4.3 การควบคุมการก่อสร้างและรื้อถอนสิ่ งก่อสร้าง ที่ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะและทําลาย ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ํา 3.5 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ 3.5.1 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ ให้สอดคล้องกั บศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของประชาชน 3.5.2 การควบคุมและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ

  • 110 - แผนงานสําคัญ แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก 1 . แผนงานวางแผนและเพิ่ม ประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน - มาตรการทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย ผังเมือง - มาตรการ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง - มาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ และมาตรการทางเลือก อื่น ๆ เพื่อจูงใจให้ นําที่ดินมาใช้ให้ เกิดประโยชน์ อย่างมี ประสิทธิภาพ - การประเมินสิ่งแวดล้อม ระดับยุทธศาสตร์ ( SEA ) - การประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม ( EIA ) - การวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ( EHIA ) - แผนที่วางแผนการใช้ ประโยชน์ที่ดิน เช่น Agri - Map เป็นต้น - เทคโนโลยีสนับสนุนการใช้ ประโยชน์ที่ดินอย่างมี ประสิทธิภาพ - กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - กระทรวงการคลัง - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) 2. แผนงานฟื้นฟูและพัฒนา คุณภาพดิน - มาตรการกํากับและ ควบคุมการใช้สารเคมีในดิน - มาตร การเสริมสร้างองค์ ความรู้ในการบํารุงรักษา ดิน ควบคู่กับการใช้ประโยชน์ที่ ถูกต้องและเหมาะสม - มาตรการสร้างแรงจูงใจใน การอนุรักษ์คุณภาพดินและ การใช้ประโยชน์ที่ดิน - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

  • 111 - แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก 3. แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ ฐาน การผลิตภาคเกษตร - มาตรการทางกฎหมาย และ การบังคับใช้ กฎหมาย ผังเมือง เพื่อเอื้อต่อ กระบวนการผลิต และป้องกันการสูญเสียที่ดิน ในภาคเกษตรกรรม - มาตรการ เชิง เศรษฐศาสตร์ เพื่ออํานวยความสะดวกใน การ เข้าถึงแหล่งเงินทุน - เทคโนโลยีสนับสนุน การใช้ประโยชน์ที่ดิน อย่างมีประสิทธิภาพ - มาตรการเสริมสร้าง องค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เพื่อเพิ่มผลิตภาพการใช้ที่ดิน - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 4 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดการชุมชนเมืองและชนบท - มาตรการ ทางกฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย ผังเมือง - มาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ เพื่อลดปัญหามลพิษ ด้านสิ่งแวดล้อม - การใช้ทุนทางสังคมหรือ มาตรการทางสังคมในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการ บุกรุกที่ดินของรัฐ - กระทรวงมหาดไท ย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ 5 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภท อุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้าง พื้นฐาน - มาตรการทางกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อม - มาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ และมาตรการทางเลือก อื่น ๆ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน ในการพัฒนาพื้นที่ - การประเมินสิ่งแวดล้อม ระดับยุทธศาสตร์ ( SEA ) - กระทรวงอุตสาหกรรม - กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา - กระทรวงคมนาคม

  • 112 - แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - การประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม ( EIA ) - การวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ( EHIA ) 6 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณพื้นที่ ชายฝั่งทะเล แม่น้ํา และปากแม่น้ํา - มาตรการทางกฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย ผังเมือง รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ - มาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ และมาตรการทางเลือกอื่น ๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา การรุกล้ํา และทําลายระบบ นิเวศ - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงคมนาคม 7 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ - มาตรการทางกฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย - มาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ และมาตรการทางเลือก อื่น ๆ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน ที่ เหมาะสมกับศักยภาพและ ความต้องการ ของพื้นที่ - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

  • 113 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการกระจายการถือครองที่ดินด้วยวิธีการที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงการจัดที่ดินทํากิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตัวชี้วัด 1. สัดส่วนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดินทํากิน (ลดลง) 2. ระดับรายได้ของผู้ได้รับกา รจัดที่ดิน (เพิ่มขึ้น) 3. ระดับความพึงพอใจของผู้ได้รับการจัดที่ดินทํากิน (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนการถือครองที่ดินของประเทศมีการกระจายตัว (เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 4 แนวทางการพัฒนาย่อย ดังนี้ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 1 การยกระดับเครื่องมือและกลไกกํากับควบคุมการกระจายการถื อ ครอง ที่ดินอย่างเป็นธรรม ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 การยกระดับเครื่องมือกระจายการถือครองที่ดิน 1.1.1 การกําหนดมาตรการหรือแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ในรูปแบบที่เหมาะสมและด้วยวิธีการที่หลากหลาย 1.1.2 การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการกระจาย การถือครองที่ดินอย่างจริงจัง 1.1.3 การขอคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์สาธารณะ 1.1.4 การป้องกันการถือครองที่ดินของคนต่างชาติ และนิติบุคคลต่างประเทศโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย 1.1.5 การเร่งรัดสํารวจรังวัดเพื่อออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนโดยชอบด้ว ย กฎหมาย 1.2 การพัฒนากลไกกํากับควบคุมการกระจายการถือครองที่ดิน 1.2.1 การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกของหน่วยงานภาครัฐที่ทําหน้าที่กํากับควบคุมการกระจาย การถือครองที่ดิน 1.2.2 การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการกํากับควบคุมการกระจาย การถือครองที่ดิน ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

  • 114 - ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 2 การจัดที่ดินทํากินให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเอง ได้โดยการมีส่วน ร่วมของทุกภาคส่วน ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ 2.1.1 การจัดหาที่ดินว่าง หรือที่ดินของรัฐที่มีการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อนํามาจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน 2.1.2 การพัฒนาและฟื้นฟูที่ดินและทรัพยากรดินเพื่อจัดให้ประชาชนมีที่ดินทํากินและที่อยู่ อาศัยสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในรู ปแบบการอนุรักษ์ดินและน้ํา โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 2.1.3 การกําหนดหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทํากินให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบ ของที่ดินแต่ละประเภท และปรับปรุงให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับ การจัดที่ดิน และติดตามตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ตรงตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เพื่อเรียกคืน ที่ดินกรณีที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย หรือนําที่ดินที่ได้รับไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 2.1.4 การส่งเสริมและพัฒนาอาชี พให้กับผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน โดยการจัดให้มีโครงสร้าง พื้นฐานที่จําเป็น สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่ม อย่างเข้มแข็งในรูปแบบสหกรณ์หรือ รูปแบบอื่นที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ 2.1.5 การพัฒนากลไกการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน โดยให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วม ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและ ประชาชนในพื้นที่ 2.1.6 การจัดทําระบบข้อมูลการจัดที่ดิน เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการจัดที่ดิน ทํากินให้ชุมชนในระดับพื้นที่ และรายงา นให้ส่วนกลางทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 2.2 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดที่ดินให้ประชาชนในลักษณะอื่น 2.2.1 การสํารวจและจัดทําฐานข้อมูลประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินเป็น ของตนเอง และฐานข้อมูลผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทุกประเภท 2.2.2 การกําหนดขนาดของที่ดินที่เหมาะสมสําหรับจัดให้กับประชาชน 2.2.3 การพัฒนาหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทํากินให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน และติดตามตรวจสอบการใ ช้ประโยชน์ที่ดินให้ตรงตาม เป้าหมายและวัตถุประสงค์ เพื่อเรียกคืนที่ดินกรณี ที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย หรือนําที่ดินที่ได้รับไป ใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 2.2.4 การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน โดยการจัดให้มี โครงสร้างพื้นฐานที่ จําเป็น สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่ม อย่างเข้มแข็งในรูปแบบ สหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ 2.2.5 การพัฒนากลไกการจัดที่ดินทํากินให้ ประชาชน โดยให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วม ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่ วนกลางและระดับพื้นที่ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและ ประชาชนในพื้นที่ 2.2.6 การจัดทําระบบข้อมูลการจัดที่ดิน เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการจัดที่ดิน ทํากินให้ ประชาชน ในระดับพื้นที่ และรายงานให้ส่วนกลางทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

  • 115 - แผนงานสําคัญ แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก 1 . แผนงานยกระดับเครื่องมือและ กลไกการกระจายการถือครองที่ดิน - มาตรการทางกฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมาย - มาตรการภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง - มาตรการ เชิง เศรษฐศาสตร์ และมาตรการทางเลือกอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิด การกระจายการถือครอง ที่ดินอย่างเป็นธรรม - กระทรวงการคลัง - กระทรวงมหาดไทย - สํานักนายกรัฐมนตรี ( สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ / สถาบันบริหารจัดการ ธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ) 2. แผนงานจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้ กรรมสิทธิ์ภายใต้กลไกของ คทช. - การจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ในลักษณะแปลงรวม โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ ตามมติ ครม. 22 ธันวาคม 2558 - ส่งเสริม การรวมกลุ่มใน รูปแบบสหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม - ระบบ กํากับติดตาม ผลการจัดที่ดินทํากิน ให้ชุมชน - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) 3 . แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพ และมาตรฐานการจัดที่ดินทํากิน ให้ประชาชน ตามภารกิจของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ระบบ และกลไกการจัดที่ดิน ทํากิน ตามภารกิจ ของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - ส่งเสริม การรวมกลุ่ม ในรูปแบบสหกรณ์หรือ รูปแบบอื่นที่เหมาะสม - ระบบ กํากับติดตาม ผลการจัดที่ดินทํากิน ให้ประชาชน - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - หน่วยงานอื่นที่มีภารกิจ ด้านการจัดที่ดินทํากินให้ประชาชน

  • 116 - วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เอื้อต่อการกําหนดทิศทาง และกํากับ ดูแลการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดความเป็นเอกภาพ ตัวชี้วัด 1. มีระบบฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 2. มีการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน 3. มีการพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลือก เพื่อสนับสนุน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 4. มีการพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 5. มีการส่งเสริมการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 3 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 6 แนวทางการพัฒนาย่อย ดังนี้ ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 1 การพัฒนากลไกการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้มี ประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 การพัฒนากลไกเชิงสถาบันและบุคลากร 1.1.1 การพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินไปสู่การปฏิบัติ 1.1.2 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินไปสู่การปฏิบัติ 1.2 การพัฒนากลไกการมีส่วนร่วม 1.2.1 การเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกัน ระหว่างคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน 1.2. 2 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินภายในประเทศ ร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 1.2. 3 การส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของภาคีทุกภาคส่วนภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง 1.2. 4 การเสริมสร้างแล ะยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน ประเด็นนโยบายด้านที่ 4 การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ

  • 117 - ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 2 การพัฒนาเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินแล ะ ทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุม ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การพัฒนานโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 2.1.1 การพัฒนาประสิทธิภาพของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศทั้งในระยะยาว และระยะปานกลาง ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปใน ทิศทางเดียวกัน รวมถึงใ ห้ เกิดความเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.1.2 การพัฒนาหลักเกณฑ์และดัชนีชี้วัดด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 2.2 การพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 2.2.1 การเร่งรัดพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 2.2.2 การพัฒนา ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน รวมทั้งผลักดันให้มีผลบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2.3 การใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลือก เพื่อ สนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม 2.2. 4 การส่งเสริมการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ⚫ แนวทางการพัฒนาหลักที่ 3 การพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ประกอบด้วย 2 แนวทางการพัฒนาย่อย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 3.1 การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม 3.1.1 การส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับที่ดินและทรัพยากรดิน โดยมีแผนงาน ด้าน การวิจัยที่เป็นระบบ 3.1.2 การส่งเสริมการนําองค์ความรู้และการศึกษาวิจัยมาใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไปสู่การปฏิบัติ 3.2 การเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรม 3.2.1 การพัฒนาระบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ทั้ง ในประเทศและระหว่างประเทศ 3.2.2 การส่งเสริมการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อผลักดัน ผลงานการวิจัยไปสู่การปฏิบัติ

  • 118 - แผนงานสําคัญ แผนงาน เครื่องมือ เชิงนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบหลัก 1 . แผนงานพัฒนากลไก เชิงสถาบันและการมีส่วนร่วมใน การบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดิน - การทบทวนภารกิจของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลด ปัญหา ความซ้ําซ้อน - สร้างและพัฒนา เครือข่าย ความร่วมมือและเทคโนโลยี การมีส่วนร่วม - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) 2. แผนงานพัฒนาเครื่องมือ ในการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน - แผนปฏิบัติการระยะ ปานกลาง (แผน ระยะ 5 ปี) - เกณฑ์และดัชนีชี้วัด ด้านการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน - การพัฒนาระบบ ห้องปฏิบัติการนโยบายด้าน ที่ดินและทรัพยากรดินของ ประเทศ ( National Land Policy Lab ) - การประเมินผลสิ่งแวดล้อม ระดับยุทธศาสตร์ ( SEA ) - ระบบหรือสารสนเทศสําหรับ ขับเคลื่อน ติดตาม และ ประเมินผลนโยบาย - ระบบข้อมูล และ สารสนเทศ ที่ดินและทรัพยากรดินของ ประเทศ - การปรับปรุงและพัฒนา กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง - การพัฒนามาตรการทาง เศรษฐศาสตร์ มาตรการ ทาง สังคม และ มาตรการทางเลือก อื่น ๆ - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 3. แผนงานพัฒนาและเผยแพร่ องค์ความรู้และนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน - ระบบฐานข้อมูลวิจัย ด้านที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ - การพัฒนารูปแบบ ช่องทาง เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ องค์ความรู้ - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ และกรมประชาสัมพันธ์ ) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

  • 119 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 1 : การสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสงวนหวงห้ามและบริหารจัดการที่ดินของรัฐในภาพรวม และมุ่งเน้นการอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟูพื้นที่ป่า ธรรมชาติ และป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ ของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์และรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ เพื่อเป็นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นไปตาม เป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ตัวชี้วัด 1. จํานวนพื้นที่ที่มีการจัดทําเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐตามหลักเกณฑ์ One Map แล้วเสร็จ 2. ที่ดินของรัฐถูกบุกรุก (ลดลง) 3. ความสําเร็จของการพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนของพื้นที่ป่าต่อพื้นที่ประเทศ (เพิ่มขึ้น) 5. ระดับความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่า (คงเดิม/เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การแก้ปัญหาความทับซ้อน เกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐ 2. การป้องกันและแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินของรัฐ 3. การอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟู พื้นที่ป่า เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม แนวทางการพัฒนาย่อย 1.1 การแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ 1.1.1 การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดิน ของรัฐให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 1.1.2 การพัฒนาระบบบริหารจัดการ และดูแลรักษาแนวเขตที่ ดินของรัฐด้วยระบบที่มี ประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย 2.1 การป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2.1.1 การเร่งรัดออกหนังสือสําคัญสําหรับ ที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2 . 1 . 2 การเพิ่มประสิทธิภาพระบบ การดูแลรักษาและบริหารจัดการที่ดินของรัฐ 2 . 1 . 3 การกําหนดมาตรการป้องกั น การบุกรุก ที่ดินของรัฐทั้งในภาพรวม เชิงประเด็น และ เชิงพื้ นที่อย่างสอดคล้องกัน 2.1.4 การเสริมอํานาจขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและประชาชนในการป้องกันการบุกรุก ที่ดินของรัฐ 3.1 การอนุรักษ์ สงวน หวงห้าม และคุ้มครอง พื้นที่ป่าเพื่อความสมดุลของระบบนิเวศ 3 . 1 . 1 การนํานโยบายกําหนดชั้นคุณภาพ ลุ่มน้ํามาใช้เป็นเครื่องมือจัดกา ร ทรัพยากร ธรรมชาติในพื้นที่ป่า 3.1.2 การประกาศพื้นที่ต้นน้ําลําธารให้เป็น พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ตามกฎหมาย เพื่อรักษา ความสมดุลทางธรรมชาติ และความหลากหลาย ทางชีวภาพ

  • 120 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การแก้ปัญหาความทับซ้อน เกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐ 2. การป้องกันและแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินของรัฐ 3. การอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟู พื้นที่ป่า เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 1.2 การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก การกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ 1 . 2 . 1 การพิสูจน์สิทธิเพื่ออํานวย ความเป็นธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก การกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ 1.2.2 มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบจากการกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ 2.2 การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 2 . 2 . 1 การดําเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ ภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง บนพื้นฐานของความเป็นธรรม 2.2.2 การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยไม่ออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน แก่ผู้บุกรุก 2.2.3 การดําเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 2.2.4 การกําหนดมาต รการแก้ไขปัญหาการ บุกรุกที่ดินของรัฐ ทั้งในภาพรวม เชิงประเด็น และ เชิงพื้นที่อย่างสอดคล้องกัน 2.2.5 การเสริมอํานาจขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมแก้ไข ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ 3.2 การดูแลรักษาและบริหารจัดการพื้นที่ป่า ให้คงสภา พในการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ 3 . 2 . 1 การจําแนกพื้นที่ป่าเพื่อการบริหาร จัดการในภาพรวมและระดับพื้นที่ ควบคู่กับการ กําหนดแนวทางการบริหารจัดการและใช้ ประโยชน์ที่ดินป่าในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม 3 . 2 . 2 การป้องกันและแก้ไขการบุกรุก พื้นที่ป่าและการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนแ ละท้องถิ่น 3.2.3 การนําแนวเขตที่ดินของรัฐที่ปรับปรุง แล้วเสร็จไปใช้บริหารจัดการแนวเขตที่ดินป่า ทุกประเภทให้เกิด ความชัดเจนและมีเอกภาพ 3.2.4 การส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่ ป่าในลักษณะกลุ่มป่าหรือผืนป่า ( Forest Complex ) เพื่อรักษาความสมดุลของระบบ นิเวศป่า โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งใน และระหว่างประเทศ

  • 121 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การแก้ปัญหาความทับซ้อน เกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐ 2. การป้องกันและแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินของรัฐ 3. การอนุรักษ์ ดูแลรักษา และฟื้นฟู พื้นที่ป่า เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 2.3 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างหน่วยงาน ของรัฐกับประชาชนเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ 2.3.1 การพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหา ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน 2 . 3 . 2 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่าง หน่วยงานของรัฐกับประชาชนเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ ด้วยมาตรการหรือแนวทางอื่นที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหาในแต่ละพื้นที่ 3.3 การฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมให้คืน ความสมบูรณ์ด้วยการมีส่วนร่วม 3 . 3 . 1 การกําหนดพื้นที่เป้าหมายใน การฟื้นฟูพื้นที่ป่า ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มี ความสมบูรณ์อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง 3.3.2 การส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพป่า โดยการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 3.3.3 การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง ประเทศในการฟื้นฟูป่าอย่างยั่งยืน แผนงานสําคัญ - แผนงานแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐและ ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ - แผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดิน ของรัฐ - แผนงานพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐเพื่อแก้ไข ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน - แผนงานอนุรักษ์ บริหารจัดการ และฟื้นฟู พื้นที่ป่ำ หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - สํานักนายกรัฐมนตรี ( สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ) - กระทรวงกลาโหม - สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) - กระทรวงการคลัง - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย ( องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น )

  • 122 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 2 : การใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด วัตถุประสงค์ เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐและเอกชนมีความเหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน ภายใต้ขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ ได้อย่าง สมดุล และ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ความมั่นคงของประเทศ ตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวชี้วัด 1. สัดส่วนของที่ดินที่มีการใช้ประโยชน์ไม่เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน และสมรรถนะของดิน (ลดลง) 2. สัดส่วนของที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ (ลดลง) 3. สัดส่วนของที่ดินที่ได้รับการฟื้นฟูหรือพัฒนาคุณภาพเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนของพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทําการเกษตรตามแนวทางเกษตรอย่างยั่งยืน (เพิ่มขึ้น) 5. สัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง (เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนาหลัก 1 . การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดิน ให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน รายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แนวทางการพัฒนาย่อย 1 . 1 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน 1.1.1 การจําแนกประเภทและกําหนด สัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งในระดับประเทศ และระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ เหมาะสมตาม ศักยภาพของที่ดินและสมรรถนะของดิน 1.1.2 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและ การบังคับใช้ฏําหมายผังเมือง รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในทุก ระดับ โดยให้ความสําคัญกับการมี ส่วนร่วมของประชาชน 2.1 การป้องกันคุณภาพดินเสื่อมโทรมและ ขาดความอุดมสมบูรณ์ 2.1.1 การป้องกันการเสื่อมโทรมและ การชะล้างพังทลายของดิน 2.1.2 การเสริมสร้างองค์ความรู้ใน การบํารุงรักษาคุณภาพดินควบคู่กับการใช้ ประโยชน์ที่ถูกต้องและเหมาะสม 2.1.3 การกําหนดมาตรการกํากับและ ควบคุมการใช้สารเคมีหรือการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่จะส่งผลให้คุณภาพของดินเสื่อมโทรม 2.1.4 การสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ คุณภาพดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยไม่ทําลาย คุณภาพดิน 3 . 1 การเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิต ภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อสร้าง ความมั่นคงทางอาหาร 3 . 1 . 1 การกําหนดพื้นที่เกษตรกรรม (โซนนิ่ง ภาคเกษตร) ที่มีการวางผังและระบบโครงสร้าง พื้นฐานที่เอื้อต่อกระบวนการผลิต 3.1.2 การพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ใน การเพิ่มผลิตภาพการผลิตภาคการเกษตรให้มี ผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มมากขึ้น และใช้ต้นทุนลดลง โดยการใช้องค์ความรู้ เทคโนโล ยี และนวัตกรรม 3.1.3 การปรับกระบวนการผลิตจาก การปลูกพืชเชิงเดี่ยวสู่การทําเกษตรกรรมยั่งยืน สอดคล้องกับการอนุรักษ์ดินและน้ํา 3.1.4 การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมที่มี ศักยภาพ และขยายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ทํากิน

  • 123 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1 . การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดิน ให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน รายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) ของเกษตรกรให้มากขึ้น เพื่อเป็นฐานการผลิต ภาคเกษตรที่ยั่งยืน 3.1.5 การสร้างกลไกป้องกันและแก้ไขปัญหา การสูญเสียสิทธิในที่ดินเกษตรกรรม เพื่อรักษา ฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน 3 . 1 . 6 การส่งเสริมการทําเกษตรสร้างมูลค่า อย่างยั่งยืน เช่น เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น เกษตร ปลอดภัย เกษตรชีวภาพ เกษตรแปรรูป และเกษตรอัจฉริยะ เป็นต้น 1 . 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชน 1.2.1 การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดมูลค่า ทางเศรษฐกิจ สังคม และประโยชน์สาธารณะ 1.2.2 การส่งเสริมและสนับสนุนให้นําที่ดิน รกร้างว่างเปล่า หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งของภาครัฐและเอกชนมาใช้ประโยชน์และเพิ่ม มูลค่า โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่น 1 .2. 3 การบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูก สร้างหรือกลไกอื่นเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ ที่ดินของเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. 2 การฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดิน ที่เสื่อมโทรมและขาดความอุดมสมบูรณ์ 2 . 2 . 1 การน้อมนําแนวทางการอนุรักษ์ดิน และน้ําตามพระราชดําริมาใช้ใน การฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดิน 2.2.2 การส่งเสริมการนําองค์ความรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพดิน 3.2 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชุมชนเมือง และชนบทให้มีความสามารถในการปรับตัว เพื่อรองรับความเสี่ยงและภัยพิบัติ 3.2.1 การส่งเสริม และสนับสนุน การจัดรูปแบบเมืองและชุมชนที่เอื้อต่อคุณภาพ ชีวิตของประชาชนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.2.2 การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง และชนบท เช่น การสร้างสวนสาธารณะ และพื้นที่ สีเขียวสาธารณะ เป็นต้น 3.2.3 การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในชุมชนเมืองและชนบท 3.2. 4 การพัฒนาระบบการจัดการ สิ่งแวดล้อมในชุมชนเมืองและชนบทอย่างมี ประสิทธิภาพ

  • 124 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1 . การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดิน ให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน รายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 3.2.5 การพัฒนาระบบคาดการณ์ ประเมินผลกระทบ และระบบเตือนภัยที่อาจจะ เกิดขึ้นจากความ เสี่ยงและภัยพิบัติ 3.2.6 การกําหนดแนวทางในการรับมือ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา รวมถึงกําหนดมาตรการ ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจาก ความเสี่ยงและภัยพิบัติ โดยการบูรณาการร่วมกัน ของทุกภาคส่วน 3.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเภทอุ ตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานอย่างสมดุลและยั่งยืน 3.3.1 การจัดทําเขตศักยภาพสําหรับพื้นที่ อุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานอย่างชัดเจน เพื่อใช้สําหรับ การวางแผน กําหนดมาตรการควบคุมการใช้ ประโยชน์และพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยคํานึงถึง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม 3.3.2 การกําหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับทิศทางการพัฒนา ประเทศ โด ยคํานึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ ชุมชนและสิ่งแวดล้อม

  • 125 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1 . การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดิน ให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน รายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 3.4 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล แม่น้ํา และปากแม่น้ํา อย่างเหมาะสมและยั่งยืน สอดคล้องกับศักยภาพ ของพื้นที่ 3.4.1 การป้องกันการรุกล้ําพื้นที่ชายฝั่งทะเล และปากแม่น้ํา โดยกําหนดแนวเขตหรือหมุด แนวเขตให้ชัดเจน 3.4.2 การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ําอย่างยั่งยืน ป้องกันไม่ให้เกิดการกัดเซาะและทําลายระบบ นิเวศ 3.4.3 การควบคุมการก่อสร้างและรื้อถอน สิ่งก่อสร้าง ที่ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะและทําลาย ระบบนิเวศชายฝั่งทะ เลและปากแม่น้ํา 3.5 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ 3.5.1 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ ที่ดินในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน 3.5.2 การควบคุมและป้องกันผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ

  • 126 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1 . การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน ของรัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. การปรับปรุง ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพดิน ให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน รายสาขาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ แผนงานสําคัญ - แผนงานวางแผนและเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์ที่ดิน - แผนงานฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพดิน - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิต ภาคเกษตร - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชุมชน เมืองและชนบท - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ ที่ดินบริเวณพื้นที่ ชายฝั่งทะเล แม่น้ํา และปากแม่น้ํา - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ ที่ดินในพื้นที่เฉพาะและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - กระทรวงมหาดไทย ( กรมโยธาธิการและผังเมือง และ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น) - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - กระทรวงการคลัง - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) - กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ - กระทรวงอุตสาหกรรม - กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา - กระทรวงคมนาคม - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก - กรุงเทพมหานคร

  • 127 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 3 : การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการกระจายการถือครองที่ดินด้วยวิธีการที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงการจัดที่ดินทํากิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้ รับการจัดที่ดินให้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตัวชี้วัด 1. สัดส่วนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดินทํากิน (ลดลง) 2. ระดับรายได้ของผู้ ได้รับการจัดที่ดิน (เพิ่มขึ้น) 3. ระดับความพึงพอใจของผู้ได้รับการจัดที่ดินทํากิน (เพิ่มขึ้น) 4. สัดส่วนการถือครองที่ดินของประเทศมีการกระจายตัว (เพิ่มขึ้น) แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การยกระดับเครื่องมือและกลไกกํากับควบคุม การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม 2. การจัดที่ดินทํากินให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แนวทางการพัฒนาย่อย 1.1 การยกระดับเครื่องมือกระจายการถือครองที่ดิน 1.1.1 การกําหนดมาตรการหรือแนวทางการกระจายการถือครองที่ดิน อย่างเป็นธรรมในรูปแบบที่เหมาะสมและด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางสังคม เป็ นต้น 1 . 1 . 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง 1.1.3 การขอคืนพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ สาธารณะ 1.1.4 การป้องกันการถือครองที่ดินของคนต่างชาติ และนิติบุคคล ต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 1 . 1 . 5 การเร่งรัดสํารวจรังวัดเพื่อออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กับ ประชาชนโดยชอ บด้วยกฎหมาย 2 . 1 การจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ 2 . 1 . 1 การจัดหาที่ดินว่าง หรือที่ดินของรัฐที่มีการครอบครองโดยมิชอบ ด้วยกฎหมายหรือมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อนํามาจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ โด ยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 2 . 1 . 2 การพัฒนาและฟื้นฟูที่ดินและทรัพยากรดินเพื่อจัดให้ประชาชน มีที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ในรูปแบบการอนุรักษ์ดินและน้ํา โดยการมีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วน 2 . 1 . 3 การกําหนดหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทํากินให้สอดคล้องกับกฎหมาย และระเบียบของที่ดินแต่ละประเภท และปรับปรุงให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน และติดตามตรวจสอบ การใช้ประโยชน์ที่ดินให้ตรงตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เพื่อเรียกคืนที่ดิ น กรณีที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย หรือนําที่ดินที่ได้รับไปใช้ไม่ตรงตาม วัตถุประสงค์

  • 128 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การยกระดับเครื่องมือและกลไกกํากับควบคุม การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม 2. การจัดที่ดินทํากินให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 2 . 1 . 4 การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน โดยการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่ มอย่างเข้มแข็งในรูปแบบสหกรณ์หรือรูปแบบ อื่นที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ 2 . 1 . 5 การพัฒนากลไกการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนโดยให้ความสําคัญกับ การมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและป ระชาชนในพื้นที่ 2 . 1 . 6 การจัดทําระบบข้อมูลการจัดที่ดิน เพื่อใช้ในการติดตามและ ประเมินผลการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในระดับพื้นที่ และรายงานให้ส่วนกลาง ทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 1.2 การพัฒนากลไกกํากับควบคุมการกระจายการถือครองที่ดิน 1 . 2 . 1 การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกของหน่วยงานภาครัฐที่ทําหน้าที่กํากับ ควบคุมการกระจายการถือครองที่ดิน 1.2. 2 การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนใน การกํากับควบคุมการกระจายการถือครองที่ดิน 2 . 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดที่ดินให้ประชาชนในลักษณะอื่น 2 . 2 . 1 การสํารวจและจัดทําฐานข้อมูลประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและ ที่ดินทํากินเป็นของตนเอง และฐานข้อมูลผู้ ที่ได้รับการจัดที่ดินทุกประเภท 2 . 2 . 2 การกําหนดขนาดของที่ดินที่เหมาะสมสําหรับจัดให้กับประชาชน 2 . 2 . 3 การพัฒนาหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทํากินให้มีความชัดเจนและเป็น มาตรฐานเดียวกัน รวมถึงตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน และติดตามตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ตรงตามเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ เพื่อเรียกคืนที่ดินกรณีที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย หรือ นําที่ดินที่ได้รับไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 2 . 2 . 4 การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน โดยการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน และส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็งในรูปแบบสหกรณ์หรือรูปแบบอื่น ที่ เหมาะสม เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้

  • 129 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การยกระดับเครื่องมือและกลไกกํากับควบคุม การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม 2. การจัดที่ดินทํากินให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 2 . 2 . 5 การพัฒนากลไกการจัดที่ดินทํากินให้ ประชาชน โดยให้ความสําคัญ กับการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ 2 . 2 . 6 การจัดทําระบบข้ อมูลการจัดที่ดิน เพื่อใช้ในการติดตามและ ประเมินผลการจัดที่ดินทํากินให้ ประชาชน ในระดับพื้นที่ และรายงานให้ ส่วนกลางทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง แผนงานสําคัญ - แผนงานยกระดับเครื่องมือและกลไก การ กระจายการถือครองที่ดิน - แผนงานจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ ภายใต้กลไกของ คทช. - แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานการจัดที่ดินทํากินให้ประชาชน ตามภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - กระทรวงการคลัง - กระทรวงมหาดไทย - สํานักนายกรัฐมนตรี (ส ํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ / สถาบันบริหาร จัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ) - กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - กระทรวงมหาดไทย - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ) - หน่วยงาน อื่น ที่มีภารกิจด้านการจัดที่ดินทํากินให้ประชาชน

  • 130 - ประเด็นนโยบายด้านที่ 4 : การบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินให้เอื้อต่อการกําหนดทิศทางและกํากับดูแลการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ดินให้เกิด ความเป็นเอกภาพ ตัวชี้วัด 1. มีระบบฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 2. มีการพัฒนาศักยภาพขอ งหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน 3. มีการพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลือก เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 4. มีการพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดิน 5. มีการส่งเสริมการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การพัฒนากลไกการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินให้มีประสิทธิภาพ 2. การพัฒนาเครื่องมือเพื่อสนับสนุน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม 3. การพัฒนาและเผยแพร่อง ค์ ความรู้ และนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน แนวทางการพัฒนาย่อย 1 . 1 การพัฒนากลไกเชิงสถาบันและบุคลากร 1. 1 . 1 การพัฒนาศักยภาพของหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินไปสู่การปฏิบัติ 1 . 1 . 2 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแล ะแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินไปสู่การปฏิบัติ 2 . 1 การพัฒนานโยบายและแผนการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 2 . 1 . 1 การพัฒนาประสิทธิภาพของนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศทั้งในระยะยาว และระยะปานกลาง ให้มีความสอ ดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงให้เกิดความเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 . 1 . 2 การพัฒนาหลักเกณฑ์และดัชนีชี้วัด ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ 3 . 1 การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม 3 . 1 . 1 การส่งเสริมและสนับสนุน การศึกษาวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับที่ดินและ ทรัพยากรดิน โดยมีแผนงาน ด้าน การวิจัยที่เป็น ระบบ 3 . 1 . 2 การส่งเสริมการนําองค์ความรู้และ การศึกษาวิจัยมาใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศไปสู่การปฏิบัติ

  • 131 - แนวทางการพัฒนาหลัก 1. การพัฒนากลไกการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินให้มีประสิทธิภาพ 2. การพัฒนาเครื่องมือเพื่อสนับสนุน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม 3. การพัฒนาและเผยแพร่อง ค์ ความรู้ และนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน แนวทางการพัฒนาย่อย (ต่อ) 1 . 2 การพัฒนากลไกการมีส่วนร่วม 1.2.1 กรเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกัน ระหว่างคณะกรรมการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน 1 . 2 . 2 การสร้างและพัฒนาเครือข่ายเพื่อ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิ น ภายในประเทศร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 1 . 2 . 3 การส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการ มีส่วนร่วมในการบริหารจัด การที่ดินและทรัพยากร ดินของภาคีทุกภาคส่วนภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง 1 . 2 . 4 การเสริมสร้างและยกระดับ ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน 2 . 2 การพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 2 . 2 . 1 การเร่งรัดพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ 2 . 2 . 2 การพัฒนา ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน รวมทั้งผลักดันให้ มีผลบังคับใช้ อย่างมีประสิทธิภาพ 2 . 2 . 3 การใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลือก เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม 2 . 2 . 4 การส่งเสริมการนําเทคโนโลยี และ นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใ ช้ในการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 3 . 2 การเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรม 3 . 2 . 1 การพัฒนาระบบการถ่ายทอด องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินทั้งในประเทศและระหว่าง ประเทศ 3 . 2 . 2 การส่งเสริมการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อผลักดันผลงานการวิจัยไปสู่การปฏิบัติ แผนงานสําคัญ - แผนงานพัฒนากลไกเชิงสถาบัน และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดิน - แผนงานพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน - แผนงานพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรรมด้านการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน หน่วยงานรับผิดชอบหลัก - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) - สํานักนายกรัฐมนตรี (สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม - สํานักนายกรัฐมนตรี ( สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และกรมประชาสัมพันธ์ ) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

  • 132 - ส่วนที่ 6 การขับเคลื่อนและการติดตามและประเมินผล นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ( พ.ศ. 2566 - 2580 ) การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ให้เกิดผลสําเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ เป็นกระบวนการสําคัญที่จะสะท้อนถึงความสําเร็จของนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินฯ โดยจะต้องผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนํานโยบายแล ะแผนฯ ไปใช้เป็น กรอบในการกําหนดแนวทางการดําเนินงานหรือจัดทําแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ตอบสนองต่อเป้าประสงค์ของนโยบายและแผนฯ นอกจากนี้ ต้องมีการ พัฒนาระบบการบริหารจัดการและกลไก ใน การดําเนินงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ งจะต้องสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมให้หน่วยงานที่ เกี่ ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนของหน่วยงานราชการ ทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา นักวิชาการ ภาคเอกช น ภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ในการบูรณาการการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยพัฒนาเครื่องมือและกลไกการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เ กิด ประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ของประเทศ ตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับท้องถิ่น รวมถึงเสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อม ความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมีข้ อเสนอกลไกในการขับเคลื่อนและการแปลงแผน ไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งกลไกในการติดตามและประเมินผล ดังนี้ 6.1 แนวทางการขับเคลื่อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ นับเป็นขั้นตอนสําคัญที่จะผลักดันให้เกิดการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์และแนวทาง การปฏิบัติที่บรรจุไว้ในแผนฯ ดังนั้น เพื่อให้นโยบายและแผนฯ เกิดผลในทางปฏิบัติ บ รรลุวัตถุประสงค์ และ เป้าหมายที่กําหนดไว้ จึงจําเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนและการผลักดันจากทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการบูรณาการ ในทุกระดับ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สื่อและองค์กรต่าง ๆ ตลอดจนภาคประชาชน รวมทั้งเพื่อให้ การจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเท ศมีเป้าหมายการทํางานไปในทิศทางเดียวกัน แนวทางการขับเคลื่อน นโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไปสู่การปฏิบัติ จะประสบผลสําเร็จได้ต้องมี การดําเนินการ ดังนี้ 1) การผลักดันให้นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เป็นส่วนขยายภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ ชาติ และแผนการปฏิรูป ป ระเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านสังคม

  • 133 - รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 65 บัญญัติให้รัฐจัดทํายุทธศาสตร์ ชาติ เ ป็นเป้าหมายการพัฒนาประเท ศ อย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมาย และมาตรา 258 ให้ดําเนินการ ปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ดังนั้น สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชำติ ได้ดําเนินการจัดทํา นโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปเป็นส่วนขยายของ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และด้านสังคม เพื่อให้ความสําคัญและสนับสนุนกำรขับเคลื่อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปพร้อมกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านสังคม ที่มีการถ่ายทอด ลงสู่หน่วยงานแต่ละระดับให้มีความสอดคล้องและมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน 2) การถ่ายทอดเป้าหมายและแนวนโยบายสู่แผนปฏิบัติการ (ระยะกลาง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เป็นกรอบแนวทางเป้าหมายและตัวชี้วัดในภาพรวม ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดลงสู่แผนระยะกลาง (5 ปี) ซึ่งคือ แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่ อแปลงแนวนโยบาย ไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน และถ่ายทอดเป้าหมายและ ตัวชี้วัดไปสู่การกําหนดค่าเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา โดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ต้องประสานชี้แจง ทําความเข้าใจ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงาน ทั้งภำครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภำคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ให้นําแนวนโยบายไปผนวกไว้ในแผนปฏิบัติการของหน่วยงาน ให้มีความสอดคล้องและ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 3) การสร้างความเข้าใจในบทบาทของแต่ละภาคส่วน การทําความเข้าใจแก่ภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการยอมรับและตระหนักถึงความสําคัญ ต่อ นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) และร่วม ขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยบทบาท ของ ภาคส่วนในสังคมประกอบด้วย หน่วยงานภา ค รัฐส่วนกลาง ระดับภาค และส่วนภูมิภาค องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ประชาชน ซึ่งแต่ละภาคส่วนมีบทบาทที่แตกต่างกัน ดังนั้น ต้องสร้าง กระบวนการ ถ่ายทอดและสร้างความเข้าใจให้แก่ทุกภาคส่วนได้รับรู้และเข้าใจในบทบาทของตนเอง เพื่อให้ การดําเนินงานสอดประสานซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยส่ง เสริมและสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอด นโยบายและ แผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การ ขับเคลื่อนและการ แปลงนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ไปสู่การปฏิบัติ จะดําเนินการ โดยผ่านแผนการดําเนินงานของหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ หน่วยงานจะต้องมีการจัดทําแผนการดําเนินงานเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน โดยให้ความสําคัญกับสาระของนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรั พยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ซึ่งครอบคลุมถึงกรอบแนวคิด เป้าหมาย ตัวชี้วัด กลยุทธ์ มาตรการ และ แนวทางการปฏิบัติเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในแต่ละ นโยบาย ควบคู่ไปกับการพิจารณาภารกิจ และแผนงานของหน่วยงานนั้น ๆ รวมถึงสถานการณ์ปัญหาด้านการบริ หารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในพื้นที่

  • 134 - ซึ่งจะทําให้หน่วยงานมีแผนงาน โครงการที่มีเป้าหมาย ตัวชี้วัดสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนโยบาย และแผนการบริหารจัดการที่ดินฯ โดยผลสําเร็จของการดําเนินงานตามแผนงาน โครงการของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในทุกระดับ จะช่วยสนั บสนุนให้นโยบายและแผนฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กําหนดไว้ ทั้งนี้ ในการสนับสนุนการดําเนินงานในกระบวนการ ขับเคลื่อนและการ แปลงนโยบายและ แผน ฯ ไปสู่การปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการการจัดทําแผนในระดับกระทรวง ระดับกรม และระดับ จังหวัด โดยจัดลําดับความสําคัญของปัญหาการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินในระดับประเทศ และใน ระดับพื้นที่ เพื่อจัดทําฐานข้อมูลรายพื้นที่/จังหวัดที่มีปัญหา พร้อมทั้งเ สนอแนะแนวทางการแก้ไขในลําดับต่อไป นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนกระบวนการแปลงนโยบายและแผนฯ จะต้องเผยแพร่สร้างการ รับรู้ และทําความเข้าใจต่อสาระของนโยบายและแผนฯ ให้ภาคประชาชนได้รับรู้ เข้าใจ และเห็นถึงความสําคัญใน การดําเนินงานเช่นกัน โดยภาคประชา ชนสามารถนําเอากรอบแนวคิด กลยุทธ์ มาตรการและแนวทางการปฏิบัติ ในนโยบายและแผนฯ ดังกล่าวไปใช้เป็นกรอบในการดําเนินโครงการ หรือการทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ แผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของชุมชนได้ รูปที่ 6 – 1 การแปลงนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ ดินและทรัพยากรดินของประเทศ

  • 135 - รูปที่ 6 - 2 การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรดินโดยการบูรณาการ ตามอํานาจหน้าที่และภารกิจของ คทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6.2 กลไกการขับเคลื่ อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) 6.2.1 ระดับนโยบาย 1) คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) : พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ พ.ศ 2562 ตามมาตรา 10 กําหนดให้ คทช. มีหน้าที่และอํานาจกํากับดูแลการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินโดยทั่วไป รวมทั้ง ให้ มีหน้าที่ และอํานาจ ดังต่อไปนี้ (1) กําหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เ พื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี (2) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกําหนดมาตรการในการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (3) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับ สภาพที่ ดินและศักยภาพที่ดิน (4) กําหนดมาตรการหรือแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ซึ่ ง รวมถึง รูปแบบการจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ หรือรูปแบบในลักษณะอื่นตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่ คทช. กําหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด (5) กําหนดมาตรการหรือแนวทางเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเ อกชน และประชาชนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน

  • 136 - (6) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้มีการตรา แก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับ การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน รวมทั้งเสนอความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีหน้าที่และ อํานาจของคณะกรรมการตามกฎหมายอื่ นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินซ้ําซ้อนหรือขัดแย้งกัน (7) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกําหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ (8) ติดตาม ประสานงาน สนับสนุน หรือเร่งรัดการดําเนินงานของคณะกรรมการ ตา ม กฎหมายอื่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีการดําเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิ นของประเทศ เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (9) ประสานงานและจัดให้มี รวมถึงการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศของที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ รวบรว ม จัดเก็บ วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (10) จัดทํารายงานผลการดําเนินงานและการประเมินผลการปฏิบัติงานของ คทช. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอรัฐสภาเพื่อทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และให้เผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย (11) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้ และกฎหมายอื่นกําหนดให้เป็นหน้าที่ และอํานาจของ คทช. หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย 2) คณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ จํานวน 11 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน (2) คณะอนุกรรมการ จัดที่ดิน (3) คณะอนุกรรมการ ส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด (4) คณะอนุกรรมการ นโยบายที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด) (5) คณะอนุกรรมการ กลั่นกรองกฎหมายการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน (6) คณะอนุกรรมการ นโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดิน (7) คณะอนุกรรมการ กํากับ ติดตาม และประเมินผล (8) คณะอนุกรรมการ สารสนเทศที่ดินและทรัพยากรดิน (9) คณะอนุกรรมการ ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4 000 ( One Map ) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ (10) คณะอนุกรรมการ พิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) (1 1 ) คณะอนุกรรมการ อ่านภาพถ่ายทางอากาศ 6.2.2 ระดับหน่วยงาน 1) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีหน้าที่ - เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ - จัดทําแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณา - ขับเคลื่อนการดําเนินงานตามมาตรการและแนวทางการกระจายการถือครองที่ดิน อย่ำงเป็นธรรมและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ

  • 137 - - ติดตามประเมินผลและจัดทํารายงานการติดตามและประเมินผลการดําเนินการตาม นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินและทรัพยากรดินของประเทศและแผนปฏิบัติการ ด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เสนอต่อคณะอนุกรรมการกํากับ ติดตาม ประเมินผล เพื่อนําเสนอคณะกรรมการนดยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณา 2 ) หน่วยงานปฏิบัติ มีหน้าที่ - เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้มีผลผูกพั นคณะกรรมการตามกฎหมายอื่น และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน ที่จะต้องดําเนินการจัดทําภารกิจให้เป็นไปตามนโยบาย และแผนฯ ดังกล่าว

  • 138 - รูปที่ 6 - 3 กลไกการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ระดับนโยบาย คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หน่วยงานปฏิบัติ กระทรวง / กรม สํานักงาน คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (1) คณะอนุกรรมการ จัดหาที่ดิน (2) คณะอนุกรรมการ จัดที่ดิน (3) คณะอนุกรรมการ ส่งเสริมพัฒนาอาชีพ และการตลาด (4) คณะอนุกรรมการ นโยบายที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด) (5) คณะอนุกรรมการ กลั่นกรองกฎหมาย การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน (6) คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการ การบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน (7) คณะอนุกรรมการกํากับ ติดตาม และประเมินผล (8) คณะอนุกรรมการ สารสนเทศที่ดิน และทรัพยากรดิน (9) คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขต ที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000 ( One Map ) และแก้ไข ปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ (10) คณะอนุกรรมการพิสูจน์ สิทธิในที่ดินของรัฐ จังหวัด (คพร.จังหวัด) (11) คณะอนุกรรมการ อ่านภาพถ่ายทางอากาศ ระดับ หน่วยงาน

  • 139 - 6. 3 การติดตามความก้าวหน้าและทบทวน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) การติดตาม ความก้าวหน้าและทบทวน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ ดินแล ะ ทรัพยากรดิน ของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) มีวัตถุประสงค์เพื่อ พิจารณาความสําเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ภายใต้กรอบการดําเนินงาน ตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อให้การดําเนินงานมีการบูรณาการร่วมกั น และเป็นไปใน กรอบทิศทางเดียวกันตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยผลการดําเนินงานจะสะท้อนให้เห็นถึง ความสําเร็จในการบรรลุ ต่อวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ และตัวชี้วัดของนโยบายและ แผน ฯ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะสามารถนํามาใช้เพื่อ ทบทวน และปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ให้ทันสมัย และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และให้การขับเคลื่อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ในแต่ละ ช่วง ระยะเวลาเกิดประสิทธิภาพ โดยผลการติดตามและประเมินผล ผลสัมฤทธิ์ จะนําเสนอต่อคณะอนุกรรมการ นโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน แ ละคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พิจารณา ตามลําดับ โดยการติดตามและประเมินผลแบ่งเป็น 3 ระยะ ตามกรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ ของแผน ระดับที่ 1 และแผนระดับที่ 2 ที่กําหนดให้มีการติดตามความก้าวหน้าทุก 5 ปี ดังนี้ 1 ) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570 ) : เป็น การติดตามประเมินความก้าวหน้าของนโยบายและ แผน ฯ ในระยะ 5 ปี ของการ ประกาศใช้ เพื่อรายงานความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรคในการดําเนินงาน และ นําเสนอต่อ คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน และคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ พิจารณาตามลําดับ รวมทั้งปรับปรุงแนวทางการดําเนินงานเพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อน นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ในระยะต่อไป 2) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2571 - 2575 ) : เป็น การติดตามประเมินความก้าวหน้าของนโยบายและ แผนฯ ในระยะ 10 ปี ของการประกาศใช้ เพื่อประมวลผลความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน รวมทั้งปรับปรุงแนวทางการดําเนินงานเพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) ในระยะต่อไป ตลอดจนให้มีการทบทวนนโยบายและแผน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2580) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนําเสนอคณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน และคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พิจารณาตามลําดับ 3) ระ ยะที่ 3 (พ.ศ. 2576 - 2580) : เป็น การประเมินความก้าวหน้าผลสัมฤทธิ์ของนโยบายและแผน ฯ ในระยะ 15 ปี ซึ่งเป็นระยะสิ้ น สุด ของการประกาศใช้ เพื่อประมวลผลการดําเนินการที่ประสบความสําเร็จ โดยนําเสนอ คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน แล ะ คณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ พิจารณาตามลําดับ นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการติดตามและประเมินผล เกิดประสิทธิภาพมากยิ่ง ขึ้น รวมทั้งสามารถ เป็นข้อมูลเพื่อสะท้อนถึงผลผลิตและผลลัพธ์ของนโยบายและแผนฯ จําเป็นต้องวางแผน การดําเนินงานให้ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินผลข้อมูล การวิเคราะห์และการประเมินผล เพื่อวิเคราะห์ ข้อมูลตัวชี้วัด ซึ่งอาจใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ( Quantitative Analysis ) การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ( Qualitative

  • 140 - Analysis ) หรือการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ ( Co mparative Analysis ) เพื่อประเมินผลตัวชี้วัดตามเกณฑ์ การประเมินที่กําหนดไว้ ให้แสดงความสําเร็จในการบรรลุถึงเป้าหมาย รวมทั้งการจัดทํารายงาน ผลการติดตาม และประเมินผลนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ เพื่อเผยแพร่ ให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนได้รับทราบ และเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทําหน้าที่ ขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลในลําดับถัดไป

  • 141 - ภาคผนวก

  • 142 - คําอธิบายตัวชี้วัด ภายใต้นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 – 2580 ) ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 1 . การสงวนหวงห้ามที่ดิน ของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความสมดุล ทางธรรมชาติ 1 . จํานวนพื้นที่ที่มีการจัดทํา เส้นแนวเขตที่ดินของรัฐ ตามหลักเกณฑ์ One Map แล้วเสร็จ 77 จังหวัด - - เส้นแนวเขตที่ดินของรัฐตาม หลักเกณฑ์ One Map หมายถึง การปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงแนวเขต ที่ดินของรัฐ จํานวน 13 ข้อ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้รับทราบเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ข้อมูลที่ต้องการ: - จํานวนพื้นที่ (จังหวัด) ที่มีการจัดทํา เส้นแนวเขตที่ดินของรัฐแล้วเสร็จ และได้รับความเห็นชอบจาก คทช. และได้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาแล้ว สูตรการคํานวณ: - หน่วยวัด: จังหวัด - สํานักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ - สํานักงานคณะกรรม การ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 143 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 2 . ที่ดินของรัฐถูกบุกรุก (ลดลง) ร้อยละ 5 ร้อยละ 7 (สะสม) ร้อยละ 10 (สะสม) ที่ดินของรัฐ หมายถึง ที่ดินอันเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินทุกประเภท เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ ที่สงวนหวงห้าม ของรัฐ ที่สาธารณประโยชน์ และที่ราชพัสดุ เป็นต้น ข้อมูลที่ต้องการ: 1 . จํานวนที่ดินของรัฐทั้งหมด (ไร่) 2 . จํานวนที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุก (ไร่) สูตรการคํานวณ: [ที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุก ปีฐาน ( ไร่) ÷ ที่ดินของรัฐทั้งหมด x 100 ] - [ที่ดิน ของรัฐที่ถูกบุกรุก ปีสิ้นสุดแผน (ไร่) ÷ ที่ดินของรัฐทั้งหมด x 100 ] หน่วยวัด : ร้อยละ - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ - หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลรักษา คุ้มครอง ป้องกันที่ดินของรัฐ 3 . ความสําเร็จของการพิสูจน์ สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับ ประชาชน (เพิ่มขึ้น) 500 ระวาง (6 , 5 00 แปลง) 550 ระวาง ( 7 , 0 00 แปลง) 600 ระวาง ( 7 , 5 00 แปลง) การพิสูจน์สิทธิเพื่อแก้ไขปัญหา ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ กับประชาชน หมายถึง การแก้ไข ปัญหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับที่ดินระหว่าง หน่วยงานของรัฐกับประชาชนให้ได้ ข้อยุติ หรือสามารถหาแนวทางคลี่คลาย ปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้ ผ่านการดําเนินการตามมาตรการของ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 144 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครอง ที่ดินของบุคคลในเ ขตที่ดินของรัฐ และ เรื่อง ขั้นตอนและวิธีการดําเนินงาน ของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่าย ทางอากาศ ข้อมูลที่ต้องการ: 1 . ผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการ พิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) ที่สามารถพิจารณาแก้ไขปัญหา จนได้ข้อยุติ หรือสามารถหาแนวทาง คลี่คลายปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้ ตามมาตรการของคณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ 2 . จํานวนผลการอ่านภาพถ่าย ทางอากาศเพื่อประกอบการพิสูจน์สิทธิ การครอบครองที่ดินของบุคคลในเขต ที่ดินของรัฐ ที่ดําเนินการโดย คณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่าย ทางอากาศที่ดําเนินการแล้วเสร็จ และส่งให้ คพร.จังหวัด นําไปใช้ ประกอบการแก้ไขปัญหาแล้ว สูตรการคํานวณ: - หน่วยวัด: ระวาง / แปลง

  • 145 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 4 . สัดส่วนของพื้นที่ป่า ต่อพื้นที่ประเทศ (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 40 ร้อยละ 45 (สะสม) ร้อยละ 50 (สะสม) พื้นที่ป่า หมายถึง พื้นที่สีเขียว ตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 18 : การเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย พื้นที่ป่าธรรมชาติ (ร้อยละ 35 ) และ พื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ (ร้อยละ 15 ) โดยไม่ได้นับรวมพื้นที่ สีเขียวในเขตเมืองและชนบท (ร้อยละ 5 ) ข้อมูลที่ต้องการ: 1 . จํานวนพื้นที่ป่าธรรมชาติ (ไร่) 2 . จํานวนพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ ประโยชน์ (ไร่) 3 . จํานวนพื้นที่ประเทศไทย ( 320 . 7 ล้านไร่) สูตรการคํานวณ: จํานวนพื้นที่ป่าธรรมชาติ (ไร่) + จํานวนพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อการใช้ ประโยชน์ (ไร่) ÷ จํานวนพื้นที่ ประเทศไทย ( ล้าน ไร่) x 100 หน่วยวัด : ร้อยละ - กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช - กรมป่าไม้ - กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง

  • 146 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 5 . ระดับความหลากหลาย ทางชีวภาพในพื้นที่ป่า (คงเดิม/เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 3 ร้อยละ 4 (สะสม) ร้อยละ 5 (สะสม) ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่า หมายถึง ความหลากหลายของพรรณพืช และความหลากหลายของสัตว์ป่าใน พื้นที่ป่า ข้อมูลที่ต้องการ: 1 . จํานวนพรรณพืชในพื้นที่ป่าของ ประเทศ (ชนิด) 2 . จํานวนพันธุ์สัตว์ในพื้นที่ป่าของ ประเทศ (ชนิด) สูตรการคํานวณ: จํานวนพรรณพืชและพันธุ์สัตว์ในพื้นที่ ป่าของประเทศ ณ ปีสิ้นสุดแผน – จํานวนพรรณพืชและพันธุ์สัตว์ในพื้นที่ ป่าของประเทศ ณ ปีฐาน x 100 หน่วยวัด : ร้อยละ - สํานักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม - กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช - กรมป่าไม้ - กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง - สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจ จากฐานชีวภาพ (องค์การ มหาชน) 2 . การใช้ที่ดินและ ทรัพยากรดินให้เกิด ประโยชน์สูงสุด 1 . สัดส่วนของที่ดินที่มีการใช้ ประโยชน์ไม่เหมาะสมกับ ศักยภาพของที่ดิน และ สมรรถนะของดิน (ลดลง) ร้อยละ 5 ร้อยละ 10 (สะสม) ร้อยละ 15 (สะสม) การใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสม หมายถึง การใช้ประโยชน์ที่ดินผิด ประเภทไม่สอดคล้องกับสมรรถนะของ ทรัพยากรดินและที่ดิน ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . เนื้อที่ของที่ดินที่มีการใช้ประโยชน์ ที่ดินผิดประเภท (ไร่) 2 . พื้นที่ประเทศไทย ( 320 . 7 ล้านไร่) - กรมพัฒนาที่ดิน - กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช - กรมป่าไม้

  • 147 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 สูตรการคํานวณ: เนื้อที่ของที่ดินที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน ผิดประเภทไม่สอดคล้องกับสมรรถนะ ของทรัพยากรดินและที่ดิน (ล้านไร่) ÷ พื้นที่ประเทศไทย ( 320.7 ล้านไร่) x 100 หน่วยวัด: ร้อยละ 2 . สัดส่วนของที่ดินที่ถูก ทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ (ลดลง) ร้อยละ 3 ร้อยละ 5 (สะสม) ร้อยละ 7 (สะสม) ที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ หมายถึง ที่ดินของรัฐและเอกชนซึ่งโดย สภาพสามารถทําประโยชน์ได้ แต่ถูก ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ทําประโยชน์ ต่อเนื่อง ทั้งนี้ตามเงื่อนไขระยะเวลา ที่กําหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ที่ดินประเภทนั้น ๆ ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . จํานวนที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ ประโยชน์ ของประเทศ ณ ปีฐาน (ไร่) 2 . จํานวนที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ ใช้ประโยชน์ของประเทศ ณ สิ้นสุดแผน (ไร่) สูตรการคํานวณ: - หน่วยวัด: ร้อยละ - กรมพัฒนาที่ดิน - กรมที่ดิน - กรมธนารักษ์ - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 148 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 3 . สัดส่วนของดินที่ได้รับ การฟื้นฟูหรือพัฒนาคุณภาพ เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 10 ร้อยละ 20 ร้อยละ 30 - ดินที่ได้รับการฟื้นฟูหรือพัฒนา คุณภาพ หมายถึง การพัฒนาที่ดินที่ไม่ เหมาะสมต่อการเกษตรให้สามารถใช้ ทําการเพาะปลูกให้เจริญเติบโต และ ให้ผลผลิตได้ตามปกติหรือปรับปรุง บํารุงดินให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะในการปลูกพืชให้เจริญเติบโต และให้ผลผลิตอย่างยั่งยืน การทํา การเกษตรติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยขาดการปรับปรุงบ ํารุงดิน เช่น การ เพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ซึ่งจะส่งผลต่อ สมบัติของดินทั้งทางกายภาพ เคมี และ ชีวภาพ ทั้งนี้ หลักการในการฟื้นฟู บํารุง หรือพัฒนาคุณภาพดิน จะมุ่งสู่ การทําให้ดินอยู่ในสภาพที่เหมาะสม สําหรับพืชที่ต้องการปลูก ช่วยให้ดินมี ความอุดมสมบูรณ์ ข้อมูลที่ต้องกำร : 1 . พื้นที่ดินที่ได้รับการจัดการและฟื้นฟู สภาพดิน ( ไร่ ) 2 . พื้นที่ เกษตรกรรม ที่อยู่นอกเขตป่า ตามกฎหมาย ซึ่งรวมพื้นที่เขตการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ( 153 ล้านไร่) - กรมพัฒนาที่ดิน

  • 149 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 สูตรการคํานวณ : พื้นที่ ที่ ได้รับการจัดการและฟื้นฟู สภาพดิน (ไร่) ÷ พื้นที่ เกษตรกรรม ทั้งประเทศ (153 ล้านไร่) x 100 หน่วยวัด : ร้อยละ 4 . สัดส่วนของพื้นที่ เกษตรกรรมที่มีการทํา การเกษตรตามแนวทาง เกษตรอย่างยั่งยืน (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 15 ร้อยละ 25 (สะสม) ร้อยละ 35 (สะสม) - พื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทําการเกษตร ตามแนวทางเกษตรอย่างยั่งยืน หมายถึง วิถีเกษตรกรรมที่ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและดํารงรักษาไว้ ซึ่งความสมดุลของระบบนิเวศ สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและ พอเพียงตามความจําเป็นพื้นฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกร และผู้บริโภค พึ่งพาตนเองได้ในทาง เศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้ออํานวยให้ เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นสามารถ พัฒนาได้อย่างเป็นอิสระ ทั้งนี้เพื่อ ความผาสุกและความอยู่รอดของมวล มนุษยชาติโดยรวม (ที่มา: คณะทํางาน วิชาการสมัชชาเกษตรกรรมทางเลือก) ประกอบด้วยรูปแบบในการทํา การเกษตร คือ ร ะบบไร่หมุนเวียน ระบบเกษตรผสมผสาน ระบบไร่นาสวน - กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร

  • 150 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 ผสม ระบบไร่นาป่าผสมหรือวนเกษตร ระบบเกษตรธรรมชาติ ระบบเกษตร ทฤษฎีใหม่ ระบบเกษตรกรรมประณีต ระบบเกษตรอินทรีย์ และระบบ เกษตรกรรมที่เป็นมากกว่าเกษตร อินทรีย์ ( Beyond Organic Farming ) - พื้นที่เกษตรกรรม หมายถึง พื้นที่เพื่ อ การเกษตรที่อยู่นอกเขตป่าตามกฎหมาย ซึ่งรวมพื้นที่เขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทํา การเกษตรตามแนวทางเกษตร อย่างยั่งยืน (ไร่) 2 . ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรม ( 153 ล้าน ไร่) สูตรการคํานวณ : พื้นที่เกษตรกรรมที่มีการทําการเกษตร ตามแนวทางเกษตรอย่างยั่งยืน (ไร่) ÷ ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรม ( 153 ล้าน ไร่) x 100 หน่วยวัด : ร้อยละ

  • 151 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 5 . สัดส่วนของการใช้ ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมาย ผังเมือง (เพิ่มขึ้น) - ร้อยละ 3 ร้อยละ 5 (สะสม) การใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมาย ผังเมือง หมายถึง การติดตามการใช้ ประโยชน์ที่ดินและการปฏิบัติตาม ผังเมืองรวมที่ได้มีการประกาศใช้ใน กฎกระทรวง ข้อมูลที่ต้องการ : - ข้อมูลการติดตามและประเมินผล การใช้ประโยชน์ที่ดินและการปฏิบัติ ตามผังเมืองรวมในภาพรวมของ ประเทศ สูตรการคํานวณ : - หน่วยวัด : ร้อยละ - กรมโยธาธิการและผังเมือง 3 . การกระจายการถือครอง ที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชน 1 . สัดส่วนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่ อาศัยหรือที่ดินทํากิน (ลดลง) ร้อยละ 30 ร้อยละ 50 (สะสม) ร้อยละ 70 (สะสม) ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . จํานวนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือที่ดินทํากินที่ได้ขึ้นทะเบียนกับรัฐ (คน/ครัวเรือน) 2 . จํานวนผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน ตามนโยบายของรัฐ (คน/ครัวเรือน) สูตรการคํานวณ : จํานวนผู้ที่ยังไม่ได้รับการจัดที่ดินทํากิน ตามนโยบายของรัฐ (คน/ครัวเรือน) ÷ จํานวนผู้ยากไ ร้ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดิน - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 152 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 ทํากินที่ได้ขึ้นทะเบียนกับรัฐ ณ ปีฐาน (คน/ครัวเรือน) x 100 หน่วยวัด : ร้อยละ 2 . ระดับรายได้ของผู้ได้รับ การจัดที่ดิน (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 3 ร้อยละ 5 (สะสม) ร้อยละ 7 (สะสม) ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชน กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการจัดที่ดิน ก่อน ได้รับการจัดที่ดิน (บาท/คน หรือ บาท/ ครัวเรือน) (คน/ครัวเรือน) 2 . ระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชน กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการจัดที่ดิน ภายหลัง ได้รับการจัดที่ดิน ณ ปีสิ้นสุด แผน (บาท/คน หรือ บาท/ครัวเรือน) สูตรการคํานวณ : - หน่วยวัด : ร้อยละ - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ 3 . ระดับความพึงพอใจ ของผู้ได้รับการจัดที่ดินทํากิ น (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 3 ร้อยละ 4 (สะสม) ร้อยละ 5 (สะสม) ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . ระดับความพึงพอใจเฉลี่ยของผู้ได้รับ การจัดที่ดินทํากิน ณ ปีฐาน (ร้อยละ) 2 . ระดับความพึงพอใจเฉลี่ยของผู้ได้รับ การจัดที่ดินทํากิน ณ ปีสิ้นสุดแผน (ร้อยละ) ทั้งนี้ ความพึงพอใจเกิดจากการ วัด ความสุขชุมชนมวลรวมของประชาชน - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 153 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาอาชีพและ การส่งเสริมกระบวนการสหกรณ์ ด้านความมั่นคงในที่ดินทํากิน ด้านการใช้ชีวิต ตามหลักเศรษฐกิจ พอเพียง ด้านรายได้และคุณภาพชีวิต รวมถึง ด้าน สภาพแวดล้อมของชุมชน สูตรการคํานวณ : - หน่วยวัด : ร้อยละ 4 . สัดส่วนการถือครองที่ดิน ของประเทศมีการกระจายตัว (เพิ่มขึ้น) ร้อยละ 1 ร้อยละ 3 (สะสม) ร้อยละ 5 (สะสม) ข้อมูลที่ต้องการ : 1 . สัดส่วนการกระจายการถือครอง ที่ดินของประเทศ ณ ปีฐาน (ร้อยละ) 2 . สัดส่วนการกระจายการถือครอง ที่ดินของประเทศ ณ ปีสิ้นสุดแผน (ร้อยละ) สูตรการคํานวณ : - หน่วยวัด : ร้อยละ - กรมที่ดิน - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ 4 . การบูรณาการและ เสริมสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินอย่างมี เอกภาพ 1 . มีระบบฐานข้อมูลที่ดิน และทรัพยากรดินที่ทันสมัย และเป็นมาตรฐานเดียวกัน 5 ฐานข้อมูล 10 ฐานข้อมูล (สะสม) 15 ฐานข้อมูล (สะสม) ข้อมูลที่ต้องการ : การพัฒนาและปรับปรุงระบบ ฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินให้มี ความทันสมัยและเป็นมาตรฐาน เดียวกันสําหรับใช้ในการกําหนด - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 154 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 นโยบายและการปฏิบัติงานของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดําเนินการแล้วเสร็จ หน่วยวัด : ฐานข้อมูล 2 . มีการพัฒนาศักยภาพของ หน่วยงานและองค์กรที่ เกี่ยวข้องกับที่ดินและ ทรัพยากรดิน มี มี มี ข้อมูลที่ต้องการ : การจัดให้มีระบบ กระบวนการ กลไก องค์ความรู้ หรือกิจกรรมในการพัฒนา ศักยภาพของหน่วยงานและองค์กรที่ เกี่ยวข้องกับที่ดินและทรัพยากรดิน หน่วยวัด : มีระบบ/กระบวนการ/ กลไก/องค์ความรู้/กิจกรรม - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ 3 . มีการพัฒนาเครื่องมือทาง เศรษฐศาสตร์ มาตรการทาง สังคม และมาตรการทางเลือก เพื่อสนับสนุนการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 1 เครื่องมือ/ มาตรการ 1 เครื่องมือ/ มาตรการ 1 มาตรการ/ เครื่องมือ ข้อมูลที่ต้องการ : การพัฒนาให้มีเครื่องมือทาง เศรษฐศาสตร์ มาตรการทางสังคม และมาตรการทางเลือกเพื่อสนับสนุน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ดิน (ในลักษณะที่จะส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญต่อการ บริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน) ห น่วยวัด : เครื่องมือ/มาตรกา ร - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ 4 . มีการพัฒนาปรับปรุง กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน 10 ฉบับ 10 ฉบับ 10 ฉบับ การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน หมายถึง การตรา แก้ไข ปรับปรุง หรือ - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • 155 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 ยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนและ ดําเนินนโยบาย กฎหมายที่เกี่ย วข้องกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน หมายถึง กฎหมายลําดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดิน อาทิ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และ ระเบียบ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีที่ เกี่ยวข้องด้วย ข้อมูลที่ต้องการ : การพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดิน และ ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลที่ดินและ ทรัพยากรดินให้มีความทันสมัยและเป็น มาตรฐานเดียวกันสําหรับใช้ในการ กําหนดนโยบายและการปฏิบัติงาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดําเนินการ แล้วเสร็จ หน่วยวัด : ฉบับ

  • 156 - ประเด็นนโยบาย ตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย คําอธิบายตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล 66 - 70 71 - 75 76 - 80 5 . มีการส่งเสริมการนํา เทคโนโลยีนวัตกรรมที่มี ประสิทธิภาพมาใช้ใน การบริหารจัดการที่ดินและ ทรัพยากรดิน มี มี มี ข้อมูลที่ต้องการ : การส่งเสริมให้มีการนําเทคโนโลยี นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาใช้ใน การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน หน่วยวัด : มีการนําเทคโนโลยีและ นวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดิน - สํานักงานคณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ

  • ช - บรรณานุกรม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2564. รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ การกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2562 . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม . กรมทรัพยากรน้ํา. 2563. ปริมาณการใช้น้ําทั้งประเทศ พ.ศ. 2562/ 2563 . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม. กรมที่ดิน. 2559. การจัดการที่ดินของรัฐ . กระทรวงมหาดไทย. กรมที่ดิน. 2564. สถิติปริมาณข้อมูลเอกสารสิทธิทั่วประเทศ ปี 2563 . กระทรวงมหาดไทย . กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. 2564. ข้อมูลสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2559 . กระทรวงมหาดไทย กรมป่าไม้ . 2562 . ข้อมูลสถิติกรมป่าไม้ . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม . กรมพัฒนาที่ดิน. 2555. ยุทธศาสตร์กรมพัฒนาที่ดินในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) . กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน. 2557. รายงานการสํารวจดินที่มีปัญหาของประเทศไทย . กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน. 2564. สถานการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินในประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2561 . กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ . กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. 2563. สถิติพื้นที่ไฟป่าทั้งประเทศ . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม . กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร. 2557. แผนแม่บทการพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ . กรุงเทพมหานคร : กองสนับสนุนวิทยาลัยการทัพบก. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. 2559. ร่าง รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2559. กรุงเทพมหานคร : สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยำกร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ . 2564. รายงานจัดทําประเด็นยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ (พ.ศ. 2566 - 2570) . สํานักนายกรัฐมนตรี . สํานักงานคณะกรรมการป้อง กัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ. 2559. การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดิน ของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 ( One Map ). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สํานักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ. สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี. 2559. แผนพัฒนา เศรษฐกิ จและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 . - ข -

  • ซ - บรรณานุกรม (ต่อ) สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2558. รายงานสถานการณ์คุณภาพ สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2558. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับพิเคชั่น จํากัด. สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม . 2560. แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2560 – 256 5 . กรุงเทพมหานคร : สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชา ติและสิ่งแวดล้อม. สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2558. แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 – 2593 . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน. 2563 . ข้อมูลพลังงาน . กระทรวงพลังงาน. สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน. 2559. สถิติพลังงาน . สืบค้นจากเว็บไซต์ : http :// km . eppo . go . th / (15 สิงหาคม 2559). สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน. 2559. ข้อมูลพลังงาน . สืบค้นจากเว็บไชต์ : http :// www . eppo . go . th / info / index - statistics . html (15 สิงหาคม 2559). สํานักงานสถิติแห่งชาติ. 2562. ข้อมูลสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน . สํานักนายกรัฐมนตรี . สํานักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สํานักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ.2560. รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. สํานักงาน เศรษฐกิจการเกษตร. 2562. ลักษณะการถือครองที่ดินทางการเกษตร จําแนกเป็นรายภาค พ.ศ. 2562 . กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. อํานาจ ชิดไธสง และอัศมน ลิ่มสกุล. 2557. สรุปสาระสําคัญ รายงานการสังเคราะห์และประเมินความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ครั้งที่ 5 ภายใต้ IPPC . กรุงเทพมหานคร: สถาบันธรรมรัฐ เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม. เออวดี เปรมัยเฐียร. 2556. ผลกระทบของพืชพลังงานต่อการจัดสรรปัจจัย การผลิตในภาคเกษตร . กรุงเทพมหานคร. : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ข - 1

สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานชั่วคราว สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ 428 อาคารอารีย์ ฮิลส์ ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0 2265 5491 โทรสาร 0 2265 5400 https://www.onlb.go.th/ E - mail : p olicy@onlb.go.th Facebook Fanpage : สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ