Tue Aug 08 2023 00:00:00 GMT+0000 (Coordinated Universal Time)

ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 เรื่อง แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันภัย (เล่มที่ 3)


ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 เรื่อง แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันภัย (เล่มที่ 3)

ประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 เรื่อง แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันภัย อาศัยอำนาจตามมาตรา 7 (3) และมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 ที่กำหนดให้สภาวิชาชีพบัญชีมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดและปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดทาบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายอื่น ทั้งนี้ มาตรฐาน การบัญชีนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมกา รกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงจะใช้บังคับได้ สภาวิชาชีพบัญชี โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกากับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี ในการประชุมครั้งที่ 72 (2/2566) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566 จึงออกประกาศไว้ ดัง ต่อไปนี้ ข้อ 1 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 2 ให้ยกเลิกประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 50/2565 เรื่อง แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันภัย ข้อ 3 ให้ใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูล สำหรับธุรกิจประกันภัย ตามที่กาหนดท้ายประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 25 6 6 วรวิทย์ เจนธนากุล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ้ หนา 21 (เล่มที่ 3) ่ เลม 140 ตอนพิเศษ 188 ง ราชกิจจานุเบกษา 8 สิงหาคม 2566

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ก แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย คํานํา แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้จัดทําขึ้นโดยใช้หลักการตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เรื่อง การเปิดเผย ข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน เว้นแต่ เรื่องการจัดประเภทและการวัดมูลค่า และการด้อยค่าของตราสารทุน และสัญญาแบบผสม ( ดูตารางสรุปความแตกต่างสําหรับแนวปฏิบัติทางการบัญชีและมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน และเหตุผลของความแตกต่าง ) โดยเป็นการอ้างอิงหลักการเทียบเคียงหลักการ เดียวกันกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือ ทางการเงิน ประวัติการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ใช้อ้างอิงเฉพาะสําหรับประเทศไทยเท่านั้น ) ฉบับแก้ไข เพิ่มเติมปี การแก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับปีก่อนหน้า การแก้ไขเพิ่มเติมเนื่องมาจาก 2566 โดยแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 8.16 และ ค 4 และ เพิ่มย่อหน้าที่ 8.37 การเปิดเผยข้อมูลนโยบายการบัญชี 2565 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 7.1.7 7.2.26 และ ข 3.3.6 ก และแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ ข 3.3.6 และแก้ไข เพิ่มเติมย่อหน้าที่ 7.2.1 7.2.3 7.2.4 ถึง 7.2.6 7.2.12 ถึง 7.2.13 7.2.19 และ 8.35 ฏ  การปรับปรุงมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศ ประจําปี 2561-2563 และ  กำ ร ตั ด กำ ร ป ฏิ บั ติ ใ น ช่ ว ง เปลี่ยนผ่านที่เป็นทางเลือก สําหรับประเทศไทยออก 2564 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 5.4.5 ถึง 5.4.9 6.8.13 ส่วนที่ 6.9 ย่อหน้าที่ 7.1.6 7.2.22 ถึง 7.2.25 8.19 ซ ถึง 8.19 ญ และ 8.36 ก ถึง 8.36 ง การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ระยะที่ 2 2563 โดยแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 7.2.21 และเพิ่ม ย่อหน้าที่ 6.8.1 ถึง 6.8.12 หัวข้อและหัวข้อ ย่อย และ 7.1.5 การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ข ฉบับแก้ไข เพิ่มเติมปี การแก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับปีก่อนหน้า การแก้ไขเพิ่มเติมเนื่องมาจาก 2562 โดยแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 2.1 5.5.16 ข 4.3.8 ข 5.5.34 ข 5.5.46 และ 8.23 และเพิ่ม ย่อหน้าที่ 7.1.4 และปรับปรุงการอ้างอิง มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับอื่น  การชําระเงินก่อนครบกําหนด ที่ก่อให้เกิดการชดเชยติดลบ  มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า ** คํานํานี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ **

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 1 แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 2 สารบัญ จากย่อหน้าที่ บทที่ 1 วัตถุประสงค์ 1.1 2 ขอบเขต 2.1 3 การรับรู้รายการและการเลิกรับรู้รายการ 3.1.1 3.1 การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก 3.1.1 3.2 การเลิกรับรู้รายการของสินทรัพย์ทางการเงิน 3.2.1 3.3 การเลิกรับรู้รายการของหนี้สินทางการเงิน 3.3.1 4 การจัดประเภทรายการ 4.1.1 4.1 การจัดประเภทรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน 4.1.1 4.2 การจัดประเภทรายการของหนี้สินทางการเงิน 4.2.1 4.3 อนุพันธ์แฝง 4.3.1 4.4 การจัดประเภทรายการใหม่ 4.4.1 5 การวัดมูลค่า 5.1.1 5.1 การวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรก 5.1.1 5.2 การวัดมูลค่าภายหลังของสินทรัพย์ทางการเงิน 5.2.1 5.3 การวัดมูลค่าภายหลังของหนี้สินทางการเงิน 5.3.1 5.4 การวัดมูลค่าราคาทุนตัดจําหน่าย 5.4.1 5.5 การด้อยค่า 5.5.1 5.6 ผลกําไรและขาดทุน 5.6.1 6 การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.1.1 6.1 วัตถุประสงค์และขอบเขตของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.1.1 6.2 เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง 6.2.1 6.3 รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง 6.3.1 6.4 การเข้าเงื่อนไขการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.4.1 6.5 การบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข 6.5.1 6.6 การป ้ องกันความเสี่ยงของกลุ่มของรายการ 6.6.1 6.7 ทางเลือกในการเลือกกําหนดฐานะเปิดด้านเครดิตวัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 6.7.1 6.8 การยกเว้นสําหรับการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะ เป็นการชั่วคราว 6.8.1

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 3 7 วันถือปฏิบัติ และการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน 7.1.1 7.1 วันถือปฏิบัติ 7.1.1 7.2 การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน 7.2.1 8 การเปิดเผยข้อมูล 8.1 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ศัพท์บัญญัติ ภาคผนวก ข แนวปฏิบัติ ภาคผนวก ค แนวปฏิบัติ เรื่อง การเปิดเผยข้อมูล ตารางสรุปความแตกต่างสําหรับแนวปฏิบัติทางการบัญชีและมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินและเหตุผลของความแตกต่าง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 4 บทนํา เหตุผลในการออกแนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผย ข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย เนื่องจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย อนุญาตให้ผู้รับประกันภัยที่ใช้การยกเว้นการถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศ ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน สามารถถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และให้ใช้ข้อกําหนดของมาตรฐาน การรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 9 ที่จําเป็นในการเปิดเผยข้อมูล และถือปฏิบัติตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศฉบับอื่นๆ ที่เหมาะสมกับเครื่องมือทางการเงินของ กิจการสําหรับรอบระยะเวลารายงานก่อนวันที่มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2566 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย ย่อหน้าที่ 20 ก อนุญาตแต่ ไม่ได้กําหนดให้กิจการผู้รับประกันภัยซึ่งเข้าเงื่อนไขตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 20 ข มีทางเลือกใน การยกเว้นการถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ ในปี 2563 เป็นการชั่วคราว และหากผู้รับประกันภัยใช้ทางเลือกดังกล่าวจะสามารถถือปฏิบัติตาม มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และต้อง ใช้ข้อกําหนดของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 ที่จําเป็นในการเปิดเผยข้อมูล และถือปฏิบัติตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับอื่นๆ ที่เหมาะสมกับเครื่องมือทางการเงินของกิจการสําหรับ รอบระยะเวลารายงานก่อนวันที่มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ( เมื่อมี การประกาศใช้ ) มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยประกาศใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน คณะทํางานติดตามและศึกษาผลกระทบมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน เรื่อง สัญญาประกันภัย ( คณะทํางานฯ ) จึงจัดทําแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ขึ้น เพื่อถือปฏิบัติเป็นการชั่วคราวแทน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 7 เนื่องจากการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินดังกล่าวก่อนมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ( เมื่อมีการประกาศใช้ ) จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย ในประเทศไทยอย่างเป็นสาระสําคัญในประเด็นต่างๆ เช่นเดียวกับธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศ ดังนี้ ( ก ) ผู้ใช้งบการเงินอาจจะมีความยุ่งยากในการทําความเข้าใจการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชี (Accounting Mismatch) ที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนชั่วคราวซึ่งสามารถเกิดในกําไรหรือ ขาดทุน ถ้ามาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน มีผลบังคับใช้ก่อน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ( เมื่อมีการประกาศใช้ ) ( อ้างอิง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 5 Exposure draft (2013) ของมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญา ประกันภัย ย่อหน้าที่ BC10-BC16) ( ข ) บางกิจการที่มีการออกสัญญาภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย อาจจัดประเภทและวัดมูลค่าไปก่อนแล้วตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เรื่อง การเปิดเผย ข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน ก่อนที่จะประเมินผลกระทบจากมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ( เมื่อมีการประกาศใช้ ) ให้ครบถ้วน ซึ่งอาจทําให้เกิดการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชี ( อ้างอิง Exposure draft (2013) ของมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ย่อหน้าที่ BC17-BC18) ( ค ) มาตรฐานการรายงานทางการเงินที่สําคัญดังกล่าวข้างต้นมีการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาที่ ใกล้เคียงกัน ส่งผลให้เพิ่มต้นทุนและความพยายามทั้งในส่วนของผู้จัดทําและผู้ใช้งบการเงิน ( อ้างอิง Exposure draft (2013) ของมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญา ประกันภัย ย่อหน้าที่ BC19-BC21) จากข้อจํากัดและผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยในประเด็นต่างๆ ตามที่กล่าวข้างต้น แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้จึงถูกกําหนดขึ้นโดยมีข้อกําหนดบางเรื่อง กล่าวคือ การจัดประเภทรายการ และการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน การด้อยค่าของตราสารทุน และสัญญาแบบผสม อาจมี ความแตกต่างจากมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน โดยเป็น การอ้างอิงหลักการเทียบเคียงหลักการเดียวกันกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งเป็นมาตฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศที่ธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศใช้ข้อยกเว้นการถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการชั่วคราว ( ดูตารางสรุปความแตกต่างสําหรับแนวปฏิบัติทางการบัญชีและมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน และเหตุผลของความแตกต่าง )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 6 แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย บทที่ 1 วัตถุประสงค์ 1.1 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดหลักการสําหรับการรายงาน ทางการเงินสําหรับ สินทรัพย์ทางการเงิน และ หนี้สินทางการเงิน เพื่อเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ การตัดสินใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินในการประเมินถึงจํานวนเงิน จังหวะเวลา และ ความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคตของกิจการ บทที่ 2 ขอบเขต 2.1 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ต้องถือปฏิบัติกับผู้รับประกันภัยที่เข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 20 ก และ 20 ข ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย สําหรับเครื่องมือทางการเงินทุกประเภท ยกเว้นรายการต่อไปนี้ 2.1.1 ส่วนได้เสียในบริษัทย่อย บริษัทร่วม และการร่วมค้า ตามที่กําหนดในมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 10 เรื่อง งบการเงินรวม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 27 เรื่อง งบการเงินเฉพาะกิจการ หรือมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 28 เรื่อง เงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า 2.1.2 สิทธิและภาระผูกพันภายใต้สัญญาเช่าที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า อย่างไรก็ตาม 2.1.2.1 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน ( เช่น เงินลงทุนสุทธิในสัญญาเช่า เงินทุน ) และลูกหนี้ตามสัญญาเช่าดําเนินงานที่รับรู้โดยผู้ให้เช่า ให้ปฏิบัติตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในเรื่อง การเลิกรับรู้รายการและการด้อยค่า 2.1.2.2 เจ้าหนี้สัญญาเช่าที่รับรู้โดยผู้เช่า ให้ปฏิบัติตามข้อกําหนดของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในเรื่องการเลิกรับรู้รายการ ตามที่ระบุ ไว้ในย่อหน้าที่ 3.3.1 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และ 2.1.2.3 อนุพันธ์ที่แฝงในสัญญาเช่า ให้ปฏิบัติตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในเรื่องอนุพันธ์แฝง 2.1.3 สิทธิและภาระผูกพันของนายจ้างที่เกิดจากแผนสิทธิประโยชน์ของพนักงาน ที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงาน 2.1.4 เครื่องมือทางการเงินที่ออกโดยกิจการที่เป็นไปตามตามคํานิยามของตราสารทุน ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 ( ซึ่งรวมถึง สิทธิเลือกและใบสําคัญแสดงสิทธิ ) หรือรายการที่จัดเป็นตราสารทุนตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 16 ก และ 16 ข หรือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 7 ย่อหน้าที่ 16 ค และ 16 ง ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 อย่างไรก็ตาม ผู้ถือตราสารทุนดังกล่าว ต้องถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้สําหรับ เครื่องมือทางการเงินเหล่านั้น เว้นแต่จะเป็นไปตามข้อยกเว้นในย่อหน้าที่ 2.1.1 ดังกล่าวข้างต้น 2.1.5 สิทธิและภาระผูกพันที่เกิดขึ้นภายใต้ (1) สัญญาประกันภัยตามที่ระบุในมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย ที่ไม่ใช่สิทธิและภาระ ผูกพันของผู้ออกที่เกิดภายใต้สัญญาประกันภัยที่เป็นไปตามคํานิยามของสัญญา คํ้าประกันทางการเงิน หรือ (2) สัญญาที่อยู่ในขอบเขตของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 4 เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีลักษณะการร่วมรับผลประโยชน์ ตามดุลยพินิจ อย่างไรก็ตาม แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ถือปฏิบัติกับอนุพันธ์ ที่แฝงอยู่ในสัญญาซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 หากอนุพันธ์แฝงดังกล่าวด้วยตัวของอนุพันธ์เองไม่เป็นสัญญาภายใต้ ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 นอกจากนั้น ถ้าผู้ออก สัญญาคํ้าประกันทางการเงินยืนยันอย่างเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าพิจารณาสัญญา ดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัย และได้ใช้วิธีการบัญชีสําหรับสัญญาประกันภัย ผู้ออกสัญญาอาจเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้หรือมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 กับสัญญาคํ้าประกันทางการเงินดังกล่าว ( ดูย่อหน้าที่ ข 2.5 ถึง ข 2.6) ผู้ออกสัญญาอาจเลือกถือปฏิบัติได้สําหรับแต่ละ สัญญา แต่เมื่อเลือกแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ 2.1.6 สัญญาฟอร์เวิร์ดใด ๆ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ถือหุ้นที่ประสงค์จะขายหุ้น เพื่อซื้อหรือ ขายกิจการที่ถูกซื้อซึ่งนําไปสู่การรวมธุรกิจ ณ วันที่ซื้อในอนาคต ภายใต้ขอบเขต ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ โดยระยะเวลา ของสัญญาฟอร์เวิร์ดต้องไม่เกินระยะเวลาตามปกติที่สมเหตุสมผลที่จําเป็นต้อง ได้รับการอนุมัติและการทํารายการให้แล้วเสร็จ 2.1.7 ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่ไม่ใช่ข้อผูกมัดที่อธิบายในย่อหน้าที่ 2.3 อย่างไรก็ตาม ผู้ออกข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าตาม แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้กับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อซึ่งไม่ได้ถูกกําหนดเป็น อย่างอื่นภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ นอกจากนี้ ข้อผูกมัด วงเงินสินเชื่อทั้งหมดให้ปฏิบัติตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ในเรื่องการเลิกรับรู้รายการ 2.1.8 เครื่องมือทางการเงิน สัญญา และภาระผูกพันภายใต้รายการการจ่ายโดยใช้หุ้น เป็นเกณฑ์ที่ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 2 เรื่อง การจ่าย โดยใช้หุ้นเป็นเกณฑ์ ยกเว้นสัญญาภายใต้ขอบเขตของย่อหน้าที่ 2.4 ถึง 2.7 ที่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 8 2.1.9 สิทธิที่จะได้รับชําระเพื่อชดเชยรายจ่ายจากกิจการซึ่งกิจการต้องจ่ายเพื่อชําระ หนี้สินซึ่งรับรู้เป็นประมาณการหนี้สินตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น หรือ ประมาณการหนี้สินที่กิจการเคยรับรู้ในรอบระยะเวลารายงานก่อนหน้า ให้รับรู้ ประมาณการหนี้สินตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 2.1.10 สิทธิและภาระผูกพันภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้จากสัญญาที่ทํากับลูกค้า ที่เป็นเครื่องมือทางการเงินเว้นแต่มาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 กําหนดให้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ 2.2 ข้อกําหนดเกี่ยวกับการด้อยค่าของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ต้องถือปฏิบัติกับสิทธิ ซึ่งมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ระบุให้ถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทาง การบัญชีฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการรับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนจาก การด้อยค่า 2.3 ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อต่อไปนี้อยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 2.3.1 ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่กิจการเลือกกําหนดให้เป็นหนี้สินทางการเงินซึ่ง วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( ดูย่อหน้าที่ 4.2.2) กิจการที่มีวิธีปฏิบัติ ในอดีตที่ขายสินทรัพย์ที่เกิดจากข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่เกิดข้อผูกมัดแล้ว ต้องถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อทั้งหมดของกิจการที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน 2.3.2 ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่สามารถชําระสุทธิเป็นเงินสดหรือโดยการส่งมอบ หรือ ออกเครื่องมือทางการเงินอื่น ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อดังกล่าวเป็นอนุพันธ์ ผูกมัด วงเงินสินเชื่อไม่ถือว่าเป็นการชําระสุทธิเพียงแค่เพราะสินเชื่อนั้นมีการจ่ายชําระ เป็นงวด ( เช่น สินเชื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีการจ่ายชําระเป็นงวดตามความก้าวหน้า ของการก่อสร้าง ) 2.3.3 ข้อผูกมัดที่จะให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยตํ่ากว่าอัตราดอกเบี้ยตลาด ( ดูย่อหน้าที่ 4.2.1.4) 2.4 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ต้องถือปฏิบัติกับสัญญาที่จะซื้อหรือจะขายรายการที่ไม่ใช่ รายการทางการเงินซึ่งสามารถชําระสุทธิเป็นเงินสดหรือเครื่องมือทางการเงินอื่น หรือ โดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน เสมือนว่าสัญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือ ทางการเงิน ยกเว้นสัญญาซึ่งทําขึ้นและถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับหรือส่งมอบรายการ ที่ไม่ใช่รายการทางการเงินตามข้อกําหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อที่คาดการณ์ของ กิจการ อย่างไรก็ตาม แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ต้องถือปฏิบัติกับสัญญาซึ่งกิจการเลือก กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 2.5 2.5 สัญญาจะซื้อหรือสัญญาจะขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน ซึ่งสามารถชําระสุทธิ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 9 เป็นเงินสดหรือเครื่องมือทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน เสมือนหนึ่งว่าสัญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเงิน กิจการอาจเลือกกําหนดให้สัญญา ดังกล่าววัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ทั้งนี้ เมื่อกําหนดแล้วจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้ว่าสัญญานั้นจะทําขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับหรือส่งมอบรายการ ที่ไม่ใช่รายการทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อ ที่คาดการณ์ของกิจการ การเลือกกําหนดวิธีการวัดมูลค่านี้ให้กระทําได้เฉพาะเมื่อเริ่มต้น สัญญาและเพื่อเป็นการขจัดหรือลดความไม่สอดคล้องของการรับรู้รายการอย่างมีนัยสําคัญ ( บางครั้งเรียกว่า การจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี (accounting mismatch)) ซึ่งการ จับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชีจะเกิดขึ้นจากการไม่รับรู้สัญญานั้นเนื่องจากสัญญา ดังกล่าวไม่อยู่ในขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ดูย่อหน้าที่ 2.4) 2.6 สัญญาจะซื้อหรือสัญญาจะขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินสามารถชําระสุทธิเป็นเงินสด หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงินได้หลายวิธี ซึ่งรวมถึงกรณีต่อไปนี้ 2.6.1 เมื่อเงื่อนไขในสัญญายอมให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชําระสุทธิเป็นเงินสดหรือ เครื่องมือทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน 2.6.2 เมื่อไม่ได้มีการระบุวิธีชําระไว้ชัดเจนในสัญญา ว่าจะชําระสุทธิด้วยเงินสดหรือเครื่องมือ ทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน แต่กิจการมีวิธีปฏิบัติ สําหรับสัญญาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยชําระสุทธิเป็นเงินสดหรือเครื่องมือ ทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน ( ไม่ว่าจะด้วยการเข้าทํา รายการกับคู่สัญญาโดยการทําสัญญาหักกลบหรือโดยการขายสัญญาก่อนที่จะมี การใช้สิทธิตามสัญญานั้นหรือก่อนสัญญาหมดอายุ ) 2.6.3 เมื่อกิจการมีวิธีปฏิบัติสําหรับสัญญาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในการรับมอบรายการ อ้างอิงและขายรายการดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสั้นหลังการรับมอบเพื่อ วัตถุประสงค์ในการทํากําไรจากความผันผวนในระยะสั้นของราคาหรือส่วนต่างของ ผู้ค้า และ 2.6.4 เมื่อรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินเป็นสาระของสัญญาซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็น เงินสดได้ทันที สัญญาซึ่งเป็นไปตามย่อหน้าที่ 2.6.2 หรือ 2.6.3 ที่ไม่ได้จัดทําขึ้นเพื่อรับหรือส่งมอบรายการ ที่ไม่ใช่รายการทางการเงินตามข้อกําหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อที่คาดการณ์ของกิจการ อยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ให้กิจการประเมินสัญญาอื่นๆ ตามย่อหน้าที่ 2.4 เพื่อพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวจัดทําขึ้นและถือไว้เพื่อรับหรือส่งมอบรายการ ที่ไม่ใช่รายการทางการเงินตามข้อกําหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อที่คาดการณ์ของกิจการ หรือไม่ และเพื่อพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวอยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ หรือไม่ 2.7 การออกสิทธิเลือกที่จะซื้อหรือจะขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน ซึ่งสามารถชําระสุทธิเป็น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 10 เงินสดหรือเครื่องมือทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน ตามย่อหน้าที่ 2.6.1 หรือ 2.6.4 อยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ สัญญาดังกล่าว ต้องไม่เป็นสัญญาที่จัดทําขึ้นเพื่อรับหรือส่งมอบรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินตาม ข้อกําหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อที่คาดการณ์ของกิจการ บทที่ 3 การรับรู้รายการและการเลิกรับรู้รายการ 3.1 การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก 3.1.1 กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินในงบฐานะการเงินเฉพาะเมื่อ กิจการเป็นคู่สัญญาตามข้อกําหนดของสัญญาของเครื่องมือทางการเงินนั้น ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.1.1 และ ข 3.1.2) เมื่อกิจการรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินใดๆ เป็นครั้งแรก กิจการต้อง จัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวตามย่อหน้าที่ 4.1.1 ถึง 4.1.8 และวัดมูลค่า ตามย่อหน้าที่ 5.1.1 ถึง 5.1.3 เมื่อกิจการรับรู้หนี้สินทางการเงินใดๆ เป็นครั้งแรก กิจการ ต้องจัดประเภทหนี้สินทางการเงินดังกล่าวตามย่อหน้าที่ 4.2.1 และ 4.2.2 และวัดมูลค่าตาม ย่อหน้าที่ 5.1.1 การซื้อหรือการขายสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีปกติ 3.1.2 การซื้อหรือการขาย สินทรัพย์ทางการเงิน ตามวิธีปกติ ต้องรับรู้รายการหรือเลิกรับรู้รายการ โดยใช้การบัญชีวันซื้อขายหรือการบัญชีวันชําระตามความเหมาะสม ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.1.3 ถึง ข 3.1.6) 3.2 การเลิกรับรู้รายการของสินทรัพย์ทางการเงิน 3.2.1 สําหรับงบการเงินรวม ย่อหน้าที่ 3.2.2 ถึง 3.2.9 และย่อหน้าที่ ข 3.1.1 ข 3.1.2 และ ข 3.2.1 ถึง ข 3.2.17 ให้ถือปฏิบัติในระดับงบการเงินรวม ดังนั้นให้กิจการรวมบริษัทย่อยทั้งหมดให้เป็นกลุ่ม กิจการก่อนตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 10 แล้วจึงถือปฏิบัติตามย่อหน้า ดังกล่าวกับกลุ่มกิจการนั้น 3.2.2 กิจการต้องพิจารณาว่าย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 ต้องถือปฏิบัติกับบางส่วนของสินทรัพย์ ทางการเงิน ( หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) หรือสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกันทั้งจํานวน ) หรือไม่ แล้วจึงประเมินว่า การเลิกรับรู้รายการ มีความเหมาะสม ตามข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าดังกล่าวหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยมีข้อพิจารณา ดังต่อไปนี้ 3.2.2.1 ให้ถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 กับบางส่วนของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 11 ก็ต่อเมื่อส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการกําลังพิจารณาเลิกรับรู้ รายการเป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ 3.2.2.1.1 ส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวประกอบด้วยเพียงแค่ กระแสเงินสดที่ระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจงจากสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่คล้ายคลึงกัน ) เช่น เมื่อกิจการ ขายแยกส่วนอัตราดอกเบี้ย (interest rate strip) ของสินทรัพย์ ทางการเงิน ซึ่งทําให้อีกฝ่ายได้รับสิทธิในกระแสเงินสดส่วนที่เป็น ดอกเบี้ย แต่ไม่มีสิทธิในกระแสเงินสดส่วนที่เป็นเงินต้นของ ตราสารหนี้นั้น ให้กิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 สําหรับกระแสเงินสดส่วนที่เป็นดอกเบี้ย 3.2.2.1.2 ส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวประกอบด้วยเพียงแค่ ส่วนแบ่งตามสัดส่วนอย่างเต็มที่ (fully proportionate (pro rata) share) ของกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) เช่น เมื่อกิจการ ทําข้อตกลงที่ให้อีกฝ่ายได้สิทธิในส่วนแบ่งร้อยละ 90 ของ กระแสเงินสดทั้งหมดจากตราสารหนี้ ให้กิจการถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 กับร้อยละ 90 ของกระแสเงินสดนั้น หากมีคู่สัญญาหลายฝ่าย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายไม่จําเป็นต้องมี ส่วนแบ่งตามสัดส่วนของกระแสเงินสด ถ้ากิจการผู้โอนมีสิทธิใน ส่วนแบ่งตามสัดส่วนอย่างเต็มที่ 3.2.2.1.3 ส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวประกอบด้วยเพียงแค่ ส่วนแบ่งตามสัดส่วนอย่างเต็มที่ ของกระแสเงินสดที่ระบุไว้อย่าง เฉพาะเจาะจงจากสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) ตัวอย่างเช่น เมื่อกิจการ ทําข้อตกลงที่ให้อีกฝ่ายได้สิทธิในส่วนแบ่งร้อยละ 90 ของ กระแสเงินสดส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ทางการเงิน ให้กิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 กับร้อยละ 90 ของกระแสเงินสดส่วนที่เป็นดอกเบี้ยดังกล่าว หากมีคู่สัญญา หลายฝ่าย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายไม่จําเป็นต้องมีส่วนแบ่งตามสัดส่วน ของกระแสเงินสดที่ระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจง ถ้ากิจการผู้โอน มีสิทธิในส่วนแบ่งตามสัดส่วนอย่างเต็มที่ 3.2.2.2 ในกรณีอื่นทั้งหมดให้กิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 กับสินทรัพย์ ทางการเงินทั้งจํานวน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึง กันทั้งจํานวน ) เช่น เมื่อกิจการโอน (1) สิทธิในร้อยละ 90 แรกสุดหรือหลังสุด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 12 ของเงินสดที่ได้รับจากสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงิน ) หรือ (2) สิทธิในร้อยละ 90 ของกระแสเงินสดจากกลุ่มลูกหนี้ แต่กิจการให้ การคํ้าประกันเพื่อชดเชยผลขาดทุนด้านเครดิตให้แก่ผู้ซื้อไม่เกินร้อยละ 8 ของ จํานวนเงินต้นของลูกหนี้ ให้กิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.9 กับ สินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกันทั้งจํานวน ) ในย่อหน้าที่ 3.2.3 ถึง 3.2.12 คําว่า “ สินทรัพย์ทางการเงิน ” หมายถึง บางส่วนของ สินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.2.1 หรือหมายถึงสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน ( หรือกลุ่มของ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งจํานวน ) 3.2.3 กิจการต้องเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงิน เฉพาะเมื่อ 3.2.3.1 สิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงินหมดอายุ หรือ 3.2.3.2 กิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงินตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.4 และ 3.2.5 และ การโอนนั้นเข้าเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการตามย่อหน้าที่ 3.2.6 ( ดูย่อหน้าที่ 3.1.2 สําหรับการขายสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีปกติ ) 3.2.4 กิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ 3.2.4.1 กิจการโอนสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงินนั้น หรือ 3.2.4.2 กิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ ทางการเงิน แต่รับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะจ่ายกระแสเงินสดนั้นให้กับผู้รับ รายใดรายหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งรายตามข้อตกลงที่เป็นไปตามเงื่อนไขใน ย่อหน้าที่ 3.2.5 3.2.5 เมื่อกิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงิน (“ สินทรัพย์เดิม ”) แต่รับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะจ่ายกระแสเงินสดนั้นให้กับกิจการใด กิจการหนึ่งหรือหลายกิจการ (“ ผู้รับคนสุดท้าย ”) ให้กิจการถือว่ารายการดังกล่าวเป็น การโอนสินทรัพย์ทางการเงิน ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสามข้อดังต่อไปนี้ 3.2.5.1 กิจการไม่มีภาระผูกพันที่จะจ่ายเงินจํานวนหนึ่งให้กับผู้รับคนสุดท้าย หากกิจการไม่ได้รับชําระเงินจํานวนเดียวกันจากสินทรัพย์เดิม เงินล่วงหน้า ระยะสั้นที่กิจการให้ไปโดยที่กิจการมีสิทธิที่จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจํานวน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับตามอัตราดอกเบี้ยตลาด ไม่ถือเป็นการผิดเงื่อนไขนี้ 3.2.5.2 กิจการมีเงื่อนไขตามสัญญาที่ห้ามมิให้กิจการขายสินทรัพย์เดิมหรือ วางสินทรัพย์เดิมเป็นหลักประกัน นอกจากใช้เป็นหลักประกันสําหรับภาระ ผูกพันที่จะจ่ายกระแสเงินสดให้แก่ผู้รับคนสุดท้าย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 13 3.2.5.3 กิจการมีภาระผูกพันที่จะส่งมอบกระแสเงินสดใดๆ ที่กิจการรับชําระแทนผู้รับ คนสุดท้ายโดยไม่ล่าช้าอย่างมีสาระสําคัญ นอกจากนั้นกิจการไม่มีสิทธิที่จะ นํากระแสเงินสดดังกล่าวไปลงทุนใหม่ เว้นแต่เป็นเงินลงทุนในเงินสดหรือ รายการเทียบเท่าเงินสด ( ตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 7 เรื่อง งบกระแสเงินสด ) ในช่วงระยะเวลาชําระสั้นๆ จากวันที่รับชําระถึงวันที่ กําหนดให้ส่งมอบกระแสเงินสดให้ผู้รับคนสุดท้าย และดอกเบี้ยที่เกิดจาก การลงทุนนั้นให้ส่งผ่านไปยังผู้รับคนสุดท้ายด้วย 3.2.6 เมื่อกิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.4) กิจการต้องประเมินว่ากิจการ ยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์ทางการเงินไว้ มากน้อยเพียงใด 3.2.6.1 หากกิจการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมด ของสินทรัพย์ทางการเงิน กิจการต้องเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินนั้น และรับรู้สิทธิและภาระผูกพันใดๆ ที่เกิดขึ้นหรือที่ยังคงไว้จากการโอนเป็น สินทรัพย์หรือหนี้สินแยกจากกัน 3.2.6.2 หากกิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของ เกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินนั้น ต่อไป 3.2.6.3 หากกิจการไม่ได้โอนหรือไม่ได้คงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความ เป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน กิจการต้องพิจารณาว่า กิจการยังคงมีการควบคุมสินทรัพย์ทางการเงินนั้นอยู่หรือไม่ 3.2.6.3.1 หากกิจการไม่คงไว้ซึ่งการควบคุม กิจการต้องเลิกรับรู้รายการ สินทรัพย์ทางการเงินนั้น และรับรู้สิทธิและภาระผูกพันใดๆ ที่เกิดขึ้น หรือที่ยังคงไว้จากการโอนเป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินแยกจากกัน 3.2.6.3.2 หากกิจการยังคงไว้ซึ่งการควบคุม กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ ทางการเงินนั้นต่อไปตราบเท่าที่กิจการยังคงมีความเกี่ยวข้องที่ คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินนั้น ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.16) 3.2.7 การประเมินการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทน ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.6) ให้เปรียบเทียบฐานะเปิด ของกิจการทั้งก่อนและหลังการโอนกับความผันผวนของจํานวนเงินและจังหวะเวลาของ กระแสเงินสดสุทธิของสินทรัพย์ที่โอน กิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็น เจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน หากฐานะเปิดต่อความผันผวนในมูลค่าปัจจุบัน ของกระแสเงินสดสุทธิในอนาคตจากสินทรัพย์ทางการเงินนั้นไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ อันเป็นผลมาจากการโอน ( เช่น เนื่องจากกิจการขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยมีข้อตกลง ที่จะซื้อคืนในราคาที่คงที่ หรือราคาขายบวกผลตอบแทนของผู้ให้กู้ยืม ) กิจการโอนความเสี่ยงและ ผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว หากฐานะเปิดต่อ ความผันผวนดังกล่าวไม่มีนัยสําคัญอีกต่อไปเมื่อเปรียบเทียบกับความผันผวนทั้งหมดในมูลค่า

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 14 ปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิในอนาคตที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงิน ( เช่น เนื่องจากกิจการ ขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยมีสิทธิเลือกที่จะซื้อคืนด้วย มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ซื้อคืน หรือกิจการ โอนส่วนแบ่งตามสัดส่วนอย่างเต็มที่ ของกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่กว่า ในข้อตกลงแล้ว เช่น การโอนขายต่อเงินให้กู้ยืม ( loan sub-participation ) ซึ่งเข้าเงื่อนไขตามที่ระบุ ในย่อหน้าที่ 3.2.5) 3.2.8 บ่อยครั้งที่เป็นที่ชัดเจนว่ากิจการโอนหรือยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็น เจ้าของเกือบทั้งหมดจึงไม่มีความจําเป็นต้องทําการคํานวณใดๆ ในกรณีอื่น กิจการจําเป็นต้อง คํานวณและเปรียบเทียบฐานะเปิดต่อความผันผวนในมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ ในอนาคตของกิจการทั้งก่อนและหลังการโอน ให้กิจการใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดปัจจุบัน ที่เหมาะสมเป็นอัตราคิดลดในการคํานวณและการเปรียบเทียบดังกล่าว ให้กิจการพิจารณาความ ผันผวนในกระแสเงินสดสุทธิที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผลทั้งหมดโดยให้นํ้าหนักมากกับผลลัพธ์ที่มี โอกาสเกิดขึ้นสูง 3.2.9 การพิจารณาว่ากิจการยังคงไว้ซึ่งการควบคุม ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.6.3) สินทรัพย์ที่โอนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้รับโอนในการขายสินทรัพย์นั้น หากผู้รับโอนมีความสามารถ ในทางปฏิบัติที่จะขายสินทรัพย์นั้นทั้งจํานวนให้กับบุคคลที่สามซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และ สามารถทําได้เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จําเป็นต้องกําหนดข้อจํากัดเพิ่มเติมในการโอน ให้ถือว่า กิจการไม่คงไว้ซึ่งการควบคุม ในกรณีอื่นทั้งหมดให้ถือว่ากิจการยังคงไว้ซึ่งการควบคุม การโอนที่เป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ 3.2.10 หากกิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งการโอนนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ สินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน และกิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการให้บริการสินทรัพย์ทางการเงิน โดยได้รับค่าธรรมเนียม กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์หรือหนี้สินที่เกิดจากการให้บริการสําหรับ สัญญาบริการนั้น หากกิจการคาดว่าค่าธรรมเนียมที่จะได้รับชดเชยไม่เพียงพอสําหรับ การให้บริการของกิจการ กิจการต้องรับรู้หนี้สินที่เกิดจากการให้บริการสําหรับภาระผูกพัน การให้บริการด้วยมูลค่ายุติธรรม หากกิจการคาดว่าค่าธรรมเนียมที่จะได้รับมากกว่าที่จะ ชดเชยการให้บริการ กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ที่เกิดจากการให้บริการสําหรับสิทธิในการ ให้บริการด้วยจํานวนเงินที่กําหนดจากการปันส่วนมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่ใหญ่กว่า ตามข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.13 3.2.11 ในกรณีที่การโอนทําให้กิจการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน แต่กิจการ ได้รับสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ หรือรับหนี้สินทางการเงินใหม่หรือหนี้สินที่เกิดจากการ ให้บริการ กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินใหม่ หนี้สินทางการเงินใหม่ หรือหนี้สินที่เกิด จากการให้บริการดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรม 3.2.12 ในการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่า ต่อไปนี้ในกําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 15 3.2.12.1 มูลค่าตามบัญชี ( วัดมูลค่า ณ วันที่เลิกรับรู้รายการ ) และ 3.2.12.2 สิ่งตอบแทนที่ได้รับ ( รวมถึงสินทรัพย์ใหม่ใดๆ ที่ได้มาหักด้วยหนี้สินใหม่ใดๆ ที่รับมา ) 3.2.13 หากสินทรัพย์ที่โอนเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่กว่า ( เช่น เมื่อกิจการโอน กระแสเงินสดส่วนที่เป็นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตราสารหนี้ ดูย่อหน้าที่ 3.2.2.1) และ ส่วนที่โอนนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการทั้งจํานวน มูลค่าตามบัญชีเดิมของ สินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่กว่าต้องปันส่วนระหว่างส่วนที่ยังคงรับรู้ต่อไป และส่วนที่เลิกรับรู้ รายการโดยใช้เกณฑ์มูลค่ายุติธรรมเปรียบเทียบของส่วนต่างๆ ดังกล่าว ณ วันที่โอน เพื่อ วัตถุประสงค์นี้ กิจการต้องถือว่าสินทรัพย์ที่เกิดจากการให้บริการที่ยังคงอยู่ เป็นส่วนที่รับรู้ ต่อไป กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าต่อไปนี้ในกําไรหรือขาดทุน 3.2.13.1 มูลค่าตามบัญชี ( วัดมูลค่า ณ วันที่เลิกรับรู้รายการ ) ที่ปันส่วนให้กับส่วนที่เลิก รับรู้รายการและ 3.2.13.2 สิ่งตอบแทนที่ได้รับสําหรับส่วนที่เลิกรับรู้รายการ ( รวมถึงสินทรัพย์ใหม่ใดๆ ที่ ได้มาหักด้วยหนี้สินใหม่ใดๆ ที่รับมา ) 3.2.14 เมื่อกิจการปันส่วนมูลค่าตามบัญชีก่อนหน้าของสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่กว่า ให้กับส่วนที่รับรู้ ต่อไป และส่วนที่เลิกรับรู้รายการให้กิจการวัดมูลค่ายุติธรรมของส่วนที่รับรู้ต่อไป ในกรณีที่ กิจการ เคยขายรายการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับส่วนที่รับรู้ต่อไปหรือในกรณีที่มีรายการซื้อขาย อื่นสําหรับรายการดังกล่าว ให้กิจการใช้ราคาล่าสุดของธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริงเป็นประมาณการ ที่ดีที่สุดของมูลค่ายุติธรรม ในกรณีที่ไม่มีราคาซื้อขายหรือไม่มีรายการซื้อขายล่าสุดที่จะ สนับสนุนมูลค่ายุติธรรมของส่วนที่รับรู้ต่อไป ให้กิจการใช้ผลต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมของ สินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่กว่าโดยรวม และสิ่งตอบแทนที่ได้รับจากผู้รับโอนสําหรับส่วนที่ เลิกรับรู้รายการเป็นประมาณการที่ดีที่สุดของมูลค่ายุติธรรม การโอนที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ 3.2.15 หากการโอนไม่ทําให้เกิดการเลิกรับรู้รายการ เนื่องจากกิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและ ผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ที่โอน กิจการต้องรับรู้รายการ สินทรัพย์ที่โอนทั้งจํานวนต่อไป และต้องรับรู้หนี้สินทางการเงินสําหรับสิ่งตอบแทนที่ได้รับ และในรอบระยะเวลารายงานหลังจากนั้น กิจการต้องรับรู้รายได้ใดๆ จากสินทรัพย์ที่โอน และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากหนี้สินทางการเงินดังกล่าว ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ที่โอน 3.2.16 หากกิจการไม่ได้โอนหรือไม่ได้คงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของ เกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ที่โอน และยังคงไว้ซึ่งการควบคุมสินทรัพย์ที่โอน กิจการยังคง รับรู้สินทรัพย์ที่โอนต่อไปตามขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ ขอบเขตของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 16 ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการในสินทรัพย์ที่โอน คือ ขอบเขตของที่กิจการมีฐานะเปิดต่อ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของสินทรัพย์ที่โอน เช่น 3.2.16.1 เมื่อความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการอยู่ในรูปของการคํ้าประกันของสินทรัพย์ ที่โอน ขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ คือ จํานวนเงินที่ตํ่ากว่า ระหว่าง (1) จํานวนเงินของสินทรัพย์ และ (2) จํานวนเงินสูงสุดของสิ่งตอบ แทนที่ได้รับซึ่งกิจการอาจถูกเรียกให้ชําระคืน ( จํานวนเงินที่คํ้าประกัน ) 3.2.16.2 เมื่อความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการอยู่ในรูปของสิทธิเลือกที่กิจการออก หรือสิทธิ เลือกที่กิจการซื้อ ( หรือทั้งสองอย่าง ) บนสินทรัพย์ที่โอน ขอบเขตของความ เกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ คือ จํานวนเงินของสินทรัพย์ที่โอนซึ่งกิจการอาจซื้อ คืน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของสิทธิเลือกขายสินทรัพย์ที่กิจการออกซึ่งวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรม ขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการจะจํากัดเพียง จํานวนเงินที่ตํ่ากว่าระหว่างมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่โอน และราคาใช้สิทธิ เลือก ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.2.13) 3.2.16.3 เมื่อความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการอยู่ในรูปของสิทธิเลือกที่ชําระด้วยเงินสด หรือข้อกําหนดที่คล้ายคลึงกันของสินทรัพย์ที่โอน ขอบเขตของความเกี่ยวข้อง ที่คงอยู่ของกิจการ จะวัดมูลค่าด้วยวิธีเดียวกันอันเป็นผลมาจากสิทธิเลือกที่ ไม่ได้ชําระด้วยเงินสด ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 3.2.16.2 ข้างต้น 3.2.17 เมื่อกิจการยังคงรับรู้สินทรัพย์ต่อไปตามขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ให้กิจการรับรู้ หนี้สินที่เกี่ยวข้องด้วย แม้ว่าจะมีข้อกําหนดในการวัดมูลค่าอื่นๆ ในแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ สินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่เกี่ยวข้องจะวัดมูลค่าตามเกณฑ์ที่สะท้อนถึงสิทธิและ ภาระผูกพันที่กิจการยังคงไว้ หนี้สินที่เกี่ยวข้องจะวัดมูลค่าด้วยวิธีที่ทําให้มูลค่าตามบัญชี สุทธิของสินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่เกี่ยวข้อง คือ 3.2.17.1 ราคาทุนตัดจําหน่ายของสิทธิและภาระผูกพันที่กิจการยังคงไว้ หากสินทรัพย์ ที่โอนนั้นวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย หรือ 3.2.17.2 มูลค่าที่เท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสิทธิและภาระผูกพันที่กิจการยังคงไว้ เมื่อมีการวัดมูลค่าแบบแยกเป็นเอกเทศ หากสินทรัพย์ที่โอนนั้นวัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรม 3.2.18 กิจการต้องรับรู้รายได้ใดๆ ที่เกิดขึ้นจากสินทรัพย์ที่โอนตามขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่ คงอยู่ของกิจการ และต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากหนี้สินที่เกี่ยวข้อง 3.2.19 เพื่อวัตถุประสงค์ในการวัดมูลค่าภายหลัง การรับรู้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ สินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่เกี่ยวข้อง ให้ถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.6.1 อย่างสมํ่าเสมอในแต่ละข้อกําหนด โดยต้องไม่หักกลบ 3.2.20 หากขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ทาง การเงิน ( เช่น เมื่อกิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิเลือกที่จะซื้อคืนสินทรัพย์ที่โอนบางส่วน หรือยัง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 17 คงไว้ซึ่งส่วนได้เสียคงเหลือที่ไม่ส่งผลให้กิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของ ความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดและกิจการยังคงไว้ซึ่งการควบคุม ) ให้กิจการปันส่วนมูลค่า ตามบัญชีก่อนหน้านี้ของสินทรัพย์ทางการเงินระหว่างส่วนที่กิจการยังคงรับรู้ต่อไปภายใต้ ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่และส่วนที่กิจการไม่รับรู้อีกต่อไปโดยใช้เกณฑ์ของมูลค่ายุติธรรม เปรียบเทียบของส่วนต่างๆ เหล่านั้น ณ วันที่โอน เพื่อวัตถุประสงค์นี้ให้กิจการถือปฏิบัติตาม ข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.14 กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าต่อไปนี้ในกําไร หรือขาดทุน 3.2.20.1 มูลค่าตามบัญชี ( วัดมูลค่า ณ วันที่เลิกรับรู้รายการ ) ที่ปันส่วนให้กับส่วนที่ไม่ รับรู้อีกต่อไป และ 3.2.20.2 สิ่งตอบแทนที่ได้รับสําหรับส่วนที่ไม่รับรู้อีกต่อไป 3.2.21 หากสินทรัพย์ที่โอนวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย หนี้สินที่เกี่ยวข้องไม่สามารถใช้ทางเลือก ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ที่อนุญาตให้กิจการเลือกกําหนดหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่า ด้วยด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน การโอนทุกประเภท 3.2.22 ถ้าสินทรัพย์ที่โอนยังคงรับรู้ต่อไป สินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องต้องไม่หักกลบ ในทํานอง เดียวกันกิจการต้องไม่หักกลบรายได้ใดๆ ที่เกิดขึ้นจากสินทรัพย์ที่โอนกับค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากหนี้สินที่เกี่ยวข้อง ( ดูย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32) 3.2.23 หากผู้โอนมอบหลักประกันที่ไม่ใช่เงินสด ( เช่น ตราสารหนี้หรือตราสารทุน ) ให้กับผู้รับโอน การบัญชีสําหรับหลักประกันของผู้โอนและผู้รับโอนขึ้นอยู่กับผู้รับโอนมีสิทธิที่จะนํา หลักประกันนั้นไปขายหรือวางเป็นประกันอีกทอดหนึ่งหรือไม่ และผู้โอนได้ปฏิบัติผิดสัญญา แล้วหรือไม่ ผู้โอนและผู้รับโอนต้องถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ 3.2.23.1 หากผู้รับโอนมีสิทธิตามสัญญาหรือตามธรรมเนียมปฏิบัติที่จะนําหลักประกัน ไปขายหรือวางเป็นประกันอีกทอดหนึ่ง เช่นนี้ ผู้โอนต้องจัดประเภทรายการใหม่ สําหรับสินทรัพย์นั้นในงบฐานะการเงินของกิจการ ( เช่น ให้เป็นสินทรัพย์ที่ ให้ยืม ตราสารทุนที่วางเป็นประกัน หรือลูกหนี้ซื้อคืน ) โดยแสดงแยกต่างหาก จากสินทรัพย์อื่น 3.2.23.2 หากผู้รับโอนขายหลักประกันที่ได้รับมา ผู้รับโอนต้องรับรู้สิ่งที่ตอบแทนที่ได้รับ จากการขาย และรับรู้หนี้สินจากภาระผูกพันที่ต้องส่งคืนหลักประกันด้วยมูลค่า ยุติธรรม 3.2.23.3 หากผู้โอนปฏิบัติผิดสัญญาภายใต้ข้อกําหนดของสัญญา และไม่มีสิทธิที่จะ ไถ่ถอนหลักประกันคืนอีกต่อไป ผู้โอนต้องเลิกรับรู้รายการหลักประกันนั้น และ ผู้รับโอนต้องรับรู้หลักประกันเป็นสินทรัพย์โดยวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรกด้วยมูลค่า

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 18 ยุติธรรม หรือ ในกรณีที่ผู้รับโอนได้ขายหลักประกันดังกล่าวไปแล้ว ผู้รับโอน ต้องเลิกรับรู้รายการภาระผูกพันที่ต้องส่งคืนหลักประกัน 3.2.23.4 ทั้งนี้ ยกเว้นที่ได้กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 3.2.23.3 ผู้โอนยังคงต้องยกยอด หลักประกันเป็นสินทรัพย์ และผู้รับโอนต้องไม่รับรู้หลักประกันเป็นสินทรัพย์ 3.3 การเลิกรับรู้รายการของหนี้สินทางการเงิน 3.3.1 กิจการต้องตัดรายการหนี้สินทางการเงิน ( หรือบางส่วนของหนี้สินทางการเงิน ) ออกจาก งบฐานะการเงิน เฉพาะเมื่อหนี้สินทางการเงินนั้นสิ้นสุดลง เช่น เมื่อภาระผูกพันที่ระบุใน สัญญาได้มีการปฏิบัติตามแล้ว ได้มีการยกเลิก หรือสิ้นสุด 3.3.2 การแลกเปลี่ยนตราสารหนี้ที่มีความแตกต่างอย่างมากในข้อกําหนดระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ ต้องถือเป็นการสิ้นสุดของหนี้สินทางการเงินเดิม และถือเป็นการรับรู้รายการของหนี้สิน ทางการเงินใหม่ ในทํานองเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงอย่างมากในข้อกําหนดของหนี้สิน ทางการเงินที่มีอยู่หรือบางส่วนของหนี้สินนั้น ( ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะปัญหาทางการเงินของ ลูกหนี้หรือไม่ก็ตาม ) ต้องถือปฏิบัติเป็นการสิ้นสุดของหนี้สินทางการเงินเดิม และถือเป็น การรับรู้รายการของหนี้สินทางการเงินใหม่ 3.3.3 กิจการต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนสําหรับผลแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีของหนี้สิน ทางการเงิน ( หรือบางส่วนของหนี้สินทางการเงิน ) ที่สิ้นสุดลงหรือที่ได้โอนให้กับกิจการอื่น และสิ่งตอบแทนที่จ่ายซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสดที่ได้โอนไปหรือหนี้สินที่รับมา 3.3.4 หากกิจการซื้อคืนหนี้สินทางการเงินบางส่วน กิจการต้องปันส่วนมูลค่าตามบัญชีก่อนหน้านี้ของ หนี้สินทางการเงินระหว่างส่วนที่กิจการยังคงรับรู้ต่อไปและส่วนที่มีการเลิกรับรู้รายการ โดยใช้ เกณฑ์ของมูลค่ายุติธรรมเปรียบเทียบของส่วนต่างๆ เหล่านั้น ณ วันที่ซื้อคืน ผลแตกต่างระหว่าง (1) มูลค่าตามบัญชีที่ปันส่วนให้กับส่วนที่มีการเลิกรับรู้รายการ และ (2) สิ่งตอบแทนที่จ่าย ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสดที่ได้โอนไปหรือหนี้สินที่รับมาสําหรับส่วนที่เลิกรับรู้รายการ ต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน บทที่ 4 การจัดประเภทรายการ 4.1 การจัดประเภทรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน 4.1.1 ในกรณีที่ไม่ได้นําย่อหน้าที่ 4.1.8 มาถือปฏิบัติ กิจการต้องจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน ณ วันที่กิจการได้มา ดังต่อไปนี้ 4.1.1.1 หลักทรัพย์เพื่อค้า 4.1.1.1.1 ตราสารทุน 4.1.1.1.2 ตราสารหนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 19 4.1.1.2 หลักทรัพย์เผื่อขาย 4.1.1.2.1 ตราสารทุน 4.1.1.2.2 ตราสารหนี้ 4.1.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด 4.1.1.4 ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืม ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการต้องทบทวนความเหมาะสมในการจัดประเภท สินทรัพย์ทางการเงินที่แสดงไว้แต่เดิม 4.1.2 สินทรัพย์ทางการเงินต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน หากสินทรัพย์ ทางการเงินนั้นไม่ได้มีการวัดมูลค่าตามย่อหน้าที่ 4.1.1 4.1.3 ตามปกติการค้าหลักทรัพย์เป็นการที่กิจการเข้าทําการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีสภาพซื้อง่าย ขายคล่องและสามารถเปลี่ยนมือได้บ่อย ดังนั้น หลักทรัพย์เพื่อค้าจึงหมายถึง หลักทรัพย์ที่ กิจการถือไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการหากําไรจากการขึ้นลงของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ โดยจัดรวม เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ซึ่งกิจการเจาะจงถือไว้เพื่อค้า ทําให้หลักทรัพย์ในกลุ่มมีการหมุนเวียนอย่าง ต่อเนื่อง หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหลักทรัพย์ที่กิจการได้มาเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า ได้แก่ การที่ กิจการทําการซื้อขายกลุ่มหลักทรัพย์อย่างสมํ่าเสมอจนมีรูปแบบที่ชัดเจนว่าหลักทรัพย์ในกลุ่ม มีการหมุนเวียนเพื่อทํากําไรช่วงสั้นอย่างแน่นอน หลักทรัพย์ดังกล่าวแตกต่างจากหลักทรัพย์เผื่อขาย ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่กิจการถือไว้เพื่อการอื่นโดยมิได้มีวัตถุประสงค์หลักที่จะค้าหลักทรัพย์นั้น แม้ว่ากิจการจะเต็มใจขายหลักทรัพย์ดังกล่าวทันทีที่โอกาสอํานวย ดังนั้นหลักทรัพย์ที่กิจการ ได้มาโดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ต้องจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายในทันที ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นเงินลงทุนในตราสารทุนเผื่อขายที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ต้องไม่เป็นสิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่ายซึ่งเกิดจากการรวมธุรกิจตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ 4.1.4 กิจการจะจัดประเภทตราสารหนี้เป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดก็ต่อเมื่อกิจการ มีความตั้งใจแน่วแน่และมีความสามารถที่จะถือตราสารดังกล่าวไปจนครบกําหนด โดยที่กิจการ จะไม่ขายตราสารดังกล่าวก่อนครบกําหนดหรือจะไม่โอนเปลี่ยนประเภทตราสารดังกล่าวเว้นแต่ จะเกิดสถานการณ์ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.5 กิจการจะต้องทบทวนความตั้งใจที่จะถือ ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดทุกรายการเพื่อโอนเปลี่ยนประเภทหากกิจการขายหรือ โอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดรายการใดรายการหนึ่งทั้งที่สถานการณ์ ในย่อหน้าที่ 4.1.5 ไม่เกิดขึ้น 4.1.5 การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่อไปนี้อาจทําให้กิจการต้องเปลี่ยนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้ ไปจนครบกําหนดโดยที่ไม่จําเป็นต้องทบทวนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้รายการอื่นไปจนครบ กําหนด การจําหน่ายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ดังกล่าวจะไม่ถือว่าเป็นการกระทํา ที่สมํ่าเสมอกับการจัดประเภทที่ทําไว้เดิม 4.1.5.1 มีหลักฐานที่แสดงว่าความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารลดลงอย่างเป็นสาระสําคัญ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 20 4.1.5.2 มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีอากรซึ่งเป็นผลให้มีการยกเลิกหรือลดข้อลดหย่อน ทางภาษีอากรเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่จะได้รับตราสารหนี้ซึ่งกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง อัตราภาษีโดยทั่วไป 4.1.5.3 มีการรวมกิจการหรือจําหน่ายกิจการที่สําคัญซึ่งทําให้กิจการต้องขายหรือโอนตราสารหนี้ ที่จะถือจนครบกําหนดเพื่อให้กิจการรักษาระดับความเสี่ยงในอัตราดอกเบี้ยหรือ ความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการไว้ดังเดิม 4.1.5.4 มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ส่งผลให้กิจการไม่สามารถถือเงินลงทุนบางชนิดไว้ ในระดับที่กิจการเคยถือไว้ได้ ทําให้กิจการจําเป็นต้องจําหน่ายตราสารหนี้ดังกล่าว 4.1.5.5 มีการเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดหรือกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาระดับเงินทุนของกิจการ ทําให้กิจการต้องลดขนาดลงโดยการขายเงินลงทุนดังกล่าว นอกจากสถานการณ์ข้างต้น กิจการอาจไม่จําเป็นต้องทบทวนความตั้งใจหรือความสามารถที่จะถือ ตราสารหนี้รายการอื่นไปจนครบกําหนด หากกิจการต้องขายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ รายการหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งสถานการณ์นี้เกิดจากเหตุการณ์ ที่ไม่เป็นปกติสําหรับกิจการหรือเกิดเหตุการณ์ที่เป็นเอกเทศและไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก กิจการ ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการขายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ดังกล่าวตามข้อกําหนด ที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 8.7 ง 4.1.6 กิจการต้องไม่จัดประเภทตราสารหนี้เป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดหากกิจการเพียงแต่ ตั้งใจว่าจะถือตราสารหนี้นั้นไปอย่างไม่มีกําหนด หรือจะถือไว้เผื่อขายภายใต้สถานการณ์ต่อไปนี้ 4.1.6.1 อัตราดอกเบี้ยในตลาดของตราสารหนี้นั้นเปลี่ยนไปทําให้ความเสี่ยงในการชําระหนี้ สูงขึ้น 4.1.6.2 กิจการมีความจําเป็นต้องเพิ่มสภาพคล่อง ตัวอย่างเช่น มีผู้มาขอคืนเงินมัดจํา มีผู้ต้องการกู้เงินเป็นจํานวนมาก หรือกิจการต้องจ่ายค่าเรียกร้องจากกรมธรรม์ ประกันภัย 4.1.6.3 เงินลงทุนที่สามารถใช้ทดแทนตราสารหนี้ดังกล่าวมีอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจให้น่าลงทุนกว่า 4.1.6.4 มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและแหล่งที่มาของเงินทุน 4.1.6.5 มีการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.1.7 หากกิจการขายตราสารหนี้ในลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ จะถือว่าการขายนั้นกระทํา เมื่อครบกําหนด 4.1.7.1 กิจการขายตราสารหนี้เมื่อใกล้ถึงวันครบกําหนด หรือใกล้ถึงวันที่ผู้ออกตราสาร สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนครบกําหนดหากมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ผู้ออกตราสาร จะใช้สิทธิไถ่ถอนนั้น ซึ่งระยะเวลาจากวันที่ขายถึงวันครบกําหนดใกล้เคียงกัน จนทําให้ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นตัวแปรที่สําคัญในการกําหนดราคาของ ตราสารอีกต่อไป 4.1.7.2 กิจการขายตราสารหนี้หลังจากที่ได้รับชําระเงินส่วนใหญ่ของเงินต้นที่คงค้างอยู่ ณ วันที่ได้ตราสารมา

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 21 ทางเลือกในการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 4.1.8 ถึงแม้จะมีข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 4.1.1 ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการอาจเลือก กําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ทั้งนี้ เมื่อกําหนดแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ หากการกําหนดดังกล่าวช่วยขจัดหรือ ลดความไม่สอดคล้องของการวัดมูลค่าหรือการรับรู้รายการอย่างมีนัยสําคัญ ( บางครั้ง เรียกว่าการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ หรือหนี้สิน หรือการรับรู้ผลกําไรและขาดทุนจากรายการดังกล่าวด้วยเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ( ดูย่อหน้าที่ ข 4.1.3 ถึง ข 4.1.6) 4.2 การจัดประเภทรายการของหนี้สินทางการเงิน 4.2.1 กิจการต้องจัดประเภทหนี้สินทางการเงินทั้งหมดเป็นหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าภายหลัง ด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ยกเว้น 4.2.1.1 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน หนี้สิน ดังกล่าวรวมถึงหนี้สิน อนุพันธ์ ต้องวัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่ายุติธรรม 4.2.1.2 หนี้สินทางการเงินที่เกิดขึ้นจากการโอนสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่เข้าเงื่อนไข การเลิกรับรู้รายการหรือเมื่อถือปฏิบัติตามเกณฑ์ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ให้ กิจการนําย่อหน้าที่ 3.2.15 และ 3.2.17 มาถือปฏิบัติในการวัดมูลค่าของหนี้สิน ทางการเงินดังกล่าว 4.2.1.3 สัญญาคํ้าประกันทางการเงิน ภายหลังการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ผู้ออกสัญญา ดังกล่าวต้อง ( ยกเว้นเมื่อถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.2.1.1 หรือ 4.2.1.2) วัดมูลค่า ภายหลังของสัญญาดังกล่าวด้วยมูลค่าที่สูงกว่าระหว่าง 4.2.1.3.1 จํานวนเงินของ ค่าเผื่อผลขาดทุน ที่กําหนดในหมวดที่ 5.5 และ 4.2.1.3.2 จํานวนเงินที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก ( ดูย่อหน้าที่ 5.1.1) หักจํานวนเงิน สะสมของรายได้ ( เมื่อเหมาะสม ) ที่รับรู้ตามหลักการของมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 4.2.1.4 ข้อผูกมัดที่จะให้สินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยตํ่ากว่าอัตราดอกเบี้ยตลาด ผู้ให้สินเชื่อ ดังกล่าวต้อง ( ยกเว้นเมื่อปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.2.1.1) วัดมูลค่าภายหลังของ ข้อผูกมัดดังกล่าวด้วยมูลค่าที่สูงกว่าระหว่าง 4.2.1.4.1 จํานวนเงินของค่าเผื่อผลขาดทุนที่กําหนดในหมวดที่ 5.5 และ 4.2.1.4.2 จํานวนเงินที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก ( ดูย่อหน้าที่ 5.1.1) หักจํานวนเงิน สะสมของรายได้ ( เมื่อเหมาะสม ) ที่รับรู้ตามหลักการของมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 22 4.2.1.5 สิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่ายที่รับรู้โดยผู้ซื้อในการรวมธุรกิจที่ถือปฏิบัติตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 สิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่าย ดังกล่าวต้องวัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่ายุติธรรมโดยรับรู้การเปลี่ยนแปลงของ มูลค่ายุติธรรมในกําไรหรือขาดทุน ทางเลือกในการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 4.2.2 ณ วันที่มีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการอาจเลือกกําหนด ( ไม่สามารถยกเลิกได้ ) ให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน เมื่อข้อกําหนด ในย่อหน้าที่ 4.3.4 อนุญาตให้ทําได้ หรือเมื่อการกําหนดดังกล่าวส่งผลให้ข้อมูลดังกล่าว เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจมากขึ้นเนื่องจาก 4.2.2.1 การกําหนดดังกล่าวช่วยขจัดหรือลดความไม่สอดคล้องในการวัดมูลค่าหรือ การรับรู้รายการอย่างมีนัยสําคัญ ( บางครั้งอาจเรียกว่าการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชีที่จะเกิดจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์หรือหนี้สินหรือการรับรู้ผลกําไร และขาดทุนจากรายการดังกล่าวด้วยเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ( ดูย่อหน้าที่ ข 4.1.3 ถึง ข 4.1.6) หรือ 4.2.2.2 กลุ่มของหนี้สินทางการเงินหรือสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน ที่มีการบริหารและประเมินผลการดําเนินงานด้วยเกณฑ์มูลค่ายุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง หรือกลยุทธ์การลงทุนที่เป็น ลายลักษณ์อักษร และข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวมีการนําเสนอเป็นการภายใน ต่อผู้บริหารสําคัญของกิจการ ( ตามคําจํากัดความในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 24 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง ) เช่น คณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกิจการ ( ดูย่อหน้าที่ ข 4.1.7 ถึง ข 4.1.10) 4.3 อนุพันธ์แฝง 4.3.1 อนุพันธ์แฝง คือ องค์ประกอบของสัญญาแบบผสมที่ประกอบด้วยสัญญาหลักที่ไม่ใช่อนุพันธ์ โดยกระแสเงินสดบางส่วนของเครื่องมือทางการเงินแบบผสมนี้จะเปลี่ยนแปลงในทิศทาง ที่คล้ายคลึงกับอนุพันธ์เดี่ยว อนุพันธ์แฝงทําให้กระแสเงินสดตามสัญญาบางส่วนหรือทั้งหมด เปลี่ยนแปลงไปตามอัตราดอกเบี้ยที่กําหนด ราคาของเครื่องมือทางการเงิน ราคาสินค้า โภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดัชนีราคาหรือดัชนีอัตรา อันดับความน่าเชื่อถือ ด้านเครดิต หรือดัชนีความน่าเชื่อถือด้านเครดิต หรือตัวแปรอื่นที่กําหนดไว้ในกรณีของตัวแปรที่ ไม่ใช่ตัวแปรทางการเงินที่ไม่เฉพาะเจาะจงกับคู่สัญญาเท่านั้น อนุพันธ์ที่ผูกติดกับ เครื่องมือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 23 ทางการเงิน แต่สามารถโอนได้ตามสัญญาอย่างอิสระจากเครื่องมือทางการเงินนั้น หรือมีคู่สัญญา ที่ต่างไปไม่ถือเป็นอนุพันธ์แฝง แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่แยกต่างหาก สัญญาแบบผสม 4.3.2 อนุพันธ์แฝงในสัญญาแบบผสมต้องแยกออกจากสัญญาหลักและถือเป็นอนุพันธ์ภายใต้ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อดังต่อไปนี้ 4.3.2.1 ลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของอนุพันธ์แฝงไม่มีความสัมพันธ์อย่าง ใกล้ชิดกับลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของสัญญาหลัก ( ดูย่อหน้าที่ ข 4.3.5 และ ข 4.3.8) 4.3.2.2 เครื่องมือทางการเงินที่แยกต่างหากซึ่งมีเงื่อนไขเช่นเดียวกับอนุพันธ์แฝง มีลักษณะตรงตามคํานิยามของอนุพันธ์ และ 4.3.2.3 สัญญาแบบผสมนี้ไม่ได้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมที่การเปลี่ยนแปลงของมูลค่า ยุติธรรมรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ( เช่น อนุพันธ์ที่แฝงในหนี้สินทางการเงิน ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนไม่แยกออกจากสัญญาหลัก ) 4.3.3 ในกรณีที่อนุพันธ์แฝงแยกออกจากสัญญาหลัก กิจการต้องถือปฏิบัติกับสัญญาหลัก ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เหมาะสม แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้ กําหนดว่าอนุพันธ์แฝงต้องแสดงรายการแยกต่างหากในงบฐานะทางการเงินหรือไม่ 4.3.4 ถึงแม้จะมีข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 4.3.2 และ 4.3.3 หากสัญญาประกอบด้วยอนุพันธ์แฝง หนึ่งรายการหรือมากกว่า กิจการอาจเลือกกําหนดให้สัญญาแบบผสมทั้งสัญญาวัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน เว้นแต่ 4.3.4.1 อนุพันธ์แฝงไม่ได้เปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดตามสัญญาอย่างมีนัยสําคัญ หรือ 4.3.4.2 มีความชัดเจนโดยอาศัยการวิเคราะห์เพียงเล็กน้อยหรือไม่ต้องวิเคราะห์เมื่อ พิจารณาตั้งแต่แรกเริ่มว่าการแยกอนุพันธ์แฝงสําหรับเครื่องมือทางการเงินแบบ ผสมที่คล้ายคลึงนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม เช่น สิทธิเลือกที่จะจ่ายชําระเงินก่อนครบ กําหนดที่แฝงอยู่กับเงินกู้ยืมซึ่งอนุญาตให้จ่ายชําระคืนก่อนครบกําหนดด้วย มูลค่าที่ใกล้เคียงกับราคาทุนตัดจําหน่าย 4.3.5 หากกิจการต้องแยกอนุพันธ์แฝงออกจากสัญญาหลักตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ แต่ไม่สามารถวัดมูลค่าอนุพันธ์แฝงแยกต่างหากได้ ทั้ง ณ วันที่ได้มา หรือ ณ วันที่สิ้นรอบระยะเวลารายงานในภายหลัง กิจการต้องเลือกกําหนดให้สัญญาแบบผสม ทั้งสัญญาวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 4.3.6 หากกิจการไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงได้อย่างน่าเชื่อถือจากเงื่อนไขและ ข้อกําหนดของอนุพันธ์แฝงนั้น ให้กิจการวัดมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงด้วยผลต่างระหว่าง มูลค่ายุติธรรมของสัญญาแบบผสมกับมูลค่ายุติธรรมของสัญญาหลัก หากกิจการไม่สามารถ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 24 วัดมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงตามวิธีดังกล่าว ให้กิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.3.5 และ เลือกกําหนดให้สัญญาแบบผสมดังกล่าววัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 4.4 การจัดประเภทรายการใหม่ 4.4.1 กิจการต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีก ประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 4.4.1.1 การโอนเปลี่ยนเงินลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ 4.4.1.1.1 สําหรับการโอนเปลี่ยนหลักทรัพย์เพื่อค้าไปเป็นเงินลงทุนประเภทอื่น กิจการต้องใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึกบัญชีและรับรู้ ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันนั้นในกําไร หรือขาดทุนทันที 4.4.1.1.2 สําหรับการโอนเปลี่ยนเงินลงทุนประเภทอื่นไปเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า กิจการต้องใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึกบัญชีและรับรู้ ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันนั้น พร้อมทั้ง กลับบัญชีทุกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนที่โอนเปลี่ยนในกําไรหรือ ขาดทุนทันที 4.4.1.1.3 สําหรับตราสารหนี้ที่โอนเปลี่ยนจากหลักทรัพย์เผื่อขายไปเป็น ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด กิจการต้องใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึกบัญชีและปรับปรุงส่วนเกินทุนหรือส่วนตํ่ากว่า ทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนด้วยผลต่าง ระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอน ส่วนเกินทุน หรือส่วนตํ่ากว่าทุนดังกล่าวยังคงแสดงเป็นรายการแยกต่างหากใน องค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ และต้องตัดจําหน่ายตลอด อายุที่เหลืออยู่ของตราสารหนี้ ในลักษณะเดียวกันกับการตัด จําหน่ายส่วนเกินหรือส่วนลดของตราสารหนี้โดยใช้วิธีอัตราดอกเบี้ย ที่แท้จริงหรือวิธีอื่นที่ให้ผลไม่แตกต่างกัน 4.4.1.1.4 สําหรับการโอนเปลี่ยนตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดไปเป็น หลักทรัพย์เผื่อขาย กิจการต้องใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนใน การบันทึกบัญชีและรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่า ยุติธรรม ณ วันที่โอนเป็นรายการแยกต่างหากในองค์ประกอบอื่นของ ส่วนของเจ้าของ 4.4.1.2 ตามปกติ การโอนเปลี่ยนเงินลงทุนจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง จะไม่เกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากกิจการต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการถือเงินลงทุน นับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เงินลงทุนมา หากกิจการไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนกิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 25 ต้องจัดประเภทเงินลงทุนนั้นเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายในทันที อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอาจทําให้กิจการต้องโอนเปลี่ยนประเภทเงินลงทุน การโอนเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนบางประเภทต้องมีหลักฐานสนับสนุนอย่างเพียงพอ เช่น การโอนเปลี่ยนระหว่างหลักทรัพย์เพื่อค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายต้องมี หลักฐานสนับสนุนในเวลาต่อมาว่ากิจการได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ 4.4.2 กิจการต้องไม่จัดประเภทรายการใหม่สําหรับหนี้สินทางการเงินใดๆ 4.4.3 การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมดังต่อไปนี้ไม่ถือเป็นการจัดประเภทรายการใหม่ตามวัตถุประสงค์ ของย่อหน้าที่ 4.4.1 ถึง 4.4.2 4.4.3.1 รายการซึ่งในอดีตเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดหรือการป้องกันความเสี่ยงในเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขการป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป 4.4.3.2 รายการที่เลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดหรือการป้องกันความเสี่ยงในเงินลงทุน สุทธิ และ 4.4.3.3 การเปลี่ยนแปลงการวัดมูลค่าตามที่กําหนดไว้ในหมวดที่ 6.7 บทที่ 5 การวัดมูลค่า 5.1 การวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรก 5.1.1 ยกเว้นลูกหนี้การค้าภายใต้ขอบเขตของย่อหน้าที่ 5.1.3 ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ได้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนด้วยมูลค่ายุติธรรม บวกหรือหักด้วย ต้นทุนการทํารายการ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการได้มาหรือการออกสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงินนั้น 5.1.1 ก อย่างไรก็ตาม หากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรกแตกต่างจากราคาของรายการ กิจการต้องถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ ข 5.1.2 ก 5.1.2 ในกรณีที่กิจการใช้การบัญชีวันชําระ สําหรับสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าภายหลังด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย สินทรัพย์ดังกล่าวให้รับรู้เมื่อเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันซื้อขาย ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.1.3 ถึง ข 3.1.6) 5.1.3 แม้จะมีข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 5.1.1 ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่า ลูกหนี้การค้าด้วยราคาของรายการ ( ตามที่กําหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15) ใน กรณีที่ลูกค้าการค้าไม่มีองค์ประกอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินที่มีนัยสําคัญตามที่กําหนดในมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ( หรือเมื่อกิจการใช้วิธีผ่อนปรนในทางปฏิบัติตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 63 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15)

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 26 5.2 การวัดมูลค่าภายหลังของสินทรัพย์ทางการเงิน 5.2.1 หลังจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน ด้วยวิธี 5.2.1.1 หลักทรัพย์เพื่อค้า ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 5.2.1.2 หลักทรัพย์เผื่อขาย ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น 5.2.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด ด้วย วิธีราคาทุนตัดจําหน่าย 5.2.1.4 ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืม ด้วย วิธีราคาทุนตัดจําหน่าย 5.2.1.5 อนุพันธ์ ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 5.2.2 กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าในบทที่ 5.5 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ที่จัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.2 สินทรัพย์ ทางการเงินที่จัดประเภทเป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.3 และลูกหนี้และเงินให้กู้ยืมตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.4 5.2.3 กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.5.7 ถึง 6.5.13 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่กําหนดให้เป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง และหากกิจการมีการป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย แบบเป็นพอร์ตโฟลิโอ (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิจการ สามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป และให้เปิดเผยเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ดังกล่าว 5.3 การวัดมูลค่าภายหลังของหนี้สินทางการเงิน 5.3.1 ภายหลังการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่าหนี้สินทางการเงินตามย่อหน้าที่ 4.2.1 ถึง 4.2.2 5.3.2 กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.7 ถึง 6.5.13 สําหรับหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป ้ องกัน ความเสี่ยง และหากกิจการมีการป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยงอัตรา ดอกเบี้ยแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอ (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk ) กิจการสามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป 5.4 การวัดมูลค่าราคาทุนตัดจําหน่าย สินทรัพย์ทางการเงิน วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.4.1 ดอกเบี้ยรับต้องคํานวณโดยใช้ วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ( ดูภาคผนวก ก และย่อหน้าที่ ข 5.4.1 ถึง ข 5.4.7) การคํานวณนี้ให้ใช้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง กับ มูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหัก ของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 27 สินทรัพย์ทางการเงิน ยกเว้น 5.4.1.1 สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด สําหรับ สินทรัพย์ทางการเงินเหล่านี้ กิจการต้องใช้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วย ความเสี่ยงด้านเครดิต กับ ราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ทางการเงิน ตั้งแต่ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก 5.4.1.2 สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต เมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด แต่กลายเป็น สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่า ด้านเครดิต ในภายหลัง สําหรับสินทรัพย์เหล่านี้ กิจการต้องใช้อัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริงกับราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น สําหรับรอบระยะเวลา รายงานภายหลัง 5.4.2 กิจการที่คํานวณดอกเบี้ยรับโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริงกับราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ ทางการเงินตามย่อหน้าที่ 5.4.1.2 ในรอบระยะเวลาที่รายงาน ต้องคํานวณดอกเบี้ยรับโดยใช้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกับมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักในรอบระยะเวลารายงานภายหลัง หาก ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นจนทําให้สินทรัพย์ทางการ เงินดังกล่าวไม่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอีกต่อไป และความเสี่ยงด้านเครดิตที่ดีขึ้นนี้มีความ เกี่ยวพันอย่างเป็นรูปธรรมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการที่กิจการถือปฏิบัติตามข้อกําหนด ในย่อหน้าที่ 5.4.1.2 ( เช่น อันดับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ดีขึ้น ) การเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดตามสัญญา 5.4.3 เมื่อกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินมีการเจรจาต่อรองใหม่หรือมีการ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเป็นอย่างอื่น และการเจรจาต่อรองใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไม่ส่งผลให้มีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินนั้นตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้องคํานวณมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักใหม่ของสินทรัพย์ทางการเงิน และต้องรับรู้ ผล กําไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลง ในกําไรหรือขาดทุน มูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ สินทรัพย์ทางการเงินต้องคํานวณใหม่ด้วยมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดตามสัญญาที่มีการ เจรจาต่อรองใหม่หรือเปลี่ยนแปลง ที่คิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิมของสินทรัพย์ทาง การเงิน ( หรือใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงินที่มีการด้อยค่า ด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ) หรือเมื่อสามารถใช้ได้ ให้ใช้อัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ปรับใหม่ที่คํานวณตามย่อหน้าที่ 6.5.9 ต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกิดขึ้นให้นําไปปรับปรุงกับมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลง และให้ตัด จําหน่ายตลอดอายุที่เหลืออยู่ของสินทรัพย์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 28 การตัดออกจากบัญชี 5.4.4 กิจการต้องลดมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินโดยตรง เมื่อกิจการ ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างสมเหตุสมผลว่าจะได้รับคืนสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจํานวน หรือบางส่วน การตัดออกจากบัญชีถือเป็นสถานการณ์หนึ่งของการเลิกรับรู้รายการ ( ดูย่อ หน้าที่ ข 3.2.16.18) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาอันเป็นผลจากการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 5.4.5 กิจการต้องปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 5.4.6 ถึง 5.4.9 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สิน ทางการเงิน ก็ต่อเมื่อเกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือ หนี้สินทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เพื่อวัตถุประสงค์นี้ คําศัพท์ “ การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ” หมายถึง การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่มีผลกระทบ ต่อตลาดในวงกว้าง ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 6.8.2 5.4.6 เกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 5.4.6.1 โดยการปรับปรุงเงื่อนไขตามสัญญาที่กําหนดไว้เมื่อมีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ของเครื่องมือทางการเงิน ( ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขตามสัญญาถูกปรับปรุงจากการใช้ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นแทนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่กําหนดไว้เดิม ) 5.4.6.2 โดยไม่ได้ปรับปรุงเงื่อนไขตามสัญญาที่กําหนดไว้เมื่อมีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ของเครื่องมือทางการเงิน ( ตัวอย่างเช่น วิธีการคํานวณอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงถูก เปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการปรับปรุงเงื่อนไขตามสัญญา ) และ / หรือ 5.4.6.3 เนื่องจากเงื่อนไขตามสัญญาที่มีอยู่มีผลบังคับใช้ ( ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขเกี่ยวกับ การนําอัตราดอกเบี้ยทดแทนมาใช้แทนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเดิมที่ถูกยกเลิกไป ) 5.4.7 เพื่อการผ่อนปรนในทางปฏิบัติ กิจการต้องปฏิบัติตามย่อหน้าที่ ข 5.4.5 สําหรับการเปลี่ยนแปลง เกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง การผ่อนปรนในทางปฏิบัตินี้ให้ถือปฏิบัติ กับการเปลี่ยนแปลงข้างต้นเท่านั้นและขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยการปฏิรูปอัตรา ดอกเบี้ยอ้างอิงเท่านั้น ( ดูย่อหน้าที่ 5.4.9) ในการนี้ การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกําหนด กระแสเงินสดตามสัญญาเกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ก็ต่อเมื่อเข้าทั้งสองเงื่อนไข ต่อไปนี้ 5.4.7.1 การเปลี่ยนแปลงเป็นผลโดยตรงจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และ 5.4.7.2 เกณฑ์ใหม่ที่ใช้ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาเทียบเท่ากับเกณฑ์เดิมใน เชิงเศรษฐกิจ ( เกณฑ์ใหม่ใช้ทดแทนเกณฑ์เดิมทันที )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 29 5.4.8 ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เกณฑ์ใหม่ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาเทียบเท่ากับ เกณฑ์เดิมในเชิงเศรษฐกิจ ( เกณฑ์ก่อนการเปลี่ยนแปลง ) ได้แก่ 5.4.8.1 การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงปัจจุบันเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น สําหรับการกําหนด กระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน หรือการ นําการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมาใช้โดยเปลี่ยนแปลงวิธีการคํานวณอัตรา ดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยการบวกเพิ่มส่วนต่างคงที่เพื่อชดเชยความแตกต่างระหว่างอัตรา ดอกเบี้ยอ้างอิงเดิมกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น 5.4.8.2 การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาที่ปรับอัตราดอกเบี้ย วันที่ที่ปรับอัตราดอกเบี้ย หรือ จํานวนวันระหว่างวันที่กําหนดจ่ายดอกเบี้ย เพื่อจะนําการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงมาใช้ และ 5.4.8.3 การเพิ่มข้อกําหนดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงทดแทน (fallback) ในเงื่อนไขตาม สัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน อันจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 5.4.8.1 และ 5.4.8.2 เพื่อนําไปปฏิบัติ 5.4.9 หากมีการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินเพิ่มเติมจาก การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาที่เกิดจากการปฏิรูปอัตรา ดอกเบี้ยอ้างอิง กิจการต้องปฏิบัติตามการผ่อนปรนในทางปฏิบัติในย่อหน้าที่ 5.4.7 สําหรับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเป็นอันดับแรก แล้วจึงปฏิบัติตาม ข้อกําหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้กับการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมซึ่งการผ่อนปรน ในทางปฏิบัติไม่ได้นํามาใช้ ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมไม่ทําให้เกิดการเลิกรับรู้รายการ สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน กิจการต้องปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 5.4.3 หรือ ย่อหน้าที่ ข 5.4.6 ตามความเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมดังกล่าว ทั้งนี้ หากการ เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมทําให้เกิดการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดของการเลิกรับรู้รายการ 5.5 การด้อยค่า การรับรู้รายการสําหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การด้อยค่าของตราสารทุนและหน่วยลงทุนซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย 5.5.1 กิจการต้องบันทึกการด้อยค่าของตราสารทุนและหน่วยลงทุนซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ เผื่อขายเข้ากําไรหรือขาดทุนทันทีที่มีหลักฐานสนับสนุนว่าหลักทรัพย์นั้นด้อยค่า อย่างไรก็ดี กิจการต้องรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและไม่ปรับลดมูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ทางการเงินตราสารทุนในงบฐานะการเงิน ทั้งนี้หลักฐานสนับสนุนว่าหลักทรัพย์เผื่อขาย เกิดการด้อยค่า มีดังต่อไปนี้ 5.5.1.1 กิจการที่ออกหลักทรัพย์กําลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างมีสาระสําคัญ 5.5.1.2 การผิดสัญญา เช่น การไม่จ่ายชําระ หรือการผิดนัดสัญญา ในการจ่ายชําระดอกเบี้ย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 30 และเงินต้น 5.5.1.3 ผู้ให้กู้ยืมยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระหนี้ให้แก่ผู้ออกหลักทรัพย์ เนื่องจากเหตุผล ทางเศรษฐกิจหรือทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญญาทางการเงินของผู้ออกหลักทรัพย์ ซึ่งหากเป็นกรณีอื่นผู้ให้กู้ยืมจะไม่พิจารณาอนุมัติ 5.5.1.4 มีความเป็นไปได้สูงที่กิจการผู้ออกหลักทรัพย์จะล้มละลายหรือฟื้นฟูกิจการหรือ ปรับโครงสร้างทางการเงิน 5.5.1.5 หลักทรัพย์นั้นไม่มีการซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่องอีกต่อไปเนื่องจากปัญหา ทางการเงิน 5.5.1.6 มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการลดลงในประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตจากกลุ่ม ของสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่การรับรู้ดังกล่าวเมื่อเริ่มแรก ซึ่งถึงแม้ว่าการลดลง จะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของสินทรัพย์รายการใดในกลุ่ม ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้ 5.5.1.6.1 การเปลี่ยนแปลงในทางลบของความสามารถในการชําระเงินของ ผู้ออกหลักทรัพย์ ( เช่นการเพิ่มขึ้นของจํานวนของจํานวนเงินกู้ยืม ประเภทบัตรเครดิตซึ่งมีการใช้สินเชื่อเต็มจํานวนและจ่ายชําระ รายเดือนด้วยจํานวนเงินขั้นตํ่า ) หรือ 5.5.1.6.2 สภาพเศรษฐกิจในระดับประเทศหรือในระดับท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ กับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของสินทรัพย์ในกลุ่ม ( เช่นการเพิ่มขึ้นของ อัตราการว่างงานในภูมิภาคของผู้ออกหลักทรัพย์ การลดลงของราคา อสังหาริมทรัพย์ในบริเวณที่เดียวกันกับที่ใช้ในการจํานอง การลดลง ของราคานํ้ามันสําหรับเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ผลิตนํ้ามัน หรือการเปลี่ยนแปลง ในทางลบของสภาพอุตสาหกรรมที่กระผู้ออกหลักทรัพย์ ) 5.5.1.7 นอกเหนือจากประเภทของเหตุการณ์ที่ระบุในย่อหน้าที่ 5.5.1.1 ถึง 5.5.1.6 หลักฐานที่ชัดเจนของการด้อยค่าสําหรับการลงทุนในตราสารทุนรวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญที่มีในทางลบค่าสภาพแวดล้อมทางด้านเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิจ และกฎหมาย ที่ผู้ออกหลักทรัพย์ประกอบกิจการอยู่ ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าต้นทุนการลงทุนในตราสารทุนนั้นอาจไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ การลดลง อย่างมีสาระสําคัญหรืออย่างต่อเนื่องของมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุน จนตํ่ากว่าราคาทุนถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของการด้อยค่า การด้อยค่าของตราสารหนี้ ทั้งนี้ไม่รวมหน่วยลงทุนซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย วิธีการทั่วไป 5.5.2 กิจการต้องรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนสําหรับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ของสินทรัพย์ ทางการเงินซึ่งวัดมูลค่าตามย่อหน้าที่ 4.1.1.2.2 หรือ 4.1.1.3 หรือ 4.1.1.4 ลูกหนี้ตาม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 31 สัญญาเช่า สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา หรือข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ และสัญญาคํ้าประกันทาง การเงินที่เป็นไปตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าตามย่อหน้าที่ 2.1.7 4.2.1.3 หรือ 4.2.1.4 5.5.3 กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าสําหรับการรับรู้รายการและการวัดมูลค่าของ ค่าเผื่อผลขาดทุนของตราสารหนี้ซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย ตามที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.2.2 อย่างไรก็ตาม กิจการต้องรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและต้องไม่ลด มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงินตราสารหนี้ในงบฐานะการเงิน 5.5.4 ตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5.5.14 ถึง 5.5.17 ในแต่ละวันที่รายงาน กิจการต้องวัดมูลค่าของ ค่าเผื่อผลขาดทุนของเครื่องมือทางการเงินด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับ ผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ หากความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก 5.5.5 วัตถุประสงค์ของข้อกําหนดการด้อยค่าเพื่อรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ของเครื่องมือทางการเงินทั้งหมดที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ไม่ว่าการประเมินดังกล่าวจะเป็นรายสัญญาหรือเป็นรายกลุ่ม โดยให้ พิจารณาข้อมูลสนับสนุนที่มีความสมเหตุสมผลทั้งหมดซึ่งรวมถึงข้อมูลที่มีการคาดการณ์ไป ในอนาคต 5.5.6 ตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5.5.14 ถึง 5.5.17 ณ วันที่รายงาน หากความเสี่ยงด้านเครดิตของ เครื่องมือทางการเงินไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนของเครื่องมือทางการเงินด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า 5.5.7 สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ และสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน ให้ถือว่าวันที่กิจการเริ่มเป็น คู่สัญญาในข้อผูกมัดที่ไม่สามารถยกเลิกได้เป็นวันที่มีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกตาม วัตถุประสงค์ของการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดการด้อยค่า 5.5.8 หากกิจการวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนของเครื่องมือทางการเงินด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุในรอบระยะเวลารายงานก่อน แต่ ณ วันที่ รายงานปัจจุบัน กิจการพิจารณาแล้วเห็นว่ากิจการไม่ต้องถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 5.5.4 กิจการ ต้องวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า ณ วันที่รายงานปัจจุบัน 5.5.9 กิจการต้องรับรู้จํานวนเงินของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( หรือกลับรายการ ผลขาดทุน ) เพื่อปรับปรุงค่าเผื่อผลขาดทุน ณ วันที่รายงาน ให้เป็นจํานวนเงินที่ต้องรับรู้ตาม แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ เป็น ผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ในกําไรหรือขาดทุน การพิจารณาการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต 5.5.10 ณ แต่ละวันที่รายงาน กิจการต้องประเมินว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ ในการประเมินดังกล่าว

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 32 กิจการต้องใช้การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นตลอดอายุของ เครื่องมือทางการเงินที่คาดไว้ แทนการใช้การเปลี่ยนแปลงของจํานวนเงินของผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในการประเมินดังกล่าว กิจการต้องเปรียบเทียบความเสี่ยงของ การผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นของเครื่องมือทางการเงิน ณ วันที่รายงาน กับความเสี่ยงของ การผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นของเครื่องมือทางการเงิน ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก และพิจารณา ข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตนับตั้งแต่การรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก 5.5.11 กิจการอาจสันนิษฐานว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ นับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หากพิจารณาแล้วว่าเครื่องมือทางการเงินนั้นมีความเสี่ยง ด้านเครดิตตํ่า ณ วันที่รายงาน ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.5.22 ถึง ข 5.5.24) 5.5.12 ในการพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกหรือไม่ กิจการไม่สามารถใช้เพียงข้อมูล การค้างชําระเกินกําหนด เพียงอย่างเดียว ในการพิจารณา หากกิจการสามารถหาข้อมูลคาดการณ์อนาคตที่สนับสนุนและสมเหตุสมผล โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป อย่างไรก็ตาม หากกิจการไม่สามารถหาข้อมูล คาดการณ์อนาคตนอกเหนือจากสถานะการค้างชําระเกินกําหนด ( ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเป็น รายสัญญาหรือเป็นกลุ่ม ) โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป กิจการอาจใช้ข้อมูลการ ค้างชําระเกินกําหนดเพื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การ รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ ไม่ว่ากิจการจะใช้วิธีใดในการประเมินการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ของความเสี่ยงด้านเครดิต ให้มีข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของ สินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก เมื่อมีการค้างชําระ การจ่ายเงินตามสัญญาเกินกว่า 30 วัน กิจการสามารถโต้แย้งข้อสันนิษฐานดังกล่าว หากกิจการ มีข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลโดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไปที่แสดงให้เห็น ว่าความเสี่ยงด้านเครดิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก แม้ว่าจะมีการค้างชําระการจ่ายเงินตามสัญญาเกินกว่า 30 วัน ในกรณีที่กิจการประเมินว่าความ เสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญก่อนมีการค้างชําระการจ่ายเงินตามสัญญาเกินกว่า 30 วัน กิจการไม่สามารถใช้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข 5.5.13 หากมีการเจรจาต่อรองใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ ทางการเงินและไม่มีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินนั้น กิจการต้องประเมินว่าความเสี่ยง ด้านเครดิตของสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.4 หรือไม่ โดยเปรียบเทียบ 5.5.13.1 ความเสี่ยงของการผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้น ณ วันที่รายงาน ( อ้างอิงจากเงื่อนไขตาม สัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลง ) และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 33 5.5.13.2 ความเสี่ยงของการผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้น ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ( อ้างอิงจาก เงื่อนไขตามสัญญาเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ) สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด 5.5.14 ถึงแม้จะมีข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 5.5.4 และ 5.5.6 ณ วันที่รายงาน กิจการต้องรับรู้ ค่าเผื่อผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อ หรือเมื่อกําเนิด ด้วยผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นตลอดอายุนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกเท่านั้น 5.5.15 ณ แต่ละวันที่รายงาน กิจการต้องรับรู้จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงของผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ เป็นผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่าในกําไรหรือขาดทุน กิจการ ต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ เป็นผลกําไรจากการด้อยค่า แม้ว่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุดังกล่าว เป็นจํานวนเงินน้อยกว่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นซึ่งเคยรวมอยู่ในกระแสเงินสด ที่ประมาณการ ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก วิธีการอย่างง่าย สําหรับลูกหนี้การค้า สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา และลูกหนี้ตามสัญญาเช่า 5.5.16 ถึงแม้จะมีข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.4 และ 5.5.6 กิจการต้องวัดมูลค่าของค่าเผื่อ ผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุเสมอ สําหรับ 5.5.16.1 ลูกหนี้การค้าหรือสินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญาที่เกิดจากรายการที่อยู่ภายใต้ ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 และ 5.5.16.1.1 ไม่มีองค์ประกอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินที่มีนัยสําคัญตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ( หรือ เมื่อกิจการใช้ วิธีผ่อนปรนในทางปฏิบัติตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 63 ของ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15) หรือ 5.5.16.1.2 มีองค์ประกอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินที่มีนัยสําคัญตามมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ถ้ากิจการเลือกนโยบาย การบัญชีในการวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินที่ เท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ นโยบายการบัญชีดังกล่าวต้องถือปฏิบัติกับลูกหนี้การค้าหรือ สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญาทั้งหมด แต่อาจถือปฏิบัติแยกกัน ระหว่างลูกหนี้การค้ากับสินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา 5.5.16.2 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าที่เกิดจากรายการที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 หากกิจการเลือกนโยบายการบัญชีใน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 34 การวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ นโยบายการบัญชีดังกล่าวต้องถือปฏิบัติกับลูกหนี้ตาม สัญญาเช่าทั้งหมด แต่อาจถือปฏิบัติแยกกันระหว่างลูกหนี้ตามสัญญาเช่า การเงินและลูกหนี้ตามสัญญาเช่าดําเนินงาน 5.5.17 กิจการอาจเลือกนโยบายการบัญชีสําหรับลูกหนี้การค้า ลูกหนี้ตามสัญญาเช่า และสินทรัพย์ที่เกิดจาก สัญญา โดยอิสระจากกันได้ การวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 5.5.18 กิจการต้องวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเครื่องมือทางการเงิน โดยวิธีการที่สะท้อนถึงเรื่องต่อไปนี้ 5.5.18.1 จํานวนเงินที่คํานึงถึงความน่าจะเป็นถ่วงนํ้าหนักและปราศจากอคติ ซึ่งพิจารณา จากการประเมินช่วงของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ 5.5.18.2 มูลค่าเงินตามเวลา และ 5.5.18.3 ข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความ พยายามที่มากเกินไป ณ วันที่รายงาน เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต สภาพการณ์ ปัจจุบัน และการพยากรณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต 5.5.19 ในการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการไม่จําเป็นต้องระบุสถานการณ์ ที่เป็นไปได้ทุกฉากทัศน์ อย่างไรก็ตาม กิจการต้องพิจารณาความเสี่ยงหรือความน่าจะเป็นที่ ผลขาดทุนด้านเครดิตจะเกิดขึ้น โดยสะท้อนทั้งความน่าจะเป็นที่ผลขาดทุนด้านเครดิตจะเกิดขึ้น และความน่าจะเป็นที่ผลขาดทุนด้านเครดิตจะไม่เกิดขึ้น แม้ว่าความน่าจะเป็นที่ผลขาดทุน ด้านเครดิตจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับตํ่ามาก 5.5.20 ช่วงระยะเวลาที่ยาวที่สุดที่ใช้ในการพิจารณาในการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้น คือระยะเวลาที่ยาวที่สุดตามสัญญา ( รวมถึงสิทธิเลือกที่จะขยายระยะเวลา ) ซึ่งกิจการ มีฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต และไม่มีระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั้น แม้ว่าระยะเวลา ที่ยาวนานกว่านั้นจะสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติในการดําเนินธุรกิจก็ตาม 5.5.21 อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทางการเงินบางประเภทประกอบด้วยเงินให้กู้ยืมและข้อผูกมัดที่ยังไม่ใช้ และความสามารถตามสัญญาของกิจการในการเรียกร้องให้จ่ายชําระและยกเลิกข้อผูกมัดที่ยังไม่ใช้ นั้นไม่ได้จํากัดฐานะเปิดต่อผลขาดทุนด้านเครดิตของกิจการในระยะเวลาที่ทวงถามตามสัญญา สําหรับเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวเท่านั้นที่กิจการต้องวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่กิจการมีฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตและผลขาดทุนด้านเครดิต ที่ว่าจะเกิดขึ้นนี้จะไม่ลดลงด้วยมาตรการในการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต แม้ว่าระยะเวลา ดังกล่าวขยายเกินกว่าระยะเวลาที่ยาวที่สุดตามสัญญา

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 35 5.6 ผลกําไรและขาดทุน 5.6.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน เว้นแต่ 5.6.1.1 เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.7 ถึง 6.5.13 และหากกิจการมีการป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยง อัตราดอกเบี้ยแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอ (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิจการสามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป ) หรือ 5.6.1.2 เป็นหนี้สินทางการเงินที่กิจการเลือกกําหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุน และกิจการต้องแสดงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงใน ความเสี่ยงด้านเครดิต ของหนี้สินในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 4.4.1.4 5.6.1.3 เป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย และกิจการต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.6.8 5.6.1 ก เงินปันผล ให้รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนก็ต่อเมื่อ 5.6.1 ก .1 กิจการมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผล 5.6.1 ก .2 มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของเงินปันผลนั้น และ 5.6.1 ก .3 กิจการสามารถวัดมูลค่าจํานวนเงินของเงินปันผลได้อย่างน่าเชื่อถือ 5.6.2 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายและไม่เป็น ส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.7 ถึง 6.5.13 และ หากกิจการมีการป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยแบบเป็น พอร์ตโฟลิโอ (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิจการสามารถ เลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป ) ต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน เมื่อสินทรัพย์ ทางการเงินนั้นมีการเลิกรับรู้รายการหรือมีการจัดประเภทรายการใหม่ตามย่อหน้าที่ 4.4.1.2 หรือผ่านกระบวนการตัดจําหน่าย หรือเพื่อรับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ถ้ากิจการ จัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินออกจากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุน ตัดจําหน่าย กิจการต้องถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.4.1.2 และ 4.4.1.4 ผลกําไรหรือขาดทุน จากหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเมื่อหนี้สินทางการเงิน นั้นมีการเลิกรับรู้รายการและผ่านกระบวนการตัดจําหน่าย ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.2 สําหรับ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ) 5.6.3 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่เป็นรายการที่มี การป ้ องกันความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงต้องรับรู้ตามย่อหน้าที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 36 6.5.7 ถึง 6.5.13 และหากกิจการมีการป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยง อัตราดอกเบี้ยแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอ (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิจการสามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป 5.6.4 หากกิจการรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินโดยใช้การบัญชีวันชําระ ( ดูย่อหน้าที่ 3.1.2 ข 3.1.3 และ ข 3.1.6) สําหรับสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายไม่ให้รับรู้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่จะได้รับระหว่างช่วงเวลาตั้งแต่วันซื้อขายและวันจ่ายชําระ อย่างไรก็ตาม สําหรับสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม การเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนหรือในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 5.6.1 วันซื้อขายถือเป็นวันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกเพื่อวัตถุประสงค์ใน การถือปฏิบัติตามข้อกําหนดการด้อยค่า หนี้สินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 5.6.5 กิจการต้องแสดงผลกําไรหรือขาดทุนจากหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.2 หรือย่อหน้าที่ 4.3.4 ดังต่อไปนี้ 5.6.5.1 จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงินที่เป็นผล จากการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินนั้นต้องแสดงในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.13 ถึง ข 5.6.20) และ 5.6.5.2 จํานวนเงินคงเหลือจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินดังกล่าว ต้องแสดงในกําไรหรือขาดทุน เว้นแต่การปฏิบัติต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ตามที่อธิบายไว้ในย่อหน้าที่ 5.6.5.1 จะก่อให้เกิดหรือขยายการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุน ( ในกรณีดังกล่าวให้ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 5.6.6) ย่อหน้าที่ ข 5.6.5 ถึง ข 5.6.7 และ ข 5.6.10 ถึง ข 5.6.12 ให้แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ การพิจารณาว่ามีการก่อให้เกิดหรือขยายการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชีหรือไม่ 5.6.6 หากข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.6.5 ก่อให้เกิดหรือขยายการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุน กิจการต้องแสดงผลกําไรหรือขาดทุนทั้งหมดของหนี้สิน ( รวมถึงผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินนั้น ) ในกําไรหรือขาดทุน 5.6.7 ถึงแม้จะมีข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6 กิจการต้องแสดงผลกําไรและขาดทุนทั้งหมด ที่เกิดจากข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในกําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 37 สินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น 5.6.8 ผลกําไรหรือขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ต้องรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ยกเว้นผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ( ดูหมวดที่ 5.5) และผลกําไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของ ตราสารหนี้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.2 ถึง ข 5.6.2 ก ) จนกระทั่งมีการเลิกรับรู้รายการหรือ จัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เมื่อมีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ ทางการเงิน ผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อนหน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ให้จัดประเภทรายการใหม่จากส่วนของเจ้าของไปยังกําไรหรือขาดทุนซึ่งถือเป็นการปรับปรุงการ จัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) หากมีการจัดประเภทรายการใหม่ สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินออกจากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น กิจการต้องถือปฏิบัติกับผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อนหน้า ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ดอกเบี้ยที่คํานวณโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริงให้รับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน สําหรับแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศของตราสารทุน ให้ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.3 5.6.9 ตามที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 5.6.8 หากตราสารหนี้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จํานวนเงินที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเป็นจํานวนเงินเดียวกับจํานวนเงิน ที่จะรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเสมือนว่าสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าววัดมูลค่าด้วยราคาทุน ตัดจําหน่าย บทที่ 6 การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.1 วัตถุประสงค์และขอบเขตของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.1.1 การบัญชีป้องกันความเสี่ยงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลกระทบในงบการเงิน ซึ่งเกิดจาก กิจกรรมการบริหารความเสี่ยงของกิจการที่ใช้เครื่องมือทางการเงินในการจัดการฐานะเปิด ที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยงนั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน วิธีการดังกล่าวมีเป้าหมาย ในการแสดงถึงบริบทของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงภายใต้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่เกิดขึ้น 6.1.2 กิจการอาจเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง และรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.2.1 ถึง 6.3.7 และย่อหน้าที่ ข 6.2.1 ถึง ข 6.3.25 สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข กิจการต้อง ถือปฏิบัติกับผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.5.1 ถึง 6.5.13 และย่อหน้าที่ ข 6.5.1 ถึง ข 6.5.28 สําหรับรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นกลุ่มรายการ กิจการต้องถือปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กําหนดเพิ่มเติม ตามย่อหน้าที่ 6.6.1 ถึง 6.6.6 และ ย่อหน้าที่ ข 6.6.1 ถึง ข 6.6.16

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 38 6.1.3 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมต่อฐานะเปิดต่อความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยของ พอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ( และเพียงแค่การป้องกันความเสี่ยงนี้ เท่านั้น ) กิจการสามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป ทั้งนี้ให้กิจการเปิดเผย ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว 6.2 เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง เครื่องมือที่เข้าเงื่อนไข 6.2.1 กิจการอาจเลือกกําหนดให้อนุพันธ์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็น เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ยกเว้นสิทธิเลือกซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรบางประเภท ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.2.4) 6.2.2 กิจการอาจเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์หรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่ อนุพันธ์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกัน ความเสี่ยง ยกเว้นหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุนที่การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงใน ความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินดังกล่าวแสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามข้อกําหนด ในย่อหน้าที่ 5.6.5 สําหรับการป ้ องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ องค์ประกอบของ ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์หรือหนี้สิน ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์อาจเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง 6.2.3 เพื่อวัตถุประสงค์ของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง เฉพาะสัญญากับคู่สัญญาภายนอกกิจการ ที่เสนอรายงานเท่านั้น ( เช่น ภายนอกกลุ่มกิจการหรือกิจการที่รายงาน ) ที่สามารถเลือกกําหนด ให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง การเลือกกําหนดเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง 6.2 . 4 เครื่องมือที่เข้าเงื่อนไขต้องเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจํานวน ยกเว้น กรณีดังต่อไปนี้ 6.2.4.1 กิจการแยกมูลค่าที่แท้จริงและมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกออกจากกัน และกิจการ เลือกกําหนดให้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกเท่านั้น โดยไม่รวม การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามเวลาเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.14 และย่อหน้าที่ ข 6.5.29 ถึง ข 6.5.33) 6.2.4.2 กิจการแยกองค์ประกอบราคาล่วงหน้าและองค์ประกอบราคาปัจจุบันของสัญญา ฟอร์เวิร์ดออกจากกัน และกิจการเลือกกําหนดให้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของ องค์ประกอบราคาปัจจุบันของสัญญาฟอร์เวิร์ดเท่านั้น โดยไม่รวมองค์ประกอบราคา ล่วงหน้า เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ในทํานองเดียวกัน ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 39 เงินตราต่างประเทศอาจแยกจากและไม่รวมในการเลือกกําหนดเครื่องมือทางการเงิน ให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.15 และย่อหน้าที่ ข 6.5.34 ถึง ข 6.5.39) และ 6.2.4.3 กิจการอาจเลือกกําหนดให้สัดส่วนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( เช่น ร้อยละ 50 ของจํานวนเงินที่กําหนดไว้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม กิจการไม่อาจเลือกกําหนดให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมที่เกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งของระยะเวลาระหว่าง ที่เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงยังมีผลอยู่เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 6.2.5 กลุ่มของรายการต่อไปนี้ กิจการอาจพิจารณารวมกันและเลือกกําหนดร่วมกันให้เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงที่เกิดจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงบางรายการหักกลบกับความเสี่ยงที่เกิดจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงอื่น ) 6.2.5.1 อนุพันธ์หรือสัดส่วนของอนุพันธ์ และ 6.2.5.2 รายการที่ไม่ใช่อนุพันธ์หรือสัดส่วนของรายการที่ไม่ใช่อนุพันธ์ 6.2.6 อย่างไรก็ตาม ตราสารอนุพันธ์ทางการเงินซึ่งรวมสิทธิเลือกที่เป็นลายลักษณ์อักษรและสิทธิเลือก ที่กิจการซื้อ ( ตัวอย่างเช่น สิทธิเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคอลล่าร์ ) ไม่เข้าเงื่อนไขในการเป็น เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง หากรายการดังกล่าวให้ผลเหมือนสิทธิเลือกที่เป็นลายลักษณ์ อักษรที่หักกลบได้ ณ วันที่เลือกกําหนด ( เว้นแต่เข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ ข 6.2.4) ในทํานอง เดียวกัน เครื่องมือทางการเงินตั้งแต่สองรายการขึ้นไป ( หรือสัดส่วนของเครื่องมือทางการเงินนั้น ) อาจเลือกกําหนดแบบร่วมกันให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเฉพาะเมื่อการรวมกันแล้ว ให้ผลไม่เหมือนสิทธิเลือกที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่หักกลบได้ ณ วันที่เลือกกําหนด ( เว้นแต่เข้า เงื่อนไขตามย่อหน้าที่ ข 6.2.4) 6.3 รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง รายการที่เข้าเงื่อนไข 6 .3.1 รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงสามารถเป็นได้ทั้งสินทรัพย์หรือหนี้สินที่ได้รับรู้รายการแล้ว ข้อผูกมัดที่แน่นหนา ที่ยังไม่ได้รับรู้รายการ รายการที่คาดการณ์ หรือเงินลงทุนสุทธิใน หน่วยงานต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ 6.3.1.1 รายการเดี่ยว หรือ 6.3.1.2 กลุ่มของรายการ ( ให้ปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.6.1 ถึง 6.6.6 และย่อหน้าที่ ข 6.6.1 ถึง ข 6.6.16) รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงสามารถเป็นส่วนประกอบของรายการหรือกลุ่มของ รายการดังกล่าวได้ ( ดูย่อหน้าที่ 6.3.7 และย่อหน้าที่ ข 6.3.7 ถึง ข 6.3.25) 6.3.2 รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงต้องวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 40 6.3.3 หากรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงเป็นรายการที่คาดการณ์ ( หรือส่วนประกอบของ รายการที่คาดการณ์ ) รายการนั้นต้องมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมาก 6.3.4 ฐานะเปิดโดยรวมซึ่งเป็นการรวมกันของฐานะเปิดที่เข้าเงื่อนไขของรายการที่มีการป ้ องกัน ความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.3.1 และอนุพันธ์อาจเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป ้ องกัน ความเสี่ยงได้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.3.3 ถึง ข 6.3.4) นอกจากนี้รายการที่คาดการณ์ของฐานะเปิด โดยรวม ( กล่าวคือ รายการที่ไม่มีข้อผูกมัดแต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งจะก่อให้เกิด ฐานะเปิดและอนุพันธ์ ) ถือเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ถ้าฐานะเปิดโดยรวม มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมาก และเมื่อรายการดังกล่าวเกิดขึ้นก็จะไม่เป็น รายการคาดการณ์อีกต่อไป 6.3.5 ตามวัตถุประสงค์ของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง สินทรัพย์ หนี้สิน ข้อผูกมัดที่แน่นหนา หรือรายการที่คาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากกับคู่สัญญาภายนอก กิจการที่เสนอรายงานเท่านั้น สามารถเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงสามารถถือปฏิบัติกับรายการระหว่างกิจการในกลุ่มกิจการ เดียวกันได้เฉพาะงบการเงินแต่ละกิจการหรืองบการเงินเฉพาะของกิจการเหล่านั้นเท่านั้น โดยไม่สามารถนําไปถือปฏิบัติกับงบการเงินรวมของกลุ่มกิจการ ยกเว้นงบการเงินรวมของ กิจการที่ดําเนินธุรกิจด้านการลงทุนตามที่กําหนดในมาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 10 ซึ่งรายการระหว่างกิจการที่ดําเนินธุรกิจด้านการลงทุนและบริษัทย่อยที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน จะไม่มีการตัดรายการระหว่างกันในการจัดทํางบการเงินรวม 6.3.6 อย่างไรก็ตาม ย่อหน้าที่ 6.3.5 ไม่ใช้สําหรับรายการต่อไปนี้ ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของ รายการที่เป็นตัวเงินระหว่างกันในกลุ่มกิจการ ( เช่น เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ระหว่างบริษัทย่อยสองบริษัท ) อาจเข้าเงื่อนไขถือเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในงบการเงินรวมได้ หากรายการดังกล่าว ก่อให้เกิดฐานะเปิดต่อกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไม่มี การตัดรายการระหว่างกันได้อย่างครบทั้งหมดในการจัดทํางบการเงินรวมตามข้อกําหนดของ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 เรื่อง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 กําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศของรายการที่เป็นตัวเงินระหว่างกันในกลุ่มกิจการไม่ถือว่ามีการตัดรายการ ระหว่างกันได้อย่างครบทั้งหมดในการจัดทํางบการเงินรวม เมื่อรายการที่เป็นตัวเงินระหว่างกันใน กลุ่มกิจการนั้นเป็นรายการซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสองกิจการในกลุ่มกิจการที่มีสกุลเงินที่ใช้ใน การดําเนินงานแตกต่างกัน นอกจากนั้น ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของรายการระหว่างกันใน กลุ่มกิจการที่คาดการณ์ซึ่งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมาก อาจเข้าเงื่อนไขเป็น รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในงบการเงินรวมได้ หากรายการดังกล่าวเป็นรายการที่กําหนด ด้วยสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานของกิจการที่เข้าทํารายการ และความเสี่ยง เงินตราต่างประเทศนี้จะส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุนรวม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 41 การเลือกกําหนดรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง 6.3.7 กิจการอาจเลือกกําหนดรายการทั้งจํานวนหรือส่วนประกอบของรายการเป็นรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง รายการทั้งจํานวน ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในกระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมของรายการนั้น ส่วนประกอบของรายการประกอบด้วยเพียงบางส่วนของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ทั้งจํานวนหรือความผันผวนของกระแสเงินสดทั้งจํานวนของรายการ ในกรณีดังกล่าว กิจการอาจ เลือกกําหนดให้ประเภทของส่วนประกอบ ( รวมถึงการรวมส่วนประกอบ ) ดังต่อไปนี้เท่านั้น เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง 6.3.7.1 เฉพาะการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมของรายการอันเนื่องมาจาก ความเสี่ยงหนึ่งหรือหลายความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง ( ส่วนประกอบความเสี่ยง ) หากส่วนประกอบความเสี่ยงดังกล่าวสามารถระบุแยกต่างหากได้และวัดมูลค่า ได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยอาศัยการประเมินภายใต้บริบทของโครงสร้างตลาดใดโครงสร้างหนึ่ง ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.3.8 ถึง ข 6.3.15) ส่วนประกอบความเสี่ยงนั้นให้รวมถึงการเลือกกําหนด เฉพาะแค่การเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงที่สูงกว่าหรือตํ่ากว่าเมื่อเทียบกับราคาที่กําหนดหรือตัวแปรอื่นๆ ( ความเสี่ยง ด้านเดียว ) 6.3.7.2 กระแสเงินสดตามสัญญาที่เลือกไว้หนึ่งรายการหรือมากกว่า 6.3.7.3 ส่วนประกอบของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ กล่าวคือ ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ระบุไว้ของจํานวน เงินของรายการ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.3.16 ถึง ข 6.3.20) 6.4 การเข้าเงื่อนไขการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 6.4.1 ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงเข้าเงื่อนไขการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงเมื่อเป็น ไปตามเกณฑ์ทุกข้อดังต่อไปนี้ 6.4.1.1 ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงประกอบด้วยเพียงเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกัน ความเสี่ยงและรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงที่สามารถนํามาใช้ได้ใน ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงเท่านั้น 6.4.1.2 ณ การเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง กิจการมีการเลือก กําหนดและการจัดทําเอกสารที่เป็นทางการซึ่งระบุถึงความสัมพันธ์ของ การป ้ องกันความเสี่ยง และวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง ของกิจการในการป ้ องกันความเสี่ยง เอกสารดังกล่าวต้องระบุถึงเครื่องมือที่ใช้ ป ้ องกันความเสี่ยง รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ธรรมชาติของความเสี่ยงที่ ป ้ องกัน และวิธีการที่กิจการใช้ในการประเมินว่าความสัมพันธ์ของการป ้ องกัน ความเสี่ยงเป็นไปตามข้อกําหนดความมีประสิทธิผลในการป ้ องกันความเสี่ยง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 42 ( รวมถึงการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความไม่มีประสิทธิผลและวิธีการในการกําหนด อัตราส่วนการป ้ องกันความเสี่ยง ) 6.4.1.3 ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงเป็นไปตามข้อกําหนดของความมี ประสิทธิผลในการป ้ องกันความเสี่ยงทุกข้อดังต่อไปนี้ 6.4.1.3.1 มีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง และเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.4 ถึง ข 6.4.6) 6.4.1.3.2 ผลกระทบของความเสี่ยงด้านเครดิตไม่เหนือกว่าการเปลี่ยนแปลง มูลค่าอันเกิดจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.7 ถึง ข 6.4.8) และ 6.4.1.3.3 อัตราส่วนการป ้ องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์ของการป ้ องกัน ความเสี่ยงเท่ากับอัตราส่วนของปริมาณของรายการที่มีการป ้ องกัน ความเสี่ยงซึ่งกิจการได้ป ้ องกันความเสี่ยงต่อปริมาณของเครื่องมือ ที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงซึ่งกิจการได้ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงสําหรับ ปริมาณของรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงต้อง ไม่สะท้อนความไม่สมดุลระหว่างค่านํ้าหนักของรายการที่มี การป ้ องกันความเสี่ยงกับเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงที่จะ ก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลของการป ้ องกันความเสี่ยง ( ไม่ว่าจะรับรู้รายการแล้วหรือไม่ ) ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางบัญชีที่ จะไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.9 ถึง ข 6.4.11) 6.5 การบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข 6.5.1 กิจการถือปฏิบัติตามการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงกับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ที่เข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 6.4.1 ( ซึ่งรวมถึงการที่กิจการตัดสินใจเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของ การป ้ องกันความเสี่ยง ) 6.5.2 ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้ 6.5.2.1 การป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม คือ การป ้ องกันความเสี่ยงของฐานะ เปิดต่อการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์หรือหนี้สินที่รับรู้รายการ แล้ว หรือข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่ยังไม่ได้รับรู้รายการ หรือส่วนประกอบของ รายการดังกล่าวข้างต้น อันเนื่องมาจากความเสี่ยงใดความเสี่ยงหนึ่งและมี ผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 43 6.5.2.2 การป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด คือ การป ้ องกันความเสี่ยงของฐานะ เปิดต่อความผันผวนของกระแสเงินสด อันเนื่องมาจากความเสี่ยงใดความเสี่ยง หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์หรือหนี้สินที่รับรู้รายการแล้ว ( เช่น การจ่ายชําระ ดอกเบี้ยในอนาคตทั้งหมดหรือบางส่วนของหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ) หรือรายการที่คาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมาก หรือ ส่วนประกอบของรายการดังกล่าวข้างต้น และมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน 6.5.2.3 การป ้ องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศตามที่นิยามไว้ ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 6.5.3 การป้องกันความเสี่ยงของความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของข้อผูกมัดที่แน่นหนา อาจถือปฏิบัติ ตามการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมหรือการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด 6.5.4 หากความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงยุติการเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผล ในการป ้ องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับอัตราส่วนการป ้ องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.4.1.3.3) แต่วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงสําหรับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ที่เลือกกําหนดไว้ยังคงเป็นเช่นเดิม กิจการต้องปรับอัตราส่วนการป ้ องกันความเสี่ยงของ ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงนั้นเพื่อให้กลับมาเป็นไปตามข้อกําหนดของ ความมีประสิทธิผลในการป ้ องกันความเสี่ยง ( หรือสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าการปรับ สมดุล (rebalancing) ดูย่อหน้าที่ ข 6.5.7 ถึง ข 6.5.21) 6.5.5 กิจการต้องยกเลิกการใช้การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงโดยทันทีเป็นต้นไป เฉพาะเมื่อ ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ( หรือบางส่วนของความสัมพันธ์ของการป ้ องกัน ความเสี่ยง ) ยุติการเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป ้ องกันความเสี่ยง ( หลังจากการพิจารณาการปรับสมดุลของความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ถ้าสามารถปฏิบัติได้ ) ทั้งนี้ให้รวมถึงเหตุการณ์ที่เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงหมดอายุ หรือขาย ยกเลิกหรือใช้สิทธิ ในการนี้การทดแทนหรือการต่ออายุเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกัน ความเสี่ยงหนึ่งให้เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการหมดอายุ หรือยกเลิก หากการทําสัญญาใหม่ทดแทนหรือการต่ออายุเป็นส่วนหนึ่งและสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงที่บันทึกไว้ นอกจากนี้ในการนี้ เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกัน ความเสี่ยงไม่ถือว่าหมดอายุหรือยกเลิก หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ 6.5.5.1 ผลทางกฎหมายหรือข้อบังคับ หรือผลจากการออกกฎหมายหรือข้อบังคับทําให้ คู่สัญญาของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงตกลงกันให้คู่สัญญาหักบัญชีไม่ว่า จะหนึ่งรายหรือหลายรายเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่ของแต่ละฝ่ายแทนที่คู่สัญญาเดิม ในการนี้ คู่สัญญาหักบัญชี หมายถึง คู่สัญญากลาง ( บางครั้งเรียกว่า องค์กร หักบัญชี หรือ ตัวแทนหักบัญชี ) หรือกิจการหนึ่งหรือหลายกิจการ เช่น สมาชิก หักบัญชีขององค์กรหักบัญชี หรือลูกค้าของสมาชิกหักบัญชีขององค์กรหักบัญชี ที่ทําหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาที่ทําให้มีการหักบัญชีโดยคู่สัญญากลาง อย่างไรก็ตาม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 44 เมื่อคู่สัญญาของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงทดแทนคู่สัญญาเดิมด้วย คู่สัญญาที่ต่างไป และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีการหักบัญชีโดยใช้คู่สัญญากลาง รายเดียวกันให้ถือว่าเป็นไปตามข้อกําหนดตามย่อหน้าย่อยนี้ 6.5.5.2 การเปลี่ยนแปลงอื่น ( ถ้ามี ) ในเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงให้จํากัดเพียง เท่าที่จําเป็นเพื่อทําให้เกิดการทดแทนคู่สัญญาดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงข้างต้น ให้จํากัดเพียงเท่าที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่อาจจะมีขึ้นได้ หากเครื่องมือที่ใช้ ป ้ องกันความเสี่ยงดังกล่าวได้หักบัญชีตั้งแต่แรกโดยคู่สัญญาหักบัญชี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในข้อกําหนดเกี่ยวกับหลักประกัน สิทธิในการหักกลบยอดคงค้างของลูกหนี้และเจ้าหนี้ และค่าธรรมเนียมตาม กฎหมาย การยกเลิกการใช้การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงสามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์ของการป ้ องกัน ความเสี่ยงทั้งจํานวนหรือเพียงบางส่วนก็ได้ ( ซึ่งหากเป็นกรณีหลังให้ใช้การบัญชีป ้ องกัน ความเสี่ยงต่อไปกับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงส่วนที่เหลือ ) 6.5.6 กิจการต้องถือปฏิบัติตาม 6.5.6.1 ย่อหน้าที่ 6.5.9 เมื่อกิจการยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับ การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมซึ่งรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็น ( หรือเป็นส่วนประกอบของ ) เครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย และ 6.5.6.2 ย่อหน้าที่ 6.5.11 เมื่อยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับป้องกัน ความเสี่ยงในกระแสเงินสด การป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม 6.5.7 ตราบที่การป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมยังคงเข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 6.4.1 ให้กิจการถือปฏิบัติกับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 6.5.7.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงต้องรับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน 6.5.7.2 ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป ้ องกันความเสี่ยงของรายการที่ มี การป ้ องกันความเสี่ยง ต้องนําไปปรับปรุงกับมูลค่าตามบัญชีของรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงนั้น ( ถ้าสามารถปฏิบัติได้ ) และต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ในกรณีที่รายการที่มี การป ้ องกันความเสี่ยงเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือเป็นส่วนประกอบของ สินทรัพย์ทางการเงิน ) ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.2.1.2 ให้รับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป ้ องกันความเสี่ยงของ รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงในกําไรหรือขาดทุน ในกรณีที่รายการที่มี การป ้ องกันความเสี่ยงนั้นเป็นข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่ยังไม่ได้รับรู้รายการ ( หรือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 45 ส่วนประกอบของข้อผูกมัดที่แน่นหนา ) ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมของรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงนับตั้งแต่การเลือกกําหนด ให้เป็นรายการที่การป ้ องกันความเสี่ยงให้รับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน พร้อมกับ รับรู้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลกําไรหรือขาดทุนในกําไรหรือขาดทุน 6.5.8 เมื่อรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมเป็นข้อผูกมัดที่แน่นหนา ( หรือเป็น ส่วนประกอบของข้อผูกมัดที่แน่นหนา ) เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์หรือก่อให้เกิดหนี้สิน ให้กิจการ ปรับมูลค่าตามบัญชีเมื่อเริ่มแรกของสินทรัพย์หรือหนี้สินซึ่งเป็นผลจากการที่กิจการได้ปฏิบัติ ตามข้อผูกมัดที่แน่นหนา ด้วยผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงที่เคยรับรู้ไว้ในงบฐานะการเงิน 6.5.9 การปรับปรุงใดๆ ที่เกิดขึ้นตามย่อหน้าที่ 6.5.7.2 ต้องตัดจําหน่ายไปยังกําไรหรือขาดทุน หากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็นเครื่องมือทางการเงิน ( หรือเป็นส่วนประกอบของ เครื่องมือทางการเงิน ) ที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย การตัดจําหน่ายอาจเริ่มต้นทันที ที่มีการปรับปรุงเกิดขึ้น และต้องเริ่มก่อนที่รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้นยุติที่จะมีการปรับปรุง ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงนั้น การตัดจําหน่ายดังกล่าวคํานวณโดยใช้อัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงที่คํานวณใหม่ ณ วันที่เริ่มการตัดจําหน่าย ในกรณีของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือเป็นส่วนประกอบของสินทรัพย์ทางการเงิน ) ที่เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.2.1.2 ให้ตัดจําหน่าย ในลักษณะเดียวกัน แต่ใช้จํานวนเงินซึ่งเป็นผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่เคยรับรู้ก่อนหน้า ตามย่อหน้าที่ 6.5.7.2 โดยไม่ปรับปรุงกับมูลค่าตามบัญชี การป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด 6.5.10 ตราบที่การป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดเป็นไปตามเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 6.4.1 ความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงต้องถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ 6.5.10.1 ให้ปรับปรุงส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของซึ่งเกี่ยวข้องกับ รายการที่ มี การป ้ องกันความเสี่ยง ( สํารองการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ) จะปรับปรุงด้วยจํานวนที่ตํ่ากว่าของรายการใดรายการหนึ่งต่อไปนี้ ( เป็นจํานวน เงินค่าสัมบูรณ์ ) 6.5.10.1.1 ผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง นับจากการเริ่มต้นของการป ้ องกันความเสี่ยง และ 6.5.10.1.2 ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ( มูลค่าปัจจุบัน ) ของรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ( กล่าวคือ มูลค่าปัจจุบัน ของผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดอนาคต ที่คาดการณ์ที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ) โดยนับจากการเริ่มต้น ของการป ้ องกันความเสี่ยง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 46 6.5.10.2 ผลกําไรหรือขาดทุนในส่วนที่มีประสิทธิผลของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ( กล่าวคือ ส่วนที่หักกลบกับการเปลี่ยนแปลงในสํารองการป ้ องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสดที่คํานวณตามย่อหน้าที่ 6.5.10.1) ต้องรับรู้ในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น 6.5.10.3 ผลกําไรหรือขาดทุนส่วนที่เหลือของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ( หรือ ผลกําไรหรือขาดทุนที่คงเหลือของการเปลี่ยนแปลงของสํารองการป ้ องกัน ความเสี่ยงในกระแสเงินสดที่คํานวณตามย่อหน้าที่ 6.5.10.1) ถือเป็นส่วนของ การป ้ องกันความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิผลที่ต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 6.5.10.4 จํานวนเงินสะสมในสํารองการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ตามย่อหน้าที่ 6.5.10.1 ต้องถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ 6.5.10.4.1 หากรายการที่คาดการณ์ที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงทําให้เกิด การรับรู้รายการของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินหรือ หนี้สินที่ไม่ใช่หนี้สินทางการเงินในภายหลัง หรือรายการที่ คาดการณ์ที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงสําหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินที่ไม่ใช่หนี้สินทางการเงิน กลายเป็นข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่ต้องถือปฏิบัติตามการบัญชี ป ้ องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม กิจการต้องโอนจํานวนเงิน ของสํารองการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดตรงไปรวมอยู่ ในราคาทุนเริ่มแรกหรือมูลค่าตามบัญชีอื่นของสินทรัพย์หรือ หนี้สินนั้น รายการดังกล่าวไม่ถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภท รายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 ) ดังนั้นจึงไม่กระทบ กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น 6.5.10.4.2 สําหรับการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดนอกเหนือจาก รายการที่กล่าวถึงในย่อหน้าที่ 6.5.10.4.1 จํานวนเงินข้างต้น ต้องจัดประเภทรายการใหม่จากสํารองการป ้ องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสดไปเป็นกําไรหรือขาดทุนโดยถือเป็นการปรับปรุง การจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ใน รอบระยะเวลารายงานเดียวกันหรือในรอบระยะเวลารายงานที่ กระแสเงินสดอนาคตที่คาดการณ์ที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ( เช่น ในรอบระยะเวลารายงาน ที่มีการรับรู้ดอกเบี้ยรับหรือดอกเบี้ยจ่าย หรือเมื่อยอดขายที่ คาดการณ์ได้เกิดขึ้น ) 6.5.10.4.3 อย่างไรก็ตาม หากจํานวนเงินข้างต้นเป็นผลขาดทุน และกิจการ คาดว่าผลขาดทุนทั้งหมดหรือบางส่วนนั้นจะไม่ได้รับคืนภายใน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 47 หนึ่งรอบระยะเวลาในอนาคตหรือนานกว่านั้น กิจการต้องจัดประเภท รายการใหม่สําหรับจํานวนเงินที่ไม่คาดว่าจะได้รับคืนเข้ากําไร หรือขาดทุนในทันที โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภท รายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) 6.5.11 เมื่อกิจการยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.5 และ 6.5.6.2) กิจการต้องถือปฏิบัติกับจํานวนเงินที่สะสมไว้ในสํารอง การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ตามย่อหน้าที่ 6.5.10.1 ดังต่อไปนี้ 6.5.11.1 หากกระแสเงินสดอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงยังคงคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น จํานวนเงินดังกล่าวต้องคงอยู่ในสํารองการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด จนกระทั่งกระแสเงินสดอนาคตนั้นได้เกิดขึ้นหรือจนกระทั่งมีการถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 6.5.10.4.3 เมื่อกระแสเงินสดอนาคตเกิดขึ้น ให้กิจการถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 6.5.10.4 6.5.11.2 หากกระแสเงินสดอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกต่อไป จํานวนดังกล่าวต้องจัดประเภทรายการใหม่ในทันทีจากสํารองการป้องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสดไปกําไรหรือขาดทุนโดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) กระแสเงินสดอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ ไม่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากอาจจะยังคงคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ การป ้ องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ 6.5.12 การป ้ องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ ซึ่งรวมการป ้ องกัน ความเสี่ยงของรายการที่เป็นตัวเงินที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสุทธิ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21) ต้องถือปฏิบัติในทํานองคล้ายกันกับการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด 6.5.12.1 ส่วนหนึ่งของผลกําไรหรือขาดทุนของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงในส่วนที่มี ประสิทธิผลต้องรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.10) และ 6.5.12.2 ส่วนที่ไม่มีประสิทธิผลต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 6.5.13 ผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนของเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยงในส่วนที่มีประสิทธิผล ที่สะสมไว้ในสํารองการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศต้องจัดประเภทรายการใหม่จาก ส่วนของเจ้าของไปยังกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ตามย่อหน้าที่ 48 ถึง 49 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21) เกี่ยวกับการจําหน่ายหน่วยงานต่างประเทศทั้งหมดหรือบางส่วน การบัญชีสําหรับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือก 6.5.14 เมื่อกิจการแยกมูลค่าที่แท้จริงและมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกและเลือกกําหนดให้เฉพาะ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 48 6.2.4.1) กิจการต้องถือปฏิบัติกับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกดังต่อไปนี้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.5.29 ถึง ข 6.5.33) 6.5.14.1 กิจการต้องแยกความแตกต่างของมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกตามประเภทของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งใช้สิทธิเลือกในการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.5.29) ดังนี้ 6.5.14.1.1 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงแบบธุรกรรมสัมพันธ์ หรือ 6.5.14.1.2 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงแบบช่วงเวลาสัมพันธ์ 6.5.14.2 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงแบบธุรกรรมสัมพันธ์ต้องรับรู้ในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในส่วนที่เกี่ยวกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้น และ จํานวนเงินดังกล่าวต้องสะสมไว้ในส่วนประกอบแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมที่เกิดขึ้นจากมูลค่าตามเวลาของสิทธิ เลือกที่สะสมไว้ในส่วนประกอบแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ (“ จํานวนเงิน ”) นั้น ต้องถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ 6.5.14.2.1 หากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในภายหลังก่อให้เกิดการรับรู้ รายการของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินที่ไม่ใช่ หนี้สินทางการเงิน หรือ ข้อผูกมัดที่แน่นหนาสําหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินที่ไม่ใช่หนี้สินทางการเงินซึ่งถือปฏิบัติ ตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม กิจการต้องโอน “ จํานวนเงิน ” นั้นจากส่วนประกอบแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ ตรงไปราคาทุนเริ่มแรกหรือมูลค่าตามบัญชีอื่นของสินทรัพย์หรือ หนี้สินนั้น โดยไม่ถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ดังนั้นจึงไม่กระทบกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ) 6.5.14.2.2 สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนอกเหนือจาก ที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 6.5.14.2.1 จํานวนเงินนั้นต้องจัดประเภท รายการใหม่จากส่วนประกอบแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของไปกําไร หรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ภายในรอบระยะเวลารายงาน เดียวกันหรือในรอบระยะเวลารายงานซึ่งกระแสเงินสดอนาคต ที่คาดการณ์ที่มีการป้องกันความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อกําไรหรือ ขาดทุน ( เช่น เมื่อยอดขายที่คาดการณ์เกิดขึ้น ) 6.5.14.2.3 อย่างไรก็ตาม หากจํานวนเงินนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนนั้นไม่คาดว่า จะได้รับคืนภายในหนึ่งรอบระยะเวลารายงานในอนาคตหรือนานกว่านั้น จํานวนเงินนั้นที่ไม่คาดว่าจะได้รับคืนต้องจัดประเภทรายการใหม่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 49 ในทันทีไปกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภท รายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) 6.5.14.3 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงแบบช่วงเวลาสัมพันธ์ต้องรับรู้ในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้น และ ต้องสะสมในส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของ มูลค่าตามเวลา ณ วันที่ มีการเลือกกําหนดให้สิทธิเลือกเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงต้องตัดจําหน่ายอย่างเป็นระบบและ สมเหตุสมผลตลอดระยะเวลาที่การปรับปรุงการป้องกันความเสี่ยงสําหรับมูลค่า ที่แท้จริงของสิทธิเลือกส่งผลกระทบต่อกําไรหรือ ดังนั้น ในแต่ละรอบระยะเวลารายงาน จํานวนเงินที่ตัดจําหน่ายส่วนต้องจัดประเภทรายการใหม่จากส่วนประกอบแยก ต่างหากของส่วนของเจ้าของไปกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุง การจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 เรื่อง การนําเสนอ งบการเงิน ) อย่างไรก็ตาม หากมีการยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่แท้จริงของ สิทธิเลือกเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องจัดประเภทรายการใหม่ ในทันทีสําหรับจํานวนเงินสุทธิ ( กล่าวคือ รวมการตัดจําหน่ายสะสม ) ที่สะสมไว้ ในส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของต้องไปยังกําไรหรือขาดทุน โดยถือ เป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) การบัญชีสําหรับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดและส่วนต่างอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงิน 6.5.15 เมื่อกิจการแยกองค์ประกอบราคาล่วงหน้าและองค์ประกอบราคาปัจจุบันของสัญญาฟอร์เวิร์ด และเลือกกําหนดให้เฉพาะการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าขององค์ประกอบราคาปัจจุบันของสัญญา ฟอร์เวิร์ดเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง หรือเมื่อกิจการแยกส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศออกจากเครื่องมือทางการเงินและไม่รวมรายการดังกล่าวในการเลือก กําหนดให้เครื่องมือทางการเงินนั้นเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.2.4.2) กิจการอาจถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.5.14 กับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ด หรือส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในลักษณะเดียวกันกับการถือปฏิบัติต่อมูลค่า ตามเวลาของสิทธิเลือกในกรณีดังกล่าว กิจการต้องถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติตามย่อหน้าที่ ข 6.5.34 ถึง ข 6.5.39

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 50 6.6 การป ้ องกันความเสี่ยงของกลุ่มของรายการ การที่กลุ่มของรายการสามารถถือเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง 6.6.1 กลุ่มของรายการ ( รวมถึงกลุ่มของรายการที่รวมกันเป็นฐานะสุทธิ ดูย่อหน้าที่ ข 6.6.1 ถึง ข 6.6.8) สามารถเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงได้เฉพาะเมื่อ 6.6.1.1 กลุ่มของรายการประกอบไปด้วยรายการ ( รวมถึงส่วนประกอบของรายการ ) ที่แต่ละรายการสามารถเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงได้ 6.6.1.2 รายการต่างๆ ในกลุ่มมีการบริหารรวมกันแบบกลุ่มเพื่อวัตถุประสงค์ของ การบริหารความเสี่ยง และ 6.6.1.3 ในกรณีของการป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดของกลุ่มของรายการที่มี ความผันผวนในกระแสเงินสดที่ไม่คาดว่าจะเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับความผันผวน โดยรวมในกระแสเงินสดของกลุ่มของรายการ จนทําให้เกิดการหักกลบฐานะ ความเสี่ยง 6.6.1.3.1 ให้ถือเป็นการป ้ องกันความเสี่ยงของความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ และ 6.6.1.3.2 การเลือกกําหนดฐานะสุทธิดังกล่าวระบุรอบระยะเวลารายงานที่ รายการที่คาดการณ์คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน รวมถึงธรรมชาติและปริมาณด้วย ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.6.7 ถึง ข 6.6.8) การเลือกกําหนดของส่วนประกอบของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ 6.6.2 ส่วนประกอบที่เป็นสัดส่วนของกลุ่มของรายการที่เป็นไปตามเกณฑ์ถือเป็นรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงที่เป็นไปตามเกณฑ์ หากการเลือกกําหนดนี้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการบริหาร ความเสี่ยงของกิจการ 6.6.3 ส่วนประกอบลําดับชั้นในกลุ่มรายการโดยรวม ( เช่น ลําดับชั้นล่างสุด ) สามารถถือปฏิบัติตาม การบัญชีป้องกันความเสี่ยงได้เฉพาะเมื่อ 6.6.3.1 ส่วนประกอบลําดับชั้นดังกล่าวสามารถระบุแยกต่างหากได้และวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ 6.6.3.2 วัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงคือการป้องกันความเสี่ยงส่วนประกอบลําดับชั้น 6.6.3.3 รายการในกลุ่มของรายการโดยรวมที่ซึ่งมีลําดับชั้นระบุไว้ในกลุ่มนั้น มีฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงที่มีการป้องกันความเสี่ยงประเภทเดียวกัน ( เพื่อให้การวัดมูลค่าของลําดับขั้น ที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญจากรายการใดรายการหนึ่ง ในกลุ่มของรายการโดยรวมซึ่งรวมกันขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของลําดับขั้นที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง ) 6.6.3.4 ในการป้องกันความเสี่ยงของรายการที่มีอยู่ ( เช่น ข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่ยังไม่ได้รับรู้ รายการ หรือสินทรัพย์ที่รับรู้รายการ ) กิจการสามารถระบุและติดตามกลุ่มของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 51 รายการโดยรวมที่มีการระบุลําดับชั้นที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( เพื่อให้กิจการ สามารถปฏิบัติตามข้อกําหนดของการบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข ) และ 6.6.3.5 รายการใดๆ ในกลุ่มของรายการที่มีสิทธิเลือกที่จะจ่ายชําระก่อนครบกําหนดให้ถือว่า เข้าเงื่อนไขของข้อกําหนดสําหรับส่วนประกอบของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.3.20) การแสดงรายการ 6.6.4 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงของกลุ่มของรายการที่มีฐานะความเสี่ยงที่หักกลบ ( กล่าวคือ ในการป้องกันความเสี่ยงฐานะสุทธิ ) ซึ่งความเสี่ยงที่ได้รับการป้องกันเสี่ยงของกลุ่มของรายการ ส่งผลกระทบต่อรายการรายบรรทัดที่หลากหลายในงบกําไรขาดทุนและกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ให้แสดงผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงในงบการเงินดังกล่าวเป็นรายการ รายบรรทัดแยกต่างหากจากรายการที่ได้รับผลกระทบจากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น ในงบการเงินดังกล่าว จํานวนเงินในรายการรายบรรทัดที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง ( เช่น รายได้ หรือ ต้นทุนขาย ) ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ 6.6.5 สําหรับสินทรัพย์และหนี้สินที่มีการป้องกันความเสี่ยงร่วมกันเป็นกลุ่มในการป้องกันความเสี่ยง ในมูลค่ายุติธรรม กิจการต้องรับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนของสินทรัพย์และหนี้สินแต่ละรายการ ในงบฐานะการเงินโดยเป็นรายการปรับปรุงของมูลค่าตามบัญชีของรายการแต่ละรายการ ดังกล่าวซึ่งรวมกันเป็นกลุ่มของรายการตามย่อหน้าที่ 6.5.7.2 ฐานะสุทธิเป็นศูนย์ 6.6.6 เมื่อรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็นกลุ่มซึ่งเป็นฐานะสุทธิเป็นศูนย์ ( กล่าวคือ รายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงหักกลบอย่างสมบูรณ์ด้วยกันเองกับความเสี่ยงที่มีการบริหารแบบกลุ่ม ) กิจการสามารถเลือกกําหนดให้รายการดังกล่าวอยู่ในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง โดยไม่มีเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง หากเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้ 6.6.6.1 การป้องกันความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงของความเสี่ยง สุทธิที่มีความต่อเนื่อง โดยที่กิจการป้องกันความเสี่ยงฐานะประเภทเดิมที่ทําขึ้นใหม่ อย่างเป็นประจําเมื่อเวลาผ่านไป ( เช่น เมื่อรายการนั้นเข้าใกล้ช่วงเวลาที่กิจการ ป้องกันความเสี่ยง ) 6.6.6.2 ขนาดของฐานะสุทธิที่มีการป้องกันความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไปตลอดอายุของกลยุทธ์ การป้องกันความเสี่ยงของความเสี่ยงสุทธิที่มีความต่อเนื่อง และกิจการใช้เครื่องมือ ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไขเพื่อป้องกันความเสี่ยงของความเสี่ยงสุทธินั้น ( กล่าวคือ เมื่อฐานะสุทธิไม่เป็นศูนย์ )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 52 6.6.6.3 ตามปกติแล้วการบัญชีการป้องกันความเสี่ยงสามารถถือปฏิบัติสําหรับฐานะสุทธิ ดังกล่าวเมื่อฐานะสุทธิไม่เป็นศูนย์และเมื่อมีการป้องกันความเสี่ยงด้วยเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข และ 6.6.6.4 การไม่ถือปฏิบัติตามการบัญชีการป้องกันความเสี่ยงสําหรับรายการฐานะสุทธิ ที่เป็นศูนย์จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางบัญชีที่ไม่สมํ่าเสมอ เนื่องจากการบัญชีป้องกัน ความเสี่ยงจะไม่รับรู้ฐานะความเสี่ยงที่หักกลบ ซึ่งหากเป็นอย่างอื่นจะมีการรับรู้ ในการป้องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิ 6.7 ทางเลือกในการเลือกกําหนดฐานะเปิดด้านเครดิตวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุน การที่ฐานะเปิดด้านเครดิตสามารถเลือกกําหนดที่มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 6.7.1 หากกิจการใช้อนุพันธ์ด้านเครดิตที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ในการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินทั้งหมดหรือบางส่วน ( ฐานะ เปิดด้านเครดิต ) กิจการอาจเลือกกําหนดให้เครื่องมือทางการเงินในส่วนที่กิจการบริหาร วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( กล่าวคือ เครื่องมือทางการเงินทั้งหมด หรือตามสัดส่วน ) เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้ 6.7.1.1 ชื่อของฐานะเปิดด้านเครดิต ( เช่น ผู้กู้ยืม หรือผู้ครอบครองข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อ ) ตรงกันกับชื่อของกิจการที่อ้างไว้ในในอนุพันธ์ด้านเครดิต ( การมีชื่อ ตรงกัน ) และ 6.7.1.2 ระดับของสิทธิเรียกร้องของเครื่องมือทางการเงินตรงกันกับระดับของสิทธิ เรียกร้องของเครื่องมือที่สามารถส่งมอบได้ซึ่งเป็นไปตามสัญญาอนุพันธ์ ด้านเครดิต ในการเลือกกําหนดดังกล่าว กิจการอาจไม่ต้องคํานึงถึงว่าเครื่องมือทางการเงินที่มี การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ หรือไม่ ( เช่น กิจการอาจเลือกกําหนดดังกล่าวสําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อซึ่งไม่อยู่ภายใต้ ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ) กิจการอาจเลือกกําหนดดังกล่าวสําหรับ เครื่องมือทางการเงินเมื่อมีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือในภายหลัง หรือขณะที่ เครื่องมือทางการเงินยังไม่ได้รับรู้รายการ กิจการต้องจัดทําเอกสารเกี่ยวกับการเลือก กําหนดดังกล่าวไปพร้อมกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 53 การบัญชีสําหรับฐานะเปิดด้านเครดิตที่เลือกกําหนดที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุน 6.7.2 หากกิจการเลือกกําหนดให้วัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุนตามย่อหน้าที่ 6.7.1 หลังจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือยังไม่มีการรับรู้รายการ มาก่อน กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชี ( ถ้ามี ) กับมูลค่ายุติธรรม ณ เวลาที่มี การเลือกกําหนดดังกล่าวในกําไรหรือขาดทุนโดยทันที สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.2.1.2 กิจการต้องจัดประเภท รายการใหม่สําหรับผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่เคยรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น โดยทันทีจากส่วนของเจ้าของไปกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) 6.7.3 กิจการต้องยกเลิกการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงินหรือสัดส่วนของเครื่องมือทางการเงิน ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิตด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน เมื่อเป็นไปตาม เงื่อนไขต่อไปนี้ 6.7.3.1 ไม่เข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 6.7.1 อีกต่อไป เช่น 6.7.3.1.1 อนุพันธ์ด้านเครดิตหรือเครื่องมือทางการเงินที่เกี่ยวข้องที่ก่อให้เกิด ความเสี่ยงด้านเครดิตนั้นหมดอายุหรือขาย ยกเลิก หรือชําระ หรือ 6.7.3.1.2 ไม่ได้บริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินโดยใช้ อนุพันธ์ด้านเครดิตอีกต่อไป เช่น กรณีดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากคุณภาพเครดิตของผู้กู้ยืมหรือผู้ครอบครองข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อดีขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดด้านเงินทุนของกิจการ และ 6.7.3.2 เครื่องมือทางการเงินที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิตไม่ได้กําหนดให้วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนหากไม่มีการเลือกกําหนดดังกล่าว 6.7.4 เมื่อกิจการยกเลิกการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน หรือสัดส่วนของเครื่องมือทางการเงิน ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิตด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ให้ถือว่ามูลค่า ยุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน ณ วันที่มีการยกเลิกดังกล่าวเป็นมูลค่าตามบัญชีใหม่ของ เครื่องมือทางการเงินนั้น หลังจากนั้น ให้วัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงินด้วยการวัดมูลค่าที่เคยใช้ก่อน ที่จะมีการเลือกกําหนดให้เครื่องมือทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( รวมถึงการตัดจําหน่ายอันเป็นผลมาจากมูลค่าตามบัญชีใหม่ ) เช่น สินทรัพย์ทางการเงิน เคยจัดประเภทตั้งแต่เริ่มแรกให้วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ให้กลับไปวัดมูลค่าตามเดิม และให้คํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่จากมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักใหม่ ณ วันที่ มีการยกเลิกการวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 54 6.8 การยกเว้นสําหรับการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงโดยเฉพาะ เป็นการชั่วคราว 6.8.1 กิจการต้องปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.8.4 – 6.8.12 และย่อหน้าที่ 7.1.5 และย่อหน้าที่ 7.2.21.4 สําหรับทุกความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ย่อหน้าเหล่านี้ถือปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ดังกล่าวเท่านั้น ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นจะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงก็ต่อเมื่อการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงทําให้เกิดความไม่แน่นอน เกี่ยวกับ 6.8.1.1 อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ( ทั้งที่กําหนดหรือไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา ) ที่เลือกกําหนด ให้เป็นความเสี่ยงที่ป้องกัน และ / หรือ 6.8.1.2 เวลาหรือจํานวนเงินของกระแสเงินสดที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 6.8.2 เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.12 คําศัพท์ “ การปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ” หมายถึง การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่มีผลกระทบต่อตลาด ในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงการแทนที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยอื่นที่มาจากคําแนะนําที่ระบุไว้ในรายงานของคณะกรรมการ เสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Board) ประจําเดือนกรกฎาคม 2557 เรื่อง “ การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงหลัก ” (“Reforming Major Interest Rate Benchmark”) 1 6.8.3 ย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.12 ให้ข้อยกเว้นเพียงข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าเหล่านี้เท่านั้น กิจการ ต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดอื่นของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดต่อความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ข้อกําหนดเรื่องความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากสําหรับการป ้ องกันความเสี่ยงใน กระแสเงินสด 6.8.4 เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิจารณาว่ารายการที่คาดการณ์ ( หรือส่วนประกอบของรายการที่คาดการณ์ ) มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 6.3.3 หรือไม่ กิจการต้องสันนิษฐานว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของกระแสเงินสดที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ทั้งที่ กําหนดหรือไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา ) จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 1 รายงานเรื่อง “ การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงหลัก ” (“Reforming Major Interest Rate Benchmarks”) ศึกษาได้ที่ http://www.fsb.org/wp-content/uploads/r_140722.pdf.

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 55 การจัดประเภทรายการใหม่จํานวนเงินที่สะสมไว้อยู่ในบัญชีสํารองสําหรับการป ้ องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสด 6 . 8 . 5 เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6 . 5 . 11 ในการพิจารณาว่า กระแสเงินสดในอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงคาดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ กิจการต้องสันนิษฐานว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของกระแสเงินสดที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ทั้งที่กําหนดหรือไม่ได้กําหนด อยู่ในสัญญา ) จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง การประเมินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงและ เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง 6.8.6 เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.4.1.3.1 และ ข 6.4.4 – ข 6.4.6 กิจการต้องสันนิษฐานว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของกระแสเงินสดที่มีการป้องกันความเสี่ยง และ / หรือความเสี่ยงที่ป้องกัน ( ทั้งที่กําหนดหรือไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา ) หรืออัตราดอกเบี้ย อ้างอิงของกระแสเงินสดของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจาก การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง การเลือกกําหนดส่วนประกอบของรายการเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง 6.8.7 เว้นแต่จะถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.8.8 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงของส่วนประกอบของ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.3.7.1 และ ข 6.3.8 ซึ่งส่วนประกอบความเสี่ยงนั้นต้องระบุแยกต่างหากได้ – เฉพาะ ณ การเริ่มต้น ของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง 6.8.8 โดยที่เป็นไปตามเอกสารการป้องกันความเสี่ยง เมื่อกิจการมีการปรับ ( นั่นคือ การยกเลิกหรือ เริ่มต้นใหม่ ) ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงอันเนื่องมาจากทั้งเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ( นั่นคือ กิจการ มีการใช้กระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องซึ่งทําให้ทั้งรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง และเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ใช้ในการบริหารฐานะเปิดไม่คงอยู่เหมือนเดิมเป็นเวลานาน ) กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.3.7.1 และ ข 6.3.8 ส่วนประกอบความเสี่ยงนั้น สามารถระบุแยกต่างหากได้ เมื่อกิจการเลือกกําหนดเมื่อเริ่มแรกสําหรับรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นแล้วเท่านั้น รายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงที่ได้รับการประเมินเมื่อวันเลือกกําหนดเมื่อเริ่มแรกของความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น ณ วันเริ่มต้นความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงหรือวันต่อมา จะไม่ถูกประเมินใหม่ ณ การเลือกกําหนดใหม่ในภายหลังใดๆ ในความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงเดิม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 56 การหยุดการถือปฏิบัติ 6 . 8 . 9 กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 6 . 8 . 4 อย่างทันทีต่อรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน ดังนี้ 6.8.9.1 เมื่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่เกี่ยวกับเวลาและ จํานวนเงินของกระแสเงินสดที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงไม่มีอยู่แล้ว และ 6.8.9.2 เมื่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง เป็นส่วนหนึ่งได้สิ้นสุดลง 6 . 8 . 10 กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 6 . 8 . 5 อย่างทันที เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน ดังนี้ 6.8.10.1 เมื่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่เกี่ยวกับเวลาและ จํานวนเงินของกระแสเงินสดที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงไม่มีอยู่แล้ว และ 6.8.10.2 เมื่อจํานวนเงินทั้งหมดที่สะสมอยู่ในบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่สิ้นสุดลง ได้ถูกจัดประเภทรายการใหม่ไปกําไรหรือขาดทุน 6 . 8 . 11 กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 6 . 8 . 6 อย่างทันที 6.8.11.1 ต่อรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง เมื่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่เกี่ยวกับความเสี่ยงที่ป้องกันหรือเวลาและจํานวนเงินของ กระแสเงินสดที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ไม่มีอยู่แล้ว และ 6.8.11.2 ต่อเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง เมื่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่เกี่ยวกับเวลาและจํานวนเงินของกระแสเงินสดที่อ้างอิงกับ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่มีอยู่แล้ว ถ้าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงซึ่งรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือ ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งได้ถูกยกเลิกก่อนวันที่ที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 6 . 8 . 11 . 1 หรือ วันที่ที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 6 . 8 . 11.2 กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 6 . 8 . 6 อย่างทันที ต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ณ วันที่มีการยกเลิกความสัมพันธ์ป้องกันความเสี่ยง 6 . 8 . 12 เมื่อมีการเลือกกําหนดกลุ่มของรายการเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือ การรวมกลุ่มของเครื่องมือทางการเงินเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง กิจการ ต้องยุติการถือปฏิบัติย่อหน้าที่ 6 . 8 . 4 ถึง 6 . 8 . 6 อย่างทันทีต่อรายการแต่ละรายการ หรือเครื่องมือทางการเงินตามย่อหน้าที่ 6 . 8 . 9 6 . 8 . 10 หรือ 6 . 8 . 11 ตามที่ เกี่ยวข้อง เมื่อความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ เกี่ยวกับความเสี่ยงที่ป้องกันและ / หรือระยะเวลาและจํานวนเงินของกระแสเงินสดที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 57 อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของรายการดังกล่าวหรือของเครื่องมือทางการเงิน ดังกล่าวไม่มีอยู่แล้ว 6.8.13 กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.8.7 และ 6.8.8 เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นก่อน 6.8.13.1 เมื่อการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับส่วนประกอบ ความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญาซึ่งถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.1 หรือ 6.8.13.2 เมื่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงซึ่งส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้ กําหนดอยู่ในสัญญาที่ถูกเลือกกําหนดได้สิ้นสุดลง 6.9 การยกเว้นเป็นการชั่วคราวเพิ่มเติมที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 6.9.1 ในขณะที่หรือเมื่อข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.8 ยุติการถือปฏิบัติสําหรับความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.8.9 ถึง 6.8.13) กิจการต้องปรับปรุงการเลือกกําหนด ที่เป็นทางการของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ในเอกสาร เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง นั่นคือการเปลี่ยนแปลง มีความสอดคล้องกับข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.4.6 ถึง 5.4.8 ในบริบทนี้ การเลือกกําหนด การป้องกันความเสี่ยงต้องถูกปรับปรุง เพียงเพื่อทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหนึ่งอย่างหรือ มากกว่า ดังนี้ 6.9.1.1 การกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น ( ทั้งที่กําหนดหรือไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา ) เป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกัน 6.9.1.2 การปรับปรุงคําอธิบายของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงคําอธิบายของ ส่วนของกระแสเงินสดที่ถูกเลือกกําหนดหรือมูลค่ายุติธรรมที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือ 6.9.1.3 การปรับปรุงคําอธิบายของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 6.9.2 กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.1.3 ในกรณีที่เข้าเงื่อนไขทั้งสามข้อ ดังต่อไปนี้ 6.9.2.1 กิจการทําการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง โดยใช้วิธีอื่น ที่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกําหนดกระแสเงินสดตามสัญญาของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 5.4.6) 6.9.2.2 เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเดิมไม่ได้ถูกเลิกรับรู้รายการ และ 6.9.2.3 วิธีการที่เลือกมีความเทียบเท่าในเชิงเศรษฐกิจกับการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกําหนด กระแสเงินสดตามสัญญาของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเดิม ( ตามที่ระบุใน ย่อหน้าที่ 5.4.7 และ 5.4.8) 6.9.3 ข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.8 อาจยุติการถือปฏิบัติในเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.1 กิจการอาจปรับปรุงการเลือกกําหนดที่เป็นทางการ ของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงในเวลาที่แตกต่างกันหรืออาจปรับปรุงการเลือกกําหนด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 58 ที่เป็นทางการของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยเมื่อมี การเปลี่ยนแปลงในการเลือกกําหนดของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.7 ถึง 6.9.12 ตามความเหมาะสม กิจการต้องถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 6.5.7 ( สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ) หรือย่อหน้าที่ 6.5.10 ( สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ) สําหรับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 6.9.4 กิจการต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.1 ภายในวันสิ้นรอบระยะเวลารายงานที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เกิดขึ้นกับความเสี่ยงที่มีการป้องกัน รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน การแก้ไขเพิ่มเติมการเลือกกําหนดที่เป็นทางการ ในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ไม่รวมถึงการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงหรือการเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงใหม่ 6.9.3 ข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.8 อาจยุติการถือปฏิบัติในเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในการถือฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.1 กิจการอาจปรับปรุงการเลือกกําหนดที่เป็นทางการของ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงในเวลาที่แตกต่างกันหรืออาจปรับปรุงการเลือกกําหนด ที่เป็นทางการของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยเมื่อมี การเปลี่ยนแปลงในการเลือกกําหนดของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.7 ถึง 6.9.12 ตามความเหมาะสม กิจการต้องถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 6.5.7 ( สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ) หรือย่อหน้าที่ 6.5.10 ( สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ) สําหรับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 6.9.4 กิจการต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.1 ภายในวันสิ้นรอบระยะเวลารายงานที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เกิดขึ้นกับความเสี่ยงที่มีการป้องกัน รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน การปรับปรุงการเลือกกําหนดที่เป็นทางการในความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยง ไม่รวมถึงการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงหรือ การเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงใหม่ 6.9.5 หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงในสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ถูกเลือกกําหนดในความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง ( ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 5.4.6 ถึง 5.4.8) หรือในการเลือกกําหนด ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ( ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 6.9.1) กิจการต้องปฏิบัติตาม ข้อกําหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้เป็นอันดับแรกตามความเหมาะสม ในการพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมส่งผลทําให้เกิดการยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกัน ความเสี่ยงหรือไม่ โดยหากการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมดังกล่าวไม่ส่งผลทําให้เกิดการยกเลิก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 59 การใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องปรับปรุงการเลือกกําหนดที่เป็นทางการของ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 6.9.1 6.9.6 ย่อหน้าที่ 6.9.7 ถึง 6.9.13 ให้ข้อยกเว้นสําหรับข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าเหล่านี้เท่านั้น กิจการ ต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดอื่นของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดในมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินฉบับนี้ รวมถึงการเข้าเงื่อนไขการบัญชีป้องกันความเสี่ยงในย่อหน้าที่ 6.4.1 ต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ย อ้างอิง การบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข การป ้ องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด 6.9.7 เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.5.10 เมื่อกิจการปรับปรุงคําอธิบายของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.1.2 จํานวนเงินที่สะสมไว้อยู่ใน บัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดต้องถือว่าอ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงอื่นซึ่งใช้ในการพิจารณากระแสเงินสดในอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยง 6.9.8 สําหรับการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง เมื่ออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของ กระแสเงินสดในอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงซึ่งเคยถูกพิจารณามีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.5.11 ในการพิจารณาว่ากระแสเงินสดในอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยงคาดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จํานวนเงินที่สะสมไว้อยู่ในบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดสําหรับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงต้องถือว่าอ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นซึ่งจะใช้ ในการพิจารณากระแสเงินสดในอนาคตที่มีการป้องกันความเสี่ยง กลุ่มของรายการ 6.9.9 เมื่อกิจการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.1 สําหรับกลุ่มของรายการที่ถูกเลือกกําหนดให้เป็น รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในการป้องกันความเสี่ยงมูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสด กิจการต้องปันส่วนรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง เป็นกลุ่มย่อยโดยใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ที่มีการป้องกันความเสี่ยง และต้องกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกัน สําหรับแต่ละกลุ่มย่อย ตัวอย่างเช่น ในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่กลุ่มของ รายการได้รับการป้องกันความเสี่ยงสําหรับการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง กระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมที่ได้รับการป้องกันของบางรายการในกลุ่ม สามารถเปลี่ยนแปลงไปอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นก่อนที่รายการอื่นในกลุ่มจะเปลี่ยนแปลง ตามตัวอย่างนี้ ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.9.1 กิจการจะเลือกกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 60 เป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกันสําหรับกลุ่มย่อยของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง กิจการยังคงเลือกกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงปัจจุบันเป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกันสําหรับ กลุ่มย่อยอื่นของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง จนกว่ากระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมที่มี การป้องกันความเสี่ยงของรายการเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น หรือรายการหมดอายุและได้รับการแทนที่โดยรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงซึ่งอ้างอิง อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น 6.9.10 กิจการต้องประเมินแยกต่างหากว่าแต่ละกลุ่มย่อยเข้าข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 6.6.1 ที่สามารถ ถือเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้หรือไม่ ในกรณีที่กลุ่มย่อยกลุ่มใดไม่เข้าข้อกําหนด ตามย่อหน้าที่ 6.6.1 กิจการต้องยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงโดยทันทีเป็นต้นไป สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยรวมทั้งหมด กิจการต้องถือปฏิบัติตาม ข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.7 และ 6.5.10 สําหรับความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยรวมทั้งหมด การเลือกกําหนดส่วนประกอบความเสี่ยง 6.9.11 อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นซึ่งถูกเลือกกําหนดเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ ในสัญญาซึ่งไม่สามารถระบุแยกต่างหากได้ ( ดูย่อหน้าที่ 6.3.7.1 และ ข 6.3.8) ณ วันที่ที่เลือก กําหนดจะถือว่าเข้าข้อกําหนดในวันนั้น ก็ต่อเมื่อกิจการประมาณได้อย่างสมเหตุสมผลว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นจะสามารถระบุแยกต่างหากได้ภายใน 24 เดือน โดยระยะเวลา 24 เดือน จะถือปฏิบัติกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นแต่ละอัตราแยกต่างหาก และเริ่มต้นจากวันที่ที่กิจการ เลือกกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา เป็นครั้งแรก ( นั่นคือ ระยะเวลา 24 เดือนจะถือปฏิบัติกับแต่ละอัตรา ) 6.9.12 หากในภายหลัง กิจการประมาณได้อย่างสมเหตุสมผลว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นไม่สามารถระบุ แยกต่างหากได้ภายใน 24 เดือนนับจากวันที่ที่กิจการเลือกกําหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น เป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญาเป็นครั้งแรก กิจการต้องยุติการถือปฏิบัติ ตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.11 สําหรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นนั้นและยกเลิกการใช้ การบัญชีป้องกันความเสี่ยงโดยทันทีเป็นต้นไป นับจากวันที่มีการประเมินใหม่สําหรับความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดซึ่งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นถูกเลือกกําหนดเป็นส่วนประกอบ ความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา 6.9.13 นอกเหนือจากความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ระบุในย่อหน้าที่ 6.9.1 กิจการต้อง ถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.9.11 และ 6.9.12 สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงใหม่ที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นถูกเลือกกําหนดเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้ กําหนดอยู่ในสัญญา ( ดูย่อหน้าที่ 6.3.7.1 และ ข 6.3.8) เมื่อส่วนประกอบความเสี่ยงดังกล่าว ไม่สามารถระบุแยกต่างหากได้ ณ วันที่ที่เลือกกําหนด เนื่องจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 61 บทที่ 7 วันถือปฏิบัติ และการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน 7.1 วันถือปฏิบัติ 7.1.1 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ เป็นทางเลือกในการใช้การบัญชีสําหรับเครื่องมือทางการเงิน สําหรับงบการเงินที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้อนุญาตให้ถือปฏิบัติ ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้สําหรับงบการเงินที่มีรอบระยะเวลาบัญชที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไปเท่านั้น หากกิจการเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว หากกิจการนําแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้กับงบการเงิน สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป กิจการต้อง ถือปฏิบัติพร้อมกับมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 เรื่อง การแสดงรายการเครื่องมือทางการเงิน การตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง การป้องกันความเสี่ยงของ เงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ และการตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 19 เรื่อง การชําระหนี้สินทางการเงินด้วยตราสารทุน 7.1.2 นอกจากข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 7.1.1 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่ 1 มกราคม 2563 กิจการอาจเลือกถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้เฉพาะข้อกําหนดสําหรับการนําเสนอผลกําไร และขาดทุนจากหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ตามย่อหน้าที่ 5.6.1.2 5.6.5 ถึง 5.6.7 7.2.9 และย่อหน้าที่ ข 5.6.5 ถึง ข 5.6.20 โดยไม่ต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดอื่นๆ ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ หากกิจการเลือก ที่จะปฏิบัติเฉพาะย่อหน้าเหล่านั้น กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงและให้การเปิดเผยที่เกี่ยวข้อง ตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 8.5 ถึง 8.6 ( ดูย่อหน้าที่ 7.2.2 และ 7.2.10) อย่างต่อเนื่อง 7.1.3 กิจการต้องถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.1.3 และ 4.2.1 กับการรวมธุรกิจตามข้อกําหนดของ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 โดยทันที เป็นต้นไป 7.1.4 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนมกราคมปี 2559 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2562 โดยแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 2.1 5.5.16 8.23.3 ข 4.3.8 ข 5.5.34 และ ข 5.5.46 กิจการต้องปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเมื่อถือปฏิบัติตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 7.1.5 การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนกันยายนปี 2562 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2563 โดยเพิ่มส่วนที่ 6.8 และแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 7.2.21 กิจการ ต้องปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลาประจําปีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 62 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้อนุญาตให้กิจการถือปฏิบัติได้ก่อนบังคับใช้ หากกิจการถือปฏิบัติ ตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวก่อนวันบังคับใช้ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย 7.1.6 การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ระยะที่ 2 มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนกันยายนปี 2562 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2564 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 5.4.5 ถึง 5.4.9 6.8.13 ส่วนที่ 6.9 และ ย่อหน้าที่ 7.2.43 ถึง 7.2.46 กิจการต้องถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมนี้สําหรับรอบระยะเวลา ประจําปีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้อนุญาตให้กิจการถือปฏิบัติได้ ก่อนวันบังคับใช้ หากกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลาก่อน วันบังคับใช้ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย 7.1.7 การปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศประจําปี 2561-2563 ที่ออกโดย คณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2563 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2565 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 7.2.26 และ ข 3.3.6 ก และแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ ข 3.3.6 กิจการต้องถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติม ดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลารายงานประจําปีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2566 ทั้งนี้ อนุญาตให้กิจการถือปฏิบัติได้ก่อนวันบังคับใช้ หากกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติม ดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลาก่อนวันบังคับใช้ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว 7.2 การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน 7.2.1 กิจการต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้แบบปรับปรุงย้อนหลังตามมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 8 เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงการประมาณการทางบัญชีและ ข้อผิดพลาด เว้นแต่ที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 7.2.3 ถึง 7.2.21 และต้องไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้กับรายการที่ได้มีการเลิกรับรู้รายการแล้ว ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติ ทางการบัญชี 7.2.2 ตามวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านตามย่อหน้าที่ 7.2.1 7.2.3 ถึง 7.2.21 วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี คือวันที่กิจการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้เป็นครั้งแรก และต้องเป็นวันแรกของรอบระยะเวลารายงาน ภายหลังการประกาศใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ การปฏิบัติในช่วงการเปลี่ยนผ่านสามารถ เกี่ยวข้องกับวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีหนึ่งวันหรือมากกว่าหนึ่งวันสําหรับข้อกําหนด ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการที่กิจการเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 63 การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านสําหรับการจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่า ( บทที่ 4 และ 5) 7.2.3 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการอาจเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.8 การเลือกกําหนดดังกล่าวต้องมาจากพื้นฐานข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ ณ วันที่เริ่มต้น ใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี การจัดประเภทรายการต้องมีการปรับย้อนหลัง 7.2.4 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการ 7.2.4.1 ต้องยกเลิกการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุนที่ได้เคยกําหนดไว้ในอดีต หากสินทรัพย์ทางการเงินนั้นไม่เข้า เงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 4.1.8 7.2.4.2 อาจเลือกที่จะยกเลิกการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนที่ได้เคยกําหนดไว้ในอดีต แม้ว่าสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เข้าเงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 4.1.8 การยกเลิกการกําหนดการแสดงรายการดังกล่าวต้องมาจากพื้นฐานข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อม ที่มีอยู่ ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี การจัดประเภทรายการต้องมีการปรับย้อนหลัง 7.2.5 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการ 7.2.5.1 อาจเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.2.1 7.2.5.2 ต้องยกเลิกการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุนหากเคยเลือกกําหนดให้การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกเข้าเงื่อนไข ตามย่อหน้าที่ 4.2.2.1 และการเลือกกําหนดนั้นไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ณ วันที่เริ่มต้น ใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี 7.2.5.3 อาจเลือกที่จะยกเลิกการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุนหากเคยเลือกกําหนดให้การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกเข้าเงื่อนไข ตามย่อหน้าที่ 4.2.2.1 และการเลือกกําหนดนั้นเป็นไปตามเงื่อนไข ณ วันที่เริ่มต้น ใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี การเลือกกําหนดและการยกเลิกต้องมาจากพื้นฐานข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ ณ วันที่ เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี การจัดประเภทรายการต้องมีการปรับย้อนหลัง 7.2.6 สําหรับการปรับปรุงการรับรู้รายได้หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตามวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง กิจการมีทางเลือก ดังนี้ 7.2.6.1 หากกิจการไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ในการปรับย้อนหลังตามวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ( ตามที่ได้นิยามไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8) กิจการต้องปฏิบัติดังนี้ 7.2.6.1.1 ให้ใช้มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงิน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานแต่ละรอบที่นํามาเปรียบเทียบเป็นมูลค่า ตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น หรือเป็นราคาทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 64 ตัดจําหน่ายของหนี้สินทางการเงินถ้ากิจการปรับปรุงรายการในรอบ ระยะเวลาก่อน และ 7.2.6.1.2 ให้ใช้มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี เป็นมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการ หักใหม่ของสินทรัพย์ทางการเงินหรือเป็นราคาทุนตัดจําหน่ายใหม่ของหนี้สิน ทางการเงิน ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี 7.2.7 หากกิจการวัดมูลค่าเงินลงทุนในตราสารทุนด้วยราคาทุนก่อนที่จะถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ ( เดิมถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 105 ( ปรับปรุง 2559) เรื่อง การบัญชีสําหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ) สําหรับเงินลงทุนในตราสารทุน ที่ไม่มีราคาเสนอซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่องสําหรับตราสารที่เหมือนกัน ( กล่าวคือ ข้อมูล ระดับ 1) หรือสําหรับสินทรัพย์อนุพันธ์ และสินทรัพย์อนุพันธ์ที่มีความสัมพันธ์กับตราสารทุน และต้องมีการชําระหรือรับชําระโดยการส่งมอบตราสารทุนดังกล่าวที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุน หรือ วิธีใดนอกเหนือจากมูลค่ายุติธรรม หรือไม่เคยบันทึกบัญชี สําหรับอนุพันธ์ดังกล่าวที่มีอยู่ ณ วันแรกที่ถือปฎิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้องวัดมูลค่าเงินลงทุนหรือ ตราสารดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี ผลต่างระหว่าง มูลค่าตามบัญชีเดิมและมูลค่ายุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรสะสมยกมา ( หรือองค์ประกอบอื่นของส่วน ของเจ้าของ ( ตามความเหมาะสม )) ของรอบระยะเวลารายงานที่รวมวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติ ทางการบัญชี 7.2.8 หากกิจการวัดมูลค่าหนี้สินอนุพันธ์ หรือหนี้สินอนุพันธ์ที่มีความสัมพันธ์กับตราสารทุนและต้อง มีการชําระโดยการส่งมอบตราสารทุนดังกล่าวที่ไม่มีราคาเสนอซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่อง สําหรับตราสารที่เหมือนกัน ( กล่าวคือ ข้อมูลระดับ 1) ด้วยราคาทุน หรือวิธีใดนอกเหนือจาก มูลค่ายุติธรรม หรือไม่เคยบันทึกบัญชี สําหรับอนุพันธ์ดังกล่าวที่มีอยู่ ณ วันแรกที่ถือปฎิบัติ ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้องวัดมูลค่าหนี้สินอนุพันธ์ดังกล่าวด้วยมูลค่า ยุติธรรม ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีเดิมและมูลค่า ยุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรสะสมยกมาในรอบระยะเวลารายงานที่รวมวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติ ทางการบัญชี 7.2.9 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อม ที่มีอยู่ ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีครั้งแรกว่าวิธีการตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5.6.5 จะก่อให้เกิดหรือขยายการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุนหรือไม่ หากทําให้เกิดหรือขยายการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี กิจการต้องนําแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติย้อนหลัง 7.2.9 ก ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการอาจเลือกกําหนดให้สัญญาที่มีอยู่ ณ วันดังกล่าว ตามย่อหน้าที่ 2.5 เฉพาะเมื่อกิจการเลือกกําหนดให้สัญญาที่คล้ายคลึงกันทุกสัญญา การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์สุทธิที่เกิดขึ้นจากการเลือกกําหนดดังกล่าวให้รับรู้ในกําไรสะสม ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 65 7.2.10 ถึงแม้ว่าจะมีข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 7.2.1 กิจการที่ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดประเภทรายการและ การวัดมูลค่าตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ซึ่งรวมถึงข้อกําหนดที่เกี่ยวกับการวัดมูลค่า ด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินและการด้อยค่าตามที่กล่าวในหมวดที่ 5.4 และ 5.5) ต้องเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 ฌ แต่ไม่จําเป็นต้องปรับปรุง รายการในรอบระยะเวลาก่อนย้อนหลัง กิจการอาจปรับปรุงรายการในรอบระยะเวลาก่อน ย้อนหลัง ก็ต่อเมื่อมีความเป็นไปได้โดยไม่ใช้ข้อมูลที่ทราบหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว หากกิจการไม่ปรับปรุงรายการในรอบระยะเวลาก่อนย้อนหลัง กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่า ตามบัญชีเดิมและมูลค่าตามบัญชี ณ ต้นงวดของรอบปีบัญชีที่รวมวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติ ทางการบัญชี ในกําไรสะสมยกมา ( หรือองค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ ( ตามความ เหมาะสม )) ของรอบระยะเวลารายงานประจําปีที่รวมวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี อย่างไรก็ตาม หากกิจการปรับปรุงรายการในรอบระยะเวลาก่อนย้อนหลัง งบการเงินที่ปรับปรุง ต้องสะท้อนข้อกําหนดทั้งหมดของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 7.2.11 หากกิจการจัดทํารายงานทางการเงินระหว่างกาลตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 34 เรื่อง การรายงาน ทางการเงินระหว่างกาล กิจการไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้กับรอบระยะเวลาระหว่างกาลก่อนวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี หากกิจการ ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ( ดังที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8) การด้อยค่า ( หมวดที่ 5.5) 7.2.12 กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดเกี่ยวกับการด้อยค่าในหมวดที่ 5.5 โดยปรับปรุงย้อนหลัง ตามข้อกําหนดของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 ตามย่อหน้าที่ 7.2.10 และ 7.2.13 ถึง 7.2.15 7.2.13 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี กิจการต้องใช้ข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผล ที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไปที่จะกําหนดความเสี่ยงด้านเครดิต ณ วันที่เครื่องมือทางการเงินมีการรับรู้เมื่อเริ่มแรก ( หรือ ณ วันที่กิจการเป็นคู่สัญญาที่ไม่สามารถ ยกเลิกสัญญาได้ สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน ตามย่อหน้าที่ 5.5.7) และเปรียบเทียบความเสี่ยงข้างต้นกับความเสี่ยงด้านเครดิต ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติ ทางการบัญชี 7.2.14 เมื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับจากวันที่รับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกหรือไม่ กิจการที่อาจปฏิบัติดังนี้ 7.2.14.1 ปฎิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.11 และย่อหน้าที่ ข 5.5.22 ถึง ข 5.5.24 และ 7.2.14.2 ปฎิบัติตามข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ตามย่อหน้าที่ 5.5.12 สําหรับ การค้างชําระการจ่ายเงินตามสัญญาเกินกว่า 30 วัน หากกิจการจะนําข้อกําหนด เกี่ยวกับการด้อยค่ามาถือปฏิบัติ โดยระบุว่ามีการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงด้านเครดิต อย่างมีนัยสําคัญตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกของเครื่องมือทางการเงิน โดยอาศัยข้อมูลการค้างชําระเกินกําหนดเป็นเกณฑ์

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 66 7.2.15 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี หากการพิจารณาว่ามีการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยง ด้านเครดิตอย่างมีนัยสําคัญตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ จะใช้ต้นทุนหรือ ความพยายามที่มากเกินไป กิจการต้องรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ณ แต่ละวันที่รายงานจนกว่าเครื่องมือทางการเงิน ดังกล่าวถูกเลิกรับรู้รายการ ( เว้นแต่เครื่องมือทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่า ณ วันที่ รายงาน ให้ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 7.2.14.1) การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านสําหรับการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง ( บทที่ 6) 7.2.16 เมื่อกิจการถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้เป็นครั้งแรก สําหรับการบริหารความเสี่ยง แบบพลวัต (dynamic risk management) กิจการอาจถือปฏิบัติตามแนวทางที่ปฏิบัติอยู่ต่อไป หรือแนวทางปฏิบัติอื่นแทนข้อกําหนดในบทที่ 6 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ โดยต้อง ปฏิบัติกับความสัมพันธ์ของการบริหารความเสี่ยงแบบพลวัตทั้งหมด โดยทั่วไปการบริหารความเสี่ยงแบบพลวัตได้ (dynamic risk management) จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ 7.2.16.1 เป็นการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินที่ฐานะเปิดต่อความเสี่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (open portfolio) โดยมีการเพิ่มขึ้นของฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงใหม่ ๆ อย่างสมํ่าเสมอ และฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่มีอยู่นั้นได้หมดไป และ 7.2.16.2 เมื่อรูปแบบของความเสี่ยงของกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป การบริหารความเสี่ยงก็จะถูกปรับเปลี่ยนอย่างสมํ่าเสมอเพื่อตอบสนองต่อฐานะ ความเสี่ยงสุทธิที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ การบริหารความเสี่ยงแบบพลวัต (dynamic risk management) อาจมีลักษณะบางประการ ดังต่อไปนี้ 7.2.16.3 สําหรับการบริหารความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษารายได้ ดอกเบี้ยสุทธิจากกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินที่ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงมีการปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา (open portfolio) ให้อยู่ในช่วงเป้าหมายที่กําหนดไว้ ซึ่งผันแปรไปตาม อัตราดอกเบี้ยตลาด 7.2.16.4 การบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่อาจนํามาใช้กับกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงิน ที่ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (open portfolio) ที่มีฐานะ เปิดต่อความเสี่ยงที่อ้างอิงจากประมาณการของปริมาณ และ / หรือ ช่วงเวลาของ กระแสเงินสด ( ตัวอย่างเช่น ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่อ้างอิงกับพฤติกรรม ) 7.2.16.5 กลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินที่บริหารจัดการนั้นมีเพียงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจาก ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงจากแหล่งภายนอกกิจการเท่านั้น 7.2.17 กิจการต้องถือปฏิบัติข้อกําหนดของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงของแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้แบบเปลี่ยนทันที เว้นแต่ที่ได้กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 7.2.21

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 67 7.2.18 ในการถือปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงนับจากวันที่เริ่มต้นใช้มาตรฐานตามข้อกําหนด ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ เงื่อนไขทั้งหมดต้องเข้าเงื่อนไข การบัญชีป้องกันความเสี่ยง ณ วันดังกล่าว 7.2.19 ในกรณีที่กิจการมีการป้องกันความเสี่ยงก่อนวันที่ถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ เป็นครั้งแรก และการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขของการบัญชีป้องกัน ความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ดูย่อหน้าที่ 6.4.1) หลังจากที่คํานึงถึงการปรับ สมดุลของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงในช่วงการเปลี่ยนผ่านแล้ว ( ดูย่อหน้าที่ 7.2.20.2) กิจการสามารถใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ต่อไปได้ 7.2.20 ณ วันแรกที่ถือปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 7.2.20.1 กิจการอาจเริ่มใช้ข้อกําหนดของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในเวลาเดียวกับที่กิจการยุติการปฏิบัติตามข้อกําหนดการบัญชี ป้องกันความเสี่ยงที่ใช้อยู่เดิม และ 7.2.20.2 กิจการต้องพิจารณาอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงตามข้อกําหนดการบัญชีป้องกัน ความเสี่ยงที่ใช้อยู่เดิมเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับสมดุลอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง ของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ ( ถ้าสามารถปฏิบัติได้ ) ผลกําไร หรือขาดทุนจากการปรับสมดุลดังกล่าวต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 7.2.21 นอกเหนือจากการถือปฏิบัติแบบเปลี่ยนทันทีเกี่ยวกับการบัญชีป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนด ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 7.2.21.1 กิจการต้องนําการบัญชีสําหรับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกย่อหน้าที่ 6.5.15 มาถือปฏิบัติแบบปรับย้อนหลัง หากตามแนวทางที่ใช้อยู่เดิม เฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลง ของมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกมีการเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง การปรับย้อนหลังให้ถือปฏิบัติ เฉพาะกับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่มีอยู่ ณ วันเริ่มต้นของ รอบระยะเวลาบัญชีที่นํามาเปรียบเทียบแรกสุดหรือเมื่อมีการเลือกกําหนดภายหลัง 7.2.21.2 กิจการอาจนําการบัญชีสําหรับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ด ตามย่อหน้าที่ 6.5.16 มาถือปฏิบัติแบบปรับย้อนหลัง หากตามแนวทางที่ใช้อยู่เดิม เฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบราคาปัจจุบันของสัญญาฟอร์เวิร์ด มีการเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง การปรับย้อนหลังให้ถือปฏิบัติเฉพาะกับความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยงที่มีอยู่ ณ วันเริ่มต้นของรอบระยะเวลาบัญชีที่นํามา เปรียบเทียบแรกสุดหรือเมื่อมีการเลือกกําหนดภายหลัง นอกจากนี้ หากกิจการเลือก ปรับย้อนหลังสําหรับการบัญชีดังกล่าว การปรับย้อนหลังนี้ต้องถือปฏิบัติกับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการเลือก ดังกล่าว ( เช่น การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไม่มีทางเลือกข้างต้นสําหรับปฏิบัติเป็น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 68 รายความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงได้ การบัญชีสําหรับส่วนต่างอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.16) อาจถือปฏิบัติโดยปรับย้อนหลัง สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงซึ่งมีอยู่ ณ วันเริ่มต้นของรอบระยะเวลา บัญชีที่นํามาเปรียบเทียบแรกสุดหรือเมื่อมีการเลือกกําหนดภายหลัง 7.2.21.3 กิจการต้องถือปฏิบัติแบบย้อนหลังสําหรับข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 6.5.6 ที่ว่า เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่ถือว่าหมดอายุหรือยกเลิก หาก มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 7.2.21.3.1 ผลทางกฎหมายหรือข้อบังคับ หรือผลจากการออกกฎหมายหรือ ข้อบังคับทําให้คู่สัญญาของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงตกลงกัน ให้คู่สัญญาหักบัญชีไม่ว่าจะหนึ่งรายหรือหลายรายเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่ ของแต่ละฝ่ายแทนที่คู่สัญญาเดิม และ 7.2.21.3.2 การเปลี่ยนแปลงอื่น ( ถ้ามี ) ในเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ให้จํากัดเพียงเท่าที่จําเป็นเพื่อทําให้เกิดการทดแทนคู่สัญญาดังกล่าว 7.2.21.4 กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดในส่วนที่ 6.8 แบบปรับย้อนหลัง การปรับย้อนหลัง ให้ปฏิบัติเมื่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นคงอยู่ ณ วันเริ่มต้นของ รอบระยะเวลารายงานที่กิจการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดดังกล่าวเป็นครั้งแรกหรือ เมื่อมีการเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงหลังจากนั้น และ ถือปฏิบัติกับจํานวนเงินที่สะสมอยู่ในบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสดที่คงอยู่ ณ วันเริ่มต้นของรอบระยะเวลารายงานที่กิจการถือปฏิบัติ ตามข้อกําหนดดังกล่าวเป็นครั้งแรก การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านสําหรับการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ระยะที่ 2 7.2.22 กิจการต้องปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ระยะที่ 2 แบบปรับปรุงย้อนหลังตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 8 ยกเว้นที่มีการระบุไว้ในย่อหน้าที่ 7.2.23 ถึง 7.2.25 7.2.23 กิจการต้องเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงใหม่ ( ตัวอย่างเช่น ตามที่ระบุ ในย่อหน้าที่ 6.9.13) โดยทันทีเป็นต้นไปเท่านั้น ( นั่นคือ ไม่ให้กิจการเลือกกําหนดความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงใหม่ในรอบระยะเวลาก่อน ) อย่างไรก็ตาม กิจการต้องคืนสถานะ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่สิ้นสุดไปแล้ว ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขครบทุกข้อ ดังต่อไปนี้ 7.2.23.1 กิจการได้ยุติความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และกิจการจะไม่ถูกกําหนดให้ต้องยุติ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ถ้าการปรับปรุงนี้ถือปฏิบัติในเวลานั้น และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 69 7.2.23.2 ณ วันเริ่มต้นของรอบระยะเวลารายงานซึ่งกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมนี้ เป็นครั้งแรก ( วันที่เริ่มต้นใช้ตามการแก้ไขเพิ่มเติมนี้ ) ความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงที่สิ้นสุดลงนั้น เข้าเงื่อนไขการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ( หลังจากพิจารณา รวมการแก้ไขเพิ่มเติมนี้แล้ว ) 7.2.24 ในการถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 7.2.23 หากกิจการคืนสถานะความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงที่สิ้นสุดไปแล้ว กิจการต้องอ้างอิงตามย่อหน้าที่ 6.9.11 และ 6.9.12 จนถึงวันที่ อัตราอ้างอิงอื่นถูกเลือกกําหนดให้เป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ในสัญญา เป็นครั้งแรกตามที่ได้อ้างอิงกับวันที่เริ่มต้นใช้ตามการแก้ไขเพิ่มเติมนี้ ( เช่น ระยะเวลา 24 เดือน สําหรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่นที่ถูกเลือกกําหนดเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้กําหนดอยู่ ในสัญญาเริ่มต้นจากวันที่เริ่มต้นใช้การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ) 7.2.25 กิจการไม่ถูกกําหนดให้ต้องปรับปรุงรายการในรอบระยะเวลาก่อน เพื่อสะท้อนการปฏิบัติตาม การปรับปรุงดังกล่าว กิจการอาจปรับปรุงรายการในรอบระยะเวลาก่อนก็ต่อเมื่อมีความเป็นไป ได้โดยไม่ใช้ข้อมูลที่ทราบหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว หากกิจการไม่ปรับปรุงรายการในรอบ ระยะเวลาก่อน กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีเดิมและมูลค่าตามบัญชี ณ วันเริ่มต้นของรอบระยะเวลารายงานประจําปีที่ครอบคลุมวันที่เริ่มต้นใช้การแก้ไขเพิ่มเติม ดังกล่าว ในกําไรสะสมยกมา ( หรือองค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ ตามความเหมาะสม ) ของรอบระยะเวลารายงานประจําปีที่ครอบคลุมวันที่เริ่มต้นใช้การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านสําหรับการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ในปี 2565 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศประจําปี 2561 ถึง 2563 7.2.26 กิจการต้องถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้กับหนี้สินทางการเงิน ที่มีการปรับแต่งหรือมีการแลกเปลี่ยนในหรือหลังวันเริ่มต้นของรอบระยะเวลารายงานประจําปี ที่กิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นครั้งแรก บทที่ 8 การเปิดเผยข้อมูล ประเภทของเครื่องมือทางการเงินและระดับของการเปิดเผยข้อมูล 8.1 ในกรณีที่แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลตามประเภทของเครื่องมือ ทางการเงิน กิจการต้องจัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินเป็นประเภทต่างๆ ให้เหมาะสมกับรรมชาติ ของข้อมูลที่เปิดเผย และคํานึงถึงลักษณะของเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวด้วย กิจการต้องให้ ข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถกระทบยอดกับรายการรายบรรทัดที่แสดงรายการในงบฐานะ การเงินได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 70 ความมีนัยสําคัญของเครื่องมือทางการเงินต่อฐานะการเงินและผลการดําเนินงาน 8.2 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินความมีนัยสําคัญของ เครื่องมือทางการเงินต่อฐานะการเงินและผลการดําเนินงาน งบฐานะการเงิน ประเภทของสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน 8.3 กิจการต้องเปิดเผยมูลค่าตามบัญชีของเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทในงบฐานะการเงิน หรือในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ 8.3.1 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยก แสดงระหว่าง (1) สินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือในภายหลังตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และ (2) เงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อค้าและสินทรัพย์ ทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนด ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 8.3.2 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดง ระหว่าง (1) หนี้สินทางการเงินที่กิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือในภายหลังตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และ (2) หนี้สินทางการเงินที่เป็นไปตามคํานิยามการถือไว้เพื่อค้าในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ 8.3.3 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย 8.3.4 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย 8.3.5 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น โดยให้แยกแสดงระหว่าง (1) เงินลงทุนในตราสารหนี้ และ (2) เงินลงทุนในตราสารทุน ตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 8.4 ในกรณีที่กิจการกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงิน ) วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน แทนการวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นหรือราคาทุนตัดจําหน่าย กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.4.1 ฐานะเปิดสูงสุดต่อ ความเสี่ยงด้านเครดิ ตของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่มของ สินทรัพย์ทางการเงิน ) ( ดูย่อหน้าที่ 8.30.1) ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 8.4.2 จํานวนเงินของฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตที่ลดลงจากอนุพันธ์ด้านเครดิต ที่เกี่ยวข้องหรือเครื่องมือทางการเงินที่คล้ายคลึงกัน ( ดูย่อหน้าที่ 8.30.2) 8.4.3 จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือกลุ่ม ของสินทรัพย์ทางการเงิน ) ในระหว่างรอบระยะเวลาและผลสะสมของการเปลี่ยนแปลง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 71 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์ทางการเงิน จํานวนเงินดังกล่าวสามารถกําหนดตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ 8.4.3.1 จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดที่ทําให้เกิด ความเสี่ยง ด้านตลาด หรือ 8.4.3.2 จํานวนเงินซึ่งกําหนดโดยวิธีการอื่นซึ่งกิจการเชื่อว่าแสดงถึงจํานวนเงินของ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินอันเป็นผล มาจากการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์ได้อย่าง เที่ยงธรรมมากกว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดที่ทําให้เกิดความเสี่ยงด้านตลาด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง ของอัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ ดัชนีราคาหรือดัชนีอัตรา ที่สังเกตได้ในตลาด ( ที่เป็นค่าเทียบเคียง ) 8.4.4 จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์ด้านเครดิตที่เกี่ยวข้อง หรือเครื่องมือทางการเงินที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างรอบระยะเวลาและผลสะสม ของการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่วันที่กิจการกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน 8.5 ในกรณีที่กิจการกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.2 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และต้องแสดงผล กระทบของการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินดังกล่าวในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ( ดูย่อหน้าที่ 5.6.5) กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.5.1 ผลสะสมของจํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินดังกล่าว ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.13 ถึง ข 5.6.20 สําหรับแนวทางการพิจารณาผลกระทบของ การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ) 8.5.2 ความแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินทางการเงินและมูลค่าที่กิจการต้อง จ่ายชําระตามสัญญาแก่ผู้ถือครองภาระผูกพัน ณ วันครบกําหนดสัญญา 8.5.3 การโอนผลสะสมของกําไรหรือขาดทุนภายในส่วนของเจ้าของในระหว่างรอบระยะเวลา รวมทั้งเหตุผลของการโอนดังกล่าว 8.5.4 จํานวนเงินที่แสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ( ถ้ามี ) ซึ่งรับรู้เมื่อมีการเลิกรับรู้รายการ สําหรับหนี้สินที่ถูกเลิกรับรู้รายการในระหว่างรอบระยะเวลา 8.5 ก ในกรณีที่กิจการกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.2 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และต้องแสดง การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมทั้งหมดของหนี้สินดังกล่าว ( รวมถึงผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ) ในกําไรหรือขาดทุน ( ดูย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6) กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 72 8.5 ก .1 จํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงินิในระหว่างรอบ ระยะเวลาและผลสะสมของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของ ความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินดังกล่าว ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.13 ถึง ข 5.6.20 สําหรับ แนวทางการพิจารณาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของ หนี้สิน ) และ 8.5 ก .2 ความแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินทางการเงินและมูลค่าที่กิจการต้อง จ่ายตามสัญญาแก่ผู้ถือครองภาระผูกพัน ณ วันครบกําหนดสัญญา 8.6 นอกจากนี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.6.1 คําอธิบายอย่างละเอียดของวิธีที่กิจการใช้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.4.3 8.5.1 และ 8.5 ก .1 และย่อหน้าที่ 5.6.5.1 รวมถึงคําอธิบายเหตุผลที่วิธีการ ดังกล่าวมีความเหมาะสม 8.6.2 ในกรณีที่กิจการเชื่อว่า การเปิดเผยข้อมูลไม่ว่าจะในงบฐานะการเงินหรือในหมายเหตุ ประกอบงบการเงินเพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.4.3 8.5.1 หรือ 8.5 ก .1 หรือย่อหน้าที่ 5.6.5.1 ไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง ด้านเครดิตอย่างเที่ยงธรรม กิจการต้องเปิดเผยเหตุผลซึ่งนําไปสู่ข้อสรุปดังกล่าวและ ปัจจัยที่กิจการเชื่อว่าเกี่ยวข้องด้วย 8.6.3 คําอธิบายอย่างละเอียดของวิธีการที่กิจการใช้ในการพิจารณาว่าการแสดงผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จะก่อให้เกิดหรือเพิ่มการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชีของกําไรหรือขาดทุน หรือไม่ ( ดูย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6) หากกิจการต้องแสดงผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินในกําไรหรือขาดทุน ( ดูย่อหน้าที่ 5.6.6) กิจการต้องเปิดเผยคําอธิบายอย่างละเอียดของความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจ ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ ข 5.6.6 ด้วย การจัดประเภทรายการใหม่ 8.7 ก หากในรอบระยะเวลารายงานปัจจุบันหรือรอบระยะเวลารายงานก่อนหน้า กิจการจัดประเภท รายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินใดๆ ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.4.1 กิจการต้อง เปิดเผยข้อมูลสําหรับแต่ละเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ 8.7 ก .1 วันที่จัดประเภทรายการใหม่ 8.7 ก .2 คําอธิบายเชิงคุณภาพของผลกระทบต่องบการเงินของกิจการ 8.7 ก .3 จํานวนเงินที่จัดประเภทรายการใหม่ ทั้งเข้าและออกในแต่ละประเภท 8.7 ข สําหรับแต่ละรอบระยะเวลารายงานภายหลังการจัดประเภทรายการใหม่จนกระทั่งการเลิกรับรู้ รายการ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้สําหรับสินทรัพย์ที่ถูกจัดประเภทรายการใหม่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 73 ออกจากประเภทหลักทรัพย์เพื่อค้า ไปเป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายหรือมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.4.1 8.7 ข .1 อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่กําหนด ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ และ 8.7 ข .2 ดอกเบี้ยรับที่กิจการรับรู้ 8.7 ค ตั้งแต่วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานประจําปีล่าสุด หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับ สินทรัพย์ทางการเงินออกจากประเภทหลักทรัพย์เผื่อขายไปเป็นประเภทตราสารหนี้ที่จะถือ จนครบกําหนด หรือออกจากประเภทหลักทรัพย์เพื่อค้าไปเป็นประเภทตราสารหนี้ที่จะถือ จนครบกําหนดหรือหลักทรัพย์เผื่อขาย กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ 8.7 ค .1 มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน และ 8.7 ค .2 ผลกําไรหรือขาดทุนจากมูลค่ายุติธรรมที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนหรือกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นในระหว่างรอบระยะเวลารายงานที่จะเกิดขึ้น หากสินทรัพย์ทางการเงินนั้น ไม่ถูกจัดประเภทรายการใหม่ 8.7 ง กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสําหรับการขายหรือการโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ที่จะถือจนครบ กําหนดในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ดังต่อไปนี้ 8.7 ง .1 จํานวนต้นทุนตัดจําหน่ายของหลักทรัพย์ที่มีการขายหรือการโอนเปลี่ยน 8.7 ง .2 จํานวนรวมของรายการกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้น 8.7 ง .3 จํานวนรวมของรายการกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้น 8.7 ง .4 สถานการณ์อาจทําให้กิจการต้องเปลี่ยนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้ไปจนครบ กําหนดโดยที่ไม่จําเป็นต้องทบทวนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้รายการอื่นไปจนครบ กําหนด ตามย่อหน้าที่ 4.1.5 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ที่ทําให้กิจการขาย หรือโอนเปลี่ยนตราสารนั้น การหักกลบสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน 8.8 ก การเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.8 ข ถึง 8.8 จ เป็นข้อกําหนดเพิ่มเติมในการเปิดเผยข้อมูลอื่นๆ ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และให้ถือปฏิบัติสําหรับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้ ทุกรายการแล้วซึ่งหักกลบลบหนี้ได้ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวถือปฏิบัติกับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้แล้ว และอยู่ภายใต้ข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้หรือข้อตกลงที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่ คํานึงว่ารายการดังกล่าวหักกลบลบหนี้ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 หรือไม่ 8.8 ข กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินผลกระทบหรือผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงการหักกลบที่มีต่อฐานะการเงินของกิจการ ซึ่งรวมถึงผลกระทบหรือ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของสิทธิในการหักกลบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงินที่รับรู้และ หนี้สินทางการเงินที่รับรู้ของกิจการซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของย่อหน้าที่ 8.8 ก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 74 8.8 ค เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.8 ข กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณแยกจากกัน สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่รับรู้และหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ ซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของ ย่อหน้าที่ 8.8 ก ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ดังต่อไปนี้ 8.8 ค .1 จํานวนเงินขั้นต้น (gross amount) ของสินทรัพย์ทางการเงินที่รับรู้และหนี้สินทางการเงิน ที่รับรู้ 8.8 ค .2 จํานวนเงินที่หักกลบลบหนี้ได้ตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 เมื่อคํานวณจํานวนเงินสุทธิที่แสดงในงบฐานะการเงิน 8.8 ค .3 จํานวนเงินสุทธิที่แสดงในงบฐานะการเงิน 8.8 ค .4 จํานวนเงินที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้หรือข้อตกลง ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งไม่ได้นํามารวมอยู่ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .2 ซึ่งรวมถึง 8.8 ค .4.1 จํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้ ซึ่งไม่เป็นไปตาม เงื่อนไขของการหักกลบบางข้อหรือทุกข้อในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 32 และ 8.8 ค .4.2 จํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันทางการเงิน ( รวมถึงหลักประกันเงินสด ) และ 8.8 ค .5 จํานวนเงินสุทธิหลังหักจํานวนเงินในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 จากจํานวนเงินในย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 ข้างต้น ข้อมูลที่กําหนดในย่อหน้านี้ต้องแสดงในรูปแบบตาราง แยกระหว่างสินทรัพย์ทางการเงินและ หนี้สินทางการเงิน เว้นแต่การแสดงด้วยรูปแบบอื่นเหมาะสมกว่า 8.8 ง จํานวนเงินรวมที่เปิดเผยตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 สําหรับเครื่องมือทางการเงินหนึ่ง ต้องไม่เกินกว่าจํานวนเงินที่เปิดเผยตามย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 สําหรับเครื่องมือทางการเงินนั้น 8.8 จ กิจการต้องเปิดเผยคําอธิบายเกี่ยวกับสิทธิในการหักกลบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงิน ที่รับรู้และหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ของกิจการ ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงหลักของการหักกลบ ที่มีผลบังคับใช้และข้อตกลงที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเปิดเผยตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 รวมถึง ธรรมชาติของสิทธิเหล่านั้นด้วย 8.8 ฉ หากข้อมูลที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ข ถึง 8.8 จ ถูกเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน มากกว่าหนึ่งข้อ กิจการต้องอ้างอิงระหว่างหมายเหตุประกอบงบการเงินเหล่านั้นด้วย หลักประกัน 8.9 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ 8.9.1 มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการนําไปวางเป็นหลักประกันสําหรับ หนี้สินหรือหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงจํานวนเงินดังกล่าวที่จัดประเภทรายการใหม่ ตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 3.2.23.1 และ 8.9.2 ข้อกําหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการวางหลักประกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 75 8.10 ในกรณีที่กิจการถือครองหลักประกัน ( ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ทางการเงินหรือไม่ใช่สินทรัพย์ ทางการเงิน ) และมีสิทธิในการนําหลักประกันไปขายหรือวางเป็นประกันต่ออีกทอดหนึ่ง โดยที่ เจ้าของหลักประกันนั้นไม่ได้ผิดสัญญา กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ 8.10.1 มูลค่ายุติธรรมของหลักประกันที่กิจการถือครอง 8.10.2 มูลค่ายุติธรรมของหลักประกันที่นําไปขายหรือวางเป็นประกันต่ออีกทอดหนึ่ง และ เปิดเผยว่ากิจการมีภาระผูกพันที่จะต้องส่งคืนหลักประกันหรือไม่ และ 8.10.3 ข้อกําหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักประกัน บัญชีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต 8.11 ก มูลค่าตามบัญชีของตราสารหนี้เผื่อขาย จะไม่ลดมูลค่าลงด้วยค่าเผื่อผลขาดทุน และกิจการต้อง ไม่แสดงค่าเผื่อผลขาดทุนแยกต่างหากในงบฐานะการเงินเป็นยอดหักมูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ทางการเงิน อย่างไรก็ตาม กิจการต้องเปิดเผยค่าเผื่อผลขาดทุนในหมายเหตุประกอบ งบการเงิน เครื่องมือทางการเงินแบบผสมซึ่งประกอบด้วยอนุพันธ์แฝงหลายรายการ 8.12 ในกรณีที่กิจการออกเครื่องมือทางการเงินซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบของหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ( ดูย่อหน้าที่ 28 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32) และเครื่องมือทางการเงินนั้นประกอบด้วย อนุพันธ์แฝงหลายรายการซึ่งมูลค่าของอนุพันธ์แฝงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กัน ( เช่น ตราสารหนี้ แปลงสภาพที่ให้สิทธิผู้ออกในการเรียกคืนก่อนกําหนด ) กิจการต้องเปิดเผยการคงอยู่ของลักษณะ เหล่านั้น การผิดสัญญาและการละเมิดสัญญา 8.13 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ สําหรับ เงินกู้ยืม ที่รับรู้ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 8.13.1 รายละเอียดของการผิดสัญญาเกี่ยวกับเงินต้น ดอกเบี้ย เงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ที่สํารองไว้เพื่อชําระหนี้สิน ( sinking fund) หรือข้อกําหนดในการไถ่ถอนเงินกู้ยืม ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในระหว่างรอบระยะเวลา 8.13.2 มูลค่าตามบัญชีของเงินกู้ยืมที่ผิดสัญญา ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน และ 8.13.3 เปิดเผยว่ากิจการได้แก้ไขการผิดสัญญาหรือมีการเจรจาปรับเงื่อนไขของเงินกู้ยืมใหม่ หรือไม่ ก่อนที่จะได้รับอนุมัติให้ออกงบการเงิน 8.14 ในกรณีที่กิจการมีการละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงการกู้ยืม นอกเหนือจากที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.13 ในระหว่างรอบระยะเวลา และการละเมิดดังกล่าวอนุญาตให้ผู้ให้กู้ยืมเรียกร้องให้กิจการ จ่ายชําระหนี้คืนเร็วขึ้น กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.13

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 76 ( เว้นแต่การละเมิดดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขแล้ว หรือมีการเจรจาปรับเงื่อนไขของเงินกู้ยืมใหม่ ก่อนหรือ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ) งบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ รายการรายได้ ค่าใช้จ่าย ผลกําไรหรือขาดทุน 8.15 กิจการต้องเปิดเผยรายการรายได้ ค่าใช้จ่าย ผลกําไรหรือขาดทุนดังต่อไปนี้ ในงบกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จหรือในหมายเหตุประกอบงบการเงิน 8.15.1 ผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากรายการต่อไปนี้ 8.15.1.1 สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดงระหว่างผลกําไรสุทธิหรือขาดทุน สุทธิที่เกิดจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่กําหนดให้ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรก หรือในภายหลังตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และผลกําไร สุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ที่ต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนดใน แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( เช่น หนี้สินทางการเงินที่เป็นไปตามคํา นิยามถือไว้เพื่อค้าในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ) สําหรับหนี้สิน ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน กิจการต้อง แยกแสดงระหว่างผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น และจํานวนเงินที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 8.15.1.2 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย 8.15.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด 8.15.1.4 เงินลงทุนในตราสารทุนซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย 8.15.1.5 หลักทรัพย์เผื่อขายตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.3 โดยแยกแสดง ระหว่างผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหว่าง รอบระยะเวลารายงานและผลกําไรหรือขาดทุนที่จัดประเภทรายการใหม่ จากกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสะสมไปยังกําไรหรือขาดทุนสําหรับ รอบระยะเวลารายงานเมื่อมีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงิน 8.15.2 ดอกเบี้ยรับรวมและดอกเบี้ยจ่ายรวม ( ซึ่งคํานวณโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ) สําหรับ สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายหรือที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.3 ( แสดงจํานวน ดังกล่าวแยกจากกัน ) หรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ได้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 77 8.15.3 รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียม ( นอกเหนือจากจํานวนเงินที่รวม ในการคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ) ที่เกิดจาก 8.15.3.1 สินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินที่ไม่ได้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และ 8.15.3.2 การดําเนินธุรกิจด้านการดูแลผลประโยชน์หรือเก็บรักษาสินทรัพย์อื่นใด (trust and other fiduciary activities) ซึ่งทําให้เกิดการถือครองหรือมีการลงทุน ในสินทรัพย์แทนบุคคล ทรัสต์ โครงการผลประโยชน์หลังออกจากงาน และ สถาบันอื่น 8.15 ก กิจการต้องเปิดเผยการวิเคราะห์ผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดขึ้น จากการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย โดยแยกแสดง รายการระหว่างผลกําไรและขาดทุนที่เกิดจากการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้น การเปิดเผยข้อมูลนี้ต้องรวมถึงเหตุผลของการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้นด้วย การเปิดเผยข้อมูลอื่น นโยบายการบัญชี 8.16 ตามย่อหน้าที่ 117 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 เรื่อง การนําเสนองบการเงิน กําหนดให้ กิจการเปิดเผยข้อมูลนโยบายการบัญชีที่มีสาระสําคัญ ทั้งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับหลักการวัดค่าหลักใด หลักหนึ่ง ( หรือหลายหลัก ) สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการจัดทํางบการเงินนั้นคาดว่า จะเป็นข้อมูลนโยบายการบัญชีที่มีสาระสําคัญ การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง 8.16 ก กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.16 ข ถึง 8.19 ฉ สําหรับ ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่กิจการป้องกันความเสี่ยง และเลือกที่จะใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง การเปิดเผยข้อมูลการบัญชีป้องกันความเสี่ยงต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 8.16 ก .1 กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของกิจการและการนํากลยุทธ์มาใช้บริหารความเสี่ยง 8.16 ก .2 ผลของการป้องกันความเสี่ยงของกิจการที่อาจมีต่อจํานวนเงิน จังหวะเวลา และ ความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคตของกิจการ และ 8.16 ก .3 ผลกระทบของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงที่มีต่องบฐานะการเงิน งบกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จ และงบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของของกิจการ 8.16 ข กิจการต้องแสดงการเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในหนึ่งหัวข้อของหมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือแสดงเป็นส่วนแยกเฉพาะในงบการเงิน อย่างไรก็ตาม กิจการไม่จําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลซํ้ากับ ที่ได้แสดงไว้แล้ว หากงบการเงินมีการอ้างอิงไปยังข้อมูลดังกล่าวในรายงานอื่น เช่น การวิเคราะห์ และคําอธิบายของฝ่ายจัดการหรือรายงานความเสี่ยง ซึ่งผู้ใช้งบการเงินสามารถเข้าถึงได้ภายใต้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 78 เงื่อนไขและช่วงเวลาเดียวกับงบการเงิน งบการเงินที่ไม่มีการอ้างอิงไปยังข้อมูลดังกล่าวถือเป็น งบการเงินที่ไม่สมบูรณ์ 8.16 ค เมื่อกิจการต้องพิจารณาความเสี่ยงแต่ละประเภทโดยอิงกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่กิจการ ตัดสินใจจะป้องกันความเสี่ยงและถือปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 8.17 ก ถึง 8.19 ฉ ที่กําหนดให้กิจการเปิดเผยข้อมูลแยกตามประเภทความเสี่ยง กิจการต้องพิจารณาประเภทความเสี่ยงอย่างสมํ่าเสมอสําหรับการเปิดเผยข้อมูลการบัญชีป้องกัน ความเสี่ยงทั้งหมด 8.16 ง เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.16 ก ( เว้นแต่กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ) กิจการต้อง พิจารณาถึงความละเอียดในการเปิดเผยข้อมูล การให้ความสําคัญในด้านต่างๆ ของข้อกําหนด ของการเปิดเผยข้อมูล ระดับที่เหมาะสมในการรวมหรือแยกข้อมูล และพิจารณาว่าผู้ใช้งบการเงิน ต้องการคําอธิบายเพิ่มเติมเพื่อประเมินข้อมูลเชิงปริมาณที่เปิดเผยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สําหรับ ข้อกําหนดของการเปิดเผยข้อมูลที่ข้อมูลมีความเกี่ยวข้องกันในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 13 เรื่อง การวัดมูลค่ายุติธรรม กิจการต้องใช้การรวม หรือแยกข้อมูลในระดับเดียวกัน กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง 8.17 ก กิจการต้องอธิบายกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงสําหรับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงแต่ละประเภท ที่กิจการตัดสินใจป้องกันความเสี่ยง และถือปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยง คําอธิบายนี้ ต้องช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินได้ว่า ( ตัวอย่างเช่น ) 8.17 ก .1 ความเสี่ยงแต่ละประเภทเกิดขึ้นได้อย่างไร 8.17 ก .2 กิจการบริหารความเสี่ยงแต่ละประเภทอย่างไร รวมถึงประเมินว่ากิจการป้องกันความเสี่ยง รายการทั้งจํานวนสําหรับความเสี่ยงทั้งหมด หรือป้องกันความเสี่ยงองค์ประกอบใด องค์ประกอบหนึ่ง ( หรือหลายองค์ประกอบ ) ของรายการพร้อมเหตุผล 8.17 ก .3 กิจการบริหารฐานะเปิดต่อความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด 8.17 ข เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.17 ก การเปิดเผยข้อมูลควรรวมถึงคําอธิบายรายการ ดังนี้ ( ซึ่งมิได้จํากัดเพียงรายการเหล่านี้เท่านั้น ) 8.17 ข .1 เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่กิจการใช้ในการป้องกันฐานะเปิดต่อความเสี่ยง ( และวิธีการนํามาใช้ ) 8.17 ข .2 วิธีที่กิจการพิจารณาความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง และเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยง และ 8.17 ข .3 วิธีที่กิจการกําหนดอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง และแหล่งที่มาของความไม่มี ประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 79 8.17 ค เมื่อกิจการกําหนดให้องค์ประกอบความเสี่ยงที่ระบุเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.3.7) กิจการต้องให้ข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณดังต่อไปนี้ นอกเหนือจาก การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.17 ก และ 8.17 ข 8.17 ค .1 วิธีที่กิจการระบุองค์ประกอบความเสี่ยงที่กําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( รวมถึงคําอธิบายธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบความเสี่ยงและ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงโดยรวม ) และ 8.17 ค .2 วิธีที่องค์ประกอบความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงทั้งจํานวน ( เช่น จากประสบการณ์ในอดีต องค์ประกอบความเสี่ยงที่ถูกกําหนดให้มีการป้องกัน ความเสี่ยงครอบคลุมโดยเฉลี่ยร้อยละ 80 ของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงโดยรวม ) จํานวนเงิน จังหวะเวลา และความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคต 8.18 ก กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามประเภทความเสี่ยง เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถ ประเมินข้อกําหนดและเงื่อนไขของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบต่อจํานวนเงิน จังหวะเวลา และความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคตของกิจการ เว้นแต่ได้รับยกเว้น ตามย่อหน้าที่ 8.18 ค 8.18 ข เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.18 ก กิจการต้องเปิดเผยรายละเอียดดังนี้ 8.18 ข .1 โครงร่างของจังหวะเวลาของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง และ 8.18 ข .2 ราคา หรืออัตราเฉลี่ยของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ตัวอย่างเช่น ราคาใช้สิทธิ หรือราคาฟอร์เวิร์ด เป็นต้น ) ( ถ้ามี ) 8.18 ค ในสถานการณ์ที่กิจการกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงขึ้นใหม่ ( กล่าวคือ ยกเลิก และเริ่มต้นใหม่ ) เป็นประจํา เนื่องจากทั้งเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ( กล่าวคือ กิจการใช้กระบวนการบริหารความเสี่ยง แบบพลวัต ซึ่งทั้งฐานะเปิดและเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ไม่ได้คงอยู่เป็นระยะเวลานาน ดังเช่นตัวอย่างในย่อหน้าที่ ข 6.5.24.2) 8.18 ค .1 กิจการได้รับยกเว้นจากการเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.18 ก และ 8.18 ข 8.18 ค .2 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังนี้ 8.18 ค .2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ขั้นสูงสุดในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้น 8.18 ค .2.2 คําอธิบายที่สะท้อนกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของกิจการโดยใช้ การบัญชีป้องกันความเสี่ยงและวิธีกําหนดความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้น และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 80 8.18 ค .2.3 ข้อบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงถูกยกเลิกและ เริ่มต้นใหม่บ่อยเพียงใดภายใต้กระบวนการของกิจการที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้น 8.18 ง กิจการต้องเปิดเผยคําอธิบายเกี่ยวกับแหล่งที่มาของความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงในระหว่างอายุสัญญานั้น โดยเปิดเผยแยกตามประเภทความเสี่ยง 8.18 จ หากมีแหล่งที่มาอื่นของความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงปรากฏขึ้นในความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องเปิดเผยแหล่งที่มาเหล่านั้น โดยแยกตามประเภท ความเสี่ยง และอธิบายผลของความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงนั้น 8.18 ฉ สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด กิจการต้องเปิดเผยคําอธิบายเกี่ยวกับรายการ ที่คาดการณ์ใดๆ ที่ได้ใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงแล้วในรอบระยะเวลาก่อน แต่ไม่คาดว่าจะ เกิดขึ้นอีกต่อไป ผลกระทบของการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยงต่อฐานะการเงินและผลการดําเนินงาน 8.19 ก กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบตารางสําหรับจํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับรายการที่กําหนดให้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง โดยแยกตามประเภทความเสี่ยงสําหรับการป้องกันความเสี่ยง แต่ละประเภท ( การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด หรือการป้องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิของหน่วยงานต่างประเทศ ) ดังนี้ 8.19 ก .1 มูลค่าตามบัญชีของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( แยกแสดงระหว่างสินทรัพย์ ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน ) 8.19 ก .2 รายการรายบรรทัดในงบฐานะการเงินที่รวมเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง 8.19 ก .3 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงซึ่งใช้ เป็นเกณฑ์ในการรับรู้ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงสําหรับรอบ ระยะเวลา และ 8.19 ก .4 จํานวนเงินที่กําหนดไว้ของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( รวมถึงปริมาณ เช่น ตัน หรือลูกบาศก์เมตร ) 8.19 ข กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบตารางสําหรับจํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง โดยแยกตามประเภทความเสี่ยงสําหรับการป้องกันความเสี่ยงแต่ละประเภท ดังนี้ 8.19 ข .1 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม 8.19 ข .1.1 มูลค่าตามบัญชีของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ในงบฐานะ การเงิน ( แสดงสินทรัพย์แยกจากหนี้สิน ) 8.19 ข .1.2 จํานวนเงินสะสมของการปรับปรุงการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งรวมอยู่ในมูลค่าตามบัญชีของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ในงบฐานะการเงิน ( แสดง สินทรัพย์แยกจากหนี้สิน )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 81 8.19 ข .1.3 รายการรายบรรทัดในงบฐานะการเงินที่รวมรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง 8.19 ข .1.4 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงซึ่งใช้ เป็นเกณฑ์ในการรับรู้ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง สําหรับรอบระยะเวลา และ 8.19 ข .1.5 จํานวนเงินสะสมของการปรับปรุงการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่า ยุติธรรมที่คงเหลืออยู่ในงบฐานะการเงินสําหรับรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงใดๆ ที่ได้หยุดปรับผลกําไรและขาดทุนจากการป้องกัน ความเสี่ยง ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.9 8.19 ข .2 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดและการป้องกันความเสี่ยงของเงิน ลงทุนสุทธิของหน่วยงานต่างประเทศ 8.19 ข .2.1 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ใช้ เป็นเกณฑ์ในการรับรู้ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง สําหรับรอบระยะเวลา ( กล่าวคือ สําหรับการป้องกันความเสี่ยง ในกระแสเงินสด การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่ใช้ในการกําหนดความ ไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ ตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 6.5.10.3) 8.19 ข .2.2 ยอดคงเหลือของบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแส เงินสดและของบัญชีสํารองสําหรับการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ สําหรับการป้องกันความเสี่ยงที่ยังคงเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นไปตาม ย่อหน้าที่ 6.5.11 และ 6.5.12.1 และ 8.19 ข .2.3 ยอดคงเหลือของบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแส เงินสดและของบัญชีสํารองสําหรับการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ ที่เหลืออยู่จากความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงใดๆ ที่ไม่เป็น ไปตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป 8.19 ค กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบตาราง โดยแยกตามประเภทความเสี่ยงสําหรับการป้องกัน ความเสี่ยงแต่ละประเภท ดังนี้ 8.19 ค .1 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม 8.19 ค .1.1 ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง กล่าวคือ ความแตกต่าง ระหว่างผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับรู้ ในกําไรหรือขาดทุน ( หรือกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสําหรับการป้องกัน ความเสี่ยงของตราสารทุนสําหรับหลักทรัพย์เผื่อขาย ) และ 8.19 ค .1.2 รายการรายบรรทัดในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่รวมความไม่มีประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 82 8.19 ค .2 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดและการป้องกันความเสี่ยงของ เงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ 8.19 ค .2.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นในรอบระยะเวลารายงาน 8.19 ค .2.2 ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน 8.19 ค .2.3 รายการรายบรรทัดในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่รวมความไม่มีประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ 8.19 ค .2.4 จํานวนเงินของบัญชีสํารองสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแส เงินสดหรือของบัญชีสํารองสําหรับการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ ที่โอนไปยังกําไรหรือขาดทุน ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภท รายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ( แยกระหว่างจํานวนเงิน ที่ได้ถือปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงมาก่อนแต่ไม่คาดว่า กระแสเงินสดในอนาคตที่ได้ป้องกันความเสี่ยงจะเกิดขึ้นอีกต่อไป และ จํานวนเงินที่โอนเนื่องจากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงมีผลกระทบ ต่อกําไรหรือขาดทุนแล้ว ) 8.19 ค .2.5 รายการรายบรรทัดในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่รวมการปรับปรุง การจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) และ 8.19 ค .2.6 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิ ผลกําไรหรือขาดทุน จากการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้เป็นรายการรายบรรทัดที่แยกต่างหาก ในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ( ดูย่อหน้าที่ 6.6.4) 8.19 ง หากปริมาณของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับยกเว้นตามย่อหน้าที่ 8.18 ค ไม่ได้เป็นตัวแทนของปริมาณปกติในระหว่างรอบระยะเวลา ( กล่าวคือ ปริมาณ ณ วันที่รายงาน ไม่สะท้อนปริมาณในระหว่างรอบระยะเวลา ) กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวและเหตุผลที่ กิจการเชื่อว่า ปริมาณดังกล่าวไม่ได้เป็นตัวแทน 8.19 จ กิจการต้องแสดงการกระทบยอดแต่ละองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของและการวิเคราะห์ กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 โดย 8.19 จ .1 ต้องแยกแสดงจํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.19 ค .2.1 และ 8.19 ค .2.4 และจํานวนเงินตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.10.4.1 และ 6.5.10.4.3 เป็นอย่างน้อย 8.19 จ .2 ต้องแยกแสดงระหว่างจํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือก ที่ป้องกันความเสี่ยง รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับธุรกรรม และ จํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกที่ป้องกันความเสี่ยง รายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับช่วงเวลา เมื่อกิจการถือปฏิบัติต่อมูลค่าตามเวลา ของสิทธิเลือกตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.14 และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 83 8.19 จ .3 ต้องแยกแสดงระหว่างจํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบฟอร์เวิร์ดของสัญญา ฟอร์เวิร์ด และส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงิน ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับธุรกรรม และ จํานวนเงินที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบฟอร์เวิร์ดของสัญญาฟอร์เวิร์ด และส่วนต่าง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงินที่ป้องกันความเสี่ยง รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับช่วงเวลา เมื่อกิจการถือปฏิบัติต่อจํานวนเงิน เหล่านั้นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.15 8.19 ฉ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.19 จ แยกตามประเภทความเสี่ยง ซึ่งการเปิดเผย ดังกล่าวอาจเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินก็ได้ ทางเลือกในการกําหนดให้ฐานะเปิดด้านเครดิตวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 8.19 ช หากกิจการกําหนดให้เครื่องมือทางการเงินหรือบางส่วนของเครื่องมือทางการเงินวัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน เนื่องจากมีการใช้อนุพันธ์ด้านเครดิตในการจัดการ ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินนั้น กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ 8.19 ช .1 สําหรับอนุพันธ์ด้านเครดิตที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือ ทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 6.7.1 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลการกระทบยอดของแต่ละรายการสําหรับ จํานวนเงินที่กําหนดไว้ และมูลค่ายุติธรรม ณ วันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดรอบระยะเวลา 8.19 ช .2 ผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนจากการกําหนดให้เครื่องมือทางการเงิน หรือบางส่วนของเครื่องมือทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุนตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และ 8.19 ช .3 มูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินที่ถือเป็นมูลค่าตามบัญชีใหม่ตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 6.7.4 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และจํานวนเงิน ที่กําหนดไว้หรือจํานวนเงินต้นที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการยกเลิกการวัดมูลค่าเครื่องมือ ทางการเงินหรือบางส่วนของเครื่องมือทางการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ( กิจการไม่จําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในรอบระยะเวลาถัดไป เว้นแต่ เป็นการให้ข้อมูลเปรียบเทียบตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 8.19 ซ สําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่กิจการถือปฏิบัติตามข้อยกเว้นที่กําหนดไว้ ในย่อหน้าที่ 6.8.4 ถึง 6.8.12 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ 8.19 ซ .1 อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่มีนัยสําคัญที่ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงของ กิจการมีฐานะเปิดอยู่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 84 8.19 ซ .2 ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่กิจการบริหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปฏิรูปอัตรา ดอกเบี้ยอ้างอิง 8.19 ซ .3 วิธีการที่กิจการใช้ในการบริหารจัดการเพื่อเปลี่ยนผ่านไปใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น 8.19 ซ .4 คําอธิบายของข้อสมมติหรือวิจารณญาณที่มีนัยสําคัญที่กิจการใช้ในการถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าเหล่านี้ ( ตัวอย่างเช่น ข้อสมมติหรือวิจารณญาณว่าเมื่อใดความไม่แน่นอน ที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่เกี่ยวกับจังหวะเวลาและจํานวนเงินของ กระแสเงินสดที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงไม่มีอยู่อีกต่อไป ) และ 8.19 ซ .5 จํานวนเงินที่กําหนดไว้ของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่อยู่ในความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้น การเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 8.19 ฌ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจผลกระทบจากการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงต่อเครื่องมือ ทางการเงินและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของกิจการ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ 8.19 ฌ .1 ธรรมชาติและระดับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดจากการปฏิรูป อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และการบริหารความเสี่ยงเหล่านั้น และ 8.19 ฌ .2 ความคืบหน้าของแผนการเปลี่ยนผ่านไปใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น และวิธีการ บริหารจัดการสําหรับการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว 8.19 ญ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.19 ฌ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.19 ญ .1 วิธีการบริหารจัดการเพื่อเปลี่ยนผ่านไปใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น และความคืบหน้า ของแผน ณ วันที่รายงาน รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินอันเนื่อง มาจากการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว 8.19 ญ .2 แยกแสดงรายการอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่สําคัญ ที่อยู่ในแผนการปฏิรูปอัตราดอกเบี้ย อ้างอิง โดยแสดงข้อมูลเชิงปริมาณของเครื่องมือทางการเงินที่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ่านไป ใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน โดยแยกแสดงดังนี้ 24 ญ .2.1 สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ 24 ญ .2.2 หนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ และ 24 ญ .2.3 อนุพันธ์ และ 8.19 ญ .3 กรณีความเสี่ยงที่ระบุในย่อหน้าที่ 8.19 ญ .1 ทําให้กิจการต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใน การบริหารความเสี่ยง กิจการต้องเปิดเผยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ( ดูย่อหน้าที่ 8.17 ก ) มูลค่ายุติธรรม 8.20 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน แต่ละประเภท ( ดูย่อหน้าที่ 8.1) ในลักษณะที่จะช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถเปรียบเทียบกับ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 85 มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์และหนี้สินแต่ละประเภทดังกล่าวได้ ยกเว้นตามที่กําหนดไว้ ในย่อหน้าที่ 8.23 8.21 ในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรม กิจการต้องจัดกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สิน ทางการเงินเป็นประเภทต่างๆ แต่กิจการต้องหักกลบระหว่างมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินเฉพาะรายการที่มีการหักกลบมูลค่าตามบัญชีระหว่างกัน ในงบฐานะการเงิน 8.22 ในบางกรณีกิจการไม่สามารถรับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกของสินทรัพย์ ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน เนื่องจากมูลค่ายุติธรรมไม่ได้อิงทั้งจากราคาเสนอซื้อขาย ในตลาดที่มีสภาพคล่องสําหรับสินทรัพย์หรือหนี้สินอย่างเดียวกัน ( กล่าวคือ ข้อมูลระดับ 1) หรือจากเทคนิคการประเมินมูลค่าที่ใช้เฉพาะข้อมูลจากตลาดที่สามารถสังเกตได้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.1.2 ก ) ในกรณีดังกล่าวกิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังนี้ ตามประเภทของสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงิน 8.22.1 นโยบายการบัญชีในการรับรู้กําไรหรือขาดทุนจากผลต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมที่รับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรก และราคาของรายการเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในปัจจัย ต่างๆ ( รวมถึงเวลา ) ที่ผู้ร่วมตลาดใช้พิจารณาในการกําหนดราคาสินทรัพย์หรือ หนี้สิน ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.1.2 ก .2) 8.22.2 ผลต่างรวมที่ยังไม่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ณ วันเริ่มต้นและวันสิ้นรอบระยะเวลา และ การกระทบยอดของการเปลี่ยนแปลงในยอดคงเหลือของผลต่างดังกล่าว 8.22.3 เหตุผลที่กิจการสรุปว่า ราคาของรายการไม่ได้เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดของมูลค่ายุติธรรม รวมถึงคําอธิบายหลักฐานที่สนับสนุนมูลค่ายุติธรรมนั้น 8.23 กิจการไม่จําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมสําหรับกรณีต่อไปนี้ 8.23.1 เมื่อมูลค่าตามบัญชีเป็นค่าประมาณที่สมเหตุสมผลของมูลค่ายุติธรรม อาทิ เครื่องมือ ทางการเงิน เช่น ลูกหนี้การค้าระยะสั้นและเจ้าหนี้การค้าระยะสั้น 8.23.2 สําหรับสัญญาที่มีลักษณะการร่วมรับผลประโยชน์ตามดุลยพินิจ ( ตามที่กําหนด ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4) หากไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมของ ลักษณะการร่วมรับผลประโยชน์ดังกล่าวได้อย่างน่าเชื่อถือ หรือ 8.23.3 สําหรับหนี้สินตามสัญญาเช่า 8.24 ในกรณีตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.23.2 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งบการเงิน สามารถใช้วิจารณญาณในการพิจารณาขอบเขตของความแตกต่างที่อาจเกิดขึ้นระหว่างมูลค่า ตามบัญชีและมูลค่ายุติธรรมของสัญญาดังกล่าว ซึ่งรวมถึง 8.24.1 ข้อเท็จจริงที่กิจการไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือเหล่านี้ เนื่องจากไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมได้อย่างน่าเชื่อถือ 8.24.2 คําอธิบายเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน มูลค่าตามบัญชี และเหตุผลที่ไม่สามารถ วัดมูลค่ายุติธรรมได้อย่างน่าเชื่อถือ 8.24.3 ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดของเครื่องมือดังกล่าว

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 86 8.24.4 ข้อมูลเกี่ยวกับความตั้งใจของกิจการว่าจะจําหน่ายเครื่องมือทางการเงินดังกล่าว หรือไม่ อย่างไร และ 8.24.5 ในกรณีที่มีการเลิกรับรู้เครื่องมือทางการเงินซึ่งในอดีตไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรม ได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว มูลค่าตามบัญชี ณ เวลาที่ เลิกรับรู้รายการ และผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ ธรรมชาติและระดับของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงิน 8.25 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินธรรมชาติและระดับของ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินที่กิจการมี ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 8.26 การเปิดเผยข้อมูลที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.27 ถึง 8.35 เน้นเกี่ยวกับความเสี่ยงซึ่งเกิดจาก เครื่องมือทางการเงิน และวิธีการในการจัดการความเสี่ยงดังกล่าว โดยทั่วไปความเสี่ยงเหล่านี้ รวมถึง ( แต่ไม่จํากัดเพียง ) ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และความเสี่ยง ด้านตลาด เป็นต้น 8.26 ก ในบริบทของการเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณ การเปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพจะช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูล สามารถเชื่อมโยงการเปิดเผยข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและทําให้เห็นภาพรวมของธรรมชาติ และระดับของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินได้ การเปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพและ ข้อมูลเชิงปริมาณอย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลประเมินฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น การเปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพ 8.27 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้สําหรับความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือ ทางการเงิน 8.27.1 ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่มีและเกิดขึ้นได้อย่างไร 8.27.2 วัตถุประสงค์ นโยบายและกระบวนการในการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งวิธีการที่ใช้ ในการวัดความเสี่ยง และ 8.27.3 การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.27.1 หรือ 8.27.2 ในรอบระยะเวลา ก่อน การเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณ 8.28 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้สําหรับความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงิน 8.28.1 ข้อมูลสรุปเชิงปริมาณเกี่ยวกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่มี ณ วันสิ้นรอบระยะเวลา รายงาน การเปิดเผยข้อมูลนี้ต้องจัดทําขึ้นจากข้อมูลที่เสนอเป็นการภายในให้แก่ ผู้บริหารสําคัญของกิจการ ( ตามคํานิยามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 24

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 87 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน ) เช่น คณะกรรมการ ของกิจการ หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 8.28.2 การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ก ถึง 8.35 นอกเหนือจากที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 8.28.1 8.28.3 การกระจุกตัวของความเสี่ยง หากยังไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ตามย่อหน้าที่ 8.28.1 และ 8.28.2 8.29 ถ้าข้อมูลเชิงปริมาณที่เปิดเผย ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ไม่แสดงให้เห็นถึงฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงที่มีอยู่ของกิจการในระหว่างรอบระยะเวลา กิจการต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็น ถึงความเสี่ยงที่มีอยู่ ความเสี่ยงด้านเครดิต ขอบเขตและวัตถุประสงค์ 8.29 ก กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดของการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.29 ฉ ถึง 8.29 ฑ สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่ต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดของการด้อยค่าในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม 8.29 ก .1 ย่อหน้าที่ 8.29 ญ .1 กําหนดให้ถือปฏิบัติกับลูกหนี้การค้า สินทรัพย์ตามสัญญา หรือ ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุรับรู้ตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.16 หากสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลง เงื่อนไขภายหลัง 30 วัน นับจากวันครบกําหนดชําระ และ 8.29 ก .2 ย่อหน้าที่ 8.29 ฎ .2 ไม่ถือปฏิบัติกับลูกหนี้ตามสัญญาเช่า 8.29 ข การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิตตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ฉ ถึง 8.29 ฑ จะทําให้ ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจผลกระทบของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อจํานวนเงิน จังหวะเวลา และ ความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว กิจการต้อง เปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิตดังต่อไปนี้ 8.29 ข .1 ข้อมูลเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการและ แนวปฏิบัติดังกล่าวเกี่ยวข้องอย่างไรกับการรับรู้รายการและการวัดมูลค่าผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมทั้งวิธีการ ข้อสมมติและข้อมูลที่ใช้วัดมูลค่า ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 8.29 ข .2 ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่จะทําให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมิน จํานวนเงินที่เกิดขึ้นจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงบการเงิน รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลง ในจํานวนเงินของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและ เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนั้น และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 88 8.29 ข .3 ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการ ( กล่าวคือ ความเสี่ยง ด้านเครดิตซึ่งมีอยู่เป็นปกติวิสัยของสินทรัพย์ทางการเงินและข้อผูกมัดในการให้ สินเชื่อของกิจการ ) รวมถึงการกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีนัยสําคัญ 8.29 ค กิจการไม่จําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลซํ้ากับที่ได้แสดงไว้แล้ว หากงบการเงินมีการอ้างอิงไปยังข้อมูล ดังกล่าวในรายงานอื่น เช่น การวิเคราะห์และคําอธิบายของฝ่ายจัดการหรือรายงานความเสี่ยง ซึ่งผู้ใช้งบการเงินสามารถเข้าถึงได้ภายใต้เงื่อนไขและช่วงเวลาเดียวกับงบการเงิน งบการเงิน ที่ไม่มีการอ้างอิงไปยังข้อมูลดังกล่าวถือเป็นงบการเงินที่ไม่สมบูรณ์ 8.29 ง เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.29 ข ( เว้นแต่กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ) กิจการต้อง พิจารณาถึงความละเอียดในการเปิดเผยข้อมูล การให้ความสําคัญในด้านต่างๆ ของข้อกําหนด ของการเปิดเผยข้อมูล ระดับที่เหมาะสมในการรวมหรือแยกข้อมูล และพิจารณาว่าผู้ใช้งบการเงิน ต้องการคําอธิบายเพิ่มเติมเพื่อประเมินข้อมูลเชิงปริมาณที่เปิดเผยหรือไม่ 8.29 จ หากการเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ฉ ถึง 8.29 ฑ ไม่เพียงพอที่จะทําให้ บรรลุวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.29 ข กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่จําเป็นเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้น แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต 8.29 ฉ กิจการต้องอธิบายแนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการ และแนวปฏิบัติ ดังกล่าวเกี่ยวข้องอย่างไรกับการรับรู้รายการและการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลที่ทําให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจและ สามารถประเมิน 8.29 ฉ .1 การที่กิจการพิจารณาอย่างไรว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญหรือไม่ ตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ซึ่งรวมถึง พิจารณาว่า 8.29 ฉ .1.1 เครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 5.5.11 หรือไม่ อย่างไร รวมถึงประเภทของเครื่องมือทางการเงิน ที่ถือปฏิบัติตามย่อหน้าดังกล่าวด้วย และ 8.29 ฉ .1.2 ข้อสันนิษฐานในย่อหน้าที่ 5.5.12 ที่ว่าความเสี่ยงด้านเครดิตถือว่า เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก เมื่อสินทรัพย์ ทางการเงินดังกล่าวเกินกําหนดชําระมากกว่า 30 วัน สามารถโต้แย้ง ได้หรือไม่ อย่างไร 8.29 ฉ .2 คํานิยามของการผิดสัญญาของกิจการ รวมถึงเหตุผลในการเลือกคํานิยามนั้น 8.29 ฉ .3 การที่กิจการจัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินอย่างไร หากมีการวัดผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแบบกลุ่ม 8.29 ฉ .4 การที่กิจการพิจารณาอย่างไรว่าสินทรัพย์ทางการเงินเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ที่ด้อยค่าด้านเครดิต

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 89 8.29 ฉ .5 นโยบายการตัดออกจากบัญชีของกิจการ รวมถึงข้อบ่งชี้ว่าไม่มีความคาดหวังที่ สมเหตุสมผลที่จะได้รับคืน และข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวสําหรับสินทรัพย์ ทางการเงินที่ตัดจําหน่ายแล้ว แต่ยังอยู่ภายใต้การบังคับให้ชําระได้ และ 8.29 ฉ .6 การที่กิจการนําข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.13 มาถือปฏิบัติอย่างไรสําหรับ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงิน รวมถึง 8.29 ฉ .6.1 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่ค่าเผื่อผลขาดทุนได้วัดมูลค่าให้มี จํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ กิจการได้พิจารณาอย่างไรว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์ ทางการเงินดังกล่าวที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ปรับตัวดีขึ้นจนทําให้ ค่าเผื่อผลขาดทุนกลับมาสู่สภาพเดิมที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินที่เท่ากับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้าตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.6 หรือไม่ และ 8.29 ฉ .6.2 กิจการติดตามอย่างไรว่าค่าเผื่อผลขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่เป็นไปตามเงื่อนไขในข้อ 8.29 ฉ .6.1 มีการวัดมูลค่าใหม่ในภายหลัง ให้มีจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.4 มากน้อยเพียงใด 8.29 ช กิจการต้องอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยนําเข้า ข้อสมมติและเทคนิคการประมาณการที่ใช้ในการถือปฏิบัติ ตามข้อกําหนดในหัวข้อที่ 5.5 สําหรับวัตถุประสงค์ดังกล่าวกิจการต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ 8.29 ช .1 เกณฑ์พื้นฐานของปัจจัยนําเข้า และข้อสมมติและเทคนิคการประมาณการที่ใช้ในการ 8.29 ช .1.1 วัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ 8.29 ช .1.2 พิจารณาว่า ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ และ 8.29 ช .1.3 พิจารณาว่า สินทรัพย์ทางการเงินเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ด้อยค่า ด้านเครดิตหรือไม่ 8.29 ช .2 วิธีการใช้ข้อมูลคาดการณ์อนาคตในการพิจารณาผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้น รวมทั้งการใช้ข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์มหภาค และ 8.29 ช .3 การเปลี่ยนแปลงในเทคนิคการประมาณการหรือข้อสมมติที่มีนัยสําคัญที่เกิดขึ้น ในระหว่างรอบระยะเวลารายงานและเหตุผลสําหรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับจํานวนเงินที่เกิดขึ้นจากผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 8.29 ซ กิจการต้องแสดงการกระทบยอดค่าเผื่อผลขาดทุนจากยอดยกมาไปยังยอดไปในรูปแบบตาราง แยกตามประเภทของเครื่องมือทางการเงิน เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงค่าเผื่อผลขาดทุนและ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 90 เหตุผลสําหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น โดยแยกแสดงการเปลี่ยนแปลงระหว่างรอบระยะเวลา สําหรับ 8.29 ซ .1 ค่าเผื่อผลขาดทุนที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า 8.29 ซ .2 ค่าเผื่อผลขาดทุนที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นตลอดอายุสําหรับ 8.29 ซ .2.1 เครื่องมือทางการเงินที่ความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก แต่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน ที่ด้อยค่าด้านเครดิต 8.29 ซ .2.2 สินทรัพย์ทางการเงินที่ด้อยค่าด้านเครดิต ณ วันที่รายงาน ( แต่ไม่ใช่ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตตั้งแต่ซื้อหรือเริ่มแรก ) และ 8.29 ซ .2.3 ลูกหนี้การค้า สินทรัพย์ตามสัญญา หรือลูกหนี้ตามสัญญาเช่า ที่ค่าเผื่อผลขาดทุนวัดมูลค่าตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.16 8.29 ซ .3 สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตตั้งแต่ซื้อหรือเริ่มแรก นอกจาก การกระทบยอดค่าเผื่อผลขาดทุนแล้ว กิจการต้องเปิดเผยจํานวนเงินรวมของ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ไม่คิดลด ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่เริ่มรับรู้ระหว่างรอบระยะเวลารายงาน 8.29 ฌ กิจการต้องอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสําคัญในมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ เครื่องมือทางการเงินในระหว่างรอบระยะเวลาทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุน อย่างไร เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของค่าเผื่อผลขาดทุนที่เปิดเผยตาม ที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ซ กิจการต้องแยกแสดงข้อมูลดังกล่าวสําหรับเครื่องมือทางการเงินที่ มีค่าเผื่อผลขาดทุนตามที่แสดงในย่อหน้าที่ 8.29 ซ .1 ถึง 8.29 ซ .3 และต้องเปิดเผยข้อมูล เชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณที่เกี่ยวข้องด้วย ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าตาม บัญชีก่อนรายการหักของเครื่องมือทางการเงินที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุน อาจรวมถึง 8.29 ฌ .1 การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเครื่องมือทางการเงินที่เริ่มมีหรือได้มาระหว่างรอบระยะเวลา รายงาน 8.29 ฌ .2 การเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งไม่ได้ทํา ให้เกิดการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้นตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ 8.29 ฌ .3 การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเครื่องมือทางการเงินถูกเลิกรับรู้ระหว่างรอบระยะเวลา รายงาน ( รวมถึงการตัดจําหน่ายรายการเหล่านั้นด้วย ) และ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 91 8.29 ฌ .4 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากค่าเผื่อผลขาดทุนที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงิน เท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า หรือผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ 8.29 ญ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจธรรมชาติและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดตาม สัญญาที่ไม่ทําให้เกิดการเลิกรับรู้รายการต่อสินทรัพย์ทางการเงิน และผลกระทบของ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการต้อง เปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ 8.29 ญ .1 ราคาทุนตัดจําหน่ายก่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและผลกําไรหรือขาดทุนสุทธิจาก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่รับรู้สําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งกระแสเงินสดตาม สัญญาได้เปลี่ยนแปลงระหว่างรอบระยะเวลารายงาน เมื่อสินทรัพย์ทางการเงิน ดังกล่าวมีจํานวนเงินค่าเผื่อผลขาดทุนเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นตลอดอายุ และ 8.29 ญ .2 มูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหัก ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานของสินทรัพย์ ทางการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก โดยค่าเผื่อ ผลขาดทุนเคยวัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตลอดอายุ และในระหว่างรอบระยะเวลารายงาน ค่าเผื่อผลขาดทุนได้เปลี่ยนเป็น จํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า 8.29 ฎ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจผลกระทบของหลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ที่มีต่อจํานวนเงินที่เกิดขึ้นจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการต้องเปิดเผยข้อมูล ดังต่อไปนี้แยกตามประเภทของเครื่องมือทางการเงิน 8.29 ฎ .1 จํานวนเงินซึ่งเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน โดยไม่ต้องคํานึงถึงหลักประกันใดๆ ที่ถือครองอยู่ หรือการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ( เช่น ข้อตกลงหักกลบ ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขของ การหักกลบตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32) 8.29 ฎ .2 คําอธิบายเชิงพรรณนาเกี่ยวกับหลักประกันที่กิจการถือครองไว้เพื่อเป็นประกันและ การปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ รวมทั้ง 8.29 ฎ .2.1 คําอธิบายของธรรมชาติและคุณภาพของหลักประกันที่กิจการถือครอง ไว้ 8.29 ฎ .2.2 คําอธิบายของการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสําคัญในคุณภาพของหลักประกัน หรือการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ที่เป็นผลมาจากการเสื่อมค่า หรือ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายหลักประกันของกิจการในระหว่างรอบระยะเวลา รายงาน และ 8.29 ฎ .2.3 ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินที่กิจการไม่ได้รับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุน เนื่องจากมีหลักประกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 92 8.29 ฎ .3 ข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับหลักประกันที่กิจการถือครองไว้เพื่อเป็นประกันและ การปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ( เช่น มูลค่าหลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้น ด้านอื่นๆ ที่ลดความเสี่ยงด้านเครดิต ) สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่ด้อยค่า ด้านเครดิต ณ วันที่รายงาน 8.29 ฏ กิจการต้องเปิดเผยยอดคงเหลือตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินที่ถูกตัดจําหน่ายระหว่าง รอบระยะเวลารายงานและยังอยู่ภายใต้การบังคับให้ชําระได้ ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต 8.29 ฐ กิจการต้องเปิดเผยมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินและฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน โดยแยกตาม ระดับการจัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิต เพื่อทําให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการและเข้าใจการกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีนัยสําคัญ ของกิจการ โดยกิจการต้องเปิดเผยข้อมูลแยกตามประเภทของเครื่องมือทางการเงินดังนี้ 8.29 ฐ .1 เครื่องมือทางการเงินที่ค่าเผื่อผลขาดทุนที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า 8.29 ฐ .2 เครื่องมือทางการเงินที่ค่าเผื่อผลขาดทุนที่วัดมูลค่าด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ และที่เป็น 8.29 ฐ .2.1 เครื่องมือทางการเงินที่ความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก แต่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน ที่ด้อยค่าด้านเครดิต 8.29 ฐ .2.2 สินทรัพย์ทางการเงินที่ด้อยค่าด้านเครดิต ณ วันที่รายงาน ( แต่ไม่ใช่ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตตั้งแต่ซื้อหรือเริ่มแรก ) และ 8.29 ฐ .2.3 ลูกหนี้การค้า สินทรัพย์ตามสัญญา หรือลูกหนี้ตามสัญญาเช่าที่ค่าเผื่อ ผลขาดทุนวัดมูลค่าตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.16 8.29 ฐ .3 เครื่องมือทางการเงินที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตตั้งแต่ซื้อ หรือเริ่มแรก 8.29 ฑ สําหรับลูกหนี้การค้า สินทรัพย์ตามสัญญา และลูกหนี้ตามสัญญาเช่า ซึ่งกิจการได้ถือปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 5.5.16 ข้อมูลที่แสดงตามย่อหน้าที่ 8.29 ฐ อาจอ้างอิงกับวิธีเมทริกซ์ประมาณการ (provision matrix) ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.5.35) 8.30 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ตามประเภทของเครื่องมือทางการเงิน สําหรับเครื่องมือ ทางการเงินภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ แต่ไม่ได้ถือปฏิบัติตามข้อกําหนด ของการด้อยค่าในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 8.30.1 จํานวนเงินซึ่งเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน โดยไม่ต้องคํานึงถึงหลักประกันใดๆ ที่ถือครองอยู่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 93 หรือการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ( เช่น ข้อตกลงหักกลบ ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขของ การหักกลบตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32) การเปิดเผยข้อมูลนี้ ไม่ได้กําหนดสําหรับเครื่องมือทางการเงินซึ่งมูลค่าตามบัญชีเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของ ฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต 8.30.2 คําอธิบายของหลักประกันที่กิจการถือครองไว้เพื่อเป็นประกันและการปรับเครดิต ให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ และผลกระทบทางการเงินของรายการดังกล่าว ( เช่น มูลค่า หลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ที่ลดความเสี่ยงด้านเครดิต ) โดยคํานึงถึงจํานวนเงินที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยง ด้านเครดิต ( ตามที่เปิดเผยในย่อหน้าที่ 8.30.1 หรือแสดงด้วยมูลค่าตามบัญชีของ เครื่องมือทางการเงิน ) หลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ที่ได้รับ 8.31 ในกรณีที่กิจการได้รับสินทรัพย์ทางการเงินหรือสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินในระหว่าง รอบระยะเวลา จากการเข้าเป็นเจ้าของหลักประกันที่ถือครองเป็นประกันหรือเรียกร้องการปรับ เครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ( เช่น การคํ้าประกัน ) และสินทรัพย์ดังกล่าวเข้าเงื่อนไขการรับรู้รายการ ตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับอื่น กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ สําหรับสินทรัพย์ที่กิจการถือครองไว้ ณ วันที่รายงาน 8.31.1 ธรรมชาติและมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ และ 8.31.2 นโยบายของกิจการในการจําหน่ายหรือการใช้ประโยชน์ในการดําเนินงานจากสินทรัพย์ หากสินทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง 8.32 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.32.1 การวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดสําหรับหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ ( รวมถึง สัญญาคํ้าประกันทางการเงินที่ออก ) โดยแสดงระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือตามสัญญา 8.32.2 การวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดสําหรับหนี้สินทางการเงินที่เป็นอนุพันธ์ โดยต้อง รวมระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือตามสัญญา สําหรับหนี้สินทางการเงินที่เป็น อนุพันธ์เหล่านั้น ซึ่งระยะเวลาครบกําหนดตามสัญญามีความจําเป็นในการทําความเข้าใจ จังหวะเวลาของกระแสเงินสด ( ดูย่อหน้าที่ ค 10 ข ) 8.32.3 คําอธิบายถึงการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของกิจการซึ่งมีอยู่เป็นปกติวิสัย ในย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 94 ความเสี่ยงด้านตลาด การวิเคราะห์ความอ่อนไหว 8.33 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ เว้นแต่จะถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 8.34 8.33.1 วิเคราะห์ความอ่อนไหวสําหรับความเสี่ยงด้านตลาดแต่ละประเภทที่กิจการมีอยู่ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน โดยแสดงถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของ ตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีต่อกําไรหรือขาดทุนและส่วนของเจ้าของของกิจการ ที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผล ณ วันนั้น 8.33.2 วิธีและข้อสมมติที่ใช้ในการจัดทําการวิเคราะห์ความอ่อนไหว และ 8.33.3 การเปลี่ยนแปลงวิธีและข้อสมมติที่ใช้ในการวิเคราะห์ความอ่อนไหวจากรอบระยะเวลาก่อน รวมถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 8.34 หากกิจการจัดทําการวิเคราะห์ความอ่อนไหว เช่น มูลค่าของความเสี่ยง (Value-At-Risk) ซึ่งสะท้อนถึง การพึ่งพาอาศัยกันระหว่างตัวแปรความเสี่ยง ( เช่น อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ) และ กิจการใช้การวิเคราะห์ความอ่อนไหวดังกล่าวในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน กิจการสามารถใช้ การวิเคราะห์ความอ่อนไหวดังกล่าวเปิดเผยแทนการวิเคราะห์ที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.33 นอกจากนี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ 8.34.1 คําอธิบายถึงวิธีที่ใช้ในการจัดทําการวิเคราะห์ความอ่อนไหว และคําอธิบายถึง พารามิเตอร์หลักและข้อสมมติหลักสําหรับข้อมูลที่แสดง และ 8.34.2 คําอธิบายถึงวัตถุประสงค์ของวิธีที่ใช้และข้อจํากัดที่อาจทําให้ข้อมูลไม่สะท้อน อย่างเต็มที่ถึงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้อง การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านตลาดอื่น 8.35 ในกรณีที่การวิเคราะห์ความอ่อนไหวที่เปิดเผยตามย่อหน้าที่ 8.33 หรือ 8.34 ไม่เป็นตัวแทน ของความเสี่ยงซึ่งมีอยู่เป็นปกติวิสัยในเครื่องมือทางการเงิน ( เช่น เนื่องจากฐานะเปิดสิ้นปี ไม่สะท้อนฐานะเปิดระหว่างปี ) กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ทําให้เชื่อได้ว่า การวิเคราะห์ความอ่อนไหวดังกล่าวไม่เป็นตัวแทน การโอนสินทรัพย์ทางการเงิน 8.35 ก ข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.35 ข ถึง 8.35 ซ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนสินทรัพย์ ทางการเงินเสริมข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลอื่นตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้อง นําเสนอการเปิดเผยข้อมูลที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 ข ถึง 8.35 ซ ในหมายเหตุประกอบ งบการเงิน กิจการต้องแสดงการเปิดเผยข้อมูลที่กําหนดสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เลิกรับรู้และสําหรับความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ใดๆ ที่ปรากฏอยู่ ณ วันที่รายงานของสินทรัพย์ ที่โอน โดยไม่คํานึงว่ารายการโอนที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 95 ปฏิบัติตามข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าเหล่านั้น กิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด หรือบางส่วน ( สินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ) ก็ต่อเมื่อกิจการ 8.35 ก .1 โอนสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น หรือ 8.35 ก .2 ยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น แต่ยอมรับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะต้องจ่ายกระแสเงินสดให้แก่ผู้รับคนใดคนหนึ่ง หรือหลายคนตามข้อตกลงนั้น 8.35 ข กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลที่ทําให้ผู้ใช้งบการเงินของกิจการ 8.35 ข .1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ซึ่งไม่ได้เลิกรับรู้ทั้งจํานวน และหนี้สินที่เกี่ยวข้อง และ 8.35 ข .2 สามารถประเมินธรรมชาติและความเสี่ยงเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ ในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ 8.35 ค เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 42 จ ถึง 42 ซ หากในการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน กิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิหรือภาระผูกพันตามสัญญาใดๆ ซึ่งมีอยู่เป็นปกติวิสัยในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนหรือได้รับสิทธิหรือภาระผูกพันตาม สัญญาใหม่ใดๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ให้ถือว่ากิจการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ใน สินทรัพย์ทางการเงินที่โอน เพื่อวัตถุประสงค์ในการถือปฏิบัติตามข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลใน ย่อหน้าที่ 8.35 จ ถึง 8.35 ซ รายการดังต่อไปนี้ไม่เข้าข่ายเป็นความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ 8.35 ค .1 การรับรองและการรับประกันตามปกติเกี่ยวกับการโอนที่ฉ้อฉล และแนวคิดของ ความสมเหตุสมผล ความสุจริตใจและการตกลงอย่างเที่ยงธรรมที่ทําให้การโอนเป็น โมฆะ ซึ่งเป็นผลมาจากการดําเนินการตามกฎหมาย 8.35 ค .2 สัญญาฟอร์เวิร์ด สิทธิเลือก และสัญญาอื่นที่จะทําให้ได้สินทรัพย์ทางการเงินที่ โอนกลับมาซึ่งราคาตามสัญญา ( หรือราคาใช้สิทธิ ) เป็นมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ทางการเงินที่โอน หรือ 8.35 ค .3 ข้อตกลงที่กิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดของสินทรัพย์ ทางการเงิน แต่ยอมรับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะต้องจ่ายกระแสเงินสดให้แก่ กิจการใดกิจการหนึ่งหรือหลายกิจการ และเป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 3.2.5.1 ถึง 3.2.5.3 สินทรัพย์ทางการเงินที่โอนโดยไม่เลิกรับรู้ทั้งจํานวน 8.35 ง กิจการอาจโอนสินทรัพย์ทางการเงินในลักษณะที่บางส่วนหรือทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่โอนไม่เข้าเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 ข .1 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในแต่ละวันที่รายงานตามประเภทของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ที่ไม่เลิกรับรู้ทั้งจํานวนดังนี้ 8.35 ง .1 ธรรมชาติของสินทรัพย์ที่โอน 8.35 ง .2 ธรรมชาติของความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่กิจการเปิดรับ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 96 8.35 ง .3 คําอธิบายถึงธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่ เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อจํากัดที่เกิดขึ้นจากการโอนในการใช้สินทรัพย์ที่โอนนั้นของ กิจการที่รายงาน 8.35 ง .4 ตารางการกําหนดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่โอน มูลค่ายุติธรรมของหนี้สินที่ เกี่ยวข้องและฐานะสุทธิ ( ความแตกต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่โอน และหนี้สินที่เกี่ยวข้อง ) เมื่อคู่สัญญาของหนี้สินที่เกี่ยวข้องมีสิทธิไล่เบี้ยเพียงแค่ สินทรัพย์ที่โอน 8.35 ง .5 มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่กิจการยังคงรับรู้ สินทรัพย์ที่โอนทั้งหมด 8.35 ง .6 มูลค่าตามบัญชีรวมของสินทรัพย์เดิมก่อนการโอน มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ ที่กิจการยังคงรับรู้ และมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่กิจการยังคง รับรู้สินทรัพย์ภายใต้ขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.6.3.2 และ 3.2.16) สินทรัพย์ทางการเงินที่โอนโดยเลิกรับรู้ทั้งจํานวน 8.35 จ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 ข .2 เมื่อกิจการเลิกรับรู้สินทรัพย์ทาง การเงินที่โอนทั้งจํานวน ( ดูย่อหน้าที่ 3.2.6.1 และ 3.2.6.3.1) แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ในสินทรัพย์เหล่านั้น กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลขั้นตํ่าดังต่อไปนี้โดยแยกตามประเภทของ ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในแต่ละวันที่รายงาน 8.35 จ .1 มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์และหนี้สินที่รับรู้ในงบฐานะการเงินของกิจการ ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ของกิจการ และมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์และหนี้สินที่รับรู้แยกเป็นรายการรายบรรทัด 8.35 จ .2 มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ของกิจการ 8.35 จ .3 จํานวนเงินซึ่งเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดถึงฐานะเปิดสูงสุดของกิจการต่อผลขาดทุนจาก ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้และข้อมูลที่แสดงถึง วิธีการในการกําหนดฐานะเปิดสูงสุดต่อผลขาดทุน 8.35 จ .4 กระแสเงินสดออกที่ไม่คิดลดซึ่งจําเป็นหรืออาจจําเป็นต้องใช้ซื้อคืนสินทรัพย์ ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ ( เช่น ราคาใช้สิทธิของข้อตกลงสิทธิเลือก ) หรือจํานวนอื่นซึ่งจะ ชําระให้ผู้รับโอนสินทรัพย์ที่โอน หากกระแสเงินสดออกมีความผันแปร จํานวนเงินที่ เปิดเผยต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ปรากฏในแต่ละวันที่รายงาน 8.35 จ .5 การวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดของกระแสเงินสดออกที่ไม่คิดลดซึ่งจําเป็น หรือ อาจจําเป็นต้องใช้ซื้อคืนสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้หรือจํานวนอื่นซึ่งจะชําระ ให้ผู้รับโอนสินทรัพย์ที่โอน กิจการต้องแสดงระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือตาม สัญญาของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 97 8.35 จ .6 ข้อมูลเชิงคุณภาพซึ่งอธิบายและสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 8.35 จ .1 ถึง 8.35 จ .5 8.35 ฉ หากกิจการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่มากกว่าหนึ่งประเภทในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ กิจการอาจรวมข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 จ ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นและรายงาน สินทรัพย์นั้นภายใต้ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่เพียงประเภทเดียว 8.35 ช นอกจากนี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลความเกี่ยวข้องที่คงอยู่แต่ละประเภทดังนี้ 8.35 ช .1 ผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ ณ วันที่โอนสินทรัพย์ 8.35 ช .2 รายได้และค่าใช้จ่ายที่รับรู้จากความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิก รับรู้ของกิจการทั้งในรอบระยะเวลารายงานและมูลค่าสะสม ( เช่น การเปลี่ยนแปลงมูลค่า ยุติธรรมของอนุพันธ์ ) 8.35 ช .3 หากจํานวนเงินรวมของสิ่งตอบแทนที่ได้รับจากการโอน ( ซึ่งเข้าเงื่อนไขของ การเลิกรับรู้รายการ ) ในรอบระยะเวลารายงาน ไม่กระจายอย่างสมํ่าเสมอตลอด รอบระยะเวลารายงาน เช่น หากจํานวนเงินรวมเกือบทั้งหมดของการโอนเกิดขึ้น ณ วันใกล้ๆ สิ้นรอบระยะเวลารายงาน ) 8.35 ช .3.1 เวลาที่เกิดการโอนที่มีจํานวนเงินสูงที่สุดเกิดขึ้นภายในรอบระยะเวลา รายงาน ( เช่น 5 วันสุดท้ายก่อนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ) 8.35 ช .3.2 จํานวนเงินที่รับรู้ ( เช่น ผลกําไรหรือขาดทุนที่เกี่ยวข้อง ) จากการโอน ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นของรอบระยะเวลารายงาน และ 8.35 ช .3.3 จํานวนเงินรวมของสิ่งตอบแทนที่ได้รับจากการโอนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา นั้นของรอบระยะเวลารายงาน กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสําหรับแต่ละรอบระยะเวลาที่มีการนําเสนองบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ข้อมูลเพิ่มเติม 8.35 ซ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลอื่นเพิ่มเติมที่กิจการพิจารณาว่ามีความจําเป็นที่จะทําให้บรรลุวัตถุประสงค์ ของการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.35 ข การใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติเป็นครั้งแรก 8.35 ฌ การเปลี่ยนแปลงมูลค่าตามบัญชีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในการวัดมูลค่าซึ่งเกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนแปลงของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ การเปิดเผยข้อมูลตามย่อหน้านี้ ไม่จําเป็นต้องถือปฏิบัติหลังจากรอบระยะเวลารายงานประจําปีที่กิจการได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งแรก ตามข้อกําหนดการจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่าสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ 8.35 ญ ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีตามหมวดที่ 5.5 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อช่วยให้สามารถกระทบยอดคงเหลือ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 98 ของค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 101 เรื่อง หนี้สงสัยจะสูญ และหนี้สูญ ค่าเผื่อการด้อยค่าตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 105 ( ปรับปรุง 2559) เรื่อง การบัญชีสําหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน และประมาณการหนี้สินตามที่ กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 กับยอดคงเหลือ ณ วันต้นงวดของรอบระยะเวลา รายงานของค่าเผื่อผลขาดทุนตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ สําหรับสินทรัพย์ ทางการเงิน กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลตามประเภทการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 105 ( ปรับปรุง 2559) และแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และต้องแยกแสดงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประเภทการวัดมูลค่าที่มีต่อค่าเผื่อผลขาดทุน ณ วันนั้น 8.35 ฎ ในรอบระยะเวลารายงานที่รวมถึงวันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการไม่จําเป็นต้อง เปิดเผยจํานวนเงินของรายการรายบรรทัดที่จะรายงานตามข้อกําหนดการจัดประเภทรายการและ การวัดมูลค่า ( รวมถึงข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับการวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ ทางการเงินและการด้อยค่าตามหัวข้อที่ 5.4 และ 5.5) ของ 8.35 ฎ .1 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้สําหรับรอบระยะเวลาก่อนๆ 8.35 ฎ .2 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 105 ( ปรับปรุง 2559) เรื่อง การบัญชีสําหรับเงินลงทุน ในตราสารหนี้และตราสารทุน สําหรับรอบระยะเวลาปัจจุบัน 8.35 ฏ หากกิจการเลือกใช้นโยบายการบัญชีป้องกันความเสี่ยงโดยถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ ต่อไป ตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ให้กิจการเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว วันถือปฏิบัติและการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน 8.36 สําหรับงบการเงินประจําปีที่กิจการถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้เป็นครั้งแรก กิจการไม่จําเป็นต้องแสดงข้อมูลเปรียบเทียบสําหรับการเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.25 ถึง 8.35 ซึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติและระดับของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงิน 8 . 36 ก การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ( ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7) ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนกันยายนปี 2562 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2563 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 8 . 19 ซ และ 8 . 36 ข กิจการต้องถือปฏิบัติตาม การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเมื่อกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมในแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 99 8 . 36 ข ในรอบระยะเวลารายงานที่กิจการถือปฏิบัติตาม การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เป็นครั้งแรก ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนกันยายน ปี 2562 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2563 กิจการไม่ต้องแสดง ข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 28 . 6 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการบัญชีและข้อผิดพลาด 8 . 36 ค การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง - ระยะที่ 2 ( ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16) ที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2563 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2564 โดยเพิ่มย่อหน้าที่ 8 . 19 ฌ ถึง 8 . 19 ญ และย่อหน้าที่ 8 . 36 ง กิจการต้องถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเมื่อกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมใน แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 และมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 8.36 ง ในรอบระยะเวลารายงานที่กิจการถือปฏิบัติตาม การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง - ระยะที่ 2 เป็นครั้งแรก กิจการไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 28.6 ของมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 8 8.37 การเปิดเผยข้อมูลนโยบายการบัญชี ( ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 ) ที่ออกโดย คณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 ทําให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในปี 2566 โดยแก้ไขเพิ่มเติมย่อหน้าที่ 8 . 16 และ ค 4 กิจการต้องถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลารายงาน ประจําปีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้อนุญาตให้กิจการถือปฏิบัติได้ ก่อนวันบังคับใช้ หากกิจการถือปฏิบัติตามการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวสําหรับรอบระยะเวลาก่อน วันบังคับใช้ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 100 ภาคผนวก ก ศัพท์บัญญัติ ภาคผนวกนี้เป็นส่วนเสริมที่จําเป็นของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ เงินลงทุน สินทรัพย์ที่กิจการมีไว้เพื่อเพิ่มความมั ่งคั่งให้กับกิจการ ไม่ว่าจะอยู่ใน รูปของส่วนแบ่งที่จะได้รับ ( เช่น ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผล ) ในรูปของราคาที่เพิ่มขึ้น หรือในรูปของประโยชน์อย่างอื่นที่กิจการได้รับ ( เช่น ประโยชน์ที่ได้รับจากความสัมพันธ์ทางการค้า ) รายการต่อไปนี้ ไม่ถือเป็นเงินลงทุน ก ) ข ) ค ) สินค้าคงเหลือ ตามที่นิยามไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 เรื่อง สินค้าคงเหลือ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ตามที่นิยามไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 เรื่อง ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ตามที่นิยามไว้ในมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 40 เรื่อง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หลักทรัพย์เพื่อค้า เงินลงทุนในตราสารหนี้ทุกชนิดหรือตราสารทุนในความต้องการ ของตลาดที่กิจการถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์หลักที่จะขายในอนาคต อันใกล้ ทําให้กิจการถือหลักทรัพย์นั้นไว้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อหากําไร จากการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ ดังนั้น หลักทรัพย์เพื่อค้าจึงมี อัตราการหมุนเวียนสูง หลักทรัพย์เผื่อขาย เงินลงทุนในตราสารหนี้ทุกชนิดหรือตราสารทุนในความต้องการของ ตลาดซึ่งไม่ถือเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า และในขณะเดียวกันไม่ถือเป็น ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดหรือเงินลงทุนในบริษัทย่อยหรือ บริษัทร่วม การร่วมค้า ตราสารหนี้ที่จะถือจน ครบกําหนด เงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ที่กิจการมีความตั้งใจแน่วแน่ และมีความสามารถที่จะถือไว้จนครบกําหนดไถ่ถอน ผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า สัดส่วนของ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ซึ่งเป็น ผลขาดทุนด้านเครดิต จากเหตุการณ์ปฏิบัติผิดสัญญาของเครื่องมือทาง การเงินที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นภายใน 12 เดือนหลังจากวันที่รายงาน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 101 ราคาทุนตัดจําหน่ายของ สินทรัพย์ทางการเงินหรือ หนี้สินทางการเงิน มูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่รับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรก หักด้วยการจ่ายชําระคืนเงินต้น บวกหรือหักค่าตัดจําหน่ายสะสมที่ คํานวณโดยใช้ วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ซึ่งเกิดจากผลต่างระหว่างมูลค่าที่รับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรกและมูลค่า ณ วันที่ครบกําหนด และปรับปรุงด้วย ค่าเผื่อ ผลขาดทุน สําหรับกรณีของสินทรัพย์ทางการเงิน สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา สิทธิเรียกร้องที่มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้ จากสัญญาที่ทํากับลูกค้า กําหนดให้ปฏิบัติตามเกณฑ์การรับรู้และการวัดมูลค่า ผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่าของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ สินทรัพย์ทางการเงินที่มี การด้อยค่าด้านเครดิต สินทรัพย์ทางการเงินมีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อเกิดเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่งหรือหลายเหตุการณ์ที่ทําให้เกิดผลกระทบต่อประมาณการ กระแสเงินสดในอนาคตของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยหลักฐานที่แสดงว่า สินทรัพย์ทางการเงินมีการด้อยค่าด้านเครดิตครอบคลุมถึงข้อมูลที่สังเกตได้ จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ ( ก ) การประสบปัญหาทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญของผู้ออกหรือผู้กู้ ( ข ) การละเมิดสัญญา เช่น การปฏิบัติผิดสัญญาหรือ การค้างชําระเกิน กําหนด ( ค ) ผู้ให้กู้ผ่อนปรนเงื่อนไขแก่ผู้กู้ที่มีปัญหาทางการเงินเนื่องจากเศรษฐกิจ หรือเงื่อนไขตามสัญญา ซึ่งผู้ให้กู้จะไม่พิจารณาผ่อนปรนให้ในกรณี อื่น ๆ ( ง ) มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ผู้กู้จะล้มละลายหรือปรับโครงสร้าง ทางการเงิน ( จ ) การล่มสลายของตลาดซื้อขายคล่องของสินทรัพย์ทางการเงิน เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงิน หรือ ( ฉ ) การซื้อหรือการได้มาซึ่งสินทรัพย์ทางการเงินด้วยราคาที่มีส่วนลด จํานวนมากซึ่งสะท้อนถึง ผลขาดทุนด้านเครดิต ที่เกิดขึ้น ในบางครั้งอาจไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นผลจากเหตุการณ์ใดที่ส่งผลให้ สินทรัพย์มีการด้อยค่าด้านเครดิต แต่อาจเกิดจากผลกระทบของเหตุการณ์ หลายเหตุการณ์รวมกัน ผลขาดทุนด้านเครดิต ผลต่างระหว่างกระแสเงินสดตามสัญญาทั้งหมดซึ่งกิจการต้องได้รับและ กระแสเงินสดทั้งหมดซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รับ ( นั่นคือ จํานวนเงินที่คาดว่า จะไม่ได้รับทั้งหมด ) คิดลดด้วย อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เมื่อเริ่มแรก ( หรือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต สําหรับ สินทรัพย์ ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ) กิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 102 ต้องประมาณกระแสเงินสดโดยพิจารณาถึงเงื่อนไขตามสัญญาทั้งหมดของ เครื่องมือทางการเงิน ( ตัวอย่างเช่น การชําระเงินก่อนครบกําหนด การขยาย ระยะเวลา สิทธิเลือกที่จะซื้อ และสิทธิเลือกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) ตลอดอายุของเครื่องมือทางการเงินที่คาดไว้นั้น กระแสเงินสดที่พิจารณา ต้องรวมถึงกระแสเงินสดที่ได้มาจากการขายหลักประกันที่ถือไว้หรือ ส่วนปรับปรุงด้านเครดิตอื่นๆ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขตามสัญญา โดยมีข้อสันนิษฐานว่าอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงินสามารถ ประมาณการได้อย่างน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่สามารถประมาณ การอายุของเครื่องมือทางการเงินได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องใช้อายุ คงเหลือตามสัญญาของเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งกรณีดังกล่าวยากที่จะ เกิดขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ปรับด้วยความเสี่ยงด้าน เครดิต อัตราที่ใช้ในการคิดลดประมาณการเงินสดจ่ายหรือรับในอนาคตตลอดอายุ ของสินทรัพย์ทางการเงินที่คาดไว้ เพื่อให้ได้ ราคาทุนตัดจําหน่ายของ สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ในการคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต กิจการ ต้องประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับโดยพิจารณาเงื่อนไขของ สัญญาทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงิน ( ตัวอย่างเช่น การชําระเงินก่อน ครบกําหนด การขยายระยะเวลา สิทธิเลือกที่จะซื้อ และสิทธิเลือกที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน ) และ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยการ คํานวณให้รวมถึงค่าธรรมเนียมและต้นทุนในการรับและจ่ายทั้งหมดระหว่าง คู่สัญญาตามสัญญา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.4.1 ถึง ข 5.4.3) ต้นทุนการทํารายการ และส่วนเกินมูลค่าหรือส่วนลด มูลค่าอื่นๆ ทั้งหมด โดยมีข้อสันนิษฐานว่ากระแสเงินสดและอายุที่คาดไว้ ของกลุ่มของเครื่องมือทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันสามารถประมาณ ได้อย่างน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่สามารถประมาณกระแสเงินสด หรืออายุคงเหลือของเครื่องมือทางการเงิน ( หรือกลุ่มของเครื่องมือ ทางการเงิน ) ได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องใช้กระแสเงินสดตามสัญญา ตลอดอายุสัญญาของเครื่องมือทางการเงินนั้น ( หรือกลุ่มของเครื่องมือ ทางการเงินนั้น ) ซึ่งกรณีดังกล่าวยากจะเกิดขึ้น การเลิกรับรู้รายการ การตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ได้เคยรับรู้ออก จากงบฐานะการเงินของกิจการ อนุพันธ์ เครื่องมือทางการเงินหรือสัญญาอื่นภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ ที่มีลักษณะทั้งสามข้อดังต่อไปนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 103 ( ก ) มูลค่าของเครื่องมือทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลง ของตัวแปรที่ระบุไว้ เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาของเครื่องมือทางการเงิน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดัชนีราคา หรือดัชนีอัตรา อันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตหรือดัชนีความ น่าเชื่อถือด้านเครดิต หรือตัวแปรอื่น โดยมีเงื่อนไขว่ากรณีของตัวแปร ที่ไม่ใช่ตัวแปรทางการเงิน ตัวแปรนั้นไม่ใช่ตัวแปรที่เฉพาะเจาะจงกับ คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ( บางครั้งเรียกว่า รายการอ้างอิง ) ( ข ) ไม่มีการจ่ายเงินลงทุนสุทธิเมื่อเริ่มแรก หรือจ่ายด้วยจํานวนเพียง เล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัญญาประเภทอื่นซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของ มูลค่าในลักษณะเดียวกันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยตลาด ( ค ) การรับหรือจ่ายชําระจะกระทําในอนาคต เงินปันผล การจัดสรรกําไรให้กับผู้ถือตราสารทุนตามสัดส่วนการถือครองเงินทุนใน แต่ละประเภท วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง วิธีที่ใช้ในการคํานวณ ราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ทางการเงินหรือ หนี้สินทางการเงิน และมีการปันส่วนและรับรู้ดอกเบี้ยรับหรือดอกเบี้ยจ่าย ในกําไรหรือขาดทุนตลอดช่วงระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง อัตราที่ใช้ในการคิดลดประมาณการเงินสดจ่ายหรือรับในอนาคตตลอดอายุ ที่คาดไว้ของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินเพื่อให้ได้ มูลค่าตาม บัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงิน หรือ ราคาทุนตัดจําหน่าย ของหนี้สินทางการเงิน ในการคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง กิจการต้อง ประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับโดยพิจารณาเงื่อนไขของสัญญา ทั้งหมดของเครื่องมือทางการเงินนั้น ( ตัวอย่างเช่น การชําระเงินก่อนครบ กําหนดการขยายระยะเวลา สิทธิเลือกที่จะซื้อ และสิทธิเลือกที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน ) แต่ต้องไม่พิจารณา ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยการคํานวณนี้ให้รวมถึงค่าธรรมเนียมและต้นทุนในการรับและจ่าย ทั้งหมดระหว่างคู่สัญญาตามสัญญา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริง ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.4.1 ถึง ข 5.4.3) ต้นทุนการทํารายการ และ ส่วนเกินหรือส่วนลดมูลค่าอื่นๆ ทั้งหมด โดยมีข้อสันนิษฐานว่ากระแสเงินสด และอายุที่คาดไว้ของกลุ่มของเครื่องมือทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน สามารถประมาณการได้อย่างน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่สามารถ ประมาณการกระแสเงินสดหรืออายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงิน ( หรือ กลุ่มของเครื่องมือทางการเงิน ) ได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องใช้กระแสเงิน สดตามสัญญาตลอดอายุสัญญาของเครื่องมือทางการเงินนั้น ( หรือกลุ่มของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 104 เครื่องมือทางการเงินนั้น ) ซึ่งกรณีดังกล่าวยากยิ่งที่จะเกิดขึ้น ผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้น ผลขาดทุนด้านเครดิต ที่ถัวเฉลี่ยถ่วงนํ้าหนักจากความเสี่ยงของการปฏิบัติ ผิดสัญญาที่อาจจะเกิดขึ้น สั ญญาคํ้ำประกั นทาง การเงิน สัญญาที่กําหนดให้ผู้คํ้าประกันตามสัญญาต้องจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ที่ได้รับ การคํ้าประกันสําหรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากลูกหนี้ที่ระบุไว้ใน สัญญาไม่สามารถจ่ายชําระเงินเมื่อครบกําหนดตามเงื่อนไขเมื่อเริ่มแรกหรือ เงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงของตราสารหนี้ หนี้สินทางการเงินที่วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุน หนี้สินทางการเงินที่เข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ( ก ) มีลักษณะตรงตามคํานิยามของ การถือไว้เพื่อค้า ( ข ) ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือวันที่เกิดรายการ กิจการได้เลือก กําหนดให้หนี้สินทางการเงินนั้นวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุนตามที่ได้กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.2.2 หรือ 4.3.4 ( ค ) เป็นการเลือกกําหนดให้รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือในภายหลังด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามย่อหน้าที่ 6.7.1 ข้อผูกมัดที่แน่นหนา ข้อตกลงผูกมัดที่จะแลกเปลี่ยนทรัพยากรตามจํานวนและราคาที่กําหนดไว้ ณ วันใดวันหนึ่งหรือหลายวันที่กําหนดไว้ในอนาคต รายการที่คาดการณ์ รายการที่ไม่มีข้อผูกมัดแต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต มูลค่าตามบัญชีก่อน รายการหักของสินทรัพย์ ทางการเงิน ราคาทุนตัดจําหน่ายของสินทรัพย์ทางการเงิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุง ค่าเผื่อผลขาดทุน อัตราส่วนการป ้ องกัน ความเสี่ยง ความสัมพันธ์ระหว่างจํานวนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและ จํานวนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของการถ่วงนํ้าหนัก เปรียบเทียบ ผลกําไรหรือขาดทุนจาก การด้อยค่า ผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.9 และกําไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติตามข้อกําหนด เกี่ยวกับการด้อยค่าที่กําหนดไว้ในหมวดที่ 5.5 ผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอด ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากเหตุการณ์ปฏิบัติผิดสัญญา ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายของเครื่องมือทางการเงินที่คาดไว้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 105 อายุ ค่าเผื่อผลขาดทุน ค่าเผื่อสําหรับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ของสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่าตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.2 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่า และ สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญา มูลค่าการด้อยค่าสะสมสําหรับสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่าตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.3 และประมาณการ หนี้สินสําหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อ และ สัญญาคํ้าประกันทางการเงิน ผลกําไรหรือขาดทุนจาก การเปลี่ยนแปลง จํานวนที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุง มูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ สินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อให้สะท้อนกระแสเงินสดตามสัญญาที่ตกลงกัน ใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่ โดยกิจการคํานวณมูลค่าตามบัญชีก่อน รายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินใหม่จากมูลค่าปัจจุบันของประมาณ การเงินสดรับหรือจ่ายชําระในอนาคตตลอดอายุที่คาดไว้ของสินทรัพย์ ทางการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่ ซึ่งถูกคิดลดด้วย อัตราดอกเบี้ย ที่แท้จริง เมื่อเริ่มแรกของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือ อัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต เมื่อเริ่มแรกสําหรับ สินทรัพย์ ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ) หรือ อัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริง ที่ปรับปรุงใหม่ เมื่อเข้าเงื่อนไขตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.10 ในการประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับของสินทรัพย์ ทางการเงิน กิจการต้องพิจารณาเงื่อนไขตามสัญญาทั้งหมดของสินทรัพย์ ทางการเงิน ( ตัวอย่างเช่น การชําระเงินก่อนครบกําหนด สิทธิเลือกที่จะซื้อ หรือสิทธิเลือกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) แต่ต้องไม่พิจารณา ผลขาดทุนด้าน เครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ยกเว้น สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่า ด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด กิจการต้องพิจารณาผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มแรกที่ถูกพิจารณารวมในการคํานวณ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต เมื่อเริ่มแรก การค้างชําระเกินกําหนด สินทรัพย์ทางการเงินจะถือว่าค้างชําระเกินกําหนดเมื่อคู่สัญญาไม่จ่ายชําระ เมื่อถึงกําหนดชําระตามที่กําหนดไว้ในสัญญา สินทรัพย์ทางการเงินที่มี การด้อยค่าด้านเครดิต เมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด สินทรัพย์ทางการเงินที่ ด้อยค่าด้านเครดิต เมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ณ การรับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรก วันที่จัดประเภทรายการ ใหม่ วันแรกของรอบระยะเวลารายงานแรกหลังจากการเปลี่ยนแปลงการจัดประเภท สินทรัพย์ทางการเงินใหม่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 106 การซื้อหรือการขายตาม วิธีปกติ การซื้อหรือการขายสินทรัพย์ทางการเงินภายใต้สัญญาที่มีเงื่อนไข การส่งมอบสินทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กําหนดขึ้นจากหลักเกณฑ์หรือวิธี ปฏิบัติโดยทั่วไปของตลาดซื้อขายที่พิจารณา ต้นทุนการทํารายการ ต้นทุนส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อ การออกตราสาร หรือการ จําหน่ายสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.4.8) โดยต้นทุนส่วนเพิ่มนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้ากิจการไม่ซื้อ ไม่ออกตราสาร หรือ ไม่จําหน่ายเครื่องมือทางการเงิน ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงที่คู่สัญญาของเครื่องมือทางการเงินฝ่ายหนึ่งจะทําให้เกิดผลขาดทุน ทางการเงินต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งโดยการที่ไม่สามารถจ่ายชําระภาระผูกพัน ระดับการจัดอันดับความ เสี่ยงด้านเครดิต การจัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิตซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยงจาก การผิดสัญญาที่เกิดขึ้นกับเครื่องมือทางการเงิน ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน ความเสี่ยงที่มูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดในอนาคตของเครื่องมือ ทางการเงินจะมีความผันผวนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ความเสี่ยงด้านอัตรา ดอกเบี้ย ความเสี่ยงที่มูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดในอนาคตของเครื่องมือ ทางการเงินจะมีความผันผวนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตรา ดอกเบี้ยตลาด ความเสี่ยงด้านสภาพ คล่อง ความเสี่ยงที่กิจการจะเผชิญกับความยากลําบากในการชําระคืนภาระผูกพันที่ เกี่ยวข้องกับหนี้สินทางการเงิน ซึ่งต้องชําระด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์ ทางการเงินอื่น เงินกู้ยืม เงินกู้ยืมเป็นหนี้สินทางการเงิน ที่นอกเหนือจากเจ้าหนี้การค้าระยะสั้นซึ่งมี ระยะเวลาการจ่ายชําระตามปกติ ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงที่มูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดในอนาคตของเครื่องมือ ทางการเงินจะมีความผันผวนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด ความเสี่ยงด้านตลาดประกอบด้วยความเสี่ยง 3 ประเภท ได้แก่ ความเสี่ยง ด้านสกุลเงิน ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยงด้านราคาอื่น ความเสี่ยงด้านราคาอื่น ความเสี่ยงที่มูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดในอนาคตของเครื่องมือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 107 ทางการเงินจะมีความผันผวนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ตลาด ( นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก ความเสี่ยงด้านอัตรา ดอกเบี้ย หรือ ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน ) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจมี สาเหตุมาจากปัจจัยเฉพาะกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภท หรือกับ ผู้ออกเครื่องมือทางการเงินนั้น หรือปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อเครื่องมือ ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันซึ่งมีการซื้อขายอยู่ในตลาด คํานิยามของคําศัพท์ต่อไปนี้ได้กําหนดอยู่ในย่อหน้าที่ 11 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 ภาคผนวก ก ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 13 หรือภาคผนวก ก ของมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 และได้นํามาใช้ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้โดยมีความหมาย เช่นเดียวกับที่ระบุไว้ในมาตรฐานมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 ภาคผนวก ก ของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 13 หรือภาคผนวก ก ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15  ตราสารทุน  มูลค่ายุติธรรม  สินทรัพย์ทางการเงิน  เครื่องมือทางการเงิน  หนี้สินทางการเงิน  ราคาของรายการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 108 ภาคผนวก ข แนวปฏิบัติ ภาคผนวกนี้ถือเป็นส่วนเสริมที่จําเป็นของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ขอบเขต ( บทที่ 2) ข 2.1 สัญญาบางประเภทกําหนดให้มีการจ่ายชําระโดยอ้างอิงจากสภาพอากาศ ภูมิประเทศ หรือ ลักษณะทางกายภาพอื่นๆ ( สัญญาซึ่งอ้างอิงกับตัวแปรด้านสภาพอากาศในบางครั้งเรียกว่า “ อนุพันธ์สภาพอากาศ ” ถ้าสัญญาดังกล่าวไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย สัญญาดังกล่าวจะอยู่ภายใต้ขอบเขตของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข 2.2 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับโครงการผลประโยชน์ ของพนักงานซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 26 เรื่อง การบัญชีและการรายงาน สําหรับโครงการผลประโยชน์เมื่อออกจากงาน และข้อตกลงค่าสิทธิซึ่งคํานวณจากปริมาณการ ขายและรายได้จากการให้บริการซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้จากสัญญาที่ทํากับลูกค้า ข 2.3 ในบางครั้ง กิจการมีการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ในตราสารทุนที่ออกโดยกิจการอื่นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ของการดําเนินงานในระยะยาวกับกิจการดังกล่าว ผู้ลงทุนหรือ ผู้ร่วมค้าต้องถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 28 เรื่อง เงินลงทุนในบริษัทร่วมและ การร่วมค้า ในการพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้วิธีส่วนได้เสียเพื่อบันทึกบัญชีเงินลงทุน ข 2.4 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินของ ผู้รับประกันที่นอกเหนือจากสิทธิและภาระผูกพันที่ได้รับการยกเว้นตามย่อหน้าที่ 2.1.5 เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 ข 2.5 สัญญาคํ้าประกันทางการเงินอาจมีรูปแบบทางกฎหมายที่แตกต่างกัน เช่น การคํ้าประกัน เลตเตอร์ออฟเครดิตบางประเภท สัญญาการรับประกันด้านเครดิต หรือสัญญาประกันภัย อย่างไรก็ตาม วิธีปฏิบัติทางการบัญชีจะไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบทางกฎหมาย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นวิธี ปฏิบัติที่เหมาะสม ( ดูย่อหน้าที่ 2.1.5) ข 2.5.1 แม้ว่าสัญญาคํ้าประกันทางการเงินจะเข้าเงื่อนไขตามคํานิยามของสัญญาประกันภัย ตามที่กําหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 แต่หากความเสี่ยงที่ถูก โอนไปมีนัยสําคัญ สัญญาคํ้าประกันทางการเงินดังกล่าวอยู่ภายใต้ขอบเขตของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม หากผู้คํ้าประกันตามสัญญาได้กําหนด อย่างชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประกันภัยและได้ถือปฏิบัติตาม วิธีการบัญชีสําหรับสัญญาประกันภัยแล้ว ผู้คํ้าประกันตามสัญญาอาจเลือกที่จะถือ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้หรือมาตรฐานการรายงานทางการเงิน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 109 ฉบับที่ 4 ก็ได้ และหากผู้คํ้าประกันตามสัญญาเลือกที่จะถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ ผู้ออกสัญญาต้องรับรู้สัญญาคํ้าประกันทางการเงินเมื่อเริ่มแรก ด้วยมูลค่ายุติธรรมตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.1.1 หากสัญญาคํ้าประกัน ทางการเงินดังกล่าวเป็นการออกให้บุคคลหรือกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกันในการทํา รายการค้าตามปกติ มูลค่ายุติธรรมเมื่อเริ่มแรกจะเท่ากับเบี้ยประกันที่ได้รับ เว้นแต่ จะมีหลักฐานกําหนดเป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากสัญญาคํ้าประกันทางการเงินไม่ได้ เลือกกําหนดเมื่อเริ่มแรกให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนหรือไม่ได้ ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 3.2.15 ถึง 3.2.23 และย่อหน้าที่ ข 3.2.12 ถึง ข 3.2.17 ( กรณีที่การโอนสินทรัพย์ทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการหรือยังคงมี ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ที่โอน ) ผู้คํ้าประกันตามสัญญาต้องวัดมูลค่า สัญญาดังกล่าวด้วยมูลค่าที่สูงกว่าระหว่าง ข 2.5.1.1 จํานวนเงินที่กําหนดในหมวดที่ 5.5 และ ข 2.5.1.2 จํานวนเงินที่รับรู้เมื่อเริ่มแรกหักจํานวนเงินสะสมของรายได้ ( เมื่อ เหมาะสม ) ที่รับรู้ตามหลักการของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ( ดูย่อหน้าที่ 4.2.1.3) ข 2.5.2 สัญญาคํ้าประกันด้านเครดิตบางประเภทไม่ได้กําหนดเงื่อนไขก่อนจ่ายชําระเงิน ให้ผู้ถือสัญญาคํ้าประกันต้องมีความเสี่ยงและเกิดผลสูญเสียจากการที่ลูกหนี้ ไม่สามารถจ่ายชําระหนี้เมื่อครบกําหนด เช่น การคํ้าประกันที่กําหนดให้การจ่ายชําระ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตหรือดัชนี ความน่าเชื่อถือด้านเครดิตตามที่กําหนด การคํ้าประกันดังกล่าวไม่ถือเป็นสัญญา คํ้าประกันทางการเงินตามที่กําหนดขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และ ไม่ถือเป็นสัญญาประกันภัยตามคํานิยามในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 การคํ้าประกันดังกล่าวถือเป็นอนุพันธ์ โดยให้ผู้คํ้าประกันตามสัญญาดังกล่าวถือ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข 2.5.3 หากการออกสัญญาคํ้าประกันทางการเงินเกี่ยวข้องกับการขายสินค้าให้ผู้คํ้าประกันตาม สัญญาถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 เมื่อรับรู้รายได้ จากการคํ้าประกันและรายได้จากการขายสินค้า ข 2.6 โดยปกติ การรับรองโดยผู้คํ้าประกันตามสัญญาว่าสัญญาที่ออกเป็นสัญญาประกันภัยจะเกิดขึ้น ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คํ้าประกันตามสัญญากับลูกค้าและผู้กํากับดูแล ในสัญญา เอกสาร ทางธุรกิจ และงบการเงิน นอกจากนี้ สัญญาประกันภัยมีข้อกําหนดทางบัญชีที่แตกต่างจาก ข้อกําหนดทางบัญชีของธุรกรรมประเภทอื่นๆ เช่น สัญญาต่างๆ ที่ออกโดยธนาคารหรือธุรกิจ เอกชน ในกรณีดังกล่าวงบการเงินของผู้คํ้าประกันตามสัญญามักมีข้อความที่แสดงว่าผู้คํ้าประกัน ตามสัญญาได้ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางบัญชีสําหรับสัญญาประกันภัย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 110 การรับรู้รายการและการเลิกรับรู้รายการ ( บทที่ 3) การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ( บทที่ 3.1) ข 3.1.1 ตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 3.1.1 กิจการรับรู้สิทธิและภาระผูกพันตามสัญญาทั้งหมดภายใต้ อนุพันธ์เป็นสินทรัพย์และหนี้สินในงบฐานะทางการเงินตามลําดับ ยกเว้นอนุพันธ์ที่ทําให้การโอน สินทรัพย์ทางการเงินไม่ถือเป็นการขาย ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.2.14) หากการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่เข้าเงื่อนไขของการเลิกรับรู้รายการ ผู้รับโอนต้องไม่รับรู้สินทรัพย์ที่โอนนั้นเป็นสินทรัพย์ ของตน ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.2.15) ข 3.1.2 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงการนําข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 3.1.1 มาปฏิบัติ ข 3.1.2.1 ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ที่ไม่มีเงื่อนไขที่รับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินเมื่อกิจการเข้าไป เป็นคู่สัญญา ซึ่งทําให้กิจการมีสิทธิตามกฎหมายในการรับเงินสด หรือมีภาระ ผูกพันตามกฎหมายในการจ่ายเงินสด ข 3.1.2.2 โดยทั่วไป สินทรัพย์ที่จะได้มาและหนี้สินที่จะเกิดขึ้นจากผลของข้อผูกมัดที่แน่น หนาในการซื้อหรือขายสินค้าหรือบริการจะไม่ถูกรับรู้รายการจนกระทั่งมีคู่สัญญา อย่างน้อยหนึ่งรายปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น โดยทั่วไปกิจการที่ได้รับคําสั่งซื้อที่ แน่นหนาจะไม่รับรู้รายการสินทรัพย์ ( และกิจการที่สั่งซื้อจะไม่รับรู้รายการหนี้สิน ) ณ เวลาที่เกิดการผูกมัด แต่จะชะลอการรับรู้รายการออกไปจนกว่าสินค้าหรือ บริการนั้นจะมีการขนส่ง ส่งมอบ หรือให้บริการ หากข้อผูกมัดที่แน่นหนาใน การซื้อหรือขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินอยู่ภายใต้ขอบเขตของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ในย่อหน้าที่ 2.4 ถึง 2.7 ให้รับรู้มูลค่ายุติธรรม สุทธิของข้อผูกมัดเป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน ณ วันที่เกิดการผูกมัด ( ดูย่อหน้าที่ ข 4.1.4.3) นอกจากนั้น หากข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่ยังไม่ได้รับรู้รายการเลือก กําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่า ยุติธรรม ให้รับรู้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในมูลค่ายุติธรรมสุทธิ เป็นสินทรัพย์หรือ หนี้สินภายหลังจากการเริ่มต้นการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.7.2 และ 6.5.8) ข 3.1.2.3 สัญญาฟอร์เวิร์ดซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ดูย่อหน้าที่ 2.1) ถูกรับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินในวันที่เกิดการผูกมัดแทนวันที่ มีการจ่ายชําระ เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาของสัญญาฟอร์เวิร์ด มูลค่ายุติธรรมของ สิทธิและภาระผูกพันมักจะเท่ากัน ดังนั้น มูลค่ายุติธรรมสุทธิของสัญญาฟอร์เวิร์ด เท่ากับศูนย์ หากมูลค่ายุติธรรมสุทธิของสัญญาฟอร์เวิร์ดไม่เท่ากับศูนย์ สัญญา ดังกล่าวจะถูกรับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน ข 3.1.2.4 สัญญาสิทธิเลือกซึ่งอยู่ภายในขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ดูย่อหน้าที่ 2.1) จะถูกรับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินเมื่อผู้ถือครองหรือผู้ออกเข้า ไปเป็นคู่สัญญา

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 111 ข 3.1.2.5 รายการในอนาคตที่วางแผนไว้ซึ่งไม่ว่าจะมีความน่าจะเป็นมากเพียงใดก็ไม่ถือเป็น สินทรัพย์หรือหนี้สิน เนื่องจากกิจการยังไม่ได้เข้าไปเป็นคู่สัญญา การซื้อหรือการขายสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีปกติ ข 3.1.3 การซื้อหรือการขายสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีปกติ กิจการจะรับรู้รายการโดยใช้การบัญชี วันซื้อขายหรือการบัญชีวันชําระตามที่ระบุในย่อหน้าที่ ข 3.1.5 และ ข 3.1.6 กิจการต้อง ใช้วิธีปฏิบัติแบบเดียวกันอย่างสมํ่าเสมอสําหรับการซื้อและการขายสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด ที่ถูกจัดประเภทแบบเดียวกันตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ สําหรับวัตถุประสงค์นี้ สินทรัพย์ที่ต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนจะถูกจัดประเภทแยกต่างหาก จากสินทรัพย์ที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ข 3.1.4 สัญญาซึ่งกําหนดหรืออนุญาตให้มีการจ่ายชําระสุทธิสําหรับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของสัญญา ถือว่าไม่ใช่สัญญาตามวิธีปกติ โดยสัญญาดังกล่าวจะถูกบันทึกบัญชีเป็นอนุพันธ์ในช่วงเวลา ระหว่างวันซื้อขายและวันจ่ายชําระ ข 3.1.5 วันซื้อขาย คือ วันที่กิจการมีข้อผูกมัดที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์ การบัญชีวันซื้อขายจะเกี่ยวข้อง กับ (1) การรับรู้สินทรัพย์ที่จะได้รับและหนี้สินที่จะต้องจ่ายในวันซื้อขาย และ (2) การเลิกรับรู้ รายการสินทรัพย์ที่ถูกขาย รับรู้กําไรหรือขาดทุนใดๆ จากการขาย และรับรู้ลูกหนี้จากการจ่าย ชําระจากผู้ซื้อในวันซื้อขาย โดยทั่วไปดอกเบี้ยของสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องกันจะไม่ถูก รับรู้จนกว่าจะถึงวันจ่ายชําระและโอนกรรมสิทธิ์ ข 3.1.6 วันจ่ายชําระ คือ วันที่สินทรัพย์ถูกส่งมอบแก่หรือส่งมอบโดยกิจการ การบัญชีวันชําระ ณ วันจ่าย ชําระจะเกี่ยวข้องกับ (1) การรับรู้สินทรัพย์ในวันที่กิจการได้รับสินทรัพย์นั้น และ (2) การเลิก รับรู้รายการสินทรัพย์และรับรู้กําไรหรือขาดทุนใดๆ จากการขาย ในวันที่กิจการได้ส่งมอบ สินทรัพย์ เมื่อการบัญชีวันชําระถูกนํามาถือปฏิบัติให้กิจการบันทึกบัญชีสําหรับการเปลี่ยนแปลง ใดๆ ในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่จะได้รับระหว่างวันซื้อขายและวันจ่ายชําระในลักษณะ เดียวกับการบันทึกบัญชีสําหรับสินทรัพย์ที่ได้มา กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าจะไม่ถูกรับรู้ สําหรับสินทรัพย์ที่ใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย แต่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนสําหรับสินทรัพย์ ที่จัดประเภทเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และรับรู้ ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.2.1.2

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 112 การเลิกรับรู้รายการของสินทรัพย์ทางการเงิน ( บทที่ 3.2) ข 3.2.1 แผนภูมิต่อไปนี้แสดงการประเมินการเลิกรับรู้รายการของสินทรัพย์ทางการเงิน ข้อตกลงซึ่งทําให้กิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ ทางการเงิน แต่รับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะจ่ายกระแสเงินสดนั้นให้กับผู้รับรายใดรายหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งราย ( ย่อหน้าที่ 3.2.4.2) ประเมินตามหลักการการเลิกรับรู้รายการดังต่อไปนี้สําหรับบางส่วนหรือทั้งจํานวนของ สินทรัพย์ ( หรือกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ) ( ย่อหน้าที่ 3.2.2) สิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์หมดอายุหรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.3.1) ใช่ รวมบริษัทย่อยทั้งหมด (ย่อหน้าที่ 3.2.1) เลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ ยังคงรับรู้สินทรัพย์ต่อไปตราบเท่าที่กิจการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ยังคงรับรู้เป็นสินทรัพย์ ไม่ใช่ กิจการมีภาระผูกพันตามสัญญาที่จะจ่ายกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ ตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 3.2.5 หรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.4.2) กิจการได้โอนสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจาก สินทรัพย์หรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.4.1) กิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทน เกือบทั้งหมดหรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.6.1) ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ ใช่ กิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทน เกือบทั้งหมดหรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.6.2) กิจการยังคงมีการควบคุมสินทรัพย์หรือไม่ ( ย่อหน้าที่ 3.2.6.3) เลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ ยังคงรับรู้เป็นสินทรัพย์ เลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ ไม่ใช่ ใช่ ใช่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 113 ข 3.2.2 เมื่อสถานการณ์ตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.4.2 ( เมื่อกิจการยังคงไว้ซึ่งสิทธิตามสัญญาที่จะ ได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงิน แต่รับภาระผูกพันตามสัญญาที่จะจ่ายกระแสเงินสด นั้นให้กับผู้รับรายใดรายหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งราย ) เกิดขึ้น เช่น หากกิจการเป็นทรัสต์ และ จ่ายผลประโยชน์ในสินทรัพย์ทางการเงินที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินอ้างอิงซึ่งกิจการเป็นเจ้าของ และให้บริการสินทรัพย์ทางการเงินนั้นให้แก่ผู้ลงทุน ในกรณีดังกล่าว สินทรัพย์ทางการเงินนั้นถือว่า เข้าเงื่อนไขสําหรับการเลิกรับรู้รายการหากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุในย่อหน้าที่ 3.2.5 และ 3.2.6 ข 3.2.3 ในการนําย่อหน้าที่ 3.2.5 มาถือปฏิบัติ กิจการอาจเป็นผู้ออกสินทรัพย์ทางการเงิน หรือเป็น กลุ่มกิจการที่รวมบริษัทย่อย ซึ่งได้รับโอนสินทรัพย์ทางการเงินมาและส่งต่อกระแสเงินสด จากสินทรัพย์ทางการเงินนั้นให้กับผู้ลงทุนซึ่งเป็นบุคคลที่สามซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน การประเมินการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของ ( ย่อหน้าที่ 3.2.6) ข 3.2.4 ตัวอย่างที่กิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมด ข 3.2.4.1 การขายสินทรัพย์ทางการเงินอย่างไม่มีเงื่อนไข ข 3.2.4.2 การขายสินทรัพย์ทางการเงินพร้อมกับสิทธิเลือกที่จะซื้อคืนสินทรัพย์ทางการเงิน ดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่มีการซื้อคืน และ ข 3.2.4.3 การขายสินทรัพย์ทางการเงินพร้อมกับสิทธิเลือกที่จะซื้อหรือสิทธิเลือกที่จะขาย ซึ่งอยู่ในสถานะสูญเงินอย่างมาก ( เช่น สิทธิเลือกซึ่งอยู่ในสถานะสูญเงินอย่างมาก จนเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสถานะทําเงินก่อนหมดอายุ ) ข 3.2.5 ตัวอย่างกรณีที่กิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมด ข 3.2.5.1 รายการขายและซื้อคืน ซึ่งราคาที่ซื้อคืนคือราคาที่ถูกกําหนดไว้ หรือ คือราคาขาย บวกด้วยผลตอบแทนของผู้ให้กู้ยืม ข 3.2.5.2 ข้อตกลงการให้ยืมหลักทรัพย์ ข 3.2.5.3 การขายสินทรัพย์ทางการเงินพร้อมสัญญาแลกเปลี่ยนผลตอบแทนรวม ซึ่งจะรับโอน ความเสี่ยงด้านตลาดกลับมาที่กิจการ ข 3.2.5.4 การขายสินทรัพย์ทางการเงินพร้อมกับสิทธิเลือกที่จะซื้อหรือสิทธิเลือกที่จะขายซึ่ง อยู่ในสถานะทําเงินอย่างมาก ( เช่น สิทธิเลือกซึ่งอยู่ในสถานะทําเงินอย่างมาก จนเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสถานะสูญเงินก่อนหมดอายุ ) และ ข 3.2.5.5 การขายลูกหนี้ระยะสั้นซึ่งกิจการได้คํ้าประกันการชดเชยให้กับผู้รับโอนในกรณี ที่อาจเกิดผลขาดทุนด้านเครดิต ข 3.2.6 หากกิจการพิจารณาว่าผลที่เกิดขึ้นจากการโอนทําให้กิจการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของ ความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ที่โอน กิจการไม่รับรู้สินทรัพย์ที่โอนอีกในรอบ ระยะเวลาอนาคต ยกเว้นกรณีที่กิจการซื้อสินทรัพย์ที่โอนกลับคืนมาโดยการทํารายการใหม่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 114 การประเมินการโอนการควบคุม ข 3.2.7 กิจการไม่คงไว้ซึ่งการควบคุมในสินทรัพย์ที่โอนหากผู้รับโอนมีความสามารถในทางปฏิบัติ ในการขายสินทรัพย์ดังกล่าว กิจการยังคงมีการควบคุมในสินทรัพย์ที่โอนหากในทางปฏิบัติ ผู้รับโอนไม่มีความสามารถในการขายสินทรัพย์ที่โอน ในทางปฏิบัติผู้รับโอนมีความสามารถ ในการขายสินทรัพย์ที่โอนหากสินทรัพย์ดังกล่าวมีการซื้อขายในตลาดซื้อขายคล่อง เนื่องจาก ผู้รับโอนสามารถซื้อสินทรัพย์ที่โอนกลับคืนมาได้จากตลาดหากผู้รับโอนจําเป็นต้องส่งคืน สินทรัพย์ให้กับกิจการ เช่น ในทางปฏิบัติผู้รับโอนอาจมีความสามารถในการขายสินทรัพย์ ที่โอนหากสินทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้สิทธิเลือกที่อนุญาตให้กิจการซื้อสินทรัพย์นั้นกลับคืนมา แต่ผู้รับโอนสามารถหาสินทรัพย์ที่โอนได้จากตลาดทันทีเมื่อมีการใช้สิทธิเลือก หากกิจการ ยังคงมีสิทธิเลือกดังกล่าวอยู่ และผู้รับโอนไม่สามารถหาสินทรัพย์ที่โอนได้จากตลาดทันทีเมื่อมี การใช้สิทธิเลือก จะถือว่าในทางปฏิบัติผู้รับโอนไม่มีความสามารถในการขายสินทรัพย์ที่โอน ข 3.2.8 ในทางปฏิบัติผู้รับโอนมีความสามารถในการขายสินทรัพย์ที่โอนเฉพาะเมื่อผู้รับโอนสามารถ ขายสินทรัพย์นั้นได้ทั้งจํานวนให้กับบุคคลที่สามทซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และสามารถใช้สิทธิ ดังกล่าวได้เพียงฝ่ายเดียวและไม่มีการกําหนดข้อจํากัดเพิ่มเติมในการโอน ประเด็นที่สําคัญคือ อะไรที่ผู้รับโอนสามารถทําได้บ้างในทางปฏิบัติ นอกเหนือจากสิทธิตามสัญญาที่ผู้รับโอน สามารถหรือไม่สามารถทําอะไรกับสินทรัพย์ที่โอนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข 3.2.8.1 สิทธิตามสัญญาในการจําหน่ายสินทรัพย์ที่โอนมีผลกระทบในทางปฏิบัติเพียง เล็กน้อยหากไม่มีตลาดสําหรับสินทรัพย์ที่โอน และ ข 3.2.8.2 ความสามารถในการจําหน่ายสินทรัพย์ที่โอนมีผลกระทบในทางปฏิบัติเพียง เล็กน้อยหากไม่สามารถใช้สิทธิได้อย่างอิสระ ดังนี้ ข 3.2.8.2.1 ความสามารถในการจําหน่ายสินทรัพย์ที่โอนของผู้รับโอนจะต้องเป็น อิสระจากการกระทําของบุคคลอื่น ( กล่าวคือ ต้องเป็นความสามารถ เพียงฝ่ายเดียว ) และ ข 3.2.8.2.2 ผู้รับโอนต้องสามารถจําหน่ายสินทรัพย์ที่โอนโดยไม่มีความจําเป็น ที่จะมีการกําหนดข้อจํากัดหรือเงื่อนไขในการโอน เช่น เงื่อนไข เกี่ยวกับการให้บริการสินทรัพย์ที่ถูกให้ยืม หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการ ให้สิทธิเลือกที่จะซื้อจะขายแก่ผู้รับโอนเพื่อซื้อคืนสินทรัพย์ ข 3.2.9 การที่ผู้รับโอนไม่อาจขายสินทรัพย์ที่โอนเพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าผู้โอนยังคงไว้ซึ่ง การควบคุมในสินทรัพย์ที่โอน อย่างไรก็ตาม หากสิทธิที่จะขายหรือการคํ้าประกันจํากัด ผู้รับโอนจากการขายสินทรัพย์ที่โอน ส่งผลให้ผู้โอนยังคงไว้ซึ่งการควบคุมสินทรัพย์ที่โอน เช่น หากสิทธิที่จะขายหรือการคํ้าประกันมีมูลค่าเพียงพอที่จะทําให้ผู้รับโอนไม่ขายสินทรัพย์ที่ โอน เนื่องจากในทางปฏิบัติผู้รับโอนจะไม่สามารถขายสินทรัพย์ที่โอนให้กับบุคคลที่สามได้โดย ไม่กําหนดเงื่อนไขหรือข้อจํากัดอื่นที่คล้ายคลึงกัน แต่ผู้รับโอนจึงถือสินทรัพย์ที่โอนไว้เพื่อการ รับชําระจากการคํ้าประกันหรือสิทธิที่จะขาย ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ผู้โอนยังคงไว้ซึ่งการ ควบคุมในสินทรัพย์ที่โอน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 115 การโอนที่เป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ ข 3.2.10 กิจการอาจยังคงสิทธิในบางส่วนของการจ่ายดอกเบี้ยของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน โดยถือเป็นค่าตอบแทนในการให้บริการสินทรัพย์เหล่านั้น ดอกเบี้ยบางส่วนที่กิจการ จะไม่ได้รับเมื่อเลิกสัญญา หรือโอนสัญญาให้บริการ จะมีการปันส่วนไปยังสินทรัพย์หรือหนี้สิน ที่เกิดจากการให้บริการ ดอกเบี้ยบางส่วนที่กิจการยังคงได้รับเมื่อมีการยุติหรือโอนสัญญา การให้บริการคือลูกหนี้ดอกเบี้ย (interest-only strip receivable) เช่น หากกิจการยังคงได้รับ ดอกเบี้ยใดๆ เมื่อมีการเลิกสัญญาหรือโอนสัญญาการให้บริการ ส่วนต่างของดอกเบี้ยทั้งหมด คือลูกหนี้ดอกเบี้ย (interest-only strip receivable) เพื่อวัตถุประสงค์ในการนําย่อหน้าที่ 3.2.13 มาปฏิบัติ มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เกิดจากการให้บริการและลูกหนี้ดอกเบี้ย (interest- only strip receivable) จะมีการใช้ในการปันส่วนมูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้ระหว่างส่วนของ สินทรัพย์ที่เลิกรับรู้รายการและส่วนที่รับรู้ต่อไป หากไม่มีการระบุค่าธรรมเนียมในการ ให้บริการหรือค่าธรรมเนียมที่จะได้รับและคาดว่าจะไม่สามารถชดเชยการให้บริการได้อย่าง เพียงพอนั้น ให้รับรู้หนี้สินจากการให้บริการด้วยมูลค่ายุติธรรม ข 3.2.11 เมื่อวัดมูลค่ายุติธรรมของส่วนที่รับรู้ต่อไปและส่วนที่เลิกรับรู้รายการ เพื่อวัตถุประสงค์ในการ นําย่อหน้าที่ 3.2.13 มาปฏิบัติ กิจการต้องนําข้อกําหนดเกี่ยวกับการวัดมูลค่ายุติธรรมใน มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 13 เรื่อง การวัดมูลค่ายุติธรรม มาปฏิบัติเพิ่มเติมจาก ย่อหน้าที่ 3.2.14 การโอนที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการ ข 3.2.12 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงการนําหลักการตามย่อหน้าที่ 3.2.15 มาปฏิบัติ หากกิจการมีการคํ้าประกัน ผลขาดทุนจากการปฏิบัติผิดสัญญาจากสินทรัพย์ที่โอน ทําให้สินทรัพย์ที่โอนไม่สามารถ ถูกเลิกรับรู้รายการได้ เนื่องจากกิจการยังคงความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของ เกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ที่โอน สินทรัพย์ที่โอนยังคงต้องถูกรับรู้ทั้งจํานวนและสิ่งตอบแทนที่ ได้รับจะต้องถูกรับรู้เป็นหนี้สิน ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ที่โอน ข 3.2.13 ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่โอนและหนี้สินที่เกี่ยวข้องภายใต้ย่อหน้าที่ 3.2.16 สินทรัพย์ทุกประเภท ข 3.2.13.1 หากกิจการคํ้าประกันในการจ่ายชําระผลขาดทุนจากการปฏิบัติผิดสัญญาจาก สินทรัพย์ที่โอน ทําให้สินทรัพย์ที่โอนไม่สามารถถูกเลิกรับรู้รายการได้ตาม ขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ณ วันที่มีการโอน สินทรัพย์ที่โอนต้องถูกวัด มูลค่าด้วยจํานวนที่ตํ่ากว่าของ (1) มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ และ (2) จํานวน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 116 เงินสูงสุดของสิ่งตอบแทนที่ได้รับซึ่งกิจการอาจถูกเรียกให้ชําระคืน (“ จํานวนเงินที่ คํ้าประกัน ”) หนี้สินที่เกี่ยวข้องจะมีการรับรู้เมื่อเริ่มแรกด้วยจํานวนเงินที่คํ้าประกัน บวกด้วยมูลค่ายุติธรรมของการคํ้าประกัน ( ซึ่งโดยทั่วไปคือสิ่งตอบแทนที่ได้รับ สําหรับการคํ้าประกัน ) หลังจากนั้นมูลค่ายุติธรรมเมื่อเริ่มแรกของการคํ้าประกัน จะมีการรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเมื่อเข้าตามหลักภาระผูกพัน ( ตามมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15) และมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์จะลดด้วย ค่าเผื่อผลขาดทุน สินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ข 3.2.13.2 หากภาระผูกพันจากสิทธิเลือกที่จะขายที่ออกโดยกิจการ หรือสิทธิจากสิทธิเลือกที่ จะซื้อที่ถือโดยกิจการ ทําให้สินทรัพย์ที่โอนไม่สามารถถูกเลิกรับรู้รายการและ กิจการวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่โอนด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย หนี้สินที่เกี่ยวข้องจะถูก รับรู้ด้วยราคาทุน ( เช่น สิ่งตอบแทนที่ได้รับ ) ปรับปรุงด้วยการตัดจําหน่ายของส่วน ต่างใดๆ ระหว่างทุนและมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ที่โอน ณ วันที่สิทธิเลือกหมดอายุ เช่น สมมุติว่ามูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ สินทรัพย์ ณ วันที่มีการโอนเท่ากับ 98 บาท และมูลค่าของสิ่งตอบแทนที่ได้รับ เท่ากับ 95 บาท มูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ ณ วันที่มีการใช้ สิทธิเลือกเท่ากับ 100 บาท มูลค่าตามบัญชีเมื่อเริ่มแรกของหนี้สินที่เกี่ยวข้อง เท่ากับ 95 บาท และส่วนต่างระหว่างมูลค่า 95 บาท และ 100 บาท ให้รับรู้ใน กําไรหรือขาดทุนโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง หากมีการใช้สิทธิเลือก ผลต่างใดๆ ระหว่างมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินที่เกี่ยวข้องและราคาที่ใช้สิทธิให้รับรู้ในกําไร หรือขาดทุน สินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ข 3.2.13.3 หากสิทธิจากสิทธิเลือกที่จะซื้อของกิจการทําให้ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการ สินทรัพย์ที่โอนและกิจการวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่โอนด้วยมูลค่ายุติธรรม สินทรัพย์ ยังคงต้องถูกวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมต่อไป หนี้สินที่เกี่ยวข้องวัดมูลค่าด้วย (1) ราคาใช้สิทธิเลือกหักด้วยมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกหากสิทธิเลือกอยู่ใน สถานะทําเงินหรือเสมอตัว หรือ (2) มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่โอนหักด้วย มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกหากสิทธิเลือกอยู่ในสถานะสูญเงิน การปรับปรุง การวัดมูลค่าของหนี้สินที่เกี่ยวข้องทําให้มั่นใจว่ามูลค่าที่แสดงในบัญชีสุทธิของ สินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องคือมูลค่ายุติธรรมของสิทธิเลือกจากสิทธิเลือก ที่จะซื้อ เช่น หากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์อ้างอิงเท่ากับ 80 บาท ราคาใช้สิทธิ ของสิทธิเลือกเท่ากับ 95 บาท และมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกเท่ากับ 5 บาท

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 117 ดังนั้น มูลค่าตามบัญชีของหนี้สินที่เกี่ยวข้องเท่ากับ 75 บาท (80 บาท – 5 บาท ) และมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ที่โอนเท่ากับ 80 บาท ( ซึ่งคือมูลค่ายุติธรรม ) ข 3.2.13.4 หากสิทธิเลือกที่จะขายซึ่งออกโดยกิจการทําให้ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ ที่โอนและกิจการวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่โอนด้วยมูลค่ายุติธรรม หนี้สินที่เกี่ยวข้อง ถูกวัดมูลค่าด้วยราคาใช้สิทธิของสิทธิเลือกบวกด้วยมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือก การวัดมูลค่าสินทรัพย์ด้วยมูลค่ายุติธรรมจะต้องวัดที่มูลค่าที่ตํ่ากว่าระหว่างมูลค่า ยุติธรรมและราคาใช้สิทธิของสิทธิเลือก เนื่องจากกิจการไม่มีสิทธิที่จะเพิ่มมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์ที่โอนให้สูงกว่าราคาใช้สิทธิเลือก วิธีการดังกล่าวทําให้มั่นใจว่า มูลค่าตามบัญชีสุทธิของสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของ ภาระผูกพันจากสิทธิเลือกที่จะขาย เช่น หากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์อ้างอิง เท่ากับ 120 บาท ราคาใช้สิทธิของสิทธิเลือกเท่ากับ 100 บาท และมูลค่าตามเวลา ของสิทธิเลือกเท่ากับ 5 บาท ดังนั้น มูลค่าตามบัญชีของหนี้สินที่เกี่ยวข้องเท่ากับ 105 บาท (100 บาท + 5 บาท ) และมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์เท่ากับ 100 บาท ( ในกรณีนี้คือราคาใช้สิทธิของสิทธิเลือก ) ข 3.2.13.5 หากคอลล่าร์ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของการซื้อสิทธิเลือกที่จะซื้อและการขายสิทธิเลือกที่ จะขาย ทําให้ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ที่โอนและกิจการวัดมูลค่า สินทรัพย์ที่โอนด้วยมูลค่ายุติธรรม กิจการยังคงต้องวัดมูลค่าสินทรัพย์ด้วยมูลค่า ยุติธรรม หนี้สินที่เกี่ยวข้องจะถูกวัดมูลค่าด้วย (1) ผลรวมของราคาใช้สิทธิของ สิทธิเลือกที่จะซื้อและมูลค่ายุติธรรมของสิทธิเลือกที่จะขายหักด้วยมูลค่าตามเวลา ของสิทธิเลือกที่จะซื้อหากสิทธิเลือกที่จะซื้ออยู่ในสถานะทําเงินหรือเสมอตัว หรือ (2) ผลรวมของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์และมูลค่ายุติธรรมของสิทธิเลือกที่จะ ขายหักด้วยมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกที่จะซื้อหากสิทธิเลือกที่จะซื้ออยู่ใน สถานะสูญเงิน การปรับปรุงหนี้สินที่เกี่ยวข้องทําให้มั่นใจว่ามูลค่าตามบัญชีสุทธิ ของสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสิทธิเลือกที่กิจการ ถืออยู่หรือที่ออกขายโดยกิจการ เช่น สมมติว่ากิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งถูกวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมพร้อมกันกับการซื้อสิทธิเลือกที่จะซื้อด้วยราคา ใช้สิทธิที่ 120 บาท และออกขายสิทธิเลือกที่จะขายด้วยราคาใช้สิทธิที่ 80 บาท สมมติว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์เท่ากับ 100 บาท ณ วันที่มีการโอน มูลค่า ตามเวลาของสิทธิเลือกที่จะขายและที่จะซื้อเท่ากับ 1 บาทและ 5 บาท ตามลําดับ ในกรณีนี้กิจการรับรู้สินทรัพย์ที่ 100 บาท ( มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ) และรับรู้ หนี้สินที่ 96 บาท (100 บาท + 1 บาท ) – 5 บาท ) โดยสินทรัพย์สุทธิเท่ากับ 4 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสิทธิเลือกที่กิจการถืออยู่และออกขายโดยกิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 118 การโอนทุกประเภท ข 3.2.14 ในกรณีที่การโอนสินทรัพย์ทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขเป็นการเลิกรับรู้รายการสิทธิตามสัญญา หรือภาระผูกพันที่เกี่ยวข้องกับการโอนของผู้โอนจะไม่ถือปฏิบัติแยกต่างหากเป็นอนุพันธ์ หากการรับรู้ทั้งอนุพันธ์และสินทรัพย์ที่โอนหรือหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการโอนส่งผลให้มีการรับรู้ สิทธิหรือภาระผูกพันที่เหมือนกันซํ้าสองครั้ง เช่น สิทธิเลือกที่จะซื้อซึ่งผู้โอนถืออยู่ทําให้การโอน สินทรัพย์ไม่ถือเป็นการขาย ในกรณีดังกล่าวสิทธิเลือกที่จะซื้อจะไม่ถูกรับรู้แยกต่างหากเป็น สินทรัพย์อนุพันธ์ ข 3.2.15 ในกรณีที่การโอนสินทรัพย์ทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขเป็นการเลิกรับรู้รายการผู้รับโอนไม่ต้อง รับรู้สินทรัพย์ที่โอนเป็นสินทรัพย์ของตน ผู้รับโอนต้องเลิกรับรู้รายการเงินสดหรือสิ่งตอบแทน จ่ายอื่น และรับรู้ลูกหนี้ที่เกิดจากผู้โอน หากผู้โอนมีทั้งสิทธิและภาระผูกพันในการซื้อการควบคุม ในสินทรัพย์ที่โอนทั้งจํานวนกลับคืนมาด้วยจํานวนเงินที่แน่นอน ( เช่น ภายใต้ข้อตกลงการซื้อคืน ) ผู้รับโอนอาจวัดมูลค่าลูกหนี้โดยใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย ตัวอย่าง ข 3.2.16 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงถึงการนําหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเลิกรับรู้รายการของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้มาปฏิบัติ ข 3.2.16.1 ข้อตกลงการซื้อคืนและการให้ยืมหลักทรัพย์ หากสินทรัพย์ทางการเงินถูกขาย ภายใต้ข้อตกลงที่จะซื้อคืนด้วยราคาที่แน่นอนหรือด้วยราคาขายบวกผลตอบแทน ของผู้ให้กู้ หรือหากสินทรัพย์ทางการเงินถูกยืมภายใต้ข้อตกลงที่จะส่งคืน สินทรัพย์ทางการเงินนั้นให้แก่ผู้โอน สินทรัพย์ทางการเงินนั้นจะไม่ถูกเลิกรับรู้ รายการ เนื่องจากผู้โอนยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็น เจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด หากผู้รับโอนได้รับสิทธิในการขายสินทรัพย์หรือนํา สินทรัพย์ไปวางเป็นประกัน ผู้โอนต้องเปลี่ยนประเภทการแสดงรายการสินทรัพย์ ในงบฐานะทางการเงินของตน เช่น สินทรัพย์ที่ให้ยืม หรือลูกหนี้ซื้อคืน ข 3.2.16.2 ข้อตกลงการซื้อคืนและการให้ยืมหลักทรัพย์ สินทรัพย์ซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน อย่างมีนัยสําคัญ หากสินทรัพย์ทางการเงินถูกขายภายใต้ข้อตกลงที่จะซื้อคืน สินทรัพย์ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือมีลักษณะเหมือนกันอย่างมีนัยสําคัญด้วย ราคาที่แน่นอน หรือด้วยราคาขายบวกผลตอบแทนของผู้ให้กู้ หรือหากสินทรัพย์ ทางการเงินถูกยืมหรือถูกให้ยืมภายใต้ข้อตกลงที่จะส่งคืนสินทรัพย์ที่มีลักษณะ เหมือนกันหรือมีลักษณะเหมือนกันอย่างมีนัยสําคัญให้แก่ผู้โอนสินทรัพย์ ทางการเงินนั้นจะไม่ถูกเลิกรับรู้ เนื่องจากผู้โอนยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทน ของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.3 ข้อตกลงการซื้อคืนและการให้ยืมหลักทรัพย์ - สิทธิในการทดแทน หากข้อตกลงที่ จะซื้อคืนด้วยราคาซื้อคืนที่แน่นอน หรือด้วยราคาที่เท่ากับราคาขายบวกด้วย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 119 ผลตอบแทนของผู้ให้กู้ หรือรายการให้ยืมหลักทรัพย์ที่มีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งให้สิทธิผู้รับโอนในการทดแทนด้วยสินทรัพย์ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันและ มีมูลค่ายุติธรรมเท่ากันกับสินทรัพย์ที่โอน ณ วันที่มีการซื้อคืนสินทรัพย์ที่ขาย หรือให้ยืมภายใต้รายการซื้อคืนหรือการให้ยืมหลักทรัพย์จะไม่ถูกเลิกรับรู้ รายการ เนื่องจากผู้โอนยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็น เจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.4 สิทธิในการปฏิเสธการซื้อคืนก่อนด้วยมูลค่ายุติธรรม หากกิจการขายสินทรัพย์ ทางการเงินและยังคงมีเพียงสิทธิในการปฏิเสธก่อนในการซื้อคืนสินทรัพย์ที่โอน ด้วยมูลค่ายุติธรรมหากต่อมาผู้รับโอนขายสินทรัพย์ดังกล่าว กิจการสามารถเลิก รับรู้รายการสินทรัพย์ได้เนื่องจากกิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของ ความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.5 รายการขายแบบจับคู่กัน การซื้อคืนสินทรัพย์ทางการเงินในระยะเวลาอันสั้น ภายหลังจากการขาย ในบางครั้งจะถูกพิจารณาว่าเป็นการขายแบบจับคู่กัน การซื้อคืนดังกล่าวไม่ได้ขัดขวางการเลิกรับรู้รายการ ถ้าหากว่ารายการขายเดิม เป็นไปตามเงื่อนไขของการเลิกรับรู้รายการ อย่างไรก็ตาม หากข้อตกลงที่จะขาย สินทรัพย์ทางการเงินทําขึ้นพร้อมกับข้อตกลงที่จะซื้อคืนสินทรัพย์ประเภท เดียวกันด้วยราคาที่แน่นอนหรือด้วยราคาขายบวกผลตอบแทนของผู้ให้กู้ สินทรัพย์ดังกล่าวจะไม่ถูกเลิกรับรู้รายการ ข 3.2.16.6 สิทธิเลือกที่จะขายและสิทธิเลือกที่จะซื้อซึ่งมีสถานะทําเงินอย่างมาก หากสินทรัพย์ ทางการเงินที่โอนสามารถถูกซื้อคืนโดยผู้โอน และสิทธิเลือกที่จะซื้อมีสถานะ ทําเงินอย่างมาก การโอนไม่ถือว่าเข้าเงื่อนไขเป็นการเลิกรับรู้รายการ เนื่องจาก ผู้โอนยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญ ทั้งหมด ในทํานองเดียวกัน หากสินทรัพย์ทางการเงินสามารถถูกขายคืน โดยผู้รับโอน และสิทธิเลือกที่จะขายมีสถานะทําเงินอย่างมาก การโอนไม่ถือว่า เข้าเงื่อนไขเป็นการเลิกรับรู้รายการ เนื่องจากผู้โอนยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและ ผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.7 สิทธิเลือกที่จะขายและสิทธิเลือกที่จะซื้อซึ่งมีสถานะสูญเงินอย่างมาก สินทรัพย์ ทางการเงินซึ่งถูกโอนภายใต้สิทธิที่จะขายซึ่งมีสถานะสูญเงินอย่างมากที่ถือโดย ผู้รับโอน หรือสิทธิเลือกที่จะซื้อซึ่งมีสถานะสูญเงินอย่างมากที่ถือโดยผู้โอน จะถูกเลิกรับรู้รายการเนื่องจากผู้โอนได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของ ความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.8 สินทรัพย์ที่พร้อมหาได้ภายใต้สิทธิเลือกที่จะซื้อที่ไม่มีสถานะทําเงินอย่างมาก หรือสถานะสูญเงินอย่างมาก หากกิจการถือสิทธิเลือกที่จะซื้อสินทรัพย์ซึ่งสามารถ หาได้ทันทีในตลาดและสิทธิเลือกที่จะซื้อที่ไม่มีสถานะทําเงินอย่างมากหรือสถานะ สูญเงินอย่างมาก สินทรัพย์จะถูกเลิกรับรู้รายการ เนื่องจากกิจการ (1) ไม่ได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 120 คงไว้หรือไม่ได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่ มีนัยสําคัญทั้งหมด และ (2) ไม่มีอํานาจควบคุม อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถ หาสินทรัพย์ได้ทันทีในตลาด การเลิกรับรู้รายการจะไม่สามารถทําได้ภายใน ขอบเขตของจํานวนเงินของสินทรัพย์ภายใต้สิทธิเลือกที่จะซื้อ เนื่องจากกิจการ ยังคงมีอํานาจควบคุมในสินทรัพย์ ข 3.2.16.9 สินทรัพย์ที่ไม่พร้อมหาได้ภายใต้สิทธิเลือกที่จะขายที่ออกโดยกิจการซึ่งไม่มี สถานะทําเงินอย่างมากหรือสถานะสูญเงินอย่างมาก หากกิจการโอนสินทรัพย์ ทางการเงินซึ่งไม่สามารถหาได้ทันทีในตลาด และออกสิทธิเลือกที่จะขายซึ่งไม่มี สถานะสูญเงินอย่างมาก กิจการไม่ได้คงไว้หรือไม่ได้โอนความเสี่ยงและ ผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมดเนื่องจากสิทธิเลือกที่จะ ขายดังกล่าว กิจการยังคงมีอํานาจควบคุมในสินทรัพย์หากสิทธิเลือกที่จะขายมี มูลค่ามากพอที่จะทําให้ผู้รับโอนไม่ขายสินทรัพย์ ในกรณีดังกล่าวสินทรัพย์ยังคง ถูกรับรู้ตามขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของผู้โอน ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.2.9) และจะถือว่ากิจการโอนการควบคุมสินทรัพย์หากสิทธิเลือกที่จะขายไม่มีมูลค่า มากพอที่จะทําให้ผู้รับโอนไม่ขายสินทรัพย์ ในกรณีดังกล่าวสินทรัพย์จะถูกเลิก รับรู้รายการ ข 3.2.16.10 สินทรัพย์ภายใต้สิทธิเลือกที่จะซื้อหรือที่จะขายด้วยมูลค่ายุติธรรม หรือข้อตกลง การซื้อคืนล่วงหน้า การโอนสินทรัพย์ทางการเงินที่อยู่ภายใต้สิทธิเลือกที่จะซื้อ หรือที่จะขาย หรือข้อตกลงการซื้อคืนล่วงหน้า ซึ่งสามารถใช้สิทธิหรือซื้อคืน ด้วยราคาที่เท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ณ วันที่มีการซื้อคืน จะส่งผลให้มีการเลิกรับรู้รายการ เนื่องจากมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทน ของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ข 3.2.16.11 สิทธิเลือกที่จะซื้อหรือที่จะขายซึ่งจ่ายชําระเป็นเงินสด กิจการประเมินการโอน สินทรัพย์ทางการเงินที่อยู่ภายใต้สิทธิเลือกที่จะขาย หรือที่จะซื้อ หรือข้อตกลง การซื้อคืนล่วงหน้า ที่จะถูกจ่ายชําระสุทธิด้วยเงินสด เพื่อพิจารณาว่ากิจการยังคงไว้ ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมดหรือไม่ หากกิจการไม่ได้คงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มี นัยสําคัญทั้งหมดในสินทรัพย์ที่โอนให้กิจการพิจารณาว่ากิจการยังคงมีอํานาจ ควบคุมในสินทรัพย์ที่โอนหรือไม่ การที่สิทธิเลือกที่จะขายหรือที่จะซื้อ หรือ ข้อตกลงการซื้อคืนล่วงหน้าดังกล่าว ถูกจ่ายชําระสุทธิด้วยเงินสดไม่ได้หมายความว่า กิจการได้โอนอํานาจควบคุมแล้ว ( ดูย่อหน้าที่ ข 3.2.9 และ ข 3.2.16.7 ถึง ข 3.2.16.9 ข้างต้น ) ข 3.2.16.12 การยกเลิกการสํารองรายการ การยกเลิกการสํารองรายการคือ สิทธิเลือกที่จะ ( ซื้อ ) ซื้อคืนอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งให้สิทธิกิจการในการเรียกคืนสินทรัพย์ที่โอน โดยขึ้นอยู่กับข้อจํากัดบางอย่าง โดยมีเงื่อนไขว่าสิทธิเลือกที่จะซื้อดังกล่าวต้อง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 121 ส่งผลให้กิจการไม่ได้คงไว้หรือไม่ได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความ เป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด ซึ่งจะทําให้ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการได้ โดยเฉพาะจํานวนเงินซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขการซื้อคืน ( สมมติว่าผู้รับโอนไม่สามารถ ขายสินทรัพย์ ) เช่น หากมูลค่าตามบัญชีและจํานวนเงินที่ได้จากการโอนสินทรัพย์ที่ ให้ยืมเท่ากับ 100,000 บาทและเงินให้สินเชื่อแต่ละรายการสามารถเรียกคืนได้ แต่จํานวนเงินรวมของเงินให้สินเชื่อที่สามารถถูกซื้อคืนจะต้องไม่เกิน 10,000 บาท โดย 90,000 บาทของเงินให้สินเชื่อจะเข้าข่ายเป็นการเลิกรับรู้รายการ ข 3.2.16.13 สิทธิเลือกที่จะล้างหนี้ กิจการที่อาจเป็นผู้โอนซึ่งให้บริการแก่สินทรัพย์ที่โอนอาจ ถือสิทธิเลือกที่จะล้างหนี้ เพื่อซื้อคืนสินทรัพย์ที่โอนเมื่อจํานวนเงินของสินทรัพย์ คงเหลือมีมูลค่าลดลงถึงระดับที่กําหนดไว้ซึ่งต้นทุนของการให้บริการดังกล่าว กลายเป็นภาระของกิจการเมื่อเปรียบเทียบกับกําไรจากการให้บริการ โดยมีเงื่อนไข ว่าสิทธิเลือกที่จะล้างหนี้ดังกล่าวส่งผลให้กิจการไม่ได้คงไว้หรือไม่ได้โอน ความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมดและ ผู้รับโอนไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้ ซึ่งจะทําให้ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการได้ เฉพาะจํานวนเงินของสินทรัพย์ซึ่งอยู่ภายใต้สิทธิเลือกที่จะซื้อ ข 3.2.16.14 ส่วนได้เสียที่คงไว้แบบด้อยสิทธิและการคํ้าประกันด้านเครดิต กิจการอาจคํ้า ประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้รับโอนโดยการเข้าไปถือส่วนได้เสียแบบ ด้อยสิทธิบางส่วนหรือทั้งหมดในสินทรัพย์ที่โอน หรืออีกทางเลือกหนึ่ง กิจการ อาจคํ้าประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้รับโอนในรูปของการคํ้าประกัน ด้านเครดิตซึ่งอาจไม่จํากัดหรือจํากัดจํานวนเงินที่ระบุไว้ หากกิจการยังคงไว้ซึ่ง ความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญทั้งหมด สินทรัพย์ นั้นยังคงต้องถูกรับรู้ทั้งจํานวน หากกิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและ ผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญและยังคงมีอํานาจควบคุม บางส่วน ซึ่งจะไม่สามารถเลิกรับรู้รายการได้สําหรับจํานวนเงินสดหรือสินทรัพย์ อื่นที่กิจการสามารถถูกเรียกให้จ่ายชําระ ข 3.2.16.15 สัญญาแลกเปลี่ยนผลตอบแทนทั้งหมด กิจการอาจขายสินทรัพย์ทางการเงิน ให้แก่ผู้รับโอนและเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนผลตอบแทนทั้งหมดกับผู้รับโอน ซึ่งกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมดของสินทรัพย์อ้างอิงจะถูกส่งให้แก่ กิจการเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการจ่ายชําระด้วยจํานวนเงินคงที่หรือ การจ่ายชําระด้วยอัตราผันแปร และการเพิ่มขึ้นหรือการลดลงใดๆ ในมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์อ้างอิงกิจการจะเป็นผู้ชดเชย ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวจะ ไม่สามารถเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทั้งจํานวน ข 3.2.16.16 สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย กิจการอาจโอนสินทรัพย์ทางการเงินที่มีอัตรา ดอกเบี้ยคงที่ให้แก่ผู้รับโอนและเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกับ ผู้รับโอน เพื่อรับอัตราดอกเบี้ยคงที่และจ่ายอัตราดอกเบี้ยผันแปรโดยอ้างอิงจาก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 122 จํานวนเงินตามสัญญาซึ่งเท่ากับจํานวนเงินต้นของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ทําให้สินทรัพย์ที่โอนไม่สามารถถูกเลิก รับรู้หากการจ่ายชําระของสัญญาแลกเปลี่ยนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจ่ายชําระสินทรัพย์ ที่โอน ข 3.2.16.17 สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยแบบตัดจําหน่าย กิจการอาจโอนสินทรัพย์ ทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ซึ่งมีการทยอยลดเงินต้นตลอดช่วงระยะเวลา หนึ่งให้แก่ผู้รับโอนและเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยแบบตัดจําหน่าย กับผู้รับโอนเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยคงที่และจ่ายอัตราดอกเบี้ยผันแปรโดยอ้างอิง กับจํานวนเงินตามสัญญา ถ้าจํานวนเงินตามสัญญามีการตัดจําหน่ายตาม ระยะเวลาซึ่งเท่ากับจํานวนเงินต้นของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนการแลกเปลี่ยน ดังกล่าวจะทําให้กิจการยังคงมีความเสี่ยงจากการชําระคืนก่อนครบกําหนด ในกรณีดังกล่าวกิจการยังคงรับรู้สินทรัพย์ที่โอนทั้งหมดหรือสินทรัพย์ที่โอนตาม ขอบเขตของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ในทางกลับกัน หากการตัดจําหน่ายมูลค่า อ้างอิงตามสัญญาของสัญญาแลกเปลี่ยนไม่สัมพันธ์กับยอดคงเหลือของเงินต้น ของสินทรัพย์ที่โอน สัญญาแลกเปลี่ยนดังกล่าวไม่ส่งผลให้กิจการยังคงไว้ซึ่ง ความเสี่ยงจากการชําระเงินก่อนครบกําหนดของสินทรัพย์ ดังนั้น กิจการ สามารถเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ที่โอนได้ โดยมีเงื่อนไขว่าการจ่ายชําระของ สัญญาแลกเปลี่ยนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการจ่ายชําระดอกเบี้ยของสินทรัพย์ที่โอน และ สัญญาแลกเปลี่ยนไม่ได้ส่งผลให้กิจการยังคงไว้ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทน ของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญใดๆ ในสินทรัพย์ที่โอน ข 3.2.16.18 การตัดบัญชี กิจการไม่มีการคาดคะเนอย่างสมเหตุสมผลในการได้รับคืนกระแส เงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมดหรือบางส่วน ข 3.2.17 ย่อหน้านี้แสดงถึงการนําการพิจารณาความเกี่ยวข้องที่คงอยู่มาถือปฏิบัติเมื่อกิจการยังคงมี ความเกี่ยวข้องคงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินบางส่วน สมมติว่ากิจการมีพอร์ตโฟลิโอของเงินให้สินเชื่อที่อาจมีการชําระคืนก่อนครบกําหนดโดยมี อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเท่ากับร้อยละ 10 และมีเงินต้นตามราคา ทุนตัดจําหน่ายเท่ากับ 10,000 บาท กิจการได้เข้าทํารายการโอนสินทรัพย์โดยได้รับเงินจํานวน 9,115 บาท ผู้รับโอนได้รับสิทธิในเงินต้นที่ได้รับ จํานวน 9,000 บาท และได้รับดอกเบี้ยร้อย ละ 9.5 ของเงินต้นดังกล่าว กิจการยังคงสิทธิในเงินต้นที่ได้รับจํานวน 1,000 บาท ดอกเบี้ย ร้อยละ 10 ของเงินต้นดังกล่าว และอัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน ร้อยละ 0.5 ของเงินต้น 9,000 บาท เงินที่ได้รับจากการชําระเงินก่อนครบกําหนดจะถูกปันส่วนระหว่างกิจการและผู้รับโอนตาม สัดส่วน 1 ต่อ 9 แต่การปฏิบัติผิดสัญญาใดๆ จะถูกหักออกจากส่วนได้เสียของกิจการจํานวน 1,000 บาทก่อน จนกว่าส่วนนี้จะหมดไป มูลค่ายุติธรรมของเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ทํารายการ เท่ากับ 10,100 บาท และมูลค่ายุติธรรมของอัตราดอกเบี้ยส่วนเกินที่ร้อยละ 0.5 นั้นเท่ากับ 40 บาท

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 123 กิจการพิจารณาว่ากิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญ บางส่วน ( เช่น ความเสี่ยงจากการชําระเงินก่อนครบกําหนดที่มีนัยสําคัญ ) แต่ยังคงไว้ซึ่ง ความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของที่มีนัยสําคัญบางส่วน ( เนื่องจากกิจการยังมี ส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิ ) และยังคงมีอํานาจควบคุม ดังนั้น กิจการจึงนําการพิจารณาความเกี่ยวข้อง ที่คงอยู่มาปฏิบัติ ในการถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการวิเคราะห์ธุรกรรม ดังนี้ ( ก ) การคงไว้ ตามสัดส่วนของส่วนได้เสียจํานวน 1,000 บาท บวกด้วย ( ข ) การมีส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิ เพื่อให้การคํ้าประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์สําหรับผลขาดทุนด้านเครดิตแก่ผู้รับโอน กิจการคํานวณว่าจํานวน 9,090 (90% x 10,100 บาท ) ของสิ่งตอบแทนที่ได้รับจํานวน 9,115 บาท แสดงถึงสิ่งตอบแทนในสัดส่วนร้อยละ 90 ส่วนที่เหลือของสิ่งตอบแทนที่ได้รับ (25 บาท ) แสดงถึงสิ่งตอบแทนที่ได้รับจากส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิเพื่อคํ้าประกันส่วนสูญเสีย ของสินทรัพย์สําหรับผลขาดทุนด้านเครดิตแก่ผู้รับโอน นอกจากนั้น อัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน ที่ร้อยละ 0.5 แสดงถึงสิ่งตอบแทนที่ได้รับสําหรับการคํ้าประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์ ดังนั้น สิ่งตอบแทน ที่ได้รับทั้งหมดสําหรับการคํ้าประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์เท่ากับ 65 บาท (25 บาท + 40 บาท ) กิจการคํานวณกําไรหรือขาดทุนจากการขายร้อยละ 90 ของกระแสเงินสด สมมติว่ามูลค่า ยุติธรรมสําหรับส่วนของร้อยละ 10 ที่คงไว้ และร้อยละ 90 ที่โอน ไม่สามารถหาได้แยก ต่างหาก ณ วันที่ทํารายการ กิจการปันส่วนมูลค่าตามบัญชีตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 3.2.14 ดังนี้ กิจการคํานวณกําไรหรือขาดทุนจากการขายส่วนร้อยละ 90 ของกระแสเงินสด โดยการหัก มูลค่าตามบัญชีของส่วนที่โอนจากสิ่งตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งเท่ากับ 90 (9,090 บาท – 9,000 บาท ) มูลค่าตามบัญชีของส่วนที่กิจการคงไว้คือ 1,000 บาท นอกจากนั้น กิจการรับรู้ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ซึ่งเป็นผลมาจากการถือส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิ สําหรับผลขาดทุนด้านเครดิต ดังนั้น กิจการรับรู้สินทรัพย์ด้วยจํานวน 1,000 บาท ( จํานวน สูงสุดที่จะไม่ได้รับจากการมีส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิ ) และรับรู้หนี้สินที่เกี่ยวข้องจํานวน 1,065 บาท ( ซึ่งคือจํานวนสูงสุดที่จะไม่ได้รับจากการมีส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิซึ่งเท่ากับ 1,000 บาท บวกด้วยมูลค่ายุติธรรมของส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิจํานวน 65 บาท ) มูลค่ายุติธรรม ร้อยละ มูลค่าตามบัญชีที่ปันส่วน ส่วนที่โอน 9,090 90% 9,000 ส่วนที่คงไว้ 1,010 10% 1,000 รวม 10,100 10,000

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 124 กิจการใช้ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นในการบันทึกบัญชีดังนี้ เดบิต เครดิต สินทรัพย์เดิม - 9,000 รับรู้สินทรัพย์จากการมีส่วนได้เสียแบบ ด้อยสิทธิ หรือส่วนได้เสียคงเหลือ 1,000 - รับรู้สินทรัพย์สําหรับสิ่งตอบแทนที่ ได้รับในรูปของ อัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน 40 - กําไรหรือขาดทุน ( กําไรจากการโอน ) - 90 หนี้สิน - 1,065 เงินสดรับ 9,115 - รวม 10,155 10,155 ภายหลังจากเกิดรายการ มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์เท่ากับ 2,040 บาท ซึ่งประกอบด้วย จํานวน 1,000 บาท ที่แสดงถึงการปันส่วนต้นทุนของส่วนที่คงไว้ และจํานวน 1,040 บาท ที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการจากการมีส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิสําหรับ ผลขาดทุนด้านเครดิต ( ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน จํานวน 40 บาท ) ในรอบระยะเวลาต่อมา กิจการรับรู้สิ่งตอบแทนที่ได้รับสําหรับการคํ้าประกันส่วนสูญเสีย ของสินทรัพย์ (65 บาท ) ตามสัดส่วนของระยะเวลา รับรู้ดอกเบี้ยค้างรับจากสินทรัพย์ที่รับรู้ โดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง และรับรู้การด้อยค่าของเงินให้สินเชื่อ ของสินทรัพย์ที่รับรู้ เช่น สมมติว่าในปีถัดมามีการขาดทุนจากการด้อยค่าจากเงินให้สินเชื่อที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงจํานวน 300 บาท ดังนั้นกิจการลดมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้รับรู้ไว้แล้วนั้นด้วยจํานวน 600 บาท (300 บาท ที่เกี่ยวข้องกับส่วนได้เสียที่คงไว้และ 300 บาทที่เกี่ยวข้องกับความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ซึ่งเกิดขึ้น จากส่วนได้เสียแบบด้อยสิทธิสําหรับการขาดทุนจากการด้อยค่า ) และลดหนี้สินที่รับรู้จํานวน 300 บาท ทําให้มีผลกําไรหรือขาดทุนสุทธิจากการด้อยค่าจํานวน 300 บาท การเลิกรับรู้รายการของหนี้สินทางการเงิน ( หมวดที่ 3.3) ข 3.3.1 หนี้สินทางการเงิน ( หรือบางส่วนของหนี้สินทางการเงิน ) สิ้นสุดลงเมื่อลูกหนี้มีลักษณะใด ลักษณะหนึ่งต่อไปนี้ ข 3.3.1.1 จ่ายชําระหนี้สิน ( หรือบางส่วนของหนี้สิน ) คืนแก่เจ้าหนี้ ซึ่งโดยปกติจ่ายชําระด้วย เงินสด สินทรัพย์ทางการเงินอื่น สินค้าหรือบริการ หรือ ข 3.3.1.2 หลุดพ้นจากความรับผิดชอบตามกฎหมายสําหรับหนี้สินนั้น ( หรือบางส่วนของ หนี้สิน ) โดยกระบวนการทางกฎหมายหรือโดยเจ้าหนี้ ( หากลูกหนี้ให้การคํ้าประกัน อาจยังคงเข้าเงื่อนไขนี้ได้ )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 125 ข 3.3.2 หากผู้ออกตราสารหนี้ซื้อตราสารนั้นกลับคืนมา หนี้สินจะถูกยกเลิก ถึงแม้ว่าผู้ออกเป็นผู้เสนอ ราคาซื้อขายปกติของตราสารนั้นหรือมีความตั้งใจที่จะขายคืนในระยะเวลาอันใกล้ ข 3.3.3 การจ่ายชําระหนี้ให้กับบุคคลที่สามซึ่งรวมถึงทรัสต์ ( ในบางครั้งเรียกว่า ‘in-substance defeasance’) โดยกิจการไม่ได้ช่วยลดภาระผูกพันหลักที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ โดยไม่มีการปลดหนี้ ตามกฎหมาย ข 3.3.4 หากลูกหนี้จ่ายชําระหนี้ให้แก่บุคคลที่สามเพื่อให้รับภาระผูกพันในหนี้สินและแจ้งแก่เจ้าหนี้ว่า บุคคลที่สามได้รับภาระผูกพันในหนี้สินไว้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่สามารถเลิกรับรู้รายการภาระผูกพัน ในหนี้สินได้ เว้นแต่จะเป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ ข 3.3.1.2 หากลูกหนี้จ่ายชําระหนี้ให้แก่ บุคคลที่สามเพื่อให้รับภาระผูกพันในหนี้สินและได้รับการปลดหนี้ตามกฎหมายจากเจ้าหนี้ ลูกหนี้ สามารถตัดบัญชีหนี้สินนั้นได้ อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ตกลงจะชําระหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม หรือ ชําระหนี้โดยตรงไปยังเจ้าหนี้เดิม ให้ลูกหนี้รับรู้ภาระผูกพันในหนี้สินใหม่ที่มีต่อบุคคลที่สาม ข 3.3.5 ถึงแม้ว่าการปลดหนี้ตามกฎหมายไม่ว่าจะโดยกระบวนการทางกฎหมายหรือโดยเจ้าหนี้ ส่งผลให้มีการเลิกรับรู้รายการหนี้สิน กิจการอาจรับรู้หนี้สินใหม่หากสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ไม่เข้าเงื่อนไขการเลิกรับรู้รายการตามย่อหน้าที่ 3.2.1 ถึง 3.2.23 หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ดังกล่าว สินทรัพย์ที่โอนจะไม่ถูกเลิกรับรู้รายการ และกิจการต้องรับรู้หนี้สินใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ สินทรัพย์ที่โอน ข 3.3.6 เพื่อวัตถุประสงค์ของย่อหน้าที่ 3.3.2 เงื่อนไขถือว่ามีความแตกต่างอย่างยิ่งหากมูลค่าปัจจุบันคิดลด ของกระแสเงินสดภายใต้เงื่อนไขใหม่ซึ่งรวมค่าธรรมเนียมจ่ายใดๆ สุทธิด้วยค่าธรรมเนียม รับใดๆ และคิดลดโดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิม มีความแตกต่างอย่างน้อยร้อยละ 10 จากมูลค่าปัจจุบันคิดลดของกระแสเงินสดคงเหลือของหนี้สินทางการเงินเดิมในการพิจารณา ค่าธรรมเนียมจ่ายสุทธิด้วยค่าธรรมเนียมรับ ให้ผู้กู้ยืมรวมเพียงค่าธรรมเนียมจ่ายหรือรับ ระหว่างผู้กู้ยืมและผู้ให้กู้ยืมเท่านั้นโดยรวมค่าธรรมเนียมจ่ายหรือรับที่ผู้กู้ยืมหรือผู้ให้กู้ยืม กระทําในนามของผู้อื่นด้วย ข 3.3.6 ก หากการแลกเปลี่ยนตราสารหนี้หรือการปรับแต่งเงื่อนไขได้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของหนี้สิน ให้รับรู้ต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของผลกําไรหรือผลขาดทุน จากการสิ้นสุดของหนี้สิน หากการแลกเปลี่ยนหรือการปรับแต่งเงื่อนไขไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุด ของหนี้สิน ให้ปรับปรุงต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นกับมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินและ ตัดจําหน่ายตลอดระยะเวลาคงเหลือของหนี้สินที่มีการปรับแต่ง ข 3.3.7 ในบางกรณีเจ้าหนี้ปลดลูกหนี้จากภาระผูกพันในการจ่ายชําระหนี้ แต่ลูกหนี้รับภาระใน การคํ้าประกันการจ่ายชําระหากคู่สัญญาที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักจากการปฏิบัติผิดสัญญา ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวให้ลูกหนี้ ข 3.3.7.1 รับรู้หนี้สินทางการเงินใหม่ ด้วยมูลค่ายุติธรรมของภาระผูกพันสําหรับการคํ้าประกัน และ ข 3.3.7.2 รับรู้กําไรหรือขาดทุนจากผลต่างระหว่าง (1) การจ่ายใดๆ และ (2) มูลค่าตามบัญชี ของหนี้สินทางการเงินเดิมหักด้วยมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงินใหม่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 126 การจัดประเภทรายการ ( บทที่ 4) การจัดประเภทรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน ( หมวดที่ 4.1) ทางเลือกในการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( หมวดที่ 4.1 และ 4.2) ข 4.1.1 ตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.1.8 และ 4.2.2 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้อนุญาตให้กิจการ เลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงิน หนี้สินทางการเงินหรือกลุ่มของเครื่องมือทางการเงิน ( สินทรัพย์ทางการเงิน หนี้สินทางการเงินหรือทั้งสองประเภท ) แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุนโดยการการวัดมูลค่าด้วยวิธีนี้ส่งผลให้มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ข 4.1.2 การตัดสินใจของกิจการที่จะเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินแสดง ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนจะคล้ายกับการเลือกใช้นโยบายการบัญชี ( ถึงแม้จะ แตกต่างจากการเลือกนโยบายการบัญชีคือไม่จําเป็นต้องนํามาถือปฏิบัติกับธุรกรรมที่คล้ายกัน ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ) เมื่อกิจการมีทางเลือกตามย่อหน้าที่ 14.2 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 กําหนดว่านโยบายการบัญชีที่เลือกใช้ทําให้งบการเงินให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้และ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจมากขึ้นสําหรับส่วนที่เกี่ยวกับผลกระทบของรายการ เหตุการณ์อื่นหรือ สถานการณ์ที่มีต่อฐานะการเงิน ผลการดําเนินงานการเงิน และกระแสเงินสดของกิจการ เช่น ในกรณีที่กิจการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ย่อหน้าที่ 4.2.2 กล่าวถึงสองกรณีที่จะต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ มากขึ้น ดังนั้นใน การเลือกดังกล่าวตามย่อหน้าที่ 4.2.2 กิจการจะต้องแสดงให้เห็นถึงการเลือกหรือไม่เลือกตาม สภาพแวดล้อมทั้งสองสภาพแวดล้อม การเลือกกําหนดเพื่อขจัดหรือลดการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชีอย่างมีนัยสําคัญ ข 4.1.3 การวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน และการรับรู้การเปลี่ยนแปลงใน มูลค่าที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับการจัดประเภทของเครื่องมือทางการเงินและการพิจารณาว่า เครื่องมือทางการเงินนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงที่เลือก กําหนดขึ้นหรือไม่ ข้อกําหนดดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความไม่สอดคล้องในการวัดมูลค่าและ การรับรู้รายการ ( บางครั้งอาจอ้างอิงถึงการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ) เช่น หากกิจการไม่เลือกกําหนดให้เครื่องมือทางการเงินแสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุน สินทรัพย์ทางการเงินรายการหนึ่งอาจจัดประเภท และวัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ในขณะที่หนี้สินอีกรายการหนึ่งที่กิจการพิจารณาว่ามี ความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดังกล่าวต้องวัดมูลค่าภายหลังด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ( ซึ่งไม่มี การรับรู้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ) จากสภาพแวดล้อมดังกล่าว กิจการอาจได้ข้อสรุป ว่างบการเงินของกิจการจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจได้มากกว่าหากทั้งสินทรัพย์และ หนี้สินนั้นมีการวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 127 ข 4.1.4 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงกรณีที่เข้าเงื่อนไขที่กําหนดข้างต้น ซึ่งในทุกกรณีกิจการอาจใช้ เงื่อนไขข้างต้นในการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินแสดงด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนได้หากเป็นไปตามหลักการในย่อหน้าที่ 4.1.8 หรือ 4.2.2.1 ข 4.1.4.1 กิจการมีหนี้สินภายใต้สัญญาประกันภัยซึ่งการวัดมูลค่าได้นําข้อมูลในปัจจุบัน มาร่วมพิจารณา ( ตามที่อนุญาตในย่อหน้าที่ 24 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4) และมีสินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการพิจารณาว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งในกรณีดังกล่าวหากกิจการไม่กําหนดให้แสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุนจะถูกวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หรือราคาทุนตัดจําหน่าย ข 4.1.4.2 กิจการมีสินทรัพย์ทางการเงิน หนี้สินทางการเงิน หรือทั้งสองประเภทซึ่งมีการร่วมรับ ความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน มูลค่ายุติธรรมในทิศทางตรงข้ามกันและมีแนวโน้มที่จะหักกลบกันในที่สุด อย่างไรก็ตาม มีเพียงเครื่องมือทางการเงินบางประเภทเท่านั้นที่มีการวัดมูลค่า ที่มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( ได้แก่ อนุพันธ์ หรือที่ถูกจัดประเภทเป็น ถือไว้เพื่อค้า ) นอกจากนี้ อาจรวมถึงกรณีที่ไม่เป็นไปตามข้อกําหนดของการบัญชี ป้องกันความเสี่ยง เช่น ไม่เป็นไปตามข้อกําหนดในเรื่องความมีประสิทธิผลใน การป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.4.1 ข 4.1.4.3 กิจการมีสินทรัพย์ทางการเงิน หนี้สินทางการเงิน หรือทั้งสองประเภทซึ่งมีการร่วม รับความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในมูลค่ายุติธรรมในทิศทางตรงข้ามกันและมีแนวโน้มที่จะหักกลบกันในที่สุด และ ไม่มีสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงินที่จะเข้าเงื่อนไขเป็นเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากไม่ได้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน นอกจากนี้ การไม่สามารถปฏิบัติตามการบัญชีป้องกันความเสี่ยงจะทําให้ เกิดความไม่สอดคล้องในการรับรู้รายการกําไรและขาดทุนอย่างมีนัยสําคัญ เช่น กิจการซื้อกลุ่มของเงินให้สินเชื่อโดยการออกหุ้นกู้ที่มีการซื้อขายกันในตลาด โดยที่การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของทั้งสองรายการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะ หักกลบกันได้ นอกจากนี้ หากกิจการมีการซื้อขายหุ้นกู้เป็นประจํา แต่แทบจะไม่มี รายการซื้อขายเงินให้สินเชื่อ การรายงานทั้งเงินให้สินเชื่อและหุ้นกู้ด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนจะช่วยไม่ให้เกิดความไม่สอดคล้องในช่วงเวลาของ การรับรู้รายการกําไรและขาดทุนซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการวัดมูลค่ารายการทั้งสอง ด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายและรับรู้กําไรและขาดทุนเมื่อมีการซื้อคืนหุ้นกู้ในแต่ละครั้ง ข 4.1.5 กรณีตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าก่อน ซึ่งมีการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สิน ทางการเงินวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน จะช่วยขจัดหรือลด ความไม่สอดคล้องของการวัดมูลค่าหรือการรับรู้รายการได้อย่างมีนัยสําคัญ และให้ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว กิจการไม่จําเป็นต้อง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 128 วัดมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือรับรู้รายการความไม่สอดคล้องในช่วงเวลาเดียวกัน การเหลื่อมเวลาที่สมเหตุสมผลอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากรายการที่เกิดขึ้นแต่ละรายการได้เลือก กําหนดให้รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และในขณะที่ มีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกนั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่ารายการอื่นๆ ที่เหลือจะเกิดขึ้น ข 4.1.6 กิจการไม่ควรเลือกกําหนดให้บางส่วนของสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินที่มี ความไม่สอดคล้องกันให้แสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน หากการกําหนด ดังกล่าวไม่ช่วยขจัดหรือลดความไม่สอดคล้องที่เกิดขึ้นได้อย่างมีนัยสําคัญ และไม่ทําให้เกิด ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจได้มากขึ้น แต่กิจการสามารถเลือกกําหนดให้แสดงมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนกับบางส่วนของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ที่คล้ายคลึงกันจํานวนหนึ่งได้ หากการกําหนดดังกล่าวช่วยลดความไม่สอดคล้องที่เกิดขึ้นได้ อย่างมีนัยสําคัญ เช่น กิจการมีหนี้สินทางการเงินที่คล้ายคลึงกันจํานวนหนึ่งมูลค่ารวม 100 บาท และมีสินทรัพย์ทางการเงินที่คล้ายคลึงกันจํานวนหนึ่งมูลค่ารวม 50 บาท โดยที่สินทรัพย์และ หนี้สินดังกล่าววัดมูลค่าบนหลักการที่ต่างกัน กิจการอาจต้องการลดความไม่สอดคล้องใน การวัดมูลค่าอย่างมีนัยสําคัญด้วยการเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทั้งหมด และเพียงบางส่วนของ หนี้สิน ( เช่น หนี้สินแต่ละรายการที่เมื่อรวมกันมีมูลค่ารวม 45 บาท ) ให้รับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน อย่างไรก็ตาม หากการเลือกกําหนดให้ แสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนต้องนํามาถือปฏิบัติกับเครื่องมือทางการ เงินแต่ละรายการทั้งจํานวน กิจการในตัวอย่างนี้ต้องเลือกกําหนดหนี้สินรายการหนึ่งหรือหลาย รายการให้แสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนทั้งจํานวน โดยไม่สามารถเลือก กําหนดการวัดมูลค่าดังกล่าวเฉพาะกับส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งของหนี้สินแต่ละ รายการนั้น ( เช่น การเปลี่ยนแปลงสําหรับมูลค่าเฉพาะที่เกิดจากความเสี่ยงประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ) หรือเฉพาะกับสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง ( ร้อยละ ) ของหนี้สินแต่ละรายการ กลุ่มของหนี้สินทางการเงิน หรือสินทรัพย์ทางการเงิน และหนี้สินทางการเงินถูกจัดการ และประเมินผลบนพื้นฐานของมูลค่ายุติธรรม ข 4.1.7 กิจการอาจบริหารจัดการกลุ่มหนี้สินทางการเงิน หรือทั้งสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สิน ทางการเงิน และประเมินผลการบริหารตามลักษณะของการวัดมูลค่ากลุ่มของเครื่องมือ ทางการเงินดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ซึ่งทําให้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับ การตัดสินใจมากขึ้น ประเด็นที่สําคัญคือการพิจารณาแนวทางที่กิจการใช้ในการบริหารและ ประเมินผลการบริหาร แทนการมุ่งเน้นการพิจารณาธรรมชาติของเครื่องมือทางการเงินนั้น ข 4.1.8 ตัวอย่างเช่น กิจการอาจใช้เงื่อนไขข้างต้นในการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินแสดงมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนได้หากเป็นไปตามหลักการในย่อหน้าที่ 4.2.2.2 และ กิจการมีสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน ซึ่งมีการร่วมรับความเสี่ยงตั้งแต่หนึ่ง ประเภทขึ้นไป และความเสี่ยงดังกล่าวถูกบริหารและประเมินผลบนพื้นฐานของมูลค่ายุติธรรม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 129 ตามที่กําหนดไว้ในนโยบายการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่จัดทําขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น กิจการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบไปด้วยอนุพันธ์แฝงหลายประเภทและ มีการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นบนหลักการของมูลค่ายุติธรรมโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน ทั้งที่เป็นอนุพันธ์และไม่ใช่อนุพันธ์ ข 4.1.9 ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เงื่อนไขนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางที่กิจการบริหารจัดการและประเมินมูลค่า กลุ่มของเครื่องมือทางการเงินที่กําลังพิจารณา ดังนั้น ( ขึ้นอยู่กับข้อกําหนดในเรื่องการเลือก กําหนดการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ) กิจการซึ่งเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินแสดงมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนภายใต้เงื่อนไขข้อนี้ ก็จะเลือกกําหนดหนี้สิน ทางการเงินทุกประเภทที่มีคุณสมบัติซึ่งมีการบริหารและประเมินมูลค่าร่วมกัน ข 4.1.10 เอกสารต่างๆ เกี่ยวกับกลยุทธ์ของกิจการไม่จําเป็นต้องจัดทําอย่างครอบคลุม แต่ควรเพียงพอ สําหรับการแสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.2.2 เอกสารดังกล่าว ไม่ต้องจัดทําสําหรับเครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการ โดยอาจจัดทําเป็นพอร์ตโฟลิโอได้ เช่น หากระบบในการบริหารแผนกงานหนึ่งๆ ได้รับการอนุมัติจากผู้บริหารสําคัญของกิจการแล้ว สามารถแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการประเมินผลการบริหารแผนกงานอยู่บนหลักการนี้ กิจการไม่จําเป็นต้องจัดทําเอกสารใดเพิ่มเติมเพื่อแสดงว่าเป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.2.2.2 อีก อนุพันธ์แฝง ( หมวดที่ 4.3) ข 4.3.1 เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาของสัญญาแบบผสม ย่อหน้าที่ 4.3.2 กําหนดให้กิจการต้องระบุ อนุพันธ์แฝงนั้น และประเมินว่าจําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลักหรือไม่ ในกรณี ที่จําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลัก กิจการต้องวัดมูลค่าอนุพันธ์ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกและวัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ข 4.3.2 หากสัญญาหลักไม่มีการระบุหรือกําหนดวันครบกําหนดไว้ล่วงหน้า และแสดงถึงส่วนได้เสีย คงเหลือในสินทรัพย์สุทธิของกิจการ ลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยง ( ของสัญญาหลัก ) คือลักษณะของตราสารทุน และอนุพันธ์แฝงจําเป็นต้องมีลักษณะของส่วนได้เสียที่สัมพันธ์กับ กิจการเดียวกันจึงจะพิจารณาได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด หากสัญญาหลักไม่ใช่ตราสาร ทุนและมีลักษณะตามคํานิยามของเครื่องมือทางการเงิน ดังนั้นลักษณะเชิงเศรษฐกิจและ ความเสี่ยง ( ของสัญญาหลัก ) คือลักษณะของตราสารหนี้ ข 4.3.3 อนุพันธ์แฝงประเภทที่ไม่ใช่สิทธิเลือก ( เช่น อนุพันธ์แฝงที่เป็นสัญญาฟอร์เวิร์ด หรือสัญญา แลกเปลี่ยน ) จะถูกแยกออกจากสัญญาหลักโดยพิจารณาจากเงื่อนไขที่ระบุไว้ชัดเจนหรือ โดยนัย เพื่อที่จะส่งผลให้อนุพันธ์แฝงดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมเท่ากับศูนย์ ณ การรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก ส่วนอนุพันธ์แฝงประเภทสิทธิเลือก ( เช่น อนุพันธ์แฝงที่เป็นสิทธิเลือกที่จะขาย สิทธิเลือกที่จะซื้อ มูลค่าสูงสุด มูลค่าตํ่าสุด หรือสิทธิที่จะแลกเปลี่ยน ) จะถูกแยกออกจาก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 130 สัญญาหลักโดยพิจารณาจากเงื่อนไขของส่วนที่เป็นสิทธิเลือก มูลค่าของสัญญาหลักที่แสดง ในบัญชีเมื่อเริ่มแรก คือ ส่วนที่เหลือหลังจากแยกอนุพันธ์แฝงออกไปแล้ว ข 4.3.4 โดยทั่วไปอนุพันธ์แฝงหลายประเภทที่แฝงอยู่ในสัญญาแบบผสมรายการเดียวกันจะถูกพิจารณา ว่าเป็นอนุพันธ์แฝงแบบผสมหนึ่งรายการ อย่างไรก็ตาม อนุพันธ์แฝงที่ถูกจัดประเภทเป็นทุน ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 เรื่อง การแสดงรายการเครื่องมือทางการเงิน ) จะถูกปฏิบัติโดย แยกต่างหากจากอนุพันธ์แฝงที่ถูกจัดประเภทเป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน นอกจากนั้น หากสัญญา แบบผสมที่ประกอบด้วยอนุพันธ์แฝงมากกว่าหนึ่งประเภท และอนุพันธ์แฝงเหล่านั้นสัมพันธ์ กับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และสามารถแยกจากกันได้ทันที และเป็นอิสระต่อกัน อนุพันธ์แฝงเหล่านี้จะถูกปฏิบัติโดยแยกจากกัน ข 4.3.5 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงถึงลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของอนุพันธ์แฝงที่ไม่มี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสัญญาหลัก ( ย่อหน้าที่ 4.3.2.1) ตามตัวอย่างต่อไปนี้สมมติว่า อนุพันธ์แฝงมีลักษณะตามข้อกําหนดที่ระบุในย่อหน้าที่ 4.3.2.2 และ 4.3.2.3 โดยกิจการ ปฏิบัติกับอนุพันธ์แฝงแยกต่างหากจากสัญญาหลัก ข 4.3.5.1 สัญญาสิทธิที่จะขาย ที่แฝงอยู่ในเครื่องมือทางการเงินที่ทําให้ผู้ถือมีสิทธิเรียกร้อง ให้ผู้ออกซื้อคืนเครื่องมือทางการเงินด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ที่ผันแปรตาม การเปลี่ยนแปลงในราคาหรือดัชนีของหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ จะถือว่าไม่มี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลัก ข 4.3.5.2 สิทธิหรือข้อกําหนดโดยอัตโนมัติที่จะขยายระยะเวลาครบกําหนดที่เหลืออยู่ของ ตราสารหนี้ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลัก เว้นแต่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นอัตราตลาดปัจจุบันในช่วงที่มีการขยาย ระยะเวลา หากกิจการออกตราสารหนี้และผู้ถือตราสารหนี้ดังกล่าวมีการขายสิทธิ เลือกที่จะซื้อตราสารหนี้ดังกล่าวให้กับบุคคลที่สาม ผู้ออกจะพิจารณาว่าสิทธิเลือกที่ จะซื้อดังกล่าวเป็นการขยายระยะเวลาครบกําหนดของตราสารหนี้ ถ้าผู้ออกมีส่วนร่วม หรืออํานวยความสะดวกในการขายตราสารหนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้สิทธิเลือกที่ จะซื้อนั้น ข 4.3.5.3 ตราสารหนี้หรือสัญญาประกันภัยที่เป็นสัญญาหลัก ซึ่งการจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ย สัมพันธ์กับดัชนีตราสารทุนที่แฝงอยู่ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ สัญญาหลัก เนื่องจากความเสี่ยงของสัญญาหลักและอนุพันธ์แฝงไม่คล้ายคลึงกัน ข 4.3.5.4 ตราสารหนี้หรือสัญญาประกันภัยที่เป็นสัญญาหลัก ซึ่งการจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ย สัมพันธ์กับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ที่แฝงอยู่ ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ สัญญาหลัก เนื่องจากความเสี่ยงของสัญญาหลักและอนุพันธ์แฝงไม่คล้ายคลึงกัน ข 4.3.5.5 สัญญาสิทธิที่จะซื้อ สัญญาสิทธิที่จะขาย สิทธิชําระเงินก่อนครบกําหนด ที่แฝงอยู่ ในตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลักหรือสัญญาประกันภัย ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับสัญญาหลัก เว้นแต่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 131 ข 4.3.5.5.1 ราคาใช้สิทธิจะเท่ากับราคาทุนตัดจําหน่ายโดยประมาณของตราสารหนี้ ในวันที่มีการใช้สิทธิแต่ละครั้งหรือมูลค่าตามบัญชีของสัญญา ประกันภัยหลัก หรือ ข 4.3.5.5.2 ราคาใช้สิทธิของสิทธิชําระเงินก่อนครบกําหนดสามารถคืนเงินให้แก่ ผู้ให้กู้เป็นจํานวนเงินเท่ากับมูลค่าปัจจุบันโดยประมาณของดอกเบี้ยที่ สูญเสียไปจากระยะเวลาที่เหลือของสัญญาหลัก ดอกเบี้ยที่สูญเสียไป เท่ากับเงินต้นที่จ่ายคืนก่อนครบกําหนดคูณด้วยความแตกต่างของ อัตราดอกเบี้ย ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยคือส่วนเกินของอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงของสัญญาหลักกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่กิจการ จะได้รับ ณ วันที่ชําระเงินก่อนครบกําหนด ถ้านํากลับไปลงทุนใหม่ใน สัญญาที่คล้ายคลึงกันสําหรับระยะเวลาที่เหลือของสัญญาหลัก การประเมินว่าสัญญาสิทธิที่จะซื้อหรือสัญญาสิทธิที่จะขายมีความสัมพันธ์อย่าง ใกล้ชิดกับตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลักหรือไม่ จะถูกพิจารณาก่อนที่จะมีการแยก องค์ประกอบที่เป็นทุน ภายใต้มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 ข 4.3.5.6 อนุพันธ์ด้านเครดิต ที่แฝงอยู่ในตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลักและอนุญาตให้ คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง (“ ผู้รับผลประโยชน์ ”) โอนความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์ อ้างอิงเฉพาะรายการ ซึ่งอาจไม่มีความเป็นเจ้าของไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง (“ ผู้คํ้าประกัน ”) และถือว่าไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตราสารหนี้ที่เป็น สัญญาหลัก อนุพันธ์ด้านเครดิตดังกล่าวอนุญาตให้ผู้คํ้าประกันรับโอนความเสี่ยงที่ เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์อ้างอิง โดยไม่จําเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นโดยตรง ข 4.3.6 ตัวอย่างของสัญญาแบบผสม ได้แก่ เครื่องมือทางการเงินที่ให้สิทธิผู้ถือในการขายเครื่องมือ ทางการเงินคืนให้แก่ผู้ออก โดยแลกกับเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นที่ผันแปรตาม การเปลี่ยนแปลงของดัชนีตราสารทุนหรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง (“ เครื่องมือทางการเงินที่มีสิทธิขายคืน ”) เว้นแต่ผู้ออกจะเลือกกําหนดในการรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกให้เครื่องมือทางการเงินที่มีสิทธิขายคืนเป็นหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวจะถูกกําหนดให้แยกอนุพันธ์ แฝงออกมา ( เช่น การจ่ายเงินต้นตามดัชนี ) ตามย่อหน้าที่ 4.3.2 เนื่องจากสัญญาหลักคือ ตราสารหนี้ภายใต้ย่อหน้าที่ ข 4.3.2 และการจ่ายเงินต้นตามดัชนีไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด กับตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลัก ภายใต้ย่อหน้าที่ ข 4.3.5.1 ทั้งนี้ เนื่องจากการจ่ายคืนเงินต้น สามารถเพิ่มขึ้นและลดลง จึงถือว่าอนุพันธ์แฝงเป็นอนุพันธ์ประเภทที่ไม่ให้สิทธิเลือกที่จะซื้อ หรือจะขาย โดยมูลค่าของอนุพันธ์แฝงดังกล่าวจะถูกกําหนดตามตัวแปรอ้างอิง ข 4.3.7 ในกรณีของเครื่องมือทางการเงินที่ให้สิทธิขายคืน ซึ่งสามารถขายคืนได้ตลอดเวลา โดยได้รับ เงินสดในจํานวนเท่ากับสัดส่วนที่ถืออยู่ในมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกิจการ ( เช่น หน่วยลงทุนใน กองทุนเปิด หรือ กรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน ) การแยกอนุพันธ์แฝงและบันทึกบัญชี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 132 สําหรับแต่ละองค์ประกอบ ทําให้ทราบมูลค่าไถ่ถอนของสัญญาแบบผสม ซึ่งต้องชําระ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน หากผู้ถือใช้สิทธิในการขายเครื่องมือทางการเงินนั้นคืนให้กับผู้ออก ข 4.3.8 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงถึงลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของอนุพันธ์แฝงที่มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับลักษณะเชิงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของสัญญาหลัก ในตัวอย่างเหล่านี้ กิจการ ไม่ปฏิบัติกับอนุพันธ์แฝงแยกต่างหากจากสัญญาหลัก ข 4.3.8.1 อนุพันธ์แฝงซึ่งตัวแปรอ้างอิง คืออัตราดอกเบี้ยหรือดัชนีอัตราดอกเบี้ยซึ่งสามารถ เปลี่ยนแปลงจํานวนเงินของดอกเบี้ยที่จะถูกจ่ายหรือที่จะได้รับจากสัญญาหลักที่ เป็นสัญญาหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยหรือสัญญาประกันภัย ถือว่ามีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับสัญญาหลัก เว้นแต่ สัญญาแบบผสมที่สามารถจ่ายชําระโดยที่ผู้ถือ ไม่ได้รับเงินลงทุนคืนในส่วนที่มีนัยสําคัญทั้งหมด หรืออนุพันธ์แฝงสามารถเพิ่ม อัตราผลตอบแทนเมื่อเริ่มต้นจากสัญญาหลักให้แก่ผู้ถือได้อย่างน้อยสองเท่า และ ส่งผลให้ได้รับอัตราผลตอบแทนอย่างน้อยสองเท่าจากอัตราผลตอบแทนตลาด สําหรับสัญญาที่มีเงื่อนไขเหมือนกับสัญญาหลัก ข 4.3.8.2 อัตราตํ่าสุดหรืออัตราสูงสุดที่แฝงอยู่ในอัตราดอกเบี้ยของสัญญาหนี้สินหรือสัญญา ประกันภัย ถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสัญญาหลัก หากอัตราสูงสุดที่ กําหนดไว้เท่ากับหรือสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตลาด และอัตราตํ่าสุดที่กําหนดไว้ เท่ากับหรือตํ่ากว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดในขณะที่มีการออกสัญญานั้น และอัตรา สูงสุดหรืออัตราตํ่าสุดนั้นไม่ได้เป็นการปรับมูลค่าทางการเงินเมื่อเปรียบเทียบกับ สัญญาหลัก ในทํานองเดียวกัน เงื่อนไขที่ประกอบอยู่ในสัญญาเพื่อซื้อหรือขาย สินทรัพย์ ( เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ) ที่กําหนดอัตราสูงสุดและอัตราตํ่าสุดของราคาที่ จะจ่ายหรือได้รับสําหรับสินทรัพย์นั้น ถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ สัญญาหลัก หากทั้งอัตราสูงสุดและอัตราตํ่าสุดอยู่ในสถานะสูญเงิน ณ วันเริ่มต้น และไม่ได้มีผลในการการปรับมูลค่าทางการเงิน ข 4.3.8.3 อนุพันธ์แฝงประเภทอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งทําให้การจ่ายเงินต้น หรือดอกเบี้ยถูกกําหนดเป็นเงินตราต่างประเทศและแฝงอยู่ในตราสารหนี้ที่เป็น สัญญาหลัก ( เช่น หุ้นกู้ที่มีสองอัตราแลกเปลี่ยน (dual currency bond)) จะถือว่า มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาหลัก โดยอนุพันธ์ดังกล่าว ไม่ต้องถูกแยกออกจากสัญญาหลัก เนื่องจากมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 เรื่อง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กําหนดให้กําไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของรายการที่ เป็นตัวเงินต้องถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ข 4.3.8.4 อนุพันธ์แฝงประเภทอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซึ่งแฝงอยู่ในสัญญาหลัก ซึ่งเป็นสัญญาประกันภัย หรือไม่ใช่เครื่องมือทางการเงิน ( เช่น สัญญาในการซื้อ หรือขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินซึ่งราคาของรายการดังกล่าวถูกกําหนด เป็นเงินตราต่างประเทศ ) จะถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสัญญาหลัก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 133 ถ้าไม่มีการปรับมูลค่าทางการเงิน ไม่มีลักษณะของสิทธิเลือก และกําหนดให้การ จ่ายเงินทําในสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งต่อไปนี้ ข 4.3.8.4.1 สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานของคู่สัญญาใดๆ ในสัญญานั้น ข 4.3.8.4.2 สกุลเงินซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการที่จะได้รับมาหรือที่จะต้องส่ง มอบถูกกําหนดเป็นปกติในการค้าทั่วโลก ( เช่น สกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐสําหรับรายการซื้อขายนํ้ามันดิบ ) ข 4.3.8.4.3 สกุลเงินซึ่งใช้โดยทั่วไปในสัญญาซื้อหรือขายรายการที่ไม่ใช่รายการ ทางการเงินในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจซึ่งรายการนั้นเกิดขึ้น ( เช่น สกุลเงินที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่อง ซึ่งใช้โดยทั่วไปใน ธุรกิจของท้องถิ่นหรือการค้าทั่วโลก ) ข 4.3.8.5 สิทธิที่จะชําระเงินก่อนครบกําหนดที่แฝงอยู่ในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว หรือ ส่วนที่เป็นเงินต้นเพียงอย่างเดียว ถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ สัญญาหลัก ถ้าหากว่าสัญญาหลัก ข 4.3.8.5.1 เกิดขึ้นจากการแยกสิทธิที่จะรับกระแสเงินสดตามสัญญาของ สินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งสัญญาหลักไม่มีอนุพันธ์แฝง และ ข 4.3.8.5.2 ไม่มีเงื่อนไขใดที่ไม่ได้แสดงอยู่ในสัญญาหนี้เดิมที่เป็นสัญญาหลัก ข 4.3.8.6 อนุพันธ์แฝงในสัญญาเช่าที่เป็นสัญญาหลัก ถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ สัญญาหลัก หากอนุพันธ์แฝงคือ ข 4.3.8.6.1 ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ เช่น ดัชนีการจ่ายค่าเช่าต่อดัชนีราคา ผู้บริโภค ( ถ้าหากว่าสัญญาเช่านั้นไม่มีการปรับมูลค่าทางการเงิน และดัชนีมีความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ของกิจการ ) ข 4.3.8.6.2 ค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้นที่มีเงื่อนไขอ้างอิงกับการขายที่เกี่ยวข้อง หรือ ข 4.3.8.6.3 ค่าเช่าที่อาจเกิดขึ้นที่มีเงื่อนไขอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยผันแปร ข 4.3.8.7 กรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน ที่แฝงอยู่ในเครื่องมือทางการเงินหลักหรือ สัญญาประกันภัยที่เป็นสัญญาหลักจะถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสัญญา หลักดังกล่าว หากการจ่ายเงินถูกกําหนดในรูปของหน่วยลงทุนที่สะท้อนมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์ในกองทุน ลักษณะของกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นเงื่อนไขตามสัญญาที่กําหนดการจ่ายเงินชําระเงินในรูปของหน่วยของเงิน ลงทุนในกองทุนทั้งภายในและภายนอก ข 4.3.8.8 อนุพันธ์ที่แฝงอยู่ในสัญญาประกันภัยจะถือว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสัญญา ประกันภัยซึ่งเป็นสัญญาหลัก หากอนุพันธ์แฝงและสัญญาประกันภัยที่เป็นสัญญา หลักมีความเกี่ยวข้องกันจนทําให้กิจการไม่สามารถวัดมูลค่าของอนุพันธ์แฝงแยก ต่างหากได้ ( นั่นคือ ไม่สามารถวัดมูลค่าแยกต่างหาก โดยไม่พิจารณาควบคู่ไปกับ สัญญาหลักได้ )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 134 ตราสารที่มีอนุพันธ์แฝง ข 4.3.9 ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ ข 4.3.1 เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาของสัญญาแบบผสมที่สัญญาหลัก ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และมีอนุพันธ์แฝงหนึ่ง รายการหรือมากกว่า ย่อหน้าที่ 4.3.2 กําหนดให้กิจการต้องระบุอนุพันธ์แฝงนั้น และประเมิน ว่าจําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลักหรือไม่ ในกรณีที่จําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลัก กิจการต้องวัดมูลค่าอนุพันธ์ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกและวัดมูลค่า ภายหลัง ข้อกําหนดนี้อาจจะทําให้การวัดมูลค่าซับซ้อนยิ่งขึ้นหรือมีความน่าเชื่อถือน้อยลงกว่า การวัดมูลค่าตราสารทั้งหมดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ด้วยเหตุผลดังกล่าว แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้จึงอนุญาตให้สามารถเลือกกําหนดให้สัญญาแบบผสมทั้งหมด วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ข 4.3.10 ข้อกําหนดดังกล่าวสามารถนําไปปฏิบัติได้ แม้ว่าย่อหน้าที่ 4.3.2 จะกําหนดให้ต้องแยก อนุพันธ์แฝงจากสัญญาหลัก หรือห้ามไม่ให้แยกจากสัญญาหลัก อย่างไรก็ตาม ย่อหน้าที่ 4.3.4 อาจไม่เหมาะสมที่จะนําไปใช้ในการเลือกกําหนดให้สัญญาแบบผสมแสดงมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.3.4.1 และ 4.3.4.2 เนื่องจาก ไม่ได้ลดความซับซ้อนหรือช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ การประเมินอนุพันธ์แฝงใหม่ ข 4.3.11 ตามย่อหน้าที่ 4.3.2 กิจการจะต้องประเมินว่าจําเป็นต้องแยกอนุพันธ์แฝงจากสัญญาหลัก หรือไม่และปฏิบัติเป็นอนุพันธ์เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาในครั้งแรก โดยห้ามประเมินใหม่ใน ภายหลังเว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาซึ่งทําให้กระแสเงินสดเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสําคัญ นอกเหนือจากที่สัญญากําหนดไว้ให้มีการประเมินใหม่ กิจการต้องกําหนดว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดอย่างมีนัยสําคัญหรือไม่ โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ คาดว่าจะได้ในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับอนุพันธ์แฝง สัญญาหลักหรือทั้งสัญญาหลักและ อนุพันธ์แฝงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ที่เคยกําหนดไว้ในสัญญาหรือไม่ ข 4.3.12 ย่อหน้าที่ ข 4.3.11 ไม่ใช้กับอนุพันธ์แฝงที่รวมอยู่ในสัญญาที่ได้มาจาก ข 4.3.12.1 การรวมธุรกิจ ( ตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ ) ข 4.3.12.2 การรวมกันของกิจการหรือการรวมธุรกิจภายใต้การควบคุมเดียวกันตามที่อธิบายไว้ ในย่อหน้าที่ ข 1 ถึง ข 4 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 หรือ ข 4.3.12.3 การก่อตั้งการร่วมค้าตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 11 เรื่อง การร่วมการงาน หรือการประเมินความเป็นไปได้ ณ วันที่ได้มาซึ่งกิจการ 2 2 มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การรวมธุรกิจ การได้มาซึ่งสัญญาที่มีอนุพันธ์แฝงอันเนื่องมาจากการรวมธุรกิจ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 135 การจัดประเภทรายการใหม่ของสินทรัพย์ทางการเงิน ข 4.4.1 หากกิจการมีการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินตามย่อหน้าที่ 4.4.1 กิจการต้องปรับปรุงการจัดประเภทรายการแบบเปลี่ยนทันทีนับจากวันที่จัดประเภทรายการใหม่ ทั้งนี้ เนื่องจากตราสารหนี้ที่วัดมูลค่าด้วยวิธีราคาทุนตัดจําหน่ายและวิธีวัดมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นมีการกําหนดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ณ วันที่รับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก และปฏิบัติตามข้อกําหนดเกี่ยวกับการด้อยค่าด้วยวิธีเดียวกัน ดังนั้น เมื่อกิจการ จัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินโดยโอนเปลี่ยนระหว่างวิธีราคาทุน ตัดจําหน่ายและวิธีวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านทางกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ข 4.4.1.1 การรับรู้ดอกเบี้ยรับนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และกิจการยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เดิมต่อไป ข 4.4.1.2 การวัดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจาก การวัดมูลค่าทั้งสองประเภทนั้นใช้วิธีการบันทึกการด้อยค่าแบบเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากสินทรัพย์ทางการเงินมีการจัดประเภทรายการใหม่ โดยเปลี่ยนจากการวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเป็น ราคาทุนตัดจําหน่าย ค่าเผื่อผลขาดทุนจะแสดงเป็นรายการปรับปรุงมูลค่าตามบัญชี ขั้นต้นของสินทรัพย์ทางการเงินนับจากวันที่จัดประเภทรายการใหม่ แต่ถ้า สินทรัพย์ทางการเงินนั้นจัดประเภทรายการใหม่โดยเปลี่ยนจากราคาทุนตัด จําหน่ายเป็นวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น กิจการต้อง ตัดรายการค่าเผื่อผลขาดทุน ( ดังนั้น จึงไม่แสดงรายการค่าเผื่อผลขาดทุนเป็น รายการปรับปรุงมูลค่าตามบัญชีขั้นต้นอีกต่อไป ) แต่จะรับรู้เป็นขาดทุนจากการ ด้อยค่าสะสม ( ด้วยจํานวนที่เท่ากัน ) ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น และเปิดเผย นับจากวันที่จัดประเภทรายการใหม่ ข 4.4.2 อย่างไรก็ดี สําหรับตราสารหนี้ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนนั้น ไม่กําหนดให้ต้องแยกรับรู้ดอกเบี้ยรับหรือผลของกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ดังนั้น เมื่อ กิจการมีการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินโดยโอนออกจากสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง จะถูกกําหนดตามมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ นอกจากนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการนําหมวดที่ 5.5 มาปฏิบัติกับสินทรัพย์ทางการเงินนับจากวันที่ จัดประเภทรายการใหม่ ให้ถือว่าวันที่จัดประเภทรายการใหม่นั้นเป็นวันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 136 การวัดมูลค่า ( บทที่ 5) การวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรก ( หมวดที่ 5.1) ข 5.1.1 มูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก โดยทั่วไปคือราคาของ รายการ ( เช่น มูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนที่ให้ไปหรือสิ่งตอบแทนที่ได้รับ ดูย่อหน้าที่ ข 5.1.2 ก และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 13) อย่างไรก็ตาม หากสิ่งตอบแทนที่ให้ไปหรือ สิ่งตอบแทนที่ได้รับมีมากกว่าเครื่องมือทางการเงิน กิจการต้องวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือ ทางการเงิน ตัวอย่างเช่น มูลค่ายุติธรรมของเงินกู้ยืมระยะยาวหรือลูกหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย สามารถวัดมูลค่าโดยใช้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับในอนาคตทั้งหมดคิดลดด้วยอัตรา ดอกเบี้ยตลาดของเครื่องมือทางการเงินที่คล้ายคลึงกัน ( มีสกุลเงิน เงื่อนไขการกู้ยืม อัตรา ดอกเบี้ย และปัจจัยอื่นที่คล้ายคลึงกัน ) ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตระดับเดียวกัน เงินให้กู้ยืมส่วนที่เพิ่มขึ้น คือค่าใช้จ่ายหรือการลดลงของรายได้ เว้นแต่เงินให้กู้ยืมนั้น เข้าเงื่อนไขการรับรู้เป็นสินทรัพย์ประเภทอื่น ข 5.1.2 หากกิจการให้กู้ยืมเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามอัตราตลาด ( เช่น อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดสําหรับเงินให้กู้ยืมที่คล้ายคลึงกันเป็นร้อยละ 8) และได้รับ ค่าธรรมเนียมเริ่มแรกเป็นการชดเชย กิจการต้องรับรู้เงินให้กู้ยืมดังกล่าวด้วยมูลค่ายุติธรรม ซึ่งสุทธิจากค่าธรรมเนียมที่ได้รับ ข 5.1.2 ก หลักฐานที่ดีที่สุดสําหรับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก โดยทั่วไปคือราคาของรายการ ( เช่น มูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนที่ให้ไปหรือสิ่งตอบแทนที่ ได้รับ ดูมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 13) หากกิจการกําหนดว่ามูลค่ายุติธรรม ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกแตกต่างจากราคาของรายการดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 5.1.1 ก กิจการต้องปฏิบัติกับเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวตามวิธีต่อไปนี้ ข 5.1.2 ก .1 วัดมูลค่าตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 5.1.1 หากมูลค่ายุติธรรมได้มาจากราคา เสนอซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่องสําหรับสินทรัพย์หรือหนี้สินอย่างเดียวกัน ( เช่น ข้อมูลระดับ 1) หรือได้จากเทคนิคการประเมินมูลค่าที่ใช้ข้อมูลที่สังเกตได้ จากตลาด กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรม ณ การรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรก และราคาของรายการเป็นผลกําไรหรือขาดทุน ข 5.1.2 ก .2 ในกรณีอื่นๆ ให้วัดมูลค่าตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 5.1.1 โดยปรับปรุงส่วนต่าง ระหว่างมูลค่ายุติธรรม ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก และราคาของรายการ ภายหลังการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องรับรู้ผลต่างรอการตัดบัญชีเป็น กําไรหรือขาดทุนได้เฉพาะส่วนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในปัจจัย ( รวมถึงปัจจัย ด้านเวลา ) ซึ่งผู้ร่วมตลาดนํามาพิจารณาในการกําหนดราคาสินทรัพย์หรือหนี้สิน การวัดมูลค่าภายหลัง ( หมวดที่ 5.2 และ 5.3)

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 137 ข 5.2.1 หากเครื่องมือทางการเงินที่บันทึกเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุน แล้วมูลค่ายุติธรรมลดลงตํ่ากว่าศูนย์ เครื่องมือทางการเงินดังกล่าวถือเป็น หนี้สินทางการเงินที่ต้องวัดมูลค่าตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.2.1 อย่างไรก็ตาม หากสัญญา แบบผสมซึ่งสัญญาหลักเป็นสินทรัพย์ตามขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข 5.2.2 ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงการบันทึกบัญชีสําหรับต้นทุนการทํารายการสําหรับการวัดมูลค่า เมื่อเริ่มแรก และการวัดมูลค่าภายหลังของสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม โดยการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น กิจการซื้อสินทรัพย์ ทางการเงินที่ราคา 100 บาท บวกด้วยค่านายหน้าในการซื้อ 2 บาท ณ วันที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก กิจการจะรับรู้สินทรัพย์ที่ 102 บาท วันถัดมาเป็นวันที่สิ้นรอบระยะเวลารายงาน ซึ่งราคาตลาด ของสินทรัพย์เป็น 100 บาท หากมีการขายสินทรัพย์ต้องจ่ายค่านายหน้า 3 บาท ณ วันดังกล่าว กิจการต้องวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่ 100 บาท ( โดยไม่ต้องคํานึงถึงค่านายหน้าในการขาย ) และ รับรู้ขาดทุน 2 บาทในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หากสินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ต้นทุนการทํารายการจะถูกตัดจําหน่ายไปยังกําไรหรือ ขาดทุนโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ข 5.2.2 ก การวัดมูลค่าภายหลังของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน และการรับรู้ผลกําไรหรือ ขาดทุนในภายหลังตามที่อธิบายไว้ในย่อหน้าที่ ข 5.1.2 ก จะต้องสอดคล้องกับข้อกําหนดของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ การลงทุนในตราสารทุนและสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุน ข 5.2.3 การลงทุนในตราสารทุนและสัญญาที่เกี่ยวข้องกับตราสารดังกล่าว ทั้งหมดต้องวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรม อย่างไรก็ดี ในสภาพแวดล้อมที่จํากัดราคาทุนอาจเป็นมูลค่าที่เหมาะสมใน การประเมินมูลค่ายุติธรรม เช่นในกรณีที่ไม่มีข้อมูลปัจจุบันมากพอที่จะวัดมูลค่ายุติธรรม หรือ ในกรณีที่มีช่วงข้อมูลของมูลค่ายุติธรรมที่กว้างและราคาทุนแสดงถึงมูลค่ายุติธรรมโดยประมาณ ที่ดีที่สุดของช่วงข้อมูลดังกล่าว ข 5.2.4 ข้อบ่งชี้ว่าราคาทุนอาจมิใช่มูลค่ายุติธรรมโดยประมาณ ได้แก่ ข 5.2.4.1 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญในผลการดําเนินงานของกิจการที่ไปลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณ แผนงาน หรือเป้าหมายในการดําเนินงาน ข 5.2.4.2 การเปลี่ยนแปลงของการคาดการณ์ว่าเป้าหมายการดําเนินงานของผลิตภัณฑ์ เชิงเทคนิคของกิจการที่ไปลงทุนจะเป็นไปตามเป้าหมาย ข 5.2.4.3 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญในตลาดที่เกี่ยวกับเงินทุนของกิจการที่ไปลงทุน ผลิตภัณฑ์ หรือ ความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ของกิจการที่ไปลงทุน ข 5.2.4.4 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของเศรษฐกิจโลก หรือสภาพแวดล้อม ทางด้านเศรษฐกิจที่กิจการที่ลงทุนประกอบกิจการอยู่ ข 5.2.4.5 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญในผลการดําเนินงานของกิจการอื่นที่สามารถ เทียบเคียงกันได้ หรือการประเมินมูลค่าที่คาดการณ์จากตลาดโดยรวม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 138 ข 5.2.4.6 ปัจจัยภายในของกิจการที่ไปลงทุน เช่น การทุจริต ความขัดแย้งทางธุรกิจ การฟ้องร้องดําเนินคดี การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือกลยุทธ์ของกิจการ ข 5.2.4.7 หลักฐานการทําธุรกรรมกับภายนอกเกี่ยวกับเงินทุนของกิจการที่ลงทุน ทั้งจาก กิจการที่ลงทุนเอง ( เช่น การออกตราสารทุนใหม่ ) หรือจากการโอนตราสารทุน ระหว่างบุคคลที่สาม ข 5.2.5 เนื่องจากข้อบ่งชี้ในย่อหน้าที่ ข 5.2.4 มิได้ครอบคลุมข้อบ่งชี้ทุกกรณี ดังนั้น กิจการต้อง ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดําเนินงานและการดําเนินการของกิจการที่ลงทุน ซึ่งได้รับหลังจากวันที่ รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หากปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวบ่งชี้ว่าราคาทุนอาจมิใช่มูลค่ายุติธรรม โดยประมาณ กิจการต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ข 5.2.6 ราคาทุนไม่อาจเป็นมูลค่ายุติธรรมโดยประมาณที่ดีที่สุด หากลงทุนในตราสารทุนที่มีราคาเสนอ ซื้อขาย ( หรือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนที่มีราคาเสนอซื้อขาย ) การวัดมูลค่าราคาทุนตัดจําหน่าย ( หมวดที่ 5.4) วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ข 5.4.1 ในการนําวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริงมาถือปฏิบัติ ให้กิจการระบุค่าธรรมเนียมที่เป็นองค์ประกอบของ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของเครื่องมือทางการเงิน แม้ว่าคําที่ใช้เรียกค่าธรรมเนียมสําหรับ การให้บริการทางการเงินดังกล่าวอาจไม่ได้แสดงถึงธรรมชาติและเนื้อหาของการให้บริการ ค่าธรรมเนียมที่เป็นองค์ประกอบของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของเครื่องมือทางการเงินถือเป็น รายการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เว้นแต่ในกรณีที่เครื่องมือทางการเงินนั้นวัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมโดยรับรู้การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมในกําไรหรือขาดทุน ในกรณี เหล่านี้ ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นจะรับรู้เป็นรายได้หรือค่าใช้จ่าย ของเครื่องมือทางการเงิน ณ วันที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก ข 5.4.2 ค่าธรรมเนียมที่เป็นองค์ประกอบของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของเครื่องมือทางการเงิน ประกอบด้วย ข 5.4.2.1 ค่าธรรมเนียมในการทํารายการที่กิจการได้รับจากการก่อให้เกิดหรือการได้มาซึ่ง สินทรัพย์ทางการเงิน ค่าธรรมเนียมดังกล่าวอาจรวมถึงค่าตอบแทนในการดําเนินการ ต่างๆ เช่น การประเมินสถานะทางการเงินของผู้กู้ การประเมินและการบันทึก สัญญาการคํ้าประกัน การวางหลักประกัน และการจัดเตรียมหลักประกันอื่นๆ การเจรจาต่อรองเงื่อนไขของเครื่องมือทางการเงินการจัดเตรียมและดําเนินการ ทางเอกสาร และการปิดธุรกรรม ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบที่ เกี่ยวข้องในการออกเครื่องมือทางการเงินดังกล่าว ข 5.4.2.2 ค่าธรรมเนียมที่กิจการได้รับจากการให้สินเชื่อ เมื่อข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อดังกล่าว ไม่ได้ถูกวัดมูลค่าตามย่อหน้าที่ 4.2.1.1 และมีความเป็นไปได้ที่กิจการจะให้ สินเชื่อในที่สุด ค่าธรรมเนียมเหล่านี้เป็นค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 139 เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องมือทางการเงิน ถ้าข้อผูกมัดสิ้นสุดลงโดยไม่มีการให้สินเชื่อ กิจการต้องรับรู้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นรายได้เมื่อข้อผูกมัดสิ้นสุด ข 5.4.2.3 ค่าธรรมเนียมที่กิจการจ่ายไปสําหรับการออกหนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคา ทุนตัดจําหน่าย ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องในการออก หนี้สินทางการเงิน ให้กิจการแยกค่าธรรมเนียมและต้นทุนที่เป็นองค์ประกอบของ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสําหรับหนี้สินทางการเงินออกจากค่าธรรมเนียมและต้นทุน การทํารายการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการให้บริการ เช่น การบริการจัดการการลงทุน ข 5.4.3 ค่าธรรมเนียมที่ไม่ถือเป็นองค์ประกอบของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของเครื่องมือทางการเงิน และถูกปฏิบัติตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ประกอบด้วย ข 5.4.3.1 ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการสินเชื่อ ข 5.4.3.2 ค่าธรรมเนียมที่กิจการได้รับในการเข้าผูกมัดวงเงินสินเชื่อเมื่อข้อผูกมัดที่จะให้ สินเชื่อไม่ได้ถูกวัดมูลค่าตามย่อหน้าที่ 4.2.1.1 และไม่มีความเป็นไปได้ที่กิจการ จะเข้าทําสัญญาให้สินเชื่อแบบเฉพาะเจาะจง และ ข 5.4.3.3 ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อร่วมที่กิจการได้รับจากการจัดการการให้สินเชื่อแต่กิจการ ไม่ได้ร่วมเป็นผู้ให้สินเชื่อในกลุ่มดังกล่าว ( หรือร่วมเป็นผู้ให้สินเชื่อที่มีอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงเหมือนกับผู้ให้สินเชื่อรายอื่นๆ ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงในลักษณะ เทียบเคียงกันได้ ) ข 5.4.4 เมื่อนําวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริงมาถือปฏิบัติ โดยทั่วไปกิจการจะตัดจําหน่ายค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมเพื่ออัตราลดดอกเบี้ย (points) ที่จ่ายไปหรือได้รับมา ต้นทุนการทํารายการ และ ส่วนเพิ่มหรือส่วนลดอื่นๆ ที่รวมอยู่ในการคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุที่ คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงินนั้น อย่างไรก็ตาม กิจการต้องใช้ระยะเวลาที่สั้นที่สุดหาก ระยะเวลาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมเพื่ออัตราลดดอกเบี้ยที่จ่ายไปหรือ ได้รับมา ต้นทุนการทํารายการ และส่วนเพิ่มหรือส่วนลดอื่นๆ กรณีดังกล่าว ได้แก่ การที่ตัว แปรที่เกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมเพื่ออัตราลดดอกเบี้ยที่จ่ายไปหรือได้รับมา ต้นทุนการทํารายการ และส่วนเพิ่มหรือส่วนลดอื่นๆ ถูกปรับมูลค่าตามอัตราตลาดก่อนวันครบ กําหนดชําระที่คาดการณ์ของเครื่องมือทางการเงินนั้น ซึ่งระยะเวลาการตัดจําหน่ายที่เหมาะสม คือระยะเวลาที่จะถึงกําหนดปรับราคาครั้งต่อไป เช่น หากส่วนเพิ่มหรือส่วนลดของเครื่องมือ ทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสะท้อนถึงดอกเบี้ยคงค้างของเครื่องมือทางการเงินนั้น นับตั้งแต่การจ่ายดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายหรือการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยในตลาดเนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยลอยตัวจะถูกปรับตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด ดังนั้น มูลค่าดังกล่าวจะต้องถูกตัด จําหน่ายไปจนถึงวันที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามอัตราตลาดอีกครั้ง ทั้งนี้ เพราะส่วน เพิ่มหรือส่วนลดมูลค่ามีความสัมพันธ์กับระยะเวลาที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป ซึ่ง ณ วันนั้น ตัวแปรซึ่งสัมพันธ์กับส่วนเพิ่มหรือส่วนลดมูลค่า ( เช่น อัตราดอกเบี้ย ) จะถูกปรับ ไปที่อัตราตลาด อย่างไรก็ตาม หากส่วนเพิ่มหรือส่วนลดมูลค่าเป็นผลมาจากการปลี่ยนแปลง ในอัตราผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตบนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ระบุใน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 140 เครื่องมือทางการเงิน หรือตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกปรับไปเป็นอัตราตลาดมูลค่าดังกล่าวจะถูกตัด จําหน่ายตลอดอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงินนั้น ข 5.4.5 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การทบทวน การประมาณการกระแสเงินสดเป็นครั้งคราวเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยตลาด จะทําให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีการเปลี่ยนแปลง หากสินทรัพย์ทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ย ลอยตัวหรือหนี้สินทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวถูกรับรู้เมื่อเริ่มแรกด้วยจํานวนเงินที่ เท่ากับเงินต้นที่จะได้รับหรือที่จะจ่ายเมื่อครบกําหนด โดยปกติแล้วการทบทวนประมาณการ ดอกเบี้ยจ่ายในอนาคตจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์หรือ หนี้สิน ข 5.4.6 หากกิจการมีการปรับประมาณการจ่ายเงินหรือรับเงิน ( ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงตามย่อหน้าที่ 5.4.3 และการเปลี่ยนแปลงประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ) กิจการต้อง ปรับปรุงมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินหรือราคาทุนตัดจําหน่ายของ หนี้สินทางการเงิน ( หรือกลุ่มของเครื่องมือทางการเงิน ) เพื่อให้สะท้อนจํานวนเงินที่เกิดขึ้นจริง หรือจํานวนเงินประมาณการของกระแสเงินสดตามสัญญาที่ถูกปรับ กิจการต้องคํานวณมูลค่า ตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินหรือราคาทุนตัดจําหน่ายของหนี้สิน ทางการเงินใหม่ตามมูลค่าปัจจุบันของประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่คิดลดด้วยอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิมของเครื่องมือทางการเงินดังกล่าว ( หรือใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับ ด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือ เมื่อกําเนิด ) หรือในกรณีที่เข้าเงื่อนไข ให้กิจการคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่ ตามย่อหน้าที่ 6.5.9 โดยรายการปรับปรุงที่เกิดขึ้นจะถูกรับรู้เป็นรายได้หรือค่าใช้จ่ายในกําไร หรือขาดทุน ข 5.4.7 ในบางกรณี สินทรัพย์ทางการเงินจะถูกพิจารณาว่ามีการด้อยค่าด้านเครดิตตั้งแต่รับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกเพราะมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงมาก และในกรณีที่ซื้อมา กิจการซื้อมาด้วย ส่วนลดจํานวนมาก กิจการต้องรวมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มแรก ในการประมาณกระแสเงินสดเพื่อคํานวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยงด้านเครดิต ของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ณ การรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ากิจการต้องใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วย ความเสี่ยงด้านเครดิตเพียงเพราะว่าสินทรัพย์ทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงด้านเครดิตใน ระดับสูง ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ต้นทุนการทํารายการ ข 5.4.8 ต้นทุนการทํารายการรวมถึงค่าธรรมเนียมและค่านายหน้าที่จ่ายให้กับตัวแทน ( รวมถึง พนักงานที่ทําหน้าที่เป็นตัวแทนขาย ) ที่ปรึกษา นายหน้า และตัวแทนจําหน่าย ภาษีหรือ ค่าธรรมเนียมที่หน่วยงานกํากับดูแลและตลาดหลักทรัพย์เรียกเก็บ และค่าภาษีอากรในการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 141 โอน ต้นทุนการทํารายการไม่รวมถึงส่วนเกินหรือส่วนลดมูลค่าของหุ้นกู้ ต้นทุนในการจัดหา เงินทุน หรือค่าใช้จ่ายในการบริหารเป็นการภายใน หรือต้นทุนในการถือครอง การตัดออกจากบัญชี ข 5.4.9 สินทรัพย์ทางการเงินสามารถตัดออกจากบัญชีได้ทั้งจํานวนหรือบางส่วน เช่น กิจการวางแผน ที่จะบังคับเอาหลักประกันของสินทรัพย์ทางการเงินและคาดว่าจะได้รับคืนจากหลักประกัน ไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน ถ้ากิจการคาดว่าจะไม่มีโอกาสได้รับคืน กระแสเงินสดใดๆ จากสินทรัพย์ทางการเงินอีกก็ควรตัดออกจากบัญชีส่วนที่เหลือร้อยละ 70 ของมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน การด้อยค่า ( หมวดที่ 5.5) หลักเกณฑ์การประเมินการด้อยค่าแบบกลุ่มและแต่ละรายการ ข 5.5.1 กิจการอาจจําเป็นต้องประเมินการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างกลุ่ม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ เมื่อความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก อาจจําเป็นต้องประเมินการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตแบบเป็นกลุ่มสินทรัพย์ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ตัวอย่างเช่น ความเสี่ยงด้านเครดิตของกลุ่มหรือกลุ่มย่อยของเครื่องมือทางการเงิน โดยการ ประเมินแบบกลุ่มทําให้แน่ใจว่ากิจการได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของการรับรู้ผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุเมื่อความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน แต่ละรายการจะยังไม่มีหลักฐานปรากฏก็ตาม ข 5.5.2 โดยปกติแล้วการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุนั้นรับรู้ก่อนที่ เครื่องมือทางการเงินนั้นจะมีสถานะค้างชําระเกินกําหนด เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตจะ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญก่อนที่เครื่องมือทางการเงินจะมีสถานะค้างชําระเกินกําหนด หรือ มีปัจจัยอื่นของผู้กู้ที่แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ( เช่น การปรับปรุงเงื่อนไขของสัญญาใหม่หรือการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ) ดังนั้นหากมีข้อมูล สนับสนุนและสมเหตุสมผลที่มีการคาดการณ์ไปในอนาคตได้ดีกว่าข้อมูลการค้างชําระเกิน กําหนด ที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป กิจการต้องนําข้อมูล ดังกล่าวมาใช้ในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตด้วย ข 5.5.3 อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติของเครื่องมือทางการเงินและข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิต ที่สามารถหาได้ของกลุ่มเครื่องมือทางการเงินบางประเภท กิจการอาจไม่สามารถระบุได้ว่า เครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการมีการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างมีนัยสําคัญ ก่อนที่เครื่องมือทางการเงินนั้นจะมีสถานะค้างชําระเกินกําหนด โดยอาจเป็นกรณีของเครื่องมือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 142 ทางการเงินประเภทสินเชื่อรายย่อยซึ่งกิจการมีข้อมูลน้อยหรือไม่ได้รับ และไม่ได้ติดตามข้อมูล เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการอย่างสมํ่าเสมอจนกว่า ลูกค้าละเมิดตามเงื่อนไขในสัญญา หากกิจการไม่สามารถระบุการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยง ด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการก่อนที่เครื่องมือทางการเงินนั้นจะมีสถานะ ค้างชําระเกินกําหนด การวัดค่าเผื่อผลขาดทุนโดยพิจารณาจากเฉพาะข้อมูลด้านเครดิตของ เครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการจะไม่สามารถแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง ด้านเครดิตนับจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกได้อย่างสมเหตุสมผล ข 5.5.4 ในบางสภาพแวดล้อมที่กิจการไม่สามารถหาข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลของเครื่องมือ ทางการเงินแต่ละรายการได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป เพื่อวัดมูลค่า ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ในกรณีดังกล่าวให้กิจการรับรู้ผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุตามเกณฑ์โดยการประเมินแบบกลุ่ม โดยพิจารณาจาก ข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิตที่ครอบคลุม ซึ่งต้องรวมไม่เพียงข้อมูลการค้างชําระเกินกําหนด แต่รวมถึงข้อมูลด้านเครดิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อมูลเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคที่มีการ คาดการณ์ในอนาคต เพื่อประมาณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุเมื่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับจาก การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.5 ตามวัตถุประสงค์ของการพิจารณาการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตและ การรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุนตามเกณฑ์การประเมินแบบกลุ่ม กิจการสามารถจัดกลุ่มเครื่องมือ ทางการเงินตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีลักษณะร่วมกันเพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์สามารถ ทําให้ระบุการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตในระยะเวลาที่เหมาะสม กิจการไม่ควรทําให้ข้อมูลดังกล่าวคลุมเครือโดยการจัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินที่มีลักษณะ ความเสี่ยงที่แตกต่างกันไว้ด้วยกัน ตัวอย่างของความเสี่ยงด้านเครดิตที่คล้ายคลึงกัน อาจรวมถึงแต่ไม่ได้จํากัดเฉพาะ ข 5.5.5.1 ประเภทของตราสาร ข 5.5.5.2 จัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิต ข 5.5.5.3 ประเภทของหลักประกัน ข 5.5.5.4 วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.5.5 ระยะเวลาคงเหลือจนถึงครบกําหนด ข 5.5.5.6 อุตสาหกรรม ข 5.5.5.7 สถานที่ตั้งของผู้กู้ยืม และ ข 5.5.5.8 มูลค่าของหลักประกันเทียบกับสินทรัพย์ทางการเงิน หากมีผลกระทบต่อความ น่าจะเป็นของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญา ( เช่น สินเชื่อที่มีการคํ้าประกัน แบบไม่มีสิทธิไล่เบี้ยในบางกิจการหรืออัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to value ratio))

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 143 ข 5.5.6 ย่อหน้าที่ 5.5.5 กําหนดให้กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ของเครื่องมือทางการเงินทั้งหมดที่ความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับจากการรับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรก ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว หากกิจการไม่สามารถ จัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินตามความเสี่ยงด้านเครดิตมีลักษณะร่วมกัน เพื่อพิจารณาการเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตนับจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกได้ กิจการต้อง รับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุเฉพาะส่วนที่มีความเสี่ยงด้านเครดิต เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ การจัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินเพื่อประเมินว่ามีการเปลี่ยนแปลง ของความเสี่ยงด้านเครดิตแบบกลุ่มหรือไม่ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้านเครดิตของกลุ่มเครื่องมือทางการเงินหรือของเครื่องมือทางการเงินแต่ละรายการ ระยะเวลาในการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ข 5.5.7 ในการประเมินว่าควรจะรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุหรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความน่าจะเป็นหรือความเสี่ยงของการปฏิบัติ ผิดสัญญานับจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ( โดยไม่คํานึงว่าเครื่องมือทางการเงินมีการ กําหนดราคาใหม่เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ) แทนการพิจารณาจาก หลักฐานที่แสดงว่าสินทรัพย์ทางการเงินมีการด้อยค่าด้านเครดิตแล้ว ณ วันที่รายงานหรือ เมื่อการปฏิบัติผิดสัญญาเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วความเสี่ยงด้านเครดิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ก่อนที่สินทรัพย์ทางการเงินนั้นจะเกิดการด้อยค่าด้านเครดิต หรือก่อนที่จะมีการปฏิบัติ ผิดสัญญาเกิดขึ้น ข 5.5.8 สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ กิจการต้องพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของ การปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นของเงินให้สินเชื่อที่เกี่ยวกับกับข้อผูกมัดนั้น สําหรับสัญญา คํ้าประกันทางการเงิน กิจการต้องพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงที่ลูกหนี้จะ ปฏิบัติผิดสัญญา ข 5.5.9 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตนับจากการรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกนั้นขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญา ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นของเครื่องมือ ทางการเงินที่มีความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มแรกตํ่ากว่าจะมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญมากกว่าเครื่องมือทางการเงินที่มีความเสี่ยงของการปฏิบัติ ผิดสัญญาที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มแรกสูงกว่า ข 5.510 ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นกับเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่มีระดับ ความเสี่ยงด้านเครดิตที่เทียบเท่ากัน เครื่องมือทางการเงินที่มีอายุที่คาดไว้มากกว่าจะมี ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาสูงกว่า ตัวอย่างเช่น ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่ เกิดขึ้นของหุ้นกู้ระดับ AAA ที่มีอายุที่คาดไว้ 10 ปี จะสูงกว่าความเสี่ยงของการปฏิบัติ ผิดสัญญาของหุ้นกู้ระดับ AAA ที่มีอายุที่คาดไว้ 5 ปี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 144 ข 5.5.11 เนื่องจากอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงินกับความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตไม่สามารถประเมินโดย เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นตลอดอายุที่ คาดไว้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นของเครื่องมือ ทางการเงินที่มีอายุที่คาดไว้ 10 ปี ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก เท่ากับความเสี่ยงของการ ปฏิบัติผิดสัญญาของเครื่องมือทางการเงินที่มีอายุที่คาดไว้คงเหลือ 5 ปี แสดงว่าเครื่องมือ ทางการเงินที่มีอายุที่คาดไว้คงเหลือ 5 ปี มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากโดยปกติ แล้วความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาในช่วงอายุที่คาดไว้จะลดลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป หากความเสี่ยงด้านเครดิตนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเครื่องมือทางการเงินนั้นใกล้จะครบ กําหนด อย่างไรก็ตาม สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่มีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินจํานวนที่มี นัยสําคัญใกล้วันครบกําหนด ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาอาจไม่ลดลงเมื่อระยะเวลา ผ่านไป โดยในกรณีดังกล่าว กิจการควรจะพิจารณาถึงปัจจัยเชิงคุณภาพอื่นๆ ที่จะแสดงให้เห็น ว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.12 กิจการอาจใช้วิธีการต่างๆในการประเมินว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ หรือในการวัดผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามเครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกัน โดยวิธีการที่ไม่ได้นําความน่าจะเป็นของการปฏิบัติผิดสัญญาที่ชัดเจนมาใช้ในการประเมินหรือ การคํานวณ เช่น วิธีการที่ใช้อัตราผลขาดทุนด้านเครดิต ก็เป็นไปตามข้อกําหนดของ แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ซึ่งกําหนดว่ากิจการสามารถแยกการเปลี่ยนแปลงของ ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาออกจากการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรอื่นๆ ของผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น หลักประกัน และในการประเมินนั้นให้กิจการพิจารณาถึง ปัจจัยดังต่อไปนี้ ข 5.5.12.1 การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.12.2 อายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงิน และ ข 5.5.12.3 ข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความ พยายามที่มากเกินไป ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานซึ่งอาจกระทบต่อความเสี่ยง ด้านเครดิต ข 5.5.13 วิธีการที่ใช้ในการพิจารณาว่า เครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ นับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ ควรพิจารณาจากลักษณะของเครื่องมือทางการเงิน ( หรือกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน ) และข้อมูลการปฏิบัติผิดสัญญาในอดีตของเครื่องมือ ทางการเงินที่สามารถเปรียบเทียบกันได้ แม้ว่าจะมีข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.10 แล้ว แต่สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่มีข้อมูลการปฏิบัติผิดสัญญาที่ไม่กระจุกตัวอยู่ในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่งของอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของ การปฏิบัติผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า อาจเป็นประมาณการของการเปลี่ยนแปลง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 145 ของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาตลอดอายุของเครื่องมือทางการเงินอย่างสมเหตุสมผล ในกรณีนี้กิจการอาจใช้การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า ในการพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ เว้นแต่จะมีสภาพแวดล้อมใดสภาพแวดล้อมหนึ่งบ่งชี้ว่า กิจการจําเป็นต้องประเมินการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้น ตลอดอายุเครื่องมือทางการเงิน ข 5.5.14 อย่างไรก็ตาม การใช้การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้น ใน 12 เดือนข้างหน้า ในการพิจารณาว่าควรรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอด อายุหรือไม่ อาจไม่เหมาะสมสําหรับเครื่องมือทางการเงินบางประเภท หรือในบางสภาพแวดล้อม ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้นใน 12 เดือน ข้างหน้า อาจไม่ใช่เกณฑ์ที่เหมาะสมที่จะประเมินว่า เครื่องมือทางการเงินที่มีอายุสัญญา มากกว่า 12 เดือน มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นเมื่อ ข 5.5.14.1 เครื่องมือทางการเงินนั้นมีภาระผูกพันที่ต้องจ่ายเงินจํานวนที่มีนัยสําคัญใน ช่วงเวลาที่มากกว่า 12 เดือนข้างหน้า ข 5.5.14.2 การเปลี่ยนแปลง ของปัจจัยเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เกี่ยวข้อง หรือปัจจัยอื่นที่ เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตไม่สะท้อนถึงความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่ จะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม หรือ ข 5.5.14.3 การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตส่งผลกระทบต่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน ( หรือมีผลกระทบที่ชัดเจนขึ้น ) มากกว่า 12 เดือน การพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรกหรือไม่ ข 5.5.15 ในการพิจารณาว่าต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุหรือไม่ กิจการ ควรพิจารณาจากข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือ ความพยายามที่มากเกินไป และอาจส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทาง การเงินตามย่อหน้าที่ 5.5.18.3 โดยกิจการไม่จําเป็นต้องหาข้อมูลโดยละเอียดเพื่อพิจารณาว่า ความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ ข 5.5.16 การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิตคือ การวิเคราะห์ปัจจัยหลายปัจจัยในภาพรวม โดยพิจารณาว่า มีปัจจัยใดที่เกี่ยวข้อง และนํ้าหนักของปัจจัยนั้นเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภท ของผลิตภัณฑ์ ลักษณะของเครื่องมือทางการเงินและผู้กู้ยืม ตลอดจนเขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยกิจการต้องพิจารณาข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือ ความพยายามที่มากเกินไป และเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินที่ประเมิน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหรือข้อบ่งชี้อาจไม่สามารถระบุได้ในระดับของเครื่องมือทางการเงินแต่ละ รายการ โดยในกรณีนี้กิจการควรประเมินปัจจัยหรือข้อบ่งชี้ เป็นพอร์ตโฟลิโอ กลุ่มของพอร์ตโฟ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 146 ลิโอ หรือบางส่วนของพอร์ตโฟลิโอเครื่องมือทางการเงิน เพื่อพิจารณาว่าเป็นไปตามข้อกําหนดใน ย่อหน้าที่ 5.5.4 ที่ต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุหรือไม่ ข 5.5.17 รายการต่อไปนี้อาจต้องใช้ในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิต ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่ครอบคลุมรายการทั้งหมด ข 5.5.17.1 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของตัวชี้วัดราคาภายในของความเสี่ยง ด้านเครดิต ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิต นับตั้งแต่วันที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก ซึ่งรวมถึง ( แต่ไม่จํากัดเฉพาะ ) ส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลง หากมีการออกเครื่องมือทางการเงินหรือเครื่องมือ ทางการเงินที่คล้ายคลึงกันที่มีเงื่อนไขและคู่สัญญาเหมือนกัน ณ วันที่รายงาน ข 5.5.17.2 การเปลี่ยนแปลงของอัตราหรือเงื่อนไขของเครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ซึ่งอาจ แตกต่างจากเดิมอย่างมีนัยสําคัญ หากมีการออกเครื่องมือทางการเงินนั้นใหม่ ณ วันที่รายงาน ( เช่น ข้อตกลงทางการเงินที่มีความเข้มงวดมากขึ้น หลักประกัน หรือสัญญาคํ้าประกันที่มีจํานวนสูงขึ้น หรือสัดส่วนรายได้ต่อหนี้ที่สูงขึ้น ) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน นับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.17.3 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของบ่งชี้จากตลาดภายนอกที่เกี่ยวกับความ เสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินหรือเครื่องมือทางการเงินที่คล้ายคลึง กันที่มีอายุที่คาดไว้เท่ากัน การเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดจากตลาดภายนอกของ ความเสี่ยงด้านเครดิตรวมถึง ( แตไม่ครอบคุมทั้งหมด ) ข 5.5.17.3.1 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ข 5.5.17.3.2 ราคาของสัญญาการรับประกันด้านเครดิต (credit default swap) สําหรับผู้กู้ยืม ข 5.5.17.3.3 ระยะเวลา หรือสัดส่วนของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่ตํ่ากว่าราคาทุนตัดจําหน่าย และ ข 5.5.17.3.4 ข้อมูลตลาดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้กู้ยืม เช่น การเปลี่ยนแปลง ราคาของตราสารหนี้และตราสารทุนของผู้กู้ยืม ข 5.5.17.4 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินโดยบุคคลภายนอก ข 5.5.17.5 การลดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของผู้กู้ยืมภายในกิจการ หรือการลดลง ของคะแนนพฤติกรรมที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตภายในกิจการที่ เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต ภายในกิจการหรือการให้คะแนนพฤติกรรมภายในกิจการจะมีความน่าเชื่อถือ มากขึ้น เมื่อมีนําข้อมูลดังกล่าวไปเทียบกับข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ด้านเครดิตโดยบุคคลภายนอก หรือมีข้อมูลสนับสนุนจากกรณีศึกษาเกี่ยวกับ การปฏิบัติผิดสัญญา

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 147 ข 5.5.17.6 การเปลี่ยนแปลงในทางลบของสภาพทางธุรกิจ ทางการเงิน หรือทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นหรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทําให้ความสามารถของผู้กู้ยืมในการ ปฏิบัติตามภาระผูกพันหนี้สินเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย ที่เพิ่มขึ้นหรือคาดว่าจะเพิ่มขึ้น หรืออัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือที่คาดว่าจะ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ข 5.5.17.7 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของผลการดําเนินการของผู้กู้ยืมที่เกิดขึ้นหรือ คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น รายได้หรือกําไรที่ลดลงหรือคาดว่าจะลดลง ความเสี่ยง จากการดําเนินงานที่เพิ่มขึ้น การขาดเงินทุนหมุนเวียน คุณภาพของสินทรัพย์ที่ ลดลง การก่อภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น สภาพคล่อง ปัญหาด้านการบริหารจัดการ หรือการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของธุรกิจ หรือโครงสร้างองค์กร ( เช่น การยกเลิก ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งของกิจการ ) ซึ่งทําให้ความสามารถของผู้กู้ยืมในการปฏิบัติ ตามภาระผูกพันหนี้สินของกิจการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ ข 5.5.17.8 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน อื่นของผู้กู้ยืมรายนั้น ข 5.5.17.9 การเปลี่ยนแปลงในทางลบอย่างมีนัยสําคัญของสภาพแวดล้อมทั้งทางกฎหมาย เศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีของผู้กู้ยืมที่เกิดขึ้นหรือตามที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งทําให้ ของความสามารถของผู้กู้ยืมในการปฏิบัติตามภาระผูกพันหนี้สินของกิจการ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญเช่น ความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้กู้ยืมที่ลดลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ข 5.5.17.10 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญในมูลค่าของหลักประกัน หรือคุณภาพของ การคํ้าประกันโดยบุคคลที่สาม หรือการรับประกันด้านเครดิต ซึ่งคาดว่าจะลด แรงจูงใจของผู้กู้ยืมในการจ่ายชําระตามสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความน่าจะเป็น ในการปฏิบัติผิดสัญญา ตัวอย่างเช่น หากมูลค่าหลักประกันลดลง เนื่องจากราคา บ้านลดลง ผู้กู้ยืมบางรายอาจมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติผิดสัญญาเงินกู้ซื้อบ้านมากขึ้น ข 5.5.17.11 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของคุณภาพของการคํ้าประกันโดยผู้ถือหุ้น ( หรือบริษัทใหญ่ ) หากผู้ถือหุ้น ( หรือบริษัทใหญ่ ) มีแรงจูงใจและความสามารถ ทางการเงินในการช่วยเหลือโดยการเพิ่มทุนหรือให้เงินสด เพื่อมิให้การปฏิบัติ ผิดสัญญาเกิดขึ้น ข 5.5.17.12 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญซึ่งคาดว่าจะลดแรงจูงใจของผู้กู้ยืมในการจ่าย ชําระหนี้ตามสัญญา เช่น บริษัทใหญ่ หรือบริษัทในเครืออื่นๆให้ความช่วยเหลือ ทางการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญที่เกิดขึ้นจริงหรือที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในคุณภาพของการรับประกันด้านเครดิต โดยคุณภาพของการรับประกัน ด้านเครดิตนั้น รวมถึงการพิจารณาสถานะทางการเงินของผู้คํ้าประกัน และ / หรือ ดอกเบี้ยของตราสารที่ออกธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ไม่ว่า

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 148 ดอกเบี้ยด้อยสิทธินั้นจะสามารถรองรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือไม่ก็ตาม ( เช่น หลักทรัพย์คํ้าประกัน ) ข 5.5.17.13 การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงกรณีการละเมิดสัญญาซึ่งทําให้มีการยกเลิกหรือการแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไข สัญญา ช่วงเวลาการหยุดชําระดอกเบี้ย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การขอ หลักประกันหรือการคํ้าประกันเพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ตามกรอบ สัญญาของเครื่องมือทางการเงิน ข 5.5.17.14 การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญของผลการดําเนินงานและพฤติกรรมของ ผู้กู้ยืมที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานะการจ่ายชําระหนี้ ของผู้กู้ยืมในกลุ่ม ( ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของจํานวนหรือสัดส่วนของการจ่าย ชําระหนี้ตามสัญญาที่ล่าช้า หรือการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของจํานวนผู้ที่ใช้ บัตรเครดิต ซึ่งคาดว่าเกือบจะหรือจะใช้เกินวงเงินที่ได้รับ หรือผู้ที่คาดว่าจะผ่อน ชําระเงินรายเดือนเพียงจํานวนเงินขั้นตํ่า ) ข 5.5.17.15 การเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการด้านเครดิตของกิจการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ ทางการเงิน โดยอ้างอิงตามตัวชี้วัดของการเปลี่ยนแปลงฃของความเสี่ยง ด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน วิธีปฏิบัติในการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเน้นเชิงรุกมากขึ้นหรือให้ความสําคัญกับการจัดการเครื่องมือ ซึ่งรวมถึงการติดตามและการควบคุมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น หรือกิจการที่แทรกแซง ผู้กู้ยืม ข 5.5.17.16 ข้อมูลการค้างชําระเกินกําหนด รวมถึงข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ในย่อหน้า ที่ 5.5.12 ข 5.5.18 ในบางกรณี ข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณที่ไม่ใช่ข้อมูลทางสถิติที่สามารถหาได้อาจ เพียงพอที่จะใช้ในการพิจารณาว่าเครื่องมือทางการเงินนั้นเข้าเงื่อนไขต้องรับรู้ค่าเผื่อผลขาดทุน ด้วยจํานวนที่เท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ กล่าวคือข้อมูลนั้น ไม่จําเป็นต้องผ่านการคํานวณทางสถิติ หรือกระบวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต เพื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญหรือไม่ ในกรณีอื่นๆ กิจการอาจจําเป็นต้องพิจารณาข้อมูลอื่นๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลจากการคํานวณทาง สถิติหรือกระบวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต หรืออีกนัยหนึ่งกิจการอาจอ้างอิง จากการประเมินข้อมูลทั้งสองประเภท เช่น ปัจจัยเชิงคุณภาพที่ไม่รวมอยู่ในกระบวนการ จัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตภายในกิจการ และการจัดประเภทของการจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือด้านเครดิตภายในกิจการ ณ วันที่รายงาน ซึ่งมีการพิจารณาถึงลักษณะของ ความเสี่ยงด้านเครดิต ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หากข้อมูลทั้งสองประเภทนั้นมีความ เกี่ยวข้องกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 149 ข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้เกี่ยวกับการค้างชําระเกินกําหนดเกินกว่า 30 วัน ข 5.5.19 ข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ในย่อหน้าที่ 5.5.12 นั้นไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่จะทําให้ สามารถระบุได้ว่ากิจการควรรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ แต่สามารถ กําหนดให้เป็นจุดสุดท้ายที่ใช้ในการพิจารณารับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอด อายุ แม้ว่าจะมีการนําข้อมูลที่เป็นการคาดการณ์ในอนาคตมาใช้ก็ตาม ( ซึ่งรวมถึงปัจจัยเชิง เศรษฐศาสตร์มหภาคในระดับพอร์ตโฟลิโอ ) ข 5.5.20 กิจการสามารถโต้แย้งข้อสันนิษฐานนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถโต้แย้งได้นั้น กิจการ จะต้องมีข้อมูลที่สนับสนุนและมีความสมเหตุสมผลแสดงให้เห็นว่า หากมีการค้างชําระ การจ่ายเงินตามสัญญาเกินกว่า 30 วัน ก็ไม่แสดงว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือ ทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ตัวอย่างเช่น เมื่อการค้างชําระเกินกําหนดเกิดจากความผิดพลาด ด้านการจัดการ แทนที่จะเกิดจากปัญหาทางการเงินของผู้กู้ยืม หรือกิจการมีหลักฐานในอดีตที่ แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาที่มีการค้าง ชําระเกินกําหนดเกินกว่า 30 วันไม่มีความสัมพันธ์สัมพันธ์กัน แต่หลักฐานนั้นแสดงว่าการ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ทางการเงินที่มี การค้างชําระเกินกําหนดเกินกว่า 60 วัน ข 5.5.21 กิจการไม่สามารถกําหนดให้ระยะเวลาของการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต และรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ กับระยะเวลาที่สินทรัพย์ทางการเงิน มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือเป็นไปตามคํานิยามภายในของกิจการเกี่ยวกับการปฏิบัติผิดสัญญา เครื่องมือทางการเงินที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่า ณ วันที่รายงาน ข 5.5.22 ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินถือว่าอยู่ในระดับตํ่าตามความหมายของ ย่อหน้าที่ 5.5.11 ก็ต่อเมื่อเครื่องมือทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาตํ่า และผู้กู้ยืมสามารถจ่ายชําระกระแสเงินสดตามสัญญาในระยะเวลาอันใกล้ และการเปลี่ยนแปลง เชิงลบของเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะยาว ไม่อาจลดความสามารถของผู้กู้ยืมในการจ่ายชําระ กระแสเงินสดตามสัญญาได้ แต่เครื่องมือทางการเงินจะไม่ถือว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิต ในระดับตํ่า หากเครื่องมือทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงในการขาดทุนตํ่าเพราะมีหลักประกัน และเครื่องมือทางการเงินที่ไม่มีหลักประกันจะถือว่าไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่า นอกจากนี้ เครื่องมือทางการเงินยังไม่ถือว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าเพราะเครื่องมือทางการเงินนั้นมี ความเสี่ยงของการปฏิบัติผิดสัญญาตํ่ากว่าเครื่องมือทางการเงินอื่นๆของกิจการ หรือตํ่ากว่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศที่กิจการนั้นประกอบการ ข 5.5.23 ในการพิจารณาว่าเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าหรือไม่นั้น กิจการอาจ พิจารณาจากการจัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินภายในกิจการหรือ วิธีการอื่นๆ ที่สอดคล้องกับนิยามของความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าที่เข้าใจตรงกันโดยทั่วไป และ ที่พิจารณาจากความเสี่ยงและประเภทของเครื่องมือทางการเงินที่กิจการประเมิน โดยเครื่องมือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 150 ทางการเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตโดยบุคคลภายนอกเป็นเครื่องมือ ทางการเงินที่อยู่ใน ‘ ระดับน่าลงทุน ’ (investment grade) อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของเครื่องมือ ทางการเงินที่ถือว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่า อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทางการเงินไม่จําเป็นต้อง ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตโดยบุคคลภายนอก จึงจะถือว่ามีความเสี่ยง ด้านเครดิตตํ่า แต่ควรพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในระดับตํ่าจากมุมมองของผู้มี ส่วนร่วมในตลาดซึ่งได้คํานึงถึงข้อกําหนดและเงื่อนไขทั้งหมดของเครื่องมือทางการเงิน ข 5.5.24 การที่กิจการไม่รับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุด้วยเหตุผลว่าเครื่องมือ ทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าระยะเวลารอบก่อนแต่ ณ วันที่รายงานก่อน และ ไม่ถือว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่า ณ วันที่รายงาน การจะรับรู้ผลขาดทุนดังกล่าวได้นั้นกิจการ ต้องพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรกหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่ากิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอด อายุเข้าเงื่อนไขการรับรู้ตามย่อหน้าที่ 5.5.4 หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ข 5.5.25 ในบางสภาพแวดล้อม การเจรจาตกลงหรือการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดตามสัญญาของ สินทรัพย์ทางการเงินใหม่อาจทําให้มีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเดิมตามที่กําหนด ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ โดยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสินทรัพย์ทางการเงิน แล้วทําให้ต้องเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเดิมและรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินที่มี การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ให้ถือว่าสินทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนั้นเป็นสินทรัพย์ ทางการเงิน ‘ ใหม่ ’ ตามวัตถุประสงค์ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข 5.5.26 วันที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาให้ถือว่าเป็นวันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกของสินทรัพย์ ทางการเงินเพื่อปฏิบัติตามข้อกําหนดเกี่ยวกับการด้อยค่ากับสินทรัพย์ทางการเงินที่มี การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ซึ่งโดยทั่วไปกิจการจะวัดค่าเผื่อผลขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงิน ดังกล่าวเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้าจนกว่าจะเข้า เงื่อนไขที่ต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุตามย่อหน้าที่ 5.5.4 อย่างไรก็ตาม ในบางสภาพแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอาจทําให้มีการเลิกรับรู้รายการ สินทรัพย์ทางการเงินเดิม อาจเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขมีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ดังนั้น ควรรับรู้ สินทรัพย์ทางการเงินนั้นเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อกําเนิด สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอย่างมี นัยสําคัญ ซึ่งทําให้ต้องเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเดิม โดยในกรณีนี้ อาจเป็นไปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอาจทําให้สินทรัพย์ทางการเงินใหม่นั้นมีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 151 ข 5.5.27 หากมีการเจรจาตกลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดตามสัญญาของสินทรัพย์ ทางการเงินใหม่ แต่ไม่มีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเดิม ไม่ได้แสดงว่าสินทรัพย์ ทางการเงินนั้นมีความเสี่ยงด้านเครดิตตํ่าลง โดยกิจการควรประเมินว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิต เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่จากข้อมูลสนับสนุนและ สมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป ซึ่งรวมถึงข้อมูล ในอดีต ข้อมูลการคาดการณ์ไปในอนาคตและการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตตลอดอายุที่ คาดไว้ของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ต่างๆ ที่ทําให้มี การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนั้นด้วย หลักฐานที่แสดงว่าเครื่องมือทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขต้อง รับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุรวมถึงประวัติการชําระเงินตรงเวลาและ เป็นปัจจุบันตามข้อกําหนด ของสัญญาที่ปรับปรุงใหม่แล้ว โดยทั่วไปลูกค้าจะแสดงพฤติกรรม การชําระเงินที่ดีและต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะพิจารณาได้ว่าความเสี่ยงด้านเครดิต ลดลง ตัวอย่างเช่น ประวัติการผิดนัดชําระเงินหรือการชําระหนี้ที่ไม่ครบถ้วน จะไม่ถูกลบ หลังจากที่มีการจ่ายชําระหนี้ตามกําหนดชําระเพียงงวดเดียวจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ของสัญญา การวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ข 5.5.28 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น คือ ประมาณการค่าความน่าจะเป็นของผลขาดทุน ด้านเครดิตถ่วงนํ้าหนัก ( เช่น มูลค่าปัจจุบันของจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับทั้งหมด ) ตลอดช่วงอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงิน จํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับ คือส่วนต่าง ระหว่างกระแสเงินสดตามสัญญาและกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับ เนื่องจากผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นพิจารณาถึงจํานวนและจังหวะเวลาการชําระเงิน ดังนั้นผลขาดทุนด้านเครดิต จึงเกิดขึ้นได้ถึงแม้ว่ากิจการคาดว่าจะได้รับเงินเต็มจํานวนแต่เงินนั้นได้รับภายหลังจากวันที่กําหนด ไว้ในสัญญา ข 5.5.29 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ผลขาดทุนด้านเครดิต คือมูลค่าปัจจุบันของผลต่างระหว่าง ข 5.5.29.1 กระแสเงินสดที่ถึงกําหนดจ่ายให้กิจการตามสัญญา และ ข 5.5.29.2 กระแสเงินสดที่กิจการคาดว่าจะได้รับ ข 5.5.30 สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ผลขาดทุนด้านเครดิต คือมูลค่าปัจจุบันของ ผลต่างระหว่าง ข 5.5.30.1 กระแสเงินสดตามสัญญาที่ถึงกําหนดชําระ ในกรณีที่ผู้ถือสัญญาเบิกใช้สินเชื่อ และ ข 5.5.30.2 กระแสเงินสดที่กิจการคาดว่าจะได้รับ ในกรณีที่สินเชื่อถูกเบิกใช้ ข 5.5.31 การประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อของ กิจการต้องสอดคล้องกับการคาดการณ์การเบิกสินเชื่อของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อนั้น เช่น พิจารณาสัดส่วนของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่คาดว่าจะถูกเบิกใช้ใน 12 เดือนข้างหน้านับตั้งแต่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 152 วันที่รายงานเมื่อประมาณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า และ สัดส่วนของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่คาดว่าจะถูกเบิกใช้ตลอดประมาณการอายุที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อเมื่อประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตลอดอายุ ข 5.5.32 สําหรับสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน กิจการต้องชําระเงินเฉพาะในกรณีที่ลูกหนี้ปฏิบัติผิดสัญญา ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของเครื่องมือทางการเงินที่มีการคํ้าประกัน ดังนั้นจํานวนเงินสดที่คาดว่า จะไม่ได้รับ คือประมาณการจ่ายเงินชดเชยที่จะจ่ายให้ผู้ถือสัญญาสําหรับผลขาดทุนด้านเครดิต หักจํานวนเงินที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากผู้ถือสัญญา ลูกหนี้ หรือบุคคลใด โดยหากสินทรัพย์ มีการคํ้าประกันอย่างเต็มจํานวน ค่าประมาณการของจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับสําหรับ สัญญาคํ้าประกันทางการเงินจะสอดคล้องกับค่าโดยประมาณของจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะ ไม่ได้รับสําหรับสินทรัพย์ที่มีการคํ้าประกัน ข 5.5.33 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ วันที่รายงาน แต่ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด กิจการต้องวัดมูลค่าผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยใช้ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ สินทรัพย์กับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตคิดลดด้วยอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ใช้ตอนเริ่มแรกของสินทรัพย์ทางการเงินนั้น การปรับปรุงผลต่างดังกล่าวจะ ถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเป็นผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ข 5.5.34 ในการวัดมูลค่าของค่าเผื่อผลขาดทุนสําหรับลูกหนี้ตามสัญญาเช่า กระแสเงินสดที่ใช้สําหรับ ระบุผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นควรจะสอดคล้องกับกระแสเงินสดที่ใช้สําหรับ การประเมินลูกหนี้ตามสัญญาเช่าตามที่กําหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า ข 5.5.35 กิจการอาจใช้วิธีการที่เหมาะสมในการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หากผลขาดทุนนั้นสอดคล้องกับหลักการในย่อหน้าที่ 5.5.18 ตัวอย่างเช่น การคํานวณ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับลูกหนี้การค้าโดยใช้ตารางการตั้งสํารอง โดยที่กิจการสามารถใช้ข้อมูลผลขาดทุนด้านเครดิตจากประสบการณ์ในอดีต ( ซึ่งมีการ ปรับปรุงให้เหมาะสมตามย่อหน้าที่ ข 5.5.51 ถึง ข 5.5.52) สําหรับลูกหนี้การค้าเพื่อคํานวณ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า หรือผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุตามความเหมาะสม ตารางการตั้งสํารองเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สามารถ ระบุอัตราการกันสํารองที่คงที่ โดยขึ้นอยู่กับจํานวนวันที่ค้างชําระเกินกําหนดของลูกหนี้การค้า ( ตัวอย่างเช่น อัตราการกันสํารองร้อยละ 1 หากยังไม่ค้างชําระเกินกําหนด ร้อยละ 2 หากค้างชําระเกินกําหนดไม่เกิน 30 วัน และร้อยละ 3 หากค้างชําระเกินกําหนดเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน และร้อยละ 20 หากค้างชําระเกินกําหนดเกินกว่า 90 – 180 วัน เป็นต้น ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระจายของฐานลูกค้า กิจการอาจจะทําการจัดกลุ่มตามความเหมาะสม หากข้อมูลผลขาดทุนด้านเครดิตจากประสบการณ์ในอดีตนั้นแสดงให้เห็นถึงรูปแบบของ ผลขาดทุนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญในแต่ละกลุ่มลูกค้า ตัวอย่างของหลักเกณฑ์ที่อาจถูกใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 153 ในการจัดกลุ่มสินทรัพย์ประกอบด้วย เขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ประเภทของผลิตภัณฑ์ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของลูกค้า หลักประกันเงินกู้หรือการประกันสินเชื่อการค้าและ ประเภทของลูกค้า ( เช่น ร้านค้าส่งหรือร้านค้าปลีก ) นิยามของการปฏิบัติผิดสัญญา ข 5.5.36 ย่อหน้าที่ 5.5.10 กําหนดว่า ในการระบุว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงิน มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญหรือไม่ กิจการต้องพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง จากการไม่ชําระเงินตามสัญญาที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.37 เมื่อกําหนดนิยามการปฏิบัติผิดสัญญาตามวัตถุประสงค์ของการพิจารณาความเสี่ยงจาก การปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้น กิจการต้องใช้คํานิยามการปฏิบัติผิดสัญญาที่สอดคล้องกับ คํานิยามที่ใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตภายในกิจการ สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่ เกี่ยวข้องและพิจารณาถึงข้อบ่งชี้เชิงคุณภาพ ( ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงทางการเงิน ) ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม มีข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ว่าการปฏิบัติผิดสัญญา นั้นจะไม่เกิดขึ้นหลังจากที่สินทรัพย์ทางการเงินนั้นค้างชําระเกินกําหนดเกินกว่า 90 วันแล้ว เว้นแต่กิจการจะมีข้อมูลที่มีความสมเหตุสมผลและสามารถสนับสนุนได้ที่แสดงว่าการปฏิบัติ ผิดสัญญาในช่วงเวลาที่เกินกว่านั้นมีความเหมาะสมมากกว่า คํานิยามของการปฏิบัติผิดสัญญา ที่ใช้ตามวัตถุประสงค์เหล่านี้ต้องนําไปใช้กับเครื่องมือทางการเงินทั้งหมดอย่างสมํ่าเสมอ นอกจากว่าข้อมูลที่มีอยู่นั้นจะแสดงให้เห็นว่า มีคํานิยามการปฏิบัติผิดสัญญาอย่างอื่นที่มี ความเหมาะสมกับเครื่องมือทางการเงินนั้นๆ มากกว่า ระยะเวลาในการประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ข 5.5.38 อ้างอิงตามย่อหน้าที่ 5.5.20 ระยะเวลานานที่สุดที่ใช้วัดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นคือ ระยะเวลาสูงสุดตามสัญญาที่กิจการมีความเสี่ยงด้านเครดิต สําหรับข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน คือระยะเวลาสูงสุดตามสัญญาตลอดระยะเวลาที่ กิจการมีภาระผูกพันตามสัญญาในปัจจุบันที่จะขยายสินเชื่อ ข 5.5.39 อย่างไรก็ตาม อ้างอิงย่อหน้าที่ 5.5.21 เครื่องมือทางการเงินบางประเภทซึ่งรวมถึงเงินให้สินเชื่อ และข้อผูกมัดที่ยังไม่ใช้ ซึ่งกิจการสามารถเรียกร้องให้ชําระเงินคืนและยกเลิกข้อผูกมัดที่ยังไม่ใช้ นั้นได้ ไม่ได้จํากัดให้กิจการได้รับผลขาดทุนด้านเครดิตในช่วงระยะเวลาการแจ้งการยกเลิก ล่วงหน้าตามสัญญา ตัวอย่างเช่น วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เช่น บัตรเครดิต และวงเงินเบิกเกินบัญชี ตามสัญญานั้นผู้ให้กู้ยืมสามารถยกเลิกวงเงินได้โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียงหนึ่งวัน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติผู้ให้กู้ยืมมักจะขยายระยะเวลาการให้เครดิตยาวนานขึ้น และจะยกเลิกวงเงินเมื่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ยืมนั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจช้าเกินไปที่จะป้องกันการขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นบางส่วนหรือทั้งหมด เครื่องมือทางการเงินมักมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ซึ่งเป็นผล

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 154 จากธรรมชาติของเครื่องมือทางการเงิน วิธีการจัดการเครื่องมือทางการเงินและธรรมชาติของ ข้อมูลที่สามารถหาได้ซึ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต ข 5.5.39.1 เครื่องมือทางการเงินนั้นไม่ได้กําหนดระยะเวลาการชําระเงินหรือโครงสร้าง การชําระเงินคืนที่มีระยะเวลาที่แน่นอน และมักมีระยะเวลาการบอกเลิกสัญญาที่สั้น ( เช่น หนึ่งวัน ) ข 5.5.39.2 ความสามารถในการยกเลิกสัญญานั้นจะไม่ถูกบังคับใช้ในการดําเนินงานตามปกติ ในการจัดการเครื่องมือทางการเงินนั้น และสัญญานั้นอาจถูกยกเลิกก็ต่อเมื่อ กิจการตระหนักถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้นตามระดับวงเงินที่ได้รับ และ ข 5.5.39.3 เครื่องมือทางการเงินนั้นมีการจัดการแบบเป็นกลุ่ม ข 5.5.40 ในการระบุช่วงเวลาที่กิจการคาดว่าจะเผชิญกับความเสี่ยงด้านเครดิต หากผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ถูกปรับลดลงโดยการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตตามปกติของกิจการ กิจการควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น ข้อมูลและประสบการณ์ในอดีตดังนี้ ข 5.5.40.1 ช่วงระยะเวลาที่กิจการเผชิญกับความเสี่ยงด้านเครดิตสําหรับเครื่องมือทางการเงิน ที่มีลักษณะเหมือนกัน ข 5.5.40.2 ระยะเวลาของการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกี่ยวข้องซึ่งเกิดขึ้นกับเครื่องมือทางการเงินที่ มีลักษณะคล้ายคลึงกันภายหลังจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยง ด้านเครดิต และ ข 5.5.40.3 มาตรการการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งกิจการคาดว่าจะดําเนินการเมื่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตสําหรับเครื่องมือทางการเงินนั้นเพิ่มสูงขึ้น เช่น การลดหรือ การยกเลิกวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ผลลัพธ์ตามค่าความน่าจะเป็นถ่วงนํ้าหนัก (Probability-weighted outcome) ข 5.5.41 วัตถุประสงค์ของการประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพื่อการ ประมาณการฉากทัศน์ที่แย่ที่สุดหรือที่ดีที่สุด แต่ว่าการประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นควรสะท้อนให้เห็นถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลขาดทุนด้านเครดิต และ ความน่าจะเป็นที่จะไม่เกิดผลขาดทุนด้านเครดิต แม้ว่าโอกาสที่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่จะไม่มี ผลขาดทุนด้านเครดิตเกิดขึ้นก็ตาม ข 5.5.42 ย่อหน้าที่ 5.5.18.1 กําหนดให้ประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต้อง สะท้อนถึงความเป็นกลางและถ่วงนํ้าหนักด้วยค่าความน่าจะเป็นซึ่งได้จากการประเมินค่าของ ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ในทางปฏิบัติ อาจไม่จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน โดยในบางกรณี การใช้แบบจําลองอย่างง่ายก็อาจเพียงพอ โดยไม่จําเป็นจะต้องมีการจําลองสถานการณ์ที่มาก เกินจําเป็น ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยผลขาดทุนด้านเครดิตของกลุ่มเครื่องมือทางการเงินขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะความเสี่ยงที่คล้ายกันนั้นอาจเป็นค่าประมาณการที่สมเหตุสมผลสําหรับ ค่าความน่าจะเป็นถ่วงนํ้าหนัก ส่วนในสถานการณ์อื่น การกําหนดสถานการณ์จําลองที่สามารถ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 155 ระบุถึงจํานวนและจังหวะเวลาของกระแสเงินสดที่เป็นไปได้ รวมทั้งค่าความน่าจะเป็นของ กระแสเงินสดนั้นอาจเป็นสิ่งจําเป็น โดยในสถานการณ์ดังกล่าวนั้น ผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นจะต้องสะท้อนถึงผลลัพธ์อย่างน้อยสองผลลัพธ์ตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5.5.19 ข 5.5.43 สําหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุนั้น กิจการต้องประเมินความเสี่ยง จากการปฏิบัติผิดสัญญาที่เกิดขึ้นกับเครื่องมือทางการเงินตลอดช่วงอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือ ทางการเงินนั้น โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้านั้น คือส่วนหนึ่งของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจํานวน เงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับตลอดอายุเครื่องมือทางการเงิน หากเกิดการปฏิบัติผิดสัญญาภายใน 12 เดือนนับจากวันที่รายงาน ( หรือช่วงเวลาที่สั้นกว่า หากอายุที่คาดไว้ของเครื่องมือทางการเงินนั้น สั้นกว่า 12 เดือน ) ถ่วงนํ้าหนักด้วยความน่าจะเป็นของการปฏิบัติผิดสัญญาที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า จึงไม่ใช่ทั้งผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการปฏิบัติผิดสัญญาในช่วง 12 เดือน ข้างหน้า หรือจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า มูลค่าเงินตามเวลา ข 5.5.44 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต้องถูกคิดลดจนถึงวันที่รายงาน ไม่ใช่ถึงวันที่คาดว่าจะ เกิดการปฏิบัติผิดสัญญา หรือวันอื่นใด โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตามสัญญา ซึ่งถูกกําหนด ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือค่าประมาณอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงที่สุด หากเครื่องมือ ทางการเงินนั้นมีอัตราดอกเบี้ยผันแปร ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจะถูกคิดลด โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ ข 5.4.5 ข 5.5.45 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อซื้อหรือเมื่อกําเนิด ผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นจะถูกคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับด้วยความเสี่ยง ด้านเครดิตซึ่งได้ถูกกําหนด ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก ข 5.5.46 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับลูกหนี้ตามสัญญาเช่านั้นจะถูกคิดลดโดยใช้ อัตราคิดลดเดียวกับที่ใช้ในการวัดมูลค่าลูกหนี้ตามสัญญาเช่าตามที่กําหนดในมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 ข 5.5.47 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อนั้น ต้องคิดลดด้วยอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงตามสัญญา หรือค่าประมาณอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งจะถูกใช้เมื่อมี การรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินที่เกิดขึ้นจากข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ เพื่อวัตถุประสงค์ในการนํา ข้อกําหนดเกี่ยวกับการด้อยค่าไปปฏิบัตินั้น สินทรัพย์ทางการเงินที่มีการรับรู้หลังจากการเบิก ใช้ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อจะถูกจัดว่าเป็นข้อผูกมัดที่ต่อเนื่อง แทนที่จะถูกจัดว่าเป็นเครื่องมือ ทางการเงินใหม่ ดังนั้นผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ดังกล่าวมีการวัดมูลค่าโดยพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านเครดิตเมื่อเริ่มแรกของข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อ โดยนับจากวันที่ที่กิจการมีข้อผูกมัดที่ไม่สามารถเพิกถอนได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 156 ข 5.5.48 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสําหรับสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน หรือข้อผูกมัด วงเงินสินเชื่อหากไม่สามารถกําหนดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตามสัญญา อัตราคิดลดที่ใช้ ควรสะท้อนถึงตลาดในปัจจุบันเพื่อประมาณมูลค่าเงินตามเวลา รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจ มีผลต่อกระแสเงินสดเป็นการเฉพาะ โดยความเสี่ยงต่างๆ นั้นจะถูกปรับเข้าไปในอัตราคิดลด แทนที่การปรับจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับ ข้อมูลที่มีความสมเหตุสมผลและสามารถสนับสนุนได้ ข 5.5.49 ตามวัตถุประสงค์ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลคือ ข้อมูลที่สามารถหาได้อย่างสมเหตุผล ณ วันที่รายงานโดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มาก เกินไปเกี่ยวกับเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต สถานการณ์ในปัจจุบันและการคาดการณ์ถึงสภาวะ ทางเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลที่สามารถหาได้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรายงานทางการเงินถูก พิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป ข 5.5.50 กิจการไม่จําเป็นต้องรวบรวมผลการคาดการณ์สภาวะในอนาคตตลอดช่วงอายุที่คาดไว้ของ เครื่องมือทางการเงิน ระดับวิจารณญาณที่จําเป็นในการประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมของข้อมูลโดยละเอียด โดยที่หากมีการคาดการณ์ใน ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น ความมีอยู่ของข้อมูลโดยละเอียดนั้นจะลดลงและระดับของการใช้ วิจารณญาณสําหรับการประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นจะเพิ่มขึ้น การประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นไม่จําเป็นที่จะต้องประเมินโดยละเอียด สําหรับช่วงเวลาในอนาคตที่ไกลออกไป โดยช่วงเวลาในอนาคตที่ไกลออกไปนั้น กิจการอาจใช้ การประมาณค่าช่วงเวลาดังกล่าวจากข้อมูลที่มีอยู่โดยละเอียดได้ ข 5.5.51 กิจการไม่จําเป็นจะต้องทําการสืบค้นข้อมูลโดยละเอียด แต่ควรพิจารณาถึงข้อมูลทั้งหมดที่ สนับสนุนและสมเหตุสมผลที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไปและ เกี่ยวข้องกับการประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นซึ่งรวมถึงผลกระทบของ การชําระเงินก่อนครบกําหนด ข้อมูลที่ใช้ควรรวมปัจจัยเฉพาะของผู้กู้ยืม สภาวะการณ์ทาง เศรษฐกิจโดยทั่วไป และการประเมินทิศทางทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ณ วันที่รายงาน กิจการอาจใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง ซึ่งอาจเป็นทั้งแหล่งข้อมูลภายใน ( เฉพาะกิจการ ) และ แหล่งข้อมูลภายนอก แหล่งข้อมูลที่เป็นไปได้นั้นประกอบไปด้วยข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ผลขาดทุนด้านเครดิตจากประสบการณ์ในอดีต การจัดอันดับเครดิตภายใน ข้อมูลผลขาดทุน ด้านเครดิตจากประสบการณ์ในอดีตของกิจการอื่นๆ การจัดอันดับเครดิตภายนอก รายงาน และค่าสถิติต่างๆ ส่วนกิจการที่ไม่มีแหล่งข้อมูลหรือมีไม่เพียงพอ แหล่งข้อมูลเฉพาะกิจการ อาจใช้ข้อมูลของธุรกิจในกลุ่มธุรกิจเดียวกันสําหรับเครื่องมือทางการเงินที่สามารถเปรียบเทียบ กันได้ ( หรือกลุ่มเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ) ข 5.5.52 ข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งสําคัญหลักหรือพื้นฐานสําหรับการวัดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กิจการควรปรับปรุงข้อมูลในอดีต เช่น ข้อมูลผลขาดทุนด้านเครดิต

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 157 จากประสบการณ์ บนพื้นฐานของการสะท้อนสภาวการณ์ในปัจจุบัน และคาดการณ์สภาวการณ์ ในอนาคตซึ่งไม่มีผลกระทบจากสถานการณ์ในช่วงเวลาที่ใช้ข้อมูลในอดีตเป็นตัวตั้งต้น จากข้อมูลที่สังเกตได้ซึ่งสนับสนุนและสมเหตุสมผล ณ วันที่รายงาน และเพื่อกําจัดผลกระทบ ของสถานการณ์นั้นของช่วงเวลาในอดีตที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินสดตามสัญญาในอนาคต ในบางกรณีข้อมูลสนับสนุนและสมเหตุสมผลได้ดีที่สุดสามารถเป็นข้อมูลในอดีตที่ไม่จําเป็นต้อง มีการแก้ไขได้ โดยขึ้นอยู่กับธรรมชาติของข้อมูลในอดีต และเมื่อคํานวณโดยเปรียบเทียบกับ สถานการณ์ต่างๆ ณ วันที่รายงานและคุณลักษณะต่างๆของเครื่องมือทางการเงินควรถูก พิจารณา การประมาณการเปลี่ยนแปลงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นควรจะถูก สะท้อนและสอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่หาได้ ( เช่น การเปลี่ยนแปลง ของอัตราการว่างงาน ราคาอสังหาริมทรัพย์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สถานะของการชําระเงิน หรือ ปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงผลขาดทุนด้านเครดิตสําหรับเครื่องมือทางการเงิน หรือกลุ่ม เครื่องมือทางการเงินและระดับความรุนแรงของความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ) กิจการควร ทบทวนวิธีการและข้อสมมติต่างๆ ที่ใช้ในการประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นเป็นประจํา เพื่อลดความแตกต่างระหว่างค่าประมาณและผลขาดทุนด้านเครดิตที่เกิดขึ้น จริง ข 5.5.53 เมื่อใช้ข้อมูลผลขาดทุนด้านเครดิตจากประสบการณ์ในอดีตเพื่อประมาณผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สิ่งสําคัญคือข้อมูลเกี่ยวกับอัตราผลขาดทุนด้านเครดิตในอดีตจะถูกนําไปใช้ กับกลุ่มต่างๆ ที่มีลักษณะที่สอดคล้องกับกลุ่มซึ่งกิจการเอาข้อมูลอัตราผลขาดทุนด้านเครดิต ในอดีตมาใช้ ดังนั้นวิธีการที่นําไปปฏิบัตินั้นควรทําให้แต่ละกลุ่มของสินทรัพย์ทางการเงินมี ข้อมูลของผลขาดทุนด้านเครดิตจากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่สอดคล้องกันภายในกลุ่มของ สินทรัพย์ทางการเงินมีลักษณะความเสี่ยงที่คล้ายกัน รวมทั้งมีข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถ หาได้โดยทั่วไปและสะท้อนถึงสภาวะต่างๆ ในปัจจุบัน ข 5.5.54 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นควรสะท้อนถึงความคาดหวังของกิจการต่อผลขาดทุน ด้านเครดิต อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงข้อมูลทั้งหมดที่สนับสนุนและสมเหตุสมผล ที่สามารถหาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไปเพื่อประมาณผลขาดทุน ด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการควรพิจารณาถึงข้อมูลที่สังเกตได้ในตลาดซึ่งเกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือทางการเงินนั้นๆ หรือเครื่องมือทางการเงินที่คล้ายคลึงกัน หลักประกัน ข 5.5.55 ตามวัตถุประสงค์ในการวัดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การประมาณจํานวนเงินสด ที่คาดว่าจะไม่ได้รับที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ควรคํานึงถึงกระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจาก หลักประกัน และการรับประกันด้านเครดิตของสินทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขตาม สัญญา และกิจการนั้นไม่ได้รับรู้แยกต่างหาก การประมาณจํานวนเงินสดที่คาดว่าจะไม่ได้รับ สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่มีหลักประกันนั้นควรคํานึงถึงการคาดการณ์จํานวนและจังหวะ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 158 เวลาของกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการยึดหลักประกันที่หักต้นทุนของการได้มาและการขาย หลักประกัน โดยไม่คํานึงว่าการยึดทรัพย์นั้นเป็นไปได้หรือไม่ ( ซึ่งก็คือ ค่าโดยประมาณของ กระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นจะพิจารณาถึงความน่าจะเป็นของการยึดทรัพย์และกระแส เงินสดที่เกิดขึ้น ) ดังนั้น การคาดการณ์กระแสเงินสดจึงควรที่จะวิเคราะห์ถึงระยะเวลาในการ ขายหลักประกัน ซึ่งอาจจะยาวกว่าอายุของสัญญาด้วย หลักประกันใดๆ ที่ได้จากการยึดทรัพย์ นั้นจะไม่ถูกรับรู้เป็นสินทรัพย์แยกต่างหากจากเครื่องมือทางการเงินที่มีหลักประกัน เว้นแต่ หลักประกันนั้นเข้าเงื่อนไขการรับรู้เป็นสินทรัพย์ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้หรือ มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับอื่นๆ ผลกําไรและขาดทุน ( หมวดที่ 5.6) ข 5.6.1 ยกเว้นในกรณีที่นําย่อหน้าที่ 4.1.8 ไปถือปฏิบัติ สินทรัพย์ทางการเงินเผื่อขายที่วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ให้รับรู้สินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะดังกล่าวใน กําไรหรือขาดทุนราวกับว่าวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ในขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินนั้น วัดมูลค่าในงบฐานะการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรม ผลกําไรหรือขาดทุน นอกเหนือจากที่รับรู้ใน กําไรหรือขาดทุนตามย่อหน้าที่ 5.6.8 ถึง 5.6.9 ให้รับรู้เป็นกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น โดยเมื่อ เลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้น ให้โอนผลกําไรหรือขาดทุนสะสมที่เคยรับรู้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นไปกําไรหรือขาดทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกําไรหรือขาดทุน ซึ่งจะถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนเมื่อเลิกรับรู้รายการหากสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าววัดมูลค่า ด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ข 5.6.2 กิจการที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 กับสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงินที่เป็น ตัวเงิน ตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 และเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ โดยที่ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 กําหนดให้กําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของสินทรัพย์ และหนี้สินที่เป็นตัวเงิน รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ยกเว้นรายการที่เป็นตัวเงินที่เลือกกําหนดให้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงของการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด ( ดูย่อหน้าที่ 6. 5. 10) การป้องกันความเสี่ยงสําหรับการลงทุนสุทธิ ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.12) ข 5.6.2 ก ตามวัตถุประสงค์ในการรับรู้กําไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นนั้นถือว่าเป็นรายการที่เป็นตัวเงิน ดังนั้น สินทรัพย์ ทางการเงินดังกล่าวจะถูกถือเสมือนว่าเป็นสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายในสกุล เงินตราต่างประเทศ ผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของส่วนที่เป็นราคาทุนที่ ตัดจําหน่ายนั้นจะถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน และรับรู้ความเปลี่ยนแปลงอื่นของมูลค่าตาม บัญชีตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.6.8

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 159 ข 5.6.3 สําหรับตราสารทุนเผื่อขาย การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุนนั้น ไม่ใช่รายการที่เป็นตัวเงิน ดังนั้น ผลกําไรหรือขาดทุนที่แสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น รวมถึงองค์ประกอบของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้อง เว้นแต่ในกรณีที่เป็นรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง ให้รับรู้กําไรขาดทุนในการป้องกันความเสี่ยงในกําไรหรือขาดทุน ข 5.6.4 หากสินทรัพย์ที่เป็นตัวเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์และหนี้สินที่เป็นตัวเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ มีความสัมพันธ์ กันในลักษณะของการป้องกันความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบส่วนที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงินเหล่านั้นจะแสดงในกําไรหรือขาดทุน หนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ข 5.6.5 เมื่อกิจการเลือกกําหนดให้หนี้สินทางการเงินแสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน จะต้องพิจารณาว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ต้องแสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นหรือไม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดหรือเพิ่มการจับคู่อย่างไม่ เหมาะสมทางการบัญชี ในส่วนของกําไรหรือขาดทุน การจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี จะเกิดหรือเพิ่มมากขึ้น ถ้าการนําเสนอผลของความเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของ หนี้สินในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นนั้นไปส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันมากขึ้นในกําไรหรือ ขาดทุน มากกว่าหากนําจํานวนดังกล่าวแสดงในกําไรหรือขาดทุน ข 5.6.6 เพื่อกําหนดว่าหนี้สินทางการเงินที่กําหนดให้แสดงมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน กิจการต้องประเมินถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของ หนี้สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นว่ามีส่วนช่วยชดเชยกําไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ มูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินอื่นที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน หรือไม่ การคาดการณ์ดังกล่าวต้องคํานึงถึงความเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจต่อคุณลักษณะของ หนี้สิน และคุณลักษณะของเครื่องมือทางการเงินอื่นด้วย ข 5.6.7 การกําหนดให้หนี้สินทางการเงินแสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน จะกําหนดเมื่อ มีการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกและไม่มีการประเมินใหม่ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางปฏิบัติ กิจการ ไม่จําเป็นต้องระบุสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดที่ทําให้เกิดการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชีว่าเกิด ณ เวลาเดียวกัน การเกิดรายการที่ช้ากว่าอย่างสมเหตุสมผลนั้นอนุญาต ที่ทํา หากธุรกรรมใดๆที่เหลืออยู่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการต้องถือปฏิบัติอย่างสมํ่าเสมอใน การกําหนดว่าการแสดงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นนั้นก่อให้เกิดหรือเพิ่มการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามกิจการอาจใช้วิธีการอื่นๆ ที่แตกต่างกันได้เมื่อมี ความแตกต่างของสภาวะเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับลักษณะของหนี้สินที่เลือกกําหนดให้แสดง มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนกับลักษณะของเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ บทที่ 8 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ นั้นกําหนดให้กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลในเชิงคุณภาพใน หมายเหตุประกอบงบการเงินเกี่ยวกับวิธีการที่กิจการใช้ในการกําหนด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 160 ข 5.6.8 หากการไม่สามารถจับคู่ทางบัญชีนั้นเกิดขึ้นหรือเพิ่มมากขึ้น กิจการต้องแสดงการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดในมูลค่ายุติธรรม ( ซึ่งรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิต ของหนี้สิน ) ในกําไรหรือขาดทุน หากความไม่สอดคล้องนั้นไม่เกิดขึ้นหรือไม่เพิ่มมากขึ้น กิจการต้องแสดงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ข 5.6.9 จํานวนที่แสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นต้องไม่ถูกโอนไปเป็นกําไรหรือขาดทุนในภายหลัง อย่างไรก็ตาม กิจการอาจโอนผลสะสมของกําไรหรือขาดทุนภายในส่วนของเจ้าของ ข 5.6.10 ตัวอย่างต่อไปนี้อธิบายถึงสถานการณ์ของการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ที่เกิดขึ้นใน กําไรหรือขาดทุน ถ้าผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินนั้น แสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ธนาคารแห่งหนึ่งปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าและกองทุนต่างๆ ด้วยการขายพันธบัตรที่มีคุณลักษณะที่สอดคล้องกัน ( เช่น จํานวนเงินคงค้าง ประวัติการชําระ เงินคืน ระยะเวลา และสกุลเงิน ) ในตลาดเงื่อนไขตามสัญญาเงินกู้อนุญาตให้ผู้กู้ ( ลูกค้าที่ทํา การจํานอง ) สามารถจ่ายชําระเงินก่อนครบกําหนดได้ ( ซึ่งเป็นการทําตามภาระผูกพันที่มีต่อ ธนาคาร ) ด้วยการซื้อพันธบัตรตามมูลค่ายุติธรรมในตลาด และส่งมอบพันธบัตรนั้นให้กับ ธนาคาร จากการที่มีสิทธิในการชําระเงินคืนก่อนครบกําหนดตามสัญญา หากคุณภาพเครดิต ของพันธบัตรนั้นด้อยลงหรือแย่ลง ( ดังนั้นมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินของธนาคารจะลดลง ) มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่ให้กู้ของธนาคารจะลดลงตามด้วย การเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์นั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงสิทธิตามสัญญาของลูกค้าในการจ่ายชําระคืน สินเชื่อจํานองก่อนถึงกําหนดได้ด้วยการซื้อพันธบัตรตามมูลค่ายุติธรรม ( ที่มีมูลค่าลดลงใน ตัวอย่างนี้ ) และส่งมอบพันธบัตรนั้นให้กับธนาคารที่รับจํานอง ดังนั้นผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงความเสี่ยงด้านสินเครดิตของหนี้สิน ( พันธบัตร ) จะเป็นสิ่งชดเชยกําไรหรือ ขาดทุน ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ( สินเชื่อ ) โดยหากผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินนั้นแสดงในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นจะทําให้เกิดการจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุน ดังนั้นธนาคารที่รับจํานองจึงถูกกําหนดให้ต้องแสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ หนี้สินทางการเงิน ( ซึ่งรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของ หนี้สินด้วย ) ในกําไรและขาดทุน ข 5.6.11 ตัวอย่างในย่อหน้าที่ ข 5.6.10 นั้นมีความเกี่ยวเนื่องระหว่างผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงใน ความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินและการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ทางการเงิน ( ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของสิทธิตามสัญญาของลูกค้าในการจ่ายชําระคืนสินเชื่อก่อน กําหนดด้วยการซื้อพันธบัตรตามมูลค่ายุติธรรม และส่งมอบพันธบัตรนั้นให้กับธนาคาร ) อย่างไรก็ตาม การจับคู่อย่างไม่เหมาะสมทางการบัญชีนั้นอาจเกิดกับขึ้นได้ในกรณีที่ไม่มี ความเกี่ยวเนื่องกัน ข 5.6.12 เพื่อวัตถุประสงค์ในการนําย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6 มาปฏิบัติ การจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชีนั้นไม่ได้เกิดจากวิธีการวัดมูลค่าที่กิจการใช้ในการกําหนดผลกระทบของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 161 การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินเท่านั้น การจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชี ในกําไรหรือขาดทุนนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงใน ความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ( ตามที่ระบุไว้ในบทที่ 8 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ) นั้น ถูกคาดการณ์เพื่อชดเชยการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินอื่น การไม่สามารถจับคู่ทางบัญชีอันเนื่องมาจากวิธีการวัดมูลค่าแต่เพียงอย่างเดียว ( เช่น เกิดจาก การที่กิจการนั้นไม่แยกการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินออกจากการ เปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมอื่นๆ ) นั้นไม่ส่งผลกระทบต่อการกําหนดตามย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6 เช่น กิจการนั้นอาจไม่แยกการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สิน ออกจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หากกิจการนั้นแสดงผลกระทบของทั้ง สองปัจจัยรวมกันในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น การไม่สามารถจับคู่ได้นั้นอาจเกิดขึ้นเนื่องจาก การเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านสภาพคล่องนั้นอาจรวมอยู่ในการวัดมูลค่ายุติธรรมของ สินทรัพย์ทางการเงินของกิจการและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมทั้งหมดของสินทรัพย์ นั้นแสดงในกําไรและขาดทุน อย่างไรก็ตามการไม่สามารถจับคู่ทางบัญชีนั้นเกิดจากการ วัดมูลค่าที่ไม่ชัดเจน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ชดเชยกันตามที่อธิบายไว้ในย่อหน้าที่ ข 5.6.6 และ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาตามย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6 คําจํากัดความของ “ ความเสี่ยงด้านเครดิต ” ( ย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.6) ข 5.6.13 บทที่ 8 ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ระบุว่าความเสี่ยงด้านเครดิตเป็น “ ความเสี่ยงที่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีต่อเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งส่งผลให้อีกฝ่ายหนึ่งขาดทุนทางการเงินจากการ ไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพัน ” ข้อกําหนดตามย่อหน้าที่ 5.6.5.1 นั้นเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ที่ผู้ออกนั้นอาจไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพันนั้น โดยไม่มีความจําเป็นต้องเกี่ยวข้องกับความ น่าเชื่อถือด้านเครดิตของผู้ออก ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่กิจการออกหนี้สินที่เหมือนกันทั้งที่มี สินทรัพย์คํ้าประกันและไม่มีสินทรัพย์คํ้าประกัน ความเสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินทั้งสองนั้นจะ แตกต่างกัน แม้ว่ามีผู้ออกคนเดียวกันก็ตาม หนี้สินที่มีสินทรัพย์คํ้าประกันจะมีความเสี่ยง ด้านเครดิตของน้อยกว่าหนี้สินที่ไม่มีสินทรัพย์คํ้าประกัน ความเสี่ยงด้านเครดิตสําหรับหนี้สิน ที่มีสินทรัพย์คํ้าประกันอาจเข้าใกล้ศูนย์ก็ได้ ข 5.6.14 เพื่อวัตถุประสงค์ในการนําย่อหน้าที่ 5.6.5.1 มาปฏิบัติ ความเสี่ยงด้านเครดิตนั้นแตกต่างจาก ความเสี่ยงของผลการดําเนินงานจากสินทรัพย์ที่ระบุไว้ ความเสี่ยงของผลการดําเนินงานจาก สินทรัพย์ที่ระบุไว้ไม่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่กิจการไม่สามารถยกเลิกภาระผูกพันบางอย่างได้ แต่ว่าเกี่ยวกับความเสี่ยงที่รายการสินทรัพย์ใดๆ หรือกลุ่มสินทรัพย์นั้นจะมีผลประกอบการ ขาดทุน ( หรือขาดทุนอย่างมาก ) ข 5.6.15 ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงจากผลการดําเนินการของสินทรัพย์ที่ระบุไว้ ข 5.6.15.1 หนี้สินที่มีลักษณะเชื่อมต่อหน่วย (unit-linking feature) โดยที่จํานวนเงินจาก ผู้ลงทุนถูกกําหนดจากผลการดําเนินงานของสินทรัพย์ที่ระบุไว้ หนี้สินที่มี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 162 ลักษณะการเชื่อมต่อหน่วย (unit-linking feature) ที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่า ยุติธรรมถือเป็นความเสี่ยงของผลการดําเนินงานจากสินทรัพย์ที่ระบุไว้ไม่ใช่ ความเสี่ยงด้านเครดิต ข 5.6.15.2 หนี้สินที่ออกโดยกิจการซึ่งมีโครงสร้างเฉพาะตัวซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นกิจการที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแยกต่างหากทําให้สินทรัพย์ของกิจการ มีการกันไว้เพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุนโดยเฉพาะ ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะที่ ล้มละลาย กิจการไม่สามารถทําธุรกรรมอื่นๆ และสินทรัพย์ของกิจการนั้นไม่ สามารถนําไปจํานอง จํานวนเงินดังกล่าวจะเป็นของนักลงทุนในกรณีที่สินทรัพย์ ได้กันไว้สําหรับสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้เท่านั้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินนั้นสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์ ผลอันเนื่องมาจากผลการดําเนินงานของสินทรัพย์สําหรับ มูลค่ายุติธรรมของหนี้สินจัดเป็นความเสี่ยงของผลการดําเนินงานจากสินทรัพย์ ที่ระบุไว้ ไม่ใช่ความเสี่ยงด้านเครดิต การประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิต ข 5.6.16 เพื่อวัตถุประสงค์ในการนําย่อหน้าที่ 5.6.5.1 มาปฏิบัติ กิจการสามารถประมาณจํานวนเงิน ของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ ความเสี่ยงด้านเครดิตด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ ข 5.6.16.1 เป็นจํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมที่ไม่ได้เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดที่ทําให้ความเสี่ยงด้านตลาดเพิ่มขึ้น ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.17 และ ข 5.6.18) หรือ ข 5.6.16.2 ใช้วิธีการอื่นซึ่งกิจการเชื่อว่าวิธีนั้นสามารถแสดงจํานวนเงินของการเปลี่ยนแปลง ในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงด้านเครดิตได้ อย่างน่าเชื่อถือ ข 5.6.17 การเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาดที่ทําให้ความเสี่ยงด้านตลาดเพิ่มขึ้นรวมถึงการเปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ราคาของเครื่องมือทางการเงินของกิจการอื่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ หรือดัชนีราคาหรือดัชนีอัตรา ข 5.6.18 ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดที่มีผลต่อหนี้สินอย่างมีนัยสําคัญเป็น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่สังเกตได้ ( อัตราอ้างอิง ) จํานวนเงินที่กล่าวตามย่อหน้าที่ ข 5.6.16.1 สามารถประมาณได้ดังต่อไปนี้ ข 5.6.18.1 ขั้นที่หนึ่งกิจการต้องคํานวณอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของหนี้สิน ณ วันเริ่มรอบระยะเวลา โดยใช้มูลค่ายุติธรรมของหนี้สินและกระแสเงินสดตาม สัญญาของหนี้สิน ณ วันเริ่มรอบระยะเวลา โดยหักจากอัตราผลตอบแทนของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 163 อัตราดอกเบี้ยที่สังเกตได้ ( อัตราอ้างอิง ) ณ วันเริ่มรอบระยะเวลา เพื่อให้ตรงกับ องค์ประกอบเฉพาะของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของเครื่องมือทางการเงินนั้น ข 5.6.18.2 ขั้นต่อไปกิจการต้องคํานวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดของหนี้สินโดยใช้ กระแสเงินสดตามสัญญาของหนี้สิน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลา และอัตราคิดลด เท่ากับผลรวมของ (1) อัตราดอกเบี้ยที่สังเกตได้ ( อัตราอ้างอิง ) ณ วันสิ้นรอบ ระยะเวลา และ (2) ส่วนประกอบเฉพาะของอัตราตอบแทนที่แท้จริงของ เครื่องมือทางการเงินนั้น ตามที่พิจารณาในย่อหน้าที่ ข 5.6.18.1 ข 5.6.18.3 ความแตกต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมของหนี้สิน ณ วันสิ้นระยะเวลาและ จํานวนเงินที่ประมาณได้ตามย่อหน้าที่ ข 5.6.18.2 เป็นการเปลี่ยนแปลงของ มูลค่ายุติธรรมที่ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยที่สังเกตได้ ( อัตราอ้างอิง ) กิจการต้องแสดงจํานวนเงินดังกล่าวในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.6.5.1 ข 5.6.19 ตัวอย่างในย่อหน้าที่ ข 5.6.18 สมมติว่า การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมที่มาจากปัจจัย อื่นๆ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตหรือการเปลี่ยนแปลงในอัตรา ดอกเบี้ยที่สังเกตได้ ( อัตราอ้างอิง ) มีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสําคัญ จะถือว่าวิธีการนี้ ไม่เหมาะสม ถ้าการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมมาจากปัจจัยอื่นๆอย่างมีนัยสําคัญ ในกรณี ดังกล่าว กิจการจําเป็นต้องใช้วิธีอื่นที่จะประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง ด้านเครดิตของหนี้สินได้อย่างน่าเชื่อถือ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.16.2) เช่น ในกรณีที่มีเครื่องมือ ทางการเงินที่มีอนุพันธ์แฝง การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงจะไม่รวมใน จํานวนเงินที่แสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.6.5.1 ข 5.6.20 ในการวัดมูลค่ายุติธรรม วิธีการวัดมูลค่ายุติธรรมที่กิจการใช้ในการพิจารณาสัดส่วน การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง ด้านเครดิตนั้น กิจการต้องใช้ข้อมูลที่สามารถสังเกตได้ที่มีความเกี่ยวข้องให้มากที่สุดและ ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถสังเกตได้ให้น้อยที่สุด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 164 การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง ( บทที่ 6) เครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ( หมวดที่ 6.2) เครื่องมือที่เข้าเงื่อนไข ข 6.2.1 อนุพันธ์ซึ่งแฝงในสัญญาแบบผสมซึ่งไม่บันทึกบัญชีเป็นรายการแยกต่างหาก กิจการไม่สามารถ เลือกกําหนดให้อนุพันธ์แฝงดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ข 6.2.2 ตราสารทุนที่กิจการเป็นผู้ออกนั้นไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินของกิจการ ดังนั้นกิจการจึงไม่สามารถเลือกกําหนดเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ข 6.2.3 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ องค์ประกอบของความเสี่ยงเงินตรา ต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ ต้องถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 สัญญาสิทธิที่กิจการเป็นผู้ออก ข 6.2.4 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้จํากัดสภาพแวดล้อมที่กิจการอาจเลือกกําหนดให้อนุพันธ์ ซึ่งวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ยกเว้นสัญญาสิทธิที่กิจการเป็นผู้ออก (written options) บางประเภท สัญญาสิทธิที่กิจการเป็น ผู้ออก (written options) นั้นไม่เข้าเงื่อนไขเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง เว้นแต่เลือก กําหนดให้สัญญาสิทธิดังกล่าวหักกลบกับสัญญาสิทธิที่กิจการได้ซื้อมา (purchased options) รวมถึงสัญญาสิทธิที่แฝงในเครื่องมือทางการเงินอื่น ( ตัวอย่างเช่น การออกสัญญาสิทธิที่จะซื้อ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในหนี้สินที่อาจถูกเรียกชําระคืนก่อนครบกําหนด ) การเลือกกําหนดเครื่องมือที่ใช้ป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.2.5 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงนอกเหนือจากการป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ เมื่อกิจการเลือกกําหนดสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ที่วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง กิจการอาจเลือก กําหนดให้ทั้งหมดของเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด หรือกําหนดเป็นสัดส่วนก็ได้ ข 6.2.6 เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงรายการใดรายการหนึ่งอาจเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงสําหรับความเสี่ยงมากกว่าหนึ่งความเสี่ยงก็ได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ที่ว่ามีการเลือกกําหนดเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจงกับฐานะความเสี่ยงที่ แตกต่างกันของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว สามารถมีความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่แตกต่างกันได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 165 รายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ( หมวดที่ 6.3) รายการที่เข้าเงื่อนไข ข 6.3.1 กิจการไม่สามารถกําหนดให้ข้อผูกมัดที่แน่นหนาเพื่อซื้อธุรกิจในการรวมธุรกิจ เป็นรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง ยกเว้นความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงอื่นๆ ไม่สามารถระบุและวัดมูลค่าได้อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งความเสี่ยงอื่นๆ เหล่านั้นถือเป็นความเสี่ยง ทั่วไปในการดําเนินธุรกิจ ข 6.3.2 เงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียไม่สามารถถือเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม เนื่องจากวิธีส่วนได้เสียนั้นจะรับรู้กําไรหรือขาดทุนของกิจการที่ไปลงทุนตามสัดส่วนการลงทุน ในกําไรหรือขาดทุน แทนที่จะเป็นการรับรู้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ด้วยเหตุผลเดียวกัน เงินลงทุนในบริษัทย่อยที่นํามาจัดทํางบการเงินรวมก็ไม่สามารถถือเป็น รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมเช่นกัน เนื่องจากในการจัดทํางบการเงินรวม นั้น กิจการรับรู้กําไรหรือขาดทุนของบริษัทย่อยในกําไรหรือขาดทุน แทนที่จะเป็นการรับรู้การ เปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ซึ่งจะแตกต่างจากการป้องกันความเสี่ยงของเงิน ลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ ซึ่งเป็นการป้องกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศ ไม่ใช่เป็นการป้องกันความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเงิน ลงทุน ข 6.3.3 ย่อหน้าที่ 6.3.4 อนุญาตให้กิจการเลือกกําหนดรายการซึ่งเป็นการรวมกันของฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงและอนุพันธ์ ให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงสําหรับฐานะเปิดต่อความเสี่ยง โดยรวม (hedged items aggregated exposures) เมื่อมีการเลือกกําหนดรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงดังกล่าว กิจการต้องประเมินว่าฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวมนั้นได้รวมฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงและอนุพันธ์ที่ก่อให้เกิดฐานะเปิดต่อความเสี่ยงรวมที่แตกต่าง โดยมีการจัดการ ราวกับเป็นฐานะเปิดต่อความเสี่ยงใดความเสี่ยงหนึ่ง ( หรือกลุ่มความเสี่ยง ) เป็นการเฉพาะ หรือไม่ กรณีดังกล่าว กิจการอาจเลือกกําหนดรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็นแบบฐานะ เปิดต่อความเสี่ยงโดยรวม (aggregated exposures) ก็ได้ ตัวอย่างเช่น ข 6.3.3.1 กิจการอาจป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ( ราคาซื้อเป็นสกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ ) สําหรับการซื้อกาแฟที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูง มากในระยะเวลา 15 เดือนโดยใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดสําหรับกาแฟที่มีระยะเวลาของ สัญญา 15 เดือน กิจการสามารถพิจารณาว่าการซื้อกาแฟที่มีความเป็นไปได้ ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากและสัญญาฟอร์เวิร์ดสําหรับกาแฟดังกล่าว เป็นความ เสี่ยงเงินตราต่างประเทศสกุลดอลลาร์สหรัฐจํานวนคงที่ในอีก 15 เดือนข้างหน้า เพื่อกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยง ( กล่าวคือ เป็นเหมือน กระแสเงินสดจ่ายในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯจํานวนคงที่ในระยะเวลาอีก 15 เดือน ข้างหน้านั่นเอง )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 166 ข 6.3.3.2 กิจการอาจป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศตลอดอายุสัญญาของหนี้สินสกุล เงินตราต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 10 ปี อย่างไรก็ตาม กิจการยอมรับ ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ในสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานสําหรับระยะสั้น ถึงกลางเท่านั้น ( กล่าวคือ สองปี ) และความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในสกุล เงินที่ใช้ในการดําเนินงานสําหรับระยะเวลาที่เหลือจนครบกําหนด ทุกสองปี ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาตามสัญญา ( กล่าวคือ มีการต่ออายุทุกสองปี ) กิจการจะ ดําเนินการเพื่อปรับให้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ในอีกสองปีข้างหน้า ( ถ้าระดับของ ดอกเบี้ยส่งผลให้กิจการพิจารณาว่าควรกําหนดให้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ) ในสถานการณ์ดังกล่าว กิจการอาจเข้าทําสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจาก อัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและแลกเปลี่ยนสกุลเงินโดยมีอายุ สัญญา 10 ปี (10-year fixed-to-floating cross-currency interest rate swap) โดยเปลี่ยนจากหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นหนี้สินในสกุล เงินที่ใช้ในการดําเนินงานอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งสัญญาดังกล่าวทับซ้อนกับ สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา 2 ปี ในระยะเวลา 2 ปีนั้นจึงเกิด เป็นหนี้สินสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานจากหนี้สินอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็น อัตราดอกเบี้ยคงที่ ในแง่ของวัตถุประสงค์เพื่อการบริหารความเสี่ยง ผลลัพธ์สุทธิ ของหนี้สินในสกุลเงินตราต่างประเทศอัตราดอกเบี้ยคงที่และสัญญาการแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและแลกเปลี่ยน สกุลเงินอายุสัญญา 10 ปี จะเท่ากับการมีหนี้สินในสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน อัตราดอกเบี้ยลอยตัวระยะเวลา 10 ปี ข 6.3.4 เมื่อเลือกกําหนดรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงสําหรับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวม (aggregated exposures) กิจการต้องพิจารณาผลกระทบรวมจากรายการซึ่งประกอบกันเป็น ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวมเพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินประสิทธิผลในการป้องกัน ความเสี่ยงและวัดมูลค่าความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รายการซึ่งประกอบกันเป็นฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวมยังคงต้องปฏิบัติโดยแยกจากกัน ตัวอย่างเช่น ข 6.3.4.1 รับรู้อนุพันธ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงโดยรวม เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินแยก ต่างหากโดยวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม และ ข 6.3.4.2 ถ้าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงถูกเลือกกําหนดขึ้นระหว่างรายการซึ่ง ประกอบกันเป็นฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวม วิธีซึ่งรวมอนุพันธ์เป็นส่วนหนึ่ง ของฐานะเปิดต่อความเสี่ยงโดยรวมต้องสอดคล้องกับการเลือกกําหนดอนุพันธ์ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ณ ระดับของฐานะเปิดต่อความเสี่ยง โดยรวม ตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการแยกองค์ประกอบราคาฟอร์เวิร์ดของอนุพันธ์จาก ส่วนที่เลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงสําหรับความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงระหว่างรายการซึ่งประกอบกันเป็นฐานะเปิดต่อความ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 167 เสี่ยงโดยรวม กิจการก็ต้องแยกองค์ประกอบราคาฟอร์เวิร์ดเมื่อจะต้องรวม อนุพันธ์ดังกล่าวเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงอันเป็นส่วนหนึ่งของฐานะ เปิดต่อความเสี่ยงโดยรวม มิฉะนั้น ความเสี่ยงโดยรวมจะต้องรวมเอาอนุพันธ์เข้า ไว้ทั้งหมดหรือตามสัดส่วนของอนุพันธ์ ข 6.3.5 ย่อหน้าที่ 6.3.6 กําหนดว่า ในงบการเงินรวม ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของรายการที่ คาดการณ์ซึ่งเป็นรายการกับกิจการที่เกี่ยวข้องกันที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมาก อาจเข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดได้ โดยมีเงื่อนไขว่า รายการดังกล่าวต้องอยู่ในรูปของสกุลเงินใดๆ ที่ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานของกิจการ ที่เข้าทํารายการดังกล่าว และความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศนั้นต้องส่งผลกระทบต่อกําไรหรือ ขาดทุนรวม สําหรับวัตถุประสงค์ดังกล่าว กิจการที่กล่าวถึงอาจเป็นบริษัทใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม การร่วมการงาน หรือสาขา ก็ได้ หากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของรายการ ระหว่างกันที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุนรวม รายการระหว่างกันดังกล่าว ไม่ถือว่าเข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติ ได้แก่ การจ่ายค่าสิทธิ การจ่ายดอกเบี้ย หรือการจ่ายค่าบริหารจัดการ ซึ่งมีการคิดค่าบริการระหว่างบริษัทในกลุ่ม เว้นแต่รายการดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก แต่หากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ ของรายการระหว่างกันที่คาดการณ์ไว้มีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุนรวม รายการระหว่างกัน ดังกล่าวจะถือว่าเข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การซื้อหรือขาย สินค้าที่คาดการณ์ไว้ระหว่างบริษัทในกลุ่ม โดยที่สินค้าดังกล่าวจะมีการขายต่อบุคคลภายนอก ในทํานองเดียวกัน รายการระหว่างกันที่คาดการณ์ไว้ที่เป็นการขายอาคารและอุปกรณ์ระหว่าง บริษัทในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ผลิตให้แก่อีกบริษัทหนึ่งในกลุ่มซึ่งจะใช้ประโยชน์จากอาคารและอุปกรณ์ นั้นในการดําเนินธุรกิจ รายการดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุนรวมได้ ซึ่งอาจเกิด จากการคิดค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจากการใช้สินทรัพย์นั้น และจํานวนที่รับรู้เมื่อเริ่มแรกของ สินทรัพย์ถาวรอาจเปลี่ยนแปลงไปหากรายการระหว่างกันที่คาดการณ์ไว้นั้นเป็นสกุลเงินใดๆ ที่ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานของกิจการที่ซื้ออาคารและอุปกรณ์ ข 6.3.6 หากการป้องกันความเสี่ยงของรายการที่คาดการณ์ซึ่งเป็นรายการระหว่างกิจการที่เกี่ยวข้องกัน ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่จะเกิดขึ้นเข้าเงื่อนไขของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ผลกําไร หรือขาดทุนใดๆ ต้องรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นหรือตัดออกจากกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.5.10 ในรอบระยะเวลาที่เกี่ยวข้องหรือในรอบระยะเวลาที่ความ เสี่ยงเงินตราต่างประเทศของรายการที่ได้รับการป้องกันความเสี่ยงมีผลกระทบต่อกําไรหรือ ขาดทุนรวม การเลือกกําหนดรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.3.7 การกําหนดส่วนประกอบของรายการเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ทั้งนี้ส่วนประกอบ ของรายการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรายการทั้งหมด ดังนั้นส่วนประกอบของรายการจึงสะท้อน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 168 เพียงความเสี่ยงบางส่วนของรายการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงหรือสะท้อนความเสี่ยง เพียงบางกรณี ( ตัวอย่างเช่น เมื่อเลือกกําหนดเพียงสัดส่วนหนึ่งของรายการ เป็นต้น ) ส่วนประกอบความเสี่ยง ข 6.3.8 เพื่อเข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ส่วนประกอบความเสี่ยงต้องเป็น องค์ประกอบของรายการทางการเงินหรือหรือรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินที่สามารถระบุ องค์ประกอบได้แยกต่างหาก และการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมของ รายการอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบความเสี่ยงต้องสามารถวัดมูลค่าได้ อย่างน่าเชื่อถือ ข 6.3.9 เมื่อระบุส่วนประกอบความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง ประเมินส่วนประกอบความเสี่ยงดังกล่าวในบริบทของโครงสร้างตลาดที่เฉพาะเจาะจงต่อความ เสี่ยงหรือกลุ่มความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและในที่ซึ่งกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงเกิดขึ้น การตัดสินใจ ดังกล่าวจําเป็นต้องมีการประเมินข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องซึ่งจะแตกต่างกันไป ตามความเสี่ยงและตลาด ข 6.3.10 เมื่อเลือกกําหนดส่วนประกอบความเสี่ยงเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง พิจารณาว่าส่วนประกอบความเสี่ยงได้ถูกระบุอย่างชัดเจนในสัญญา ( ส่วนประกอบความเสี่ยงที่ ระบุตามสัญญา ) หรือบอกเป็นนัยโดยเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดของ รายการ ( ส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้ระบุตามสัญญา ) ส่วนประกอบความเสี่ยงที่ไม่ได้ระบุ ตามสัญญาสามารถเกี่ยวข้องกับรายการที่ไม่เป็นสัญญา ( ตัวอย่างเช่น รายการที่คาดการณ์ ) หรือสัญญาที่ไม่ระบุองค์ประกอบอย่างชัดเจน ( ตัวอย่างเช่น ข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่กําหนด ราคาเพียงราคาเดียวแทนที่จะกําหนดเป็นสูตรการคํานวณราคาซึ่งอ้างอิงข้อมูลที่หลากหลาย ) ตัวอย่างเช่น ข 6.3.10.1 กิจการ ก มีสัญญาระยะยาวเพื่อซื้อแก๊สธรรมชาติซึ่งใช้สูตรคํานวณราคาที่ระบุตาม สัญญาโดยอ้างอิงจากสินค้าโภคภัณฑ์และปัจจัยอื่น ( ตัวอย่างเช่น นํ้ามัน นํ้ามันเตา และองค์ประกอบอื่น เช่น ค่าขนส่ง ) กิจการ ก ป้องกันความเสี่ยงองค์ประกอบ ของนํ้ามันในสัญญาซื้อดังกล่าวโดยใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดนํ้ามัน เนื่องจาก องค์ประกอบของนํ้ามันถูกระบุในข้อกําหนดและเงื่อนไขตามสัญญาซื้อ ดังนั้น ส่วนประกอบความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ถูกระบุตามสัญญา อย่างไรก็ตามจากสูตรการ คํานวณราคา กิจการ ก สรุปได้ว่าความเสี่ยงของราคานํ้ามันสามารถระบุแยกได้ ต่างหาก โดยมีราคาตลาดของสัญญาฟอร์เวิร์ดนํ้ามันในเวลาเดียวกัน กิจการ ก จึงสรุปได้ว่าความเสี่ยงของราคานํ้ามันสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังนั้น ความเสี่ยงของราคานํ้ามันในสัญญาซื้อจึงสามารถเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ เข้าเงื่อนไขในการเลือกกําหนดเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ข 6.3.10.2 กิจการ ข ทําการป้องกันความเสี่ยงในการซื้อกาแฟล่วงหน้าโดยพิจารณาจากการ คาดการณ์การผลิตของกิจการ การป้องกันความเสี่ยงจะเริ่มและดําเนินการเป็น ระยะเวลาไม่เกิน 15 เดือน ก่อนการส่งมอบสินค้าที่คาดการณ์ไว้ กิจการ ข ได้เพิ่ม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 169 ปริมาณกาแฟที่ป้องกันความเสี่ยงตามกาลเวลา ( ตามวันที่ส่งมอบ ) โดยกิจการ ข ใช้สัญญา 2 ประเภท ในการจัดการความเสี่ยงในราคากาแฟ ข 6.3.10.2.1 สัญญาซื้อขายกาแฟในตลาดล่วงหน้า และ ข 6.3.10.2.2 สัญญาซื้อกาแฟอาราบิก้าจากโคลัมเบียโดยส่งมอบมายังโรงงานที่ ระบุไว้ สัญญานี้กําหนดราคากาแฟต่อตันโดยใช้สูตรการคํานวณ ราคา ซึ่งคํานวณจากราคาตามสัญญาซื้อขายกาแฟในตลาด ล่วงหน้ารวมกับราคาส่วนแตกต่างคงที่และค่าบริการขนส่งผัน แปร สัญญาซื้อกาแฟเป็นสัญญาที่มีภาระโดยกิจการ ข ที่จะต้อง รับภาระให้มีการส่งมอบกาแฟเกิดขึ้นจริง การเข้าทําสัญญาสั่งซื้อกาแฟสําหรับการส่งมอบที่เกี่ยวข้องกับฤดูเก็บเกี่ยว ในปัจจุบันอนุญาตให้กิจการ ข กําหนดราคาส่วนต่างระหว่างคุณภาพจริงของ กาแฟที่ซื้อ ( กาแฟอาราบิก้าจากโคลัมเบีย ) กับคุณภาพมาตรฐานที่เป็นเกณฑ์ อ้างอิงของสัญญาซื้อขายในตลาดล่วงหน้าเป็นราคาคงที่ อย่างไรก็ตาม สําหรับการ ส่งมอบที่เกี่ยวข้องกับฤดูเก็บเกี่ยวถัดไป ตลาดยังไม่เปิดให้ทําสัญญาการสั่งซื้อ กาแฟ ดังนั้นราคาส่วนต่างดังกล่าวจึงไม่สามารถกําหนดได้ กิจการ ข ใช้สัญญา การซื้อขายกาแฟในตลาดล่วงหน้าในการป้องกันความเสี่ยงในราคากาแฟที่มี เกณฑ์อ้างอิงคุณภาพเป็นองค์ประกอบสําหรับความเสี่ยงในราคากาแฟของฤดูเก็บ เกี่ยวปัจจุบันเช่นเดียวกับฤดูเก็บเกี่ยวถัดไป กิจการ ข ได้พิจารณาว่ากิจการมี ความเสี่ยง 3 ด้าน ความเสี่ยงในราคากาแฟที่สะท้อนเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพ ความเสี่ยงจากราคากาแฟที่สะท้อนความแตกต่างระหว่างราคากาแฟที่มีเกณฑ์ อ้างอิงคุณภาพมาตรฐานกับราคากาแฟที่เป็นกาแฟอาราบิก้าจากโคลัมเบียที่ได้ รับส่งมอบจริงและราคาค่าขนส่งที่ผันแปร หลังจากที่กิจการ ข เข้าทําสัญญาสั่งซื้อ กาแฟสําหรับการส่งมอบที่เกี่ยวข้องกับฤดูเก็บเกี่ยวปัจจุบัน ความเสี่ยงในราคา กาแฟที่สะท้อนเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพเป็นส่วนประกอบความเสี่ยงที่ระบุไว้ตาม สัญญาเนื่องจากสูตรการคํานวณราคาได้รวมการปรับราคาตามดัชนีราคาสัญญาซื้อ ขายกาแฟในตลาดล่วงหน้า กิจการ ข สรุปได้ว่าส่วนประกอบความเสี่ยงสามารถ ระบุองค์ประกอบแยกได้ต่างหากและสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ สําหรับการส่งมอบที่เกี่ยวข้องกับฤดูเก็บเกี่ยวถัดไป กิจการ ข ยังไม่สามารถ เข้าทําสัญญาซื้อกาแฟ ( กล่าวคือ การส่งมอบดังกล่าวเป็นรายการที่คาดการณ์ ) ดังนั้นความเสี่ยงในราคากาแฟที่สะท้อนเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพถือเป็นส่วนประกอบ ความเสี่ยงที่ไม่มีสัญญา การวิเคราะห์ของกิจการ ข เรื่องโครงสร้างตลาดได้ คํานึงถึงวิธีตีราคากาแฟเฉพาะเจาะจงที่ท้ายสุดกิจการ ข ได้รับ ดังนั้นตามเกณฑ์ ที่มีการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดนี้ กิจการ ข สรุปได้ว่ารายการที่คาดการณ์ได้รวม ความเสี่ยงในราคากาแฟที่สะท้อนเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพตามส่วนประกอบ ความเสี่ยงที่สามารถระบุองค์ประกอบได้แยกต่างหากและสามารถวัดมูลค่าได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 170 อย่างน่าเชื่อถือถึงแม้จะไม่มีการกําหนดเป็นสัญญา ดังนั้นกิจการ ข อาจเลือก กําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตามพื้นฐานส่วนประกอบ ความเสี่ยง ( สําหรับความเสี่ยงในราคากาแฟที่สะท้อนเกณฑ์อ้างอิงคุณภาพ ) สําหรับสัญญาซื้อกาแฟรวมถึงรายการซื้อที่คาดการณ์ไว้ ข 6.3.10.3 กิจการ ค ป้องกันความเสี่ยงส่วนหนึ่งของการซื้อนํ้ามันเครื่องบินตามการบริโภค ของกิจการที่คาดการณ์เป็นระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือนก่อนการส่งมอบและเพิ่ม ปริมาณในการป้องกันความเสี่ยงตามกาลเวลา กิจการ ค ป้องกันความเสี่ยงโดยใช้ สัญญาหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับรอบระยะเวลาการป้องกันความเสี่ยงซึ่งเป็น ผลมาจากสภาพคล่องของตลาดอนุพันธ์ สําหรับรอบระยะยาว (12-24 เดือน ) กิจการ ค ใช้สัญญานํ้ามันดิบเนื่องจากมีสภาพคล่องเพียงพอ สําหรับรอบ ระยะเวลา 6-12 เดือน กิจการ ค ใช้อนุพันธ์นํ้ามันเนื่องจากมีสภาพคล่อง ที่เพียงพอ สําหรับรอบระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน กิจการ ค ใช้สัญญานํ้ามันเครื่องบิน การวิเคราะห์ของกิจการ ค เกี่ยวกับโครงสร้างตลาดนํ้ามันและผลิตภัณฑ์นํ้ามัน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ ข 6.3.10.3.1 กิจการ ค ดําเนินธุรกิจในด้านภูมิศาสตร์โดยใช้นํ้ามันดิบเบรนท์ เป็นเกณฑ์อ้างอิง นํ้ามันดิบเป็นเกณฑ์อ้างอิงวัตถุดิบที่กระทบ ราคาผลิตภัณฑ์นํ้ามันกลั่นหลายชนิดเนื่องจากนํ้ามันดิบเป็น วัตถุดิบพื้นฐาน นํ้ามันเป็นเกณฑ์อ้างอิงสําหรับผลิตภัณฑ์นํ้ามัน กลั่นซึ่งใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกําหนดราคานํ้ามันกลั่นทั่วไป ซึ่งราคานี้มีผลกระทบต่อตราสารอนุพันธ์ทางการเงินประเภท ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลานํ้ามันดิบและผลิตภัณฑ์นํ้ามันกลั่นที่ กิจการ ค ดําเนินธุรกิจอยู่ ตราสารอนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าว ได้แก่  สัญญาซื้อขายนํ้ามันดิบล่วงหน้าที่อ้างอิงกับนํ้ามันดิบเบรนท์  สัญญาซื้อขายนํ้ามันล่วงหน้าซึ่งใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการ กําหนดราคานํ้ามันกลั่น ตัวอย่างเช่น อนุพันธ์ส่วนต่างของ นํ้ามันเครื่องบิน (jet fuel spread derivative) ซึ่งช่วย ชดเชยราคาส่วนต่างระหว่างราคานํ้ามันเครื่องบินกับราคา นํ้ามันมาตรฐานและ  อนุพันธ์ส่วนต่างราคานํ้ามันมาตรฐาน ( อนุพันธ์สําหรับ ส่วนต่างราคาระหว่างนํ้ามันดิบและผลิตภัณฑ์นํ้ามัน สําเร็จรูป ( กําไรจากผลิตภัณฑ์นํ้ามันกลั่น )) ที่อ้างอิงจาก นํ้ามันดิบเบรนท์

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 171 ข 6.3.10.3.2 การกําหนดราคาผลิตภัณฑ์นํ้ามันกลั่นจะไม่ขึ้นกับนํ้ามันดิบ เฉพาะเจาะจงใดๆ ที่ถูกกลั่นมาจากโรงกลั่นนํ้ามันเฉพาะเจาะจง เนื่องจากผลิตภัณฑ์นํ้ามันกลั่น ( เช่น นํ้ามันหรือนํ้ามันเครื่องบิน ) เป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐาน ดังนั้นกิจการ ค สรุปว่าความเสี่ยงในราคาซื้อนํ้ามันเครื่องบินได้รวมส่วนประกอบ ความเสี่ยงในราคาของนํ้ามันดิบซึ่งมาจากความเสี่ยงในราคานํ้ามันดิบเบรนท์และ ราคานํ้ามัน แม้ว่านํ้ามันดิบและนํ้ามันไม่ถูกระบุไว้ในข้อตกลงตามสัญญาใดๆ กิจการ ค สรุปว่าองค์ประกอบความเสี่ยงทั้งสองนี้สามารถระบุองค์ประกอบแยก ได้ต่างหากและสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือแม้ว่าจะไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้น กิจการ ค อาจเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงสําหรับ การซื้อนํ้ามันเครื่องบินที่คาดการณ์ไว้ ตามเกณฑ์ส่วนประกอบความเสี่ยง ( สําหรับ นํ้ามันดิบและนํ้ามัน ) การวิเคราะห์นี้ยังสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ ตัวอย่างเช่น หากกิจการ ค ใช้อนุพันธ์นํ้ามันดิบที่อ้างอิงกับนํ้ามันดิบดับบลิวทีไอ (West Texas Intermediate (WTI)) การเปลี่ยนแปลงของราคาส่วนต่างระหว่างนํ้ามันดิบเบรนท์ กับนํ้ามันดิบดับบลิวทีไออาจเป็นเหตุทําให้การป้องกันความเสี่ยงไม่มีประสิทธิผล ข 6.3.10.4 กิจการ ง ถือตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ตราสารนี้ถูกออกในสภาพแวดล้อม ที่ตลาดมีตราสารหนี้ที่ลักษณะคล้ายคลึงกันส่วนมากมีการเปรียบเทียบอัตราส่วน ต่างของตราสารหนี้กับอัตราอ้างอิง ( เช่น LIBOR) และในสภาพแวดล้อมดังกล่าว ตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยปกติแล้วจะมีการอ้างอิงกับอัตราอ้างอิง สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยส่วนใหญ่จะใช้จัดการความเสี่ยงในอัตรา ดอกเบี้ยตามอัตราอ้างอิงโดยไม่คํานึงถึงอัตราส่วนต่างของตราสารหนี้กับอัตรา อ้างอิง ราคาของตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่จะผันแปรโดยตรงตามการ เปลี่ยนแปลงของอัตราอ้างอิงที่เกิดขึ้น กิจการ ง สรุปว่าอัตราอ้างอิงเป็น องค์ประกอบที่สามารถระบุได้แยกต่างหากและวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังนั้น กิจการ ง อาจเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงสําหรับ ตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ตามพื้นฐานของส่วนประกอบความเสี่ยงที่เป็นความ เสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ข 6.3.11 เมื่อเลือกกําหนดส่วนประกอบความเสี่ยงเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงให้ถือ ปฏิบัติการบัญชีป้องกันความเสี่ยงกับส่วนประกอบความเสี่ยงนั้นเช่นเดียวกับที่ถือปฏิบัติกับ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงอื่นๆ ซึ่งมิได้เป็นส่วนประกอบความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติถูรวมถึงความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงต้องเป็นไป ตามข้อกําหนดของการมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง และมีการวัดมูลค่าและรับรู้การ ป้องกันความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิผล ข 6.3.12 กิจการยังสามารถเลือกกําหนดให้การเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดหรือมูลค่ายุติธรรมของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นไปในทิศทางที่สูงกว่าหรือตํ่ากว่าราคาหรือตัวแปรอื่นที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 172 ระบุไว้ ( ความเสี่ยงทางเดียว (one-sided risk)) เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงมูลค่าที่ แท้จริง (intrinsic value) ของสัญญาสิทธิที่กิจการซื้อมาซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( สมมุติว่าตราสารนี้มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเงินต้นเหมือนกับความเสี่ยงที่เลือกกําหนด ) ซึ่งไม่ใช่ส่วน ของมูลค่าตามเวลา จะสะท้อนความเสี่ยงด้านเดียวในรายการที่ได้รับการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น กิจการสามารถเลือกกําหนดความแปรปรวนของกระแสเงินสดในอนาคตอันเป็น ผลกระทบมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดการณ์ไว้ ในสถานการณ์เช่นนี้ กิจการเลือกกําหนดเฉพาะกระแสเงินสดที่ขาดทุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่สูงกว่าระดับที่ระบุ ไว้เป็นรายการที่ได้รับการป้องกันความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงไม่รวมมูลค่าตามเวลาของ สัญญาสิทธิที่กิจการซื้อมา เนื่องจากมูลค่าตามเวลาไม่เป็นองค์ประกอบของรายการที่คาดการณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อกําไรและขาดทุน ข 6.3.13 มีข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งว่า หากไม่มีการระบุความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อไว้ในสัญญา ความเสี่ยงนั้นจะไม่สามารถระบุเป็นส่วนประกอบที่ได้แยกต่างหากและไม่สามารถวัดมูลค่าได้ อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งทําให้ไม่สามารถเลือกกําหนดให้เป็นส่วนประกอบความเสี่ยงของเครื่องมือ ทางการเงิน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่จํากัด มีความเป็นไปได้ที่จะระบุส่วนประกอบความ เสี่ยงในความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงที่สามารถระบุองค์ประกอบได้แยกต่างหาก และสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งนี้เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่มีลักษณะเฉพาะ ของสภาพแวดล้อมในภาวะเงินเฟ้อและตลาดตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้อง ข 6.3.14 ตัวอย่างเช่น กิจการออกตราสารหนี้ในสภาพแวดล้อมที่พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (inflation- linked bonds) โดยมีปริมาณและโครงสร้างอัตราผลตอบแทนที่ส่งผลให้เกิดตลาดที่มีสภาพ คล่องเพียงพอที่อนุญาตให้มีหุ้นกู้ที่มีโครงสร้างอัตราผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง แบบที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งในแต่ละสกุลเงินนั้น สภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่มีการ พิจารณาแยกต่างหากในแต่ละตลาดตราสารหนี้ ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวส่วนประกอบความ เสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อสามารถกําหนดได้ โดยการคิดลดกระแสเงินสดของตราสารหนี้ที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงโดยใช้โครงสร้างอัตราผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ไม่มีการจ่าย ดอกเบี้ย ( กล่าวคือ กรณีคล้ายกับการกําหนดองค์ประกอบอัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความ เสี่ยง ) แต่โดยส่วนมากส่วนประกอบความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อไม่สามารถระบุองค์ประกอบ ได้แยกต่างหากและไม่สามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น กิจการออกตราสารหนี้ อัตราดอกเบี้ยปกติในสภาพแวดล้อมที่ตลาดสําหรับพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อที่มีสภาพคล่องไม่ เพียงพอที่จะอนุญาตให้มีโครงสร้างอัตราผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแบบที่ไม่มี การจ่ายดอกเบี้ย ในกรณีนี้การวิเคราะห์โครงสร้างตลาดรวมถึงปัจจัยและสภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่เอื้อให้กิจการสรุปว่าสภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเกี่ยวข้องที่ตลาดตราสารหนี้จะพิจารณาแยก ต่างหาก ดังนั้นกิจการจึงไม่สามารถจัดการกับข้อสันนิษฐานที่ยังมีข้อโต้แย้งเรื่องความเสี่ยงจาก สภาวะเงินเฟ้อที่ไม่มีการระบุในสัญญา ไม่สามารถระบุองค์ประกอบแยกต่างหากและไม่ สามารถวัดมูลค่าอย่างน่าเชื่อถือ ส่วนประกอบความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อจึงไม่เข้าเงื่อนไข เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง กรณีนี้ถูกนํามาถือปฏิบัติโดยไม่คํานึงถึงเครื่องมือที่ใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 173 ป้องกันความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่กิจการได้เข้าทํารายการจริงแล้ว กล่าวโดยเฉพาะ กิจการ ไม่สามารถกระทําเพียงคํานวณระยะเวลาผลตอบแทนและเงื่อนไขของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อจริงโดยการใช้ระยะเวลาผลตอบแทนและเงื่อนไขดังกล่าวอ้างอิง กับตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยปกติได้ ข 6.3.15 ส่วนประกอบความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่ระบุตามสัญญาของกระแสเงินสดของพันธบัตร ชดเชยเงินเฟ้อ ( สมมุติว่าไม่มีข้อกําหนดให้ปฏิบัติกับอนุพันธ์แฝงเป็นรายการแยกต่างหาก ) สามารถระบุองค์ประกอบได้แยกต่างหากและสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือได้ตราบใดที่ ส่วนประกอบความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดอื่นของพันธบัตรนั้น องค์ประกอบของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ ข 6.3.16 องค์ประกอบของจํานวนเงินที่กําหนดไว้ ที่สามารถเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงตามความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมีสองประเภท คือ องค์ประกอบนั้นเป็น สัดส่วนของรายการทั้งหมดหรือเป็นส่วนประกอบลําดับชั้น (layer component) ประเภทของ องค์ประกอบมีผลต่อผลลัพธ์ทางบัญชี ดังนั้น กิจการควรเลือกกําหนดองค์ประกอบ เพื่อให้ การจัดทําบัญชีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงของกิจการ ข 6.3.17 ตัวอย่างเช่น องค์ประกอบที่เป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของกระแสเงินสดตามสัญญาเงินกู้ ข 6.3.18 ส่วนประกอบลําดับชั้นอาจถูกระบุได้จากกลุ่มประชากรเปิดที่เฉพาะเจาะจงหรือจากจํานวนเงิน ที่กําหนดไว้ ตามที่ระบุ ตัวอย่างดังนี้ ข 6.3.18.1 ส่วนของปริมาณธุรกรรมที่เป็นตัวเงิน ตัวอย่างเช่น กระแสเงินสดจากการขายที่ เป็นเงินตราต่างประเทศจํานวน 10 ซึ่งถัดจาก 20 แรก สําหรับรายการของเดือน มีนาคม 255X ข 6.3.18.2 ส่วนของปริมาณทางกายภาพ ตัวอย่างเช่น ชั้นล่างสุดของแก๊สธรรมชาติที่ วัดปริมาณได้ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในสถานที่ กขค ข 6.3.18.3 ส่วนของปริมาณทางกายภาพหรือปริมาณธุรกรรมอื่น ตัวอย่างเช่น นํ้ามัน 100 บาร์เร็ลแรกที่ซื้อในเดือนมิถุนายน 255X หรือ ยอดขายของกระแสไฟฟ้า 100 เมกกะวัตต์แรกในเดือนมิถุนายน 255X หรือ ข 6.3.18.4 ลําดับชั้นจากจํานวนเงินที่กําหนดไว้ของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น 80 ล้านบาทสุดท้ายของข้อผูกมัดที่แน่นหนามูลค่า 100 ล้านบาท ระดับชั้นล่างสุด 20 ล้านบาทของพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่มูลค่า 100 ล้าน บาท หรือระดับชั้นสูงสุด 30 ล้านบาทจากตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ จํานวน เงินรวม 100 ล้านบาท ที่สามารถจ่ายล่วงหน้าได้ในราคายุติธรรม ( จํานวนเงินที่ กําหนดไว้ตามที่ระบุคือ 100 ล้านบาท ) ข 6.3.19 หากส่วนประกอบลําดับชั้นถูกเลือกกําหนดในการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม กิจการ ต้องกําหนดส่วนประกอบนั้นจากจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามที่ระบุในการปฏิบัติตามข้อกําหนด เกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมที่เข้าเงื่อนไข กิจการต้องวัดมูลค่ารายการที่มี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 174 การป้องกันความเสี่ยงใหม่สําหรับการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรม ( กล่าวคือ วัดมูลค่า รายการใหม่ เพื่อหามูลค่ายุติธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเสี่ยงที่มีการป้องกัน ) การปรับปรุง รายการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนก่อนที่จะถูกเลิกรับรู้ รายการ ดังนั้นกิจการจําเป็นต้องติดตามถึงรายการที่เกี่ยวข้องกับรายการปรับปรุงการป้องกัน ความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมดังกล่าว สําหรับส่วนประกอบลําดับชั้นในการป้องกันความเสี่ยงใน มูลค่ายุติธรรม กิจการต้องติดตามจํานวนเงินที่กําหนดไว้ ตามที่ระบุ เช่น ในย่อหน้าที่ ข 6.3.18.4 จํานวนเงินที่กําหนดไว้ ตามที่ระบุทั้งหมดของ 100 ล้านบาทจะต้องมีการติดตามเพื่อที่จะ กําหนดระดับชั้นล่างสุด 20 ล้านบาท หรือระดับชั้นสูงสุด 30 ล้านบาท ข 6.3.20 ส่วนประกอบลําดับชั้นที่รวมสิทธิในการชําระเงินก่อนครบกําหนดไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกเลือก กําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม หากมูลค่ายุติธรรมของสิทธิ ในการชําระเงินก่อนครบกําหนดนั้นได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงที่มีการ ป้องกัน ยกเว้นการเลือกกําหนดระดับชั้นได้รวมผลกระทบของสิทธิในการชําระเงินก่อนครบ กําหนดที่เกี่ยวข้อง เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบและกระแสเงินสดทั้งหมดของรายการ ข 6.3.21 หากองค์ประกอบกระแสเงินสดของรายการทางการเงินและรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน ถูกเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง องค์ประกอบดังกล่าวจะต้อง มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากันกับกระแสเงินสดรวมของรายการทั้งรายการ อย่างไรก็ตามกระแสเงิน สดรวมของรายการดังกล่าวอาจถูกเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและมี การป้องกันความเสี่ยงเพียงความเสี่ยงเดียว ( ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่เป็นไปตาม การเปลี่ยนแปลงใน LIBOR หรือเกณฑ์อ้างอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ) ข 6.3.22 ตัวอย่างเช่น กรณีหนี้สินทางการเงินที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีตํ่ากว่า LIBOR กิจการไม่ สามารถเลือกกําหนด ข 6.3.22.1 องค์ประกอบหนี้สินให้เท่ากับดอกเบี้ย LIBOR ( รวมกับเงินต้นในกรณีที่เป็น การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ) และ ข 6.3.22.2 องค์ประกอบคงเหลือติดลบ ข 6.3.23 อย่างไรก็ตามในกรณีที่หนี้สินทางการเงินอัตราดอกเบี้ยคงที่ ที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีมีค่า ( ตัวอย่างเช่น ) ตํ่ากว่า LIBOR ร้อยละ 1 กิจการสามารถเลือกกําหนดเป็นรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าหนี้สินทั้งหมด ( คือ เงินต้นรวมกับดอกเบี้ยที่ LIBOR – 1%) ไปตามการเปลี่ยนแปลงของ LIBOR หากเครื่องมือทางการเงินที่มีอัตรา ดอกเบี้ยคงที่มีการป้องกันความเสี่ยงในบางช่วงเวลาภายหลังจากวันเริ่มต้นและอัตราดอกเบี้ย มีการเปลี่ยนแปลงไปในเวลาเดียวกัน กิจการสามารถเลือกกําหนดส่วนประกอบความเสี่ยงให้มี ค่าเท่ากับอัตราอ้างอิงที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาของรายการที่จ่ายไป กิจการสามารถ กระทําโดยมีเงื่อนไขว่าอัตราอ้างอิงต้องมีค่าน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีที่ถูกคํานวณ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 175 ตามข้อสมมติที่ว่ากิจการได้ทําการซื้อเครื่องมือทางการเงินนั้นในวันแรกที่เครื่องมือถูกเลือก กําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน ตัวอย่างเช่น สมมติว่ากิจการออก สินทรัพย์ทางการเงินอัตราดอกเบี้ยคงที่ 100 บาท ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีเท่ากับ ร้อยละ 6 และขณะที่ LIBOR มีค่าเท่ากับร้อยละ 4 หลังจากนั้นกิจการได้ทําการป้องกันความ เสี่ยงในสินทรัพย์เมื่อ LIBOR มีค่าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8 และมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์มีค่า ลดลงเหลือ 90 บาท กิจการคํานวณว่าหากซื้อสินทรัพย์ในวันที่กิจการได้เลือกกําหนดความ เสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย LIBOR ให้เป็นรายการที่มีการป้องกันทางการเงินเป็นครั้ง แรก อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่พิจารณาจากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ล่าสุด จะเท่ากับ 90 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.5 เนื่องจาก LIBOR มีค่าน้อยกว่าอัตราผลตอบแทน นั้น กิจการสามารถเลือกกําหนดองค์ประกอบ LIBOR ที่ร้อยละ 8 ซึ่งประกอบด้วยส่วนของ กระแสเงินสดจากดอกเบี้ยตามสัญญาและส่วนของส่วนต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมปัจจุบัน ( คือ 90 บาท ) และจํานวนเงินชําระคืนในวันครบกําหนด ( คือ 100 บาท ) ข 6.3.24 หากหนี้สินทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยผันแปร ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ย LIBOR 3 เดือน หักร้อยละ 0.2 ( ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขั้นตํ่าเท่ากับศูนย์ ) กิจการสามารถเลือกกําหนดให้ การเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินสดของหนี้สินทั้งหมดเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( กล่าวคือ LIBOR 3 เดือน ลบ ร้อยละ 0.20 ที่รวมอัตราตํ่าสุด ) ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตาม การเคลื่อนไหวของ LIBOR ดังนั้น ตราบเท่าที่เส้นผลตอบแทนล่วงหน้าของ LIBOR 3 เดือน ภายในช่วงระยะเวลาที่เหลือของอายุสัญญาหนี้สินดังกล่าว ไม่ตํ่าไปกว่าร้อยละ 0.2 รายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงก็ยังจะคงมีความแปรปรวนในกระแสเงินสดที่เท่ากับหนี้สินที่มีอัตรา ดอกเบี้ยที่ LIBOR 3 เดือน ที่บวกส่วนต่างขั้นตํ่าที่ร้อยละศูนย์หรือส่วนต่างที่เป็นกําไร (positive spread) อย่างไรก็ตาม หากเส้นผลตอบแทนล่วงหน้าของ LIBOR 3 เดือนภายใน ช่วงระยะเวลาที่เหลือของอายุสัญญาหนี้สินดังกล่าว ( หรือบางส่วนของหนี้สินดังกล่าว ) มีระดับ ตํ่ากว่าร้อยละ 0.2 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงก็จะมีความแปรปรวนในกระแสเงินสดตํ่า กว่าหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ LIBOR 3 เดือน ที่บวกส่วนต่างขั้นตํ่าที่ร้อยละศูนย์หรือส่วนต่าง ที่เป็นกําไร (positive spread) ข 6.3.25 มีตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน คือ นํ้ามันดิบประเภทหนึ่ง จากแหล่งนํ้ามันหนึ่งที่ราคาถูกกําหนดโดยเทียบกับนํ้ามันดิบอ้างอิง หากกิจการขายนํ้ามันดิบ โดยกําหนดราคาตามสูตรคํานวณที่กําหนดในสัญญาที่ราคานํ้ามันดิบอ้างอิงต่อบาร์เรลลบ 10 บาท โดยมีราคาขั้นตํ่าอยู่ที่ 15 บาท กิจการสามารถเลือกกําหนดความแปรปรวนของกระแส เงินสดทั้งหมดภายใต้สัญญาซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงไปตามราคานํ้ามันดิบอ้างอิงให้เป็นรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม กิจการไม่สามารถเลือกกําหนดองค์ประกอบความเสี่ยง ที่มีค่าเท่ากับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในราคานํ้ามันดิบอ้างอิงได้ ดังนั้นตราบใดที่ราคาฟอร์เวิร์ด ( สําหรับแต่ละการส่งมอบ ) ไม่ลดลงตํ่ากว่า 25 บาท รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงจะมี ความแปรปรวนในกระแสเงินสดเท่ากับนํ้ามันดิบที่ขายที่ราคานํ้ามันดิบอ้างอิง ( หรือมีส่วนต่าง ราคาเป็นบวกร่วมด้วย ) อย่างไรก็ตาม หากราคาฟอร์เวิร์ดสําหรับการส่งมอบลดลงตํ่ากว่า 25 บาท

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 176 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงจะมีความแปรปรวนในกระแสเงินสดตํ่ากว่านํ้ามันดิบที่ขายที่ ราคานํ้ามันดิบอ้างอิง ( หรือ มีส่วนต่างราคาเป็นบวกร่วมด้วย ) การเข้าเงื่อนไขการบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง ( หมวดที่ 6.4) ประสิทธิผลในการป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.4.1 ประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงคือ เมื่อการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือในกระแส เงินสดของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหักกลบกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือ กระแสเงินสดของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ตัวอย่างเช่น เมื่อรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงเป็นส่วนประกอบความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดที่ เกี่ยวข้องของรายการจะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกัน ) การป้องกันความเสี่ยงที่ไม่มี ประสิทธิผลคือเมื่อการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือในกระแสเงินสดของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือในกระแส เงินสดของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ข 6.4.2 เมื่อเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ดําเนินต่อเนื่อง กิจการต้อง วิเคราะห์สาเหตุที่ก่อให้เกิดการป้องกันความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิผลที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาของการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว การวิเคราะห์นี้ ( รวมถึง ข้อมูลใหม่ตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ ข 6.5.21 ที่เกิดจากการปรับสมดุลของความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง ) ถือเป็นเกณฑ์สําหรับกิจการในการประเมินว่าเป็นไปตามข้อกําหนด ความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่กิจการจะต้องปฏิบัติตาม ข 6.4.3 เพื่อความชัดเจน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแทนคู่สัญญาเดิมด้วยการชําระให้คู่สัญญา รวมถึง การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องตามที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 6.5.5 จะต้องถูกสะท้อนใน การวัดมูลค่าเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและในการประเมินและวัดประสิทธิผลใน การป้องกันความเสี่ยง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยงกับเครื่องมือ ที่ ใช้ ป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.4.4 เงื่อนไขที่ทําให้เกิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หมายถึงเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงมีมูลค่าที่โดยทั่วไปแล้วจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกัน เนื่องจากมีความเสี่ยงประเภทเดียวกัน นั่นคือเป็นความเสี่ยงที่มีการป้องกันแล้ว ดังนั้น จะต้อง มีการคาดการณ์ว่าเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและมูลค่าของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงจะเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบตามการเคลื่อนไหวในรายการอ้างอิงเดียวกันหรือ รายการอ้างอิงที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีการตอบสนองต่อความเสี่ยงที่มีการป้องกัน แล้วในรูปแบบเดียวกัน ( ตัวอย่างเช่น นํ้ามันดิบเบรนท์และนํ้ามันดิบดับบลิวทีไอ )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 177 ข 6.4.5 ถึงแม้รายการอ้างอิงต่างกันแต่ยังมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ มูลค่าของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงก็สามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันได้ ตัวอย่างเช่น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในราคาส่วนต่างระหว่างรายการป้องกันความเสี่ยง สองรายการที่มีความสัมพันธ์กันขณะที่รายการอ้างอิงนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสําคัญ ในกรณีนี้เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงยังคงถือว่ามี ความสอดคล้องกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หากมูลค่าของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง และรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงยังคงมีความเคลื่อนไหวปกติในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อ รายการอ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลง ข 6.4.6 การประเมินว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหรือไม่นั้นจะมีการวิเคราะห์พฤติกรรม ความสัมพันธ์การป้องกันความเสี่ยงเพื่อทําให้มั่นใจว่า ยังคงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ บริหารความเสี่ยง ค่าสหสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างค่าผันแปรสองตัวแปรเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถสนับสนุนข้อสรุปได้อย่างน่าเชื่อถือว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมีอยู่จริง ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิต ข 6.4.7 เนื่องจากแบบจําลองการบัญชีป้องกันความเสี่ยงมีพื้นฐานมาจากหลักการในการหักกลบ ระหว่างผลกําไรและขาดทุนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง ประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงไม่เพียงแต่ถูกกําหนดโดยความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจระหว่างรายการเหล่านั้นเท่านั้น ( กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงในรายการอ้างอิง ) แต่ยังถูกกําหนดโดยผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิตในมูลค่าของทั้งเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิต หมายถึง แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงก็ตาม แต่ไม่อาจหักกลบผลกําไรและขาดทุนของเครื่องมือ ดังกล่าวได้ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง โดยที่ความเสี่ยงด้านเครดิตมีอิทธิพล ต่อการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ามากกว่าที่จะเป็นผลจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ( กล่าวคือ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในรายการอ้างอิง ) ระดับขนาดของการเปลี่ยนแปลงที่มีอิทธิพล นั่นคือระดับที่ก่อให้เกิดผลขาดทุน ( หรือ กําไร ) จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงในรายการอ้างอิงของมูลค่าเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะมีนัยสําคัญ ในทางกลับกันหากใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง รายการอ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยที่การเปลี่ยนแปลงใน มูลค่าของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นผล มาจากความเสี่ยงด้านเครดิตแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อมูลค่ามากกว่า เมื่อเทียบกับที่รายการอ้างอิงไม่ได้ส่งผลกระทบแบบมีอิทธิพลแต่อย่างใด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 178 ข 6.4.8 ตัวอย่างความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงคือเมื่อ กิจการทําการป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยใช้อนุพันธ์ที่ไม่มีหลักทรัพย์ คํ้าประกัน หากคู่สัญญาของอนุพันธ์ดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือในการชําระหนี้ลดลงอย่างยิ่งยวด ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาอาจมีมากเกินกว่าผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตามมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ารายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับการ เปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราส่วนการป ้ องกันความเสี่ยง (Hedge ratio) ข 6.4.9 ตามเกณฑ์ในการพิจารณาความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง อัตราส่วนการป้องกัน ความเสี่ยงของความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจะต้องคํานวณจากจํานวนรายการที่ มีการป้องกันความเสี่ยงที่กิจการป้องกันความเสี่ยงจริง และ ปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงที่กิจการใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากรายการดังกล่าว ดังนั้น หากกิจการป้องกัน ความเสี่ยงตํ่ากว่าร้อยละ 100 ของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ร้อยละ 85 กิจการต้องเลือก กําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่ให้ ผลร้อยละ 85 ของฐานะเปิดต่อความเสี่ยงทั้งหมด ตามปริมาณที่ใช้เครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงตามจริงที่ร้อยละ 85 เป็นต้น ในทํานองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น กิจการป้องกันความ เสี่ยงโดยใช้เครื่องมือทางการเงินมูลค่าตามสัญญา 40 กิจการต้องเลือกกําหนดความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยง โดยใช้อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นผลมาจากการใช้ เครื่องมือทางการเงินมูลค่า 40 ( กล่าวคือ กิจการต้องไม่ใช้อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง ที่คํานวณมาจากปริมาณทั้งหมดของเครื่องมือทางการเงินที่ถืออยู่ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าที่ใช้ จริงหรือไม่ควรใช้อัตราส่วนที่คํานวณจากปริมาณที่ตํ่ากว่าความเป็นจริง ) กับ ปริมาณของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่กิจการต้องการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน มูลค่า 40 ดังกล่าวนั้น ข 6.4.10 อย่างไรก็ตาม การเลือกกําหนดความสัมพันธ์การป้องกันความเสี่ยงโดยใช้อัตราส่วน การป้องกันความเสี่ยงเดียวกันกับที่คํานวณจากจํานวนรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่กิจการใช้ตามจริง จะต้องไม่ทําให้เกิดความไม่สมดุลระหว่าง สัดส่วนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ก่อให้เกิด ความไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยง ( โดยไม่เกี่ยวเนื่องกับการรับรู้หรือไม่รับรู้ ) ซึ่งอาจทําให้ผลทางบัญชีไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น ในการเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องมีการปรับอัตราส่วน การป้องกันความเสี่ยงที่เป็นผลมาจากจํานวนรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือที่ ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่กิจการใช้ตามจริง หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาความไม่สมดุลดังกล่าว

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 179 ข 6.4.11 ตัวอย่างของการพิจารณาที่เกี่ยวเนื่องกับการประเมินว่าผลลัพธ์ทางบัญชีนั้นไม่สอดคล้องกับ จุดประสงค์ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงคือ ข 6.4.11.1 พิจารณาว่าอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงนั้นมีการกําหนดขึ้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยง การรับรู้ความไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด หรือ กําหนดขึ้นเพื่อเป็นการปรับปรุงการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม หรือ สําหรับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่ม การใช้บัญชีเพื่อบันทึกมูลค่ายุติธรรม แต่มิได้หักกลบการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงนั้น หรือไม่ และ ข 6.4.11.2 พิจารณาว่ามีเหตุผลเชิงพาณิชย์หรือไม่สําหรับการกําหนดสัดส่วนของจํานวน รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ถึงแม้ว่า สัดส่วนดังกล่าวจะก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงก็ตาม ตัวอย่างเช่น เมื่อกิจการเข้าทําสัญญาและเลือกกําหนดจํานวนเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงแต่มิได้เป็นจํานวนที่เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดสําหรับ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง เนื่องจาก ปริมาณมาตรฐานของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงไม่สามารถกําหนดให้พอดีกับจํานวนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงได้ ( ประเด็นปัญหาจํานวนมาตรฐาน (a ‘lot size issue’)) ดังเช่น เมื่อ กิจการต้องการป้องกันความเสี่ยงสําหรับการซื้อกาแฟ 100 ตัน ด้วยการทําสัญญา ซื้อกาแฟล่วงหน้ามาตรฐานที่มีมูลค่า 37,500 ปอนด์ กิจการสามารถเลือกที่จะซื้อ ได้เพียงห้าหรือหกสัญญาเท่านั้น ( เทียบเท่า 85.0 และ 102.1 ตัน ตามลําดับ ) เพื่อที่จะป้องกันความเสี่ยงของการซื้อกาแฟ 100 ตัน ในกรณีดังกล่าว กิจการ เลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้อัตราส่วนการป้องกัน ความเสี่ยงที่คํานวณจากจํานวนสัญญาซื้อกาแฟล่วงหน้ามาตรฐานที่กิจการใช้จริง เนื่องจากการไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากการไม่สามารถ จับคู่กันได้ในสัดส่วนของจํานวนรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือที่ ใช้ป้องกันความเสี่ยง จะไม่ส่งผลลัพธ์ทางบัญชีไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของ การใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง ความถี่ในการประเมินว่าการป ้ องกันความเสี่ยงนั้นมีประสิทธิผลหรือไม่ ข 6.4.12 กิจการต้องประเมินความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่วันที่เริ่มกําหนด ความสัมพันธ์ดังกล่าว และต้องประเมินอย่างต่อเนื่องว่าความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยงยังเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดกิจการต้องประเมินทุกวันที่รายงาน หรือ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งกระทบต่อความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 180 การประเมินนี้เกี่ยวข้องกับความคาดหวังเกี่ยวกับความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง และดังนั้นจึงเป็นการคาดการณ์ไปข้างหน้าเท่านั้น วิธีที่ใช้ในการประเมินว่าการป ้ องกันความเสี่ยงนั้นมีประสิทธิผลหรือไม่ ข 6.4.13 แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้มิได้กําหนดวิธีใดวิธีหนึ่งเป็นการเฉพาะในการประเมินว่า ความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงนั้นเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กิจการควรใช้วิธีการที่สามารถบอกถึงลักษณะที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ใน การป้องกันความเสี่ยง รวมถึง สาเหตุที่ก่อให้เกิดการไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง วิธีการที่ใช้อาจเป็นวิธีเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ข 6.4.14 ตัวอย่างเช่น เมื่อข้อกําหนดที่สําคัญ ( เช่น จํานวนเงินที่กําหนดไว้ ระยะเวลาครบกําหนด และ รายการอ้างอิง ) ของทั้งเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง มีการจับคู่ หรือ มีลักษณะที่สอดคล้องกันอย่างมาก กิจการอาจสามารถสรุปได้จากเกณฑ์ การประเมินเชิงคุณภาพของข้อกําหนดที่สําคัญของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงว่ามีมูลค่าในทิศทางตรงข้ามเนื่องจากมีความเสี่ยงที่ เหมือนกัน และด้วยเหตุนี้ จึงมีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.4 ถึง ข 6.4.6) ข 6.4.15 การที่อนุพันธ์อยู่ในสถานะทําเงินหรือสูญเงินเมื่อถูกเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงนั้นมิได้หมายความในทันทีว่าการประเมินเชิงคุณภาพนั้นไม่เหมาะสม หากแต่ขึ้นอยู่ กับสภาพแวดล้อมว่าการไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากข้อเท็จจริง ดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญที่การประเมินเชิงคุณภาพนั้นไม่สามารถ อธิบายได้หรือไม่ ข 6.4.16 ในทางกลับกัน หากข้อกําหนดที่สําคัญของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนใน การที่จะหักกลบผลของตราสารทั้งสอง ผลที่ตามมาก็คือ ความมีประสิทธิผลในการป้องกัน ความเสี่ยงในระหว่างระยะเวลาของการกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงก็จะ คาดการณ์ยากขึ้น ในสถานการณ์ดังกล่าว กิจการอาจทําได้เพียงสรุปความโดยอิงจากการ ประเมินเชิงปริมาณว่ารายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงมี ความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจต่อกัน ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.4 ถึง ข 6.4.6) ในบางสถานการณ์ อาจจะ ต้องใช้การประเมินเชิงปริมาณเพื่อประเมินว่า อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่ใช้เพื่อเลือก กําหนดความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงนั้นเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผล ในการป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.9 ถึง ข 6.4.11) กิจการสามารถใช้วิธีการ เดียวกันหรือแตกต่างกันก็ได้สําหรับวัตถุประสงค์ในการประเมินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และประเมินความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 181 ข 6.4.17 หากมีการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อความมีประสิทธิผลในการป้องกัน ความเสี่ยง กิจการอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการในการประเมินความสัมพันธ์ในการป้องกันความ เสี่ยงเพื่อประเมินว่ายังเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีการดังกล่าวนั้นยังคงสามารถใช้อธิบายและติดตามคุณลักษณะ ที่เกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่มี ประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงได้ ข 6.4.18 การบริหารความเสี่ยงของกิจการเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการประเมินผลว่าความสัมพันธ์ใน การป้องกันความเสี่ยงยังเป็นไปตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง หรือไม่ นั่นหมายความว่าข้อมูลจากฝ่ายบริหาร ( หรือบทวิเคราะห์ ) ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินว่าความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงยังเป็นไปตาม ข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงอยู่หรือไม่ ข 6.4.19 เอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการกําหนดความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงของกิจการ นั้น หมายรวมถึง แนวทางที่ใช้ในการประเมินความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงวิธีการต่างๆ ที่ใช้ประเมินด้วย เอกสารแสดงความสัมพันธ์ดังกล่าวต้องได้รับการ ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่ใช้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.17) การบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข ( หมวดที่ 6.5) ข 6.5.1 ตัวอย่างของการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมก็คือการป้องกันความเสี่ยงต่อการ เปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของตราสารหนี้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ออกตราสารหรือผู้ถือตราสารก็สามารถเข้าทําสัญญาเพื่อป้องกันความเสี่ยงได้ ข 6.5.2 จุดประสงค์ของการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด คือเพื่อชะลอการรับรู้กําไรหรือขาดทุน จากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากกระแสเงินสดคาดการณ์ในอนาคตที่อาจส่งผล กระทบต่อกําไรหรือขาดทุนในระหว่างหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีหรือมากกว่านั้น ตัวอย่างของ การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด คือการใช้ สัญญาแลกเปลี่ยนในอนาคต (swap) ในการ เปลี่ยนตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ( ไม่ว่าจะวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายหรือมูลค่า ยุติธรรม ) ให้เป็นตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ( กล่าวคือ การป้องกันความเสี่ยงของธุรกรรม ในอนาคตโดยที่กระแสเงินสดในอนาคตที่ถูกป้องกันความเสี่ยงคือดอกเบี้ยจ่ายในอนาคต ) ในทางกลับกัน รายการซื้อตราสารทุนคาดการณ์ที่เมื่อมีการถือครองแล้วจะปฏิบัติด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนนั้น เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของรายการที่ไม่สามารถเป็นรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดได้ เนื่องจากผลกําไรหรือขาดทุนในเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงที่จะชะลอการรับรู้นั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนประเภทเป็น กําไรหรือขาดทุน ที่จะใช้หักกลบความเสี่ยงในช่วงระยะเวลาใดๆ ได้อย่างเหมาะสม ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ รายการซื้อตราสารทุนในอนาคต ที่เมื่อมีการถือครองแล้วจะปฏิบัติกับการเปลี่ยนแปลงใน มูลค่ายุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นนั้นไม่สามารถที่จะเป็นรายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงในกระแสเงินสดเช่นเดียวกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 182 ข 6.5.3 การป้องกันความเสี่ยงของข้อผูกมัดที่แน่นหนา ( ตัวอย่างเช่น หน่วยงานผลิตไฟฟ้ามีข้อผูกมัด ที่ยังไม่รับรู้ในการซื้อเชื้อเพลิงที่ราคาคงที่เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เชื้อเพลิงในอนาคต ) คือ การป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงในลักษณะดังกล่าวถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ตาม ย่อหน้าที่ 6.5.3 การป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของข้อผูกมัดที่แน่นหนาสามารถ เลือกใช้วิธีปฏิบัติสําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดได้ การประเมินความไม่มีประสิทธิผลของการป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.5.4 ในการประเมินความไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องพิจารณามูลค่าเงิน ตามเวลาด้วย ดังนั้น กิจการพิจารณามูลค่าของรายการที่ได้รับมีการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้ มูลค่าปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้รวม ผลกระทบจากมูลค่าเงินตามเวลาด้วย ข 6.5.5 ในการคํานวณการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเพื่อวัดความไม่มี ประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงนั้น กิจการอาจพิจารณาใช้อนุพันธ์ที่มีข้อกําหนด เหมือนกันกับข้อกําหนดที่สําคัญของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่คาดการณ์ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงก็ได้ ( วิธีการนี้หมายถึง วิธีการอนุพันธ์เสมือน (hypothetical derivative)) ตราสารนั้นจะถูกนํามาปรับมาตรวัดโดยระดับของราคา ( หรืออัตรา ) ที่ป้องกัน ความเสี่ยงแล้ว ตัวอย่างเช่น หากการป้องกันความเสี่ยงทําขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงสองทางที่ ราคาตลาด อนุพันธ์เสมือน (hypothetical derivative) จะทําหน้าที่เป็นสัญญาฟอร์เวิร์ดสมมติ ที่มีมูลค่าตลาดเท่ากับศูนย์ ณ เวลาที่เลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง หากการป้องกันความเสี่ยงทําขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางเดียว อนุพันธ์เสมือนจะแสดงมูล ค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือก ณ เวลาที่เลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมี สถานะเสมอตัว หากระดับราคาที่ถูกป้องกันความเสี่ยงนั้นอยู่ที่ระดับเดียวกับราคาตลาด หรือ อยู่ในสถานะสูญเงิน หากระดับราคาที่ถูกป้องกันความเสี่ยงนั้นอยู่สูงกว่าระดับราคาตลาด ( หากเป็นกรณีของการป้องกันความเสี่ยงของสถานะซื้อ จะหมายถึง หากระดับราคาที่ถูก ป้องกันความเสี่ยงอยู่ตํ่ากว่าระดับราคาตลาด ) การใช้อนุพันธ์เสมือนเป็นอีกวิธีที่สามารถ คํานวณการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง อนุพันธ์เสมือนจะ เลียนแบบรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง จึงส่งผลให้มีผลลัพธ์ประหนึ่งว่าการเปลี่ยนแปลง มูลค่านั้นถูกคํานวณโดยวิธีการที่แตกต่างออกไป ดังนั้น การใช้อนุพันธ์เสมือนจึงไม่ใช่วิธีการ หามูลค่าของอนุพันธ์เสมือน หากแต่เป็นเครื่องมือคํานวณทางคณิตศาสตร์เพื่อหามูลค่าของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น อนุพันธ์เสมือนจึงไม่สามารถรวมลักษณะ ที่มีผลต่อการกําหนดมูลค่าในเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ปรากฏอยู่ในเฉพาะรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น ( แต่ไม่รวมอยู่ในรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ) ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ( ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัว ) เมื่อใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 183 วิธีอนุพันธ์เสมือนในการคํานวณหาการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตราสารหนี้ดังกล่าว หรือ มูลค่า ปัจจุบันของส่วนเปลี่ยนแปลงสะสมในกระแสเงินสด อนุพันธ์เสมือนจะไม่สามารถเพียงแค่อ้าง เรื่องต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างสกุลเงินกันเท่านั้น ถึงแม้ว่าอนุพันธ์อ้างอิงนั้นจะมี ต้นทุนที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างสกุลกําหนดไว้แล้วก็ตาม ( ตัวอย่างเช่น สัญญา แลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยข้ามสกุลเงิน ) ข 6.5.6 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงซึ่งถูกกําหนดโดยวิธีอนุพันธ์ เสมือน อาจสามารถนําไปใช้เพื่อการประเมินว่าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเป็นไป ตามข้อกําหนดของความมีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ การปรับสมดุลความสัมพันธ์ของการป ้ องกันความเสี่ยงและการเปลี่ยนอัตราส่วนการ ป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.5.7 การปรับสมดุล หมายถึง การปรับเปลี่ยนปริมาณของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงที่ได้เลือกกําหนด มาก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อเป็นการรักษาให้อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงยังคงเป็นการป้องกัน ความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล การเปลี่ยนแปลงในปริมาณรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเพื่อจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากนี้จะไม่เข้าเงื่อนไขที่กําหนด ภายใต้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข 6.5.8 การปรับสมดุลจะถูกปฏิบัติในฐานะที่เป็นการขยายความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงให้ ต่อเนื่องตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ ข 6.5.9 ถึง ข 6.5.21 ในการปรับสมดุล หากเกิดความไม่ มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงตามความสัมพันธ์ที่กําหนดจะถูกพิจารณาและรับรู้ทันที ที่มีการปรับปรุงความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.9 การปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงจะทําให้กิจการสามารถปรับตัวให้เข้ากับ ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากรายการอ้างอิงหรือตัวแปรความเสี่ยงต่างๆ ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงมีรายการอ้างอิงที่ต่างกันแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน มีการเปลี่ยนแปลง ไปตามการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของรายการอ้างอิงทั้งสองนั้น ( เช่น ดัชนี อัตรา หรือ ราคาใดๆ ที่ต่างกันแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ) ดังนั้น การปรับสมดุลจะทําให้ความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงยังคงมีดําเนินต่อไปได้ ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่าง เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไปใน ทิศทางที่ยังสามารถหักกลบกันได้โดยการปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.10 ตัวอย่างเช่น กิจการต้องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสกุล ก โดยใช้อนุพันธ์ประเภทเงินตราต่างประเทศที่อ้างอิงกับเงินตราต่างประเทศสกุล ข และเงินตรา ต่างประเทศทั้งสองสกุลเป็นประเภทอัตราคงที่ ( กล่าวคือ อัตราแลกเปลี่ยนถูกกําหนดให้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 184 เคลื่อนไหวภายในกรอบ หรือ ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่กําหนดโดยธนาคารกลางหรือ หน่วยงานที่มีอํานาจรับผิดชอบอื่นๆ ) หากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุล ก และ ข มีการ เปลี่ยนแปลงไป ( กล่าวคือ มีการกําหนดกรอบหรืออัตราแลกเปลี่ยนใหม่ ) การปรับสมดุลของ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเพื่อสะท้อนอัตราแลกเปลี่ยนใหม่นั้น จะทําให้มั่นใจได้ ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวยังคงเป็นไปตามข้อกําหนดของการประเมินประสิทธิผลในการป้องกัน ความเสี่ยงผ่านอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ไป ในทางกลับกัน หากอนุพันธ์ประเภทเงินตราต่างประเทศมีการปฏิบัติผิดสัญญา การ ปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงอาจมิได้ทําให้ความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยงยังคงมีประสิทธิผลตามข้อกําหนด ดังนั้น การปรับสมดุลจึงไม่ได้เป็นตัวกําหนดให้ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงยังคงดําเนินต่อไปในสถานการณ์ที่ถึงแม้จะปรับ อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงแล้ว ความสัมพันธ์ของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงก็ยังไม่สามารถหักกลบกันได้ ข 6.5.11 การเปลี่ยนแปลงที่ทําให้เกิดการหักกลบกันระหว่างส่วนเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและมูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสดของรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงบางประเภทเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่คาด ว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงในช่วงระหว่างระยะเวลาสัญญา และประเมินว่าส่วนเปลี่ยนแปลงในการหักกลบนั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่ ข 6.5.11.1 อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงมีความผันผวนแต่ยังสามารถสะท้อนความสัมพันธ์ ระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้ อย่างเหมาะสม ข 6.5.11.2 มีสิ่งบ่งชี้ว่าอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงนั้นไม่สามารถสะท้อนความสัมพันธ์ ระหว่างเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้ อย่างเหมาะสม กิจการทําการประเมินผลตามข้อกําหนดของการประเมินประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยง กล่าวคือ เพื่อให้มั่นใจว่าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นไม่ได้สะท้อนความไม่ สมดุลในสัดส่วนของปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง อันจะก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงขึ้น ( ทั้งที่รับรู้แล้ว และยังไม่ได้รับรู้ ) ซึ่งทําให้ผลทางการบัญชีผิดไปจากวัตถุประสงค์ของการบัญชีป้องกัน ความเสี่ยง ดังนั้น การประเมินจึงต้องใช้วิจารณญาณ ข 6.5.12 ความผันผวนของอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง ( ซึ่งส่งผลให้เกิดวามไม่มีประสิทธิผลในการ ป้องกันความเสี่ยง ) จะไม่สามารถทําให้ลดลงได้โดยการปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกัน ความเสี่ยงเพื่อตอบสนองต่อผลลัพธ์ใดโดยเฉพาะ ดังนั้น ภายใต้สภาพแวดล้อมดังกล่าว การ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 185 เปลี่ยนแปลงระดับของการหักกลบจึงเกี่ยวข้องกับประเด็นของการวัดมูลค่าและการรับรู้ความ ไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงแต่ไม่ต้องมีการปรับสมดุล ข 6.5.13 ในทางกลับกัน หากการเปลี่ยนแปลงระดับของการหักกลบมีการบ่งชี้ว่าความผันผวนเกิดจาก อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่แตกต่างจากอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่ใช้ในการ กําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง หรือ มีสิ่งบ่งชี้ว่ามีแนวโน้มที่จะทําให้มี ความแตกต่างจากอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงนั้นมากขึ้นแล้ว ความไม่มีประสิทธิผลของ การป้องกันความเสี่ยงในกรณีนี้สามารถปรับลดลงได้โดยการปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกัน ความเสี่ยง ซึ่งหากปล่อยให้อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงนั้นยังคงอยู่ในระดับเดิม จะยิ่ง ส่งผลให้ความไม่มีประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในกรณีนี้ กิจการต้องทําการประเมินว่า ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นได้สะท้อนความไม่สมดุลระหว่างสัดส่วนของ ปริมาณรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงกับปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ซึ่งจะ ก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลหรือไม่ ( โดยรับรู้หรือไม่ก็ได้ ) ซึ่งอาจทําให้เกิดผลทางบัญชีที่ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง หากอัตราส่วนการป้องกันความ เสี่ยงถูกปรับปรุง ก็จะส่งผลกระทบต่อการวัดมูลค่าและการรับรู้ความไม่มีประสิทธิผลได้ เนื่องจากในการปรับสมดุล ความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์ที่ ถูกกําหนดขึ้นจะต้องได้รับการพิจารณาและรับรู้ทันที ก่อนที่จะมีการปรับปรุงความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยงตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ ข 6.5.8 ข 6.5.14 สําหรับจุดประสงค์ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง การปรับสมดุลนั้น หมายถึง หลังจากที่ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงได้ถูกกําหนดขึ้น กิจการได้ปรับเปลี่ยนจํานวนของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงไปตามสภาพแวดล้อมที่ ทําให้เกิดผลกระทบต่ออัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยง โดยปกติแล้ว การปรับปรุงนี้ควร สะท้อนถึงจํานวนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ กิจการใช้จริง อย่างไรก็ตาม กิจการจะต้องปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่คํานวณ มาจากจํานวนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงหรือเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่ได้ใช้ จริง หากเข้าลักษณะดังต่อไปนี้ ข 6.5.14.1 อัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่คํานวณมาจากจํานวนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปตามที่ได้ใช้จริง จะต้องสะท้อนถึงความไม่สมดุลอันก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลของการ ป้องกันความเสี่ยงซึ่งอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางบัญชีที่ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ ของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง หรือ ข 6.5.14.2 กิจการได้คงจํานวนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงตามที่ใช้จริงเอาไว้ ซึ่งสัดส่วนของจํานวนดังกล่าว ภายใต้ สภาพแวดล้อมใหม่ ได้ก่อให้เกิดอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงที่สะท้อนถึง ความไม่สมดุลอันก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยงซึ่ง อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางบัญชีที่ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการบัญชีป้องกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 186 ความเสี่ยง ( นั่นหมายถึงว่า กิจการจะต้องไม่ทําให้เกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้นเพียง เพราะละเลยการปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ) ข 6.5.15 การปรับสมดุลไม่สามารถนํามาถือปฏิบัติหากวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงสําหรับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป แต่จะต้องยกเลิกการบัญชี ป้องกันความเสี่ยงสําหรับความสัมพันธ์ดังกล่าว ( ถึงแม้ว่ากิจการอาจเลือกกําหนดความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงอันใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง หรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์ที่มีมาก่อน ตามที่ได้อธิบายไว้ใน ย่อหน้าที่ ข 6.5.28) ข 6.5.16 หากความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมีการปรับสมดุล การปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกัน ความเสี่ยงอาจได้รับผลกระทบในหลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้ ข 6.5.16.1 สัดส่วนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ( ในขณะเดียวกันก็ลดสัดส่วนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงลง ) โดย ข 6.5.16.1.1 เพิ่มปริมาณของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือ ข 6.5.16.1.2 ลดปริมาณของจํานวนเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.16.2 สัดส่วนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ ( ในขณะเดียวกันก็ลดสัดส่วนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงลง ) โดย ข 6.5.16.2.1 เพิ่มปริมาณของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง หรือ ข 6.5.16.2.2 ลดปริมาณของจํานวนรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงปริมาณหมายถึงการเปลี่ยนแปลงจํานวนที่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ใน การป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น ปริมาณที่ลดลงไม่จําเป็นจะต้องหมายความว่ารายการนั้นหรือ ธุรกรรมนั้นจะไม่มีอยู่อีกต่อไป หรือ อาจจะไม่ได้ถูกคาดว่าจะเกิดขึ้น แต่หมายถึง รายการ เหล่านั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การลดปริมาณของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงสามารถส่งผลให้กิจการนั้นยังคงใช้อนุพันธ์ นั้นต่อไปได้ แต่มีเพียงแค่บางส่วนของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้นที่ยังคงถูกใช้ เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ หากการปรับสมดุลยังสามารถใช้ได้โดยการลดเพียงปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงลง แต่กิจการยังคงต้องถือตราสารนั้นถึงแม้จะ ไม่จําเป็นต้องใช้ตราสารนั้นอีกต่อไป ในกรณีนี้ส่วนของอนุพันธ์ที่ไม่ได้ถูกใช้ไปในการป้องกัน ความเสี่ยงต้องถูกปฏิบัติด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ( ถ้าหากอนุพันธ์นั้นไม่ได้ถูก ใช้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในความสัมพันธ์อื่นๆ ) ข 6.5.17 การปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงโดยการเพิ่มปริมาณรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงไม่กระทบกับวิธีการวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง การวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง กับปริมาณที่ถูกกําหนดในครั้งก่อนหน้า ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากวันที่มีการปรับสมดุล ส่วนเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงต้อง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 187 นับรวมกับส่วนเปลี่ยนแปลงมูลค่าของปริมาณรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงส่วนที่เพิ่มขึ้น เข้าไปด้วย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะถูกวัดและใช้เป็นตัวอ้างอิง โดยเริ่มจากวันที่มีการปรับ สมดุล แทนที่วันกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้น ตัวอย่างเช่น หากแรกเริ่ม กิจการป้องกันความเสี่ยงในสินค้าโภคภัณฑ์ปริมาณ 100 ตัน ที่ราคาฟอร์เวิร์ด 80 บาท ( ราคา ฟอร์เวิร์ดตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงนี้ ) และต่อมาเพิ่มจํานวนเข้าไปอีก 10 ตัน ในการปรับสมดุล เมื่อราคาฟอร์เวิร์ดเปลี่ยนมาเป็น 90 บาทรายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงหลังจากปรับสมดุลแล้วประกอบไปด้วยสองกลุ่ม คือ 100 ตัน ที่ถูกป้องกันความเสี่ยง ณ ราคา 80 บาทและ 10 ตัน ที่ถูกป้องกันความเสี่ยง ณ ราคา 90 บาท ข 6.5.18 การปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงโดยการลดปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความ เสี่ยงลง จะไม่กระทบกับวิธีการวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง การวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่ยังใช้ใน การเลือกกําหนดความสัมพันธ์ จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อย่างไรก็ตาม จากวันที่มีการปรับ สมดุล ปริมาณที่ลดลงของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจะไม่ถูกนับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ ความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น หากแรกเริ่ม กิจการป้องกัน ความเสี่ยงในราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยใช้อนุพันธ์ปริมาณ 100 ตัน เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง และต่อมามีการปรับสมดุลโดยการลดปริมาณลง 10 ตัน ดังนั้นจะเหลือปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงเพียง 90 ตัน ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.5.16 เกี่ยวกับแนวปฏิบัติสําหรับ ปริมาณของอนุพันธ์ ( จํานวน 10 ตัน ) ที่ไม่ได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงอีกต่อไป ) ข 6.5.19 การปรับอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงโดยการเพิ่มปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง จะไม่ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง การวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับการกําหนดความสัมพันธ์ก็จะไม่ได้รับผลกระทบด้วย อย่างไรก็ตาม จากวันที่มีการ ปรับสมดุล การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจะต้องรวม ส่วนเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของปริมาณเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่ใช้เพิ่มเติมเข้า มาด้วย การเปลี่ยนแปลงจะถูกวัดโดยเริ่มตั้งแต่และอ้างอิงจากวันที่มีการปรับสมดุลแทนวันที่ เลือกกําหนดความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น หากแรกเริ่ม กิจการป้องกัน ความเสี่ยงในราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยใช้อนุพันธ์ปริมาณ 100 ตัน เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง และต่อมามีการปรับสมดุลโดยการเพิ่มปริมาณอีก 10 ตัน ปริมาณเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงจะเพิ่มเป็นทั้งหมด 110 ตัน การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงก็คือส่วนเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์ทั้งหมดที่ รวมกันทําให้ปริมาณรวมเท่ากับ 110 ตัน อนุพันธ์เหล่านี้สามารถมี ( หรืออาจจะมี ) ข้อกําหนด ที่สําคัญแตกต่างกันไปก็ได้ เช่น อัตราซื้อขายล่วงหน้า เนื่องจากการทําสัญญาเกิดขึ้นใน ช่วงเวลาที่ต่างกัน ( รวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเลือกกําหนดอนุพันธ์สําหรับความสัมพันธ์ ในการป้องกันความเสี่ยงหลังจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 188 ข 6.5.20 การปรับอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงโดยการลดปริมาณรายการที่ได้รับการป้องกัน ความเสี่ยงถึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือ ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง การวัดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปริมาณซึ่งยังถูกกําหนดให้รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงต่อไปนั้น การเลือกกําหนดไม่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม นับจากวันที่มีการปรับสมดุล รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่เป็นปริมาณที่ถูกปรับลดลงนั้นไม่เป็นส่วนหนึ่งของ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น เมื่อแรกเริ่มกิจการป้องกัน ความเสี่ยงในสินค้าโภคภัณฑ์ในปริมาณ 100 ตัน ที่ราคาฟอร์เวิร์ด 80 บาทและต่อมาลด ปริมาณสินค้าโภคภัณฑ์ลง 10 ตันเพื่อปรับสมดุล รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงภายหลัง การปรับสมดุลจะเหลือเพียง 90 ตัน และมีการป้องกันความเสี่ยงที่ราคา 80 บาทรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงจํานวน 10 ตัน ที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยงอีกต่อไปจะถูกปฏิบัติตามข้อกําหนดของการยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง ( ดู ย่อหน้าที่ 6.5.5 ถึง 6.5.6 และย่อหน้าที่ ข 6.5.22 ถึง ข 6.5.28) ข 6.5.21 เมื่อมีการปรับสมดุลของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องปรับปรุงการ วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่คาดว่าจะส่งผล กระทบต่อความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง สําหรับระยะเวลาที่เหลือให้เป็นปัจจุบัน เสมอ ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.4.2) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงก็ ต้องปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันด้วยเช่นเดียวกัน การยกเลิกการใช้การบัญชีป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.5.22 การยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงจะไม่มีผลย้อนหลัง โดยจะมีผลนับจากวันที่ไม่เข้า เงื่อนไขของการใช้บัญชีป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.23 กิจการต้องไม่เลิกเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงและไม่ยุติความสัมพันธ์ ดังกล่าว หาก ข 6.5.23.1 ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้นยังคงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ การบริหารความเสี่ยงบนพื้นฐานที่ยังเข้าเงื่อนไขของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ( กล่าวคือ กิจการยังคงดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงนั้นอยู่ ) และ ข 6.5.23.2 ยังคงเข้าเงื่อนไขตามข้อกําหนดที่เหลืออยู่ทุกข้อ ( หลังจากที่คํานึงถึงการปรับสมดุล ของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงนั้น หากมีการปรับสมดุลเกิดขึ้น ) ข 6.5.24 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กลยุทธ์การบริหาร ความเสี่ยงของกิจการนั้นแตกต่างจากวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยง กลยุทธ์การ บริหารความเสี่ยงจะถูกกําหนดขึ้นจากระดับสูงสุด ซึ่งเป็นการกําหนดว่ากิจการจะบริหารความ เสี่ยงด้วยวิธีใด กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงโดยทั่วไปจะมีการบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่กิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 189 จะต้องเผชิญและกําหนดวิธีการบริหารกับความเสี่ยงเหล่านั้น โดยปกติกลยุทธ์การบริหารความ เสี่ยงจะเป็นเครื่องมือในระยะยาวและมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนตาม สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ( ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยหรือระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ แตกต่างกันซึ่งนําไปสู่ระดับของการป้องกันความเสี่ยงที่แตกต่างออกไป ) กลยุทธ์นั้นมีการ กําหนดเป็นลายลักษณ์อักษรลงในเอกสารที่มีการจัดสรรให้กับฝ่ายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องผ่าน ทางนโยบายที่อาจมีการกําหนดแนวทางที่ลงในรายละเอียดมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงสําหรับแต่ละความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงมี ผลบังคับใช้ในระดับของความสัมพันธ์นั้นๆ ซึ่งเกี่ยวกับวิธีการที่เลือกกําหนดเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสี่ยงในฐานะเปิดต่อความเสี่ยงในรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง ดังนั้น กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอาจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในการป้องกัน ความเสี่ยงที่แตกต่างกันซึ่งวัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยงนั้นสัมพันธ์กับการนํากลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยงในภาพรวม ตัวอย่างเช่น ข 6.5.24.1 กิจการมีกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงในอัตราดอกเบี้ยจากการจัดหาเงินทุนใน ภาพรวมของกิจการซึ่งกําหนดเป็นช่วง (range) โดยอาจเป็นการผสมผสานกัน ระหว่างอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและอัตราดอกเบี้ยคงที่ กลยุทธ์ดังกล่าวอาจ กําหนดให้มีการคงสัดส่วนหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ไว้ที่ระดับร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 40 โดยกิจการมีการตัดสินใจในการปรับใช้สัดส่วนที่เหมาะสมตามแต่ ช่วงเวลาตามกลยุทธ์ดังกล่าว ( กล่าวคือ จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับฐานะเปิดต่อ ความเสี่ยงในอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้อยู่ในช่วงอัตราร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 40) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับตํ่า กิจการอาจจะ ออกตราสารหนี้ที่มีดอกเบี้ยคงที่มากกว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง หนี้สินของกิจการที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวมีจํานวนเท่ากับ 100 บาทโดยใน จํานวนนี้มี 30 บาทที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ กิจการอาศัยช่วงที่อัตรา ดอกเบี้ยตํ่าเพื่อความได้เปรียบจึงออกตราสารหนี้เพิ่มอีก 50 บาทเพื่อจัดหา เงินทุนสําหรับการลงทุนสําคัญของกิจการ โดยเป็นการออกตราสารหนี้ที่มีอัตรา ดอกเบี้ยคงที่ด้วยเหตุที่อัตราดอกเบี้ยตํ่า กิจการตัดสินใจกําหนดสัดส่วนหนี้สินที่มี อัตราดอกเบี้ยคงที่ไว้ที่ร้อยละ 40 ของหนี้สินทั้งหมด โดยลดปริมาณที่กิจการเคย ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวลงไป 20 บาททําให้เหลือหนี้สินอัตรา ดอกเบี้ยคงที่เพียง 60 บาท ในสถานการณ์ดังกล่าว กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน การนํากลยุทธ์ไปใช้จริงได้ เปลี่ยนแปลงไปและนั่นหมายถึงว่า สําหรับหนี้สินอัตราดอกเบี้ยลอยตัวจํานวน 20 บาทที่เคยถูกป้องกันความเสี่ยงโดยเปลี่ยนให้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่นั้น ขณะนี้ วัตถุประสงค์ของการป้องกันความเสี่ยงได้เปลี่ยนแปลงไป ( กล่าวคือ ในระดับของ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ) ผลที่ตามมาก็คือสําหรับเหตุการณ์นี้ กิจการต้องยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับจํานวน 20 บาทที่เคยป้องกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 190 ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยลดฐานะสัญญาแลกเปลี่ยนลง 20 บาท ตามจํานวนเงินที่กําหนดไว้ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม กิจการอาจจะคงปริมาณ สัญญาแลกเปลี่ยนนั้นโดยไม่ยกเลิกก็ได้ ตัวอย่างเช่น กิจการอาจจะใช้เพื่อการ ป้องกันความเสี่ยงประเภทอื่นหรืออาจจะเปลี่ยนให้มาอยู่ในบัญชีเพื่อการค้าก็ได้ ในทางกลับกัน หากกิจการเลือกที่จะเปลี่ยนหนี้สินอัตราดอกเบี้ยคงที่จํานวนใหม่ บางส่วนให้เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว การบัญชีป้องกันความเสี่ยงยังคงต้องดําเนิน ต่อไปสําหรับในส่วนที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยลอยตัวก่อนหน้านี้ ข 6.5.24.2 ความเสี่ยงบางประเภทเป็นผลมาจากสถานะที่มีการเปลี่ยนบ่อยครั้ง เช่น ความเสี่ยง อัตราดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ที่มีสถานะเปิด (open portfolio) จํานวนตราสารหนี้ที่ เพิ่มขึ้นและการเลิกรับรู้รายการตราสารหนี้บางตัวทําให้ความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไป อยู่ตลอดเวลา ( แตกต่างจากการที่สถานะลดลงเพราะตราสารหนี้นั้นครบกําหนด ) เหล่านี้เป็นกระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง (dynamic process) ที่ความ เสี่ยงที่เกิดขึ้นและเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงไม่สามารถที่จะอยู่คงที่ได้ตลอด เป็นระยะเวลายาวนาน ผลที่ตามมาก็คือ กิจการที่มีความเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาดังกล่าวจะต้องมีการปรับปรุงเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงอัตรา ดอกเบี้ยอยู่บ่อยครั้งเมื่อสถานะความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ ที่มีอายุคงเหลือ 24 เดือนถูกกําหนดให้เป็นตราสารที่มีการป้องกันความเสี่ยง สําหรับความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลา 24 เดือน สําหรับตราสารหนี้อายุ คงเหลืออื่นๆ ก็จะใช้วิธีการเดียวกัน หลังจากนั้นไม่นานกิจการก็ยกเลิก ความสัมพันธ์การป้องกันความเสี่ยงที่เคยถูกกําหนดก่อนหน้าสําหรับอายุคงเหลือ ต่างๆ ทั้งหมด หรือบางส่วน แล้วกําหนดความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยง ครั้งใหม่โดยอิงจากขนาดและประเภทของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงที่มีอยู่ใน ขณะนั้น การหยุดใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงในกรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงเหล่านั้นถูกกําหนดขึ้นมาจากวิธีที่กิจการ มองเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและตราสารที่มีการป้องกันความเสี่ยงตัวใหม่ แทนที่จะคํานึงถึงเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงและตราสารที่มีการป้องกันความ เสี่ยงที่ได้กําหนดความสัมพันธ์ไปก่อนหน้า สําหรับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง ยังคงเหมือนเดิม แต่สําหรับความสัมพันธ์ที่เคยกําหนดก่อนหน้านั้นไม่มี จุดประสงค์ของการป้องกันความเสี่ยงคงอยู่อีกต่อไป ในสถานการณ์นี้ การหยุดใช้ การบัญชีป้องกันความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับขอบเขตของจุดประสงค์ของการป้องกัน ความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละสถานการณ์ของกิจการและอาจกระทบกับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดหรือเพียงบางความสัมพันธ์ใน แต่ละอายุคงเหลือ หรือ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยงเท่านั้น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 191 ข 6.5.24.3 กิจการมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ใช้จัดการความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศจาก ประมาณการยอดขายและลูกหนี้การค้าที่อาจมีเพิ่มขึ้น ภายใต้กลยุทธ์นี้ กิจการ จัดการกับความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศที่ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง รูปแบบหนึ่ง ณ จุดที่มีการรับรู้ลูกหนี้การค้านั้น หลังจากนั้น กิจการก็ไม่จัดการความ เสี่ยงเงินตราต่างประเทศในรูปแบบนั้นอีกต่อไป แต่หันมาใช้การป้องกันความเสี่ยง เงินตราต่างประเทศจากลูกหนี้การค้า เจ้าหนี้การค้าและอนุพันธ์ที่เป็นเงินสกุล เดียวกันในลักษณะแบบองค์รวม ( ซึ่งจะไม่ขึ้นกับรายการที่คาดการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น จริง ) ในแง่ของการบันทึกบัญชี วิธีการนี้เรียกว่า การป้องกันความเสี่ยงแบบธรรมชาติ เนื่องจากผลกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากรายการดังกล่าวจะถูก รับรู้ทันทีในกําไรหรือขาดทุน ผลที่ตามมาก็คือ ในแง่ของการบันทึกบัญชี หากความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงได้ถูกเลือกกําหนดขึ้นในช่วงเวลา จนกระทั่งถึงวันครบกําหนดจ่ายเงิน ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะต้องถูกยกเลิกเมื่อมี การบันทึกบัญชีลูกหนี้การค้านั้นเนื่องจากจุดประสงค์ของการป้องกันความเสี่ยงใน ความสัมพันธ์ที่ป้องกันความเสี่ยงนั้นไม่มีอีกต่อไป ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ ณ ขณะนี้ ได้ถูกจัดการภายใต้กลยุทธ์เดิมแต่ด้วยวิธีที่เปลี่ยนไป ในทางกลับกัน หากกิจการมีจุดประสงค์ในการป้องกันความเสี่ยงที่แตกต่างไปแต่ยังคงใช้วิธีการ เดิมในการจัดการความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศที่เกิดจากการประมาณการ ยอดขายรวมถึงลูกหนี้การค้าที่อาจเกิดขึ้นตามมาตามความสัมพันธ์ในรูปแบบเดิม ไปจนถึงวันจ่ายชําระ กิจการก็ยังสามารถใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงนั้นได้จนถึง วันดังกล่าว ข 6.5.25 การยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสามารถส่งผลกระทบต่อ ข 6.5.25.1 ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยรวมทั้งหมด หรือ ข 6.5.25.2 บางส่วนของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ( ซึ่งหมายความว่าการบัญชี ป้องกันความเสี่ยงยังคงมีผลอยู่สําหรับส่วนอื่นของความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยง ) ข 6.5.26 ให้ยุติความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงโดยรวมทั้งหมดเมื่อไม่เข้าเงื่อนไขที่กําหนด ตัวอย่างเช่น ข 6.5.26.1 ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการบริหาร ความเสี่ยงที่ทําให้เกิดการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง ( กล่าวคือ กิจการไม่ได้มี จุดประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงนั้นอีกต่อไป ) ข 6.5.26.2 มีการขายหรือยกเลิกของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือเครื่องมือทาง การเงิน ( โดยเกี่ยวข้องกับปริมาณทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง ) หรือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 192 ข 6.5.26.3 ไม่มีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงกับ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป หรือความเสี่ยงด้านเครดิตเริ่มมี ผลกระทบต่อมูลค่ามากกว่าความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจนั้น ข 6.5.27 ให้ยุติความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงในบางส่วน ( และยังคงถือปฏิบัติการบัญชี ป้องกันความเสี่ยงต่อไปสําหรับส่วนอื่นที่เหลือ ) เมื่อเพียงบางส่วนของความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงไม่เข้าเงื่อนไขที่กําหนด ตัวอย่างเช่น ข 6.5.27.1 เมื่อมีการปรับสมดุลความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง อัตราส่วนการ ป้องกันความเสี่ยงอาจถูกปรับปรุงจนทําให้บางส่วนของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงนั้นไม่เป็นส่วนหนี่งของความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงอีก ต่อไป ( ดูย่อหน้าที่ ข 6.5.20) ดังนั้น ให้ยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับ ส่วนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป ข 6.5.27.2 เมื่อมีบางส่วนของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เป็น ( หรือเป็นส่วนประกอบ ของ ) รายการที่คาดการณ์นั้นไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นรายการที่มีความเป็นไปได้ ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากอีกต่อไป ให้ยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงเฉพาะใน ส่วนที่ไม่ถูกจัดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากดังกล่าวของรายการที่ มีการป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม หากกิจการเคยเลือกกําหนดการป้องกันความ เสี่ยงของรายการที่คาดการณ์และต่อมาได้ประเมินว่ารายการที่คาดการณ์ดังกล่าวจะ ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป อาจก่อให้เกิดคําถามในความสามารถในการประเมินรายการที่ คาดการณ์ที่คล้ายคลึงกันของกิจการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการประเมินรายการที่ คาดการณ์ที่คล้ายคลึงกันว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากหรือไม่ ( ดูย่อหน้าที่ 6.3.3) และถือว่าเข้าเงื่อนไขเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ได้หรือไม่ ข 6.5.28 กิจการสามารถเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงขึ้นมาใหม่สําหรับ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงหรือรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์เดิมที่ เคยมีการยกเลิกการใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงแล้ว ( บางส่วน หรือทั้งหมด ) โดยไม่ถือว่า เป็นการดําเนินความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงต่อจากเดิม แต่ให้ถือเป็นการเริ่ม ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงขึ้นใหม่ ตัวอย่างเช่น ข 6.5.28.1 ความเสี่ยงด้านเครดิตของเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทําให้กิจการต้องเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงใหม่ ซึ่งทําให้ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเดิมไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการบริหาร ความเสี่ยงและต้องยุติความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดลงในที่สุด เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงรายการใหม่ถูกเลือกกําหนดขึ้นเพื่อป้องกัน ความเสี่ยงของความเสี่ยงเดิมและเกิดเป็นความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ใหม่ ดังนั้น การวัดมูลค่าของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหรือกระแสเงินสด

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 193 ของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงใหม่จะเริ่มและอ้างอิงจากวันที่มีการเลือก กําหนดความสัมพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงขึ้นใหม่แทนที่จะเป็นวันที่ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงเดิมถูกเลือกกําหนดขึ้น ข 6.5.28.2 ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงหยุดลงก่อนครบกําหนดอายุของ เครื่องมือทางการเงิน เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงของความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงนี้จะสามารถถูกเลือกกําหนดขึ้นเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงในอีกความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงได้ ( ตัวอย่างเช่น เมื่อทํา การปรับปรุงอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงโดยเพิ่มจํานวนเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยง หรือเมื่อเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงขึ้นใหม่ ทั้งหมด ) การบัญชีสําหรับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือก ข 6.5.29 สิทธิเลือกเกี่ยวข้องกับช่วงเวลา เนื่องจากมูลค่าตามเวลาแสดงถึงสิ่งตอบแทนสําหรับการ ปกป้องผู้ถือสิทธิเลือกตลอดช่วงเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มุมมองที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ ของการประเมินว่าสิทธิเลือกนั้นเป็นการป้องกันความเสี่ยงของรายการธุรกรรมใด หรือรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงตามช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องหรือไม่ คือลักษณะโดยทั่วไปของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง รวมถึงวิธีการและช่วงเวลาที่จะมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ดังนั้น กิจการต้องประเมินประเภทของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.14.1) จาก ธรรมชาติของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( โดยไม่คํานึงถึงว่าความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดหรือการป้องกันความเสี่ยงใน มูลค่ายุติธรรม ) ดังนี้ ข 6.5.29.1 มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ถ้าธรรมชาติของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้นเป็น รายการที่มีมูลค่าตามเวลาเป็นต้นทุนของธุรกรรมดังกล่าว ตัวอย่างเช่น เมื่อมูลค่า ตามเวลาของสิทธิเลือกสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงซึ่งเป็นผลให้ ในการวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรกนั้นต้องรวมต้นทุนการทํารายการเป็นส่วนหนึ่งของใน การรับรู้รายการนั้น ( ตัวอย่างเช่น กิจการทําการป้องกันความเสี่ยงด้านราคาใน การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นรายการที่คาดการณ์หรือข้อผูกมัดที่แน่นหนาก็ ตาม และได้รวมต้นทุนการทํารายการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้าคงเหลือ ) ผลจากการรวมมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกในการวัดมูลค่าเมื่อเริ่มแรกของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงคือ มูลค่าตามเวลากระทบกําไรหรือขาดทุนใน เวลาเดียวกันกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ในทํานองเดียวกัน กิจการที่ทํา การป้องกันความเสี่ยงในรายการขายสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นรายการที่ คาดการณ์ข้อผูกมัดที่แน่นหนาก็ตาม จะรวมมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกเข้าเป็น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 194 ส่วนหนึ่งของต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรายการขายดังกล่าว ( ดังนั้น มูลค่าตามเวลาจะ ถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลาเดียวกันกับรายได้ที่มาจากรายการ ขายที่ถูกป้องกันความเสี่ยง ) ข 6.5.29.2 มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ เกี่ยวข้องกับช่วงเวลา ถ้าธรรมชาติของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้นมี มูลค่าตามเวลาเป็นต้นทุนในการได้มาซึ่งการป้องกันความเสี่ยงตลอดช่วง ระยะเวลา ( แต่รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่ได้ส่งผลให้เกิดธุรกรรมที่ต้อง รับรู้ต้นทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการทํารายการตามกล่าวในย่อหน้าที่ ข 6.5.29.1) ตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าโภคภัณฑ์คงเหลือมีการป้องกันความเสี่ยงจาก การลดลงของมูลค่ายุติธรรมในระยะเวลา 6 เดือนโดยใช้สิทธิเลือกสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีอายุสัญญาเท่ากัน มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกจะถูกปันส่วนเข้ากําไรหรือ ขาดทุน ( กล่าวคือโดยการตัดจําหน่ายอย่างมีระบบและสมเหตุสมผล ) ตลอดช่วง ระยะเวลา 6 เดือน อีกตัวอย่าง เช่น การป้องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิใน หน่วยงานต่างประเทศเป็นระยะเวลา 18 เดือนโดยใช้สิทธิเลือกเงินตรา ต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลให้มีการปันส่วนมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกตลอดช่วง ระยะเวลา 18 เดือน ข 6.5.30 ลักษณะของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงวิธีการและช่วงเวลาที่รายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงนั้นมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน และรวมถึงผลกระทบของช่วงเวลาที่ มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกนั้นป้องกันความเสี่ยงให้กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาจะถูกตัดจําหน่าย ซึ่งสอดคล้องกันกับช่วงเวลาที่มูลค่าที่แท้จริงของสิทธิ เลือกมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนดในการบัญชีการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการใช้สัญญาสิทธิที่จะซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) ในการป้องกัน ความเสี่ยงในการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจ่ายของพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว มูลค่าตามเวลา ของสัญญาสิทธิที่จะซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) ดังกล่าวจะถูกตัดจําหน่ายเป็นกําไรหรือ ขาดทุนตลอดช่วงเวลาเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่มูลค่าที่แท้จริงมีผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ข 6.5.30.1 ถ้าสัญญาสิทธิที่จะซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) ป้องกันความเสี่ยงจากการ เพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยใน 3 ปีแรกของพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อายุ 5 ปี มูลค่าตามเวลาของสัญญาสิทธิที่จะซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) ดังกล่าวจะถูกตัดจําหน่ายตลอดอายุ 3 ปีแรก หรือ ข 6.5.30.2 ถ้าสัญญาสิทธิที่จะซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) เป็นสัญญาที่เริ่มใช้สิทธิใน อนาคต ซึ่งป้องกันความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 และปีที่ 3 ของพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอายุ 5 ปี มูลค่าตามเวลาของสัญญาสิทธิที่จะ ซื้อในอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Cap) ดังกล่าวจะถูกตัดจําหน่ายในระหว่างปีที่ 2 และ ปีที่ 3

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 195 ข 6.5.31 การบัญชีสําหรับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกตามย่อหน้าที่ 6.5.14 ยังบังคับใช้กับสัญญาสิทธิ ที่กิจการซื้อมา (purchased option) และสัญญาสิทธิที่กิจการเป็นผู้ออก (written option) และ ที่ถูกกําหนดให้รวมกัน ( สัญญาหนึ่งเป็นสิทธิที่จะขายและอีกสัญญาหนึ่งเป็นสิทธิที่จะซื้อ ) ซึ่งมูลค่าตามเวลาสุทธิ ณ วันที่ถูกเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง มีค่าเท่ากับศูนย์ ( โดยทั่วไปหมายถึง Zero-cost collar) ในกรณีดังกล่าว กิจการต้องรับรู้การ เปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามเวลาในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น แม้ว่าผลสะสมของการ เปลี่ยนแปลงในมูลค่าตามเวลาตลอดช่วงระยะเวลาของความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยงจะเท่ากับศูนย์ ดังนั้น ถ้ามูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกเกี่ยวข้องกับ ข 6.5.31.1 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม มูลค่าตามเวลา ณ จุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ปรับปรุงรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยง หรือจํานวนที่ถูกจัดประเภทใหม่เป็นกําไรหรือขาดทุน ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.14.2) จะเท่ากับศูนย์ ข 6.5.31.2 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลา จํานวนที่ตัดจําหน่ายที่ เกี่ยวข้องกับมูลค่าตามเวลาจะเท่ากับศูนย์ ข 6.5.32 การบัญชีสําหรับมูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกตามย่อหน้าที่ 6.5.14 บังคับใช้เฉพาะกับ มูลค่าตามเวลาที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( มูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกัน ) มูลค่าตามเวลาของสิทธิเลือกจะเกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงถ้าข้อกําหนดที่ สําคัญของสิทธิเลือก ( เช่น จํานวนเงินที่กําหนดไว้ อายุของสัญญา และรายการอ้างอิง ) สอดคล้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น หากข้อกําหนดที่สําคัญของสิทธิเลือก และรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่สอดคล้องกันทั้งหมด กิจการต้องกําหนดมูลค่าตาม เวลาที่สอดคล้องกัน ซึ่งก็คือมูลค่าตามเวลารวมถึงค่าใช้จ่ายในการทําสัญญา ( มูลค่าตามเวลาที่ เกิดขึ้นจริง ) ที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( และต้องปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 6.5.14) กิจการกําหนดมูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกันโดยใช้มูลค่าของสิทธิเลือกที่มีข้อกําหนด ที่สําคัญที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.33 ถ้ามูลค่าตามเวลาที่เกิดขึ้นจริง และมูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกันนั้นแตกต่างกัน กิจการต้อง ระบุจํานวนเงินซึ่งถูกสะสมและแสดงเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของตามย่อหน้าที่ 6.5.14 ดังต่อไปนี้ ข 6.5.33.1 ถ้ามูลค่าตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่ามูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกัน ณ จุดที่รับรู้ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง (1) ระบุจํานวนเงินซึ่งถูกสะสมและแสดงเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของ เจ้าของแยกตามเกณฑ์ของมูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกัน และ (2) ปฏิบัติกับผลต่างจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมระหว่างมูลค่าตาม เวลาที่เกิดขึ้นจริงและมูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกันในกําไรหรือขาดทุน ข 6.5.33.2 ถ้ามูลค่าตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงตํ่ากว่ามูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกัน ณ จุดที่รับรู้ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องระบุจํานวนเงินซึ่งถูกสะสม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 196 และแสดงเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของโดยอ้างอิงกับจํานวนเงิน ที่ตํ่ากว่าของการเปลี่ยนแปลงสะสมในมูลค่ายุติธรรมของ (1) มูลค่าตามเวลาที่เกิดขึ้นจริง และ (2) มูลค่าตามเวลาที่สอดคล้องกัน การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงที่เหลืออยู่จะถูกรับรู้ในกําไร หรือขาดทุน การบัญชีสําหรับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดและส่วนต่างอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเครื่องมือทางการเงิน ข 6.5.34 สัญญาฟอร์เวิร์ดมีความเกี่ยวข้องกับระยะเวลาเนื่องจากองค์ประกอบราคาล่วงหน้าแสดงถึง ค่าตอบแทนของระยะเวลาดังกล่าว ( ซึ่งหมายถึงระยะเวลาครบกําหนดที่ได้พิจารณาไว้ ) อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่เกี่ยวข้องสําหรับวัตถุประสงค์ของการประเมินว่าเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงใช้ป้องกันความเสี่ยงของรายการที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมหรือที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลา นั่นคือต้องประเมินลักษณะของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งรูปแบบและช่วงเวลาที่ ส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ดังนั้น กิจการต้องประเมินประเภทของรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.15 และ 6.5.14.1) โดยคํานึงถึงธรรมชาติของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยง ( โดยไม่คํานึงว่าความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงจะเป็นการ ป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดหรือการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ) ดังนี้ ข 6.5.34.1 องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ถ้าธรรมชาติของรายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงเป็นรายการที่มีองค์ประกอบราคาล่วงหน้าเป็นต้นทุนของรายการ ตัวอย่างเช่น เมื่อองค์ประกอบราคาล่วงหน้าสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่ทํา ให้การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกรวมต้นทุนการทํารายการ ( เช่น กิจการป้องกัน ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศจากการซื้อสินค้าคงเหลือในรูปของสกุลเงินตรา ต่างประเทศโดยที่ไม่ว่าจะเป็นรายการที่คาดการณ์หรือข้อผูกมัดที่แน่นหนา และ ได้รวมต้นทุนการทํารายการเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าคงเหลือนั้นในการรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก ) ผลของการรวมองค์ประกอบราคาล่วงหน้าในการรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรกของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงคือการที่องค์ประกอบราคาล่วงหน้า กระทบกําไรหรือขาดทุนพร้อมกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ในทํานอง เดียวกัน กิจการที่ป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของการขายสินค้าโภค ภัณฑ์ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการที่คาดการณ์หรือข้อผูกมัดที่แน่นหนา จะรวม องค์ประกอบราคาล่วงหน้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการขาย ( ดังนั้น องค์ประกอบราคาล่วงหน้าจะถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลา เดียวกันกับรายได้จากการขายที่ถูกป้องกันความเสี่ยง )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 197 ข 6.5.34.2 องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดสัมพันธ์กับรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลา ถ้าธรรมชาติของรายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงมีองค์ประกอบราคาล่วงหน้าเป็นต้นทุนในการได้มาซึ่งการป้องกันความเสี่ยง ต่อช่วงระยะเวลานั้น ( แต่รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงไม่ได้ส่งผลให้เกิด ธุรกรรมที่ต้องรับรู้ต้นทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการทํารายการตามที่ กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ ข 6.5.34.1) ตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าโภคภัณฑ์คงเหลือถูก ป้องกันความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมสําหรับช่วงระยะเวลา 6 เดือนโดยใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีระยะเวลาครบกําหนด สอดคล้องกัน องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดจะถูกปันส่วนไปยัง กําไรหรือขาดทุน ( กล่าวคือ ตัดจําหน่ายอย่างเป็นระบบและด้วยเกณฑ์ที่ สมเหตุสมผล ) ตลอดช่วงระยะเวลา 6 เดือน อีกตัวอย่างเช่น การป้องกันความ เสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศเป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยใช้ สัญญาฟอร์เวิร์ดเงินตราต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปันส่วนของ องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดนี้ตลอดช่วงระยะเวลา 18 เดือน ข 6.5.35 ลักษณะของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงรูปแบบและช่วงเวลาที่รายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ได้ส่งผลกระทบตลอดช่วงเวลาต่อช่วงเวลา ที่องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงให้กับรายการที่ เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่มีการตัดจําหน่าย ซึ่งหมายถึงตลอดช่วงระยะเวลาที่เกี่ยวข้องกับส่วนของ อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าสัญญาฟอร์เวิร์ดป้องกันความเสี่ยงต่อความผัน ผวนของอัตราดอกเบี้ยสําหรับระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า องค์ประกอบ ราคาล่วงหน้าจะถูกตัดจําหน่ายในช่วงเดือนที่ 7 ถึงเดือนที่ 9 ข 6.5.36 ให้ถือปฏิบัติตามการบัญชีสําหรับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดในย่อหน้าที่ 6.5.15 สําหรับกรณีที่องค์ประกอบราคาล่วงหน้า ณ วันที่สัญญาฟอร์เวิร์ดถูกเลือกกําหนดให้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง และองค์ประกอบราคาล่วงหน้ามีค่าเท่ากับศูนย์ ในกรณี ดังกล่าว กิจการต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น แม้ว่าผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ องค์ประกอบราคาล่วงหน้าจะเท่ากับศูนย์ตลอดช่วงระยะเวลาความสัมพันธ์ของการป้องกัน ความเสี่ยง ดังนั้น ถ้าองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดเกี่ยวข้องกับ ข 6.5.36.1 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม จํานวนเงินของ องค์ประกอบราคาล่วงหน้า ณ จุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่ ปรับปรุงรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง หรือได้ถูกจัดประเภทใหม่ไปกําไรหรือ ขาดทุน ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.14.2 และ 6.5.15) เท่ากับศูนย์ ข 6.5.36.2 รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับช่วงระยะเวลา จํานวนที่ตัด จําหน่ายที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบราคาล่วงหน้านั้นเท่ากับศูนย์

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 198 ข 6.5.37 ให้ถือปฏิบัติตามการบัญชีสําหรับองค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ดตามย่อหน้าที่ 6.5.15 กับเฉพาะองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( องค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกัน ) องค์ประกอบราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ด จะเกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงถ้าข้อกําหนดที่สําคัญของสัญญาฟอร์เวิร์ด ( เช่น จํานวนเงินที่กําหนดไว้ อายุของสัญญา และรายการอ้างอิง ) สอดคล้องกับรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น ถ้าข้อกําหนดที่สําคัญของสัญญาฟอร์เวิร์ด และรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงไม่สอดคล้องกันทั้งหมด กิจการต้องกําหนดองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่ เกี่ยวข้อง เช่น จํานวนขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าในสัญญาฟอร์เวิร์ด ( องค์ประกอบราคา ล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริง ) ที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ( และต้องปฏิบัติตาม ย่อหน้าที่ 6.5.15) กิจการพิจารณากําหนดองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกันโดยใช้ การวัดมูลค่าของสัญญาฟอร์เวิร์ดที่มีข้อกําหนดที่สําคัญที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ข 6.5.38 ถ้าองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริง และองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกันนั้น แตกต่างกัน กิจการต้องระบุจํานวนเงินที่ถูกสะสมเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ ตามย่อหน้าที่ 6.5.15 ดังต่อไปนี้ ข 6.5.38.1 ถ้าค่าสัมบูรณ์ขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าองค์ประกอบราคา ล่วงหน้าที่สอดคล้องกัน ณ จุดที่รับรู้ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง (1) ระบุจํานวนเงินที่ถูกสะสมเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ ตามเกณฑ์ขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกัน และ (2) ปฏิบัติกับผลต่างจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมระหว่าง องค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริงและองค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่ สอดคล้องกันในกําไรหรือขาดทุน ข 6.5.38.2 ถ้าค่าสัมบูรณ์ขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริงตํ่ากว่าองค์ประกอบ ราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกัน ณ จุดที่รับรู้ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง กิจการจะต้องระบุจํานวนเงินที่ถูกสะสมเป็นรายการแยกต่างหากในส่วนของเจ้าของ โดยอ้างอิงกับจํานวนที่ตํ่ากว่าของการเปลี่ยนแปลงสะสมในมูลค่ายุติธรรมของ (1) ค่าสัมบูรณ์ขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริง และ (2) ค่าสัมบูรณ์ขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่สอดคล้องกัน ส่วนของการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมขององค์ประกอบราคาล่วงหน้าที่เกิดขึ้นจริงที่ เหลืออยู่จะถูกรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ข 6.5.39 เมื่อกิจการแยกส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศออกจากเครื่องมือทางการเงิน และไม่รวมในการเลือกกําหนดเครื่องมือทางการเงินนั้นเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.2.4.2) แนวทางปฏิบัติในย่อหน้าที่ ข 6.5.34 ถึง ข 6.5.38 จะถือปฎิบัติกับส่วน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 199 ต่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในลักษณะเดียวกันกับที่ถือปฎิบัติกับองค์ประกอบ ราคาล่วงหน้าของสัญญาฟอร์เวิร์ด การป ้ องกันความเสี่ยงของกลุ่มรายการ ( หมวดที่ 6.6) การป ้ องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิ การใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงและการเลือกกําหนดฐานะสุทธิ ข 6.6.1 กิจการสามารถใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงกับฐานะสุทธิได้ถ้าวัตถุประสงค์ของการบริหาร ความเสี่ยงของกิจการอยู่บนเกณฑ์สุทธิในการป้องกันความเสี่ยง โดยที่กิจการต้องทําการ ป้องกันความเสี่ยงในลักษณะดังกล่าวจริง ( ไม่ใช่พิจารณาเพียงแค่คํารับรองหรือการระบุใน เอกสาร ) ดังนั้น กิจการไม่สามารถใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงบนเกณฑ์สุทธิเพียงเพื่อ กําหนดผลทางการบัญชีที่เฉพาะเจาะจงได้ ถ้าหากผลนั้นไม่สะท้อนวิธีการบริหารความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง โดยปกติ แล้วกลยุทธ์ดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติโดยผู้บริหารสําคัญตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 24 ข 6.6.2 ตัวอย่างเช่น กิจการ ก . ซึ่งมีสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานเป็นสกุลเงินเดียวกับสกุลเงินท้องถิ่น มีข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่จะต้องจ่ายด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 150,000 เพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในอีก 9 เดือนข้างหน้า และมีข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่จะขายสินค้า สําเร็จรูปด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 150,000 ในอีก 15 เดือนข้างหน้า กิจการ ก . เข้าทําสัญญาอนุพันธ์เงินตราต่างประเทศที่จะจ่ายชําระเงินในอีก 9 เดือนข้างหน้า โดยจะรับเงิน ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 100 และจ่ายสกุลเงินท้องถิ่นจํานวน 70 บาท กิจการ ก ไม่มีความเสี่ยงอื่นต่อสกุลเงินตราต่างประเทศ กิจการ ก ไม่ได้บริหารความเสี่ยงเงินตรา ต่างประเทศบนเกณฑ์สุทธิ ดังนั้น กิจการ ก ไม่สามารถใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงระหว่างอนุพันธ์เงินตราต่างประเทศและฐานะสุทธิ จํานวน 100 ซึ่งเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ( ประกอบด้วยข้อผูกมัดการซื้อที่แน่นหนา ( ค่าโฆษณา ) จํานวน 150,000 และข้อผูกมัดการขายที่แน่นหนา จํานวน 149,900 ( จาก จํานวน 150,000)) สําหรับระยะเวลา 9 เดือนข้างหน้า ข 6.6.3 ถ้ากิจการ ก บริหารความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศบนเกณฑ์สุทธิ และไม่ได้เข้าทําสัญญา อนุพันธ์เงินตราต่างประเทศ ( เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศแทนที่จะ เป็นการลดความเสี่ยง ) กิจการจะอยู่ในฐานะการป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติ (Natural Hedge) สําหรับช่วงระยะเวลา 9 เดือน โดยปกติแล้ว ฐานะการป้องความเสี่ยงแบบนี้จะไม่ สะท้อนในงบการเงิน เพราะรายการดังกล่าวถูกรับรู้ในรอบระยะเวลาที่รายงานที่แตกต่างกันใน อนาคต ฐานะสุทธิที่หักกลบกันหมดจะเกิดขึ้นในการบัญชีป้องกันความเสี่ยงหากเข้าเงื่อนไขใน ย่อหน้าที่ 6.6.6 เท่านั้น

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 200 ข 6.6.4 เมื่อกลุ่มของรายการที่รวมกันเป็นฐานะสุทธิถูกเลือกกําหนดให้เป็นรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง กิจการจะต้องเลือกกําหนดภาพรวมของกลุ่มรายการให้เป็นรายการที่สามารถทําให้ เป็นฐานะสุทธิได้ กิจการไม่สามารถที่จะเลือกกําหนดจํานวนของฐานะสุทธิแบบไม่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น กิจการมีกลุ่มรายการของข้อผูกมัดการขายที่แน่นหนาในอีก 9 เดือนข้างหน้าเป็น สกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 100 และกลุ่มของรายการข้อผูกมัดการซื้อที่แน่นหนาในอีก 18 เดือนข้างหน้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 120 กิจการไม่สามารถเลือกกําหนดจํานวน ของฐานะสุทธิเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่ากับ 20 แต่จะต้องเลือกกําหนดจํานวนเงินทั้งสิ้น ของรายการซื้อและขายที่ร่วมกันก่อให้เกิดฐานะสุทธิของการป้องกันความเสี่ยง กิจการต้อง เลือกกําหนดฐานะทั้งสิ้นที่ก่อให้เกิดฐานะสุทธิเพื่อที่กิจการจะสามารถปฏิบัติตามข้อกําหนด ของการบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไข การประยุกต์ใช้ข้อกําหนดเกี่ยวกับประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงกับการป้องกัน ความเสี่ยงของฐานะสุทธิ ข 6.6.5 เมื่อกิจการพิจารณาว่าข้อกําหนดเกี่ยวกับประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.4.1.3 นั้นบรรลุหรือไม่เมื่อมีการป้องกันความเสี่ยงบนฐานะสุทธิ กิจการต้องพิจารณาการ เปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการในฐานะสุทธิที่มีผลกระทบที่คล้ายคลึงกันกับเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยง โดยพิจารณาร่วมกันกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น กิจการมีกลุ่มของรายการข้อผูกมัดการขายที่แน่นหนาในอีก 9 เดือนข้างหน้า เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 100 และกลุ่มของรายการข้อผูกมัดการซื้อ ที่แน่นหนาในอีก 18 เดือนข้างหน้า เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 120 กิจการป้องกัน ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของฐานะสุทธิ เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 20 โดยใช้ สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 20 เมื่อมีการ ตัดสินใจว่าเข้าเงื่อนไขของข้อกําหนดเกี่ยวกับประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงตามย่อ หน้าที่ 6.4.1.3 หรือไม่ กิจการจะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง ข 6.6.5.1 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของข้อผูกมัดการขายที่แน่นหนาอัน เนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ และ ข 6.6.5.2 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของข้อผูกมัดการซื้อที่แน่นหนาอันเนื่องมาจาก ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ ข 6.6.6 ในทํานองเดียวกัน ถ้าในตัวอย่างตามย่อหน้าที่ ข 6.6.5 กิจการมีฐานะสุทธิเป็นศูนย์จะพิจารณา ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของข้อผูกมัดการขายที่แน่นหนาอันเนื่องมาจาก ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของข้อผูกมัดการซื้อที่แน่นหนาอัน เนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ เมื่อมีการพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขข้อกําหนดเกี่ยวกับ ประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงตามย่อหน้าที่ 6.4.1.3 หรือไม่ การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดที่ก่อให้เกิดฐานะสุทธิ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 201 ข 6.6.7 เมื่อกิจการป้องกันความเสี่ยงในกลุ่มของรายการโดยการหักกลบฐานะความเสี่ยง ( กล่าวคือ ฐานะสุทธิ ) การเข้าเงื่อนไขที่จะใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของการ ป้องกันความเสี่ยง ถ้าเป็นการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม ฐานะสุทธิอาจจะสามารถ เป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการป้องกันความเสี่ยงใน กระแสเงินสด ฐานะสุทธิจะเป็นรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงได้ถ้าเป็นการป้องกัน ความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ และการเลือกกําหนดฐานะสุทธิเป็นการระบุรอบระยะเวลาที่ รายงานที่รายการที่คาดการณ์ถูกคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน และเป็นการระบุ ธรรมชาติและปริมาณของรายการด้วยเช่นกัน ข 6.6.8 ตัวอย่างเช่น กิจการมีฐานะสุทธิที่ประกอบไปด้วยส่วนท้ายสุดของรายการขายเป็นสกุลเงินตรา ต่างประเทศจํานวน 100 และส่วนท้ายสุดของรายการซื้อเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 50 ทั้งรายการขายและซื้อเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศสกุลเดียวกัน ในการที่จะระบุฐานะสุทธิ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงอย่างครอบคลุมนั้น กิจการต้องกําหนดในเอกสารแสดงความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงเริ่มแรกว่ารายการขายเป็นของผลิตภัณฑ์ ก . หรือผลิตภัณฑ์ ข . และ รายการซื้อเป็นของเครื่องจักรชนิด ก เครื่องจักรชนิด ข และวัตถุดิบ ก กิจการยังต้องระบุ ปริมาณของรายการค้าแยกตามธรรมชาติของรายการด้วย กิจการระบุในเอกสารว่าส่วนท้ายสุด ของรายการขายที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ( ที่สกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 100) มา จากรายการขายที่คาดการณ์ไว้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 70 แรกของผลิตภัณฑ์ ก . และเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 30 แรกของผลิตภัณฑ์ ข . ถ้ารายการขายดังกล่าวถูก คาดการณ์ว่าจะกระทบกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลาที่รายงานที่แตกต่างกัน กิจการต้องระบุ รอบระยะเวลาที่รายงานดังกล่าวไว้ในเอกสาร ตัวอย่างเช่น เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 70 แรกของรายการขายผลิตภัณฑ์ ก . ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะกระทบกําไรหรือขาดทุนในรอบ ระยะเวลาที่รายงานแรก และเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 30 แรกของรายการขาย ผลิตภัณฑ์ ข . ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะกระทบกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลาที่รายงานถัดมา นอกจากนี้ กิจการยังต้องระบุในเอกสารว่าส่วนท้ายสุดของรายการซื้อ ( เป็นสกุลเงินตรา ต่างประเทศ จํานวน 150) มาจากรายการซื้อเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 60 แรกของ เครื่องจักรชนิด ก เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 40 แรกของเครื่องจักรชนิด ข และเป็น สกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 50 แรกของวัตถุดิบ ก ถ้ารายการซื้อดังกล่าวถูกคาดว่าจะ กระทบกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลาที่รายงานที่แตกต่างกัน กิจการต้องระบุรอบ ระยะเวลาที่รายงานดังกล่าวไว้ในเอกสารแสดงการแยกรายการซื้อตามรอบระยะเวลาที่รายงาน ที่ถูกคาดว่าจะกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ( ในทํานองเดียวกันกับการระบุในเอกสารของ รายการขาย ) ตัวอย่างเช่น รายการที่คาดการณ์อาจถูกระบุว่า ข 6.6.8.1 เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 60 แรกของรายการซื้อเครื่องจักรชนิด ก ที่ถูกคาดว่าจะกระทบกําไรหรือขาดทุนตั้งแต่ในรอบระยะเวลาที่รายงานที่ 3 เป็นต้นไปอีก 10 รอบระยะเวลาที่รายงาน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 202 ข 6.6.8.2 เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 40 แรกของรายการซื้อเครื่องจักรชนิด ข ที่ถูกคาดว่าจะกระทบกําไรหรือขาดทุนตั้งแต่ในรอบระยะเวลาที่รายงานที่ 4 เป็นต้นไปอีก 20 รอบระยะเวลาที่รายงาน และ ข 6.6.8.3 เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 50 แรกของรายการซื้อวัตถุดิบ ก ที่คาดว่าจะ ได้รับของในรอบระยะเวลาที่รายงานที่ 3 และจะถูกขาย ซึ่งทําให้กระทบกําไรหรือ ขาดทุน ในรอบระยะเวลาที่รายงานถัดไป การระบุธรรมชาติของปริมาณของรายการที่คาดการณ์จะรวมถึงมุมมองต่างๆ เช่น รูปแบบการ เสื่อมราคาของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน ถ้าธรรมชาติของรายการดังกล่าว มีรูปแบบการเสื่อมราคาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้สินทรัพย์ของกิจการ ตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการใช้เครื่องจักรชนิด ก ในสองกระบวนการผลิตที่ต่างกันที่เป็นผลให้เกิดการเสื่อมราคา แบบเส้นตรงและตามจํานวนหน่วยของการผลิต ตลอดระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาที่รายงาน ตามลําดับ การจัดทําเอกสารรายการซื้อคาดการณ์ของเครื่องจักรชนิด ก จะถูกแยกปริมาณ รายการตามรูปแบบการเสื่อมราคาที่กําหนด ข 6.6.9 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดของฐานะสุทธิ จํานวนที่กําหนดตามย่อหน้าที่ 6.5.10 ต้องรวมการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการในฐานะสุทธิที่มีผลกระทบคล้ายคลึงกัน กับเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง พร้อมกันกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการในฐานะ สุทธิที่มีผลกระทบคล้ายคลึงกันกับเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจะถูกรับรู้เมื่อรายการ ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องถูกรับรู้ เช่น เมื่อรายการขายที่คาดการณ์ไว้ถูกรับรู้เป็นรายได้ ตัวอย่างเช่น กิจการมีกลุ่มของรายการขายที่คาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากในอีก 9 เดือนข้างหน้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 100 และกลุ่มของรายการซื้อที่คาดการณ์ ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากในอีก 18 เดือนข้างหน้าเป็นสกุลเงินตรา ต่างประเทศจํานวน 120 กิจการทําการป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของฐานะสุทธิ เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 20 โดยใช้สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเป็น สกุลเงินตราต่างประเทศจํานวน 20 เมื่อมีการกําหนดจํานวนที่จะถูกรับรู้ในสํารองการป้องกัน ความเสี่ยงในกระแสเงินสดตามย่อหน้าที่ 6.5.10.1 ถึง 6.5.10.2 กิจการต้องเปรียบเทียบ ข 6.6.9.1 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการขายคาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากอันเนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ ข 6.6.9.2 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการซื้อคาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ ในระดับสูงมากอันเนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กิจการรับรู้เพียงจํานวนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า จนกระทั่งรายการขายคาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากถูกรับรู้ใน งบการเงินในช่วงเวลาที่ผลกําไรหรือขาดทุนจากรายการที่คาดการณ์ดังกล่าวถูกรับรู้ ( กล่าวคือ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 203 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของการเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศระหว่าง การเลือกกําหนดความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงและการรับรู้รายได้ ) ข 6.6.10 ในทํานองเดียวกัน ถ้าในตัวอย่างที่กิจการมีฐานะสุทธิเป็นศูนย์ กิจการต้องเปรียบเทียบ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการขายคาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูง มากอันเนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ กับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของรายการซื้อ คาดการณ์ที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ในระดับสูงมากอันเนื่องมาจากความเสี่ยงเงินตรา ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จํานวนดังกล่าวจะถูกรับรู้เมื่อรายการที่คาดการณ์ที่เกี่ยวข้องมีการ รับรู้ในงบการเงิน ส่วนของกลุ่มของรายการที่ถูกเลือกกําหนดเป็นรายการที่มีการป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.6.11 ในลักษณะเดียวกันกับที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ ข 6.3.19 ในการเลือกกําหนดส่วนประกอบลําดับ ชั้นของกลุ่มของรายการที่ยังคงอยู่นั้น จําเป็นต้องระบุจํานวนเงินที่กําหนดไว้ที่เฉพาะเจาะจง ของกลุ่มของรายการที่ส่วนของส่วนประกอบลําดับชั้นในการป้องกันความเสี่ยงถูกกําหนด ข 6.6.12 ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงสามารถประกอบด้วยลําดับชั้นจากกลุ่มรายการที่ แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในการป้องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิของกลุ่มของสินทรัพย์และ กลุ่มของหนี้สิน ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยงสามารถประกอบด้วยส่วนประกอบ ลําดับชั้นของกลุ่มของสินทรัพย์และส่วนของกลุ่มของหนี้สินรวมกัน การแสดงรายการผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือ ที่ใช้ ป ้ องกันความเสี่ยง ข 6.6.13 ถ้ารายการที่ได้รับการป้องกันความเสี่ยงรวมกันเป็นกลุ่มในการป้องกันความเสี่ยงใน กระแสเงินสด กรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อรายการในงบกําไรขาดทุนและกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นที่แตกต่างกัน การแสดงรายการผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงใน งบการเงินดังกล่าวขึ้นอยู่กับกลุ่มของรายการ ข 6.6.14 ถ้ากลุ่มของรายการไม่มีฐานะความเสี่ยงที่หักกลบกันได้ ( ตัวอย่างเช่น กลุ่มของค่าใช้จ่ายใน สกุลเงินต่างประเทศที่กระทบรายการที่แตกต่างกันในงบกําไรขาดทุนและกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ อื่นที่มีการป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศไว้ ) การจัดประเภทใหม่ของผลกําไรหรือ ขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงจะถูกปันส่วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรายการที่ถูก กระทบโดยรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง การปันส่วนนี้จะมีการปันส่วนอย่างมีระบบและ สมเหตุสมผล และต้องไม่เป็นผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นในผลกําไรหรือขาดทุนสุทธิจากเครื่องมือที่ ใช้ป้องกันความเสี่ยงรายการใดรายการหนึ่ง ข 6.6.15 ถ้ากลุ่มของรายการมีฐานะความเสี่ยงที่หักกลบกันได้ ( ตัวอย่างเช่น กลุ่มของรายการขายและ ค่าใช้จ่ายในสกุลเงินตราต่างประเทศถูกป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศร่วมกัน ) กิจการ ต้องแสดงผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงเป็นรายการแยกจากกันในงบกําไร ขาดทุนและกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตัวอย่างเช่น การป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 204 ของฐานะความเสี่ยงสุทธิจากรายการขายในสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นสกุลเงินตรา ต่างประเทศจํานวน 100 และค่าใช้จ่ายในรูปเงินตราต่างประเทศเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ จํานวน 80 โดยการใช้สัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ จํานวน 20 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าที่ถูกจัดประเภท ใหม่จากสํารองการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดไปเป็นกําไรหรือขาดทุน ( เมื่อฐานะสุทธิ กระทบกําไรหรือขาดทุน ) จะแสดงเป็นรายการแยกต่างหากจากรายการขายและค่าใช้จ่ายที่มี การป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ถ้ารายการขายเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาก่อนที่ค่าใช้จ่ายจะ เกิดขึ้น รายได้จากการขายจะยังคงวัดมูลค่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยนทันทีตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 เมื่อผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องจะแสดงเป็นรายการ แยกต่างหาก เพื่อให้กําไรหรือขาดทุนสะท้อนถึงผลกระทบของฐานะสุทธิที่ถูกป้องกันความ เสี่ยง และปรับปรุงเข้าเป็นรายการสํารองการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด เมื่อค่าใช้จ่าย ที่ถูกป้องกันความเสี่ยงกระทบกําไรหรือขาดทุนในรอบระยะเวลาถัดมา ผลกําไรหรือขาดทุน จากการป้องกันความเสี่ยงที่เคยรับรู้ในสํารองการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสดจากการ ขายจะถูกจัดประเภทใหม่เป็นกําไรหรือขาดทุน และแสดงเป็นรายการแยกต่างหากจากรายการ ที่อยู่ในค่าใช้จ่ายที่ถูกป้องกันความเสี่ยง โดยจะวัดมูลค่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยนทันทีตาม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 ข 6.6.16 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมบางประเภทนั้น วัตถุประสงค์ของการป้องกัน ความเสี่ยงไม่ใช่เพื่อการหักกลบการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยง แต่เป็นการแปลงกระแสเงินสดของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น กิจการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่มี อัตราดอกเบี้ยคงที่โดยการใช้สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย วัตถุประสงค์ของการป้องกัน ความเสี่ยงของกิจการคือการแปลงกระแสเงินสดจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ไปเป็นกระแสเงินสด จากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว วัตถุประสงค์นี้ถูกสะท้อนในการบัญชีสําหรับความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยงโดยการรับรู้ดอกเบี้ยสุทธิจากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในกําไรหรือ ขาดทุนตามเกณฑ์คงค้าง ในกรณีของการป้องกันความเสี่ยงของฐานะสุทธิ ( ตัวอย่างเช่น ฐานะ สุทธิของสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ และหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ) ดอกเบี้ยคงค้าง สุทธินี้ต้องถูกแสดงเป็นรายการแยกต่างหากในงบกําไรขาดทุนและกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของผลกําไรหรือขาดทุนสุทธิของตราสารหนึ่งโดยการหักกลบใน จํานวนขั้นต้นของรายการนั้น และรับรู้เป็นรายการแยกต่างหาก ( ตัวอย่างเช่น เพื่อหลีกเลี่ยง การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับสุทธิจากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสัญญาหนึ่งโดยการรับรู้ รายการดอกเบี้ยรับขั้นต้นและดอกเบี้ยจ่ายขั้นต้น )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 205 วันถือปฏิบัติ และการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน ( บทที่ 7) การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน ( หมวดที่ 7.2) สินทรัพย์ทางการเงินถือไว้เพื่อค้า ข 7.2.1 ณ วันที่เริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ กิจการต้องจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน เงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.1 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น กิจการต้องกําหนดว่าสินทรัพย์ ทางการเงินเข้าคํานิยามของการถือไว้เพื่อค้าหรือไม่ เมื่อกิจการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินนั้น ณ วันเริ่มต้นใช้แนวปฏิบัติทางการบัญชี การด้อยค่า ข 7.2.2 สําหรับการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน กิจการต้องหาความเสี่ยงด้านเครดิตโดยประมาณเมื่อมี การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกโดยพิจารณาข้อมูลที่สนับสนุนและสมเหตุสมผลทั้งหมดที่สามารถ หาได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่มากเกินไป กิจการไม่จําเป็นต้องหาข้อมูลอย่าง ละเอียดถี่ถ้วนในการกําหนดว่า ณ วันที่เปลี่ยนผ่านนั้นมีการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงด้านเครดิต มีนัยสําคัญนับตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือไม่ ถ้ากิจการไม่สามารถทําการ กําหนดการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงด้านเครดิตดังกล่าวได้โดยไม่ใช้ต้นทุนหรือความพยายามที่ มากเกินไปตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 7.2.15 ข 7.2.3 เพื่อที่จะกําหนดค่าเผื่อผลขาดทุนของเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้เมื่อเริ่มแรก ( หรือ ข้อผูกมัด วงเงินสินเชื่อ หรือ สัญญาคํ้าประกันทางการเงินที่กิจการเข้าไปเป็นคู่สัญญา ) ก่อนวันที่เริ่มต้นใช้ แนวปฏิบัติทางการบัญชีทั้งสําหรับการปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านและจนกระทั่งการเลิกรับรู้ รายการของรายการเหล่านั้น กิจการต้องพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการกําหนดหรือประมาณ ความเสี่ยงด้านเครดิต ณ การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกในการกําหนดหรือประมาณความเสี่ยง ด้านเครดิตเมื่อเริ่มแรก กิจการอาจพิจารณาข้อมูลภายในและข้อมูลภายนอก รวมถึงข้อมูล พอร์ตโฟลิโอตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ ข 5.5.1 ถึงย่อหน้าที่ ข 5.5.6 ข 7.2.4 กิจการที่มีข้อมูลในอดีตน้อยอาจใช้ข้อมูลจากรายงานภายนอกและข้อมูลสถิติ ( ที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อมีการตัดสินใจที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่ ) ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน หรือกลุ่มธุรกิจเดียวกันสําหรับเครื่องมือทางการเงินที่เปรียบเทียบกันได้ ถ้ามีความเกี่ยวข้องกัน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 206 คํานิยาม ( ภาคผนวก ก ) อนุพันธ์ ขก .1 ตัวอย่างทางปฏิบัติของอนุพันธ์ คือ สัญญาฟิวเจอร์และสัญญาฟอร์เวิร์ด สัญญาแลกเปลี่ยน และสัญญาสิทธิเลือก โดยปกติอนุพันธ์มีจํานวนเงินตามสัญญาที่เป็นจํานวนเงินหน่วยสกุลเงิน จํานวนหุ้น จํานวนหน่วยของนํ้าหนักหรือปริมาณหรือหน่วยอื่นที่ระบุไว้ในสัญญา อย่างไรก็ตาม ตราสารอนุพันธ์ทางการเงินไม่ได้กําหนดให้ผู้ถือหรือผู้ออกที่จะลงทุนหรือได้รับจํานวนเงินตาม สัญญา ณ วันเริ่มต้นของสัญญา ในอีกลักษณะหนึ่งอนุพันธ์สามารถกําหนดการจ่ายชําระคงที่ หรือการจ่ายชําระจํานวนเงินที่สามารถเปลี่ยนแปลง ( แต่ไม่ได้เป็นสัดส่วนตามการเปลี่ยนแปลง ของรายการที่อ้างอิง ) ตามผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอนาคตบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับ จํานวนเงินตามสัญญา ตัวอย่างเช่น สัญญาอาจกําหนดการจ่ายชําระคงที่เป็นจํานวนเงิน 1,000 บาท ถ้าอัตราดอกเบี้ย LIBOR สําหรับระยะเวลา 6 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สัญญาดังกล่าว คือ อนุพันธ์ แม้ว่าจํานวนเงินตามสัญญาไม่ได้ระบุไว้ ขก .2 คํานิยามของอนุพันธ์ในมาตรฐานการรรายงานทางการเงินฉบับนี้รวมถึงสัญญาที่จ่ายชําระ ด้วยยอดขั้นต้น (gross) โดยส่งมอบรายการที่อ้างอิง ( เช่น สัญญาฟอร์เวิร์ดที่ซื้อตราสารหนี้อัตรา คงที่ ) กิจการอาจมีสัญญาที่จะซื้อหรือขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินที่สามารถจ่ายชําระ สุทธิเป็นเงินสดหรือเครื่องมือทางการเงินอื่น หรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน ( เช่น สัญญาที่จะซื้อหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยราคาคงที่ ณ วันที่ในอนาคต ) สัญญาดังกล่าว อยู่ในขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้ ยกเว้นสัญญาดังกล่าวซึ่งทําขึ้นและ ถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับหรือส่งมอบรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน ตามที่กิจการ คาดว่าจะซื้อ ขาย หรือใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้ ให้ถือปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวตามที่กิจการคาดว่าจะซื้อ ขาย หรือใช้ประโยชน์ ถ้ากิจการได้ ทําตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 2.5 ( ดูย่อหน้าที่ 2.4 ถึงย่อหน้าที่ 2.7) ขก .3 ลักษณะหนึ่งในหลายลักษณะของการนิยามของอนุพันธ์คือ อนุพันธ์มีการจ่ายเงินลงทุนสุทธิ เมื่อเริ่มแรกด้วยจํานวนที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัญญาประเภทอื่นซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของ มูลค่าในลักษณะเดียวกันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยตลาด สัญญาสิทธิเลือกเข้าคํานิยามนั้น เนื่องจากส่วนเกินมีจํานวนน้อยกว่าเงินลงทุนเพื่อให้ได้เครื่องมือทางการเงินที่อ้างอิงสําหรับ เชื่อมโยงกับสิทธิเลือก การแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่กําหนดให้มีการแลกเปลี่ยนเมื่อเริ่มแรกของ สกุลเงินที่แตกต่างด้วยมูลค่ายุติธรรมที่เท่ากันเข้าคํานิยามนั้น เนื่องจากการแลกเปลี่ยนนั้นมี การจ่ายเงินลงทุนสุทธิเมื่อเริ่มแรกด้วยจํานวนศูนย์ ขก .4 การซื้อหรือการขายตามวิธีปกติก่อให้เกิดข้อผูกมัดในราคาคงที่ระหว่างวันซื้อขายและวันจ่าย ชําระซึ่งเข้าคํานิยามของอนุพันธ์ อย่างไรก็ตาม ข้อผูกมัดนั้นไม่ได้รับรู้เป็นตราสารอนุพันธ์ ทางการเงิน เนื่องจากมีระยะเวลาสั้น ในการนี้ มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้ได้ให้วิธี ทางบัญชีพิเศษสําหรับสัญญาตามวิธีปฏิบัติดังกล่าว ( ดูย่อหน้าที่ 3.1.2 และ ข 3.1.3 ถึง ข 3.1.6)

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 207 ขก .5 คํานิยามของอนุพันธ์อ้างอิงตัวแปรที่ไม่ใช่ทางการเงินซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงกับคู่สัญญา ตัวแปร เหล่านี้รวมถึงดัชนีของผลขาดทุนจากแผ่นดินไหวในเขตประเทศเฉพาะ และดัชนีของอุณหภูมิ ในเขตเมืองหลวงเฉพาะ ตัวแปรที่ไม่ใช่ทางการเงินเฉพาะเจาะจงกับคู่สัญญารวมถึงการเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นของไฟไหม้ที่ทําให้เกิดความเสียหายหรือทําลายสินทรัพย์ของคู่สัญญานั้น การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ทางการเงินเป็นเฉพาะเจาะจงกับ เจ้าของ ถ้ามูลค่ายุติธรรมนั้นสะท้อนไม่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในราคาตลาดสําหรับ สินทรัพย์ดังกล่าว ( ตัวแปรทางการเงิน ) แต่ยังสะท้อนเงื่อนไขของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ทางการเงิน ที่ถือไว้โดยเฉพาะเจาะจง ( ตัวแปรที่ไม่ใช่ทางการเงิน ) ตัวอย่างเช่น ถ้าการคํ้าประกันของมูลค่า คงเหลือของรถยนต์ที่เฉพาะเจาะจงมีฐานะเปิดจากผู้คํ้าประกันต่อความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลง ในเงื่อนไขทางกายภาพของรถยนต์ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าคงเหลือเป็นเฉพาะเจาะจงกับ เจ้าของรถยนต์ สินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินที่ถือไว้เพื่อค้า ขก .6 โดยทั่วไป การค้าสะท้อนถึงการซื้อและขายที่มีสภาพคล่องและบ่อย และเครื่องมือทางการเงิน ที่ถือไว้เพื่อค้าโดยทั่วไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ก่อให้เกิดกําไรจากความผันผวนระยะสั้นในราคา หรือกําไรของตัวแทนจําหน่าย ขก .7 หนี้สินทางการเงินที่ถือไว้เพื่อค้า รวมถึง ขก .7.1 หนี้สินอนุพันธ์ที่ไม่ได้ปฏิบัติเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ขก .7.2 ภาระผูกพันในการส่งมอบสินทรัพย์ทางการเงินที่กู้ยืมโดยผู้ขายระยะเวลาสั้น ( กล่าวคือ กิจการที่ขายสินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการกู้ยืมมา และยังไม่ได้เป็น เจ้าของ ) ขก .7.3 หนี้สินทางการเงินที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะซื้อกลับคืนในระยะเวลาอันใกล้ ( เช่น ตราสารหนี้ที่มีการเสนอซึ่งผู้ออกอาจซื้อกลับคืนในระยะเวลาอันใกล้ขึ้นอยู่ กับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ) และ ขก .7.4 หนี้สินทางการเงินที่เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอของเครื่องมือทางการเงินที่ระบุ ได้ซึ่งมีการจัดการร่วมกัน และมีหลักฐานของรูปแบบล่าสุดในลักษณะการทํากําไร ในระยะเวลาสั้น ขก .8 ข้อเท็จจริงที่ว่าหนี้สินใช้เป็นเงินทุนในกิจกรรมเพื่อค้าไม่เป็นหนี้สินที่ถือไว้เพื่อค้าในตัวเอง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 208 ภาคผนวก ค แนวปฏิบัติ เรื่อง การเปิดเผยข้อมูล ภาคผนวกนี้ถือเป็นส่วนเสริมที่จําเป็นของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ประเภทของเครื่องมือทางการเงินและระดับของการเปิดเผยข้อมูล ( ย่อหน้าที่ 8.1) ค 1 ย่อหน้าที่ 8.1 กําหนดให้กิจการจัดกลุ่มเครื่องมือทางการเงินเป็นประเภทต่างๆ ให้เหมาะสมกับ ธรรมชาติของข้อมูลที่เปิดเผย และคํานึงถึงลักษณะของเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวด้วย ประเภท ของเครื่องมือทางการเงินที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.1 ถูกกําหนดขึ้นโดยกิจการ ดังนั้นจึงแตกต่างจาก ประเภทของเครื่องมือทางการเงินตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( ซึ่งกําหนด วิธีการวัดมูลค่าของเครื่องมือทางการเงินและวิธีการรับรู้การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม ) ค 2 ในการกําหนดประเภทของเครื่องมือทางการเงิน กิจการต้องดําเนินการต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย ค 2.1 แยกเครื่องมือที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายออกจากเครื่องมือที่วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรม ค 2.2 แยกเครื่องมือทางการเงินที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้เป็นเครื่องมือทางการเงินอีกประเภทหนึ่ง ค 3 ภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่งๆ กิจการจะเป็นผู้ตัดสินใจถึงความละเอียดของข้อมูลที่ให้ เพื่อให้ เป็นไปตามข้อกําหนดของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ และการให้ความสําคัญในข้อกําหนดแต่ ละเรื่อง รวมทั้งวิธีการจัดกลุ่มข้อมูลทั้งหมดในการนําเสนอภาพรวมของข้อมูลนั้น เพี่อไม่ให้มีการ รวมข้อมูลที่มีลักษณะแตกต่างกันไว้ด้วยกัน ดังนั้น จึงจําเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างงบการเงินที่ อาจนําเสนอข้อมูลละเอียดเกินความจําเป็นซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินกับงบการเงินที่ อาจนําเสนอข้อมูลไม่ชัดเจนเพราะสรุปรวมข้อมูลมากเกินไป เช่น กิจการต้องไม่ทําให้ข้อมูล สําคัญมีความคลุมเครือ โดยการนําข้อมูลดังกล่าวไปรวมไว้กับข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่มีนัยสําคัญ ใน ทํานองเดียวกันกิจการต้องไม่เปิดเผยข้อมูลที่สรุปภาพรวมมากเกินไป ที่จะปิดบังความแตกต่าง ที่สําคัญระหว่างรายการแต่ละรายการหรือระหว่างความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การเปิดเผยข้อมูลอื่น - นโยบายการบัญชี ( ย่อหน้าที่ 8.16) ค 4 ย่อหน้าที่ 8.16 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลนโยบายการบัญชีที่มีสาระสําคัญ ซึ่งคาดว่าจะรวมถึง ข้อมูลเกี่ยวกับหลักการวัดค่าหลักใดหลักหนึ่ง ( หรือหลายหลัก ) สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่ ใช้ในการจัดทํางบการเงิน การเปิดเผยข้อมูลสําหรับเครื่องมือทางการเงินนั้นอาจรวมถึงรายการ ต่อไปนี้ ค 4.1 สําหรับหนี้สินทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ให้เปิดเผย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 209 ค 4.1.1 ธรรมชาติของหนี้สินทางการเงิน ซึ่งกิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ค 4.1.2 เกณฑ์ที่ใช้ในการกําหนดหนี้สินทางการเงินดังกล่าวในการรับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรก และ ค 4.1.3 วิธีที่กิจการได้ปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.2.2 ค 4.1 ก สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน ให้เปิดเผย ค 4.1 ก .1 ธรรมชาติของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งกิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และ ค 4.1 ก .2 วิธีที่กิจการได้ปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.1.8 ค 4.2 ในการซื้อหรือการขายสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีปกติ กิจการรับรู้หรือตัดรายการ ในวันซื้อขาย (trade date) หรือวันชําระ (settlement date) ( ดูย่อหน้าที่ 3.1.2) ค 4.3 วิธีการกําหนดผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภท ( ดูย่อหน้าที่ 8.15.1) เช่น ผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากรายการที่แสดงด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ได้รวมดอกเบี้ยรับหรือรายได้เงินปันผลด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ ย่อหน้าที่ 122 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 กําหนดให้กิจการเปิดเผยไว้ในหัวข้อ ข้อมูลนโยบายการบัญชีที่มีสาระสําคัญหรือในหมายเหตุประกอบงบการเงินอื่นเกี่ยวกับการใช้ วิจารณญาณของฝ่ายบริหารซึ่งแตกต่างไปจากประมาณการที่เกี่ยวข้องที่ผู้บริหารจัดทําขึ้นตาม กระบวนการในการนํานโยบายการบัญชีของกิจการไปถือปฏิบัติและมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญ ต่อจํานวนเงินของรายการที่รับรู้ในงบการเงิน ธรรมชาติและระดับของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงิน ( ย่อหน้าที่ 8.25 ถึง 8.35) ค 5 การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.25 ถึง 8.35 ต้องเปิดเผยในงบการเงินหรือ มีการอ้างอิงไปยังข้อมูลดังกล่าวในรายงานอื่น เช่น การวิเคราะห์และคําอธิบายของฝ่ายจัดการ หรือรายงานความเสี่ยงซึ่งผู้ใช้งบการเงินสามารถเข้าถึงได้ภายใต้เงื่อนไขและช่วงเวลาเดียวกับ งบการเงิน งบการเงินที่ไม่มีการอ้างอิงไปยังข้อมูลดังกล่าวถือเป็นงบการเงินที่ไม่สมบูรณ์ การเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณ ( ย่อหน้าที่ 8.28) ค 6 ย่อหน้าที่ 8.28.1 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลสรุปเชิงปริมาณเกี่ยวกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงของ กิจการ โดยจัดทําขึ้นจากข้อมูลที่เสนอเป็นการภายในแก่ผู้บริหารสําคัญของกิจการ หากกิจการใช้ วิธีในการบริหารฐานะเปิดต่อความเสี่ยงหลายวิธี กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีร่วมกันซึ่งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด มาตรฐาน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 210 การบัญชี ฉบับที่ 8 เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี และ ข้อผิดพลาด ได้อธิบายความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและความน่าเชื่อถือของข้อมูล ค 7 ย่อหน้าที่ 8.28.3 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระจุกตัวของความเสี่ยง การกระจุกตัว ของความเสี่ยงเกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันและได้รับผลกระทบที่ คล้ายคลึงกันจากการเปลี่ยนแปลงในสภาวะทางเศรษฐกิจหรือสถานการณ์อื่นๆ การระบุถึง การกระจุกตัวของความเสี่ยงต้องอาศัยการใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ โดยพิจารณาจาก สภาพแวดล้อมต่างๆ ของกิจการ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระจุกตัวของความเสี่ยงต้อง รวมถึงรายการต่อไปนี้ ค 7.1 คําอธิบายเกี่ยวกับวิธีการที่ฝ่ายบริหารใช้กําหนดการกระจุกตัวของความเสี่ยง ค 7.2 คําอธิบายเกี่ยวกับลักษณะร่วมซึ่งเป็นตัวกําหนดการกระจุกตัวแต่ละประเภท ( เช่น คู่สัญญา เขตทางภูมิศาสตร์ สกุลเงิน หรือตลาด ) และ ค 7.3 จํานวนเงินของฐานะเปิดต่อความเสี่ยง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินทั้งหมดที่มี ลักษณะดังกล่าวร่วมกัน แนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ( ย่อหน้าที่ 8.29 ฉ ถึง 8.29 ช ) ค 7 ก ย่อหน้าที่ 8.29 ฉ .2 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวิธีให้คํานิยามของการผิดสัญญาสําหรับ เครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกันของกิจการ และเหตุผลในการเลือกใช้คํานิยามเหล่านั้น การพิจารณาผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุที่ควรรับรู้ซึ่งขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ของการผิดสัญญาที่เกิดขึ้นตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกที่เพิ่มขึ้นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.10 หรือไม่ ข้อมูลเกี่ยวกับคํานิยามของการผิดสัญญาของกิจการจะช่วยให้ผู้ใช้งบการเงิน เข้าใจวิธีที่กิจการถือปฏิบัติเกี่ยวกับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามที่กําหนดใน แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ อย่างไร ซึ่งอาจรวมถึง ค 7 ก .1 ปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณที่ใช้พิจารณาคํานิยามของการผิดสัญญา ค 7 ก .2 การใช้คํานิยามที่แตกต่างกันกับประเภทของเครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกัน และ ค 7 ก .3 ข้อสมมติเกี่ยวกับอัตราการแก้ไขปัญหา ( กล่าวคือ จํานวนของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่จะกลับสู่สถานะปกติ ) หลังจากการผิดสัญญาสําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ค 7 ข เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถประเมินนโยบายการปรับโครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงของ นโยบายของกิจการ ย่อหน้าที่ 8.29 ฉ .6.2 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกิจการติดตาม อย่างไรว่าค่าเผื่อผลขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงินที่เปิดเผยในอดีตตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ฉ .6.1 มีการวัดมูลค่าในภายหลังให้มีจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นตลอดอายุตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.4 ข้อมูลเชิงปริมาณจะช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูล เข้าใจความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์ทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูล เกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 8.29 ฉ .6.1 ที่กลับไป วัดมูลค่าค่าเผื่อผลขาดทุนด้วยจํานวนเงินเท่ากับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอด อายุ ( กล่าวคือ อัตราการเสื่อมค่า )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 211 ค 7 ค ย่อหน้าที่ 8.29 ช .1 กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์พื้นฐานของปัจจัยนําเข้าและข้อสมมติ และเทคนิคการประมาณการที่ใช้ที่ถือปฏิบัติตามข้อกําหนดแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ข้อสมมติและปัจจัยนําเข้าของกิจการที่ใช้วัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหรือ พิจารณาระดับการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงด้านเครดิตตั้งแต่การรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก อาจรวมถึงข้อมูลภายในในอดีตหรือรายงานการจัดอันดับและข้อสมมติเกี่ยวกับอายุที่คาดการณ์ ของเครื่องมือทางการเงินและจังหวะเวลาในการจําหน่ายหลักประกัน การเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุน ( ย่อหน้าที่ 8.29 ซ ) ค 7 ง กิจการต้องอธิบายเหตุผลสําหรับการเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุนในระหว่างรอบระยะเวลา ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ซ นอกจากนี้ กิจการต้องกระทบยอดค่าเผื่อผลขาดทุนจากยอด ยกมาไปยังยอดยกไป ซึ่งอาจจําเป็นต้องอธิบายการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย คําอธิบายนั้นอาจ รวมถึงการวิเคราะห์เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุนในระหว่างรอบระยะเวลา รวมถึง ข 7 ง .1 องค์ประกอบของพอร์ตโฟลิโอ ข 7 ง .2 ปริมาณของเครื่องมือทางการเงินที่ซื้อหรือได้มา และ ข 7 ง .3 ความรุนแรงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ค 7 จ สําหรับข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน ค่าเผื่อผลขาดทุนรับรู้เป็น ประมาณการหนี้สิน กิจการควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในค่าเผื่อผลขาดทุน สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินแยกจากข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม หากเครื่องมือทางการเงินรวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ( กล่าวคือ สินทรัพย์ทาง การเงิน ) และข้อผูกมัดที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ( กล่าวคือ ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ ) และกิจการไม่ สามารถระบุแยกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นขององค์ประกอบของข้อผูกมัดวงเงิน สินเชื่อจากองค์ประกอบของสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้น ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อควรรับรู้พร้อมกับค่าเผื่อผลขาดทุนสําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เกินกว่ามูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของ สินทรัพย์ทางการเงิน ควรรับรู้เป็นประมาณการหนี้สิน หลักประกัน ( ย่อหน้าที่ 8.29 ฎ ) ค 7 ฉ ย่อหน้าที่ 8.29 ฎ กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลที่จะช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจผลกระทบของ หลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ที่มีต่อจํานวนเงินของผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของหลักประกันและ การปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ และไม่ต้องแสดงมูลค่าที่แท้จริงของหลักประกันซึ่งรวมอยู่ ในการคํานวณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( กล่าวคือ ผลขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อผิดสัญญา )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 212 ค 7 ช คําอธิบายเชิงพรรณนาเกี่ยวกับหลักประกันและผลกระทบของหลักประกันที่มีต่อจํานวนเงิน ของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงข้อมูลต่อไปนี้ ค 7 ช .1 ประเภทหลักของหลักประกันที่ถือครองไว้และการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ( ตัวอย่างเช่น การคํ้าประกันในภายหลัง อนุพันธ์ด้านเครดิต และข้อตกลงหักกลบ ซึ่งไม่ เข้าเงื่อนไขของการหักกลบตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32) ค 7 ช .2 ปริมาณของหลักประกันที่ถือครองไว้และการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ และ ความสําคัญของหลักประกันในแง่ของค่าเผื่อผลขาดทุน ค 7 ช .3 นโยบายและกระบวนการในการประเมินมูลค่าและการบริหารหลักประกัน และ การปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ค 7 ช .4 ประเภทหลักของคู่สัญญาที่มีต่อหลักประกันและการปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ และ มีต่อความน่าเชื่อถือทางเครดิตของคู่สัญญาเหล่านั้น และ ค 7 ช .5 ข้อมูลเกี่ยวกับการกระจุกตัวของความเสี่ยงภายในขอบเขตของหลักประกันและ การปรับเครดิตให้ดีขึ้นด้านอื่นๆ ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต ( ย่อหน้าที่ 8.29 ฐ ถึง 8.29 ฑ ) ค 7 ซ ย่อหน้าที่ 8.29 ฐ กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตและ การกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีนัยสําคัญของกิจการ ณ วันที่รายงาน การกระจุกตัว ของความเสี่ยงด้านเครดิตจะเกิดเมื่อคู่สัญญาจํานวนมากตั้งอยู่ในเขตทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือมีความเกี่ยวข้องในกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันและมีลักษณะเชิงเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเป็น สาเหตุให้ความสามารถในการบรรลุภาระผูกพันตามสัญญาของคู่สัญญาถูกกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงในสภาพเศรษฐกิจหรือเงื่อนไขอื่นที่คล้ายคลึงกัน กิจการควรให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้ งบการเงินสามารถเข้าใจว่ากลุ่มหรือพอร์ตโฟลิโอของเครื่องมือทางการเงินที่มีลักษณะ เฉพาะเจาะจงอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มของเครื่องมือทางการเงินนั้นในสัดส่วนที่มากหรือไม่ เช่น การกระจุกตัวต่อความเสี่ยงใดความเสี่ยงหนึ่งเป็นพิเศษ ตัวอย่างนี้รวมถึง การกระจุกตัวของ กลุ่มสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน การกระจุกตัวตามลักษณะภูมิศาสตร์ การกระจุกตัวตาม อุตสาหกรรม หรือการกระจุกตัวตามประเภทผู้ออกตราสาร ค 7 ฌ จํานวนของระดับการจัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิตที่ใช้เปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ฐ ต้องสอดคล้องกับจํานวนที่กิจการรายงานต่อผู้บริหารสําคัญสําหรับวัตถุประสงค์ในการ บริหารความเสี่ยงด้านเครดิต กิจการต้องให้ข้อมูลการวิเคราะห์สถานะของสินทรัพย์ทางการเงิน ค้างชําระ หากข้อมูลเกี่ยวกับการค้างชําระเป็นข้อมูลของผู้กู้เฉพาะรายเท่านั้นและกิจการใช้ข้อมูล ดังกล่าวในการประเมินการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตตั้งแต่การรับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรกตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.5.12 ค 7 ญ เมื่อกิจการวัดผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแบบเป็นกลุ่ม กิจการอาจไม่สามารถ ปันส่วนมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของสินทรัพย์ทางการเงินหรือฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้าน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 213 เครดิตของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อและสัญญาคํ้าประกันทางการเงินแต่ละรายการไปยังระดับการ จัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิตที่รับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุ ในกรณี ดังกล่าวกิจการควรถือปฏิบัติตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.29 ฐ สําหรับเครื่องมือทางการเงิน เหล่านั้นที่สามารถปันส่วนตามระดับการจัดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิตได้โดยตรงและเปิดเผย แยกต่างหากถึงมูลค่าตามบัญชีก่อนรายการหักของเครื่องมือทางการเงินที่วัดผลขาดทุนด้าน เครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุแบบเป็นกลุ่ม ฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต ( ย่อหน้าที่ 8.30.1) ค 8 ย่อหน้าที่ 8.29 ฎ .1 และ 8.30.1 กําหนดให้เปิดเผยจํานวนเงินซึ่งเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของฐานะ เปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการ สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินให้เปิดเผยมูลค่า ตามบัญชีก่อนรายการหัก ซึ่งเป็นมูลค่าสุทธิจากรายการต่อไปนี้ ค 8.1 จํานวนที่หักกลบตามที่กําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 และ ค 8.2 ค่าเผื่อผลขาดทุนที่รับรู้ตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ค 9 ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของกิจกรรมซึ่งทําให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิต และฐานะเปิดสูงสุด ต่อความเสี่ยงด้านเครดิตที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่จํากัดเพียงกรณีต่อไปนี้ ค 9.1 การให้สินเชื่อแก่ลูกค้า และการฝากเงินกับกิจการอื่น ในกรณีนี้ฐานะเปิดสูงสุดต่อ ความเสี่ยงด้านเครดิตคือมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ค 9.2 การทําสัญญาอนุพันธ์ เช่น สัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สัญญาแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอนุพันธ์ด้านเครดิต หากสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นวัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรม ฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน จะเท่ากับมูลค่าตามบัญชี ค 9 . 3 การให้คํ้าประกันทางการเงิน ในกรณีนี้ฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต คือมูลค่าสูงสุดที่กิจการอาจต้องจ่ายหากการคํ้าประกันดังกล่าวมีผลให้กิจการต้องชําระ ซึ่งอาจจะมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าที่กิจการรับรู้เป็นหนี้สินอย่างมีนัยสําคัญ ) ค 9.4 การมีข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อซึ่งไม่สามารถยกเลิกได้ตลอดอายุของสัญญาหรือสามารถ ยกเลิกได้เฉพาะกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางลบอย่างมีสาระสําคัญ หากผู้ออก สัญญาดังกล่าวไม่สามารถชําระยอดสุทธิตามข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อเป็นเงินสดหรือ เครื่องมือทางการเงินอื่น ฐานะเปิดสูงสุดต่อความเสี่ยงด้านเครดิต คือ มูลค่าเต็มตาม ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนว่าวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้ใช้ จะถูกนํามาใช้ในอนาคตหรือไม่ ดังนั้น มูลค่าที่เปิดเผยดังกล่าวอาจสูงกว่ามูลค่าที่ได้ รับรู้เป็นหนี้สินอย่างมีนัยสําคัญ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 214 การเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณของความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ( ย่อหน้าที่ 8.28.1 8.32.1 และ 8.32.2) ค 9 ก ตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.28.1 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสรุปเชิงปริมาณเกี่ยวกับฐานะ เปิดต่อความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของกิจการ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่เสนอเป็นการภายใน ให้แก่ผู้บริหารสําคัญของกิจการ กิจการต้องอธิบายวิธีในการกําหนดข้อมูลดังกล่าว ในกรณีที่ กระแสเงินสดออก ( หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ) ให้เปิดเผยข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ค 9 ก .1 เหตุการณ์ที่มีนัยสําคัญที่เกิดขึ้นก่อนที่ระบุไว้ในข้อมูล หรือ ค 9 ข .2 เกิดผลต่างอย่างมีนัยสําคัญจากที่ระบุไว้ในข้อมูล ( เช่น อนุพันธ์ที่รวมอยู่ในข้อมูลของ การชําระแบบยอดสุทธิ ในขณะที่คู่สัญญามีสิทธิจะเลือกชําระทั้งจํานวน ) กิจการต้องแสดงข้อเท็จจริงและให้ข้อมูลเชิงปริมาณที่ช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินของกิจการสามารถ ประเมินระดับของความเสี่ยงได้ เว้นแต่ข้อมูลดังกล่าวจะรวมอยู่ในการวิเคราะห์ระยะเวลาครบ กําหนดตามสัญญาตามย่อหน้าที่ 8.32.1 หรือ 8.32.2 ค 10 ในการจัดทําการวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดตามย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2 กิจการใช้ วิจารณญาณในการกําหนดช่วงเวลาของการวิเคราะห์ที่เหมาะสม เช่น กิจการอาจกําหนดให้ ช่วงเวลาต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ค 10.1 ไม่เกิน 1 เดือน ค 10.2 มากกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน ค 10.3 มากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี และ ค 10 ก ในการปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2 กิจการต้องไม่แยกอนุพันธ์แฝงออกจาก เครื่องมือทางการเงินแบบผสม ( แบบรวม ) สําหรับเครื่องมือดังกล่าวกิจการต้องปฏิบัติตาม ข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 8.32.1 ค 10 ข ย่อหน้าที่ 8.32.2 กําหนดให้กิจการต้องเปิดเผยการวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดเชิงปริมาณ สําหรับหนี้สินทางการเงินที่เป็นอนุพันธ์โดยให้แสดงระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือตามสัญญา หากมีความจําเป็นในการทําความเข้าใจจังหวะเวลาของกระแสเงินสด เช่นกรณีดังต่อไปนี้ ค 10 ข .1 สัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่มีระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือ 5 ปี ในการป้องกัน ความเสี่ยงในกระแสเงินสดของสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่มีอัตรา ผันแปร ค 10 ข .2 ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อทั้งหมด ค 10 ค ย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2 กําหนดให้กิจการเปิดเผยข้อมูลการวิเคราะห์ระยะเวลาครบ กําหนดสําหรับหนี้สินทางการเงิน ซึ่งต้องแสดงระยะเวลาครบกําหนดคงเหลือตามสัญญาสําหรับ หนี้สินทางการเงินบางประเภท โดยเปิดเผยข้อมูลดังนี้ ค 10 ค .1 หากคู่สัญญามีทางเลือกว่าจะชําระเงินเมื่อใด หนี้สินทางการเงินจะถูกปันส่วนไปยัง ช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่กิจการอาจถูกเรียกให้ชําระ ตัวอย่างเช่น หนี้สินทางการเงิน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 215 ซึ่งกิจการอาจถูกเรียกให้ชําระเมื่อทวงถาม ( เช่น เงินฝากกระแสรายวัน ) ซึ่งเป็น ช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่กิจการอาจถูกเรียกให้ชําระ ค 10 ค .2 หากกิจการตกลงที่จะชําระเงินเป็นรายงวด เงินรายงวดจะถูกปันส่วนไปยังช่วงเวลา ที่เร็วที่สุดที่กิจการอาจถูกเรียกให้ชําระ เช่น ข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ซึ่ง จะถือเป็นช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่เงินนั้นสามารถถูกเบิกใช้ได้ ค 10 ค .3 สําหรับสัญญาคํ้าประกันทางการเงิน มูลค่าสูงสุดของการคํ้าประกันจะถูกปันส่วนไปยัง ช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่สามารถเรียกให้ชําระได้ ค 10 ง จํานวนเงินตามสัญญาที่ต้องเปิดเผยในการวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2 ต้องเป็นกระแสเงินสดตามสัญญาที่ไม่คิดลด เช่น ค 10 ง .1 ภาระผูกพันตามสัญญาเช่าการเงินทั้งจํานวน ( ก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ) ค 10 ง .2 ราคาขั้นต้นซึ่งระบุในข้อตกลงฟอร์เวิร์ดที่จะซื้อสินทรัพย์ทางการเงินด้วยเงินสด ค 10 ง .3 มูลค่าสุทธิของสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ที่จ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หรือ รับด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งจ่ายชําระด้วยกระแสเงินสดสุทธิ ค 10 ง .4 จํานวนเงินตามสัญญาที่จะต้องถูกแลกเปลี่ยนตามเครื่องมือทางการเงินที่เป็นอนุพันธ์ ( เช่น สัญญาแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ) ซึ่งจะต้องจ่ายชําระด้วยกระแสเงินสดขั้นต้น ทั้งจํานวน และ ค 10 ง .5 มูลค่าขั้นต้นของข้อผูกมัดวงเงินสินเชื่อ กระแสเงินสดที่ไม่คิดลดแตกต่างจากมูลค่าที่ปรากฏอยู่ในงบฐานะการเงิน เนื่องจากมูลค่า ที่นําเสนอในงบฐานะการเงินคํานวณตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด กรณีที่มูลค่าที่ต้องชําระ ไม่คงที่ มูลค่าที่ต้องเปิดเผยจะถูกกําหนดโดยอ้างอิงจากเงื่อนไขที่มีอยู่ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลา รายงาน เช่น ในกรณีที่มูลค่าที่ต้องชําระผันแปรตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตัวใดตัวหนึ่ง กิจการต้องเปิดเผยมูลค่าดังกล่าวโดยอ้างอิงจากระดับของดัชนีนั้น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลา รายงาน ค 10 จ ย่อหน้าที่ 8.32.3 กําหนดให้กิจการอธิบายวิธีการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องซึ่งมีอยู่ เป็นปกติวิสัยของรายการซึ่งเปิดเผยอยู่ในการเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.32.1 และ 8.32.2 กิจการต้องเปิดเผยการวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดของสินทรัพย์ ทางการเงินที่ถือไว้เพื่อการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ( เช่น สินทรัพย์ทางการเงินที่พร้อม ขายหรือคาดว่าจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดเข้าที่เพียงพอกับกระแสเงินสดออกของหนี้สินทาง การเงิน ) หากข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินในการประเมินธรรมชาติและระดับ ของความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ค 10 ฉ ปัจจัยอื่นๆ ที่กิจการอาจใช้ในการพิจารณาการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกําหนดของย่อหน้าที่ 8.32.3 ซึ่งไม่จํากัดเพียงกรณีต่อไปนี้ที่กิจการ ค 10 ฉ .1 มีวงเงินกู้ยืมซึ่งไม่สามารถยกเลิกได้ (committed borrowing facilities) หรือวงเงิน กู้ยืมสํารอง ( เช่น stand-by credit facilities) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เพื่อสนองต่อความ ต้องการสภาพคล่อง

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 216 ค 10 ฉ .2 มีเงินฝากที่ธนาคารกลาง สําหรับเมื่อต้องการสภาพคล่อง ค 10 ฉ .3 มีแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย ค 10 ฉ .4 มีการกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่มีนัยสําคัญในสินทรัพย์หรือ แหล่งเงินทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง ค 10 ฉ .5 มีกระบวนการการควบคุมภายในและแผนฉุกเฉินสําหรับการบริหารความเสี่ยง ด้านสภาพคล่อง ค 10 ฉ .6 มีเครื่องมือที่มีเงื่อนไขการเร่งระยะเวลาการจ่ายชําระคืน ( เช่น การถูกลดอันดับ ความน่าเชื่อถือของกิจการ ) ค 10 ฉ .7 มีเครื่องมือที่อาจกําหนดให้กิจการต้องวางหลักประกัน ( เช่น การเรียกส่วนต่างราคา สําหรับอนุพันธ์ ) ค 10 ฉ .8 มีเครื่องมือที่อนุญาตให้กิจการสามารถเลือกที่จะชําระหนี้สินทางการเงินโดยการส่งมอบ เงินสด ( หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ) หรือส่งมอบหุ้นสามัญของตนเอง หรือ ค 10 ฉ .9 มีเครื่องมือที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงหลักของการหักกลบ ความเสี่ยงด้านตลาด – การวิเคราะห์ความอ่อนไหว ( ย่อหน้าที่ 8.33 และ 8.34) ค 11 ย่อหน้าที่ 8.33.1 กําหนดให้วิเคราะห์ความอ่อนไหวสําหรับความเสี่ยงด้านตลาดแต่ละประเภท ที่กิจการมีอยู่ ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ ค 3 กิจการเป็นผู้ตัดสินใจวิธีจัดกลุ่มข้อมูลทั้งหมดเพื่อ นําเสนอในภาพรวม โดยไม่รวมข้อมูลที่เกี่ยวกับฐานะเปิดต่อความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญไว้ด้วยกัน เช่น ค 11.1 กิจการที่ซื้อขายเครื่องมือทางการเงิน อาจเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงินที่ถือไว้ เพื่อค้าแยกจากเครื่องมือทางการเงินที่ไม่ได้ถือไว้เพื่อค้า ค 11.2 กิจการต้องไม่รวมฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านตลาดในภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงกับ ฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านตลาดประเภทเดียวกันแต่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อระดับตํ่า หากกิจการมีอยู่ของฐานะเปิดต่อความเสี่ยงด้านตลาดเพียงประเภทเดียวที่เกิดภายใต้ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเดียวกัน กิจการต้องไม่แสดงข้อมูลดังกล่าวแยกต่างหาก ค 12 ย่อหน้าที่ 8.33.1 กําหนดให้การวิเคราะห์ความอ่อนไหวต้องแสดงผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือ ขาดทุนและส่วนของเจ้าของที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความ เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล ( เช่น อัตราดอกเบี้ยตลาด อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ราคา ตราสารทุน หรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ) เพื่อวัตถุประสงค์ต่อไปนี้ ค 12.1 กิจการไม่ถูกกําหนดให้พิจารณาว่ากําไรหรือขาดทุนสําหรับรอบระยะเวลาจะเปลี่ยนแปลง ไปอย่างไร หากตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องแตกต่างไปจากเดิม แต่กิจการต้องเปิดเผย ผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือขาดทุนและส่วนของเจ้าของ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ตามสมมติฐานที่ว่า การเปลี่ยนแปลงของตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องซึ่งมี ความเป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผลได้เกิดขึ้น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน และการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 217 เปลี่ยนแปลงนั้นได้ส่งผลต่อฐานะความเสี่ยงที่ปรากฏอยู่ ณ วันที่รายงานนั้น เช่น หาก กิจการมีหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ณ วันสิ้นงวดบัญชี กิจการต้องเปิดเผย ผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือขาดทุน ( กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ) สําหรับรอบปีปัจจุบัน หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปด้วยมูลค่าที่เป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผล ค 12.2 กิจการไม่ถูกกําหนดให้เปิดเผยผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือขาดทุนและส่วนของเจ้าของ สําหรับการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นภายในขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงของ ตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีความเป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผล การเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผลถือว่าเพียงพอแล้ว ค 13 ในการพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความเป็นไปได้อย่าง สมเหตุสมผลมีความหมายอย่างไร กิจการควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ ค 13.1 สภาวะทางเศรษฐกิจซึ่งกิจการดําเนินงานอยู่ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้อย่าง สมเหตุสมผลไม่ควรรวมถึงฉากทัศน์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือฉากทัศน์ที่แย่ที่สุดที่อาจ เกิดขึ้นหรือการทดสอบในภาวะกดดัน นอกจากนี้หากอัตราการเปลี่ยนแปลงในตัวแปร ความเสี่ยงที่อ้างอิงมีค่าคงที่ กิจการไม่จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนระดับการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผลของตัวแปรความเสี่ยงที่กิจการเลือกไว้ เช่น สมมติอัตรา ดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 5 และกิจการกําหนดว่า ความผันผวนในอัตราดอกเบี้ยที่ ± ร้อยละ 00.5 (50 basis points) มีความเป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผล กิจการต้องเปิดเผย ผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือขาดทุนและส่วนของเจ้าของ หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไปเป็น ร้อยละ 4.5 หรือร้อยละ 5.5 และสมมติว่าในรอบระยะเวลาถัดไป อัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.5 โดยที่กิจการยังคงเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะผันผวนในระดับที่ ± ร้อยละ 00.5 (50 basis points) ( กล่าวคือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอยู่ ในระดับคงที่ ) กิจการจะเปิดเผยผลกระทบที่มีต่อกําไรหรือขาดทุนและส่วนของเจ้าของ หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไปเป็นร้อยละ 5 หรือร้อยละ 6 กิจการไม่จําเป็นต้องทบทวน ความสมเหตุสมผลของความผันผวนในอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ ± ร้อยละ 00.5 (50 basis points) เว้นแต่จะมีหลักฐานแสดงว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือ ผันผวนอย่างมีนัยสําคัญ ค 13.2 ในช่วงระยะเวลาที่กิจการทําการประเมินนั้น การวิเคราะห์ความอ่อนไหวต้องแสดงถึง ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล ตลอดช่วงเวลาจนกว่ากิจการจะนําเสนอการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในงวดต่อไป ซึ่งโดยปกติจะหมายถึงรอบระยะเวลารายงานประจําปีถัดไป ค 14 ย่อหน้าที่ 8.34 อนุญาตให้กิจการใช้การวิเคราะห์ความอ่อนไหวซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรความเสี่ยงต่างๆ เช่น วิธีมูลค่าความเสี่ยง (value-at-risk) หากกิจการใช้การ วิเคราะห์ดังกล่าวในการบริหารจัดการฐานะเปิดต่อความเสี่ยงทางการเงินของกิจการ การถือ ปฏิบัตินั้นสามารถทําได้แม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะวัดมูลค่าได้เพียงแค่ผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นและ ไม่สามารถวัดมูลค่าผลกําไรที่อาจเกิดขึ้น กิจการอาจปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 8.34.1 โดยเปิดเผย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 218 รูปแบบของแบบจําลองที่ใช้ ( เช่น แบบจําลองนั้นใช้วิธีมอนติคาร์โล (Monte Carlo Simulation) หรือไม่ ) คําอธิบายเกี่ยวกับแบบจําลอง รวมถึงข้อสมมติหลักที่ใช้ ( เช่น ระยะเวลาการถือครอง และระดับความเชื่อมั่น ) กิจการอาจเปิดเผยช่วงเวลาของข้อมูลในอดีตที่นํามาใช้และนํ้าหนัก ความสําคัญที่ให้กับข้อมูลในแต่ละช่วงเวลา คําอธิบายเกี่ยวกับวิธีจัดการสิทธิที่จะซื้อหรือจะขาย ในการคํานวณ รวมทั้งค่าความผันผวนและค่าสหสัมพันธ์ ( หรือ Monte Carlo probability distribution simulations) ที่นํามาใช้ ค 15 กิจการต้องทําการวิเคราะห์ความอ่อนไหวสําหรับธุรกิจทั้งหมด แต่อาจวิเคราะห์ความอ่อนไหว ในรูปแบบที่แตกต่างกันสําหรับประเภทของเครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกันได้ ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ค 16 ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย เกิดจากเครื่องมือทางการเงินที่มีดอกเบี้ยซึ่งรับรู้ในงบฐานะการเงิน ( เช่น ตราสารหนี้ที่กิจการได้รับหรือที่กิจการออก ) และจากเครื่องมือทางการเงิน บางประเภทซึ่งไม่ถูกรับรู้ในงบฐานะการเงิน ( เช่น ภาระผูกพันที่จะให้สินเชื่อบางประเภท ) ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน ค 17 ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน ( หรือความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ) เกิดจากเครื่องมือทางการเงิน ที่ถูกกําหนดเป็นเงินตราต่างประเทศ กล่าวคือ กําหนดให้วัดมูลค่าในสกุลเงินที่ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้ ในการดําเนินงาน สําหรับวัตถุประสงค์ของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน จะไม่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินซึ่งเป็นรายการที่ไม่เป็นตัวเงินหรือจากเครื่องมือ ทางการเงินที่ถูกกําหนดด้วยสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน ค 18 กิจการต้องเปิดเผยการวิเคราะห์ความอ่อนไหวแยกตามแต่ละสกุลเงินที่กิจการมีฐานะเปิด ต่อความเสี่ยงด้านสกุลเงินที่มีนัยสําคัญ ความเสี่ยงด้านราคาอื่นๆ ค 19 ความเสี่ยงด้านราคาอื่นๆ ของเครื่องมือทางการเงิน ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงราคา เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หรือราคาตราสารทุน เพื่อให้ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 8.33 กิจการอาจเปิดเผย ผลกระทบของการลดลงในดัชนีราคาหุ้นที่เฉพาะเจาะจง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือตัวแปร ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น หากกิจการคํ้าประกันมูลค่าคงเหลือของเครื่องมือทางการเงิน กิจการต้อง เปิดเผยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ที่มีการคํ้าประกันนั้น ค 20 ตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินซึ่งทําให้เกิดความเสี่ยงด้านราคาของตราสารทุน ได้แก่ 1) การถือครองตราสารทุนในกิจการอื่น และ 2) การลงทุนในกองทุนรวมซึ่งลงทุนใน ตราสารทุนอื่น หรือตัวอย่างอื่นๆ เช่น สัญญาฟอร์เวิร์ดและสิทธิที่จะซื้อหรือจะขายตราสารทุน ที่ฉพาะเจาะจงจํานวนหนึ่ง และสัญญาแลกเปลี่ยนซึ่งขึ้นอยู่กับดัชนีราคาตราสารทุนมูลค่า

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 219 ยุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในราคาตลาด ของตราสารทุนที่เป็นรายการอ้างอิง ค 21 ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.33.1 ความอ่อนไหวของกําไรหรือขาดทุน ( เช่น ที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือ ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ) ต้องเปิดเผยเป็นรายการแยกจาก ความอ่อนไหวของกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ( เช่น ที่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนในตราสารทุน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมถูกแสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ) ค 22 เครื่องมือทางการเงินซึ่งกิจการจัดประเภทเป็นตราสารทุนที่ไม่มีการวัดมูลค่าใหม่ ดังนั้น กําไรหรือขาดทุนหรือส่วนของเจ้าของจึงไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านราคาของตราสาร ทุนจากเครื่องมือทางการเงินดังกล่าว จึงไม่จําเป็นต้องทําการวิเคราะห์ความอ่อนไหว การเลิกรับรู้รายการ ( ย่อหน้าที่ 8.35 ค ถึง 8.35 ซ ) ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ( ย่อหน้าที่ 8.35 ค ) ค 23 การประเมินความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนสําหรับวัตถุประสงค์ในการ เปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 จ ถึง 8.35 ซ จะประเมินที่ระดับของกิจการที่ รายงานข้อมูล เช่น หากบริษัทย่อยโอนสินทรัพย์ทางการเงินไปยังบริษัทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งบริษัทใหญ่ของบริษัทย่อยมีความเกี่ยวที่คงอยู่ด้วย บริษัทย่อยนั้นไม่ต้องรวมความเกี่ยวข้อง ของบริษัทใหญ่ในการประเมินความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ที่โอนในงบการเงินเฉพาะ กิจการ ( กล่าวคือ เมื่อบริษัทย่อยเป็นกิจการที่รายงานข้อมูล ) อย่างไรก็ตาม บริษัทใหญ่ควรรวม ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ ( หรือของสมาชิกอื่นในกลุ่ม ) ในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน โดยบริษัทย่อยในการพิจารณาว่ามีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ที่โอนในงบการเงินรวมของ กิจการ ( กล่าวคือ เมื่อกลุ่มเป็นกิจการที่รายงานข้อมูล ) ค 24 กิจการไม่มีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนหรือเป็นส่วนหนึ่งของการโอน หากไม่ได้คงไว้ซึ่งสิทธิหรือภาระผูกพันตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน หรือไม่ได้มาซึ่ง สิทธิหรือภาระผูกพันตามสัญญาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน กิจการไม่มี ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนหากกิจการไม่มีส่วนได้เสียใน ผลการดําเนินงานในอนาคตของสินทรัพย์นั้นหรือไม่มีความรับผิดชอบในการจ่ายชําระซึ่งคํานึง ถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่จะโอนในอนาคต เงื่อนไขของการจ่ายชําระเงินในบริบทนี้ ไม่รวมกระแสเงินสดของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนซึ่งกิจการได้รวบรวมและถูกกําหนดให้ ส่งให้แก่ผู้รับโอน ค 24 ก เมื่อกิจการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน กิจการอาจยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการให้บริการสินทรัพย์ ทางการเงินซึ่งได้รวมค่าธรรมเนียมแล้ว เช่น สัญญาการให้บริการ กิจการประเมินสัญญา การให้บริการตามที่กําหนดเป็นแนวทางในย่อหน้าที่ 8.35 ค และย่อหน้าที่ ค 24 เพื่อให้ตัดสินใจ ได้ว่ากิจการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ซึ่งเป็นผลของสัญญาการให้บริการตามวัตถุประสงค์ของ การเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ เช่น ผู้ให้บริการจะมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 220 โอนตามวัตถุประสงค์ของการเปิดเผยข้อมูล หากค่าธรรมเนียมการให้บริการขึ้นอยู่กับจํานวน หรือจังหวะเวลาของกระแสเงินสดที่ได้จากสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนในทํานองเดียวกัน ผู้ให้บริการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ตามวัตถุประสงค์ของการเปิดเผยข้อมูล หากค่าธรรมเนียม คงที่ไม่ถูกจ่ายเต็มจํานวนเนื่องจากการไม่ฎิบัติตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ในตัวอย่างนี้ผู้ให้บริการมีส่วนได้เสียในผลการดําเนินงานในอนาคตของสินทรัพย์ทางการเงิน ที่โอน การประเมินนี้จะเป็นอิสระหากค่าธรรมเนียมที่ได้รับคาดว่าจะชดเชยให้กิจการอย่าง เพียงพอสําหรับการให้บริการ ค 25 ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนอาจเป็นผลมาจากประมาณการหนี้สินตาม สัญญาจากข้อตกลงการโอนหรือข้อตกลงที่แยกต่างหากที่ทํากับผู้รับโอนหรือบุคคลที่สามที่เข้าทํา สัญญา ที่เกี่ยวข้องกับการโอนนั้น สินทรัพย์ทางการเงินที่โอนโดยไม่เลิกรับรู้ทั้งจํานวน ( ย่อหน้าที่ 8.35 ง ) ค 26 ย่อหน้าที่ 8.35 ง กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงินที่โอนบางส่วนหรือที่โอนทั้งหมด ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขของการเลิกรับรู้รายการ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น ณ วันที่รายงาน แต่ละวันที่กิจการยังคงรับรู้สินทรัพย์ทางการเงินที่โอน โดยไม่คํานึงว่าสินทรัพย์นั้นโอนเมื่อใด ประเภทของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ ( ย่อหน้าที่ 8.35 จ ถึง 8.35 ซ ) ค 27 ย่อหน้าที่ 8.35 จ ถึง 8.35 ซ กําหนดให้เปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณสําหรับ ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่แต่ละประเภทในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ กิจการต้องรวม ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการและแยกตามประเภทที่เป็นตัวแทนของฐานะเปิดต่อความเสี่ยง ของกิจการ เช่น กิจการอาจรวมความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการตามประเภทของเครื่องมือ ทางการเงิน ( เช่น การคํ้าประกัน หรือสัญญาสิทธิที่จะซื้อ ) หรือตามประเภทของการโอน ( เช่น การขายลดลูกหนี้การค้า การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ และการให้ยืมหลักทรัพย์ ) การวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดสําหรับกระแสเงินสดออกที่ไม่คิดลดสําหรับการซื้อคืน สินทรัพย์ที่โอน ( ย่อหน้าที่ 8.35 จ .5) ค 28 ย่อหน้าที่ 8.35 จ .5 กําหนดให้กิจการเปิดเผยการวิเคราะห์ระยะเวลาครบกําหนดของ กระแสเงินสดออกที่ไม่คิดลดสําหรับการซื้อคืนสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้หรือจํานวน ค้างจ่ายอื่นต่อผู้รับโอนอันเนื่องมาจากสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้เลิกรับรู้ โดยแสดงระยะเวลา คงเหลือก่อนครบกําหนดตามสัญญาของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ของกิจการ การวิเคราะห์นี้จะแยก กระแสเงินสดที่กําหนดให้จ่ายชําระ ( เช่น สัญญาฟอร์เวิร์ด ) กระแสเงินสดที่กิจการอาจถูก กําหนดให้จ่ายชําระ ( เช่น การขายสัญญาสิทธิที่จะขาย ) และกระแสเงินสดที่กิจการอาจเลือกจ่าย ชําระ ( เช่น การซื้อสัญญาสิทธิที่จะซื้อ )

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 221 ค 29 กิจการต้องใช้วิจารณญาณในการกําหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ระยะเวลาครบ กําหนดตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 จ .5 เช่น กิจการอาจกําหนดให้ช่วงเวลาต่อไปนี้เป็น ช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ ค 29.1 ไม่เกิน 1 เดือน ค 29.2 มากกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน ค 29.3 มากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 6 เดือน ค 29.4 มากกว่า 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี ค 29.5 มากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ค 29.6 มากกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี และ ค 29.7 มากกว่า 5 ปี ค 30 หากสามารถระบุช่วงของระยะเวลาครบกําหนดที่เป็นไปได้ กระแสเงินสดจะถูกรวมตามเกณฑ์ ของวันที่เร็วที่สุดที่กําหนดให้กิจการจ่ายชําระหรือได้รับอนุญาตให้จ่ายชําระ ข้อมูลเชิงคุณภาพ ( ย่อหน้าที่ 8.35 จ .6) ค 31 ข้อมูลเชิงคุณภาพตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 จ .6 รวมถึงรายละเอียดของสินทรัพย์ ทางการเงินที่เลิกรับรู้ และธรรมชาติและวัตถุประสงค์ของความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ที่ยังคงไว้ หลังจากการโอนสินทรัพย์เหล่านั้น ซึ่งรวมถึงรายละเอียดของความเสี่ยงที่กิจการได้เผชิญอยู่ รวมทั้งข้อมูลดังต่อไปนี้ ค 31.1 รายละเอียดวิธีที่กิจการได้บริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ในความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในการเลิก รับรู้สินทรัพย์ทางการเงิน ค 31.2 กิจการต้องรับผลขาดทุนก่อนคู่สัญญาอื่น รวมทั้งอันดับและมูลค่าผลขาดทุนที่รับ โดยคู่สัญญาอื่นซึ่งมีอันดับส่วนได้เสียตํ่ากว่าส่วนได้เสียในสินทรัพย์ของกิจการ ( กล่าวคือ ความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ในสินทรัพย์ของกิจการ ) ค 31.3 รายละเอียดของข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน หรือการซื้อคืนสินทรัพย์ทางการเงินที่โอน ผลกําไรหรือขาดทุนจากการเลิกรับรู้รายการ ( ย่อหน้าที่ 8.35 ช .1) ค 32 ย่อหน้าที่ 8.35 ช .1 กําหนดให้กิจการเปิดเผยผลกําไรหรือผลขาดทุนจากการเลิกรับรู้รายการที่ เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการมีความเกี่ยวข้องที่คงอยู่ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูล หากผลกําไรหรือผลขาดทุนจากการเลิกรับรู้รายการเกิดขึ้นเนื่องจากมูลค่ายุติธรรมของ องค์ประกอบของสินทรัพย์ที่รับรู้ในงวดก่อน ( กล่าวคือ ส่วนได้เสียในสินทรัพย์ที่ถูกเลิกรับรู้และ ส่วนได้เสียที่ยังคงไว้กับกิจการ ) แตกต่างจากมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่รับรู้ในงวดก่อน ทั้งจํานวน ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว กิจการต้องเปิดเผยการวัดมูลค่ายุติธรรมซึ่งรวมข้อมูลที่มี นัยสําคัญที่ไม่ได้อ้างอิงกับข้อมูลตลาดที่สามารถสังเกตได้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 222 ข้อมูลเพิ่มเติม ( ย่อหน้าที่ 8.35 ซ ) ค 33 การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.35 ง ถึง 8.35 ช อาจไม่เพียงพอที่จะบรรลุ วัตถุประสงค์ของการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.35 ข ในกรณีนี้ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูล เพิ่มเติมที่จําเป็นที่จะทําให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเปิดเผยข้อมูลนั้น กิจการต้องพิจารณาว่า ต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากน้อยเพียงใดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล และต้องให้ ความสําคัญกับข้อมูลเพิ่มเติมแต่ละประเด็นอย่างไร ดังนั้นจึงจําเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่าง งบการเงินที่นําเสนอข้อมูลละเอียดเกินความจําเป็นซึ่งไม่ได้ช่วยผู้ใช้งบการเงินและยังทําให้ข้อมูล ไม่ชัดเจนหากมีการสรุปข้อมูลมากเกินไป การหักกลบสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงิน ( ย่อหน้าที่ 8.8 ก ถึง 8.8 ฉ ) ขอบเขต ( ย่อหน้าที่ 8.8 ก ) ค 34 การเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.8 ข ถึง 8.8 จ กําหนดสําหรับการรับรู้เครื่องมือทางการเงิน ทุกประเภทที่มีการหักกลบลบหนี้ตามย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 นอกจากนี้ เครื่องมือทางการเงินอยู่ภายใต้ขอบเขตของข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลในย่อหน้าที่ 8.8 ข ถึง 8.8 จ หากเป็นไปตามข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้หรือข้อตกลงที่ คล้ายคลึงกัน ซึ่งครอบคลุมถึงเครื่องมือทางการเงินและรายการที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่คํานึงว่า เครื่องมือทางการเงินนั้นมีการหักกลบลบหนี้ตามย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 หรือไม่ ค 35 ข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันที่อ้างอิงในย่อหน้าที่ 8.8 ก และย่อหน้าที่ ค 34 รวมถึงข้อตกลงการชําระ ราคาอนุพันธ์ ข้อตกลงหลักในการซื้อคืนโดยรวม ข้อตกลงหลักในการให้ยืมหลักทรัพย์โดยรวม และสิทธิที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินและรายการที่คล้ายคลึงกัน ตามที่อ้างอิงในย่อหน้าที่ ค 34 รวมถึงอนุพันธ์ ข้อตกลงการขายและซื้อคืน ข้อตกลงการขายคืน และซื้อคืน การกู้ยืมหลักทรัพย์ และข้อตกลงการให้ยืมหลักทรัพย์ ตัวอย่างของเครื่องมือ ทางการเงินที่ไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตของย่อหน้าที่ 8.8 ก คือ เงินให้กู้ยืมและเงินรับฝากของลูกค้าที่ สถาบันการเงินเดียวกัน ( เว้นแต่กําหนดให้มีการหักกลบลบหนี้ในงบฐานะการเงิน ) และ เครื่องมือทางการเงินที่เป็นไปตามข้อตกลงหลักประกัน การเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่รับรู้และหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ ภายใต้ขอบเขตของย่อหน้าที่ 8.8 ก ( ย่อหน้าที่ 8.8 ค ) ค 36 เครื่องมือทางการเงินที่เปิดเผยตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค อาจอยู่ภายใต้ข้อกําหนดการ วัดมูลค่าที่แตกต่างกัน ( เช่น หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงการซื้อคืนอาจถูกวัดมูลค่าด้วยราคาทุน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 223 ตัดจําหน่าย ในขณะที่อนุพันธ์จะถูกวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ) กิจการต้องรวมมูลค่าของ เครื่องมือที่กิจการรับรู้และอธิบายความแตกต่างของการวัดมูลค่าในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การเปิดเผยมูลค่าขั้นต้นของสินทรัพย์ทางการเงินที่รับรู้และหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ภายใต้ ขอบเขตของย่อหน้าที่ 8.8 ก ( ย่อหน้าที่ 8.8 ค .1) ค 37 มูลค่าที่กําหนดตามย่อหน้าที่ 8.8 ค .1 เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้ซึ่งมีการหักกลบ ลบหนี้ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 มูลค่าที่กําหนดตามย่อ หน้าที่ 8.8 ค .1 ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้ภายใต้ข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มี ผลบังคับใช้หรือข้อตกลงที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่คํานึงว่าเครื่องมือทางการเงินนั้นเป็นไปตาม เงื่อนไขของการหักกลบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .1 ไม่เกี่ยวข้องกับมูลค่าที่รับรู้ซึ่งเป็นผลของข้อตกลงหลักประกันที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข การหักกลบในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 โดยมูลค่าดังกล่าวจะถูกกําหนดให้ รายงานตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 แทน การเปิดเผยมูลค่าที่หักกลบลบหนี้ตามที่กําหนดตามหลักเกณฑ์ในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 32 ( ย่อหน้าที่ 8.8 ค .2) ค 38 ย่อหน้าที่ 8.8 ค .2 กําหนดให้กิจการเปิดเผยข้อมูลมูลค่าที่หักกลบลบหนี้ตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 หากกิจการกําหนดให้แสดงด้วยมูลค่าสุทธิใน งบฐานะการเงิน มูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินที่รับรู้ซึ่งเป็นไปตามการหัก กลบภายใต้ข้อตกลงเดียวกันจะถูกเปิดเผยทั้งในการเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงินและ การเปิดเผยข้อมูลหนี้สินทางการเงิน อย่างไรก็ตาม มูลค่าที่เปิดเผย ( เช่น ในรูปแบบตาราง ) จะถูกจํากัดด้วยมูลค่าที่เป็นไปตามการหักกลบ เช่น กิจการอาจรับรู้สินทรัพย์อนุพันธ์และหนี้สิน อนุพันธ์ตามเงื่อนไขการหักกลบในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 หากมูลค่า ขั้นต้นของสินทรัพย์อนุพันธ์มากกว่ามูลค่าขั้นต้นของหนี้สินอนุพันธ์ ตารางการเปิดเผยข้อมูล สินทรัพย์ทางการเงินจะรวมมูลค่าของสินทรัพย์อนุพันธ์ ( ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .1) และ มูลค่าของหนี้สินอนุพันธ์ทั้งหมด ( ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .2) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตาราง การเปิดเผยข้อมูลหนี้สินทางการเงินจะรวมมูลค่าของหนี้สินอนุพันธ์ทั้งหมด ( ตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 8.8 ค .1) การเปิดเผยข้อมูลนี้จะรวมเฉพาะมูลค่าของสินทรัพย์อนุพันธ์ ( ตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .2) ซึ่งเท่ากับมูลค่าของหนี้สินอนุพันธ์ การเปิดเผยมูลค่าสุทธิที่แสดงในงบฐานะการเงิน ( ย่อหน้าที่ 8.8 ค .3) ค 39 หากกิจการมีเครื่องมือที่เป็นไปตามขอบเขตของการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ( ตามที่ระบุใน ย่อหน้าที่ 8.8 ก ) แต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการหักกลบในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 224 ฉบับที่ 32 มูลค่าที่กําหนดให้เปิดเผยในย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 จะเท่ากับมูลค่าที่กําหนดให้เปิดเผย ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .1 ค 40 มูลค่าที่ถูกกําหนดให้เปิดเผยตามย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 ต้องถูกกระทบยอดกับรายการที่แสดง ในงบฐานะการเงิน เช่น หากกิจการเลือกที่จะรวมหรือไม่รวมมูลค่ารายการในงบการเงิน เพื่อการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากขึ้น กิจการต้องกระทบยอดมูลค่าที่ถูกรวมหรือไม่ถูกรวม ที่เปิดเผยในย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 ไปยังมูลค่ารายการที่แสดงในงบฐานะการเงิน การเปิดเผยมูลค่าที่เป็นไปตามข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้หรือข้อตกลงที่ คล้ายคลึงกัน ซึ่งไม่รวมอยู่ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .2 ( ย่อหน้าที่ 8.8 ค .4) ค 41 ย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 กําหนดให้กิจการเปิดเผยมูลค่าที่เป็นไปตามข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มี ผลบังคับใช้หรือข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .2 ย่อหน้าที่ 8.8 ค .4.1 ระบุถึงมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินที่รับรู้ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการหักกลบในย่อ หน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 บางส่วนหรือทั้งหมด ( เช่น สิทธิปัจจุบันของการหักกลบ ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในย่อหน้าที่ 42.2 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 หรือสิทธิตามเงื่อนไข ของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้และสามารถใช้สิทธิได้เฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์การไม่สามารถ ปฏิบัติตามสัญญา หรือเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ขาดสภาพคล่องหรือล้มละลายของคู่สัญญา ) ค 42 ย่อหน้าที่ 8.8 ค .4.2 ระบุถึงมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันทางการเงิน รวมถึงหลักประกันเงินสด ทั้งที่ได้รับและที่วางเป็นประกัน กิจการต้องเปิดเผยมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน เหล่านั้นที่นําไปวางเป็นประกันหรือที่ได้รับเป็นหลักประกัน มูลค่าที่เปิดเผยตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4.2 ควรเกี่ยวข้องกับหลักประกันที่ได้รับหรือนําไปวางเป็นประกันจริง และ ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ที่เป็นผลจากการรับรู้รายการเพื่อส่งคืนหรือรับคืนหลักประกัน ดังกล่าว ข้อจํากัดของมูลค่าที่เปิดเผยในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 ( ย่อหน้าที่ 8.8 ง ) ค 43 กิจการต้องคํานึงถึงผลกระทบของหลักประกันจากเครื่องมือทางการเงินที่มากเกินไป หากเปิดเผย มูลค่าตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 ซึ่งการกระทําเช่นนั้น กิจการต้องหักมูลค่าที่เปิดเผย ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4.1 จากมูลค่าที่เปิดเผยตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 เป็นอันดับแรก กิจการต้องจํากัดมูลค่าที่เปิดเผยตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .4.2 ด้วยมูลค่าที่ คงเหลืออยู่ในย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 สําหรับเครื่องมือทางการเงินที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม หากสิทธิ ตามหลักประกันสามารถใช้บังคับกับเครื่องมือทางการเงินต่างประเภท สิทธิดังกล่าวควรรวมอยู่ใน การเปิดเผยข้อมูลตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ง ด้วย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 225 รายละเอียดของสิทธิการหักกลบที่เป็นไปตามข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้ และข้อตกลงที่คล้ายคลึงกัน ( ย่อหน้าที่ 8.8 จ ) ค 44 กิจการต้องอธิบายประเภทของสิทธิการหักกลบและข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันที่เปิดเผยตามย่อหน้าที่ 8.8 ค .4 รวมถึงธรรมชาติของสิทธิดังกล่าว เช่น กิจการต้องอธิบายสิทธิที่มีเงื่อนไข สําหรับ เครื่องมือที่เป็นไปตามสิทธิการหักกลบที่ไม่ใช่ภาระผูกพันของเหตุการณ์ในอนาคต แต่ไม่เป็นไป ตามเงื่อนไขที่ปรากฏอยู่ในย่อหน้าที่ 42 ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 กิจการต้องอธิบาย สาเหตุที่ทําให้ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว สําหรับหลักประกันทางการเงินที่ได้รับหรือวางเป็น ประกันไว้ กิจการต้องอธิบายเงื่อนไขของข้อตกลงหลักประกัน ( เช่น เมื่อหลักประกันมีข้อจํากัด ) การเปิดเผยข้อมูลตามประเภทของเครื่องมือทางการเงินหรือตามประเภทของคู่สัญญา ค 45 การเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .1 ถึง 8.8 ค .5 อาจจัดกลุ่มตาม ประเภทของเครื่องมือทางการเงินหรือรายการ ( เช่น อนุพันธ์ ข้อตกลงการซื้อคืนและการซื้อที่มี สัญญาขายคืน หรือการกู้ยืมหลักทรัพย์ และข้อตกลงการให้ยืมหลักทรัพย์ ) ค 46 กิจการอาจจัดกลุ่มการเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 8.8 ค .1 ถึง 8.8 ค .3 ตามประเภทของเครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลเชิงปริมาณตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 ถึง 8.8 ค .5 ตามคู่สัญญา หากกิจการแสดงข้อมูลที่กําหนดตามประเภท คู่สัญญา กิจการไม่ถูกกําหนดให้ระบุชื่อคู่สัญญา อย่างไรก็ตาม การกําหนดคู่สัญญา ( คู่สัญญา ก , คู่สัญญา ข , คู่สัญญา ค เป็นต้น ) ต้องกําหนดให้สอดคล้องกันในแต่ละปีที่แสดงข้อมูลเพื่อให้ เปรียบเทียบข้อมูลได้ ในการเปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพต้องพิจารณาการแสดงข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับประเภทของคู่สัญญา เมื่อคู่สัญญาให้ข้อมูลเพื่อเปิดเผยมูลค่าตามย่อหน้าที่ 8.8 ค .3 ถึง 8.8 ค .5 มูลค่าที่มีนัยสําคัญเมื่อเทียบกับมูลค่าคู่สัญญาทั้งหมดต้องเปิดเผยเป็นรายการแยก ต่างหากและมูลค่าคู่สัญญาที่ไม่มีนัยสําคัญที่เหลือต้องรวมแสดงเป็นรายการเดียว อื่นๆ ค 47 การเปิดเผยข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงตามย่อหน้าที่ 8.8 ค ถึง 8.8 จ ถือเป็นข้อกําหนดขั้นตํ่า เพื่อให้ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในย่อหน้าที่ 8.8 ข กิจการอาจจําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูล ( เชิงคุณภาพ ) เพิ่มเติม ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของข้อกําหนดของข้อตกลงหลักของการหักกลบที่มีผลบังคับใช้และ ข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงธรรมชาติของสิทธิการหักกลบ และผลกระทบหรือผลกระทบที่คาดว่า จะเกิดขึ้นที่มีต่อฐานะการเงินของกิจการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 226 ตารางสรุปความแตกต่างสําหรับแนวปฏิบัติทางการบัญชีและมาตรฐานการรายงานทางการเงิน * และเหตุผลของความแตกต่าง ตารางนี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ โดยตารางดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง (1) แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในบทที่ 1 ถึงบทที่ 7 ภาคผนวก ก และภาคผนวก ข กับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และ (2) แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ในบทที่ 8 และภาคผนวก ค กับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเครื่องมือทางการเงิน ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 4.1.1 ใ นกรณีที่ไม่ได้นําย่อหน้าที่ 4.1.8 มาถือปฏิบัติ กิจการต้องจัด ประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน ณ วันที่กิจการได้มาซึ่งเงินลงทุน ดังต่อไปนี้ 4.1.1.1 หลักทรัพย์เพื่อค้า 4.1.1.2 หลักทรัพย์เผื่อขาย 4.1.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด 4.1.1.4 ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืม 4.1.1.5 อนุพันธ์ 4.1.1 ใ นกรณีที่ไม่ได้นําย่อหน้าที่ 4.1.5 มาถือปฏิบัติ กิจการ ต้องจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงินเป็นสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่าภายหลังด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หรือ ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ตามเกณฑ์ ทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ 4.1.1.1 ตามโมเดลธุรกิจ (business model) ของกิจการ ในการจัดการสินทรัพย์ทางการเงิน และ 4.1.1.2 ตามลักษณะของกระแสเงินสดตามสัญญาของ สินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อลดผลกระทบจากการจับคู่อย่างไม่เหมาะสม ทางการบัญชีระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินโดย ให้ยังคงสามารถจัดประเภทสินทรัพย์ตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศอื่น ที่สอดคล้องกับการจับคู่ทางการ บัญชีของหนี้สินจากสัญญาประกันภัยตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย ไปจนกว่ามาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย จะมีผลบังคับใช้ 4.1.3 ตามปกติการค้าหลักทรัพย์เป็นการที่กิจการเข้าทําการซื้อขาย หลักทรัพย์ที่มีสภาพซื้อง่ายขายคล่องและสามารถเปลี่ยนมือได้ บ่อย ดังนั้น หลักทรัพย์เพื่อค้าจึงหมายถึง หลักทรัพย์ที่กิจการ ถือไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการหากําไรจากการขึ้นลงของราคา ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยจัดรวมเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ซึ่งกิจการ เจาะจงถือไว้เพื่อค้า ทําให้หลักทรัพย์ในกลุ่มมีการหมุนเวียน อย่างต่อเนื่อง หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหลักทรัพย์ที่กิจการ ได้มาเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า ได้แก่ การที่กิจการทําการซื้อขาย กลุ่มหลักทรัพย์อย่างสมํ่าเสมอจนมีรูปแบบที่ชัดเจนว่า ภาคผนวก ก คํานิยาม การถือไว้เพื่อค้า หมายถึง สินทรัพย์หรือหนี้สินทางการเงินที่ ( ก ) ได้มาหรือก่อให้เกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขาย หรือซื้อกลับคืนในอนาคตอันใกล้ ( ข ) ถูกกําหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งถูกบริหารเป็นกลุ่ม ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก และมีหลักฐานที่แสดงถึงรูปแบบของการทํากําไรระยะสั้น ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน หรือ กําหนดคํานิยามเพื่อให้สอดคล้องกับการ จัดประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1 อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วไม่มีความแตกต่างกับ นิยามตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 อย่างมีสาระสําคัญ การจัดประเภทเป็นสินทรัพย์เผื่อขาย โดย เทียบเคียงกับหลักการเดียวกับมาตรฐาน การรายงานทางการเงินระหว่างประเทศที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 227 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล หลักทรัพย์ในกลุ่มมีการหมุนเวียนเพื่อทํากําไรช่วงสั้นอย่าง แน่นอน หลักทรัพย์ดังกล่าวแตกต่างจากหลักทรัพย์เผื่อขาย ซึ่ง เป็นหลักทรัพย์ที่กิจการถือไว้เพื่อการอื่นโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ หลักที่จะค้าหลักทรัพย์นั้น แม้ว่ากิจการจะเต็มใจขายหลักทรัพย์ ดังกล่าวทันทีที่โอกาสอํานวย ดังนั้นหลักทรัพย์ที่กิจการได้มา โดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ต้องจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ เผื่อขายในทันที ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นเงินลงทุนในตราสารทุน เผื่อขายที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ต้องไม่เป็นสิ่งตอบแทนที่คาดว่าจะต้องจ่ายซึ่งเกิดจากการรวม ธุรกิจตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 เรื่อง การ รวมธุรกิจ ( ค ) เป็นอนุพันธ์ ( ยกเว้นอนุพันธ์ที่เป็นสัญญาคํ้าประกัน ทางการเงินหรือเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่มีประสิทธิผล ) 4.1.2 ก สินทรัพย์ทางการเงินต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเมื่อเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ ดังต่อไปนี้ 4.1.2 ก .1 กิจการถือครองสินทรัพย์ทางการเงินนั้นตาม โมเดลธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับกระแส เงินสดตามสัญญาและเพื่อขายสินทรัพย์ ทางการเงิน และ 4.1.2 ก .2 ข้อกําหนดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งทําให้เกิดกระแสเงินสดซึ่งเป็นการจ่าย เพียงเงินต้นและดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือ ของเงินต้นในวันที่กําหนดไว้ บริษัทประกันภัยในต่างประเทศ ที่ใ ช้ ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการชั่วคราวใช้ คือ การให้สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่เข้าเงื่อนไข การจัดประเภทอื่นๆ เป็นสินทรัพย์ทาง การเงินเผื่อขาย 4.1.4 กิจการจะจัดประเภทตราสารหนี้เป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบ กําหนดก็ต่อเมื่อกิจการมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความสามารถ ที่จะถือตราสารดังกล่าวไปจนครบกําหนด โดยที่กิจการจะไม่ ขายตราสารดังกล่าวก่อนครบกําหนดหรือจะไม่โอนเปลี่ยน ประเภทตราสารดังกล่าวเว้นแต่จะเกิดสถานการณ์ตามที่ระบุไว้ ในย่อหน้าที่ 4.1.5 กิจการจะต้องทบทวนความตั้งใจที่จะถือ ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดทุกรายการเพื่อโอนเปลี่ยน ประเภทหากกิจการขายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ที่จะ ถือจนครบกําหนดรายการใดรายการหนึ่งทั้งที่สถานการณ์ใน ย่อหน้าที่ 4.1.5 ไม่เกิดขึ้น 4.1.2 สินทรัพย์ทางการเงินต้องวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่ายเมื่อเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อดังต่อไปนี้ 4.1.2.1 กิจการถือครองสินทรัพย์ทางการเงินนั้นตาม โมเดลธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์การถือครอง สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อรับกระแสเงินสดตาม สัญญา และ 4.1.2.2 ข้อกําหนดตามสัญญาของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งทําให้เกิดกระแสเงินสดซึ่งเป็นการจ่าย เพียงเงินต้นและดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือ ของเงินต้นในวันที่กําหนดไว้ โ ด ย เ ทีย บ เ คี ยง กั บ ห ลั ก กำร เ ดี ย ว กั บ มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศที่บริษัทประกันภัยในต่างประเทศที่ ใช้ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 228 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 4.1.5 การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่อไปนี้อาจทําให้กิจการต้อง เปลี่ยนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้ไปจนครบกําหนดโดยที่ไม่ จําเป็นต้องทบทวนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้รายการอื่นไป จนครบกําหนด การจําหน่ายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสาร หนี้ดังกล่าวจะไม่ถือว่าเป็นการกระทําที่สมํ่าเสมอกับการ จัดประเภทที่ทําไว้เดิม 4.1.5.1 มีหลักฐานที่แสดงว่าความน่าเชื่อถือของผู้ออกตรา สารลดลงอย่างเป็นสาระสําคัญ 4.1.5.2 มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีอากรซึ่งเป็นผลให้มี การยกเลิกหรือลดข้อลดหย่อนทางภาษีอากรเกี่ยวกับ ดอกเบี้ยที่จะได้รับตราสารหนี้ซึ่งกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีโดยทั่วไป 4.1.5.3 มีการรวมกิจการหรือจําหน่ายกิจการที่สําคัญซึ่งทําให้ กิจการต้องขายหรือโอนตราสารหนี้ที่จะถือจนครบ กําหนดเพื่อให้กิจการรักษาระดับความเสี่ยงในอัตรา ดอกเบี้ยหรือความเสี่ยงด้านเครดิตของกิจการไว้ ดังเดิม 4.1.5.4 มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ส่งผลให้กิจการไม่ สามารถถือเงินลงทุนบางชนิดไว้ในระดับที่กิจการเคย ถือไว้ได้ ทําให้กิจการจําเป็นต้องจําหน่ายตราสารหนี้ ดังกล่าว 4.1.5.5 มีการเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดหรือกฎหมายเกี่ยวกับ การรักษาระดับเงินทุนของกิจการทําให้กิจการต้องลด ขนาดลงโดยการขายเงินลงทุนดังกล่าว ข 4.1.2 ก โ มเดลธุรกิจของกิจการแสดงถึงวิธีการจัดการสินทรัพย์ ทางการเงินของกิจการเพื่อให้ได้กระแสเงินสด ซึ่ง หมายถึงโมเดลธุรกิจของกิจการที่ใช้ในการกําหนดว่า กระแสเงินสดจะมาจากการรับกระแสเงินสดตามสัญญา การขายสินทรัพย์ทางการเงิน หรือทั้งสองอย่าง ดังนั้น การประเมินนี้ไม่ได้จัดทําขึ้นจากข้อสมมติฐานที่กิจการ คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เช่น สภาวะที่แย่ ที่สุด (Wors case) หรือสภาวะกดดัน (Stress case) เช่น ถ้ากิจการคาดว่าจะขายกลุ่มสินทรัพย์ทางการเงินเฉพาะ ในสภาวะกดดัน (Stress case) สถานการณ์นี้จะไม่กระทบ การประเมินโมเดลธุรกิจของกิจการสําหรับกลุ่มสินทรัพย์ เหล่านี้ ถ้ากิจการคาดการณ์อย่างสมเหตุสมผลว่า สถานการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้ากระแสเงินสดถูกรับรู้ใน แนวทางที่แตกต่างจากที่กิจการคาดการณ์ ณ วันที่กิจการ ประเมินโมเดลธุรกิจ ( ตัวอย่างเช่น ถ้ากิจการขาย สินทรัพย์ทางการเงินได้มากกว่า หรือ น้อยกว่าที่ คาดการณ์ไว้ เมื่อมีการจัดประเภทเป็นสินทรัพย์ ) ซึ่งไม่สะท้อนความผิดพลาดในงบการเงินงวดก่อน ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงการประมาณการทางบัญชีและ ข้อผิดพลาด ) หรือ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการจัดประเภทใน สินทรัพย์ทางการเงินสําหรับส่วนที่เหลือที่อยู่ในโมเดล ธุรกิจเหล่านั้น ( เช่น สินทรัพย์เหล่านั้นรับรู้ในงวดก่อน และยังคงถืออยู่ ) เป็นเวลานานเท่าที่กิจการพิจารณา ข้อมูลที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถหาได้ในเวลาที่มีการประเมิน ย่อหน้านี้กล่าวถึงข้อกําหนดในการประเมิน ความตั้งใจในการถือครองเพื่อจัดประเภท เป็นตราสารหนี้ที่จะถือไปจนครบกําหนด ซึ่ง โดยหลักการแล้วไม่แตกต่างจากการ ประเมินโมเดลธุรกิจตามข้อกําหนดของ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 229 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล นอกจากสถานการณ์ข้างต้น กิจการอาจไม่จําเป็นต้องทบทวนความ ตั้งใจหรือความสามารถที่จะถือตราสารหนี้รายการอื่นไปจนครบ กําหนด หากกิจการต้องขายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ รายการหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่ง สถานการณ์นี้เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติสําหรับกิจการหรือ เกิดเหตุการณ์ที่เป็นเอกเทศและไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก กิจการต้อง เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการขายหรือโอนเปลี่ยนประเภทตราสารหนี้ ดังกล่าวตามข้อกําหนดที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 8.7 ง โมเดลธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อกิจการประเมินโมเดล ธุรกิจที่มีการออกหรือซื้อสินทรัพย์ทางการเงินใหม่ กิจการต้องพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่รับรู้กระแส เงินสดในอดีตควบคู่กับข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง 4.1.6 กิจการต้องไม่จัดประเภทตราสารหนี้เป็นตราสารหนี้ที่จะถือจน ครบกําหนดหากกิจการเพียงแต่ตั้งใจว่าจะถือตราสารหนี้นั้น ไปอย่างไม่มีกําหนด หรือจะถือไว้เผื่อขายภายใต้สถานการณ์ ต่อไปนี้ 4.1.6.1 อัตราดอกเบี้ยในตลาดของตราสารหนี้นั้นเปลี่ยนไป ทําให้ความเสี่ยงในการชําระหนี้สูงขึ้น 4.1.6.2 กิ จ กำ ร มี ค วำ ม จํำ เ ป็ น ต้ อ ง เ พิ่ ม ส ภำ พ ค ล่ อ ง ตัวอย่างเช่น มีผู้มาขอคืนเงินมัดจํา มีผู้ต้องการกู้เงิน เป็นจํานวนมาก หรือกิจการต้องจ่ายค่าเรียกร้องจาก กรมธรรม์ประกันภัย 4.1.6.3 เงินลงทุนที่สามารถใช้ทดแทนตราสารหนี้ดังกล่าวมี อัตราดอกเบี้ยที่จูงใจให้น่าลงทุนกว่า 4.1.6.4 มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและแหล่งที่มาของเงินทุน 4.1.6.5 มีการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ข 4.1.2 ขฃโมเดลธุรกิจของกิจการในการจัดการสินทรัพย์ทางการ เงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และไม่ใช่สมมติฐาน โดยปกติ สังเกตได้จากกิจกรรมที่กิจการปฏิบัติเพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ของโมเดลธุรกิจของกิจการ กิจการต้องใช้ ดุลยพินิจเมื่อทําการประเมินโมเดลธุรกิจของกิจการ สําหรับการจัดการสินทรัพย์ทางการเงิน และการประเมิน นั้นไม่ได้ถูกตัดสินจากปัจจัยเดียว หรือกิจกรรมเดียว กิจการต้องพิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีอยู่ ณ วันที่ประเมิน หลักฐานที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลต่อไปนี้ ข 4.1.2 ข .1 ผลการดําเนินงานของโมเดลธุรกิจออกมาเป็น อย่างไรและการประเมินผลการถือสินทรัพย์ ทางการเงินตามโมเดลธุรกิจและรายงานให้ ผู้บริหารสําคัญของกิจการทราบ ข 4.1.2 ข .2 ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อผลการดําเนินงาน ของโมเดลธุรกิจ ( และสินทรัพย์ทางการเงินที่ ถือตามโมเดลธุรกิจ ) และโดยเฉพาะวิธีการ บริหารความเสี่ยง และ การกําหนดเงื่อนไขการจัดประเภทเป็นตรา สารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดตามแนว ปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้มีขอบเขตที่แคบ กว่าข้อกําหนดของมาตรฐานการรายงานทาง การเงิน ฉบับที่ 9 ที่ให้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ ในการบริหารธุรกิจ และการบริหารความ เสี่ยง อย่างไรก็ตามหลักการที่ใช้ในแนว ปฏิบัติทางการบัญชีเป็นหลักการเดียวกับ มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศที่บริษัทประกันภัยในต่างประเทศที่ ใช้ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 230 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ข 4.1.2 ข .3 วิธีการที่ใช้คํานวณผลตอบแทนให้ผู้จัดการ ( เช่น การชดเชยที่เกิดจากการบริหารจัดการ มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ หรือการจัดเก็บ กระแสเงินสดตามสัญญา ) 4.1.7 หากกิจการขายตราสารหนี้ในลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ จะถือว่าการขายนั้นกระทําเมื่อครบกําหนด 4.1.7.1 กิจการขายตราสารหนี้เมื่อใกล้ถึงวันครบกําหนด หรือ ใกล้ถึงวันที่ผู้ออกตราสารสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนก่อน ครบกําหนดหากมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ผู้ออก ตราสารจะใช้สิทธิไถ่ถอนนั้น ซึ่งระยะเวลาจากวันที่ ขายถึงวันครบกําหนดใกล้เคียงกันจนทําให้ความเสี่ยง จากอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นตัวแปรที่สําคัญในการ กําหนดราคาของตราสารอีกต่อไป 4.1.7.2 กิจการขายตราสารหนี้หลังจากที่ได้รับชําระเงิน ส่วนใหญ่ของเงินต้นที่คงค้างอยู่ ณ วันที่ได้ตราสารมา ข 4.1.3 ถึงแม้ว่าโมเดลธุรกิจของกิจการอาจถือสินทรัพย์ ทางการเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับกระแสเงินสด ตามสัญญา กิจการอาจไม่จําเป็นต้องถือตราสารทั้งหมด ไว้จนครบกําหนดก็ได้ ดังนั้น โมเดลธุรกิจของกิจการ ก็ยังคงจัดเป็นการถือครองสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อ รับกระแสเงินสดตามสัญญา แม้ว่าการขายสินทรัพย์ทาง การเงินเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ข้อกําหนดเกี่ยวกับการขายสินทรัพย์ทาง การเงินก่อนครบกําหนดของมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 ผ่อนคลายกว่า แต่หลักการที่ใช้ในแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้เป็นหลักการเดียวกับมาตรฐานการ รายงานทางการเงินระหว่างประเทศที่บริษัท ประกันภัยในต่างประเทศที่ใช้ข้อยกเว้นการ ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการชั่วคราวใช้ 4.3.2 อนุพันธ์แฝงในสัญญาแบบผสมต้องแยกออกจากสัญญาหลัก และถือเป็นอนุพันธ์ภายใต้แนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 4.3.2 ถ้าสัญญาแบบผสมประกอบด้วยสัญญาหลักซึ่งเป็น สินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทาง การเงินฉบับนี้ กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดตามย่อ หน้าที่ 4.1.1 ถึง 4.1.5 สําหรับสัญญาแบบผสมทั้งสัญญา 4.3.3 หากสัญญาแบบผสมประกอบด้วยสัญญาหลักซึ่งไม่ใช่ สินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินฉบับนี้ อนุพันธ์แฝงต้องแยกออกจากสัญญา หลัก และถือเป็นอนุพันธ์ภายใต้มาตรฐานการรายงาน ทางการเงินฉบับนี้ เนื่องจากแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ไม่ได้ใช้หลักการประเมินโมเดลธุรกิจ และ กระแสเงินสดซึ่งเป็นการจ่ายเพียงเงินต้น และดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือของเงินต้นใน วันที่กําหนดไว้ ซึ่งอนุพันธ์แฝงมีผลทําให้ จํานวนเงิน และจังหวะเวลาของกระแสเงิน สดเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จึงใช้หลักการ แยกอนุพันธ์แฝงจากมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศที่บริษัทประกันภัย ในต่างประเทศที่ใช้ข้อยกเว้นการปฏิบัติตาม

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 231 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการชั่วคราวใช้ 4.4.1 กิจการต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงิน จากประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 4.4.1.1 การโอนเปลี่ยนเงินลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ 4.4.1.1.1 สําหรับการโอนเปลี่ยนหลักทรัพย์เพื่อค้า ไปเป็นเงินลงทุนประเภทอื่น กิจการต้องใช้ มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึก บัญชีและรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตาม บัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันนั้นในกําไร หรือขาดทุนทันที 4.4.1.1.2 สําหรับการโอนเปลี่ยนเงินลงทุนประเภท อื่นไปเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า กิจการต้องใช้ มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึก บัญชีและรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตาม บัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันนั้น พร้อมทั้ง กลับบัญชีทุกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุน ที่โอนเปลี่ยนในกําไรหรือขาดทุนทันที 4.4.1.1.3 สําหรับตราสารหนี้ที่โอนเปลี่ยนจาก หลักทรัพย์เผื่อขายไปเป็นตราสารหนี้ที่จะ ถือจนครบกําหนด กิจการต้องใช้มูลค่า ยุติธรรม ณ วันที่โอนในการบันทึกบัญชี และปรับปรุงส่วนเกินทุนหรือส่วนตํ่ากว่า ทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของ เงินลงทุนด้วยผลต่างระหว่างมูลค่าตาม 4.4.1 เฉพาะเมื่อกิจการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจในการบริหาร สินทรัพย์ทางการเงิน กิจการต้องจัดประเภทรายการใหม่ สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดให้ เป็นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.1 ถึง 4.1.4 ดูย่อหน้าที่ 5.6.1 ถึง 5.6.7 ย่อหน้าที่ ข 4.4.1 ถึง ข 4.4.3 และ ข 5.6.1 ถึง ข 5.6.2 สําหรับแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัด ประเภทรายการใหม่ของสินทรัพย์ทางการเงิน 5.6.1 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ ทางการเงินตามย่อหน้าที่ 4.4.1 กิจการต้องถือปฏิบัติการ จัดประเภทรายการใหม่โดยทันทีเป็นต้นไปนับจากวันที่จัด ประเภทรายการใหม่ กิจการต้องไม่ปรับย้อนหลังผลกําไร ผลขาดทุน ( รวมถึงผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ) หรือดอกเบี้ยที่เคยรับรู้ ข้อกําหนดเกี่ยวกับการจัดประเภท รายการใหม่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ 5.6.2 ถึง 5.6.7 5.6.2 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย เป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน กิจการต้องวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าว ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ ผลกําไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่าง ราคาทุนตัดจําหน่ายก่อนหน้าของสินทรัพย์ทางการเงิน และมูลค่ายุติธรรมให้รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน แม้ว่ามาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 9 มีเงื่อนไขเรื่องการเปลี่ยนแปลงการจัด ป ร ะ เ ภ ท สำ มำ ร ถ ทํำ ไ ด้ เ ฉ พำ ะ เ มื่ อ เปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจเท่านั้น แต่ใน หลักการการวัดมูลค่าเมื่อมีการจัดประเภท ใหม่ โดยรวมมีหลักการไม่แตกต่างกัน ส่วน ในการปฏิบัติที่มีข้อแตกต่าง ได้แก่ 1. การโอนสินทรัพย์เผื่อขายเป็นสินทรัพย์ที่ ถือจนครบกําหนดจะถือมูลค่ายุติธรรม เป็นราคาทุน และตัดจําหน่ายผลปรับ มูลค่ายุติธรรมสะสมในองค์ประกอบอื่น ของส่วนของเจ้าของด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริง ในขณะที่มาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 จะนําผลปรับมูลค่า ยุติธรรมปรับกลับทําให้มูลค่าตามบัญชี แสดงด้วยราคาทุนเสมือนวัดมูลค่าด้วย ราคาทุนตัดจําหน่ายตั้งแต่เริ่มแรก 2. ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 กล่าวถึงการปรับปรุงว่ารายการ ปรับปรุงใดที่ถือเป็นการจัดประเภท รายการใหม่ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 เรื่อง การนําเสนองบการเงิน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 232 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล บัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอน ส่วนเกินทุนหรือส่วนตํ่ากว่าทุนดังกล่าว ยังคงแสดงเป็นรายการแยกต่างหากใน องค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ และ ต้องตัดจําหน่ายตลอดอายุที่เหลืออยู่ของ ตราสารหนี้ ในลักษณะเดียวกันกับการ ตัดจําหน่ายส่วนเกินหรือส่วนลดของตรา สารหนี้โดยใช้วิธีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรือวิธีอื่นที่ให้ผลไม่แตกต่างกัน 4.4.1.1.4 สําหรับการโอนเปลี่ยนตราสารหนี้ที่จะถือจน ครบกําหนดไปเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย กิจการต้องใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่โอน ในการบันทึกบัญชีและรับรู้ผลต่างระหว่าง มูลค่าตามบัญชีกับมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ โ อ น เ ป็ น รำ ย กำ ร แ ย ก ต่ำ ง หำ ก ใ น องค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ 4.4.1.2 ตามปกติ การโอนเปลี่ยนเงินลงทุนจากประเภทหนึ่ง ไปเป็นอีกประเภทหนึ่งจะไม่เกิดขึ้นบ่อย เนื่องจาก กิจการต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการถือเงินลงทุน นับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เงินลงทุนมา หากกิจการไม่มี วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนกิจการต้องจัดประเภทเงินลงทุน นั้นเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายในทันที อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอาจทําให้กิจการต้องโอน เปลี่ยนประเภทเงินลงทุน การโอนเปลี่ยนประเภทเงิน ลงทุนบางประเภทต้องมีหลักฐานสนับสนุนอย่าง 5.6.3 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ ทางการเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุน ตัดจําหน่าย มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ดังกล่าว ณ วันที่ จัดประเภทรายการใหม่จะกลายเป็นมูลค่าตามบัญชีก่อน รายการหักใหม่ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.2 สําหรับแนวปฏิบัติ ในการกําหนดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และค่าเผื่อผล ขาดทุน ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ ) 5.6.4 หากกิจกาจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย เป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น กิจการต้องวัดมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ จัดประเภทรายการใหม่ ผลกําไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจาก ความแตกต่างระหว่างราคาทุนตัดจําหน่ายก่อนหน้าของ สินทรัพย์ทางการเงินและมูลค่ายุติธรรมนั้นให้รับรู้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น การจัดประเภทรายการใหม่นี้ ไม่ก่อให้เกิดการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงและการ วัดมูลค่าของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.1) 5.6.5 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยราคา ทุนตัดจําหน่าย สินทรัพย์ทางการเงินที่จะจัดประเภท รายการใหม่ด้วยมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่จัด ประเภทรายการใหม่ อย่างไรก็ตาม ผลสะสมของผลกําไร

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 233 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล เพียงพอ เช่น การโอนเปลี่ยนระหว่างหลักทรัพย์เพื่อ ค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายต้องมีหลักฐานสนับสนุนใน เวลาต่อมาว่ากิจการได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ กําหนดไว้ หรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อนหน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จะโอนออกจากส่วนของเจ้าของและปรับปรุงกับมูลค่า ยุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ณ วันที่จัดประเภท รายการใหม่ ดังนั้นสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าวจึง วัดมูลค่า ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ เสมือนหนึ่งว่า วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่ายมาโ ดย ตล อ ด การปรับปรุงนี้กระทบต่อกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นแต่ ไม่กระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ดังนั้นการปรับปรุง ดังกล่าวจึงไม่ถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการ ใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 เรื่อง การนําเสนอ งบการเงิน ) การจัดประเภทรายการใหม่นี้ไม่ก่อให้เกิด การปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงและการวัดมูลค่าของ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.1) 5.6.6 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุนเป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น สินทรัพย์ทาง การเงินดังกล่าวยังคงวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมต่อไป ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.2 สําหรับแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการ กําหนดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงและค่าเผื่อผลขาดทุน ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ ) 5.6.7 หากกิจการจัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทาง การเงิน จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเป็นประเภทที่วัดมูลค่าด้วย

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 234 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน สินทรัพย์ทาง การเงินดังกล่าวยังคงวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมต่อไป และให้โอนผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อน หน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นออกจากส่วนของเจ้าของ ไปยังกําไรหรือขาดทุนซึ่งถือเป็นการปรับปรุงการจัด ประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) ณ วันที่จัดประเภทรายการใหม่ 5.2.1 หลังจากการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่า สินทรัพย์ทางการเงิน ด้วยวิธี 5.2.1.1 หลักทรัพย์เพื่อค้า ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 5.2.1.2 หลักทรัพย์เผื่อขาย ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น 5.2.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด ด้วย วิธีราคาทุน ตัดจําหน่าย 5.2.1.4 ลูกหนี้และเงินให้กู้ยืม ด้วย วิธีราคาทุนตัดจําหน่าย 5.2.1.5 ตราสารอนุพันธ์ ด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน 5.2.1 ภายหลังการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก กิจการต้องวัดมูลค่า สินทรัพย์ทางการเงินตามข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.1 ถึง 4.1.5 ด้วย 5.2.1.1 ราคาทุนตัดจําหน่าย 5.2.1.2 มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หรือ 5.2.1.3 มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน จัดประเภทตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ แต่โดยหลักการการวัดมูลค่าไม่ แ ต ก ต่ำ ง จำ ก มำ ต ร ฐำ น กำ ร รำ ย งำ น ทางการเงิน ฉบับที่ 9 5.2.2 กิจการต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าในบทที่ 5.5 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่จัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ เผื่อขายตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.2 สินทรัพย์ทาง การเงินที่จัดประเภทเป็นตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด ตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.3 และลูกหนี้และเงินให้ กู้ยืมตามที่กําหนดไว้ในย่อหน้าที่ 4.1.1.4 5.2.2 กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อกําหนดเรื่องการด้อยค่าใน หมวดที่ 5.5 สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วย ราคาทุนตัดจําหน่ายตามย่อหน้าที่ 4.1.2 และสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 4.1.2 ก จัดประเภทตามแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ แต่โดยหลักการการวัดมูลค่าไม่ แตกต่างจากมาตรฐานการรายงานทาง การเงิน ฉบับที่ 9

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 235 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 5.5.1 กิจการต้องบันทึกการด้อยค่าของตราสารทุนซึ่งจัดประเภทเป็น หลักทรัพย์เผื่อขายเข้ากําไรหรือขาดทุนทันทีที่มีหลักฐาน สนับสนุนว่าหลักทรัพย์นั้นด้อยค่า อย่างไรก็ดี กิจการต้องรับรู้ ค่าเผื่อผลขาดทุนในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและไม่ปรับลด มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ทางการเงินตราสารทุนในงบฐานะ การเงิน ทั้งนี้หลักฐานสนับสนุนว่าหลักทรัพย์เผื่อขายเกิดการ ด้อยค่า มีดังต่อไปนี้ 5.5.1.1 กิจการที่ออกหลักทรัพย์กําลังประสบปัญหาทาง การเงินอย่างมีสาระสําคัญ 5.5.1.2 การผิดสัญญา เช่น การไม่จ่ายชําระ หรือการผิดนัด สัญญา ในการจ่ายชําระดอกเบี้ยและเงินต้น 5.5.1.3 ผู้ให้กู้ยืมยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระหนี้ให้แก่ ผู้ออกหลักทรัพย์ เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือ ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญญาทางการเงินของ ผู้ออกหลักทรัพย์ซึ่งหากเป็นกรณีอื่นผู้ให้กู้ยืมจะไม่ พิจารณาอนุมัติ 5.5.1.4 มีความเป็นไปได้สูงที่กิจการผู้ออกหลักทรัพย์จะ ล้มละลายหรือฟื้นฟูกิจการหรือปรับโครงสร้างทาง การเงิน 5.5.1.5 หลักทรัพย์นั้นไม่มีการซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่อง อีกต่อไปเนื่องจากปัญหาทางการเงิน 5.5.1.6 มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการลดลงในประมาณการ กระแสเงินสดในอนาคตจากกลุ่มของสินทรัพย์ทาง การเงินตั้งแต่การรับรู้ดังกล่าวเมื่อเริ่มแรก ซึ่งถึงแม้ว่า - ไ ม่มี - จากความแตกต่างในย่อหน้าที่ 5.6.8 ที่จะ กล่าวต่อไป โดยแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้กําหนดให้รับรู้ผลกําไรขาดทุนในงบ กําไรขาดทุนสําหรับตราสารทุนที่จัดประเภท เป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย จึงต้องมีการ พิจารณาการด้อยค่า โดยการพิจารณาการด้อยค่าของตราสารทุน ใช้หลักการเดียวกับมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินระหว่างประเทศที่บริษัท ประกันภัยในต่างประเทศที่ใช้ข้อยกเว้นการ ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการชั่วคราวใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 236 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล การลดลงจะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของสินทรัพย์ รายการใดในกลุ่ม ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ 5.5.1.6.1 การเปลี่ยนแปลงในทางลบของความสามารถ ในการชําระเงินของผู้ออกหลักทรัพย์ ( เช่นการเพิ่มขึ้นของจํานวนของจํานวน เงินกู้ยืมประเภทบัตรเครดิตซึ่งมีการใช้ สินเชื่อเต็มจํานวนและจ่ายชําระรายเดือน ด้วยจํานวนเงินขั้นตํ่า ) หรือ 5.5.1.6.2 สภาพเศรษฐกิจในระดับประเทศหรือใน ระดับท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับการไม่ ปฏิบัติตามสัญญาของสินทรัพย์ในกลุ่ม ( เช่นการเพิ่มขึ้นของอัตรา การว่างงานใน ภูมิภาคของผู้ออกหลักทรัพย์ การลดลง ของราคาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณที่ เดียวกันกับที่ใช้ในการจํานอง การลดลง ของราคานํ้ามันสําหรับเงินให้สินเชื่อแก่ ผู้ผลิตนํ้ามัน หรือการเปลี่ยนแปลงในทาง ลบของสภาพอุตสาหกรรมที่กระผู้ออก หลักทรัพย์ 5.5.1.7 นอกเหนือจากประเภทของเหตุการณ์ที่ระบุในย่อ หน้าที่ 5.5.1.1 ถึง 5.5.1.6 หลักฐานที่ชัดเจนของ การด้อยค่าสําหรับการลงทุนในตราสารทุนรวมถึง ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญที่มี ในทางลบค่าสภาพแวดล้อมทางด้านเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิจ และกฎหมาย ที่ผู้ออกหลักทรัพย์

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 237 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ประกอบกิจการอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้นทุนการลงทุน ในตราสารทุนนั้นอาจไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ การลดลงอย่างมีสาระสําคัญหรืออย่างต่อเนื่องของ มูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุนจนตํ่ากว่า ราคาทุนถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของการด้อยค่า 5.6.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทาง การเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมต้องรับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน เว้นแต่ 5.6.1.1 เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.7 ถึง 6.5.13 และหากกิจการ มีการป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความ เสี่ยงอัตราดอกเบี้ยแบบเป็นกลุ่ม (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิ จ กำ ร สามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป ) หรือ 5.6.1.2 เป็นหนี้สินทางการเงินที่กิจการเลือกกําหนดให้แสดง ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และกิจการ ต้องแสดงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในความ เสี่ยงด้านเครดิตของหนี้สินในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ อื่นตามย่อหน้าที่ 4.4.1.4 5.6.1.3 เป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย และกิจการต้องรับรู้การ เปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.6.8 5.7.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สิน ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมต้องรับรู้ในกําไร หรือขาดทุน เว้นแต่ 5.7.1.1 เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของการ ป้องกันความเสี่ยง ( ดูย่อหน้าที่ 6.5.8 ถึง 6.5.14 และหากกิจการมีการป้องกันความ เสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมของความเสี่ยงอัตรา ดอกเบี้ยแบบเป็นกลุ่ม (fair value hedge for a portfolio hedge of interest rate risk) กิจการสามารถเลือกถือปฏิบัติตามแนว ปฏิบัติที่ใช้อยู่ต่อไป ) 5.7.1.2 เป็นการลงทุนในตราสารทุนและกิจการเลือก ที่จะแสดงผลกําไรหรือขาดทุนจากเงินลงทุน ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5 5.7.1.3 เป็นหนี้ สิน ทา ง กำ ร เ งิ น ที่กิ จ กำ ร เ ลื อ ก กําหนดให้แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุน และกิจการต้องแสดงผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้าน เครดิตของหนี้สินในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.7.7 หรือ เป็นการปรับปรุงถ้อยคํา เพื่อให้สอดคล้อง กับการจัดประเภทในแนวปฏิบัติทางการ บัญชีฉบับนี้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 238 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 5.7.1.4 เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 4.1.2 ก และกิจการต้องรับรู้ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.10 5.6.8 ผลกําไรหรือขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ต้องรับรู้ในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ยกเว้นผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ( ดูหมวดที่ 5.5) และผลกําไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศของตราสารหนี้ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.2 ถึง ข 5.6.2 ก ) จนกระทั่งมีการตัดรายการหรือจัดประเภทรายการ ใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เมื่อมีการตัดรายการ สินทรัพย์ทางการเงิน ผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ ก่อนหน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นให้จัดประเภทรายการใหม่ จากส่วนของเจ้าของไปยังกําไรหรือขาดทุนซึ่งถือเป็นการ ปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 เรื่อง การนําเสนองบการเงิน ) หากมีการจัดประเภท รายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินออกจากประเภทที่วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น กิจการ ต้องถือปฏิบัติกับผลสะสมของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อน หน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ดอกเบี้ยที่คํานวณโดยใช้วิธี ดอกเบี้ยที่แท้จริงให้รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน สําหรับแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศของตราสารทุน ให้ดูย่อหน้าที่ ข 5.6.3 5.7.10 ผลกําไรหรือขาดทุนของสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อ หน้าที่ 4.1.2 ก ต้องรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ยกเว้นผลกําไรหรือขาดทุนจากการด้อยค่า ( ดูหมวดที่ 5.5) และผลกําไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ ( ดูย่อหน้าที่ ข 5.7.2 ถึง ข 5.7.2 ก ) จนกระทั่งมีการเลิกรับรู้รายการหรือ จัดประเภทรายการ ใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เมื่อมีการเลิกรับรู้ รายการสินทรัพย์ทางการเงิน ผลสะสมของผลกําไรหรือ ขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อนหน้าในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นให้ จัดประเภทรายการใหม่จากส่วนของเจ้าของไปยังกําไร หรือขาดทุนซึ่งถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภท รายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) หากมีการ จัดประเภทรายการใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงินออก จากประเภทที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น กิจการต้องถือปฏิบัติกับผลสะสม ของผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ไว้ก่อนหน้าในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.7 ดอกเบี้ยที่ คํานวณโดยใช้วิธีดอกเบี้ยที่แท้จริงให้รับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 กําหนดให้เฉพาะการตัดรายการตราสารหนี้ ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเท่านั้นที่ให้รับรู้ผลสะสม กําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นไปยังกําไรหรือขาดทุน ในแนว ปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ จึงปรับถ้อยคํา เพื่อให้ทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนยังคง รับรู้กําไรขาดทุนในงบกําไรขาดทุนเมื่อมีการ ตัดรายการ รวมทั้งได้ตัดการอ้างอิงการจัด ประเภทรายการใหม่ตามย่อหน้าที่ 5.6.5 และ 5.6.7 ของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 ออก รายละเอียด ตามที่กล่าวถึงในย่อหน้าที่ 4.4.1 ด้านบน โดยการรับรู้กําไรขาดทุนจากการตัดรายการ ของตราสารทุนเผื่อขาย ใช้หลักการเดียวกับ มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศที่บริษัทประกันภัยในต่างประเทศที่ ใช้ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 239 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้ 6.1.1 การบัญชีป้องกันความเสี่ยงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลกระทบ ในงบการเงิน ซึ่งเกิดจากกิจกรรมการบริหารความเสี่ยงของ กิจการที่ใช้เครื่องมือทางการเงินในการจัดการฐานะเปิดที่ เกิดขึ้นจากความเสี่ยงนั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกําไรหรือ ขาดทุน วิธีการดังกล่าวมีเป้าหมายในการแสดงถึงบริบทของ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงภายใต้การบัญชีป้องกันความ เสี่ยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่ เกิดขึ้น 6.1.1 การบัญชีป้องกันความเสี่ยงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดง ผลกระทบในงบการเงิน ซึ่งเกิดจากกิจกรรมการบริหาร ความเสี่ยงของกิจการที่ใช้เครื่องมือทางการเงินในการ จัดการฐานะเปิดที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยงนั้นๆ ซึ่งอาจ ส่งผลกระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ( หรือกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ในกรณีของเงินลงทุนในตราสารทุนที่กิจการ เลือกแสดงการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5) วิธีการดังกล่าว มีเป้าหมายในการแสดงถึงบริบทของเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยงภายใต้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่ เกิดขึ้น ตัดการอ้างอิงการเลือกการกําหนดให้ ตราสารทุนแสดงการเปลี่ยนแปลงใน มูลค่ายุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เนื่องจากในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ มีหลักการจัดประเภทตราสารทุนที่แตกต่าง จากมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 6.2.2 กิจการอาจเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ หรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความ เสี่ยง ยกเว้นหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนที่การเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้าน เครดิตของหนี้สินดังกล่าวแสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตาม ข้อกําหนดในย่อหน้าที่ 5.6.5 สําหรับการป้องกันความเสี่ยง เงินตราต่างประเทศ องค์ประกอบของความเสี่ยงเงินตรา ต่างประเทศของสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์หรือหนี้สิน กิจการอาจเลือกกําหนดให้สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ หรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ยกเว้นหนี้สินทางการเงินที่เลือกกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนที่การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรม อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในความเสี่ยงด้านเครดิตของ หนี้สินดังกล่าวแสดงในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามข้อกําหนดใน ย่อหน้าที่ 5.7.7 สําหรับการป้องกันความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศ องค์ประกอบของความเสี่ยงเงินตราต่างประเทศของสินทรัพย์ทาง การเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์หรือหนี้สินทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์อาจ เลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงถ้าไม่ใช่เงิน ตัดการอ้างอิงการเลือกการกําหนดให้ตรา สารทุนแสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เนื่องจากในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ยังคงมีการรับรู้กําไรขาดทุนจากการตัด รายการตราสารทุนเผื่อขายในงบกําไร ขาดทุน ในย่อหน้าที่ 6.5.7.2 ที่จะกล่าวถึง ต่อไป จะมีข้อกําหนดให้รับรู้ผลกําไรขาดทุน จากการป้องกันความเสี่ยงของรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงในกําไรขาดทุน กล่าวคือแม้ว่าตราสารทุนเผื่อขายจะรับรู้การ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 240 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ทางการเงินที่ไม่ใช่อนุพันธ์อาจเลือกกําหนดให้เป็นเครื่องมือที่ ใช้ป้องกันความเสี่ยง ลงทุนในตราสารทุนซึ่งกิจการเลือกแสดงการเปลี่ยนแปลงมูลค่า ยุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5 เปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ก็ต้องนําผลกําไร ขาดทุนในส่วนที่มีการป้องกันความเสี่ยงมา รับรู้ในกําไรขาดทุน ( เช่น การเปลี่ยนแปลง ในมูลค่ายุติธรรมในส่วนที่เกิดจากอัตรา แลกเปลี่ยน ) - - ไม่มี - 6.5.3 หากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็นตราสารทุนที่ กิจการเลือกที่จะแสดงการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5 ฐานะเปิดที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงตามที่อ้างอิงในย่อหน้าที่ 6.5.2.1 ต้องเป็นรายการที่ ส่งผลกระทบต่อกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เฉพาะในกรณีนี้เท่านั้น ให้แสดงความไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันความเสี่ยงที่รับรู้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ยังคงมี การรับรู้กําไรขาดทุนจากการตัดรายการตรา สารทุนเผื่อขายในงบกําไรขาดทุน ดังนั้น ฐานะเปิดจะไม่ได้อยู่ในกําไรขาด ทุน เบ็ดเสร็จอื่นทั้งหมด 6.5.7 ตราบที่การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมยังคงเข้าเงื่อนไข ตามย่อหน้าที่ 6.4.1 ให้กิจการถือปฏิบัติกับความสัมพันธ์ของ การป้องกันความเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 6.5.7.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความ เสี่ยงต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 6.5.7.2 ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงต้องนําไปปรับปรุง กับมูลค่าตามบัญชีของรายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงนั้น ( ถ้าสามารถปฏิบัติได้ ) และต้องรับรู้ในกําไร หรือขาดทุน ในกรณีที่รายการที่มีการป้องกันความ เสี่ยงเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือเป็นส่วนประกอบ ของสินทรัพย์ทางการเงิน ) ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า 6.5.8 ตราบที่การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรมยังคงเข้า เงื่อนไขตามย่อหน้าที่ 6.4.1 ให้กิจการถือปฏิบัติกับ ความสัมพันธ์ของการป้องกันความเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 6.5.8.1 ผลกําไรหรือขาดทุนจากเครื่องมือที่ใช้ป้องกัน ความเสี่ยงต้องรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ( หรือ ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หากใช้เครื่องมือ ที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในการป้องกันความ เสี่ยงตราสารทุนที่กิจการนั้นเลือกที่จะแสดง การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5) 6.5.8.2 ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความ เสี่ยงของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง ตัดการอ้างอิงการเลือกการกําหนดให้ตรา สารทุนแสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เนื่องจากในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ยังคงมีการรับรู้กําไรขาดทุนจากการตัด รายการตราสารทุนเผื่อขายในงบกําไร ขาดทุน จึงให้รับรู้ผลกําไรขาดทุนจากการ ป้องกันความเสี่ยงของรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงในกําไรขาดทุน หลักการนี้เป็นหลักการเดียวกับมาตรฐาน การรายงานทางการเงินระหว่างประเทศที่

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 241 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.2.1.2 ให้รับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกัน ความเสี่ยงของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงใน กําไรหรือขาดทุน ในกรณีที่รายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงนั้นเป็นสัญญาผูกมัดที่ยังไม่ได้รับรู้รายการ ( หรือส่วนประกอบของสัญญาผูกมัด ) ผลสะสมของ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงนับตั้งแต่การเลือกกําหนดให้เป็น รายการที่การป้องกันความเสี่ยงให้รับรู้เป็นสินทรัพย์ หรือหนี้สิน พร้อมกับรับรู้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นผลกําไรหรือขาดทุนในกําไรหรือขาดทุน ต้องนําไปปรับปรุงกับมูลค่าตามบัญชีของ รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้น ( ถ้า สามารถปฏิบัติได้ ) และต้องรับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน ในกรณีที่รายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ( หรือ เป็นส่วนประกอบของสินทรัพย์ทางการเงิน ) ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 4.1.2 ก ให้ รับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนจากการป้องกันความ เสี่ยงของรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงใน กําไรหรือขาดทุน อย่างไรก็ตาม หากรายการ ที่มีการป้องกันความเสี่ยงเป็นตราสารทุนที่ กิจการเลือกที่จะแสดงการเปลี่ยนแปลงของ มูลค่ายุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามย่อหน้าที่ 5.7.5 ผลกําไรหรือขาดทุนจาก การป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวต้องคงไว้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ในกรณีที่รายการที่ มีการป้องกันความเสี่ยงนั้นเป็นสัญญาผูกมัด ที่ยังไม่ได้รับรู้รายการ ( หรือส่วนประกอบของ สัญญาผูกมัด ) ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลง ในมูลค่ายุติธรรมของรายการที่มีการป้องกัน ความเสี่ยงนับตั้งแต่การเลือกกําหนดให้เป็น รายการที่การป้องกันความเสี่ยงให้รับรู้เป็น สินทรัพย์หรือหนี้สิน พร้อมกับรับรู้การ บริษัทประกันภัยในต่างประเทศ ที่ใ ช้ ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 242 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล เปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลกําไรหรือขาดทุน ในกําไรหรือขาดทุน 6.5.14.3 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าตามเวลาของสิทธิ เลือกที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง แบบช่วงเวลาสัมพันธ์ต้องรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นใน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้น และ ต้องสะสมในส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของ มูลค่าตามเวลา ณ วันที่มีการเลือกกําหนดให้สิทธิเลือกเป็น เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่กับรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงต้องตัดจําหน่ายอย่างเป็นระบบและ สมเหตุสมผลตลอดระยะเวลาที่การปรับปรุงการป้องกันความ เสี่ยงสําหรับมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกส่งผลกระทบต่อกําไร หรือขาดทุน ดังนั้น ในแต่ละรอบระยะเวลารายงาน จํานวนเงินที่ ตัดจําหน่ายส่วนต้องจัดประเภทรายการใหม่จากส่วนประกอบ แยกต่างหากของส่วนของเจ้าของไปกําไรหรือขาดทุน โดยถือ เป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการ บัญชี ฉบับที่ 1) อย่างไรก็ตาม หากมีการยกเลิกการบัญชี ป้องกันความเสี่ยงสําหรับความสัมพันธ์ของการป้องกันความ เสี่ยงที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกเป็น เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง กิจการต้องจัดประเภทรายการ ใหม่ในทันทีสําหรับจํานวนเงินสุทธิ ( กล่าวคือ รวมการตัด จําหน่ายสะสม ) ที่สะสมไว้ในส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วน ของเจ้าของต้องไปยังกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุง การจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) 6.5.15.3 การเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าตามเวลา ของสิทธิเลือกที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงแบบช่วงเวลาสัมพันธ์ต้องรับรู้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายการที่ มีการป้องกันความเสี่ยงนั้น และต้องสะสมใน ส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของ มูลค่า ตามเวลา ณ วันที่มีการเลือกกําหนดให้สิทธิเลือกเป็น เครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงในส่วนที่กับรายการที่มี การป้องกันความเสี่ยงต้องตัดจําหน่ายอย่างเป็นระบบและ สมเหตุสมผลตลอดระยะเวลาที่การปรับปรุงการป้องกัน ความเสี่ยงสําหรับมูลค่าที่แท้จริงของสิทธิเลือกส่งผล กระทบต่อกําไรหรือขาดทุน ( หรือกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ อื่น หากรายการที่มีการป้องกันความเสี่ยงนั้นเป็นตราสาร ทุนที่กิจการเลือกที่จะแสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามย่อหน้าที่ 5.7.5) ดังนั้น ในแต่ละรอบระยะเวลารายงาน จํานวนเงินที่ตัด จําหน่ายส่วนต้องจัดประเภทรายการใหม่จากส่วนประกอบ แยกต่างหากของส่วนของเจ้าของไปกําไรหรือขาดทุน โดย ถือเป็นการปรับปรุงการจัดประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) อย่างไรก็ตาม หากมีการ ยกเลิกการบัญชีป้องกันความเสี่ยงสําหรับความสัมพันธ์ ของการป้องกันความเสี่ยงที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่ แท้จริงของสิทธิเลือกเป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันความเสี่ยง ตัดการอ้างอิงการเลือกการกําหนดให้ตรา สารทุนแสดงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ยุติธรรมในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น เนื่องจากในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ยังคงมีการรับรู้กําไรขาดทุนจากการตัด รายการตราสารทุนเผื่อขายในงบกําไร ขาดทุน จึงให้รับรู้ผลกําไรขาดทุนจากการ ป้องกันความเสี่ยงของรายการที่มีการ ป้องกันความเสี่ยงในกําไรขาดทุน หลักการนี้เป็นหลักการเดียวกับมาตรฐาน การรายงานทางการเงินระหว่างประเทศที่ บริษัทประกันภัยในต่างประเทศ ที่ใ ช้ ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 243 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล กิจการต้องจัดประเภทรายการใหม่ในทันทีสําหรับจํานวน เงินสุทธิ ( กล่าวคือ รวมการตัดจําหน่ายสะสม ) ที่สะสมไว้ ในส่วนประกอบแยกต่างหากของส่วนของเจ้าของต้องไป ยังกําไรหรือขาดทุน โดยถือเป็นการปรับปรุงการจัด ประเภทรายการใหม่ ( ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1) 6.7.3.2 เครื่องมือทางการเงินที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิตไม่ได้ กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน หากไม่มีการเลือกกําหนดดังกล่าว 6.7.3.2 เครื่องมือทางการเงินที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเครดิต ไม่ได้กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุนหากไม่มีการเลือกกําหนดดังกล่าว ( กล่าวคือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของกิจการ ในขณะนี้ ดังนั้นจึงต้องมีการจัดประเภทรายการใหม่ ตามย่อหน้าที่ 4.4.1) ตัดการอ้างอิงโมเดลธุรกิจ เนื่องจากไม่ได้ใช้ กับการจัดประเภทรายการตามแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ 8.3 กิจการต้องเปิดเผยมูลค่าตามบัญชีของเครื่องมือทางการเงินแต่ ละประเภทในงบฐานะการเงินหรือในหมายเหตุประกอบงบ การเงิน ตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ 8.3.1 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดงระหว่าง (1) สินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในการรับรู้ รายการเมื่อเริ่มแรกหรือในภายหลังตามที่กําหนดใน ย่อหน้าที่ 6.7.1 และ (2) เงินลงทุนในหลักทรัพย์ เพื่อค้าและสินทรัพย์ทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่ กําหนดในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 8 กิจการต้องเปิดเผยมูลค่าตามบัญชีของเครื่องมือทาง การเงินแต่ละประเภทในงบฐานะการเงินหรือในหมาย เหตุประกอบงบการเงิน ตามที่กําหนดในมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 ดังต่อไปนี้ 8.1 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดง ระหว่าง (1) สินทรัพย์ทางการเงินที่กิจการ กําหนดให้ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือในภายหลังตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ (2) สินทรัพย์ทางการเงินที่ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 กําหนดคํานิยามเพื่อให้สอดคล้องกับการจัด ประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1 ในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ อย่างไรก็ตามโดย หลักการแล้วไม่มีความแตกต่างกับนิยาม ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 อย่างมีสาระสําคัญ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 244 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 8.3.2 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดงระหว่าง (1) หนี้สิน ทางการเงินที่กิจการกําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรกหรือในภายหลังตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และ (2) หนี้สินทางการเงินที่เป็นไปตามคํานิยามการ ถือไว้เพื่อค้าในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ 8.3.3 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 8.3.4 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจําหน่าย 8.3.5 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น โดยให้แยกแสดง ระหว่าง (1) เงินลงทุนในตราสารหนี้ และ (2) เงิน ลงทุนในตราสารทุนตามที่กําหนดในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุน 8.2-8.4 ( ย่อหน้าเหล่านี้ไม่ใช้ ) 8.5 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุน โดยให้แยกแสดงระหว่าง (1) หนี้สินทางการเงินที่กิจการกําหนดให้วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกหรือในภายหลัง ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 ของมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ (2) หนี้สินทางการเงินที่เป็นไปตามคํานิยามการถือ ไว้เพื่อค้าในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 8.6 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 8.7 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 8.8 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นโดยให้ แยกแสดงระหว่าง (1) สินทรัพย์ทางการเงินที่ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.2 ก ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ (2) เงินลงทุนในตราสารทุนที่กิจการ กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 245 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในการรับรู้รายการเมื่อ เริ่มแรกตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.7.5 ของ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 - - ไ ม่มี - เงินลงทุนในตราสารทุนที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น 11 ก ในกรณีที่กิจการกําหนดให้เงินลงทุนในตราสารทุนวัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามที่อนุญาตในย่อหน้าที่ 5.7.5 ของมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูล ต่อไปนี้ 11 ก .1 เงินลงทุนในตราสารทุนซึ่งกิจการกําหนดให้วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น 11 ก .2 เหตุผลของการใช้ทางเลือกในการแสดงรายการ ดังกล่าว 11 ก .3 มูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนดังกล่าวแต่ละ รายการ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 11 ก .4 เงินปันผลที่รับรู้ในระหว่างรอบระยะเวลา รายงานโดยให้แยกแสดงเงินปันผลที่เกี่ยวข้อง กับเงินลงทุนที่ถูกเลิกรับรู้ในระหว่างรอบ ระยะเวลารายงานออกจากเงินปันผลที่เกี่ยวข้อง กับเงินลงทุนที่ถือไว้ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลา รายงาน กําหนดการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สอดคล้อง กับการจัดประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 246 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 11 ก .5 การโอนผลสะสมของกําไรหรือขาดทุนภายใน ส่วนของเจ้าของในระหว่างรอบระยะเวลา รายงาน รวมทั้งเหตุผลของการโอนดังกล่าว 11 ข ในกรณีที่กิจการเลิกรับรู้เงินลงทุนในตราสารทุนที่วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นใน ระหว่างรอบระยะเวลารายงาน กิจการต้องเปิดเผยข้อมูล ต่อไปนี้ 11 ข .1 เหตุผลของการจําหน่ายเงินลงทุนดังกล่าว 11 ข .2 มูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ณ วันที่เลิกรับรู้ รายการ 11 ข .3 ผลสะสมของกําไรหรือขาดทุนจากการจําหน่าย รายการดังกล่าว 8.7 ก .2 คําอธิบายเชิงคุณภาพของผลกระทบต่องบการเงินของกิจการ 12 ข .2 คําอธิบายอย่างละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ ( business model) แ ล ะ คํำ อ ธิ บำ ย เ ชิ ง คุ ณ ภำ พ ข อ ง ผลกระทบต่องบการเงินของกิจการ กําหนดการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สอดคล้อง กับการจัดประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1 ซึ่ง ไม่ได้อ้างอิงหลักการของโมเดลธุรกิจในการ จัดประเภทตราสารการเงิน 8.7 ง กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสําหรับการขายหรือการโอนเปลี่ยน ประเภทตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนดในหมายเหตุ ประกอบงบการเงิน ดังต่อไปนี้ 8.7 ง .1 จํานวนต้นทุนตัดจําหน่ายของหลักทรัพย์ที่มีการขาย หรือการโอนเปลี่ยน 8.7 ง .2 จํานวนรวมของรายการกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้น 8.7 ง .3 จํานวนรวมของรายการกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่ยัง ไม่เกิดขึ้น - ไม่มี - กําหนดการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สอดคล้อง กับการจัดประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 247 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 8.7 ง .4 สถานการณ์อาจทําให้กิจการต้องเปลี่ยนความตั้งใจที่ จะถือตราสารหนี้ไปจนครบกําหนดโดยที่ไม่จําเป็นต้อง ทบทวนความตั้งใจที่จะถือตราสารหนี้รายการอื่นไปจน ครบกําหนด ตามย่อหน้าที่ 4.1.5 ของแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ ที่ทําให้กิจการขายหรือโอนเปลี่ยน ตราสารนั้น 8.15.1 ผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากรายการต่อไปนี้ 8.15.1.1 สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่วัด มูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน โดย ให้แยกแสดงระหว่างผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่ เกิดจากสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน ที่กําหนดให้วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไร หรือขาดทุนในการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือใน ภายหลังตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 และผล กําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากสินทรัพย์ทาง การเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ต้องวัดมูลค่าด้วย มูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนด ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ( เช่น หนี้สินทาง การเงินที่เป็นไปตามคํานิยามถือไว้เพื่อค้าในแนว ปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ) สําหรับหนี้สินทาง การเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน กิจการต้องแยกแสดงระหว่างผลกําไรหรือ ขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและจํานวน เงินที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 20.1 ผลกําไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากรายการต่อไปนี้ 20.1.1 สินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินที่ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน โดยให้แยกแสดงระหว่างผลกําไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงินที่กําหนดให้วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนในการ รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก หรือในภายหลังตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 6.7.1 ของมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และผลกําไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิที่เกิดจากสินทรัพย์ทางการเงิน หรือหนี้สินทางการเงินที่ต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนดใน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 ( เช่น หนี้สินทางการเงินที่เป็นไปตามคํานิยาม ถือไว้เพื่อค้าในมาตรฐานการรายงานทาง การเงิน ฉบับที่ 9) สําหรับหนี้สินทางการเงินที่ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุนกิจการต้องแยกแสดงระหว่างผลกําไร กําหนดการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สอดคล้อง กับการจัดประเภทตามย่อหน้าที่ 4.1.1

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 248 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล 8.15.1.2 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 8.15.1.3 ตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกําหนด 8.15.1.4 เงินลงทุนในตราสารทุนซึ่งจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ เผื่อขาย 8.15.1.5 หลักทรัพย์เผื่อขายตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.3 โดยแยกแสดงระหว่างผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหว่างรอบระยะเวลา รายงานและผลกําไรหรือขาดทุนที่จัดประเภท รายการใหม่จากกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสะสมไป ยังกําไรหรือขาดทุนสําหรับรอบระยะเวลารายงานเมื่อ มีการตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงิน หรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น และจํานวนเงินที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุน 20.1.2-20.1.4 ( ย่อหน้าเหล่านี้ไม่ใช้ ) 20.1.5 หนี้สินทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 20.1.6 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัด จําหน่าย 20.1.7 เงินลงทุนในตราสารทุนที่กําหนดให้วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ อื่นตามที่กําหนดในย่อหน้ ำที่ 5.7.5 ของ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 20.1.8 สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.2 ก ของมาตรฐานการ รายงานทางการเงินฉบับที่ 9 โดยแยกแสดง ระหว่างผลกําไรหรือขาดทุนที่รับรู้ในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นในระหว่างรอบระยะเวลารายงาน และผลกําไรหรือขาดทุนที่จัดประเภทรายการ ใหม่จากกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสะสมไปยัง กําไรหรือขาดทุนสําหรับรอบระยะเวลารายงาน เมื่อมีการเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์ทางการเงิน คํานิยาม กําหนดคํานิยามเพิ่มเติมสําหรับคําว่า “ เงินลงทุน ” “ หลักทรัพย์ เพื่อค้า ” “ หลักทรัพย์เผื่อขาย ” “ ตราสารหนี้ที่ถือจนครบ กําหนด ” - ไม่มี - เพื่อกําหนดคํานิยามของคําที่ใช้ในแนว ปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ ในมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 มีนิยามของ

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 249 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล “ การถือไว้เพื่อค้า ” ตามที่กล่าวไปแล้วใน ย่อหน้าที่ 4.1.3 ข้างต้น ข 3.1.6 วันจ่ายชําระ คือ วันที่สินทรัพย์ถูกส่งมอบแก่หรือส่งมอบโดย กิจการ การบัญชีวันชําระ ณ วันจ่ายชําระจะเกี่ยวข้องกับ (1) การรับรู้สินทรัพย์ในวันที่กิจการได้รับสินทรัพย์นั้น และ (2) การตัดรายการสินทรัพย์และรับรู้กําไรหรือขาดทุนใดๆ จาก การขาย ในวันที่กิจการได้ส่งมอบสินทรัพย์ เมื่อการบัญชีวัน ชําระถูกนํามาถือปฏิบัติ ให้กิจการบันทึกบัญชีสําหรับการ เปลี่ยนแปลงใดๆ ในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่จะได้รับ ระหว่างวันซื้อขายและวันจ่ายชําระในลักษณะเดียวกับการบันทึก บัญชีสําหรับสินทรัพย์ที่ได้มา กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงใน มูลค่าจะไม่ถูกรับรู้สําหรับสินทรัพย์ที่ใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย แต่ รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนสําหรับสินทรัพย์ที่จัดประเภทเป็น สินทรัพย์ทางการเงินที่แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือ ขาดทุน และรับรู้ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสําหรับสินทรัพย์ ทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 5.2.1.2 วันจ่ายชําระ คือ วันที่สินทรัพย์ถูกส่งมอบแก่หรือส่งมอบโดย กิจการ การบัญชีวันชําระ ณ วันจ่ายชําระจะเกี่ยวข้องกับ (1) การรับรู้สินทรัพย์ในวันที่กิจการได้รับสินทรัพย์นั้น และ (2) การเลิกรับรู้รายการสินทรัพย์และรับรู้กําไรหรือขาดทุนใดๆ จาก การขาย ในวันที่กิจการได้ส่งมอบสินทรัพย์ เมื่อการบัญชีวันชําระ ถูกนํามาถือปฏิบัติ ให้กิจการบันทึกบัญชีสําหรับการเปลี่ยนแปลง ใดๆ ในมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่จะได้รับระหว่างวันซื้อขาย และวันจ่ายชําระในลักษณะเดียวกับการบันทึกบัญชีสําหรับ สินทรัพย์ที่ได้มา กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าจะไม่ถูกรับรู้ สําหรับสินทรัพย์ที่ใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย แต่รับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุนสําหรับสินทรัพย์ที่จัดประเภทเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และรับรู้ในกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสําหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่า ยุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นตามที่กําหนดในย่อหน้าที่ 4.1.2 ก และสําหรับเงินลงทุนในตราสารทุนที่บันทึกบัญชีตามที่ กําหนดในย่อหน้าที่ 5.7.5 ปรับปรุงถ้อยคํา โดยหลักการยังคงเหมือน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 คือทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนที่วัดมูลค่า ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่น ให้รับรู้การเปลี่ยนแปลงใน มูลค่ายุติธรรมระหว่างวันที่ซื้อขาย และวันที่ จ่ายชําระ ในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ข 3.2.15 ใ นกรณีที่การโอนสินทรัพย์ทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขเป็นการตัด รายการผู้รับโอนไม่ต้องรับรู้สินทรัพย์ที่โอนเป็นสินทรัพย์ของตน ผู้รับโอนต้องตัดรายการเงินสดหรือสิ่งตอบแทนจ่ายอื่น และรับรู้ ลูกหนี้ที่เกิดจากผู้โอน หากผู้โอนมีทั้งสิทธิและภาระผูกพันในการ ซื้อการควบคุมในสินทรัพย์ที่โอนทั้งจํานวนกลับคืนมาด้วย จํานวนเงินที่แน่นอน ( เช่น ภายใต้สัญญาซื้อคืน ) ผู้รับโอนอาจวัด มูลค่าลูกหนี้โดยใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย ใ นกรณีที่การโอนสินทรัพย์ทางการเงินไม่เข้าเงื่อนไขเป็นการเลิกรับรู้ รายการผู้รับโอนไม่ต้องรับรู้สินทรัพย์ที่โอนเป็นสินทรัพย์ของตน ผู้รับโอนต้องเลิกรับรู้รายการเงินสดหรือสิ่งตอบแทนจ่ายอื่น และ รับรู้ลูกหนี้ที่เกิดจากผู้โอน หากผู้โอนมีทั้งสิทธิและภาระผูกพันใน การซื้อการควบคุมในสินทรัพย์ที่โอนทั้งจํานวนกลับคืนมาด้วย จํานวนเงินที่แน่นอน ( เช่น ภายใต้สัญญาซื้อคืน ) ผู้รับโอนอาจวัด ตัดการอ้างอิงถึงย่อหน้าที่ 4.1.2 เนื่องจาก การจัดประเภทรายการในแนวปฏิบัติ ทางการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้ใช้หลักการ ประเมินโมเดลธุรกิจ และกระแสเงินสดซึ่ง เป็นการจ่ายเพียงเงินต้นและดอกเบี้ยจาก ยอดคงเหลือของเงินต้นในวันที่กําหนดไว้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 250 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล มูลค่าลูกหนี้โดยใช้ราคาทุนตัดจําหน่าย ถ้าเข้าเงื่อนไขที่ระบุในย่อ หน้าที่ 4.1.2 - - ไม่มี - โมเดลธุรกิจของกิจการในการจัดการสินทรัพย์ทางการเงิน ข 4.1.1 ย่อหน้าที่ 4.1.1.1 กําหนดให้กิจการจัดประเภท สินทรัพย์ทางการเงินตามโมเดลธุรกิจของกิจการในการ จัดการสินทรัพย์ทางการเงิน เว้นแต่เป็นไปตามที่กําหนด ในย่อหน้าที่ 4.1.5 ในการประเมินว่าสินทรัพย์ทางการ เงินของกิจการมีลักษณะเป็นไปตามข้อกําหนดในย่อ หน้าที่ 4.1.2.1 หรือย่อหน้าที่ 4.1.2 ก .1 หรือไม่ ให้กิจการพิจารณาจากโมเดลธุรกิจซึ่งกําหนดโดย ผู้บริหารสําคัญของกิจการ ( ตามคํานิยามในมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 24 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน ) ข 4.1.2 - ข 4.1.6 ตัดออกเนื่องจากแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ไม่ได้ใช้หลักการประเมินโมเดลธุรกิจ - - ไม่มี - กระแสเงินสดตามสัญญาซึ่งเป็นการจ่ายเพียงเงินต้นและ ดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือของเงินต้น ข 4.1.7 ย่อหน้าที่ 4.1.1.2 กําหนดให้กิจการจัดประเภท สินทรัพย์ทางการเงินบนพื้นฐานของลักษณะของกระแส เงินสดตามสัญญา ถ้าสินทรัพย์ทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้ โมเดลธุรกิจของกิจการที่มีวัตถุประสงค์ที่จะถือสินทรัพย์ เพื่อรับกระแสเงินสดตามสัญญา หรือภายใต้โมเดลธุรกิจ ของกิจการที่มีวัตถุประสงค์ทั้งที่จะถือสินทรัพย์เพื่อรับ กระแสเงินสดตามสัญญาและขายสินทรัพย์ทางการเงิน ถ้าไม่ได้ถือปฏิบัติตามย่อหน้าที่ 4.1.5 ในการกระทํา เช่นนั้น เงื่อนไขในย่อหน้าที่ 4.1.2.2 และ 4.1.2 ก .2 ตัดออกเนื่องจากแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้ไม่ได้ใช้หลักการประเมินกระแส เงินสดซึ่งเป็นการจ่ายเพียงเงินต้นและ ดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือของเงินต้นในวันที่ กําหนดไว้

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 251 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล กําหนดให้กิจการพิจารณาว่ากระแสเงินสดตามสัญญา ของสินทรัพย์เป็นการจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยจากยอด คงเหลือของเงินต้น ข 4.1.7 ก – ข 4.1.26 ข 4.3.1 เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาของสัญญาแบบผสม ย่อหน้าที่ 4.3.2 กําหนดให้กิจการต้องระบุอนุพันธ์แฝงนั้น และประเมินว่า จําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลักหรือไม่ ในกรณีที่ จําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลัก กิจการต้องวัดมูลค่า อนุพันธ์ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่รับรู้รายการเมื่อเริ่มแรกและ วัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน ข 4.3.1 เมื่อกิจการเข้าเป็นคู่สัญญาของสัญญาแบบผสมที่สัญญา หลักไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในขอบเขตของมาตรฐาน การรายงานทางการเงินฉบับนี้ ย่อหน้าที่ 4.3.3 กําหนดให้กิจการต้องระบุอนุพันธ์แฝงนั้น และประเมิน ว่าจําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลักหรือไม่ ในกรณี ที่จําเป็นต้องแยกแสดงจากสัญญาหลัก กิจการต้องวัด มูลค่าอนุพันธ์ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่รับรู้รายการ เมื่อเริ่มแรกและวัดมูลค่าภายหลังด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกําไรหรือขาดทุน ตัดคําว่าสัญญาผสมที่สัญญาหลักไม่ได้เป็น สินทรัพย์ที่อยู่ในขอบเขตมาตรฐานการ รายงานทางการเงินฉบับนี้ออก เพราะแนว ปฏิบัติทางการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้ใช้หลักการ ประเมินโมเดลธุรกิจและลักษณะกระแสเงิน สดทั้งสัญญาของสัญญาผสม แต่ใช้หลักการ แยกอนุพันธ์แฝง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับ มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่าง ประเทศที่บริษัทประกันภัยในต่างประเทศที่ ใช้ข้อยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เป็นการ ชั่วคราวใช้ - - ไม่มี - ข 4.4.1 ย่อหน้าที่ 4.4.1 กําหนดให้กิจการจัดประเภทรายการ ใหม่สําหรับสินทรัพย์ทางการเงิน หากโมเดลธุรกิจใน การจัดการสินทรัพย์ทางการเงินเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นบ่อย ผู้บริหารระดับสูงของกิจการกําหนดการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและ ภายนอก ซึ่งมีนัยสําคัญต่อการดําเนินงานของกิจการ และสามารถพิสูจน์แก่บุคคลภายนอกได้ ดังนั้นการ เปลี่ยนแปลงในโมเดลธุรกิจของกิจการจะเกิดขึ้นได้ก็ ตัดออกเนื่องจากแนวปฏิบัติทางการบัญชีฉบับ นี้ไม่ได้ใช้หลักการประเมินโมเดลธุรกิจในการ จัดประเภทรายการสินทรัพย์ทางการเงิน

แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 33/2566 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 252 ย่อหน้าที่ แนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลสําหรับธุรกิจประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 และ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 7 เหตุผล ต่อเมื่อกิจการเริ่มต้นหรือสิ้นสุดสภาพในการดําเนิน กิจกรรมที่มีนัยสําคัญต่อการดําเนินงานของกิจการ เช่น เมื่อกิจการซื้อ จําหน่ายหรือยกเลิกกลุ่มธุรกิจ ตัวอย่าง ของการเปลี่ยนแปลงในโมเดลธุรกิจรวมถึงรายการ ต่อไปนี้ - - ไม่มี - ข 5.7.1 ย่อหน้าที่ 5.7.5 อนุญาตให้กิจการสามารถเลือกแสดง การเปลี่ยนแปลงของมูลค่ายุติธรรมของการลงทุนใน ตราสารทุนที่ไม่ได้ถือไว้เพื่อค้า ไว้ในกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็ จ อื่ น โ ด ย เมื่อ เ ลื อ ก แ ล้ ว จ ะ ไ ม่สำ มำ ร ถ เปลี่ยนแปลงวิธีการบัญชีได้อีก และให้เลือกนี้วิธีการเป็น รายตราสาร ( หรือรายหุ้น ) ทั้งนี้ จํานวนเงินที่แสดงใน กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จะไม่สามารถโอนไปเป็นกําไร หรือขาดทุนในภายหลัง อย่างไรก็ดี กิจการอาจโอนผล สะสมของกําไรหรือขาดทุนภายในส่วนของเจ้าของได้ เงินปันผลจากการลงทุนดังกล่าว จะรับรู้ในกําไรหรือ ขาดทุน ตามย่อหน้าที่ 5.7.6 เว้นแต่เงินปันผลดังกล่าว จะแสดงอย่างชัดเจนว่าเป็นการได้รับคืนของต้นทุน การลงทุน ตัดออกเนื่องจากแนวปฏิบัติทางการบัญชี ฉบับนี้กําหนดให้ตราสารหนี้และตราสารทุน ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการถือครอง แน่นอน ต้องจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ เผื่อขาย