Mon Oct 31 2022 00:00:00 GMT+0000 (Coordinated Universal Time)

พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)


พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)

ประกาศ เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นสมควรให้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งเป็นแผนพัฒนา ฯ ที่ภาคีทุกภาคส่วนในสังคมไทยทุกระดับ ได้มีส่วนร่วมดำเนินการ เพื่อใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังมีสาระสาคัญตามที่แนบท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2570 ประกาศ ณ วันที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 256 5 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ้ หนา 1 ่ เลม 139 ตอนพิเศษ 258 ง ราชกิจจานุเบกษา 1 พฤศจิกายน 2565

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ สิบสาม พ.ศ. 2566 – 2570 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี

ปฐมบท แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570 ) มี สถานะ เป็นแผนระดับที่ 2 ซึ่งเป็นกลไกที่สาคัญในการแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ และใช้เป็นกรอบสาหรับการจัดทา แผนระดับที่ 3 เพื่อให้การดาเนินงานของภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องสามารถสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามกรอบระยะเวลาที่คาดหวังไว้ได้ โดย พระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเ ศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 บัญญัติให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ส่งผลให้กรอบระยะเวลา 5 ปีของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เริ่มต้น ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ครอบคลุมปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งเป็นระยะ 5 ปีที่สอง ของยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 อยู่บนความตั้งใจที่จะให้ แผนมีจุดเน้น และเป้าหมาย ของการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม สามารถบ่งบอก ทิศทางการพัฒนาที่ ชัดเจนที่ ประเทศควรมุ่งไปใน ระยะ 5 ปี ถัดไป โดยเป็นผลที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งสถานะของทุนในมิติต่าง ๆ บทเรียน ข อ ง กำ ร พั ฒ นำ ที่ ผ่ำ น มำ ต ล อ ด จ น กำ ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ข อ ง ปั จ จั ย แ ล ะ เ งื่ อ น ไ ข ที่ จ ะ มี อิท ธิ พ ล ต่อองคาพยพต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนให้ภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนเข้ามามีส่ วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวางตั้งแต่ในขั้นตอนการกาหนดกรอบทิศทางของแผนไปจนถึง การยกร่างแผน นอกจากนี้ การจัดทาแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยัง อยู่ใน ช่วงเวลาที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญ กับ ข้อจากัดหลากหลายประการที่เป็นผลสืบเนื่อง จากสถานการณ์ กา ร แพร่ระบาดของโควิด - 19 ซึ่ง ไม่เพียงแต่ ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชากร แต่ยังส่งผลให้เกิดเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการดาเนินชีวิต ของประชาชนทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยัง เป็นช่วงเวลาที่มีแนวโน้ม ของ การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การเป็นสังคมสูงวัยของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างประเทศ ดังนั้น การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศท่ามกลางกระแสแนวโน้มการเปลี่ยน แปลง ดังกล่าว จึงต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความผันแปรที่เกิดขึ้นรอบด้าน และคานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในการกาหนดทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้ประเทศสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้ “ ประเทศไทย มีความมั่ นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ” ตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติ ได้อาศัยหลักการและแนวคิด 4 ประการ ดังนี้ 1 . หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสืบสาน รักษา ต่อยอดการพัฒนาตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ผ่านการกาหนดทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างมี เหตุผล ความพอประมาณ ภูมิคุ้มกัน บนฐานของความรู้ คุณธรรม และความเพียร โดยคานึงถึงความ สอดคล้องกับสถานการณ์และเงื่ อนไข ระดับประเทศและระดับโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ และศักยภาพของทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางสังคม และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ให้ความสาคัญกับการเสริมสร้าง ความสมดุล

ในมิติต่าง ๆ ทั้งความสมดุลระหว่างการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันกับต่างปร ะเทศกับความสามารถ ในการพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง ความสมดุลของการกระจายโอกาสเพื่อลดความเหลื่อมล้าระหว่างกลุ่มคน และพื้นที่ และความสมดุลทางธรรมชาติเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการบริหารจัดการองคาพยพต่าง ๆ ของประเทศให้ พร้อมรับกับความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายนอกและภายในประเทศ นอกจากนี้ ในการวางแผนและการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติต้องอาศัย องค์ความรู้ทางวิชาการที่รอบด้านและพิจารณาด้วยความรอบคอบ ควบคู่กับการยึดถือผลประโยชน์ ของประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และมุ่งมั่นผลักดันให้การพัฒนาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 . การสร้างความสามารถในการ “ ล้มแล้ว ลุกไว ” โดยมุ่งเน้นการ พัฒนา ใน 3 ระดับ ประกอบด้วย 1 ) การพร้อมรับ หรือ ระดับ “ อยู่รอด ” ใน การ แก้ไขข้อจากัดหรือจุดอ่อนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นผลให้ประชาชน ประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต หรือทำให้ประเทศมีความเปราะ บางต่อ การ เปลี่ยนแปลง จากภายนอกและภายใน รวมถึงการสร้างความ พร้อม ใน ทุกระดับในการ รับมือกับสภาวะวิกฤติ ที่อาจเกิดขึ้น ให้สามารถฟื้นคืนสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว 2 ) การปรับตัว หรือ ระดั บ “ พอเพียง ” ใน การ ปรับเปลี่ยน ปัจจัยที่จำเป็นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ในระดับครอบครัว ชุมชน พื้นที่ และประเทศ รวมถึง ปรับ ทิศทาง รูปแบบ และแนวทางการพัฒนาให้สอดรับกับ กระแสการ เปลี่ยนแปลง ของโลกยุคใหม่ และ 3 ) การเปลี่ยนแปลง เพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ ระดับ “ ยั่งยืน ” ใน การผลักดัน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ในมิติต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสามารถของบุคคลและสังคม ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้ประเทศสามารถ เติบโต ได้อย่างมี คุณภาพและยั่งยืน 3 . เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ของสหประชาชาติ โดยกำหนดทิศทางการพัฒนาที่อยู่ บนพื้นฐานของแนวคิด “ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” มุ่ง เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งในมิติ ของการมีปัจจัยที่จำเป็นสาหรับการดารงชีวิตขั้นพื้นฐานที่เพียงพ อ การมีสภาพแวดล้อมที่ดี การมีปัจจัย สนับสนุนให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การมีโอกาสที่จะใช้ศักยภาพของตน ในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และการมุ่ง ส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีไปยังคนรุ่นต่อไป 4 . การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เ ศรษฐกิจสีเขียว โดยให้ความสำคัญกับ การ ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สมัยใหม่ และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากฐาน ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภา พ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต การให้บริการ และการบริโภคเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สารบัญ หน้า ส่วนที่ 1 บทบาท ความสำคัญ และสถานะของแผ น 1 ส่วนที่ 2 บริบทการพัฒนาประเทศ 5 2 . 1 บริบทการพัฒนาประเทศในมิติ ด้าน เ ศรษฐกิจ 6 2 . 2 บริบทการพัฒนาประเทศในมิติ ด้าน สังคมและทรัพยากรมนุษย์ 9 2 . 3 บริบทการพัฒนาประเทศในมิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 12 2 . 4 บริบทการพัฒนาประเทศในมิติ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ 16 ส่วนที่ 3 วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหมุดหมายการพัฒนา 19 3 . 1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา 20 3 . 2 หมุดหมายการพัฒนา 22 ส่วนที่ 4 แผนกลยุทธ์รายหมุดหมาย 25 หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 26 หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 36 หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก 44 หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 54 หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่ สำ คัญ ของภูมิภาค 64 หมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมดิจิทัลของอาเซียน 72

หมุดหมายที่ 7 ไทยมี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 80 หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 89 หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังค ม ที่เพียงพอ เหมาะสม 97 หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ 105 หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 113 หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ การพัฒนาแห่งอนาคต 121 หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน 132 ส่วนที่ 5 การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ 139 5 . 1 หลักการ ขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ 140 5 . 2 แนวทางการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ 141 5 . 3 การติดตามและประเมินผล 143

1 ส่วนที่ 1 บทบาท ความสาคัญ และสถานะของ แผน

2 การดาเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศก่อนที่จะมีการประกาศใช้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580 ) ได้อาศัยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแผนหลัก เพื่อเป็นกรอบในการวางแผนปฏิบัติราชการและแผนในระดับปฏิบัติต่าง ๆ รวมถึงการจัดทาคาของบประมาณ รายจ่ายประจาปีให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ผ่านมา จึงกาหนดประเด็นการพัฒนาประเทศในภาพกว้างที่ ต้อง ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทุกระดับ สามารถเชื่อมโยงภารกิจและจัดทาแผนปฏิบัติราชการและ คาของบประมาณให้อยู่ภายใต้กรอบการสนับสนุน เป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ดังนั้น จุดเน้นของแต่ละยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ผ่านมา จึง มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแต่ละด้านเป็นหลัก เพื่อมุ่งหมายให้ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนการพัฒนาของแ ต่ละมิตินำไปสู่การบูรณาการผลรวมที่สนับสนุนการดำเนินงานซึ่งกันและกัน และส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในภาพใหญ่ที่กาหนดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาฯ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา รูปแบบการจัดทำแผนเพื่อวางกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศได้มีการปรับเปลี่ยนไปอย่าง มีนัยสาคัญ โดยมาตรา 65 ภายใต้หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ได้กาหนดให้ รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็น เป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทาแผน ต่าง ๆ และกรอบงบประมาณรายจ่ายประจาปีให้สอดคล้องและบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกัน ไปสู่เป้าหมาย การพัฒนาประเทศที่กาหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การถ่ายทอดยุทธศาสตร์ชาติไปสู่ การปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบนั้น ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็น แผ นระดับที่ 1 จะทาหน้าที่เป็น กรอบทิศทางการพัฒนาประเทศในภาพ รวม ที่ครอบคลุมการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาประเทศ ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ด้วยกระบวนการ มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยมี แผนระดับที่ 2 เป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดแนวทางการขับเคลื่อนประเทศในมิติต่าง ๆ ของยุทธศาสตร์ชาติ ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ทำหน้าที่ ในการถ่ายทอดเป้าหมายและประเด็นยุทธศาสตร์ของยุทธศาสตร์ชาติลงสู่แผนระดับต่าง ๆ โดยคานึงถึง ประเด็นร่วมหรือปร ะเด็นตัดข้ามระหว่างยุทธศาสตร์และการประสานเชื่อมโยงเป้าหมายของแต่ละแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน แผนการปฏิรูปประเทศ ทาหน้าที่เป็นแผนที่ มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยน แก้ไขปัญหา อุปสรรคเร่งด่วนเชิงโครงสร้าง กลไก หรือกฎระเบียบ เพื่อให้รากฐาน

3 การพัฒนาภายในประเทศมีความเหมาะสม เท่าทันกับบริบทการพัฒนาที่ประเทศต้องการมุ่งเน้น ขณะที่ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ทาหน้าที่เป็นกรอบหรือทิศทางในการดาเนินการ ป้องกัน แจ้งเตือน แก้ไข หรือ ระงับยับยั้งภัยคุกคามเพื่อธารงไว้ซึ่ งความมั่นคงแห่งชาติ และ มี แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทาหน้าที่เป็น แผนระบุทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาที่ประเทศควรให้ ความสำคัญและมุ่งดำเนินการ ของยุทธศาสตร์ชาติ โดยคำนึงถึงพลวัตและเงื่อนไขการพัฒนาที่ประเทศเผชิญอยู่ เพื่อเป็นแนวทางให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับจุดเน้นการดาเนินงานมุ่งสู่ การเสริมสร้างความสามารถของประเทศ ให้สอดรับ ปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป โดย ระบุ ทิศทาง การพัฒนา อย่าง ชัดเจน ส่งผลให้การพัฒนา ประ เทศตั้งแต่ระดับทิศทาง โครงสร้าง นโยบาย ตลอดจนกลยุทธ์และกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ มีความเชื่อมโยงกันทุกระดับ และจะเป็น พลั งในการนำพำ ประเทศไปสู่การบรรลุเป้าหมายระยะยาว อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเด็นการพัฒนา ที่ สำคัญนอกเหนือจากที่ระบุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ จะยังคงได้รับการเน้นย้าให้ความสำคัญและขับเคลื่อนผ่านแผนระดับ 2 อื่น ๆ ที่อยู่ในระนาบเดียวกัน โดยแผนระดับที่ 2 ทั้ง 4 แผน จะเป็นกลไกที่ ช่วยถ่ายทอดแนวทางการขับเคลื่อนประเทศในมิติต่าง ๆ ภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติใน แผนระดับที่ 3 ซึ่งเป็นแผนเชิงปฏิบัติที่ระบุการดาเนินงานภายใต้แผนงาน โครงการที่ มี ความชัดเจนตามภารกิจของหน่วยงาน ภาค รัฐ เพื่อที่จะสนับสนุน ให้ แผนระดับที่ 2 และยุทธศาสตร์ ชาติให้บรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้บนความสอดคล้องเชื่อมโยงกันของแผนทุกระดับ ดังนั้น เพื่อให้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570 ) สามารถ ระบุทิศทางและประเด็นการพัฒนาที่ประเทศควรให้ความสาคัญและมุ่งดาเนินการในระยะ 5 ปีที่สองของ ยุทธศาสตร์ชาติ จึงจำเป็นต้องมีการ ปรับกระบวนทัศน์ในการจัดทำแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570 ) ให้เป็นแผนที่มีความชัดเจนในการกาหนดทิศทางและเป้าหมายการพัฒนา ประเทศ ที่ต้องการมุ่งเน้นและบรรลุผลภายในห้วงเวลาของแผน ให้สามารถชี้ชัดถึงเป้าหมายหลัก ที่ประเทศไทย ต้องดาเนินการให้เกิดผล และเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายย่อยในมิติที่เกี่ยวข้องแต่ละด้านที่ต้องเร่งดาเนินการหรือ ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เป้าหมายหลักบรรลุผล สามารถเสริมสร้างให้ประเทศสามารถปรับปรุงจุดอ่อน ลดข้อจากัดที่มีอยู่เดิม และพัฒนาศักยภาพให้สอดรับกับพลวัตและเงื่อนไขใหม่ของโลก เพื่อให้ประเทศไทย สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน และความซับซ้อนที่มากขึ้นของโลกยุคใหม่

4 แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงได้ถูกจัดทาขึ้น ให้เป็นแผนที่มีความชัดเจนในการกาหนดทิศทางและ เป้าหมายการพัฒนาประเทศที่ต้องการมุ่งเน้น โดยเริ่มต้นจากการสังเคราะห์ วิเคราะห์แนวโน้ม พร้อมทั้ง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นทั้งภายในประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อประเมิน ความท้าทาย และโอกาสในการพัฒนาประเทศภายใต้บริบทเงื่อนไขข้อจำกัดที่ประเทศไทยต้องเผชิญ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยพิจารณาองค์ประกอบของการพัฒนาประเทศในมิติด้านต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงหรือเป็นองค์ประกอบของประเด็นยุทธศาสตร์ที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติอย่างรอบด้ำน ก่อนนำมาสู่การกำหนดจุดเน้นเชิงเป้าหมายที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญและมุ่งเน้นดาเนินงานให้บรรลุผล ในระยะของแผนพัฒนาฯ เพื่อให้ประเทศพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนา ประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างสัมฤทธิ์ผล

5 ส่วนที่ 2 บริบทการพัฒนาประเทศ

6 การพิจารณาแนวทางการพัฒนาประเทศ ใน ช่วงเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 จาเป็น ที่จะ ต้องอาศัยความเข้าใจ ใน บริบทสถานการณ์การพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญในการรับมือกับ สภาพแวดล้อมภายนอกที่มีความผันแปรสูงและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและสามารถเป็นได้ทั้งโอกาส ที่ช่วยเสริมสร้างประโยชน์ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤ ติ ที่ ส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลกทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ยิ่งเป็น แรงกระตุ้นให้ประเทศไทยต้องเร่งดาเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายโดยเร็ว ภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การสังเคราะ ห์บริบทการพัฒนารวมถึงสถานะของทุนในมิติต่าง ๆ ของประเทศไทยในช่วงขอ ง แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงมาจากการรวบรวม ประมวลผลการพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งยังคงมีหลายประเด็นที่ต้องได้รับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ การ ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ที่นามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์ ของการพัฒนาทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิงและส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายมิติ ตลอดจน การคาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก ที่สาคัญหลายประการที่คาดว่าจะส่งผลต่อทิศทาง การพัฒนำประเทศไทยต่อไปในอนาคต เพื่อให้สามารถ ประเมินทิศทางและรูปแบบของเงื่อนไข สภาพแวดล้อม พร้อมทั้งสถานะของทุนในมิติต่าง ๆ ของประเทศไทย ในปัจจุบันที่เป็นปัจจัยสำคัญ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ทิศทางที่มุ่งหวัง และเตรียมความพร้อมในการปรับตัวท่ามกลางกระแส การเป ลี่ยนแปลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของโลกยุคใหม่ โดยการวางกลยุทธ์การพัฒนาประเทศที่มีจุดเน้น ชัดเจนและเหมาะสมกับบริบททั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อปรับแก้ไขข้อจากัดเดิม และใช้ศักยภาพที่มีในการสร้างสรรค์โอกาสที่จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน ท่ามกลางกระแ สการเปลี่ยนแปลง ที่ซับซ้อนได้อย่างเท่าทัน เพื่อให้เกิดการกระจายประโยชน์ที่เกิดขึ้นไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศ ได้อย่างเท่าเทียมและเป็นรูปธรรม 2 . 1 บริบทการพัฒนาประเทศใน มิติ ด้าน เศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดย ประสิทธิภาพ ที่อาศัย ประสิทธิภาพของภาคการผลิตและคุณภาพสินค้าในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสาคัญกับการลงทุนพัฒนาปัจจัยสนับสนุน อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การฝึกอบรมแรงงาน ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน ขนาดของตลาด การพัฒนาตลาดการเงิ น ความพร้อมของเทคโนโลยี ซึ่งแม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงประสบปัญหา ด้านประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร รวมทั้งยังมีอุปสรรคในการยกระดับประสิทธิภาพของตลาดสินค้า ตลาดแรงงาน และประสิทธิภาพของภาครัฐ ที่มีความล่าช้า เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่เริ่มพัฒนา ในช่วงเวลาเดียวกันและสามารถก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้สาเร็จไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ ประเทศไทย ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานาน จากการจัดสรรทรัพยากรระหว่าง ภาคเศรษฐกิจที่ผ่านมาที่ทำให้รูปแบบการขยา ยตัวทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถขับเคลื่อนสู่ การเป็นประเทศรายได้สูง อีกทั้งยังไม่สามารถตอบสนองต่อโอกาสและทิศทางแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ในระดับโลกต่าง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ แม้ว่าประเทศไทยจะมีจุดแข็งในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยการใช้กลไกทาง การคลัง และการบริหารจัดการนโยบายภาครัฐ แต่ยังคงมีปัญหาจาก ปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การพึ่งพาต่างประเทศในสัดส่วนสูง ทั้งเงินลงทุน เทคโนโลยี ปัจจัยการผลิต ตลาดสาหรับการส่งออก

7 แต่บทบาทและอานาจต่อรองในห่วงโซ่มูลค่าโลกอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ รวมทั้งขีดจากัดเชิ งผลิตภาพ ของเศรษฐกิจโดยรวมที่เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับรายได้ และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความอ่อนไหว ต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลายประการ โดย ภาคการผลิตอุตสาหกรรม ที่เป็นส่วนสาคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตช้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน อุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการรับจ้างผลิตหรืออยู่ใน ภาคการผลิตเดิมที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่มากนัก ข้อจากัดของผลิตภาพแรงงานและความเข้มข้นของการใช้ เทค โนโลยี ระดับการลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญาและการสะสมทุนยังไม่เพียงพอต่อการส่งเสริมความสามารถ ในการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง ส่วนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งอาศัยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมหรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในไทยยังมีขนาดเล็กและมี สัดส่วนมูลค่าเพิ่ม ที่สร้างภายในประเทศและการใช้วัตถุดิบในประเทศไม่สูง เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีหรือวัตถุดิบหลัก โดยตรงและมีข้อจากัดในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยพบว่า ผลิตภาพการผลิตรวม ของไทยขยายตัวเฉลี่ย เพียงร้อยละ 2 . 1 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มประเทศรำยได้ปานกลางระดับสูงอื่น ๆ จากข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะ และคุณภาพแรงงาน การเพิ่มผลิตภาพการผลิตรวมของไทยจึงเป็นไปอย่างล่าช้าและมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญ กับความเสี่ยงจากกระแสความท้าทายต่าง ๆ อาทิ พัฒนาการที่รวดเร็วของเทคโนโลยี โครงสร้างประชากรและ พฤติกรรมผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไป ความขัดแย้งของการค้าโลกที่ทาให้ การ แข่งขันในตลาดโลกรุนแรงขึ้น ขณะที่ ภาคบริการ ส่วนใหญ่ยังคงมีรูปแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานทักษะน้อยเป็นหลัก ไม่เน้นการใช้เทคโนโลยี จึงเป็นการให้บริการด้วยการใช้กาลังแรงงานที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ต่า และ เติบโตในเชิงของปริมาณมากกว่า คุณภาพ ส่วนภาคบริการสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะแรงงานขั้นสูงยังมีขนาดเล็ก เมื่อโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ส่งผลกระทบต่อการดาเนินธุรกิจ ในเกือบทุกสาขา พบว่าเศรษฐกิจไทยมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศในระดับสูง โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวลงถึงร้อยละ 6 . 1 ซึ่งรุนแรงกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่มีค่าเฉลี่ย การหดตัว ทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 3 . 5 โดยภาคบริการของไทยที่นอกเหนือจากบริการภาครัฐ เป็นส่วนที่ ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยหดตัวลงถึงร้อยละ 7 . 4 โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีความสาคัญอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจไทย จากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 2 . 18 ล้านล้านบาทในปี 2563 ส่งผล ถึงร้อยละ 70 ต่อ การหดตัวของเศรษฐกิจทั้งประเทศ สาหรับภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบรองลงมา คือ ภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงร้อยละ 5 . 9 และภาคเกษตรกรรมหดตัวลงร้อยละ 3 . 6 ซึ่งความเสียหายทาง เศรษฐกิจในวงกว้างนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้ น ชั่วโมงการทางานลดลง และ ส่งผล ให้ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ความสามารถในการชำระหนี้ของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจไทย มีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ที่มีรายได้น้อย ที่มีอัตราการก่อหนี้ระยะสั้น เพื่อการอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่ได้สร้างรายได้และมีภาระผ่อนต่อเดือนสูงเพิ่มมากขึ้น จึงมีความอ่อนไหว ต่อรายได้ที่ถูกกระทบโดยตรง ซึ่งภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลฉุดรั้งการบริโภคภาคเอกชน อย่างต่อเนื่ องในอนาคต และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในภาพรวมต่อไปได้ สะท้อนให้เห็นถึง ความเปราะบางของโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย ที่มีข้อจากัดในการรองรับสถานการณ์วิกฤติและบริบท การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปราะบางแ ละข้อจำกัดในการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เหนี่ยวรั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถ

8 ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการแข่งขันในเวทีโลกที่เข้มข้นขึ้น จากความท้าทายของการเ ปลี่ยนแปลงบริบทโลกยุคใหม่ทั้งทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยการจัดอันดับ โดยสถาบันการจัดการนานาชาติในปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันทาง เศรษฐกิจ อยู่ในอันดับที่ 28 จากทั้งหมด 64 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ลดลงจากอันดับที่ 27 เมื่อปี 2560 ส่วนหนึ่งมาจากการที่ระบบเศรษฐกิจไทยเน้นแข่งขันด้านต้นทุนและราคามากกว่าการลงทุนพัฒนา เชิงคุณภาพหรือการสร้างคุณค่า ทาให้ไม่สามารถตอบสนองต่อโอกาสที่มาจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ในระดับโลกได้อย่างเต็มที่ ทั้งกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบการใช้ ชีวิตบนความปกติใหม่ ที่เป็นปัจจัยเร่งให้ธุรกิจออนไลน์ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่กลับถูกครองตลาด โดยแพลตฟอร์มต่างชาติ ก่อให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและการเข้าถึงต้นทุนสินค้าจากต่างชาติที่ถูกกว่า การนาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เข้ำมาใช้ทดแทนแรงงานมากขึ้นในหลายสาขาการผลิต ในขณะที่ แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะและความรู้ที่เหมาะสม และมีภาวะการหดตัวของกาลังแรงงานจากการเป็น สังคมสูงวัย ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกดาเนินนโยบายยกระดับการปกป้องทางการค้าและลดการพึ่งพา การนำเข้า ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็ นปัจจัยกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการส่งออกของไทยได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อจำกัดและความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายประการ แต่ประเทศไทยยังคง มีสถานะของ ทุนทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ จากการมีพื้นฐานทางทรัพยากรที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานและ ระบบโลจิสติกส์ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าได้มาตรฐานสากล และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า และบริการตามความต้องการของตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยรองรับการปรับตัวเพื่อสร้างประโยชน์จากโอกาส ที่มาพร้อมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกอันจะส่ งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ ความต้องการของผู้บริโภค การ เปลี่ยนรูปแบบการดาเนินธุรกิจ การปรับห่วงโซ่อุปทาน และการย้ายฐาน การผลิต อาทิ การเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะสร้างงานใหม่ ๆ ที่ต้องการทักษะด้านเทคโนโลยีและเพิ่มความต้องการ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะมาก ขึ้น การเข้าสู่สังคมสูงวัยส่งผลให้สินค้าและบริการในอุตสาหกรรมการแพทย์ และสุขภาพเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก กระแสความตระหนักด้านสุขภาพจะเพิ่มอุปสงค์ต่อสินค้าเกษตร ปลอดภัยและผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ตลอดจนความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมจะเพิ่มความต้องการใช้พลังงาน ส ะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งนามาซึ่งการผลักดันให้ภาค ธุรกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและใส่ใจกับความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสสาหรับประเทศไทย ในการโยกย้ายทรัพยากรจากฐานการผลิตเดิมไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐ กิจจากการขับเคลื่อนภาคการผลิต และบริการแห่งอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงและให้ความสาคัญกับความยั่งยืนตามแนวทางและเป้าหมาย ของยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงระยะเวลาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงจาเป็นต้อง เร่งรัดผลักดัน การปรับโครงสร้างเศรษ ฐกิจภาคการผลิตเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนวัตกรรมและมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เน้นการสร้างคุณค่าให้แก่สินค้าและบริการเชิงคุณภาพ พร้อมทั้ง ให้ความสาคัญกับการกระจายผลประโยชน์สู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม โดยถ่ายทอดแนวคิดในการพลิกโฉมประเทศสู่นโยบายและแผนในระดับต่าง ๆ ที่สนับสนุนการยกระดับ ภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ทั้งเพื่อพลิกฟื้นสภาวะทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด - 19 และผลักดันการพัฒนาสาขาการผลิตที่จะมีบทบาทในการขับเคลื่อน กา รเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะต่อไป โดยเร่งต่อยอดอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ และมีความได้เปรียบ ประยุกต์ผสมผสานกับเทคโนโลยีในการยกระดับผลิตภาพในภาพรวมให้สามารถ

9 ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาที่สั้นลง โดยการลงทุนวิจัยและพัฒ นาต่อยอดจาก องค์ความรู้เดิมเพื่อสร้างนวัตกรรมให้เกิดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของไทยที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน พร้อมไปกับการสร้าง อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้ากับทิศทาง การเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก เพื่อลดข้อจากัดด้านขนาดของกาลังซื้ อภายในประเทศที่มีแนวโน้มหดตัวลง โดยการผลักดันให้มีการพัฒนาคุณภาพปัจจัยการผลิต พร้อมทั้งเสริมสร้างนิเวศการแข่งขันที่เป็นธรรม ยกระดับการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าโลก ตลอดจนใช้ประโยชน์จากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยได้มีการวาง ระบบไว้แล้วให้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมประ ยุกต์ใช้เทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมเพื่อปรับปรุงผลิตภาพของ แรงงาน ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายในการ ปรับเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่สร้าง มูลค่าเพิ่มสูง การพัฒนาในระยะต่อไปจึงอยู่ที่การเพิ่มศักยภาพของภาคการผลิต รวมถึงเร่งยกระดับคุณภาพ มาตรฐานสินค้าและบริการหลักของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่ มูลค่าโลก โดย มุ่งเป้าในการเร่งพัฒนาภาคการผลิตและบริการเป้าหมายรายสาขาที่สาคัญของประเทศ ได้แก่ 1 ) การยกระดับภาคการเกษตรสู่ การผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง ที่ใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีในการเพิ่มผลิตภาพ ลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ และเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตสู่อุตสาหกรรม อาหารมูลค่าสูง 2 ) การปรับเปลี่ยนภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคบริการที่ สาคัญของไทยให้เป็น การท่องเที่ยว ที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพ คุณค่า และความยั่งยืนมากกว่า ปริมาณจาก การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการที่สอดรับกับทิศทางและแนวโน้มของตลาดยุคใหม่ 3 ) การเปลี่ยนผ่าน อุตสาหกรรม ยานยนต์สู่ยานยนต์ไฟฟ้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยสนับสนุนการลงทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อ ยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้าน พลังงานและ ปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ อย่างเป็นระบบ 4 ) การผลักดันให้ไทยเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ และสุขภาพมูลค่าสูง โดยส่งเสริมการผลิตบุคลากร ยกระดับมาตรฐาน รวมถึงสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์ ต่อยอดจากผลการศึกษาวิจัยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในกระบวนการรักษาพยาบาลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ในการยกระดับสู่การให้บริการบนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง 5 ) การดำเนินยุทธศาสตร์ให้ป ระเทศไทย เป็น ประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สาคัญของภูมิภาค โดยเร่งยกระดับการเชื่อมต่อ ระหว่างพื้นที่ทั้งในและระหว่างประเทศ พร้อม ทั้ง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโลจิสติกส์ เพื่ออานวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน และ 6 ) การเร่งยกระดับอุ ตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ให้เป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมดิจิทัลของอาเซียน โดยปรับเปลี่ยน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิ ก ส์ของไทยจากการรับจ้างผลิตไปสู่การคิดค้นออกแบบ และเป็นเจ้าของเทคโนโลยีด้วยตนเอง 2 . 2 บริบทการพัฒนาประเทศใน มิติ ด้านสังคมและทรัพยากรมนุษย์ จากการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยประสบความสาเร็จในการแก้ปัญหาความยากจนในภาพรวม และมีแนวโน้ม สัดส่วนและจานวนคนจนในไทยลดลงอย่างต่ อเนื่อง โดยภายในช่วงระยะเวลาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 พบว่า สามารถลดสัดส่วนคนจนลงจากร้อยละ 8 . 6 ในปี 2559 เหลือร้อยละ 6 . 84 ในปี 2563 อย่างไรก็ดี เนื่องจากข้อจากัดด้านข้อมูลระดับประเทศในระยะยาว การติดตามประเมินผลการแก้ไขปัญหาความยากจน ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จึงเป็นค่าเฉลี่ยในภาพรวม ซึ่งไม่สามารถอธิบายพลวัตของความยากจนได้ว่าครัวเรือนยากจน ที่ต้องการความช่วยเหลือที่สุดจะสามารถหลุดพ้นความยากจนได้หรือไม่ โดยกลุ่มประชากรที่มีรายได้ต่าสุด มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4 . 6 ซึ่งต่ำกว่าเป้าห มายที่กำหนดไว้ที่เฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี

10 โดยปัจจัยสาคัญมาจากการกระจายผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง รายได้ประชาชาติ ที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจจึงไม่ได้ถูกจัดสรรให้แก่ประชากรทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม และมีคนจน ที่ยังคงติด อยู่ในกับดัก ความยากจนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโควิด - 19 ที่ก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ได้ส่งผลให้จำนวนคนจนเพิ่มสูงขึ้น โอกาส ในการหลุดพ้นจากกับดักความยากจนเป็นไปได้ยากขึ้น จนมีแนวโน้ม ที่จะส่งต่อ ความยากจน ข้ามรุ่น ไปยังลูกหลาน และยังเป็น การตอกย้ำปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย ทั้งความเหลื่อมล้ำของโอกาส ในการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงานที่มีคุณภาพ ความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณะ รวมไปถึงการขาดหลักประกันและสวัสดิการ ขั้ นพื้นฐานที่เพียงพอต่อ การสร้าง ความมั่นคงในชีวิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของประเทศ ในระยะยาวได้ การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่าเทียมของประเทศไทยก่อให้เกิดความเหลื่อมล้า ในหลายมิติ ทั้งในส่วนของ ความเหลื่อมล้าด้านรายได้ ระหว่างคนจนและคนรวยในระดับสูง ที่พบว่ารายได้ เฉลี่ยระหว่างกลุ่มคนที่จนที่สุดกับกลุ่มที่มีฐานะดีที่สุดมีความแตกต่างกันเกือบ 16 เท่า โดยกลุ่มรายได้สูง มีการเติบโตของรายได้ที่สูงขึ้นเร็วกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น อย่ำงต่อเนื่อง กลุ่มผู้มีรายได้สูงจึงมีโอกาสออมเงินและลงทุนในสินทรัพย์มากกว่า ส่งผลให้เกิด ความไม่เสมอภาคของการถือครองทรัพย์สิน โดยกลุ่มที่มีรายได้สูงสุดร้อยละ 10 มีการถือครองสินทรัพย์ ในประเทศที่มีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1 ใน 3 ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ บ่งบอกถึง ความเหลื่อมล้ำด้าน ความมั่งคั่ง ซึ่งมีสาเหตุที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึงในช่วง ที่ผ่านมา อีกทั้งยังพบ ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ จากการเจริญเติบโตและกระจุกตัวทางเศรษฐกิจ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการค้า ในขณะที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือซึ่งมีสัดส่วนประชากรถึง 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ มีสัดส่วนรายได้ ส่วนใหญ่มาจากภาคเกษตรกรรม กลับมีขนาดเศรษฐกิจต่ากว่าร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยมีรา ยได้ต่อหัวต่ากว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกว่า 2 เท่า และต่ากว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึง 3 – 4 เท่า ซึ่งนอกจากจะเป็นผลจากการกระจุกตัวของความเจริญทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีความแตกต่างด้านโครงสร้าง พื้นฐาน การจัดสรรทรัพยากร และคุณภาพทุนมนุษย์ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนา ในระดับพื้นที่ โดยกรุงเทพฯ และภาคกลาง มีดัชนีความก้าวหน้าของคนสูงกว่าภูมิภาคอื่นเกือบทุกด้าน สะท้อนให้เห็นถึง ความเหลื่อมล้าในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ อาทิ ด้านสุขภาพ การศึกษา ชีวิตการงาน รายได้ ตลอดจนการคมนาคมและการสื่อสาร นอกจากนี้ ประเทศไทยยัง มีปัญหา ความเหลื่อมล้าในการดาเนินธุรกิจ ระหว่างกิจการที่มีขนาดต่างกันในระดับสูง โดยกิจการรายใหญ่ของไทยที่เป็นกาลังหลักในการขับเคลื่อน มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศก็ยังคงมีความสามารถในการผลิตต่ำกว่าบริษัทข้ามชาติ ขณะที่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีจำ นวนกว่าร้อยละ 99 ของกิจการทั้งหมดและจ้างงานกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ กลับมีสัดส่วนมูลค่าต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพียงร้อยละ 34 . 2 ในปี 2563 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่สามารถเพิ่มบทบาทให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการขับเคลื่อนเ ศรษฐกิจของประเทศได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 50 โดยข้อจากัดในการเติบโต ของวิสาหกิจขนาดย่อมที่ไม่สามารถพัฒนาสู่การเป็นวิสาหกิจขนาดกลางได้ ประกอบด้วย การเข้าถึงเงินทุน เพื่อขยายกิจการ การพัฒนาผลิตภาพและระบบบริหารจัดการ ความเข้มข้นของการใช้เทคโนโลยี หรือการขยายตลาด ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น สะท้อนถึงปัญหาการขาดความสามารถในการปรับตัวและ

11 ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ทั้งเพื่อเผชิญวิกฤติ และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ปัญหาความเ หลื่อมล้ำในหลายมิติของประเทศไทยถูกฉายภาพให้เด่นชัดและทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อ ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 โดยพบว่าคนจนและผู้ด้อยโอกาส ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่าประชากรทั่วไป เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่มีเงินออมและขาดโอกาส ใน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีโอกาสถูกเลิกจ้างงานได้ง่าย อีกทั้งยังมีความเสี่ยงทางสุขภาพสูงจากการใช้บริการ ขนส่งสาธารณะและการมีที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแออัดไม่ถูกสุขลักษณะ โดยไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์สำหรับ ป้องกันและควบคุมโรคได้เท่าผู้ที่มีฐานะดี ในขณะที่ ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี ยังอาจนามาซึ่ง ปัญหา ความเหลื่อมล้าทางดิจิทัล เนื่องจาก ขาดความพร้อม ด้าน อุปกรณ์ ขาด ทักษะดิจิทัล ขาดทุนในการ เข้าถึง ระบบ อินเ ท อร์เน็ต ซึ่ง จะ ทาให้ ยิ่งขาดโอกาสในการมีส่วน ร่วมและ ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ การเข้าถึงการศึกษาและการฝึกอบรมพัฒนาทักษะ หรือกระทั่ง การได้รับ มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ในส่วนของโครงสร้างประชากรของประเทศ พบว่าสังคมไทยเข้าสู่การเป็น สังคมสูงวัย มาตั้งแต่ ปี 2548 โดยในปี 2563 มีจานวนประชากรผู้สูงอายุรวมกว่า 11 . 6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 . 57 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในปี 2566 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ไทยจะกลายเป็น สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ที่มีประชากรอายุมากกว่า 60 สูงถึงร้อยละ 20 . 1 ของประชากร ทั้งหมด สวนทางกับประชากรวัยเรียนและวัยแรงงานที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 3 - 21 ปี ที่จะมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงร้อยละ 20 . 66 ของประชากรทั้งหมดในปี 2570 หรือลดลง กว่า 715 , 000 คน ภายในช่วงระยะเวลาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ทั้งนี้ การเข้าสู่สังคมสูงวัยอาจส่งผลให้ ปัญหาความเหลื่อมล้าในประเทศทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้สูงอายุมักจะมีความเหลื่อมล้าทาง รายได้สูงกว่ากลุ่มผู้มีอายุน้อย และการที่ประชากรวัยแรงงานที่มีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจนามาซึ่ง ปัญหาขาดแคลนกาลังแรงงานในประ เทศ ตอกย้าความจาเป็นในการพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น และส่งผล กระทบทางเศรษฐกิจและสังคมต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสาคัญ ทั้งในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน และผลิตภาพแรงงาน รวมถึงความต้องการงบประมาณเพื่อเป็นสวัสดิการรองรับ วัยเกษียณ จากอัตรา การพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานและภาระทางการคลังในด้านการดูแลสุขภาพของ ผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของ การ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของ ประเทศ ไทยในภาพรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก ผลของการ ยกระดับสุขภาวะ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตาม ดัชนี การพัฒนามนุษย์ ของ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ สะท้อนว่า คนไทยทุกช่วงวัยมีความรู้ความสามารถ โดยรวมเพิ่มขึ้น แต่กลับพบว่ามีทักษะด้านการอ่านหรือการศึกษาหาความรู้ลดลง และ มีจานวนเยาวชน ที่ ไม่ได้เรียน และ ไม่ได้ทางานใด ๆ เพิ่มสูงขึ้ น ทาให้ ศักยภาพของเยาวชนกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกนา มาใช้ประโยชน์และ ไม่ได้รับการพั ฒ นา ซึ่งประเด็นด้าน การพัฒนา ทุน ทรัพยากรมนุษย์ เชิง คุณภาพ เป็น ความท้าทายที่สำคัญ ของไทย มาโดยตลอด จาก ระบบและ คุณภาพการศึกษา ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา อยู่ในเกณฑ์ต่า จากรายงาน ของ องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจเเละการพัฒนา ที่ทา การทดสอบความรู้ความเข้าใจของนักเรียน อายุ 15 ปี ทั่วโลก ในด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน พบว่านักเรียนไทย ร้อยละ 59 . 5 อยู่ในกลุ่ม ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และมีนักเรียนไทยเพียง ร้อยละ 0 . 18 ที่ทาคะแนนได้ในระดับสูงกว่าค่ามาตรฐาน ทั้งยังขาด ความเชื่อมโยงระหว่างระบบการศึกษา และ ตลาดแรงงาน และยังไม่มี ระบบฐานข้อมูลอุปสงค์และ อุปทานกาลังคนของประเทศเพื่อ ประกอบ การวางแผน พัฒนากาลังแรงงาน ที่จะช่วยระบุถึง สมรรถนะ และ

12 ทักษะที่จาเป็นของ งาน แต่ละอาชีพ ซึ่งเป็นสิ่ งที่ภาคธุรกิจให้ ความสาคัญมากกว่าคุณวุฒิทางการศึกษา จึงเป็น ข้อจำกัดในการผลิตและยกระดับทักษะแรงงานให้ สอดคล้องกับ ความต้องการของตลาดและทิศทาง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศสู่ฐานนวัตกรรม ที่ มีแนวโน้มความต้องการทักษะที่เกี่ยวข้อง กับวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยีมากยิ่งขึ้น อาทิ ความรอบรู้ด้านดิจิทัล การจัดการ ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ โค้ดดิ้ง รวมไปถึงทักษะที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ โดยเฉพาะทักษะทางพฤติกรรม อาทิ ทักษะมนุษย์ การคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานเป็นทีม หรือความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้ แนวโน้มโครงสร้างประชากรที่ คาดว่าจะมีกลุ่มประชากรวัยเรียนลดลง ส่งผลให้การขยาย สถานศึกษาในเชิงปริมาณลดความจาเป็ น ลง และ เป็นโอกาสในการยกระดับคุณภาพ ความเสมอภาค และ ประสิทธิภาพทางการศึกษา หากสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการบริหารจัดการทรัพยากรการศึกษา และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลและ ความแพร่หลายของการเข้าถึงอินเ ท อร์เน็ตที่มากขึ้น ช่วย ขยายโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่ไม่จากัด เฉพาะ ในห้องเรียน อาทิ การเรียนรู้ทางไกล การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ที่สนับสนุนศักยภาพรายบุคคล ที่จะ มีบทบาท สำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากการประเมินภาพรวมของบริบทและสถานะของทุนทางสังคมของประเทศไทย บ่งชี้ให้เห็นว่ำในช่วง ระยะเวลาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ประเทศไทยต้อง ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อ มุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ด้วยการกระจาย โอกาส สร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งในเชิงรายได้ ความมั่งคั่ง เชิงพื้นที่ และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ โดยการ กระจายการ พัฒนา พื้นที่ เศรษฐกิจ และเมือง เพื่อกระจายประโยชน์จากความเจริญทางเศรษฐกิจ กระจายโอกาส เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งสร้างความพร้อมด้าน โครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ และดิจิทัลเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและพื้นที่เมือง เพื่อให้คนทุกกลุ่ม สามารถ เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ทั้ง การเข้าถึง แหล่ง ความรู้ แหล่งเงินทุน และ สวัสดิการทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่ วยเหลือ กลุ่มเปราะบางให้มีโอกาส ได้รับการพัฒนาอย่างเต็ม ศักยภาพ เพื่อ แก้ไข ปัญหา ความยากจนเรื้อรังและป้องกัน การส่งต่อ ความยากจน ไปยังลูกหลาน โดยเน้นส่งเสริม โอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพที่มีคุณภาพแก่เด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจน พร้อมทั้ง พัฒนาหลักประกันและความคุ้มครองทางสังคม ที่มีการบูรณาการอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมความมั่นคง ในชีวิต ให้ ทุกคนในสังคม ได้รับความคุ้มครองทางสังคม อย่างเหมาะสม เพียงพอ สามารถหลุดพ้นจาก ความยากจนได้อย่างยั่งยืน ในส่วนของการลดความเหลื่อมล้าของศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจนั้น ควรมุ่งให้ ความสาคัญกับ การ พัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สามารถ แข่งขันได้ และมีการเติบโต ที่ยั่งยืน โดยพัฒนาสภาพแวดล้อมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม อาทิ การ สนับสนุน ทางเทคโนโลยีและ กลไกทางการเงินที่เหมาะสม เพื่อให้ เข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทั่วถึง การยกระดับมาตรฐาน และพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการ การ เพิ่มการเข้าถึงบริการและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึง การ สนับสนุน ให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ของไทยสามารถ เชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่าย ห่วงโซ่คุณค่า ระดับโลก ได้โดยง่าย 2 . 3 บริบทการพัฒนาประเทศใน มิติ ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมี ทุนทาง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ สาคัญต่อการพัฒนา เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ หากมี การดาเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจที่มี

13 การ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินพอดี ทั้งในมิติ ด้าน การผลิตและการบริโภค ซึ่ง ก่อให้เกิดของเสีย และมลพิษในระดับที่เกินกว่าความสามารถใน การรองรับของระบบนิเวศ ในพื้นที่ จน ส่งผลกระทบ ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเสื่อมโทรมลง นั้น อาจส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของชาติในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยกำร มุ่งพัฒนาทาง เศรษฐกิจ ในระยะหลายสิบปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ เน้นผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจจนขาดการคานึงถึงความยั่งยืน ของการ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และ ขีดความสามารถของระบบนิเวศ ที่เพียงพอ และ ประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการยังอยู่ในระดับต่ำ มีการใช้ ทรัพยากร อย่างสิ้นเปลือง และสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อยกว่าที่ควร จึงส่งผล ให้ทรัพยากรธรรมชาติ ของไทย เสื่อมโทรม อย่างรวดเร็วและ ต่อเนื่อง ในขณะที่ปัญหา สิ่งแวดล้อมจาก ของเสียและมลพิษ ทวี ความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นความ ท้าทาย ต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เป็น หนึ่งใน ปัจจัยกาหนดความสา เร็จที่สำคัญต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ ของการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ การประเมิน สถาน การณ์ขอ ง ทุน ทรัพยากร ทาง ธรรมชาติ ที่สาคัญ ของประเทศ พบว่า ทรัพยากรป่าไม้ ของไทยมีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ โดยมี สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ อยู่ในช่วงประมาณ ร้อยละ 31 - 33 ของพื้นที่ทั้งหมด จากการปลูกป่าไม้ทดแทนได้ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่สูญเสียไปในแต่ละปี แต่ยังต่ากว่าค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่กาหนดให้ เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ เป็น ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ เมื่อพิจารณาแนวโน้มในระยะยาว พบว่า ในอดีต การบุกรุกทำลาย ป่า เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของกา รสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ ไทย ทว่าในปัจจุบัน ปัญหา ไฟป่า ทั้งที่เกิด จาก เหตุการณ์ทาง ธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ได้กลายมาเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสีย พื้นที่ป่าไม้ที่ มาก ที่สุด ของประเทศไทย และมีแนวโน้มที่ สถานการณ์ไฟป่า จะมี ความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ ที่นามาซึ่งภาวะโลกร้อนจะส่งผลให้ ภัยคุกคามต่อพื้นที่ ป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของ ทรัพยากรน้า ประเทศไทยมีการพัฒนาแหล่งน้าต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งแหล่งน้า ผิวดินและแหล่งน้าใต้ดิน แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน ส่งผลให้มี ปริมาณ การ ใช้น้าเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความเสื่อมโทรม ของแหล่งน้าตามธรรมชาติทั้งจากการกระทาของมนุษย์และปัจจัยตามธรรมชาติ รวมถึง ความแปรปรวน ขอ ง ปริมาณน้า ฝน ในแต่ละปี ทาให้มีปริมาณน้าที่เก็บกักได้ลดลง ส่งผลให้ปัญหา ภัยแล้ง เกิดขึ้นเป็นประจาทุกปี และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังคงประสบกับปัญหาน้าท่วมอย่างสม่าเสมอ แม้ ในระยะที่ผ่านมา จานวนประชากรที่ได้รับผลกระทบจะ มีแนวโน้ม ลดลง แต่ ก็ ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เ มื่ อผนวกกับภาวะการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น จะยิ่งส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วม เป็น ความท้าทายที่สำคัญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะช่วย ยกระดับ การบริหารจัดการ น้ำและสร้างโอกำสในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้า อาทิ การใช้เทคโนโลยี การผลิตที่ช่วยประหยัดน้ำ การใช้เทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโยงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านระบบ อินเ ท อร์เน็ต ในการบริหารจัดการน้าสูญเสียในระบบส่งน้า รวมทั้งการคาดการณ์สถานการณ์น้าให้มีความถูกต้อง แม่นยำ ยิ่ง ขึ้ น ในขณะที่ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่ง มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการรักษาสมดุล ของ ความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้าและการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รูปแบบต่าง ๆ ทั้งทางด้านการคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว และเป็นพื้นที่ทาประมง พบว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเล ของ ประเทศไทย ซึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด รวมประมาณ 3 , 151 ตาราง กิโลเมตร อยู่ภายใต้ความเสี่ยง

14 จาก ภัยคุกคาม ทั้งทางธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ ทั้ง การรุกล้ำพื้นที่ ป่าชายเลน การปล่อยของเสีย ลงสู่ทะเล ที่ทาให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษ สิ่งปฏิ กูล และขยะพลาสติก รวมถึงแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ที่ภาวะโลกร้อนกาลัง เป็น ภัย ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างมีนัย สาคัญ โดยส่งผลให้ แนวปะการังเสียสมดุลตามธรรมชาติ และปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของทุนทางสิ่งแวดล้อมของไทย พบว่า การจัดการของเสีย เป็นความท้าทาย สาคัญของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ จาก การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและรูปแบบ การใช้ชีวิตของประชา ชน ที่เปลี่ยน แปลง ไป ส่งผลให้ปริมาณขยะในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่ อเนื่อง โดยปริมาณขยะ ระหว่าง ปี 2553 – 2562 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี แม้ จะ มีระบบการกาจัดขยะที่ถูกวิธี และ มี การ นา ขยะ กลั บ ไปหมุนเวียนใช้ใหม่ ก็ตาม โดยในปี 2563 มี ขยะที่ถูกกาจัดอย่างถูกต้องหรือนากลับมา ใช้ประโยชน์ใหม่ เพียงร้อยละ 69 ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 กำหนดไว้ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 75 ภายในปี 2565 ส่งผลให้มี ปริมาณขยะ ตกค้างจานวนมากที่จะ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพแหล่งน้า สิ่งมีชีวิตในน้ำ ตลอด จน แหล่งน้าผิวดินและทะเลในที่สุด ทั้งนี้ สาเหตุ ของ ขยะตกค้างมาจากศักยภาพ ของ ระ บบ การจัดการขยะที่ ไม่เพียงพอ จึง ไม่สามารถรองรับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นตามอัตราการขยายตัวของกิจกรรม ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบกับการขาดการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง จึงทาให้ไม่สามารถ นำขยะไปใช้ประโยชน์ซ้ำได้อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมี ปัญหามล พิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2 . 5 ไมครอน ที่ส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ อาทิ การเผา ขยะ หรือ วัสดุการเกษตรในที่โล่ง ไอเสียจากรถยนต์ การเผาไหม้จากเครื่องยนต์ดีเซล การปล่อย ก๊าซเสียในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภัยธรรมชาติอย่างไฟป่า เป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นและมีปริมาณ เกินค่ามาตรฐานเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ที่มีประชากรและ การจราจรหนาแน่น และปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดระยอง ที่ยังคง พบปัญหามลพิษทางอากาศจากการมี ค่าเฉ ลี่ยสารเบนซีนในพื้นที่ ในระดับสูง เกินกว่าค่ามาตรฐานที่กาหนด มาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา สำหรับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก นั้น ประเทศไทย ได้ ประกาศ เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการดาเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายหลัง ปี 2563 ที่จะ ลด การปล่อย ก๊าซเรือนกระจก ลง ร้อยละ 20 - 25 เมื่อเทียบเคียงกับ ปริมาณก๊าซเรือนกระจก ปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในปี 2573 (ค.ศ. 2030 ) หรือคิดเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่เกิน 444 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งนับ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา แม้ แนวโน้มปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกิจกรรมต่าง ๆ จะ เพิ่ ม ขึ้น มาโดยตลอด แต่ประเทศไทยมี การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่ากว่าประมาณการ ใน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อย่าง ต่อเนื่อง โดยในปี 256 1 ไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่ากว่า ปริมาณปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ร้ อยละ 16 ซึ่งประสบความสำเร็จเหนือเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดให้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่ำกว่า ปริมาณปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ร้อยละ 7 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา แหล่งที่มาใน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบว่า สัดส่วนของ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ มากที่สุด ถึงร้อยละ 74 มาจากการใช้พลังงาน ซึ่ง มาจากการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 42 การคมนาคมขนส่ง ร้อยละ 23 ภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างร้อยละ 20 ดังนั้น การผลิตไฟฟ้าและการคมนาคมขนส่ง จะมีบทบาทที่สำคัญอย่างมากต่อการควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจกของไทย พร้อมกับการพัฒนา ความสามารถในการดูดกลับ ก๊าซเรือนกระจก ของภาค ป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งมีปริมาณการดูดกลับ ก๊าซเรือนกระจก 91 . 13 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อปี

15 อย่างไรก็ดี เพื่อให้ สามารถ บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ของประเทศไทย ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050 ) และบรรลุ ตาม เจตจำนง ใน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2608 (ค.ศ. 2065 ) ตาม ถ้อยแถลง ของ นายกรัฐมนตรี ต่อ ที่ประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภา พภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ประเทศไทย อาจต้องพิจารณา เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ที่มี ความท้าทายยิ่งขึ้น พร้อมทั้งวาง ยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อให้การ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลงถึงร้อยละ 40 หรือคิดเป็น ปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่จะปล่อยได้ 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ำ ในปี 2573 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับค่าเป้าหมายย่อย รวมถึงแผนดาเนินงานทั้งในระยะสั้น และระยะกลางเพื่อให้สอดรับกับเจตนารมณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ แนวโน้มของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ กระแสความตระหนักต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะส่งเสริมให้เกิดอุป สงค์ต่อพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น อันจะนามาซึ่งโอกาสที่สาคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะต่อไปของไทย โดยที่ภาครัฐจะต้องดาเนินการ เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนและ รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเพียงพอเหมาะสม ดังนั้น แนวทำงสำคัญสาหรับการพัฒนา ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระยะต่อไป คือการ เปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างจากการเน้นผลทางเศรษฐกิจระยะสั้นไปสู่การเจริญเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งการพัฒนาประเทศในอนาคตจะไม่สามารถแยกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมออกจากการดาเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจและสังคมได้อีกต่อไป จึงต้อง กาหนด เป้าหมายอย่างชัดเจนในการมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและ สังคมคาร์บอนต่าอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพื่อลดการใช้ วัตถุดิบและลดของเสียจากกระบวนการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมแล ะแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรที่ไม่มี ประสิทธิภาพ ซึ่งทาลายความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เป็นจุดเริ่มต้นสู่การพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมก้าวหน้าควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อ ส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมที่ดีไปยังคนรุ่นต่อไป ในระยะยา ว โดย การส่งเสริมให้เกิด เศรษฐกิจหมุนเวียน ที่มี การใช้ทรัพยากร อย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และ สอดคล้องกับขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ อย่างเป็น รูปธรรม โดย ใช้ประโยชน์จาก องค์ ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมไทย บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดของทุกภาคส่วน โดยอาศัย กลไกและ มาตรการ สนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยี และ นวัตกรรม ให้เกิด การลงทุน สีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้ ภาค การผลิตปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ตามแนวทางทางเศรษฐกิ จหมุนเวียน และสังคมคาร์บอนต่า ส่งเสริมให้ ชุมชนท้องถิ่นและเกษตรกร เข้ามามีส่วนร่วม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และได้รับประโยชน์จาก เศรษฐกิจหมุนเวียน อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อ พัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจ ให้เกิด การปรับ พฤติกรรมทางเศรษฐกิจและการดำรงชีพอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การ มีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ประชากรจานวนมากพึ่งพิง การ ดารงชีพ จาก ภาคการเกษตร ประเทศไทย จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งยังต้อง เผชิญความท้าทาย จากผลของการ พัฒนา ทางเศรษฐกิจและ กายภาพ ที่ก่อให้เกิดการ ทาลายสมดุล ของ สิ่งแวดล้อม พร้อมกับ ความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตาม การขยายตัวของเมืองและพื้นที่เขตเศรษฐกิจ ซึ่ง อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ จะ ทวีความซับซ้อน ยิ่งขึ้น ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยคุกคามจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยังมี แนวโน้ม ที่คาดว่าจะเ กิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในอนาคต อาจนามาซึ่งความสูญเสียและผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล เป็นความเสี่ยงของการบริหารจัดการที่ไทยยังมีขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

16 สถานการณ์วิกฤติไม่เพียงพอ จึงจาเป็นที่ จะต้องแก้ไขด้วยการจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อ ลดความเสี่ยงและ ผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ส่งเสริมการใช้มาตรการเชิงป้องกัน ก่อนเกิดภัยในพื้นที่สำคัญ อาทิ การบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยประกอบ การวางผังเมือง ส่งเสริมการ ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การให้ความรู้และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อ เพิ่มศักยภาพประชาชนและชุมชนในการรับมือกับภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศ รวมถึง การส่งเสริม ความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อบริหารจัดการ ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางธรรมชาติร่วมกัน 2 . 4 บริบทการพัฒนาประเทศใน มิติ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ภายใต้การดาเนินงานของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ประเทศไทย มีความก้าวหน้า ในการ บริหารจัดการ ภาครัฐ ซึ่งเป็นการพัฒนาทุนทางสถาบันของประเทศ อย่างมีนัยสาคัญ โดย สามารถตอบสนองต่อความต้องการ ของภาคส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อาทิ การปรับปรุงกระบวนงาน และรูปแบบการ ให้บริการ สาธารณะ ในรูปแบบ ดิจิทัล การพัฒนาระบบสารสนเทศ และระบบข้อมูลเพื่อ สนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐ ทั้งนี้ ยัง พ บว่า ประเทศ ไทยมีความโดดเด่นในการพัฒนาไปสู่การเป็น รัฐบาลดิจิทัลและการอานวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ โดยในปี 2563 ประเทศไทยได้รับ การจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จาก องค์การสหประชา ชาติ ให้ อยู่ ในอันดับ ที่ 57 จากทั้งหมด 193 ประเทศ ดีขึ้นจากอันดับที่ 77 ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงมีอุปสรรคที่ทาให้ การ พัฒนาประสิทธิภาพของภาครัฐ ไม่ ดีขึ้น เท่าที่ควร จากรายงานของ สถาบันการจัดการนานาชาติ ที่สะท้อนถึง ความเชื่อมั่น ของภาคธุรกิจและประชาชน ต่อ ประสิทธิภาพ การดำเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ แม้ประเทศไทยจะสามารถ ลดสัดส่วนค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากรต่องบประมาณรายจ่ายประจาปีลงได้บ้างแล้ว และมีจานวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับ รางวัลการบริหารจัดการที่ดีเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยข้อจำกัดที่สาคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพ ภาค รัฐมาจาก ปัญหา เชิงโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐ ที่มีขนาดใหญ่ มี ขั้นตอนกระบวนการตามระเบียบปฏิบัติของระบบราชการ ที่ล้าสมัย ไม่สนับสนุนการทางานรัฐบาลดิจิทัลแบบครบวงจร การจัดเก็บและการเชื่อมโยงข้อมูลในรูปแบบ ดิจิทัลที่เป็นระบบและบูรณาการ เนื่องจากแต่ละหน่วยงานยึดถือกรอบ อานาจหน้าที่ตามกฎหมาย ของตน เป็นหลัก ทั้งยังยึดติดกับ บทบาทการเป็นผู้ดาเนินการ เองมากกว่าการให้ความร่วมมือสนับสนุน แม้จะมี หน่วยงานหรือ ภาคส่วนอื่นที่มีขีดความสามารถในการ ดาเนินงานเดียวกัน ได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ สูงกว่า ก็ตาม ส่งผลให้ภาครัฐมีความซ้าซ้อนด้านบทบาทภารกิจระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ ที่ มีความ แยกส่วน กั น ขาด การแบ่งปันหรือการพัฒนาระบบข้อมูลร่วมกัน การยกเลิกหรือควบรวมหน่วยงาน ภาครัฐ ในกรณีที่ภารกิจ เดิมหมดความจาเป็นหรือมีความสาคัญลดลง ก็ เป็นสิ่งที่กระทาได้ยากและใช้เวลานาน ซึ่ง เป็นอุปสรรคต่อ การปรับเปลี่ยนภารกิจให้สอดคล้องกับบริบท การ เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น อย่าง รวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมี กฎระเบียบ และกฎหมาย ที่ล้าสมัยจานวนมากที่ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดาเนินงาน ทาให้ประชาชน และภาคธุรกิจต้องแบกรับต้นทุน จำนวนมหาศาล ทั้งที่เป็น ค่าใช้จ่ายจริงและค่าเสียโอกาสในการทาธุรกิจ สูง ถึง 133 , 816 ล้านบาทต่อปี หรือ คิดเป็น ร้อยละ 0 . 8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการยกระดับทุนทางสถาบันและการบริหารจัดการภาครัฐ คือประเด็นด้าน ความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งแม้ประเทศไทยจะมีเสถียรภาพทางการคลังที่ดี แต่แนวโน้ม ของการบริหารจัดการทางการคลังของประเทศในระยะยาว ยังคง มี ความน่าเป็นห่วง จา กโครงสร้างงบประมาณ รายจ่ายของประเทศในช่วงปี 2559 - 2563 พบว่าประเทศ ไทยมีรายจ่ายประจา ในระดับสูง เฉลี่ยร้อยละ

17 74 . 8 ทั้งยัง มีสัดส่วนค่าใช้จ่าย ด้าน บุคลากรเฉลี่ยร้อยละ 21 . 1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้าง สูงเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่น ๆ ในขณะที่มี ฐานการจัดเก็บภาษี ที่ ค่อนข้างแคบ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาครัฐอย่างมี นัยสาคัญ โดยโครงสร้างประชากรที่ เข้าสู่สังคมสูงวัย มากขึ้นจะยิ่ง เพิ่มความท้าทายต่อการรักษาความยั่งยืน ทางการคลัง เนื่องจาก รัฐต้องจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการและด้านสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ข ณะ ที่ จานวน วัยแรงงานที่ลดลงจะยิ่งมีผล ต่อ ความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยโครงสร้างการจัดเก็บรายได้และบริหารงบประมาณของรัฐที่มีข้อจากัดนี้ เมื่อ ประกอบกับ ความเสี่ยง จากส ถานการณ์ วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อประเทศได้อย่างรุนแรง อย่างเช่นผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ที่ส่งผลให้ รัฐบาล มีแนวโน้มที่จะ จัดเก็บรายได้สุทธิ ได้ ต่ากว่าประมาณการ เดิม ในขณะที่รัฐต้อง ดำเนินนโยบาย และ มาตรการ การเงินการคลังจำนวนมาก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อ น ให้กับ ประชาชนและผู้ประกอบการ จึง ทำให้มี แนวโน้มที่จะมี งบประมาณ ใน การพัฒนาประเทศลดลง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้าน ความมั่นคงปลอดภัยทางสังคม ของประเทศ ไทยที่น่าเป็นห่วง โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของคนในสังคม อยู่ในอันดับ ที่ 123 จาก ทั้งหมด 163 ประเทศ ขณะที่ ดัชนีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของโลก แสดงให้เห็น ว่า ความมั่นคงทางไซเบอร์ ของไทยมี อันดับลดลงจากอันดับที่ 22 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 44 ในปี 2563 จากข้อจำกัดทางศักยภาพของทั้งระดับ บุคคลและ องค์กรภาครัฐที่พัฒนา ทักษะความรู้ความเข้าใจ และสมรรถนะทางดิจิทัลได้ ไม่ทันต่อการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่ง เป็นความท้าทายของภาครัฐ ในการลดข้อจำกัดเดิมและเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐต่อไป ในส่วนของทุนทางสถาบันในระดับประชาสังคมซึ่งบ่งบอกถึง เสถียรภาพและความเ ข้มแข็งของสังคม นั้น พบว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ค่อนข้างเข้มแข็ง มีระดับของการดาเนินงาน อาสาสมัครและการช่วยเหลือแบ่งปันที่สูง ซึ่งมีบทบาทที่สาคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับภาวะวิกฤติต่าง ๆ สะท้อนถึงพลังเชิงบวกทางสังคม ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดี ของคนไทย อย่างไรก็ตาม ภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเพียงพอและขาดการเชื่อมโยงการทางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เท่าที่ควร และ ด้วย ความผันแปรของพลวัตทางสังคมที่ความเป็นปัจเจกมีแนวโน้มสูงขึ้น ค่านิยมในสังคม ที่เปลี่ยนไป และความก้าวหน้า ข องโลก ออนไลน์ ที่ เติบโตแพร่หลาย และ สื่อสังคมออนไลน์ที่เน้นความรวดเร็ว ในการแพร่กระจายข่าวสาร จน มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนในสังคมอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบัน นำไปสู่ ความเคลื่อนไหวทางสังคม ที่เรียกร้องให้ ภาค รัฐพัฒนาการดำเนินงานให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่สงบในสังคมขึ้นได้ง่ายหากเกิดกระแสสังคมที่ขาดความเชื่อมั่นในรัฐ เกิดเป็น แรง ผลักดันให้ภาครัฐต้องยิ่งตระหนักถึงความจาเป็นในการ ปรับเปลี่ยน รูปแบบ การบริหารจัดการให้ สามารถ เชื่อมโยง และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นภาคีการพัฒนาขับเคลื่อน ประเทศอย่างมีส่วนร่วมและ มี ประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น เพื่อฟื้นฟู ความเชื่อมั่นในรัฐให้กลับคืนมา การ พัฒนาการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อส่งเสริมทุนทางสถาบันของประเทศไทยในระยะเวลา ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงอยู่ที่การ ยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการภาครัฐ ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและทันต่อสถานการณ์ โดยเร่ง ปรับตัว ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐานแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม มีการเชื่อมโยงจากส่วนกลางสู่ ท้องถิ่นได้อย่างมีบูรณาการ และ มีธรรมาภิบาล เพื่ อ รักษา เสถียรภาพทาง สังคม แล ะฟื้นฟู ความเชื่อมั่นในรัฐ เป็นการ เสริมสร้างทุนทางสถาบันของประเทศ ซึ่งการปฏิรูปภาครัฐเป็นประเด็น ท้าทายที่สาคัญของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ คนใน สังคมส่วนใหญ่มีความตระหนักรู้

18 ด้านสิทธิมนุษยชน ภาครัฐจึงต้องเร่ง พัฒนา กลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล และ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการสาธารณะให้มีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ร่วมกับ การใช้ข้อมูลและกระบวนการมีส่วนร่วม ในการออกแบบนโยบายสาธารณะและการกากับดูแลการดาเนินงานของรัฐ ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสอดรับกับสภาวการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปได้อย่างฉับไว เพื่อ เสริมสร้าง ความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยง ภายใต้บริบทโลกใหม่ โดย ภาครัฐ ต้อง ทบทวนบทบาท และ กระบวนการทางาน เน้น การ พัฒนาสมรรถนะให้ยืดหยุ่นคล่องตัว เชื่ อมโยง และเปิดกว้าง ควบคู่กับ การ พัฒนาข้อมูล และ บริการภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจ สามารถเข้าถึงได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว และประหยัด เพื่อให้สามารถให้ บริการ สาธารณะที่ มีคุณภาพ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ สามารถ เข้าถึงได้ อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และ เท่าทันต่อความต้องการและความคาดหวังของ ประชาชน และทุก ภาค ส่วน ซึ่งต้องมีการ ปรับระบบการบริหาร จัดการ ทรัพยากรบุคคลภาครัฐ โดยให้ความสาคัญ กับการพัฒนา บุคลากรให้มีทักษะที่จาเป็นในการให้บริการภาครัฐ แบบ ดิจิทัล รวมถึง ยกเลิกกฎหมายที่ ล้าสมัย หมดความจำเป็น พร้อมกับการ พัฒนา กฎหมาย และกฎระเบียบให้ เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยมี ภาครัฐที่มีสมรรถนะ ทันสมัย คล่องตัว และ ตอบโจทย์ประชาชน สามารถ เป็น ปัจจัย ผลักดันการพลิกโฉมประเทศ ได้ อย่างแท้จริง

19 ส่วนที่ 3 วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหมุดหมายการพัฒนา

20 3 . 1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา การพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้สามารถก้าวข้ามความท้าทาย ที่เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขจุดอ่อนและข้อจากัด ของประเทศที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการ รับมือกั บความเสี่ยง สาคัญที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของ บริบททั้งจากภายนอกและภายใน ตลอดจนการเสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรค์ประโยชน์จาก โอกาส ที่เกิดขึ้น ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ด้วยเหตุนี้ การกาหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะของ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึง มี วัตถุประสงค์เ พื่อ พลิกโฉมประเทศไทย สู่ “ สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้าง มูลค่า อย่างยั่งยืน ” ซึ่งหมายถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโครงสร้าง นโยบาย และกล ไก เพื่อมุ่ง เสริมสร้างสังคมที่ก้าวทันพลวัตของโลก และเกื้อหนุนให้คนไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้อย่าง เต็มศักยภาพ พร้อมกับการยกระดับกิจกรรมการผลิตและการให้บริการให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้างต้น แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงได้กาหนด เป้าหมายหลักของ การพัฒนาจานวน 5 ประการ ประกอบด้วย 3 . 1 . 1 การปรับโครงสร้าง ภาค การผลิต และบริการ สู่เศรษฐกิจฐาน นวัตกรรม มุ่ง ยกระดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันของ ภาคการผลิตและบริการสาคัญ ผ่าน การ ผลักดันส่งเสริมการ สร้างมูลค่าเพิ่ม โดย ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ที่ตอบโจทย์พัฒนาการของสังคมยุคใหม่ และเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งให้ความสาคัญกับการ เชื่อมโยง เศรษฐกิจท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยกับห่วงโซ่ มูลค่าของภาคการ ผลิตและบริการเป้าหมาย รวมถึงพัฒนา ระบบนิเวศที่ ส่งเสริมการ ค้าการลงทุนและนวัตกรรม 3 . 1 . 2 การพัฒนาคนสาหรับโลกยุคใหม่ มุ่ง พัฒนาให้ คนไทย มีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับ โลกยุคใหม่ ทั้งทักษะในด้านความรู้ ทักษะทางพฤติกรรม และคุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม และเร่งรัดการ เตรียมพร้อม กาลังคน ให้ มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และ เอื้อต่อ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคการผลิตและบริ การเป้าหมายที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูงขึ้น รวมทั้ง ให้ความสำคัญกับการสร้าง หลักประกันและความคุ้มครองทางสังคม ที่สามารถ ส่งเสริมความมั่นคงในชีวิต 3 . 1 . 3 การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม มุ่ง ลด ความเหลื่อมล้า ทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในเชิงรายได้ พื้นที่ ความมั่งคั่ง และการแข่งขันของภาคธุรกิจ ด้วยการ สนับสนุนช่วยเหลือ กลุ่มเปราะบาง และผู้ด้อยโอกาส ให้ มีโอกาสในการเลื่อน สถานะ ทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และ จัดให้มี บริการสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ในทุกพื้นที่ พร้อมทั้งเพิ่ม โอกาสในการ แข่งขัน ของภาคธุรกิจ ให้เปิดกว้างและเป็นธรรม 3 . 1 . 4 การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน มุ่ง ลดการก่อมลพิษ ควบคู่ไปกับ การผลักดันให้เกิด การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่าง มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับขีดความสามารถ ในการรองรับของระบบนิเวศ ตลอดจน ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุ เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ ภาย ในปี 2608

21 3 . 1 . 5 การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยง ภายใต้บริบทโลกใหม่ มุ่ง สร้างความพร้อม ในการรับมือ และแสวงหาโอกาสจากการเป็นสังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยโรคระบาด และภัยคุกคามทางไซเบอร์ พัฒนา โครงสร้างพื้นฐานและ กลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุง โครงสร้างและระบบการบริหารงานของ ภาครัฐ ให้ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ได้อย่างทันเวลำ มีประสิทธิภาพ และ มีธรรมาภิบาล โดยตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของแต่ละเป้าหมายหลัก มีดังนี้ เป้าหมายหลัก ตัวชี้วัด สถานะปัจจุบัน ค่า เป้าหมายในปี 25 70 1 . การปรับโครงสร้าง ภาค การผลิต และ บริการ สู่เศรษฐกิจ ฐานนวัตกรรม รายได้ประชาชาติต่อหัว 7 , 0 97 เหรียญสหรัฐ ต่อปี ( 227 , 000 บาท) ในปี 256 4 9 , 300 เหรียญสหรัฐต่อปี ( 300 , 000 บาท) 2 . การพัฒนาคน สำหรับโลกยุคใหม่ ดัชนี ความก้าวหน้าของคน (ประกอบด้วยตัวชี้วัดใน 8 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ การศึกษา ชีวิตการงาน รายได้ ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม ชีวิตครอบครัวและชุมชน การคมนาคมและ การสื่อสาร และการมีส่วนร่วม) 0 . 6 501 ( ความก้าวหน้าของคนอยู่ ในระดับปานกลาง ) ในปี 2563 0 . 7 209 ( ความก้าวหน้าของคน อยู่ในระดับสูง ) 3 . การมุ่งสู่สังคมแห่ง โอกาสและความ เป็นธรรม ความแตกต่างของความเป็นอยู่ (รายจ่าย) ระหว่างกลุ่มประชากรที่ มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุด ร้อยละ 10 และต่ำสุดร้อยละ 40 5 . 68 เท่า ในปี 2563 ต่ำกว่า 5 เท่า 4 . การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน ปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก ในปี 256 2 การปล่อย ก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงาน และ ขนส่ง ลดลงร้อยละ 1 7 เมื่อ เทียบกับ ปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก ในกรณีปกติ การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกโดยรวม ( ครอบคลุม ภาค พลังงาน / คมนาคม และขนส่ง/ กระบวนการ ทาง อุ ตสาหกรรม / การจัดการของเสีย) ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือน กระจกในกรณีปกติ 5 . การเสริมสร้าง ค วามสามารถ ของ ประเทศในการ รับมือกับ การ เ ปลี่ยนแปลง และ ความเสี่ยง ภายใต้ บริบทโลกใหม่ ดัชนีรวมสะท้อนความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ 1 ) ขีดความสามารถของ การปฏิบัติตามกฎอนามัย ระหว่างประเทศและการเตรียม ความพร้อมฉุกเฉินด้านสุขภาพ ร้อยละ 85 ในปี 2563 ร้อยละ 90 โดยสมรรถนะหลัก แต่ละด้านไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80

22 เป้าหมายหลัก ตัวชี้วัด สถานะปัจจุบัน ค่า เป้าหมายในปี 25 70 2 ) อันดับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ อันดับเฉลี่ย 5 ปี ( 2558 - 2562 ) เท่ากับ 36 . 8 อันดับเฉลี่ย 5 ปี ( 2566 - 2570 ) ไม่ น้อย กว่า 40 1 3 ) อันดับความสามารถ ในการแข่งขันด้านดิจิทัล อันดับที่ 3 8 ในปี 256 4 อันดับที่ 30 4 ) อันดับประสิทธิภาพของรัฐบาล อันดับที่ 20 ในปี 2564 อันดับที่ 15 ทั้งนี้ ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของแต่ละเป้าหมายหลัก เป็น ตัวชี้วัดร่วมที่ต้องการอาศัยการดาเนินงาน จากหลายหมุดหมาย การพัฒนา ประกอบกัน และใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ของแผนในภาพรวม 3 . 2 หมุดหมายการพัฒนา เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในลักษณะของวาระการพัฒนา ที่เอื้อให้เกิดการทางานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการผลักดันการพัฒนาเรื่องใด เรื่องหนึ่ ง ให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงได้กาหนด หมุดหมายการพัฒนำ จานวน 13 หมุดหมาย ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึง สิ่งที่ประเทศไทยปรารถนาจะ “ เป็น ” หรือ มุ่งหวังจะ “ มี ” เพื่อสะท้อน ประเด็นการพัฒนาที่มีลำดับความสำคัญสูงต่อการ พลิกโฉมประเทศไทย สู่ “ สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจ สร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน ” โดยหมุดหมายทั้ง 13 ประการ แบ่งออกได้เป็น 4 มิติ ดังนี้ 3 . 2 . 1 มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญ ของภูมิภาค หมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรม ดิจิทัลของอาเซียน 3 . 2 . 2 มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม หมุดหมายที่ 7 ไทยมี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถ แข่งขันได้ หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 1 ตัวเลขอันดับที่น้อย แสดงถึงระดับผลกระทบจากสภาพอากาศที่สูง

23 หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 3 . 2 . 3 มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ 3 . 2 . 4 มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกาลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนา แห่งอนาคต หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน ความเชื่อมโยงระหว่างหมุดหมายการพัฒนากับเป้าหมายหลักแสดงไว้ในแผนภาพที่ 3 . 1 โดย หมุดหมาย การพัฒนาที่กาหนดขึ้นเป็นประเด็นที่มีลักษณะเชิงบูรณาการ ที่ครอบคลุมการพัฒนาตั้งแต่ในระดับต้นน้าจนถึง ปลายน้ำ และ สามารถนำไปสู่ ผล พัฒนาทั้งใน มิติ เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพร้อม ๆ กัน ทาให้หมุดหมายแต่ละประการสามารถสนับสนุนเป้าหมายหลักได้มากกว่าหนึ่งข้อ นอกจากนี้ การพัฒนาภายใต้ แต่ละหมุดหมาย ไม่ไ ด้แยกขาดจากกัน แต่มีการ สนับสนุนหรือเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

24 แผนภาพที่ 3 . 1 ความเชื่อมโยงระหว่างหมุดหมายการพัฒนากับเป้าหมายหลัก

25 ส่วนที่ 4 แผนกลยุทธ์รายหมุดหมาย

26 หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา การพัฒนาภาคการเกษตรที่ผ่านมา เน้นการผลิตเพื่อการส่งออกและการเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรม ต่อเนื่องในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ ผ่านการขยายพื้นที่เพาะปลูก การพัฒนาปัจจัยกา รผลิตให้มีคุณภาพ การพัฒนาและใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ในระดับหนึ่ง โดยในปี 2562 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของภาคการเกษตรและการแปรรูปที่เกี่ยวข้อง มีมูลค่า 1 , 477 , 589 ล้านบาท ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม มีมูลค่ารวมคิดเป็นร้อยละ 74 . 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของภาคการเกษตรและการแปรรูป ที่เกี่ยวข้องปี 2562 แม้ว่ารัฐบาลได้ให้การส่งเสริมการผลิตและพัฒนาภาคการเก ษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังมีข้อจากัด ที่สาคัญในการยกระดับการพัฒนาภาคเกษตรของไทย อาทิ 1 ) น้าเพื่อการเกษตร โดยร้อยละ 83 ของพื้นที่ การเกษตรอยู่นอกเขตชลประทาน 2 ) การเพาะปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม โดยร้อยละ 30 ของพื้นที่การเกษตรเป็น ที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับการผลิตพื ชและเป็นกลุ่มดินมีปัญหา 3 ) การถือครองที่ดินพื้นที่การเกษตรที่เกษตรกรเป็น เจ้าของมีแนวโน้มลดลงเหลือประมาณร้อยละ 48 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 4 ) มลพิษทางอากาศที่เกิดจาก การเผาวัสดุเหลือทิ้งในพื้นที่การเกษตร 5 ) ขาดการเชื่อมโยงในลักษณะของคลัสเตอร์ ตลอดห่วงโซ่มูลค่าของ สถาบันเกษตรกรและเครือข่าย เพื่อเพิ่มอานาจต่อรองในตลาดและลดต้นทุนการดาเนินธุรกิจ 6 ) ความไม่สอดคล้อง กันของปริมาณและคุณภาพผลผลิต กับความต้องการของตลาดทั้งในด้านการบริโภคทางตรงและกา ร เป็นวัตถุดิบ แปรรูปผลิตภัณฑ์ 7 ) การผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มต่า ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม 8 ) แนวโน้มแรงงานในภาคเกษตรไทยที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยภายนอก ที่ สำคัญที่ส่งผลให้การพัฒนาภาคเกษตรของไทยไม่สามารถยกระดับและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1 ) ภัยพิบัติ ทาง ธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย รวมถึงการระบาดของโรค ที่เกิดกับพืชและสัตว์ 2 ) ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรที่เกิดจา กการผลิตสินค้าตามฤดูกาลและ ภาวะเศรษฐกิจโลก และ 3 ) การนาประเด็นทางสังคมมาเป็นมาตรฐานทางการค้าระหว่างประเทศและประเทศ คู่ค้าเพิ่มมากขึ้น อาทิ มาตรฐานแรงงาน มาตรฐานสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี ความต้องการอาหารที่เพิ่มมากขึ้น การใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทางการเกษตรและของเหลือ ภาคเกษตรที่หลากหลายมากขึ้น และความตระหนักของผู้ผลิตและผู้บริโภคเกี่ยวกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เป็นโอกาสให้ภาคการเกษตรไทยปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจาก “ ผลิตมากแต่สร้าง รายได้น้อย ” ไปสู่การผลิตสินค้าคุณภาพสูงที่ “ ผลิตน้อยแต่สร้างรายได้มาก ” เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำ ด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง แต่เมื่อพิจารณาความพร้อมของภาคเกษตรของไทย ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้สามารถผลิตและจาหน่ายสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่ำสูงนั้น พบว่า ยังมีประเด็นสำคัญที่จาเป็นจะต้องสร้างความชัดเจน ปรับปรุง และยกระดับ เพื่อลดข้อจากัดและเอื้อให้เกิด การผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง กล่าวคือ ตั้งแต่ต้นน้า ได้แก่ 1 ) เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเกษตร สมัยใหม่ที่เฉพาะเจาะจงยังมีการใช้ไม่มาก 2 ) ฐานข้อมูลภาคการเกษตรที่มีอยู่เป็นจานวนมาก ยังขาด การเชื่อมโยง และใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการภาคการเกษตร 3 ) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้าง

27 มูลค่าเพิ่ม จากการผลิตภาคเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังอยู่ในวงแคบ อาทิ การปลูกไม้เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เชิงเกษตร 4 ) ระบบประกันภัย พืชผลยังไม่จูงใจให้เกษตรกรซื้อประกันโดยสมัครใจ สาหรับกลางน้า ประกอบด้วย ประเด็น 5 ) นวัตกรรมการแปรรูปอาหาร ยังมีจานวนสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอาหารที่น้อยกว่า ต่างประเทศ แม้ว่าจะมีเมืองนวัตกรรมอาหาร และมีมูลค่าการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาที่สูง 6 ) ความพร้อมของ โครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพในการทดสอบอาหารใหม่ และการขึ้นทะเบียนอาหารใหม่ ยัง มีน้อยและล่าช้า รวมถึงประเด็นปลายน้า ได้แก่ 7 ) ตลาดสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงยังไม่มีความชัดเจน อาทิ อาหาร ทางการแพทย์ อาหารสุขภาพ สารสาคัญจากพืชสมุนไพร เคมีชีวภาพ 8 ) ตลาดกลางจาหน่ายสินค้าเกษตรและ ผลิตภัณฑ์ยังมีอยู่อย่างจากัด และปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 9 ) การบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานของน้า ยังไม่ เหมาะสม ทั้งในด้านการจัดหา จัดสรร ฟื้นฟูพัฒนา แหล่งน้า และเทคนิคการบริหารจัดการน้า รวมถึงการจัดการน้าเสีย เนื่องจากยังมีความต้อง การ น้าที่ยังจัดการไม่ได้กว่า 70 , 000 ล้านลูกบาศก์เมตร และไม่สามารถจัดการกับความ เสี่ยงน้ำท่วม/น้าแล้งได้ 10 ) ระบบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรมีจำนวนมากและมีข้อกำหนดการผ่าน เกณฑ์มาตรฐานที่แตกต่างกัน ทาให้ผู้ผลิตมีต้นทุนสูงในการขอรับรองมาตรฐานหากต้องการจาหน่ายสินค้าเกษตรแก่ ตลาดปลายทางที่ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรที่ต่างกัน 11 ) ระบบการรวบรวม ขนส่ง และ กระจาย สินค้าเกษตรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในปัจจุบันยังไม่เพียงพอกับความต้องการ และจำเป็นต้องได้รับ การปรับปรุงการบริหารจัดการให้ทันสมัยและรวดเร็ว และ 12 ) กลไกในการเชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน ห่วงโซ่อุปทานยังไม่มีประสิทธิภาพ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความ เชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลัก ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง มีความเชื่อมโยงกับ เป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ทั้ง 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้าง ภาค การผลิตและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยยกระดับให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และเศรษฐกิจ ท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่าของภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ โดยสนับสนุนให้กำลังคนมีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการ ของภาคการผลิตเป้าหมาย เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดย ลด ความเหลื่อมล้าทั้ง ในเชิงรายได้และความมั่นคง รวมถึงโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ และให้กลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส มีโอกำสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้น เป้าหมายที่ 4 ) การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ ความยั่งยืน โดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและบริโภค อย่าง มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ ขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ และ เป้าหมายที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศ ในการรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยประเทศไทยมีความสามารถในการรับมือ กับภัยคุกคามที่สาคัญในอนาคต โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาดร้ายแรงและโรคอุบัติใหม่ และภัยคุกคามทางไซเบอร์ เป้าหมายของหมุดหมายที่ 1 เมื่อพิจารณาความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ พบว่า มีความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ จานวน 3 ด้าน ได้แก่ 1 ) ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ในเป้าหมาย ( 1 ) ประเทศไทย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน และ ( 2 ) ประเทศไทยมีขีดความสามารถ

28 ในการแข่งขันสูงขึ้น โดย มีแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นเกษตร ที่ให้ความสาคัญกับการยกระดับ การผลิตให้เข้าสู่คุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย การใช้ประโยชน์จากความโดดเด่นและเอกลักษณ์ ของสินค้าเกษตร รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ ละพื้นที่เพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในการผลิตและการจัดการฟาร์ม 2 ) ด้านการสร้างโอกาสและ ความเสมอภาคทางสังคม ในเป้าหมายการสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้าในทุกมิติ โดย มีแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นเศรษฐกิจฐานราก ที่ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มในรูปแบบที่มีโครงสร้างกระจาย รายได้ให้กับเศรษฐกิจและชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยการดึงเอาพลัง ของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน ประชาสังคม และ ชุมช นท้องถิ่นมาร่วมขับเคลื่อน พร้อมทั้ง สร้างความเข้มแข็ง ให้กับชุมชน และ 3 ) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในเป้าหมายการใช้ประโยชน์ และสร้างการเติบโต บนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุลภายในขีดความสามารถของระบบนิเวศ โดย มีแผนแม่ บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ให้ความสาคัญกับการเติบโตที่เน้นหลักการใช้ ประโยชน์ การอนุรักษ์ การรักษา ฟื้นฟูและสร้างใหม่ เพื่อให้มี ฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินความพอดี ไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่ งแวดล้อมจนเกินความสามารถในการรองรับและ เยียวยาของระบบนิเวศ รวมถึงการผลิตและการบริโภคเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมา ยที่ 1 มูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปสูงขึ้น ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สาขาเกษตรเติบโต ร้อยละ 4 . 5 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 รายได้สุทธิต่อครัวเรือนเกษตรกร ไม่ต่ำกว่า 537 , 000 บาทต่อครัวเรือน เมื่อสิ้นสุด แผน ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 พื้นที่เกษตรอินทรีย์ เพิ่มขึ้นเป็น 2 . 0 ล้านไร่ และ พื้นที่เกษตร ที่ได้รับการรับรองตามหลักการปฏิบัติ ทางการเกษตรที่ดี เพิ่มขึ้นเป็น 2 . 5 ล้านไร่ เมื่อสิ้นสุด แผ น ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 พื้นที่เพาะปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมลดลงร้อยละ 10 เมื่อสิ้นสุดแผ น เป้าหมายที่ 2 การ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการ เพื่อคุณภาพ ความมั่นคง ทาง อาหาร และความยั่งยืนของภาคเกษตร ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 ภาคเกษตรมีผลิตภาพการผลิตรวม เฉลี่ยร้อยละ 1 . 5 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 มีตลาดกลางสินค้าเกษตรภูมิภาคในภาคเหนือ 2 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ภาคใต้ 2 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง และภาคตะวันออก 1 แห่ง เมื่อสิ้นสุด แผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 น้ำไหลลงอ่างเก็บน้าทั้งประเทศมีปริมาณอย่างน้อย 40 , 000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เมื่อสิ้นสุด แผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 4 ระบบชลประทานมีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 5 เกิดการใช้น้ำซ้าในพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทาน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 6 มี พื้นที่ที่สามารถลดความเสี่ยงภัยน้าท่วม - น้าแล้ง และเกิดระบบ จัดการน้ำชุมชน จำนวน ไม่น้อยกว่า 4 , 000 ตำบล เมื่อสิ้นสุดแผน

29 เป้าหมายที่ 3 การ เพิ่มศักยภาพและบทบาทของผู้ประกอบการเกษตรในฐานะหุ้นส่วนเศรษฐกิจของห่วงโซ่ อุปทานที่ได้รับส่วนแบ่งประโยชน์อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 จำนวนสหกรณ์ภาคเกษตรในชั้นที่ 1 ตามเกณฑ์การจัดระดับความเข้มแข็งสหกรณ์เพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 18 เมื่อสิ้นสุดแผ น ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 จำนวนกลุ่มเกษตรกรในชั้นที่ 1 ตามเกณฑ์การจัดระดับความเข้มแข็งกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 6 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 3 . 3 จานวนวิสาหกิจชุมชนในระดับดี ตามเกณฑ์การจัดระดับความเข้มแข็งวิสาหกิจชุมชนเพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 35 เมื่อสิ้นสุด แผน ตัวชี้วัดที่ 3 . 4 ผู้ประกอบการเกษตรเพิ่มขึ้นปีละ 4 , 000 ราย

30 3 . แผนที่กลยุทธ์

31 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า เพื่อให้เกิดการยกระดับกระบวนการผลิตและ สร้างมูลค่าเพิ่ม กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 สนับสนุนการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตและแปรรูปแบบมุ่งเป้า โดยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการนำงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของตลาด กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ส่งเสริมและขยายผลงานวิจัยจากหน่วยงานวิจัย มหาวิทยาลัยและสถาบัน อาชีวศึกษา ภาคเอกชน และองค์กรเกษตรกรที่มีส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการใช้ ประโยชน์จากผลงานวิจัยและสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้พัฒนาเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน กลยุทธ์ที่ 2 การส่งเสริมการผลิตและการขยายตัวของตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อาทิ ผลผลิตเกษตรปลอดภัย สมุนไพรแปรรูป อาหารทางการแพทย์ อาหารทางเลือก อาหาร ฟังก์ชัน พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ โปรตีนจากพืชและแมลง กล ยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 ส่งเสริมให้มีกำรพัฒนาและทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปมูลค่าเพิ่มสูง ที่มีศักยภาพทางการตลาดในอนาคต โดยให้มีการจัดทาแผนที่นาทางสาหรับการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ เกษตรแปรรูปมูลค่าเพิ่มสูงรายผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อนาไปสู่การส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และ มีประสิทธิภาพ ตลอดจนให้มีการพัฒนาและจัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สาขาเกษตรแปรรูป กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 กาหนดแผนที่นาทางในการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร ของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตภาคเกษตร และผลพลอยได้อื่น อาทิ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ ปุ๋ยชีวภาพ วัคซีน สารชีวภัณฑ์ คาร์บอนเครดิต คาร์บอนซิงก์ รวมถึงการผลักดันไปสู่ การปฏิบัติ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 ส่งเสริมให้เกษตรกรประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมกระบวนการ ผลิตที่หลากหลาย และ คลังข้อมูลที่เกี่ยวกับการเก ษตร รวมถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ในการวิเคราะห์ วางแผน พัฒนาผลผลิตและประสิทธิภาพการผลิต แปรรูปสินค้าเกษตร และสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ที่สอดคล้อง กับ ศักยภาพ ของพื้นที่และความต้องการของตลาด กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 ส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ไปสู่การผลิต สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 5 รณรงค์ และส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีการตระหนัก เลือกใช้ และบริโภคสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปที่ปลอดภัย มีคุณภาพสูง และได้มาตรฐาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดตลาดสินค้าคุณภาพในวงกว้างอย่างทั่วถึง กลยุทธ์ย่อย 2 . 6 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ส่วนราชการมีการใช้สินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูป ที่ได้คุณภาพ อาทิ ผลผลิตจากการเกษตรสาหรับใช้ในโรงพยาบาล โรงเรียน และเรือนจำ อาหารทางการแพทย์

32 กลยุทธ์ที่ 3 การขยายผลรูปแบบเกษตรยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีมูลค่าเพิ่มสูงจากแบบอย่าง ความสำเร็จในประเทศ เช่น เกษตรตามโมเดลเศรษฐกิจ ชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว เกษตรปลอดภัย วนเกษตร เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยวเกษตร ประมงพื้นบ้าน การทาประมงถูกกฎหมาย และ การปฏิบัติต่อแรงงาน ที่ถูกต้อง เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 ส่งเสริมการทาเกษตรยั่งยืนที่ตระหนักถึงผลกระทบ ต่อ สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ผ่านการดาเนินการปกป้อง จัดการอย่างยั่งยืน และฟื้นฟูธรรมชาติหรือระบบนิเวศ ที่เปลี่ยนไป เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ และเป็นประโยชน์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพ อาทิ การปลูกป่า เศรษฐกิจ การทำวนเกษตร การลดการเผาตอซัง การทำประมงถูกกฎหมาย การปฏิบัติต่อแรงงานที่ถูกต้อง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 สนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จาเป็น เพื่อให้เกิดการขยายผลรูปแบบเกษต รกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีมูลค่าเพิ่มสูง อาทิ สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยชีวภาพ พร้อมทั้งให้มีการจัดเก็บข้อมูลปริมาณ การผลิตและการใช้สารชีวภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 จัดให้มีการบริหาร อนุรักษ์ เพาะพันธุ์ เพาะเลี้ยง พันธุ์พืชเฉพาะถิ่น สัตว์น้ำ และ ปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตทางการเกษตรตามธรรมชาติ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 ขยายผลแบบอย่างความสำเร็จในการบริหารจัดการเพื่อผลิตสินค้าเกษตร ให้สอดคล้องกับทรัพยากรของชุมชนที่มีอยู่ใ ห้มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้าเพื่อการเกษตรให้มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน รวมทั้งการใช้น้าซ้ำ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ส่งเสริมและผลักดันการเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้า/ป่าเศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมสาหรับการปลูกพืช รวมทั้งเพิ่มปริมาณน้ำตามธรรมชาติให้มีน้ำเพียงพอต่อการใช้ทั้งระบบ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 เร่งพัฒนาและฟื้นฟูระบบชลประทานและการกระจายน้าในพื้นที่เขตชลประทาน พร้อมทั้ง พัฒนาและบริหารจัดการแหล่งน้านอกเขตชลประทาน รวมถึงแหล่งน้ำชุมชน ตลอดจนการจัดการตะกอน ที่เหมาะสม โดย ความร่วมมือระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วม และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มแหล่งเก็บ กักน้ำให้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 ดาเนินการให้มีการจัดการตะกอนอย่างเหมาะสม ตั้งแต่การมีระบบดักตะกอน การลดการชะล้างพังทลายของตะกอนในลาน้าด้วยการปลูกพืชคลุมดินหรือพืชป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง เพื่อเพิ่ม ปริมาณและแหล่งเก็บกักน้ำให้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 4 บริหารจัดการและวางแผนการใช้น้าอย่างเป็นระบบและสมดุล ตลอดจนพัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การใช้น้ำซ้ำ กลยุทธ์ที่ 5 การส่งเสริมให้เอกชนลงทุนพัฒนาตลาดกลางและตลาดออนไลน์สินค้าเกษตร รวมถึงสินค้า กลุ่มปศุสัตว์และประมง กลยุทธ์ ย่อยที่ 5 . 1 พัฒนาปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อและจูงใจให้เอกชนลงทุนและพัฒนาตลาดกลาง ภูมิภาค/ตลาดในชุมชน

33 กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 ผลักดันให้มีการจัดเก็บข้อมูลราคาสินค้าเกษตรเปรียบเทียบระหว่างตลาดภูมิภาค และตลาดส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 3 พัฒนาความรู้และทักษะให้เกษตรกรสามารถซื้อขายผลผลิตผ่านตลาดออนไลน์ สินค้าเกษตร เช่น พืช ประมง และปศุสัตว์ เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 6 การสนับสนุนระบบประกันภัยและรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตร แปรรูป ที่เกษตรกรเข้าถึงได้ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 1 เพิ่มประสิทธิภาพของระบบประกันภัยสินค้าเกษตรให้มีความหลากหลายและ เหมาะสมกับรูปแบบการผลิตสินค้าเกษตร กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 2 ดาเนินการให้มีการปรับลดต้นทุนการทาธุรกรรมของเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับ การขอรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึ งและจูงใจให้เกษตรกรมีการผลิต สินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 3 สนับสนุนบทบาทของเอกชนในการเชื่อมโยงผลผลิตของเกษตรกรที่ได้มาตรฐาน เพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรสร้างมูลค่า กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 4 เจรจาหรือทาข้อตกลงให้มาตรฐานสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยเป็น ที่ยอมรับในต่างประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 5 เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ รวมถึงกระบวนการทดสอบ คุณภาพที่จำเป็น สำหรับการพัฒนาสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง กลยุทธ์ที่ 7 การพัฒนาปร ะสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์มและกิจกรรมหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อลดต้นทุนและ เพิ่มมูลค่าผลผลิตของเกษตรกร กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 1 สนับสนุนบทบาทสถาบันเกษตรกร (สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน) ในฐานะหน่วยธุรกิจของเกษตรกร ให้ทาหน้าที่สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์ม กิจกรรม หลังการเก็บเกี่ยว และกระบวนการนาส่งผลผลิตจนถึงลูกค้าปลายทาง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ของเกษตรกร กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 2 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอานวยความสะดวกในการรวบรวมและขนส่ง สินค้าเกษตร เพื่อเชื่อมโยงผลผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 3 พัฒนาให้มีการจัดเก็บข้อมูลความสูญเสียในกระบวนการผลิตของภาคเกษตร เพื่อ ใช้เป็นฐาน สำหรับ การวัดในอนาคต

34 กลยุทธ์ที่ 8 การส่งเสริมให้เกษตรกรมีที่ ดิน ทากินและรักษาพื้นที่เกษตรกรรมที่เหมาะสมไว้เป็นฐานการผลิต การเกษตร กลยุทธ์ย่อยที่ 8 . 1 สนับสนุนและส่งเสริมการจัดสรรที่ดินทากินให้กับเกษตรกรอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกที่มีอยู่ อาทิ การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล และการจัดสรรที่ดินของสำนักงานการปฏิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 8 . 2 คุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพและขยายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ทากิน ของเกษตรกรให้มากขึ้น รวมถึงการกำหนดเขตการใช้พื้นที่ทำการเกษตรที่เหมาะสม กลยุทธ์ที่ 9 การพัฒนาฐานข้อมูลและคลังข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร รวมทั้งผลักดันให้มีการใช้ข้อมูล อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 9 . 1 พัฒนาระบบคลังข้อมูลด้านเกษตรให้เชื่อมโยงกัน และเป็นข้อมูลเปิด เพื่อเป็น ฐานสาหรับนำไปใช้งานประยุกต์ต่อยอดในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ภาคเกษตรและการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ 1 ) ด้านทรัพยากรธรรมชาติ (อาทิ น้า ดิน ป่า ทะเล) 2 ) ด้านการเกษตร เช่น ความเหมาะสมของพื้นที่ในการผลิตสินค้าเกษตร และ ทะเบียนเกษตรกร เป็นต้น 3 ) ด้านการตลาดสินค้า เกษตรและผลิตภัณฑ์ อาทิ แนวโน้มราคาสินค้าเกษตร แหล่งรับซื้อ และ 4 ) ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 9 . 2 พัฒนาแพลตฟอร์มและแอ ป พลิเคชันสำหรับการเข้าถึงคลังข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้มี การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรในการจำแนกรูปแบบการผลิตและสมรรถนะของเกษตรกร เพื่อให้การจัดทา แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาภาคเกษตร รวมถึงมาตรการต่าง ๆ มีความเหมาะสมกับสมรรถนะเกษตรกรและ ศักยภาพของพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน กลยุทธ์ที่ 10 การพัฒนาให้ เกิดระบบการบริหารจัดการเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 1 ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถเข้าถึงความมั่นคง ทาง อาหารทั้งด้านปริมาณและ โภชนาการ ที่ ครบถ้วน รวมถึงระบบสารองอาหาร ให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ปลอดภัย เพียงพอ และสนับสนุนให้ เกิดพื้นที่ต้นแบบด้านการสำรองอาหารของชุมชน กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 2 เตรียมการบริหารจัดการการกระจายสินค้าเกษตรและอาหารในภาวะวิกฤต กลยุทธ์ที่ 11 การยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กลยุทธ์ย่อยที่ 11 . 1 พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และทักษะในการบริหารจัดการฟาร์ม ความปลอดภัย และอาชีวอนามัยของเกษตรกร และการดาเนินธุรกิจการเกษตรในยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับความสามารถเกษตรกร ไปสู่การเป็นเกษตรกรอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน กลยุทธ์ย่อยที่ 11 . 2 ยกระดับความเข้มแข็งและความสามารถในการดาเนินธุรกิจเพิ่มมูลค่าของ สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งสนับสนุนบทบาทภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา ทั้งระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษาในพื้นที่ ในการเป็นผู้ให้บริการ ผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี และที่ปรึกษาทางธุร กิจ

35 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล องค์ความรู้ และเทคโนโลยีกับการปรับเปลี่ยนและต่อยอดธุรกิจการเกษตรได้อย่าง มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 11 . 3 ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการพัฒนาสหกรณ์ให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงและเอื้อ ต่อ การสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์ อาทิ ปรับปรุงระบบการจัดทำบัญชี และการตรวจสอบทางการเงินให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นอิสระ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา ได้ทันสถานการณ์ และสร้างความเชื่อมั่นของสมาชิกและประชาชนต่อระบบสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ 12 การพัฒนากลไกเพื่อเชื่อมโยงภาคีต่าง ๆ ทั้งภา คเอกชน ส่วนราชการ กลุ่มเกษตรกร และ นักวิชาการในพื้นที่ ในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในการพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน กลยุทธ์ย่อยที่ 12 . 1 สนับสนุนบทบาทองค์กรหรือสภาเกษตรกรในกลไกความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการในแต่ละจังหวัด เพื่อเชื่อมโยงการผลิตของเกษตรกรและการดาเนินธุรกิจการเกษตร ของสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ ความต้องการของภาคเอกชนในระดับจังหวัด การดาเนินภารกิจของส่วนราชการระดับจังหวัด และความเชี่ยวชาญของสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อสร้าง ความเป็นหุ้ นส่วนทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการแบ่งปันข้อมูล องค์ความรู้ ทักษะ และผลประโยชน์ อย่างเท่าเทียมและเหมาะสมกับบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ กลยุทธ์ย่อยที่ 12 . 2 ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสถาบันเกษตรกร และเกษตรกรในรูปแบบธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ มีความสอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด โดยมีการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

36 หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีบทบาทสาคัญในระบบเศรษฐกิจไทย และยังเป็นแหล่งสร้างรายได้สาคัญให้ แก่เศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย 2 . 99 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และก่อให้ เกิดการจ้างงาน 8 . 3 ล้านตาแหน่ง ในปี 2562 อีกทั้ง ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2558 – 2562 รายได้จากการท่องเที่ยวของไทย ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2 . 3 ต่อปี อย่างไรก็ดี การขยายตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้น ของจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นหลัก กล่าวคือ จานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง ร้อยละ 5 . 6 ต่อปี ในขณะที่ การใช้จ่ายต่อคนต่อวันของนักท่องเที่ยวขยายตัวในอัตราที่ลดลง และระยะเวลาท่องเที่ยวต่อทริปลดลง ซึ่งทาให้ การท่องเที่ยวของไทยในระยะหลังต้องเผชิญกับความท้าทายด้า นความยั่งยืน จากการเติบโตในเชิงปริมาณ มากกว่าคุณภาพ นอกจากนี้ หากพิจารณาในมิติของการกระจายรายได้ พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวร้อยละ 90 ยังกระจุกอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ไม่สามารถกระจายไปสู่เมืองท่องเที่ยวรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ รายได้จากนักท่องเที่ ยวชาวต่างชาติ ที่อยู่ในเมืองหลักถึงประมาณร้อยละ 98 ของรายได้จากนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติทั้งหมด ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ตั้งแต่ปี 2563 ทาให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับการหดตัว อย่างรุนแรงของเศรษฐกิจการท่องเที่ยว โดยรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงถึงร้อยละ 71 จากปี 2562 เหลือเพียง 0 . 79 ล้านล้านบาท ในปี 2563 และแม้ว่าจะมี มาตรการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวของภาครัฐที่ผ่านมา อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการกำลังใจ แต่ยังไม่เพียงพอต่อ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากที่ผ่านมา โครงสร้างเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติถึงร้อยละ 63 . 9 อีกทั้ง การหดตัวดังกล่าว ยังส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะจากปัญหาจานวนนักท่องเที่ย ว ที่ลดลงและการขาดสภาพคล่อง ภาครัฐจึงได้มีมาตรการเสริมสภาพคล่องเร่งด่วน อาทิ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่า การพักชาระหนี้ แต่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ อยู่นอกระบบ ทาให้ไม่สามารถ เข้าถึงมาตรการ ฟื้นฟูและเยียวยาของภาครัฐได้อย่างเพียงพอ ทั้งนี้ แ นวโน้มของการแพร่ระบาดยังคงรุนแรงและยืดเยื้อ จากการแพร่กระจายของโควิด - 19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ทั่วโลก ทาให้ฉากทัศน์ของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทย ในระยะต่อไปจะยังคงมีความไม่แน่นอน ศักยภาพของการท่องเที่ยวไทยยังมีข้อได้เปรียบจากประเทศคู่แข่ง ด้วยทาเลที่ตั้งที่เป็น จุดศูนย์กลางของ ภูมิภาค ความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความมีอัธยาศัยไมตรีของคนไทย โดยในปี 256 4 สภาเศรษฐกิจ โลก ได้จัดอันดับ ดัชนีการพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยว ประจาปี 2564 เพื่อการฟื้นฟูอนาคตอย่างยืดหยุ่นและยั่งยืน ซึ่ง ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 36 จาก 117 ประเทศ และ อยู่ใน อันดับที่ 35 จาก 117 ประเทศ ในปี 2562 โดยในปี 2564 พบว่า ประเทศไทย มีจุดแข็งสำคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางอากาศ อยู่ในอันดับที่ 13 ด้านทรัพยากรธรรมชาติ อยู่ในอันดับที่ 14 และด้านทรัพยากร ที่ไม่ใช่เพื่อการพักผ่อน อยู่ในอันดับที่ 16 โดย ยังมีประเด็นท้าทายที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม อยู่ในอันดับที่ 97 ด้านความมั่นคงและความปลอดภัย อยู่ในอันดับที่ 92 และด้านการให้ความสาคัญกับการเดินทางและท่องเที่ยว อยู่ในอันดับที่ 88 ซึ่ งจุดอ่อนดังกล่าวล้วน แล้ว แต่เป็น

37 ประเด็นสาคัญสาหรับการท่องเที่ยวในระยะต่อไปที่ถูกขับเคลื่อนโดย มี แนวโน้มสาคัญ คือ ความกังวลด้านสุขภาพ และสุขอนามัย การเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว และความตระหนัก ใน ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่ งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะต้องคำนึงปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้ สถานการณ์และแนวโน้มการท่องเที่ยว และปัญหาที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีความท้าทายต่อการบรรลุ เป้าหมายในหลายประเด็น สรุปได้ดังนี้ 1 ) การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้เกิดการจับจ่าย ใช้สอยของนักท่องเที่ยวมากขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ 2 ) การเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวรอง และผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวภายในประเทศ และก่อให้เกิดการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ 3 ) การบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติของมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 4 ) การพัฒนาปัจจัยเอื้อให้เกิดการพั ฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ การพัฒนากำลังคนและธุรกิจให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง การปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรค การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยง ของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน เชื่อมโยงกับ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว รัก ษาการเป็นจุดหมายปลายทางที่สาคัญของการท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกระดับ และเพิ่มสัดส่วน ของนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ใน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบ ริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยยกระดับให้ ภาคการท่องเที่ยวมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยและชุมชน สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่าได้ เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสาหรับโลก ยุคใหม่ เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่ สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม และ เป้าหมายที่ 4 ) การเปลี่ยนผ่าน การผลิต และบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสาคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 การ เปลี่ยนการท่องเที่ยวไทยเป็นการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม และบริการที่มีศักยภาพอื่น ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติมีค่าใช้จ่ายต่อวันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 อันดับดัชนี การพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยว ดีขึ้น โดยมีอันดับรวม ไม่เกินอันดับที่ 25 ด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย ไม่เกินอันดับที่ 50 ด้านความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เกินอันดับที่ 50 ด้านสุขภาพและ สุขอนามัย ไม่เกินอันดับที่ 50 และด้านทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ไม่เกินอันดับที่ 25

38 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 ระดับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 0 . 05 คะแนนต่อปี ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางซ้ำ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี เป้าหมายที่ 2 การ ปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวให้พึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศและมีการกระจายโอกาส ทางเศรษฐกิจมากขึ้น ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองเฉลี่ยทุกเมืองเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี (ค่าเฉลี่ยถ่วงน้าหนัก ของ เมืองรองทั้งหมด) ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 มีชุมชนที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 50 ชุมชน เป้าหมายที่ 3 การท่องเที่ยวไทยต้องมีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 ผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยวได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 ชุมชนท่องเที่ยวได้รับมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าปีละ 50 ชุมชน

39 3 . แผนที่กลยุทธ์

40 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การ ส่งเสริมการพัฒนากิจกรรม สินค้า และบริการ การท่องเที่ยวมูลค่าเพิ่มสูง กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 พัฒนาการท่องเที่ยวตามแนวคิดโมเดลอารมณ์ดีมีความสุข ในแผนการปฏิรูป ประเทศด้านเศรษฐกิจ ฉบับปรับปรุง สนับสนุนให้มีการรวบรวมองค์ความรู้และข้อมูลความหลากหลาย ทางภูมิศาสตร์ ชีวภาพ และวัฒนธรรม รวมถึงวิถีการดาเนินชีวิตในแต่ละท้องถิ่น ที่มีอัตลักษณ์ และนาไปสร้าง มูลค่าเพิ่มเป็นสินค้าและบริการสำหรับการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และเพิ่มขีด ความสามารถของผู้ประกอบการ และยังสามารถสร้างประสบกำรณ์และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนในแหล่งท่องเที่ยว กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ได้แก่ 1 ) ส่งเสริมสวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง โดยสนับสนุนให้มีกลุ่มสินค้าที่ระลึกประจาชาติ รวมถึงการใช้นโยบายลดภาษี นำเข้าสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยบางประเภท จัดให้มีพื้นที่ปลอดอากรเป็นพิเศษต่อยอดจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และก่อให้เกิดการกระจายรา ยได้ไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อย 2 ) การท่องเที่ยวทางน้า ทั้ง การล่องเรือในมหาสมุทร เรือสาราญ และ การล่องเรือในแม่น้า โดยให้มีการจัดทา แผนพัฒนาที่ชัดเจนร่วมกับภาคเอกชน เช่น การกาหนดที่ตั้งท่าเทียบเรือสาราญ ทั้งแบบท่าเรือหลัก และท่าเรือ แวะพัก ในฝั่งอ่าวไทย และอันดำมัน จากพื้นที่ที่มีศักยภาพ อาทิ พัทยา ภูเก็ต รวมถึงการสร้างแหล่งท่องเที่ยว เชื่อมโยงกับท่าเรือนั้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและกระจายรายได้ได้มาก 3 ) ส่งเสริมแหล่ง ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การท่องเที่ยวเพื่อการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดประชุมนานาชาติ และ การจัดแสดงสินค้า เพื่อเพิ่มการลงทุนทั้งจากภายในและนอกประเทศ และก่อให้เกิด การเดินทางของกลุ่มนักธุรกิจ ตลอดจนการท่องเที่ยวอื่น ๆ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้เกษียณอายุ กลุ่มพานักระยะยาว และกลุ่มบุคคลที่ เที่ยวไปทางานไป โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 2 การ ส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวทั่วไป กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพ ประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจ สร้างสรรค์ เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการพัฒนา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ การท่องเที่ยว รวมทั้งการใช้ ซอฟ ต์ พาวเวอร์ เป็นตัวขับเคลื่อน ตลอดจนส่งเสริมการวิจัย พัฒนา การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและนวัตกรรมในการส่งเสริมการบริการการตลาด และอานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ส่งเสริมการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยว และบริการการท่องเที่ยวคุณภาพในพื้นที่เมือง รองที่มีศักยภาพและกระจายเส้นทางท่องเที่ยวให้หลากหลายอย่างทั่วถึง เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว ภายในประเทศ และดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพจากทั่วโลกให้เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน และสนับสนุนให้ มีการเชื่อมโยงเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ท่องเที่ยวตามศักยภาพของพื้นที่ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 สนับสนุนการท่องเที่ยวโดยชุมชนและการท่องเที่ยว ในเมืองรอง โดยให้ ความสาคัญกับการพัฒนาบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ส่งเสริมแนวคิดการสร้างรายได้จาก การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม สร้างองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การพัฒนาระบบ

41 และการจัดการสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเป็นการสร้างฐานให้ชุมชนมีความรักในท้องถิ่นและรักษา วัฒนธรรมของตนเอง ตลอดจนสร้างเครือข่าย และจัดหาเงินทุน เพื่อบ่มเพาะชุมชนให้ยกระดับเป็นวิสาหกิจ เพื่อสังคมและสตาร์ทอัพ ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 ส่งเสริมให้เอกชนมีค วามร่วมมือและมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ของชุมชน ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ ดูแลความปลอดภัย และรักษาสภาพ แหล่งท่องเที่ยวให้สมบูรณ์ กลยุทธ์ที่ 3 การ ยกระดับบริการและการบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาดสาก ล กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 สนับสนุนการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว โดยพัฒนาระบบการจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความสามารถ ในการรองรับของระบบนิเวศ ตลอดจนสนับสนุนสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้า หรือมาตรการอื่น ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ปรับปรุงการบริหารจัดการในแหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการท่องเที่ยว ให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ความสะอาด ความเป็นธรรม และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยตามวิถีการท่องเที่ยวแนวใหม่ เพื่อมุ่งสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง รวมทั้งมาตรฐานการท่องเที่ยวสีขาว โดยต้องมีการป รับปรุงมาตรฐานคุณภาพ ทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูงของสถานประกอบการและธุรกิจรายย่อยด้านการท่องเที่ยว ที่แบ่งตามระดับของ การให้บริการอย่างเหมาะสม ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่กระบวนการ พร้อมผลักดันให้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รั บรองมาตรฐาน กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 สนับสนุนให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวเข้า “ กองทุนเพื่อส่งเสริม การท่องเที่ยวไทย ” เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการพัฒนาการท่องเที่ยว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะด้านการบริหาร การตลาด หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยวในชุมชน การดูแลรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว การส่งเสริมสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในท้องถิ่น รวมทั้งการจัดให้ มีการประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศ กลยุทธ์ที่ 4 การ สนับสนุนการพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับ การท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่นาไปสู่การสร้างคุณภาพและความยั่งยืน เช่น การให้บริการด้วยใจ ความเข้าใจและ ภูมิใจในวัฒนธรรมของท้องถิ่น ภาษา การสื่อสาร ดิจิทัล การเล่าเรื่อง ความสะอาดปลอดภัย และการดูแลรักษา สิ่งแวดล้อม เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ยกระดับการพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืน โดยให้ความสาคัญกับการจัดทา กรอบสมรรถนะในตาแหน่งงานต่าง ๆ พัฒนาผู้ประกอบการในด้านการบริหารธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อยกระดับความรู้ทั้งในด้านการบริหารจัดการด้านการเงิน และการตลาด ภาค การท่องเที่ยว รวมถึง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ การใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์

42 กลยุ ทธ์ย่อยที่ 4 . 2 ส่งเสริมและอานวยความสะดวกให้บุคลากรภาคการท่องเที่ยวและบริการ ที่เกี่ยวข้อง เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลของภาครัฐ และมีการขึ้นทะเบียนแรงงานภาคการท่องเที่ยวอย่างถูกต้อง โดยลดขั้นตอน อานวยความสะดวก และจูงใจในการเข้าสู่ระบบ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 กำหนดแนวปฏิบัติตนที่เหมาะสมของผู้ประกอบการธุรกิจ บุคลากร และ นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ กลยุทธ์ที่ 5 การ ปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบ และขั้นตอนที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทาธุรกิจ และการ ขอใบอนุญาตของผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และยั่งยืน กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 ปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบด้านงบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้เอื้อต่อการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับชุมชนและภาครัฐ ตลอดจนสนับสนุนให้ภาครัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากท้องถิ่นที่ได้รับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และสุขอนามัยได้ และสนับสนุนให้มีการจัดทำระบบติด ตาม การดำเนินการพัฒนาชุมชน ของหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อลดความซ้าซ้อน ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ และมีความต่อเนื่องในการพัฒนา กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 ปรับปรุงข้อจำกัดของกฎหมาย ลดขั้นตอนที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อ การ ทาธุรกิจและการขอใบอนุญาตของสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยว โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่พักแรม และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีความครอบคลุมถึงธุรกิจรายย่อย มีขั้นตอนที่ง่าย สะดวก เอื้ออานวยและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่กรอบกฎหมาย และฐานข้อมูลภาครัฐได้รวดเร็ว มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจรายย่อยสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพได้ ตลอดจนบังคับใช้แนวปฏิบัติ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีประสิทธิภาพ และเท่าเทียม นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อจูงใจให้สถานประกอบการมี ความใส่ใจ และรับผิดชอบ ด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 3 ปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะตัวแทนจำหน่ายการท่องเที่ยวออนไลน์ ที่ครอบคลุมถึงเศรษฐกิจแบ่งปันบนแพลตฟอร์ม ให้มีการปฏิบัติ ถูกต้องตามกฎหมาย สะดวก ปลอดภัยต่อ ทั้ง นักท่องเที่ยวและชุมชนรอบข้าง และเอื้อต่อการพัฒนาต่อยอด ในอนาคต กลยุทธ์ที่ 6 การ พัฒนาระบบข้อมูลการท่องเที่ยวให้เป็นระบบการท่องเที่ยวอัจฉริยะ ที่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และภาครัฐ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ง่าย กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 1 ปรับปรุงระบบการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยว ให้มีความเป็นเอกภาพ น่าเชื่อถือ และทันสมัย เพื่อให้ผู้ประกอบการใช้ในการดาเนินธุรกิจ และให้หน่วยงานภาครัฐใช้กาหนดนโยบาย ในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 2 สนับสนุนการเชื่อมโ ยงฐานข้อมูลของภาครัฐและเอกชน โดยใช้แอปพลิเคชัน ที่พัฒนาโดยเอกชน อาทิ “ ทักทาย ” ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการเปิดให้เชื่อมต่อแพลตฟอร์ม เพื่ออานวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูล การตรวจลงตรา การตรวจคนเข้าเมือง

43 การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม การแจ้งเตือน เหตุฉุกเฉิน เพื่อพัฒนาแอ ป พลิเคชันที่เป็นแพลตฟอร์มกลาง ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย และทาให้เกิดข้อมูลกลางขนาดใหญ่ ที่ทุกภาคส่วนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน ในการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และผลักดันให้เกิดแพลตฟอร์มการท่อง เที่ยวของประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 3 พัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สาหรับข้อมูลการท่องเที่ยว และบูรณาการ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้เชิงลึกใหม่ร่วมกัน ของภาครัฐและผู้ประกอบการในสาขาธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และให้สามารถนำข้อมูล เชิงวิเคราะห์ไปใช้ค้นหา ศึกษา ทาความเข้าใจ วางแผนและทากิจกรรมการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ ได้อย่างมีป ระสิทธิภาพ

44 หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สาคัญของโลก 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สาคัญของโลก โดยปี 2562 ประเทศไทยผลิตและส่งออกยานยนต์ เป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มี มูลค่าการส่งออกจานวน 1 , 300 , 561 ล้านบาท โดยประเทศที่มีกาลังการผลิตรถยนต์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี และอินเดีย ซึ่งตลาดส่งออกหลักของไทย ในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน เม็กซิโก ตามลำ ดับ ขณะที่ในกลุ่มรถปิกอัพ รถบัส และรถบรรทุก ได้แก่ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ ซาอุดีอาระเบีย เวียดนาม ตามลำดับ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของประเทศ ไทย โดยมีความสามารถในการผลิตรถยนต์จำนวนมากถึง 2 ล้านคันต่อปี มี ผู้ประกอบ การ จานวน 13 , 920 ราย และมี การจ้างงาน จานวน 345 , 000 คน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความต้องการยานยนต์ ทั่วโลกกาลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ลดลง รวมทั้งทิศทางการพัฒนาที่มุ่งไปสู่สังคม คาร์บอนต่ำ รัฐบาลได้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยให้ความสาคัญกับการต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม ไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงำนไฟฟ้าในประเทศไทยที่สาคัญ อาทิ มาตรการกระตุ้นตลาดในประเทศและต่างประเทศ มาตรการส่งเสริมเพื่อสร้างอุปทานและปรับตัวไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการเตรียมความพร้อมโครงสร้าง พื้นฐานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ปริมาณ คาขอรับการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ประกอบ แบตเตอรี่ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ภาครัฐยังส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ สถานีชาร์จ ไฟฟ้า ให้ครอบคลุมพื้นที่ ทั่ว ประเทศ จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2564 พบว่า ไทยมีสถานี ชาร์จไฟฟ้า จานวน 664 แห่ง มีจานวนหัวจ่าย รวมทั้งสิ้น 2 , 224 หัวจ่าย แบ่งเป็น หัวจ่ายธรรมดา จานวน 1 , 450 หัวจ่าย และหัวจ่ายชาร์จเร็วจานวน 774 หัวจ่าย ทั้งนี้ ตลาดภายในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว อย่างต่อเนื่อง จากจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ ดี ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นประเด็นปัญหาที่กาลังส่งผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2 . 5 ไมครอนที่คงเหลือจากกระบวนการเผาไหม้ของยานพาหนะ การเผาวัสดุการเกษตร ไฟป่า และการปล่อยของเสียภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีปริมาณเกินค่ามาตรฐานเป็นประจาทุกปี ส่งผลกระทบต่อประ ชาชน ในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ที่มีประชากรและการจราจรหนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ สระบุรี และเชียงใหม่ เป็นต้น รวมทั้งการรณรงค์ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ไทยตามกรอบข้อตกลงปารีส จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลจึงเร่งรัดการ ขับเคลื่อน การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ทั้งระบบ โดยได้กาหนดวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สาคัญของโลก โดยมุ่งเน้น การพัฒนายานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ประกอบด้วย ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานเซลล์เชื้อเพลิง และได้ตั้งเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ในปี 2573 จานวน 440 , 000 คัน (ร้อยละ 50 ของยานยนต์ทั้งหมด) และเป้าหมายการผลิต จำนวน 725 , 000 คัน (ร้อยละ 30 ของยานยนต์ทั้งหมด)

45 จากสถานการณ์และแนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศดังกล่าว จึงได้กาหนด เป้าหมายการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยใน ระยะ ต่อไป รวม 3 ประเด็น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติกำหนด และสามารถ บรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1 ) สร้างอุปสงค์ของยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทต่าง ๆ เพื่อ การ ใช้ในประเทศและส่งออก โดยสร้างความต้องการใช้ของตลาดภายในประเทศ และการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าตามประเภทของยานยนต์ โดยเฉพาะยานยนต์ประเภทไ ฮบริด ปลั๊กอินไฮบริดที่มี ส่วนสำคัญในการสร้างความคุ้นเคยให้แก่ผู้บริโภคในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน 2 ) ส่งเสริมผู้ประกอบการเดิม ให้ สามารถปรับตัวไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และสนับสนุนการลงทุนเทคโนโลยีที่สาคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศ เพื่อที่จะปรับอุตสาหกรรมให้ เข้ากับกระแสโลก สอดรับกับความต้องการที่จะเกิดขึ้น ผู้ประกอบ การ ชิ้นส่วนยานยนต์สามารถ ปรับตัว สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ ปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่เหมาะสม และบรรเทาผลกระทบให้ผู้ผลิตรถยนต์สันดาปภายในเดิม รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการในสาขาอื่นที่ได้รับผลกระทบ 3 ) สร้างความพร้อมของปัจจัยสนับสนุนอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสาคัญกับการพัฒนาบุคลากร การลงทุน โรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด ใหญ่ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากดำเนินการดังกล่าวได้เร็วจะเป็นผลดี ต่อการส่งออกของประเท ศ ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อฐานการผลิตดั้งเดิม ตลอดจนแรงงาน ที่เกี่ยวข้องและการเปลี่ยนรูปแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่คำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์มี ความแตกต่างกัน โดยเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นหลัก ขณะที่เครื่องยนต์แบบเดิมมีการใช้ ชิ้นส่วนประกอบมากกว่าซึ่งมีความเกี่ยวพันกับผู้ประกอบการและแรงงานจานวนมาก ดังนั้น หมุดหมายที่ 3 จึงมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่าน ในระยะ 5 ปี โดยให้ความสาคัญกับการผลักดันอุตสาหกรรมยำนยนต์ไฟฟ้าให้เป็น อุตสาหกรรมใหม่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีการผลิตชิ้นส่วนหลัก ไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตยานยนต์แบบสันดาปภายในให้เป็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยไม่ละทิ้งตลาดส่งออกที่มีศักยภาพจากฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์เดิม เพื่อรักษาความสมดุล ในการเปลี่ยนผ่าน สู่ยานยนต์ไฟฟ้า และรักษาระดับ ขีดความสามารถในการผลิตยานยนต์ให้เทียบเท่าหรือมากกว่า 2 ล้านคันต่อปี รวมทั้งยกระดับผู้ประกอบการชิ้นส่วน ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เดิมในระดับต่าง ๆ ให้สามารถ เปลี่ยนผ่านไปเป็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สาคัญของโลกเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักของ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ใน 3 เป้าหมาย ประกอบด้วย เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและ บริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยการยกระดับให้ขีดความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจท้องถิ่น และ ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่า และประเทศไทยมีระบบนิเวศที่สนับสนุนการค้าการลงทุน และการพัฒนานวัตกรรม เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสาหรับโลกยุคใหม่ โดยมุ่งพัฒนาให้คนไทย มีทักษะ ที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่และมี คุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม สอดคล้องกับความต้องการของ ภาคการผลิตเป้าหมาย และได้รับความคุ้มครองทางสังคมที่ส่งเสริมความมั่นคงในชีวิต และ เป้าหมายที่ 4 )

46 การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน โดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและบริโภค อย่าง มี ประสิทธิภาพ ให้ความสาคัญกับการจัดการปัญหามลพิษสาคัญด้วยวิธีการที่ยั่งยืน รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือน กระจกของประเทศมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป้าหมายหลักทั้ง 3 ประการ ของหมุดหมายที่ 3 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ชาติด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นอุตสาหกรรมและ บริการแห่งอนาคตที่มุ่งเน้นผลักดัน การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ส่งเสริมเทคโนโลยี และพัฒนาอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน ส่งเสริมการลงทุนที่เน้นการวิจัยและพัฒนาและการถ่ายทอด เทคโนโลยี รวมทั้งสนับสนุนให้อุตสาหกรร มยานยนต์ได้รับมาตรฐานสากล ในขณะเดียวกัน หมุดหมายที่ 3 ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาศักยภาพทรัพยากร มนุษย์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิตโดยในช่วงวัยแรงงาน มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพ ทักษะ และ สมรรถนะแรงงานอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งนี้ หมุดหมายที่ 3 ยังสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการ บริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน และการสร้างการเติบโตอย่างยั่ง ยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้น การลด การ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 การ สร้างอุปสงค์ของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ เพื่อการใช้ในประเทศและส่งออก ตัวชี้วัด ที่ 1 . 1 ปริมาณการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ( ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ซึ่ง หมายถึงจานวนจดทะเบียน รถยนต์ใหม่ ประกอบด้วยรถยนต์ประเภท ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ แล ะยานยนต์ไฟฟ้า เซลล์เชื้อเพลิง ) จำนวน 282 , 240 คัน คิดเป็นร้อยละ 26 ของยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 ปริมาณการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ( ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ) จานวน 380 , 250 คัน คิดเป็นร้อยละ 17 ของยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 ปริมาณ รถยนต์ที่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 40 , 000 คัน ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตรา การขยายตัวของมูลค่าส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าของไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี เป้าหมายที่ 2 ผู้ประกอบการเดิมสามารถปรับตัวไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและมีการลงทุนเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญภายในประเทศ ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นฐานการผลิตอันดับ 1 ในอาเซียน และอยู่อันดับ 1 ใน 10 ของโลก ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 มูลค่าส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนรวมไม่น้อยกว่า 130 , 000 ล้านบาท ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 จำนวนผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 14 ราย และเกิดการลงทุนเทคโนโลยี สำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปี 2570

47 ตัวชี้วัดที่ 2 . 4 สัดส่วนจานวนผู้ประกอบการเดิมที่สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 2 . 5 จานวนแรงงานเดิมที่ได้รับการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าและเข้ามาเป็นแรง งาน ในอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มขึ้น 5 , 000 คน ภายในปี 2570 เป้าหมายที่ 3 การสร้างความพร้อมของปัจจัยสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 มูลค่าการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 แรงงานที่ได้รับการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านยานยนต์ไฟฟ้ามีจานวนไม่น้อยกว่า 30 , 000 คน ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 3 จำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ / หัวจ่ายชาร์จเร็ว เพิ่มขึ้น 5 , 000 หัวจ่าย ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 4 จานวนมาตรฐานด้านคุณสมบัติและความปลอดภัยของชิ้นส่วนหลักทั้งหมดของยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15 ฉบับต่อปี ตัวชี้วัดที่ 3 . 5 มลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2 . 5 ไมครอน) และปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งลดลงร้อยละ 4 ต่อปี

48 3 . แผนที่กลยุทธ์

49 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การส่งเสริมให้ ผู้ใช้ ยานยนต์ ในภาคส่วนต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 ส่งเสริมมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย 1 ) มาตรการทางด้านภาษี อาทิ การใช้ภาษีสรรพสามิต การยกเว้นหรือลดภาษีป้ายทะเบียนประจาปี 2 ) มาตรการ ที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ ส่วนลดค่าไฟฟ้าในครัวเรือนและที่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมแก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ที่จอดฟรีสาหรับยานยนต์ไฟฟ้า การสนับสนุนสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้า และ 3 ) การให้เงินอุดหนุนสาหรับ การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนการใช้งานใกล้เคียงกับรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ในทุกประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า โดยอาศัยกลไกการจัดซื้อที่มีการกาหนดเงื่อนไข ที่ส่งเสริมให้เกิดการผลิตในประเทศ หรือการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 สนับสนุนให้ประชาชนดัดแปลงรถยนต์เก่าเป็นยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ที่ได้รับ การรับรอง มาตรฐานด้านความ ปลอดภัยและสามารถจดทะเบียนได้ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ รวมถึงส่งเสริม การจัดทำโครงการนำร่องเพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจแก่ประชาชน กลยุทธ์ที่ 2 การสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของตลาดส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 สนับสนุนการขยายตลาดยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่กับการรักษาฐานการส่งออก ผลิตภัณฑ์ที่ยังมีความสามารถในการทำตลาดในประเทศคู่ค้าหลักของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มรถปิกอัพ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ส่งเสริมการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยเฉพาะการส่งออก ไปยังประเทศที่มีการผลักดันนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ประเภทดังกล่าว กลยุทธ์ที่ 3 การกาหนดเป้าหมาย/แผน และดาเนินการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมไปสู่ยานยนต์ ไฟฟ้า อย่างเป็นระบบชัดเจนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ในระยะ 5 ปี กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ เข้ามาผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานสามารถผลิตชิ้นส่วน ที่เป็นเทคโนโลยีหลักของยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์เชื่อมต่ อและขับขี่อัตโนมัติ กล ยุทธ์ ย่อยที่ 3 . 2 ส่งเสริมการผลิตยานยนต์ที่มีคุณสมบัติ “ สะอาด ประหยัด ปลอดภัย ” ตามมาตรฐานสากล (กฎระเบียบของสหประชาชาติ ) เพื่อพัฒนาคุณภาพของรถยนต์ที่ใช้ภายในประเทศ และ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดส่งออกที่หลากหลาย ทั้งตลาดส่งออกในปัจจุบัน และตลาดใหม่ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 ส่งเสริมให้เกิดการสร้างฐานการผลิตแบตเตอรี่ รวมถึงชิ้นส่วนสำคัญ ภายในประเทศ เช่น มอเตอร์ขับเคลื่อน ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ และระบบควบคุมการขับขี่ เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 ส่งเสริมการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน กับประเทศที่มีวัตถุดิบสาคัญต่อการผลิต ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เช่น แร่ธาตุหายาก และเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น

50 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 5 ส่งเสริมให้สุดยอดผลิตภัณฑ์ของประเทศไทย ปรับเปลี่ยนไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อน ด้วยมอเตอร์โดยเร็ว ได้แก่ รถปิกอัพ อีโคคาร์ และจักรยานยนต์ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 6 รักษาความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ยังมีความสามารถ ในการทำตลาด และยังไม่สามารถพัฒนาไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในระยะเวลาอันสั้น ( 5 ปี) อาทิ รถปิกอัพ โดยพิจารณา จากความพร้อมของผู้บริ โภคและความพร้อมของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 7 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเดิมที่มีศักยภาพสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่สายการผลิต ของยานยนต์ไฟฟ้าได้ เช่น การผลิตตัวถังและช่วงล่างด้วยวัสดุใหม่ และการผลิตระบบส่งกาลัง เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 8 ศึกษาและกำหนดแนวทางการกำจัดซากรถยนต์ และซากชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ใช้แล้วในประเทศไทย เพื่อรองรับทิศทางตลาดยานยนต์โลก และส่งเสริมแนวทางการนำวัสดุอุปกรณ์ ที่ผ่านการใช้งำน แล้วกลับมาใช้ใหม่ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน กลยุทธ์ที่ 4 การยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนสำคัญ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ส่งเสริมการพัฒนาอย่างเป็นลำดับขั้นเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว และ ไม่กระทบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน โดยการส่งเสริมเทคโนโลยียานยนต์ที่มีศักยภาพ เช่น ไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด เป็นต้น เพื่อเป็นแรงส่งไปสู่การเป็นผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และสนับสนุนให้ผู้ผลิตในประเทศนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 กาหนดสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุน สนับสนุนด้านการเงิน ด้านภาษี รวมถึงสร้างความร่วมมือกับกลุ่ม ประเทศ ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการกำหนดมาตร การที่เหมาะสม ในการปรับเปลี่ยนผู้ประกอบการไทยและส่งเสริมสตาร์ทอัพของไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 ส่งเสริมการนำเทคโนโลยี อาทิ ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ อุตสาหกรรม 4 . 0 อื่น ๆ รวมถึง เทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย ห้าจี มาใช้ในการบริหารจัดการการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่ม ขีด ค วามสามารถในการแข่งขัน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 4 ส่งเสริมการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าในรถเก่า เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนในระบบ นิเวศ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ และการถ่ายทอดองค์ความรู้ของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 5 ส่งเสริมการร่วมทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ระหว่างผู้ประกอบการ ในห่วงโซ่อุปทานเดิมของไทยกับบริษัทผลิตยานยนต์ไฟฟ้า / ชิ้นส่วนในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีและ ทรัพยากรระหว่างกัน และสร้างโอกาสยกระดับการพัฒนาบริษัทไทยให้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีได้ กลยุทธ์ที่ 5 มาตรการสำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 ส่งเสริมผู้ประกอบการในกลุ่มเครื่องยนต์และระบบส่งกาลังของรถยนต์สันดาปภายใน ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรม ระบบ ราง หรือธุรกิจใหม่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เป็นต้น

51 กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 กาหนดมาตรการเยียวยาผู้ ได้ รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ผู้ประกอบการและแรงงานในธุรกิจปิโตรเคมี และเกษตรกรผู้ปลูกพืชพลังงาน เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 6 การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 1 จัดตั้งกิจการค้าร่วมด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การผลิตแบตเตอรี่ ระบบเซนเซอร์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบสื่อสารในยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาเทคโนโลยี การดักจั บ คาร์บอนไดออกไซด์ และคานึงถึงวงจรชีวิตทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งส่งเสริมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กับการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมทั้ งถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 2 ส่งเสริมให้ผู้ผลิตยานยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ของภาครัฐที่สร้างขึ้น เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เช่น ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ และห้ องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่ ณ สนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 3 ส่งเสริมงานวิจัยและการจัดทำระเบียบรองรับการวิจัยและพัฒนายานยนต์ ที่ปล่อย มลพิษเป็นศูนย์ ระบบการขับขี่แบบอัตโนมัติ การเชื่อมต่อ การปรับให้เป็นระบบไฟฟ้า และการแบ่งปันกัน ใช้งาน เพื่อขยายผลไปสู่การใช้ในภาคอุตสาหกรรมในประเทศต่อไป กลยุทธ์ที่ 7 โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่มีความพร้อมรองรับปริมาณการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ในอนาคตได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 1 ส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาจุดอัดประจุหรือเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและกิจกรรมประจำวันของผู้ใช้รถ ได้แก่ บ้าน สำนักงาน ที่พักอาศัย และที่สาธารณะ กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 2 ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพที่จะรองรับปริมาณ ความต้องการการประจุไฟ ฟ้า ได้เพียงพอตลอดเวลา และมีการคานวณค่าไฟฟ้าที่แยกระหว่างการใช้ไฟฟ้าเพื่อประจุ ยานยนต์ไฟฟ้ำกับการใช้ไฟฟ้าในบ้าน กลยุทธ์ย่อยที่ 7 . 3 ส่งเสริมเทคโนโลยีด้านสมาร์ทกริด เพื่อเชื่อมโยงและบริหารจัดการการประจุ ไฟฟ้าแบบบูรณาการ อาทิ นโยบายโครงสร้างพื้นฐานมิเตอร์อัจฉริยะ การพัฒนาแพลตฟอร์มบูรณาการและ เชื่อมโยงข้อมูล การเชื่อมโยงสถานีอัดประจุและยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อบริหารจัดการระบบไฟฟ้า กลยุทธ์ที่ 8 การปรับปรุงและจัดทากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เอื้อกับการเติบโต ของ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน กลยุทธ์ย่อยที่ 8 . 1 จัดทาและปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า สถานีอัดประจุไฟฟ้า เช่น กฎระเบียบเพื่อการสื่อสารและความปลอดภัย กฎระเบียบการติดตั้ง และการพัฒนาพื้ นที่ และกฎระเบียบและมาตรฐานการใช้งานแบตเตอรี่ใช้แล้ว เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 8 . 2 ผ่อนคลายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานของชิ้นส่วนที่เป็น เทคโนโลยีสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าในระยะเริ่มต้น เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

52 กลยุทธ์ย่อยที่ 8 . 3 ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (โดยเฉพาะการจดทะเบียน) เพื่อสนับสนุน และช่วยอำนวยความสะดวกในการดัดแปลงเป็นยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ที่ 9 การผลิตและพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 9 . 1 พัฒนาบุคลากรรองรับยานยนต์ไฟฟ้า เยียวยากาลังคนรองรับการเปลี่ยนผ่าน ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต กลยุทธ์ย่อยที่ 9 . 2 ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและสถานศึกษา เพื่อให้เกิด การถ่ายทอดองค์ความรู้ของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าระหว่างผู้ ประกอบการและสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระบบเซ็นเซอร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 9 . 3 กาหนดแนวทางดึงดูดผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการให้สิทธิประโยชน์ในช่วงเริ่มต้น เช่น สิทธิ ประโยชน์ด้านภาษีสาหรับการจ้างแรงงานทักษะสูงในสาขา ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การให้วีซ่า สิทธิการอยู่ ภาษี และการย้ายถิ่นฐาน สำหรับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 10 มาตรฐานด้านคุณสมบัติและความปลอดภัย กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 1 กำหนดและพัฒนามาตรฐานให้ครอบคลุมยานยนต์ ชิ้นส่วน และอุปกรณ์สำหรับ การใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ให้สอดคล้อง กับ มาตรฐานและข้อกาหนดของประเทศ ปลายทาง ในการ ส่งออก รวมทั้ง ยกระดั บ ห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบและรับรองให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 2 กำหนดมาตรฐานสำคัญเพื่อส่งเสริมให้เกิดการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ สถานีอัดประจุไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 3 จัดทำ แผนพัฒนาด้านมาตรฐานให้กับสถานประกอบการ ยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 4 พัฒนาและต่อยอด ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในการทดสอบ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่ ครอบคลุม ข้อกำหนดตามมาตรฐานสากล กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 5 กำหนด มาตรฐาน และหน่วยงานให้การตรวจสอบรับรองสำหรับยานยนต์ ที่ดัดแปลงเป็นยานยนต์ไฟฟ้า กลยุทธ์ ย่อย ที่ 10 . 6 ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนศูนย์ทดสอบในประเทศ ในระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม และระดับมาตรฐานผู้ผลิตยานยนต์ ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้า และการบริหารคุณภาพ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานรับรองมาตรฐานระดับโลก กลยุทธ์ย่อยที่ 10 . 7 จัดทามาตรฐานที่สาคัญ ได้แก่ มาตร ฐาน การติดตั้ง และมาตรฐานแบตเตอรี่ สาหรับการดัดแปลงยานยนต์เก่าเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยของยานยนต์ ดัดแปลง และปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจดทะเบียนเพื่อสนับสนุนและช่วยอำนวย ความสะดวก ในการดัดแปลงเป็นยานยน ต์ไฟฟ้า

53 กลยุทธ์ที่ 11 การสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการที่ลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานสะอาด กลยุทธ์ย่อยที่ 11 . 1 สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการด้านยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน กลยุทธ์ย่อยที่ 11 . 2 สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า และการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเขียวและธุรกิจหมุนเวียน

54 หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา การให้บริการทางการแพทย์ แก่ ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น แต่ต้องคานึงผลกระทบต่อโอกาสในการเข้าถึงบริการ สุขภาพของคนไทย โดย ปี 2562 มีชาวต่างชาติมาใช้ บริการ ทาง การแพทย์ 3 . 6 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 41 , 000 ล้านบาท จาก ราคา ค่าบริการ และ ชื่อเสียง ของ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ดีกว่า กว่าประเทศอื่นเมื่อเทียบ บริการ ใน ระดับเดียวกัน แต่เมื่อพิจารณาถึงการกระจายบุคลำ กรทางการแพทย์ในประเทศยังคงมีความเหลื่อมล้า กันในระหว่างภาค และเมื่อเปรียบกับประเทศอื่น ๆ พบว่า ประเทศไทย ยังมีสัดส่วนแพทย์ต่อประชากร 1 , 000 คน เพียง 0 . 5 เทียบกับ เกาหลีใต้ 2 . 4 และสิงคโปร์ 1 . 9 ขณะที่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้และ การให้บริการชาวต่างชาติอาจ ทาให้ มีการไหลออกของบุคลากรภาครัฐสู่ภาคเอกชน ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง บริการสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ถึงแม้ปัจจุ บัน มี การ นานวัตกรรมและเทคโนโลยี สมัยใหม่ มาให้ บริการทางการแพทย์ เพิ่ม มากขึ้น ซึ่งช่วยอานวยความสะดวกและ ลดภาระงานของบุคลากร แต่ยังคงต้องคำนึงถึงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยมีมูลค่าการตลาดสูงเป็นอันดับ 4 ของเอเชียแปซิฟิก แต่ยังมีปัญหา ความเชื่อมั่นด้านคุณภาพมาตรฐานของสถานบริการ ในปี 2562 ไทยมีอัตราการใช้บริการด้านการท่องเที่ยว เชิงสุขภาพ 12 . 6 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 409 , 200 ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน 530 , 000 คน อีกทั้ง มีสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ขึ้นทะเบีย น จานวน 4 , 352 แห่ง โดยเฉพาะสปาไทยและนวดแผนไทย ซึ่ง เป็น เอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ แต่ยังคงต้องปรับปรุงในเรื่องคุณภาพมาตรฐาน ทั้งด้านภาพลักษณ์และราคา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการมาใช้บริการ ประเทศไทยส่งออกเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มูลค่าต่ำ แต่นำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าสูง โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกร้อยละ 88 เป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์นำเข้าร้อยละ 42 เป็นครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาทิ เครื่องอัลตราซาว ด์ เครื่องเอกซเรย์ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง และร้อยละ 40 เป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ทางจักษุวิทยา เป็นต้น ทั้งนี้ การสนับสนุน ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งในด้านการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ การส่งเสริมการใช้ในประเทศยังมีจำกัด ส่งผลให้ผู้ใช้เครื่องมือแพทย์นำเข้าจากต่างประเทศเพราะต้นทุนที่ถูกกว่า การผลิตยาและวัคซีนส่วนใหญ่เป็นการผลิตขั้นปลายโดยนาเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตยา และ วัคซีนสาเร็จรูป ปี 2562 ตลาดยาในประเทศไทย มี มูลค่า 1 . 84 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 90 เป็นการ ผลิตเพื่อการบริโภค ภาย ในประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นการผลิตยาสาเร็จรูปที่นาเข้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ แม้ว่าในช่วงปี 2557 – 2561 การส่งออกยา จะ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี แต่ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0 . 2 ของมูลค่าส่งออกสิน ค้าทั้งหมด เนื่องจากยาที่ส่งออกเป็น ยาสามัญ ที่มีมูลค่าต่า ขณะที่ ปัจจุบัน มีการผลิตวัคซีน หลายชนิดแบบปลายน้า โดยนาเข้า วัตถุดิบ มาผสมหรือแบ่งบรรจุ เนื่องจากต้องมีการวิจัยและใช้เทคโนโลยีสูง แต่ วัคซีน ที่ผลิตได้เอง ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นน้ามีเพียง 2 ชนิด คือ วัคซีน บีซีจี และวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ส่งผล ให้มีการ วิจัย และ พัฒนาวัคซีนเพิ่ม สูง ขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย คาดการณ์ว่าตลาดวัคซีนโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 83 . 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2570

55 ประเทศไทยมีศักยภาพในเรื่องสมุนไพร แต่การส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในรูปวัตถุดิบ ที่มีราคาและมูลค่าเพิ่มต่า และ นำเข้าในรูปสารสกัดซึ่งมีราคาสูง ขณะเดียวกันมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐาน รวมถึง ขาดงานวิจัยเพื่อเป็นหลักฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ที่จะรองรับคุณประโยชน์สมุนไพร สะท้อนได้จากข้อมูล การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในปัจจุบันที่ยังมีจำนวนน้อย นอกจากนี้ การกำหนดพิกัดศุลกากร แอลกอฮอล์ที่ใช้ ในกระบวนการสกัดสารสาคัญของสมุนไพรยังไม่เหมาะสม ทาให้อัตราการเก็บภาษีแอลกฮอล์ ค่อนข้างสูงซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย่ำงไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ทาให้เกิด การเร่งวิจัย และ พบว่าสมุนไพรไทยหลายชนิด มีส่วน ช่วย ในการป้องกัน / รักษาโควิด - 19 อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว ซึ่ง เป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาสมุนไพรไทย ศักยภาพทางด้านวิชาการและ การ วิจัยทางการแพทย์ของไทยยังไม่สามารถนาไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ แม้ว่าในปี 2564 ไทยจะมีมหาวิทยาลัยติดอันดับการจัด อันดับ มหาวิทยาลัย ทั่ว โลกในสาขาชีววิทยาศาสตร์และ ด้านการแพทย์ จานวน 4 แห่ง และมีมหาวิทยาลัย 1 แห่ง ติดอยู่ใน 150 อันดับแรกของโลก ซึ่งในภูมิภาค อาเซียนมีเพียงไทยและสิงคโปร์เท่านั้นที่สามารถอยู่ใน 150 อันดับแรกของโลกได้ แต่เมื่อพิจารณาถึงผลงาน ด้านการวิจัยทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จาก ดัชนีผลงานวิจัยที่ได้รับการอ้างอิง กลับพบว่าประเทศไทย อยู่ในลาดับที่ 42 ของโลก ซึ่ง ต่ากว่ามาเลเซีย โดยนอกจากไทยจะมีช่องว่างในการพัฒนางานวิจัยให้เป็นที่ยอมรับ แล้ว ยังมีปัญหาในการนางานวิจัยและนวัตกรรมมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากระบบนิเวศการวิจัยที่ไม่เอื้อ และยังขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการรองรับ อาทิ ศูนย์ทดสอบและ ห้องปฏิบัติการที่ได้มา ตรฐานสากล บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ส่งผลให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพและโลกาภิวั ต น์ส่งผลต่อความเสี่ยงในการรับมือกับ โรคระบาดอุบัติใหม่อุบัติซ้ำเพิ่มขึ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาด ของโรคติดต่ออุบัติใหม่จากต่างประเทศมาเป็นระยะ อาทิ โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก โรคไข้ซิก้า โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคเมอร์ส และล่าสุด โควิด - 19 ที่มีการแพร่ระบาดทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบ อย่ำงรุนแรงต่ อภาคการท่ องเที่ยวและการส่ งออกของไทย ส่ งผลให้ ปี 2563 เศรษฐกิจไทย หดตัวอย่างรุนแรง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ถึง ร้อยละ 38 . 01 รวมทั้งยังส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของประชาชน และก่อให้เกิดวิกฤตในระบบ สุขภาพ ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้อง มีการ ปรับโครงสร้าง ระบบ อุปกรณ์ และกาลังคนใน การควบคุม และจัดการโรคระบาด ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ของประเทศ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพสูงจะสอดรับกับ เป้าหมาย หลัก 4 ประการ ของแผน พัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ สู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยการใช้นวัตกรรมในการผลิตสินค้าและจัดบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ ที่มีสมรรถนะสูง

56 ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับขีดความสามารถบริการทางการแพทย์ และสุขภาพ เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ในการ ลด ผลกระทบต่อการเข้าถึง บริการ ทางสาธารณสุข ของคนไทย และ เป้าหมายที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ ในการ วางแนวทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการ ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพ นอกจากนี้ ยัง เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่สาคัญใน ด้าน การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในประเด็นเป้าหมาย ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ที่กาหนดอุตสาหกรรมการแพทย์แบบครบวงจรเป็นอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่อาศัยความเชี่ยวชาญ ด้านการแพทย์ของไทย สร้างอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ การใช้เทคโนโลยี ทาง การแพทย์ใหม่ ๆ ยกระดับการให้บริการ ทาง การแพทย์อย่างมีคุณภาพในระดับสากล รวมทั้ง เชื่อมโยงอุตสาหกรรมทางการแพทย์และบริการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และ เชื่อมโยงกับ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ในประเด็นเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมและลด ความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ที่มุ่งเน้นการสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 ไทยมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากสินค้าและบริการสุขภาพ ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 สัดส่วนมูลค่าเพิ่มสินค้าและบริการสุขภาพต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ร้อยละ 1 . 7 เป้าหมายที่ 2 องค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขมีศักยภาพ เอื้อต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้า และบริการทางสุขภาพ ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 มูลค่าการนำเข้าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ( 20 , 000 ล้านบาท) เมื่อสิ้นสุดแผน เป้าหมายที่ 3 ประชาชนไทยได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนต่อค่าใช้จ่ายสุขภาพทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 12 เป้าหมายที่ 4 ระบบบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพมีความพร้อมรองรับภัยคุกคามสุขภาพ ตัวชี้วัดที่ 4 . 1 การประเมินผลสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศทุกตัวชี้วัดมีค่าไม่ต่ำกว่า 4

57 3 . แผนที่กลยุทธ์

58 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การ ส่งเสริม บริการทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 สนับสนุนให้ภาคเอกชนยกระดับบริการทางการแพทย์บนฐานนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยภาครัฐกำหนดมาตรฐาน สนับสนุน และกากับดูแล 1 ) ยกระดับบริการทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นรูปแบบการแพทย์แม่นยา เวชศาสตร์ป้องกันก่อนเกิดโรค และการดูแลสุขภาพแบบเจาะจงเฉพาะบุคคล โดย จัดทาฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเพื่อต่อยอดไปสู่การให้บริการ รักษาและดูแลผู้ป่วยในลักษณะเฉพาะบุคคล การรักษาโดยพันธุกรรมบาบัด และ เซลล์ต้นกาเนิด รวมทั้งนาบริการ ส่งเสริมสุขภาพมาหนุนเสริมการจัดบริการทางการแพทย์ อาทิ เวชศาสตร์ชะลอวัย ที่มีหลักฐานทางการวิจัย มารองรับ ต ลอดจนส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงคู่ค้าทางธุรกิจในการจัดหาผู้ป่วยต่างชาติให้มารับบริการในไทย โดยเฉพาะผู้ป่วยในกลุ่มประเทศที่ มีระบบประกันสุขภาพ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศไทย 2 ) พัฒนาระบบกากับควบคุมคุณภาพมาตรฐานการจัดบริการทางการแพทย์ขั้นสูง โดยคานึงถึง ผล กระทบที่เกิดขึ้นในทุกมิติ อาทิ การ ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐานในราคาที่สมเหตุสมผล การ กำกับดูแล ปัญหา ทางจริยธรรมทางการแพทย์จากการนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ อาทิ แม่อุ้มบุญ การใช้เซลล์ต้นกำเนิด กลยุทธ์ ย่อย ที่ 1 . 2 ปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้เอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพ 1 ) ศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ และสุขภาพที่ครอบคลุมข้อจากัดในการดาเนินการ อาทิ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลทางการแพทย์ การใช้ระบบประกั นภัยสุขภาพ และ สวัสดิการจากต่างประเทศ การอนุญาตด้านการ ตรวจ ลงตรา ตลอดจน การกาหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการ 2 ) ปรับแก้กฎหมายการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจด้านบริการส่งเสริมสุขภาพและบริการ ทางการแพทย์ให้เป็นแบบใบอนุญาตเดียว ที่ครอบคลุมการดาเนินการเกี่ยวกับ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สถานพยาบาล และ ธุรกิจโรงแรม รวมทั้ง ปรับแก้ กฎหมาย อนุญาต ให้วิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ส่งเสริม สุขภาพที่ยังไม่มีหลักสูตรการสอนในประเทศไทย มาช่วยสนับสนุนการแพทย์แผนปัจจุบันภายใต้ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ได้สะดวกขึ้น อาทิ การแพทย์ธรรมชาติบำบัด กลยุทธ์ที่ 2 การผลักดันให้ประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพระดับโลก กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 พัฒนานวัตกรรมในบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพบนฐานความโดดเด่นของ เอกลักษณ์ความเป็นไทย 1 ) ผสานความโดดเด่นของอัตลักษณ์ความเป็นไทยกับบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยสนับสนุน ทุกภาคส่วนในพื้นที่ร่วมกันพัฒนาเมืองสุขภาพแบบครบวงจร บนฐานการนาภูมิปัญญาการดูแลรักษาสุขภาพ ด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของชุมชนท้องถิ่น มาพัฒนา ต่อยอด บริการและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อสร้างแบรนด์ความเป็นไทยที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

59 2 ) ผลักดันให้มีผู้บริหารจัดการธุรกิจบริการส่งเสริมสุขภาพระดับโลก เพื่อ สร้างชื่อเสียงให้ กลุ่มธุรกิจบริการส่งเสริมสุขภาพระดับสูงในการให้บริการชาวต่างชาติ และการร่วมลงทุนในการจัดบริการ ในต่างประเทศ ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการมาใช้บริการส่งเสริมสุขภาพในระดับกลางและระดับล่างเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ยกระดับมาตรฐานสถานบริการส่งเสริมสุขภาพให้สามารถแข่งขันได้ โดยพัฒนา มาตรฐานอาชีพแก่ผู้ประกอบธุรกิจบริการส่งเสริมสุขภา พให้มีกระบวนการบริหารจัดการธุรกิจที่มีคุณภาพ รวมทั้งสร้างมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมาขึ้นทะเบียนภายใต้ พ.ร.บ. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการส่งเสริมสุขภาพให้มีคุณภาพ สามารถดำเนินธุรกิจในตลาดโลกได้ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 พัฒนาบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพรูปแบบใหม่ที่นาไปสู่การสร้างสังคมสูงวัย ที่มีสุขภาวะ โดยส่งเสริมการสร้างพื้นที่ชุมชนดิจิทัลเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะบนฐานนวัตกรรมบริการและผลิตภัณฑ์ ที่เอื้อต่อรูปแบบวิถีชีวิตปกติใหม่ อาทิ การให้คาปรึกษาทางไกลด้า นสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต อย่างเหมาะสมโดยการใช้อาหารบำบัดและการบำบัดทางจิตด้วยการทาสมาธิ รวมทั้งการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ในแต่ละช่วงวัยหรือเชื้อชาติเพื่อนำมาวิเคราะห์แรงจูงใจในการใช้บริการ ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้เป็นอารยสถาปัตย์ เพื่อรองรับการบริการส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว การพัฒนาที่อยู่อาศัยสาหรับชุมชนสูงวัย การพัฒนาพื้นที่ด้านกีฬาและการออกกาลังกาย เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ใช้บริการให้สามารถรับบริการส่งเสริมสุขภาพ ได้ยาวนานขึ้น อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีพฤฒิพลัง กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบเที่ ยวไปทำงานไป กลยุทธ์ที่ 3 การ สร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ กลยุทธ์ ย่อย ที่ 3 . 1 ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนฐานเทคโนโลยีดิจิทัลให้รองรับกา ร ยกระดับ อุตสาหกรรม ทางการแพทย์และสุขภาพ 1 ) พัฒนาระบบการประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์และมาตรฐานการทดสอบผลิตภัณฑ์ ทางการแพทย์ให้ได้มาตรฐานสากล อาทิ เอกสารวิชาการสำหรับการยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ความปลอดภัยทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป เพื่อให้เกิดความสะดวกและมีมาตรฐานในการทดสอบผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสร้างโอกาสให้ประเทศสามารถรับจ้างวิจัย วิเคราะห์ และรับรองมาตรฐานของผลิตภัณฑ์จากต่างประเ ทศ 2 ) ยกระดับศูนย์ทดสอบศักยภาพการผลิต โดยสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาและ ยกระดับ ให้ได้มาตรฐานสากล ทั้งศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แบบเบ็ดเสร็จ อาทิ ศูนย์ผลิตสารต้นแบบ ศูนย์สัตว์ทดลอง และ ศูนย์ทดสอบทางคลินิกในมนุษย์ รวมทั้งเพิ่มจานวนห้องปฏิบัติการชีว นิรภัยระดับที่ 3 ที่สามารถทาการทดสอบผลิตภัณฑ์กับเชื้ออันตรายได้ เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและการผลิตตั้งแต่ต้นน้า ภายในประเทศ 3 ) พัฒนาฐานการผลิตและสนับสนุนการจัดตั้งโรงงานต้นแบบเภสัชชีวภัณฑ์ ยา สมุนไพร และวัคซีนที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนสาหรับการป้องกันโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้า เพื่อให้มีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ลดการนำเข้า และสร้างความมั่นคงของระบบสาธารณสุขในระยะยาว

60 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ปฏิรูประบบกากับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยปรับโครงสร้างหน่วยงานที่มีหน้าที่ กำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพให้มีความเป็นอิสระและคล่องตัวในการดำเนินงาน ทั้งในเรื่องของการจัดหา งบประมาณ บุคลากร การพัฒนาเครือข่าย เพื่อสามารถกากับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้ ได้มาตรฐานสูงเทียบเท่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการอาน วยความสะดวก ให้ ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนและนาผลิตภัณฑ์ สุขภาพ ที่ ได้มาตรฐาน เข้าสู่ตลาด ได้อย่าง รวดเร็ว ไม่ให้เกิดการสูญเสียโอกาสและความสามารถในการแข่งขั น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 ส่งเสริมการลงทุนและการนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพออกสู่ตลาด โดยปรับแก้กฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ ในการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมที่จะเอื้อให้เกิดการผลิตในประเทศ การใช้กลไกทางภาษีส่งเสริมการลงทุน พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลและเป็นที่ต้องการในตลาด โดยให้ความสาคัญกับกระ บวนการตรวจสอบ ย้อนกลับของวัตถุดิบที่นามาใช้ในการผลิต รวมทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือบนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ให้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างอุปสงค์ และอุปทานในการนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกสู่ตลาดทั้งใ นและต่างประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 ส่งเสริมแนวคิดการซื้อและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ 1 ) ปรับปรุงบัญชีนวัตกรรมไทยให้เกิดความสะดวกและเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ทางการแพทย์ โดยให้มีการบังคับใช้ในภาครัฐอย่างจริงจังและเข้มงวดยิ่งขึ้น พร้อมทั้งแก้ไขรหัสครุภัณฑ์และ วัสดุให้สอดคล้องกับบัญชีนวัตกรรม และจัดทำบัญชีรายการเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้มาตรฐานสากลในระบบจัดซื้อ จัดจ้างภาครัฐ 2 ) ปลูกฝังทัศนคติและสนับสนุนให้สถานพยาบาลเอกชนและสถาบัน การศึกษาทางการแพทย์ ใช้เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตในประเทศที่มีคุณภาพ ปลอดภัย คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ ทางภาษีสำหรับการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ไทย และการกำหนดให้มีรายการเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้มาตรฐานสากล อยู่ในระบบการเรียนการสอนและการบริกา ร กลยุทธ์ที่ 4 การ สร้างเสริมขีดความสามารถทางวิชาการด้านการศึกษา วิจัย และเทคโนโลยีทางการแพทย์ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการศึกษาทางการแพทย์ โดยพัฒนาหลักสูตร ทางการแพทย์ในระดับนานาชาติและหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียใต้และอาเซียน ผ่านรูปแบบทั้งการฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาลภายในประเทศไทยและผ่านระบบออนไลน์ โดยสนับสนุนให้ได้รับทุน จากองค์กรระหว่างประเทศ ประเทศที่สาม หรือรัฐบาลไทย รวมทั้งการพัฒนาศักยภา พบุคลากรผู้สอนให้มีทักษะ ภาษาต่างประเทศ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล ที่สอดรับกับการจัด การศึกษาและฝึกอบรมแก่บุคลากรทางการแพทย์จากต่างประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 พัฒนาต่อยอดประโยชน์ของการจัดประชุมวิชาการทางการแพทย์นานาชาติ โดยพัฒ นามาตรการจูงใจและสิทธิประโยชน์แก่สถาบันวิชาการชั้นนาระดับนานาชาติและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ต่างประเทศ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนามาตรฐานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทย อาทิ การสร้างความตกลงร่วมในการพัฒนางานวิจัย การนำผลงานที่นำเสนอมาต่อยอด ในประเทศไทย

61 การแลกเปลี่ยนบุคลากรในการฝึกปฏิบัติงานที่สถาบันชั้นนา การนาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาเป็น วิทยากรหรืออาจารย์พิเศษ ตลอดจน การนำผลงานวิจัยของประเทศไทยไปเผยแพร่แก่ประเทศต่าง ๆ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 พัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย โดยสนับสนุนการสร้างบุคลากรที่มีองค์ความรู้ ข้ามศาสตร์ มีทักษะการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม ดิจิทัลทางการแพทย์ และการประเมิน เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม สนับสนุนให้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาทักษะร่วมกันระหว่างนักวิจัยผ่านชุมชน แห่งวิชาชีพของนักวิจัย มีกิจกรรมบ่มเพาะนักนวัตกรรมทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษา มีส่วนร่วมในการพัฒนาการวิจัย รวมทั้งดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้เข้ามาทางานและถ่า ยทอดองค์ความรู้ มากยิ่งขึ้น ตลอดจนพัฒนากลไกธารงรักษาบุคลากรด้านการ สุขภาพ โดยเฉพาะการกาหนดค่าตอบแทนให้บุคลากร ด้านการวิจัย คงอยู่ปฏิบัติงานด้านการวิจัยอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ย่อย ที่ 4 . 4 สร้า งระบบนิเวศการวิจัยให้เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาต่อยอด ในเชิงพาณิชย์ โดยสร้างความร่วมมือในการทาพื้นที่ทดลองวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ก่อนใช้งานจริงหรือออกสู่ ตลาด ระหว่างผู้พัฒนา ผู้ผลิต สถานพยาบาล และผู้ประเมินเทคโนโลยี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ ของนวัตกรรมนั้น ๆ ตลอดจนสนับสนุนเงินทุนในระยะ เริ่มต้น และพัฒนากลไกที่ช่วยผลักดันงานวิจัยให้สามารถ นาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงฐานข้อมูล งานวิจัย การจับคู่ทางธุรกิจระหว่างนักลงทุนกับนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การมีมาตรการปกป้องทรัพย์สิน ทางปัญญาและบริหาร จัดการลิขสิทธิ์ของผู้วิจัยเมื่องานวิจัยสาเร็จลุล่วง และให้หน่วยงานที่ควบคุมกากับคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีความสะดวกรวดเร็วในการนำผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้มาตรฐานออกสู่ตลาด กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 5 สร้างเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาระหว่างประเท ศ โดยส่งเสริม ความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัย ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในประเทศกับสถาบันวิจัยหรือภาคเอกชน ต่างประเทศที่มีศักยภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในการพัฒนางานวิจัยทางการแพทย์ เพื่อให้เกิด การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการแพทย์จากต่างประเทศ อาทิ การร่วมลงทุนพัฒนางานวิจัย การรับจ้างผลิต รวมทั้ง ยกระดับความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศที่จะเป็นเครือข่ายในห่วงโซ่คุณค่าของการวิจัยและผลิตนวัตกรรม ทางการแพทย์ ผ่านรูปแบบการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรมนานาชาติที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนา ด้านการแพทย์และสุขภาพของ ไทย กลยุทธ์ที่ 5 การ บริหารจัดการระบบบริการสุขภาพบนพื้นฐานความสมดุลทางเศรษฐกิจและสุขภาพของคนไทย กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 บริหารจัดการบุคลากรทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับระบบบริการสุขภาพ 1 ) สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีบทบาท ในการกาหนดสาขาความต้องการ พัฒนาหลักสูตร และผลิตบุคลากร ทั้งการผลิตแพทย์เฉพาะทางหรือสหสาขา วิชาชีพต่าง ๆ ให้รองรับการให้บริการทางการแพทย์มูลค่าสูง ตลอดจนฝึกอบรมเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น 2 ) สนับสนุนการนาเข้าบุคลากรทางการแพทย์ โดยพัฒนารูปแบบการสอบใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพที่เอื้อต่อการเปิดรับบุคลากรจากต่างประเทศ รวมถึงส่งเสริมการใช้บุคลากรร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะบุคลากรในสาขาที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากร และให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

62 3 ) ส่ง เสริมให้เกิดการกระจายกาลังคนด้านสุขภาพ โดยพัฒนากลไกระบบหมุนเวียนกาลังคน ให้รองรับทั้งในเชิงพื้นที่ ภาระงาน และสาขา ที่มีความ ขาดแคลน พร้อมมีมาตรการจูงใจบุคลากรทางการแพทย์ ให้ คงอยู่ในระบบสุขภาพ อาทิ การจัดทาเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่ชัดเจน มี อัตราความก้าวหน้ำและโอกาส การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ใน พื้นที่ห่างไกล การปรับภาระงานของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปให้เหมาะสม และการปรับปรุงระบบสวัสดิการพื้นฐานเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 พัฒนากลไกกากับดูแลและบริหารจัดการค่าบริการทางการแพทย์ โดยพัฒนา กลไกและแนวทางกากับดูแลค่าบริการทางการแพทย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายส่งเสริมการเป็นศูนย์กลาง ทางการแพทย์ให้มีความเหมาะสม ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารการจ่ายค่าบริการของระบบประกันสุขภาพให้มี ความครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ตามค วามจาเป็นทางสุขภาพอย่างทั่วถึง และเป็นธรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 3 พัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศเพื่อสนับสนุนบริการทางการแพทย์ 1 ) สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดภาระงาน และแก้ปัญหาการขาดแคลน บุคลากร อาทิ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในการ ตรวจคัดกรองเบื้องต้น การใช้ระบบการแพทย์ทางไกล โดยพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลให้ครอบคลุมทั่วถึง ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง พัฒนากลไกการประเมิน การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ตลอดจนมีแนวทางในการกำกับดูแลเพื่อป้องกันผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น 2 ) จัดทำฐำนข้อมูลกลางด้านสุขภาพของประเทศ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการทาข้อตกลงร่วมกันที่จะใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลและแพลตฟอร์มกลางใน การเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐาน ของหน่วยงานภาครัฐให้สามารถใช้ร่วมกันได้ โดยคำนึงถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การเจ็บป่วย การตาย ความพิการ สิทธิการประกันสุขภาพ ข้อมูลด้านวิจัยและนวัตกรรม ข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ที่ผลิตและปฏิบัติงานจริง เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อยอดการจัดบริการและการวางแผนด้านกาลังคนในอนาคต ตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลแก่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ในกา รพัฒนาสินค้าและบริการทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับ ความต้องการของตลาดและประชาชนแต่ละกลุ่ม กลยุทธ์ที่ 6 การ ยกระดับศักยภาพระบบบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อลดผลกระทบต่อ บริการทางเศรษฐกิจและสุขภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 1 ปฏิรูประบบเฝ้าระวังและบริหารจัดการโรคระบาดและภัยคุกคามสุขภาพ 1 ) ปรับโครงสร้างการเฝ้าระวังและบริหารจัดการโรคระบาดและภัยคุกคามสุขภาพของประเทศ ที่เป็นเอกภาพ โดยให้มีหน่วยงานกลางกาหนดทิศทางสาธารณสุขระดับชาติในการบูรณาการการทางานด้าน การเฝ้าระวัง ป้องกัน เตรียมความพร้อม การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินและระบบบัญชาการเหตุการณ์ ที่เป็นกลไกสาคัญในการบริหาร จัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ที่มีการ ประสานความร่วมมือและร่วมกันจัดสรรทรัพ ยากร อย่างมีประสิทธิภาพ 2 ) พัฒนากลไกและระบบข้อมูลการเฝ้าระวังสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ โดยมีกลไก ในการบริหารจัดการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่บูรณาการในระดับนโยบายสู่ระดับปฏิบัติ และพัฒนาระบบ การเชื่อมโยงข้อมูลภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว อาทิ ข้อมูลสุขภา พ ข้อมูลโรคจากสัตว์ ข้อมูลทางสิ่งแวดล้อม

63 ข้อมูลทรัพยากรทางสาธารณสุขที่สำคัญ บนฐานการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการประมวลผล เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการรับมือและจัดการภัยคุกคามทางสุขภาพได้อย่างทันการณ์ กลยุทธ์ย่อยที่ 6 . 2 วางระบบการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคง ทาง สุขภาพในการจัดการภาวะ ฉุกเฉิน โดยวางแผนอัตรากำลังคนด้านการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคและภัยคุกคามทางสุขภาพ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาคลินิกและภาคสนาม นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักวิจัย นักสร้างตัวแบบ เชิงคณิตศาสตร์ นักเทคนิคที่ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรคและปัจจัยเสี่ยงให้เหมาะสมกับ สัดส่วนประชากรของประเทศ พร้อม การกาหนด ค่า สนับสนุน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และความก้าวหน้าในวิชาชีพ ที่เหมาะสม รวมถึงการสนับสนุนให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและป้องกันเมื่ อเกิดภาวะฉุกเฉิน ตลอดจน จัดทำแผนเตรียมความพร้อมด้านยา และ เวชภัณฑ์ วัคซีน อุปกรณ์ทางการแพทย์ และวัสดุอุปกรณ์ด้านสาธารณสุข ที่จำเป็น ให้พร้อมรองรับการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

64 หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา สถานการณ์ การแข่งขันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาและจีนที่ขยายวงกว้าง ส่ง ผลกระทบต่อเนื่องถึงไทย และ ภูมิภาค ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งที่ต้องรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะ การปรับเปลี่ยน ทิศทางการค้าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานโลก และ การจัดกลุ่มทางการเมืองและเศรษฐกิจ ดังนั้น ทิศทางในอนาคต ของ ไทย จึง ควรแสดงบทบาท การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ใน ภูมิ ภาค อาเซียน โดยเฉพาะ ใน กลุ่มประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง โดยเน้นความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน และ ให้ไทยเป็นประตูและทางเชื่อม เพื่อสร้างดุล ย ภาพที่สร้างสรรค์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคและมหาอานาจ เพื่อความก้าวหน้าและมั่นคงของภูมิภาค รวมถึง ควรรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศของ ไทย จีน สหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตก โดยกำหนดความต้องการของไทยในระยะยาวที่ชัดเจน ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อสร้างความชัดเจนกับมิตรประเทศว่าไทย พร้ อมร่วมมือในแนวทางดังกล่าว นอกจากนี้ เนื่องจากภูมิศาสตร์ของไทยมีความใกล้กับจีน จึง ต้องมียุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เชื่อมโยงของไทย สปป. ลาว และ จีนที่ชัดเจน เพื่อสร้างประโยชน์จากเส้นทาง การคมนาคมจากหนองคายและเชียงรายเข้าสู่ สปป. ลาว และจีน เพื่อให้เกิ ดการลงทุนสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจ และระบบการค้าที่คล่องตัวของทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทย สปป.ลาว และมลฑลในจีนตอนใต้ให้เกิดเป็นการพัฒนาร่วมกัน นอกจากนี้ จากสถานการณ์ที่มี แนวโน้มการย้ายฐานการผลิต จาก การแพร่ระบาดของ โควิด - 19 ที่ ทาให้ ทุกประเทศหันมาสร้างหลักประกันป้องกันความเสี่ยงจากการ หยุด ชะงักของ ห่วงโซ่ อุปทาน และส่งผลให้ เกิด การปรับห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ทั่วโลก จาก การย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศที่เป็นมิตรหรืออยู่ใกล้ตลาด และ มี การขนส่ง ที่ คล่องตัว ซึ่งไทยควร เร่งธุรกิจไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าของภูมิภาค และของโลก โดยรับและเข้าไปลงทุนในกลุ่มความร่วมมือที่จะเป็นโอกาสสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ขยายตลาดการค้าและการลงทุน และยกระดับเทคโนโลยีให้แก่ประเทศไทย อาทิ จีน ไต้หวัน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาห ลีใต้ กลุ่มประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และ ควรมียุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อ รองรับการย้ายฐานการผลิต ของอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อขยายประโยชน์การค้าการลงทุนกับจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ในลักษณะ ของการ มีผลประโยชน์ร่วมกันได้อย่างชัดเจน ตรงความต้องการของไทย โดยดึงดู ดการลงทุนจากทุกประเทศ ที่ มีแนวโน้มในการ ย้ายฐานการผลิต ซึ่งสามารถ ใช้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ พื้นที่ เศรษฐกิจ อื่น ๆ เป็นจุดเชื่อมโยงเข้าสู่จุดการผลิตหลัก ใน อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง จีนตอนใต้ และ เ อเ ชี ย รวมถึงควร เปิดประตูการค้า การลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียที่มีตลาดขนาดใหญ่และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยให้ความสำคัญกับอินเดีย ที่มีตลาดขนาดใหญ่ และมีศักยภาพในการเติบโต และไต้หวัน ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และจาก เงื่อนไขของการค้าการลงทุนตามมาตรฐานโลกใหม่ ที่ มีแนวโน้มว่าประเทศต่าง ๆ โดยเฉ พาะ ประเทศตะวันตก อาจ ใช้เป็นเงื่อนไขในการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการค้าและการลงทุน หรือ ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อการสร้างมาตรฐานทางสังคม สิ่งแวดล้อม สุขอนามัยและคุณภาพชีวิต การลดความเหลื่อมล้า ความโปร่งใส การบริหารจัดการที่ดี การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน ฯลฯ ไทยจึงต้องเตรียมการ พัฒนากฎระเบียบและแนวปฏิบัติที่ จะ ยกระดับไปสู่มาตรฐานระหว่างประเทศ ไว้ให้พร้อมกับ

65 สถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ไทยจากมาตรการ กีดกันทางการค้า และช่วยสร้างความ เชื่อมั่น ของนักลงทุนทั่วโลกแล้ว ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของไทยใ นการ ก้าวสู่ การเป็น ประเทศที่พัฒนาแล้ว ในอนาคต จากสถานะของประเทศ ไทย ที่ ต้อง มีการ ลงทุนเพื่อชดเชยผลกระทบจากการจาก การแพร่ระบาดของ โควิด - 19 ซึ่ง ทาให้ไทยสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้เป้าหมายการยกระดับไปสู่การเป็น ประเทศรายได้สูงต้องล่าช้าออกไป และประชากรประสบปัญหาความยากจนเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคน ซึ่งไทยต้อง เร่งขยายการลงทุนใหม่ เพิ่มเติมอีกไม่ น้อยกว่าปีละ 6 แสนล้านบาท เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และนำส่วนเ กินจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาเร่งรัดการลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนโดยเร็ว ผ่านการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึง กระจายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจออก นอกกรุงเทพฯ ไปสู่ภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการให้บริการมากขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากโครงการลงทุนด้านคมนาคมได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ นอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวแล้ว การเร่งจัดทำ กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี จะเป็นอีก ปัจจัยหนึ่ งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนให้กับประเทศ ซึ่งปัจจุบัน ไทย มีการจัดทา กรอบความตกลง เขตการค้าเสรี ทั้งสิ้น 13 ฉบับ โดยเป็นการทาความตกลงกับ 18 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 63 ของการค้า ระหว่างประเทศของ ไทย ซึ่งไทย ควรเร่งการเจรจาเปิดความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนกับประเทศพันธมิตรให้กว้างขวาง โดยเฉพาะ ข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้า เพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฯลฯ เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ เ หมาะสม และ สอดคล้องกับ ความต้องการของประเทศ ในขณะที่ป้องกัน ไม่ให้ภาคการผลิตและบริการ ของ ไทยเสียเปรียบ ประเทศอื่น ๆ รวมถึง ให้มีการจัดตั้งกองทุนป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และ มุ่งขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศที่สามารถเป็นแหล่งองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ไทยต้องการในการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างไรก็ดี ไทยยังมีข้อจากัด ใน การอานวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน อาทิ กฎระเบียบการขนส่ง สินค้าผ่านแดน ขีดควำมสามารถ ของผู้ขนส่งในการนำเทคโนโลยีมาใช้งาน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการอำนวย ความสะดวกด้านขนส่งโลจิสติกส์และการค้า การ ลงทุน ไทยจึงจำเป็นต้องเดินหน้าเร่ง ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อแก้ไข ปัญหาอุปสรรคเหล่านั้นควบคู่ไปกับการเร่งดาเนินการลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแ ละการ จัดทา กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี อาทิ การ ปรับปรุงกฎระเบียบการ ผ่านแดน เพื่อ ขนส่งโลจิสติกส์และการค้า โดย ควรพัฒนาธุรกิจการให้บริการโลจิสติกส์ธุรกิจระหว่างประเทศของไทย ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิ ทั ลเพื่ออานวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าการลงทุนทั้งในและระหว่าง ประเทศ ทั้งนี้ จากการที่ไทยมี ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้มี ศักยภาพ ที่จะ พัฒนา การ เชื่อม ต่อ เส้นทางขนส่งระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และใช้ประโยชน์จากเส้นทางเชื่อมโ ลก ของจีน และแผน “ สร้างโลกที่ดีกว่าขึ้นมาใหม่ ” ที่สหรัฐ อเมริกา สนับสนุนได้ รวมถึงสามารถ เชื่อมโยงกับ กลุ่ม ประเทศ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงการค้า กับ จี น ซึ่ง ปัจจุบัน ไทย มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทั้งทางบก ทางน้า และทางอากาศ จึ งควร บูรณาการเพื่อใช้ประโยชน์ ทางภูมิศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานจากเส้นทางเชื่อมต่อใน อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กับจีนตอนใต้ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

66 และเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่าง ๆ เพื่อ ให้เกิดรูปธรรม ในการผลัก ดัน การเปลี่ยนแปลงภาคการผลิตและบริการไทยสู่ระดับนานาชาติ โดย มีกลยุทธ์ ในการ ขับเคลื่อน ความร่วมมือและกรอบความตกลงระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการขนส่งและโลจิสติกส์ใน อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง ที่มีคณะ ทางาน ขับเคลื่อนโครงการลงทุนเพื่อเชื่อมโยงด้านคมนาคมกับ ประเทศในกลุ่ม อนุภู มิภาคลุ่มน้ำโขง และจีน มีหน่วยงานรับผิดชอบภายใต้การกากับของรองนายกรัฐมนตรี ทาหน้าที่ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง ในการเจรจา และประสานงานให้มีการบูรณำ การร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงคมนาคม รับผิดชอบด้านการขนส่งสินค้า กรมศุลกากรรับผิดชอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว และ พิจารณาลดภาษีนำเข้าวัสดุเพื่อใช้ในการก่อสร้าง 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยง ของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สาคัญของประเทศ มี ความเชื่อมโยงกับ เป้าหมายหลัก ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้าง ภาคการผลิตและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสาหรับโลกยุคใหม่ เป้าหมาย ที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม และ เป้าหมายที่ 4 ) การ เปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ ความยั่งยืน โดยทาให้ประเทศไทยมีระบบนิเวศที่สนับสนุน การ ค้าการลงทุนสามารถเป็นฐานการค้าการลงทุน ที่สาคัญของภูมิภาค เพิ่ม ผลิตภาพและ โอกาสของผู้ประกอบการไทยให้สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่าระดับ ภูมิภาคและระดับโลก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งภาคการผลิตและบริการสาคัญ ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในยุทธศาสตร์ ชาติ ด้านค วามมั่งคง ในมิติความร่วมมือทางการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้าน ภูมิภาค โลก รวมถึงองค์กรภาครัฐ และที่มิใช่ภาครัฐ รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในมิติการพัฒนาอุตสาหกรรม และบริการแห่งอนาคต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมไทย เชื่อมโลก ที่มุ่ งเน้นเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมและ บริการโลจิสติกส์อย่างไร้รอยต่อ และการรักษาและเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยง การค้าการลงทุนของไทยกับต่างประเทศและขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุน และยุทธศาสตร์ชาติด้าน การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็ นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในมิติการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่ เ ป็น มิตรต่อสภาพภูมิอากาศ ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ในขณะเดียวกัน ยังมีความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นสาคัญ ได้แก่ 1 ) การต่างประเทศ ในการขยายความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า การคมนาคม และทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับนานาชาติโดยเฉพาะในกลุ่มอนุภูมิภาคและภูมิภาคเอเชีย 2 ) อุตสาหกรรมและ บริการแห่งอนาคต ที่ให้ความสาคัญ กับการ พัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไปสู่อุตสาหกรรม อนาคตที่เติบโตเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของ อุตสาหกรรมและบริการ 3 ) โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการขยายขีดความสามารถ พัฒนาคุณภาพและประ สิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ เพื่อยกระดับผลิตภาพ ของภาคการผลิตและบริการ ลดต้นทุนการผลิตและบริการที่แข่งขันได้ในระดับสากล สนับสนุนให้เกิด ความเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคและภูมิภาคอย่างเป็นระบบ และ 4 ) การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้น

67 การ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้ประโยชน์และสร้างการเติบโตบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและภาคเอกชน 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนในภูมิภาค ตัวชี้วัด ที่ 1 . 1 อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ ( โดยสถาบัน การจัดการนานาชาติ ) มีอันดับดีขึ้น เป้าหมายที่ 2 ไทยเป็นห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค ตัวชี้วัด ที่ 2 . 1 1 ) มูลค่าการลงทุนรวมในประเทศขยายตัวเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 ต่อปี หรือ 2 ) สัดส่วน การลงทุนรวมต่อ ผลผลิตมวลรวมในประเทศ เฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 27 ต่อปี ตัวชี้วัด ที่ 2 . 2 1 ) มูลค่าการส่งออก สินค้า ของไทยกับประเทศทั่วโลกขยายตัวเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 ต่อปี หรือ 2 ) สัดส่วน การเติบโตของปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยต่อการเติบโตของปริมาณ การส่งออกสินค้าของ โลก เฉลี่ย ไม่ น้อย กว่า 1 . 5 ต่อปี เป้าหมายที่ 3 ไทยเป็นประตูและทางเชื่อมโครงข่ายคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตัวชี้วัด ที่ 3 . 1 ดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของประเทศไทยอยู่ในอันดับไม่ต่ำกว่าอันดับที่ 25 หรือคะแนนไม่ต่ำกว่า 3 . 60 ตัวชี้วัด ที่ 3 . 2 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติก ส์ ของประเทศไทยต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ น้อยกว่าร้อยละ 11

68 3 . แผนที่กลยุทธ์

69 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การ สร้างจุดยืนของไทยภายใต้บริบทโลกใหม่ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 รักษาความสมดุลกับมิตรประเทศ โดยกาหนดนโยบายที่ตรงกับความต้องการ ของประเทศอย่างชัดเจน และประสานความร่วมมือกับมิตรประเทศเพื่อการดำเนินงานอย่างเท่าเทียม กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 วางบทบาทของไทยในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ในอนุภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง โดย เข้าสู่มิติของความร่วมมือและช่วยเหลือกันอย่างใกล้ชิดแทนการแข่งขัน สร้างความสมดุลและพัฒนา ภูมิภาคร่วมกันผ่านคณะกรรมการ ระดับชาติ เพื่อบูรณาการแนวทางการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในทุกระดับ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 พัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน โดยผลักดันการใช้ประโยชน์ จากกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีที่มีอยู่ และเพิ่มเติมกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีที่สาคัญ รวมทั้งการเจรจา ความตกลงเรื่ องต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนการค้าและการลงทุน อาทิ การขนส่ง การตรวจคนเข้าเมือง การบริหาร จัดการบริเวณด่านชายแดน รวมถึงจัดตั้งและผลักดันความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาพิเศษระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน เพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมจากการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ที่จุดเชื่อมต่อบริเวณจังหวัด หนองคายและจังหวัดเชียงราย กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 ปรับปรุงกลไกสนับสนุนการสร้างฐานเศรษฐ กิจในบริบทโลกใหม่ จัดให้มีกลไก หรือคณะกรรมการระดับชาติเพื่อบูรณาการแนวทางการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนใหม่ รวมถึง การลงทุนในเศรษฐกิจสาขาใหม่ เพื่อรองรับการจัดห่วงโซ่การผลิตและการย้ายฐานการผลิตทั่วเอเชียที่กาลังเกิดขึ้น ทั้งด้านสิทธิประโยชน์ ภำษีและไม่ใช่ภาษี และอื่น ๆ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 5 พัฒนากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ยกระดับไทยสู่มาตรฐานระหว่างประเทศ โดยเร่งยกระดับมาตรฐานทางสังคม สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย คุณภาพชีวิต การลดความเหลื่อมล้า การเคลื่อนย้าย แรงงาน ความโปร่งใส การบริหารจัดการที่ดี และธรรมาภิ บาลในภาคธุรกิจ ให้อยู่ระดับนานาชาติ เพื่อป้องกัน การกีดกันทางการค้า และก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง กลยุทธ์ที่ 2 การ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยสนับสนุนเพื่อเป็นประตูการค้าการลงทุนและฐานเศรษฐกิจ สำคัญของภูมิภาค กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาปัจจัยสนับสนุนเพื่อสนับสนุนพื้นที่ ที่มีศักยภาพและเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง บริการขนส่งและเครือข่ายโลจิติกส์ตามเส้นทางสำคัญและการเชื่อมโยงสู่ประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งอำนวยความ สะดวก ด้านการลงทุนและการค้าชายแดน ท่าเรือและ สะพานเศรษฐกิจ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อให้ไทย เป็น ประตูการค้าที่สำคัญ รวมถึงการลงทุน พัฒนา โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาและรองรับ การท่องเที่ยว และบริการในกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ การท่องเที่ยวอันดามัน บริเวณจังหวัด ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง สตูล ให้เชื่อมโยงกันเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล 1 ใน 5 ของโลก

70 กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 พัฒนาระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงไร้รอยต่อตั้งแต่ระดับภูมิภาค อนุภูมิภาค และชายแดน ให้เป็นการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โดยบูรณาการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งทั้งทางบก ทางน้า และทางอากาศ ที่ใช้ประโยชน์ทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐาน จากเส้นทาง เชื่อมต่อในภูมิภาค อนุภูมิภาค และชายแดน โดยเฉพาะใน อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง กับจีนตอนใต้ และเชื่อ มโยงกับ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่นๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถ ผลักดันการเปลี่ยนแปลงภาคการผลิตและบริการไทยสู่ระดับนานาชาติ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 ให้ความสำคัญกับการขนส่งระบบรางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นโครงข่ายการขนส่ง หลักของประเทศ เชื่อมต่อกับเครือข่ายโลจิสติกส์ในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ สนับสนุนจุดเชื่อมระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน ที่จังหวัดหนองคายและเชียงราย รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมต่อ กับพื้นที่เศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้ งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ให้สามารถเข้า สู่ จีนและกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้โดยสะดวก กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 พัฒนาและเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางลาน้าและชายฝั่ง โดยให้ความสาคัญกับ การเดินเรือในแม่น้ำสายสำคัญ อาทิ แม่น้ำเ จ้าพระยา แม่น้ำน่าน แม่น้ำป่าสัก ให้มีความสะดวก ทันสมัย มีมาตรฐานความปลอดภัย โดยเฉพาะการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ตลอดจนการพัฒนาร่องน้า เศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 5 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่ออานวยความสะดวกและ ลดอุปสรรคในการค้าการลงทุน รวมถึงสอดรับกับรูปแบบการค้าในอนาคต โดยการพัฒนา ระบบบริหารจัดการ ด้าน โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้งาน การพัฒนาระบบ การให้บริการ การพัฒนา ซอฟ ต์ แวร์ การพัฒนา ปรับปรุง หรือผ่อนคลายกฎระเบียบและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 6 สนับสนุนให้มีการลงทุนพัฒนาศูนย์บริการโลจิสติกส์ อาทิ ย่าน กอง เก็บ ตู้สินค้า จุดพักรถ ท่าเรือบก ศูนย์เปลี่ยนถ่าย สินค้า โดย ให้ความสาคัญกับการบูรณาการแผนการลงทุนดังกล่าว ในเส้นทางยุทธศาสตร์ขนส่งสินค้าหลัก เพื่อ ให้สามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง จีน และ ภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งให้ความสาคัญกับการกาหนดอัตราค่าบริการเพื่อจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การขนส่งสู่ระบบราง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 7 สนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน ด้าน โครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มมากขึ้น โดยการดาเนินการจะต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีการประเมินประสิทธิภาพและความสาเร็จที่ชัดเจน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านการค้า การลงทุน และ ภาค บริการขนส่งมีบทบาทในการให้บริการ มากขึ้น กลยุทธ์ที่ 3 การ ผลักดันการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายสู่ไทยแลนด์ 4 . 0 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 เร่งรัดการปรับการผลิตโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น ทั้งใน ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการปรับสู่ระบบอัตโนมัติและเร่งใช้ประโยชน์ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

71 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และโลจิสติกส์ โดย นาแนวทาง การ พัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว มาใช้ เป็นมาตรฐาน อาทิ การ สนับสนุนการใช้ พลังงานสะอาด การนำปัจจัยการผลิตมาใช้แบบหมุนเวียน การลดปริมาณ ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 สร้างระบบดิจิทัลที่เอื้อต่อการค้าการลงทุน โดยพัฒนาแพลตฟอร์มการค้า แห่งชาติเพื่อส่งเสริมการค้าในรูปแบบธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน พัฒนาระบบการเงินของ ไทยสู่การให้บริการธุรกรรม ทางการเงินดิจิทัล เพื่อเอื้อต่อการลงทุน และปรับปรุง แก้ไข และพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กับการส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมและอานวยความสะดวกการค้าการลงทุน รวมถึงเร่งพัฒนากฎหมายด้านธุรกรรม อิเล็กทรอนิกส์และการคุ้มครองข้อ มูลส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 พัฒนาบุคลากรสู่มาตรฐานระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุน โดยปรับระบบการพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงานและภาคธุรกิจ ที่ให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและร่วม รับผิดชอบค่าใช้ จ่ายในการพัฒนาบุคลากร และปรับวิธี การเรียนการสอนเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและ การ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ในการหารายได้และสร้างธุรกิจ รวมถึงยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานและระดับการเรียนการสอน ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ให้เทียบเท่ำกับระดับนานาชาติหรือสถาบันชั้นนำของโลก เพื่อให้สามารถใช้ ในการประกอบอาชีพได้จริง

72 หมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมดิจิทัล ของอาเซียน 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทยมายาวนานกว่า 50 ปี และมีความสาคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันประเทศไทยส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน มีมูลค่าการ ส่งออก 1 . 9 ล้านล้านบาท ( หรือ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 24 . 3 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ ) และก่อให้เกิดการจ้างงาน รวมทั้งสิ้นมากกว่า 750 , 000 คน อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยส่วนใหญ่ ยังคงพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และผู้ประกอบการไทยเป็นเพียงผู้รับจ้างประกอบที่ไม่มีเทคโนโลยี เป็นของตนเอง ทั้งยัง ขาดความเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยและพัฒนากับการผลิตเชิงพาณิชย์ โดยการ มีโครงสร้าง การผลิตที่พึ่งพาแรงงานสูงและใช้เงินลงทุนต่า ส่งผลให้อุตสาหก รรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังไม่สามารถ ก้าวเป็นผู้นำตลาดของอาเซียน และไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้เท่าที่ควร ในขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมีผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม รูปแบบธุรกิจ และนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ การแพร่ระบาด ของ โควิด - 19 เมื่อต้นปี 2563 โครงสร้างประชากรไทยที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2566 และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศที่มีคุณภาพและมีความครอบคลุมพื้ นที่ทั่วประเทศ ตลอดจนราคาโทรศัพท์อัจฉริยะและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทาให้ประชาชนส่วนใหญ่ สามารถเข้าถึง เทคโนโลยี ได้ง่าย เร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาช น โดยเฉพาะ บริการข้อมูลและทาธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัล ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่หดตัวก็ตาม อุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศ ไทย ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของ อุตสาหกร รมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และดิจิทัลคอนเทนต์ อาทิ อุปกรณ์อัจฉริยะ เกม แอปพลิเคชัน แพลตฟอร์ม ออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ กูเกิล ทวิตเตอร์ ช้อปปี้ ลาซาด้า และแกร็บ เป็นต้น โดยผู้ประกอบการไทยสามารถ ผลิตได้เองเพียงบางส่วน อาทิ ซอฟต์แวร์ทางบัญชีที่ยังมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ ในระดับต่า เนื่องจากผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ ของไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีกาลังซื้อค่อนข้างต่ำ และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ ดิจิทัล อาทิ เกม ไปยังกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ความล่าช้าในการพัฒนาด้านดิจิทัลในภาพรวม เป็นผลมาจากความพร้อมด้ำนเทคโนโลยีและนวัตกรรมและทักษะดิจิทัลขั้นสูงของประชากรไทย ที่ยังอยู่ในระดับต่า รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี ชั้นนาจากต่างประเทศ หรือ การสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างจริงจัง ทาให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการสร้าง มูล ค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ขนาดใหญ่จากการทาธุรกรรมทางดิจิทัลของคนไทย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือ บริการที่สามารถตอบสนองต่อ ความต้องการหรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ จำเป็นต้องเร่งสร้างความสามารถ ในการแข่งขันของอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยให้สามารถแข่งขันได้ ควบคู่ไปกับการยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้า

73 และอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศให้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่สำคัญของโลก และการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมไทยให้เป็นดิจิทัลที่มีภูมิคุ้มกันอย่างเต็มรูปแบบ ตลอดจน พัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมดิจิทัล ให้ประเทศไทย สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในการสร้างมูลค่าเพิ่มทาง เศรษ ฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 6 มุ่งตอบสนองต่อเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จำนวน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยการพัฒนา ต่อยอดฐานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยในปัจจุบัน ให้ เป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่มุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนประกอบที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานอาเซียน เป็นที่ต้องการของตลาดในอนาค ต และมีมูลค่าสูง รวมถึงการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมดิจิทัล เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนา คนสำหรับโลกยุคใหม่ โดยการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและบริการ ในอนาคต รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมและบริ การดิจิทัลของประเทศ และ เป้าหมายที่ 5 ) การ เสริมสร้างความสามารถของประเทศในการ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้ บริบทโลกใหม่ โดยการส่งเสริมการนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายภาคส่วนและหลากหลายมิติ ซึ่งมีความสอดคล้องกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชำติ ด้านความ มั่ น คง ในมิติการพัฒนาคน เครื่องมือ เทคโนโลยี และระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ให้มีความพร้อมสามารถรับมือภัยคุกคาม ควบคู่กับการป้องกันและแก้ไขปัญหา ความมั่นคงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในมิติ การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่ให้ความสา คัญพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ไปสู่อุตสาหกรรมอนาคตที่เติบโตเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำ นวย ต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่มีคุ ณภาพ ครอบคลุม เพียงพอและเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา และยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในมิติการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในการประกอบธุรกิจและดาเนินชี วิต เพื่อลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 เศรษฐกิจดิจิทัลภายในประเทศมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 สัดส่วนมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 30 ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 มีกระดานข้อมูลดิจิทัลของภาครัฐที่สามารถติดตามจำนวนธุรกรรมงานบริการภาครัฐที่ ปรับเปลี่ยนเป็นดิจิทัลได้ภายในปี 2566 และงานบริการภาคประชาชนของภาครัฐต้อง ปรับเปลี่ยนเป็นดิจิทัลทั้งหมดภายในปี 2570

74 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 มูลค่าของค่าใช้จ่ายทางการวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อยร้อยละ 5 ของปีฐาน ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1.4 มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สามารถเข้าถึงและพร้อมใช้แก่ประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน พื้นที่ชุมชน และสถานที่ท่องเที่ยว เป้าหมายที่ 2 การส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของประเทศเพิ่มขึ้น ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 สัดส่วนการส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ของ ประเทศคิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 มีบุคลากรที่มีทักษะด้าน “ ผู้บูรณาการระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ” เพื่อรองรับการขยายตัว ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ จำนวน 400 , 000 รายภายในปี 2570 เป้าหมายที่ 3 อุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของประเทศมีความเข้มแข็งขึ้น ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 จานวนผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลกลงทุนในประเทศไทยอย่างน้อย 3 ราย ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 จานวนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6 , 000 แห่ง ในปี 2570 โดย 1 ใน 3 เป็น ผู้ประกอบการที่ย้ายมาจากต่างประเทศ ตัวชี้วัดที่ 3 . 3 มีแรงงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางดิจิทัล (ระดับ 4 ) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 ของจานวนประชากรไทย ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 4 มีจุดเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลจราจรอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศที่ทาให้บริการดิจิทัล ของไทยสามารถแข่งขันได้ภายในปี 2570

75 3 . แผนที่กลยุทธ์

76 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจไทยด้วยดิจิทัล กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 พัฒนาบริการและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการปรับระบบการบริหาร จัดการภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐมีการนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสม อาทิ การใช้ระบบออนไลน์สำหรับ กระบวนการเอกสาร การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บข้อมูลของภาครัฐในคลาวด์ การทำธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่าง ประชาชนกับภาครัฐ รวมทั้งการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ โดยสมบูรณ์ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริกา ร เพื่อเพิ่ม ผลิตภาพ และ ความสามารถในการทากาไรให้แก่ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น โดยการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในประเทศโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม ในการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์อิเล็กท รอนิกส์อัจฉริยะและดิจิทัล โดยให้ความสาคัญกับ การพัฒนาแฟลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสนับสนุนตลาดสินค้าภาคการเกษตรและการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจ การเกษตรให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศได้อย่างครบวงจร และสามารถรับมือกับภัยพิบัติแ ละฤดูกาลได้ อีกทั้งสนับสนุนให้มีการขยายจากภาคการเกษตรไปสู่การผลิต อาทิ โรงงานอัจฉริยะ การแพทย์อัจฉริยะ รวมทั้งการทาธุรกรรมบริการต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทย อาทิ ตลาดการเกษตร การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ การเงิน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 พัฒนาให้เกิดการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการสาธารณะของภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรองรับการพัฒนา ในมิติต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงาน การพัฒนาตลาดคาร์บอน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ กำรให้บริการการแพทย์ทางไกล การจัดการศึกษาออนไลน์ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลในการดารงชีพ อาทิ การเรียนรู้บนแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การทาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการรู้เท่าทันถึงภัยที่มากับสื่อสมัยใหม่ และทักษะพื้นฐานที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนาต่อยอดฐานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 สนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาการผลิต จากรูปแบบการรับจ้างผลิตตามสูตรของลูกค้า ไปสู่การผลิตที่มีการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อนาเสนอแก่ลูกค้า และให้มีการนานวัตกรรมการผลิตสมัยใหม่มาปรับใช้เพื่อเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรม 4 . 0 และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลัง และนโยบายสนับสนุน ทางนวัตกรรมต่าง ๆ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อัจฉริยะ ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่สาคัญของอาเซียน โดยมุ่งเน้น

77 การผลิตชิ้นส่วนประกอบที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานอาเซียนเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคตและมีมูลค่าสูง เข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อาทิ กลุ่มโมดูลการตรว จจับ กลุ่มตัวกระตุ้นการทำงาน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กำลัง กลุ่มโมดูลการคำนวณ พร้อมทั้งพิจารณาส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมให้ใช้วัสดุ จากผู้ผลิตภายในประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 ส่งเสริมให้มีการ พัฒนาและสร้างตราสินค้าของตนเอง รวมทั้ง ส่งออกผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยมุ่งเน้น การส่งออก ไปยัง ตลาดต่าง ประเทศที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ ประเทศในกลุ่มอาเซียน ยุโรป ทวีปอเมริกา กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และพัฒนาสุดยอดผลิตภัณฑ์ อาทิ การพัฒนาระบบเซ็นเซอร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในยานยนต์ไฟฟ้า การจูงใจให้มีผู้ประกอบการด้านชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 5 พัฒนามาตรฐานและเงื่อนไขการเข้าถึงข้อมูลที่เกิดจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อัจฉริยะที่เป็นสากล รองรับการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลภายในหน่วยงานภาครัฐ และระหว่า งหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชนภายในประเทศและภูมิภาค เพื่อให้มีข้อมูลขนาดใหญ่ นาไปสู่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และ บริการที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 6 ดึงดูดและพัฒนาให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยบูรณาการความร่วมมือกับ ผู้ประกอบการไทยหรือกิจการร่วมค้า ควบคู่กับกา รให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนที่สนับสนุนหรือผลักดันให้ ผู้ร่วมค้าที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านถ่ายทอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญให้ผู้ประกอบการไทย โดยมุ่งเน้น อุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ กลยุทธ์ที่ 3 อุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศที่สามารถแข่งขันได้ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 ดึงดูดให้ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลกลงทุนในอุตสาหกรรม ที่จะเอื้อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การลงทุนจัดตั้งศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ที่หลากหลายเพื่อประชากรอาเซียน โดยดึงดูดให้บริษัทต่างชาติมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูล ระบบภาครัฐอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์ และแพลตฟอร์มข้ามชาติ เป็นต้น โดยกาหนดรูปแบบ การลงทุนและ สิทธิประโยชน์ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภา ยในประเทศ อาทิ การจับคู่ธุรกิจในไทย การจ้างแรงงานไทย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่จะสนับสนุนให้ไทย สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เพื่อยกระดับให้บริการดิจิทัลของไทยสามารถแข่งขันได้ ภายในปี 2570 อาทิ การขยายอินเ ท อร์เน็ตแบนด์วิดธ์ระหว่างประเทศ การเชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างประเทศ ที่ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาการสร้างศูนย์ข้อมูล การ พัฒนาการให้บริการคลาวด์สาธารณะในประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 พัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิต ผู้พัฒนา ผู้ออกแบบและ สร้างระบบในอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัลภายในประเทศ ให้เป็นผู้นาด้านบริการดิจิทัลโซลูชั่น ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และตอบสนองต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศหรืออาเซียน โดยนาร่องจากสาขาเกษตร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม และการบริหารจัดการภาครัฐในระดับท้องถิ่น

78 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการสร้างดิจิทัล คอนเทนต์สร้างสรรค์ที่มีการนา ศิลป วัฒนธรรม วิถีชีวิต แหล่งท่องเที่ยวไทย ฯลฯ ไปใช้ประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วย สร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในทุกมิติ อาทิ การพัฒนาพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง การสร้างเวทีการแสดง ทางศิลปวัฒนธรรมเสมือนจริง คอนเสิร์ตเสมือนจริง หรือตัวละครภาพยนตร์เสมือนจริง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 5 ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล รวมถึงการวิจัย และพัฒนา ในประเทศ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการทั้งภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยดึงดูด และพัฒนาผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีทุกขนาดตั้งแต่สตาร์ทอัพจนถึงบรรษัทข้ามชาติ และสร้างระบบนิเวศ เพื่อเพิ่มโอกาสแก่ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีของไทย ดึงดูดและพัฒนาผู้มีความสามารถเพื่อให้เกิด การพัฒนา กำลังคนและอุตสาหกรรมไทยอย่างก้าวกระโดด โดยกำหนดรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม อาทิ มาตรการทาง ภาษี เพื่อให้เกิดการลงทุนในกิจการของสตาร์ทอัพด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ที่ 4 การ พัฒนาระบบนิเวศเพื่อสนับสนุ นการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรม และบริการดิจิทัล กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เพียงพอและเข้าถึงได้ ทั้งในด้านพื้นที่ และราคา เพื่อให้ประชาชนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม สามารถเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข บริการภาครัฐ และโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ รวมทั้งรองรับกับปริมาณความต้องการใช้งาน ทางดิจิทัลในอนาคต ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 พัฒนากำลังคนเพื่อรองรับกับการปรับตัวทางเทคโนโลยีในอนาคตของ ผู้ประกอบการใ นอุตสาหกรรมและบริการต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรม และบริการดิจิทัลของประเทศ โดยเร่งผลิตกาลังคน ให้ มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม และบริการฯ ในอนาคต ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาผ่านการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาค รัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เร่งยกระดับทักษะแรงงานที่มีอยู่ พัฒนามาตรฐานวิชาชีพ ของแรงงานในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี และดึงดูดบุคลากรจากต่างชาติในสาขาที่ขาดแคลน อาทิ ผู้พัฒนา ซอฟต์แวร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผัน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 ผลักดันและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค การบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง และ การกาจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมทั้งเร่งพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ของภาครัฐที่ยังค งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน การดึงดูดแรงงาน ทักษะสูง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล อาทิ ผลักดันให้มีเงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ในการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพื่อให้ สามารถ พัฒนาอุปกรณ์ส่ วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศได้ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการดาเนินการ ในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ เพื่อนาไปสู่การแก้ไขปัญหากฎหมายและระเบียบ การจัดตั้งระบบที่ใช้ในกา ร ตรวจสอบ และกากับดูแลการให้บริการด้านดิจิทัล โดยเฉพาะในส่วนของธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มต่างประเทศ เพื่อสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี

79 กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 4 ส่งเสริมให้มีการใช้เครื่องมือทางนโยบายทางการเงินและการคลังที่เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ของประเทศ อาทิ ลดการจัดเก็บภาษีการนำเข้าเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมดิจิทัล การตรว จสอบ ติดตาม และคุ้มครองผู้บริโภคในอุตสาหกรรมดิจิทัล กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 5 ผลักดันให้มีการ พัฒนาระบบป้องกันความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักสากล พร้อมทั้ง ขับเคลื่อนด้านนโยบายความเป็นเจ้าของอธิปไตยทางข้อมูล จากเทคโนโลยี และแพลตฟอร์มที่ทาธุรกิจจากคนไทย โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรักษาอธิปไตยทางข้อมูล

80 หมุดหมายที่ 7 ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ที่ มีจา นวนมา ก กว่าร้อยละ 99 ของจานวน วิสาหกิจ ภายใน ประเทศ ไทย สร้างการจ้างงาน สัดส่วน กว่าร้อยละ 7 1.86 ของ จานวนการ จ้างงาน รวม ก่อให้เกิด มูลค่าเพิ่มแก่ระบบเศรษฐกิจโดยวัดจากผลิต ภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ณ ปี 256 4 มีมูลค่ารวม 5 . 6 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อ ยละ 34 . 6 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และ มีอัตราการขยายตัว เฉลี่ยร้อยละ 3 . 4 ต่อปี ในช่วง 5 ปีแร ก (พ.ศ. 2560 - 2564) ข องแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 12 อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของ โควิด - 19 ตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2562 ได้ส่งผลให้รายได้ ในหลายสาขา ธุรกิจลดลง ทาให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เผชิญปัญหาการ ขาดสภาพคล่อง อย่างรุนแรง นาไปสู่การชะลอ การจ้างงาน หยุดกิจ การ ชั่วคราว หรือแม้กระทั่ งยุติ กิจการ แบบ ถาวร ที่ ผ่านมา ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม มา อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ศักยภาพใน การประกอบธุรกิจ ด้วย การ ฝึก อบรมให้ความรู้ เกี่ยวกับทัศนคติ และทักษะ การเป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเงิน กำรผลิต และบริการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ บรรจุภัณฑ์ และ การตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นการอบรมพื้นฐานทั่วไปในภาพรวม ไม่เฉพาะเจาะจง ตามความต้องการและรูปแบบที่หลากหลายของธุรกิจ ทาให้ผู้ประกอบการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์และต่อยอด การทาธุรกิจได้ไม่มากนัก นอกจากนี้ ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับกำร เสริมสร้าง ส ภาพแวดล้อม ที่เอื้ออานวย ต่อการดาเนินธุรกิจ อาทิ การสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม การส่งเสริมด้านตลาด มาตรฐาน การวิจัยพัฒนา นวัตกรรมโดยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการด้านการส่งเสริม วิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม แต่อาจมีช่องว่างใ นการส่งต่อการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการติดตามและ ประเมินผล การดาเนินงานอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังมี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ยัง อยู่ นอกระบบ อีก เป็นจานวนมาก ทา ให้ภาครัฐไม่มีข้อมูลของผู้ประกอบการที่ชัดเจนเพียงพอ เป็นข้อจากัดต่อการวางนโยบายและการจัดทามาตรการ ส่งเสริมและช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการให้ทั่วถึง และ การ มุ่งเป้าตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ที่มีความแตกต่างกันทั้งขนาด ประเภทกิจการ และระดับการเติบโ ต บริบท ของโลกและสังคมที่เปลี่ยน แปลง ไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต้องเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก และต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันเพื่อเพิ่มความสามารถ ในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะกำรเติบโตอย่างรวดเร็ว ไร้ขีดจากัด ของเทคโนโลยี กระตุ้นให้ผู้ประกอบการ ต้องเปลี่ยนผ่าน รูปแบบการดาเนิน ธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น การเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลต่อ การลดลงของจำนวนแรงงานและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยหันไปใช้จ่ายเพื่อบริโภคสินค้า และบริการเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิ อากาศ อย่างฉับพลัน ทาให้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติไม่สม่าเสมอ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัวและบริโภคสินค้าและบริการที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผลกระทบอย่างรุนแรงจากกา รแพร่ระบาดของโควิด - 19 ยังเป็นปัจจัย ผลักดันผู้ประกอบการให้เพิ่มความยืดหยุ่นในการทาธุรกิจและเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องจักร และระบบอัตโนมัติ ผลงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ เชื่อมโยงธุรกิจเข้ากับ ห่วงโซ่คุณค่าโลกแล ะลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลักอันเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและกระจาย

81 ความเสี่ยง ในขณะที่ภาครัฐต้องเร่งปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพระบบการส่งเสริมและพัฒนา วิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีลักษณะมุ่งเป้าตอบโจทย์ผู้ประกอบการบนฐานความเข้าใจธุรกิจที่มี ความหลากหลาย จูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าระบบและ ได้ รับการพัฒนาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สามารถดาเนิน ธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง และ ขยายขนาดธุรกิจ ได้ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความ เชื่อมโยง ของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ การส่งเสริมและพัฒนา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไทยให้เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถ แข่งขันได้ เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้าง ความสามารถในการแข่งขันใน 2 เป้าหมาย ได้แก่ ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโตอย่าง มีเสถียรภาพและยั่งยืน และประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ในประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจ บนพื้นฐานผู้ประกอบการยุคใหม่ ผ่านการสร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะยุคใหม่ที่มีทักษะและจิตวิญญาณขอ ง การเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการแข่งขันและมีอัตลักษณ์ชัดเจน สามารถปรับตัวและประยุกต์ใช้ เครื่องมือและ ใช้ ประโยชน์ จาก เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมในการประกอบธุรกิจ และได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึง แหล่งเงินทุนและแหล่งเงินทุนทางเลือกด้วยการใช้ประโยชน์จากข้ อมูลทั้งด้านการเงินและที่มิใช่การเงิน รวมทั้งสามารถเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งทาง ออนไลน์และออฟไลน์ ที่เหมาะสมตามศักยภาพของ ผู้ประกอบการ โดยมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและได้รับการอานวยความสะดวกและสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงข้อมูล ระบบคลังข้อมูลและความรู้กลางของ ภาครัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง พร้อมทั้งยังสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ในเป้าหมายสังคมไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุน ต่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ในประเด็นการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจมีการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบา ล โดยคานึงถึงต้นทุนทางสังคมและกระตุ้นให้เกิดการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้าง โอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ใน 2 เป้าหมาย ได้แก่ การกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ และสังคม เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังของการพัฒนาประเทศใ นทุกระดับ และการเพิ่มขีด ความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งตนเองและการจัดการตนเองเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ ในประเด็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากเพื่อยกระดับเกษตรกรสู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในภาคการเกษตรอีกด้วย นอกจากนี้ แนวทางกำรพัฒนาตามหมุดหมายที่ 7 ไทยมี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ ยังสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ในเป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ในประเด็นภาคการผลิตและบริการ สาคัญได้รับการยกระดับให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เศรษฐกิจท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่า และไทยมีระบบนิเวศที่สนับสนุนการค้าการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรม ผ่านการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในแต่ละภาคธุรกิจของประเทศให้ สามารถแข่งขันได้ อีกทั้งเชื่อมโยงผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กับห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยมี ระบบนิเวศในการประกอบธุรกิจที่เหมาะสมสาหรับผู้ประกอบการในแต่ละประเภทและสาขา ธุรกิจ เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนำคนสาหรับโลกยุคใหม่ ในประเด็นพัฒนาให้คนไทยมีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับโลกยุค

82 ใหม่ ทั้งทักษะในด้านความรู้ ทักษะทางพฤติกรรม และคุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม และเป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ในประเด็น การลด ความเหลื่อมล้า ทั้ง เชิงรายได้ ความมั่งคั่ง และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ผ่านการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและเปิดกว้างสาหรับผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และ ค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีสภาพแวดล้อมที่ เอื้ออานวยต่อการเติบโตและแข่งขันได้ ตัวชี้วัด ที่ 1 . 1 สัดส่วน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม (มาตรา 3 3 ) ต่อ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 สัดส่วน วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่จดทะเบียนนิติบุคคลต่อ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวม เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 40 สัดส่วน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่จดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ต่อ วิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม รวม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5 ในปี 2570 รวมทั้ง สัดส่วน วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่จดทะเบียนพาณิชย์ต่อ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวม เพิ่มขึ้น เป็น ร้อยละ 20 ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 มูลค่าการระดมทุนผ่านตลาดทุน ขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ากว่าร้อยละ 12 ต่อปี และสัดส่วนการเข้าถึ ง สินเชื่อของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ภายในปี 2570 ตัวชี้วัด ที่ 1 . 3 อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านกฎระเบียบทางการค้า ไม่ เกิน อันดับ ที่ 40 ในปี 2570 มีการออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 จำนวนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 ฉบับต่อปี และ มีสัดส่วนของ จานวนเรื่องร้องเรียนที่พิจารณาแล้วเสร็จ ต่อจำนวนเรื่องร้องเรียนรวม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 - 90 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 ระบบฐานข้อมูล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่รัฐบาลและผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ใช้ได้ เป็น ปัจจุบัน และทั่วถึง เป้าหมายที่ 2 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีศักยภาพสูงในการดำเนินธุรกิจ สามารถยกระดับและปรับตัวเข้าสู่ การแข่งขันใหม่ ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 และสัดส่วนมูลค่าการส่งออกของ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ต่อการ ส่งออกทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 สัดส่วนมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่อมูลค่าพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 จากปีฐาน (ปี 2565 ) ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหม่ เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 , 000 รายต่อปี ตัวชี้วัดที่ 2 . 4 ส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ในปี 2570

83 ตัวชี้วัด ที่ 2 . 5 มูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ของภาครัฐ ขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ากว่า ร้อยละ 5 ต่อปี ตัวชี้วัด ที่ 2 . 6 มูลค่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขยายตัวเฉลี่ยไม่ต่ากว่า ร้อยละ 10 ต่อปี เป้าหมายที่ 3 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สามารถเข้าถึงและได้รับการส่งเสริมอย่างมีประสิทธิผล จา ก ภาครัฐ ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 จำนวน สตาร์ทอัพ ซีรีส์ ซี ขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็น 20 ราย ในปี 2570 ตัวชี้วัด ที่ 3 . 2 จำนวนการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ต่อปี

84 3 . แผนที่ กลยุทธ์

85 4 . กล ยุทธ์ การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การ พัฒนาระบบนิเวศให้เอื้ออานวยต่อการทาธุรกิจและการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลยุทธ์ย่อย 1 . 1 เร่งปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และสร้างให้เกิด การแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และรายใหญ่ โดยพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ พฤติกรรมจากัดการแข่งขัน เพื่อนาไปใช้กาหนดมาตรการแก้ไข ควบคุมการมีอานาจเหนือตลาด และกาหนด แนวปฏิบัติทางธุรกิจที่เหมาะสมและเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ พร้อมทั้งการบังคับใช้ ที่เข้มแข็ง ตลอดจนทบทวนกฎหมาย และ กฎระเบียบที่ไม่จำเป็น กลยุทธ์ย่อย 1 . 2 เพิ่มความสะดวกในทุก ขั้นตอนการประกอบธุรกิจของ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม โ ดยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและการพิจารณาอนุมัติอนุญาต พัฒนา แพลตฟอร์มการให้บริการภาครัฐในทุกกระบวนการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์ให้ความช่วยเหลือ ผู้ประกอบการในการเริ่มต้ นและการดาเนินธุรกิจ ตลอดจนจัดทาและเผยแพร่คู่มือการประกอบธุรกิจรายสาขา ที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ กลยุทธ์ย่อย 1 . 3 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและระบบมาตรฐานให้วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อ ม สามารถเข้าถึงได้ด้วยต้นทุนต่ำ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนสำหรับการใช้เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ พื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทาธุรกิจและการพัฒนามาตรฐาน โดยเฉพาะการวิเคราะห์ ทดสอบ รับรอง เพื่อลด ภาระต้นทุนในการพัฒนาสินค้าและบริการ การตรวจสอบและรับรองมาตรฐานระดับประเทศ และระดับสากล รวมถึงขยำยผลการให้บริการของศูนย์บ่มเพาะที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเฉพาะสำหรับ การพัฒนาและยกระดับสินค้าและบริการของ ของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีคุณภาพ มี นวัตกรรม และแข่งขันได้ในตลาดสากล กลยุทธ์ที่ 2 การ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงฐานข้อมูล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และส่งเสริมให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เข้าสู่ระบบ กลยุทธ์ย่อย 2 . 1 จัดให้มีระบบไอดีเดียว ของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และส่งเสริมให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ใช้ในการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัล ลดขั้นตอนและปริมาณเอกสาร ที่ผู้ประกอบการต้องใช้ในการติดต่อธุรกรรมกับภาครัฐ กลยุทธ์ย่อย 2 . 2 พัฒนา พอร์ทัล กลางเชื่อมโยงข้อมูลของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เข้ากับ ระบบการให้บริการภาครัฐ สนับสนุนให้มีการ แบ่งปัน ข้อมูลระหว่างหน่วยงานและเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้าถึงข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นปัจจุบัน โดยให้สิทธิประโยชน์และบริการที่เป็นประโยชน์ กับธุรกิจเพื่อจูงใจให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เข้าสู่ระบบฐานข้อมูล พร้อมทั้งพัฒนากระบวนการขอรับ กา รยินยอมจากผู้ประกอบการในการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานสำหรับการจัดทำนโยบายและมาตรการส่งเสริม แบบมุ่งเป้า

86 กลยุทธ์ย่อย 2 . 3 พัฒนาระบบคลังข้อมูลและความรู้สาหรับให้บริการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้เป็นระบบออนไลน์ และระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ ครบวงจร โดยสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการผ่านช่องทาง ดิจิทัลที่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สามารถเข้าถึงฐานข้อมูล ความรู้ ใช้ประโยชน์ในวิเคราะห์ตลาด และพัฒนาหรือปรับปรุงประสิทธิภาพสินค้า บริการ และกระบวนการผลิตได้ด้วยตนเอง กลยุทธ์ที่ 3 จัดให้มีกลไกทางการเงินที่เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทั่วถึง กลยุทธ์ย่อย 3 . 1 ส่งเสริมให้สถาบันการเงินหรือธนาคารและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ใช้ข้อมูลธุรกิจและร่องรอยดิจิทัลในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยใช้ ข้อมูล ธุรกรรม หรือข้อมูลสาคัญทางการค้าของธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลในการยืนยันสถานภาพการดาเนินธุรกิจ และเป็นหลักประกันที่เหมาะสม โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้าประกันรูปแบบปกติ กลยุทธ์ย่อย 3 . 2 กาหนดบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ให้มีมาตรการสินเชื่อและการค้าประกัน สินเชื่อที่ชัดเจนสาหรับแต่ละเซกเมนต์ของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะสาหรับวิสาหกิจรายเล็ก และวิสาหกิจรายย่อย รวมทั้งกาหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ในการจัดทามาตรการสินเชื่อพิเศษ ที่แตกต่าง จากสถาบันการเงินทั่วไป เพื่อ มุ่งให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจรายเล็กและรายย่อย สามารถ เข้าถึงได้ กลยุทธ์ย่อย 3 . 3 ส่งเสริมให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระดมทุนผ่านตลาดทุน หรือแหล่ง ทุน ทางเลือกที่หลากหลาย สอดรับกับโมเดลธุรกิจของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอกเหนือจาก การให้สินเชื่อผ่านสถาบันการเงินทั่วไป อาทิ การระดมทุน ผ่านตลาด เอ็ม เอ ไอ การระดมทุนจากบุคคลทั่วไป สินเชื่อแบบบุคคลถึงบุคคล ธุรกิจเงินร่วมลงทุน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สตาร์ทอัพ ในสาขาด้านการเงินมีโอกาสในการขยายและต่อยอดธุรกิจในการเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือก ที่เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพและครอบคลุมรูปแบบของธุรกิจสาหรับผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ด้วยกัน กลยุทธ์ที่ 4 การ ส่งเสริมการพัฒนา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้เป็นผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล กลยุทธ์ย่อย 4 . 1 เสริมสร้างความรู้พื้นฐานทางธุรกิจ โดยเฉพาะความรู้และทักษะของเยาวชน และผู้ประกอบการด้านดิจิทัล การเงิน การตลาดยุคใหม่ การเข้าถึงตลาดส่งออก รูปแบบธุรกิจต่าง ๆ แนวคิด เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการใช้ประโยชน์จากทุนทางวัฒนธรรม รวมทั้ง ทักษะเชิงลึกตามความต้องการเฉพาะด้าน ของสาขาและประเภทธุรกิจ ตลอดจนเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับสภาพการแข่งขันของ ตลาดยุคใหม่ที่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วและ รุนแรง รวมถึงการดำเ นินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล กลยุทธ์ย่อย 4 . 2 ให้สิทธิประโยชน์และสิ่งจูงใจให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีการลงทุน และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องจักรกล และระบบอัตโนมัติ ในการบริหารจัดการ การยกระดับ ประสิทธิภาพการผลิต และการให้บริการ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่าในการลงทุน เทคโนโลยีหรือเครื่องจักร และสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนสาหรับค่าจ้างที่ปรึกษาและค่าฝึกอบรมการใช้งาน

87 กลยุทธ์ย่อย 4 . 3 พัฒนาแพลตฟอร์มการค้าระหว่างระดับประเทศให้ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ทั่วไปเข้าถึงได้ โดยเปิดโอกาสให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภายในประเทศสามารถ ใช้ช่องทางแพลตฟอร์มของประเทศที่ มีความมั่นคงปลอดภัย เป็นแต้มต่อและอานวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาด ที่มีศักยภาพในต่างประเทศได้ พร้อมทั้งเร่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออกใช้สิทธิประโยชน์ ทางการค้า รวมถึงเตรียมความพร้อมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความตกลงการค้าเสรีในกรอบ ความร่วมมือต่าง ๆ กลยุทธ์ย่อย 4 . 4 ส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภายในสาขา และกับรายใหญ่ภายในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อยกระดับขีดความสามารถ ในการแข่งขันทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรธุรกิจ จับคู่และสนับสนุนการให้ ความช่วยเหลือของผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีศักยภาพให้กับ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในห่วงโซ่อุปทาน อย่างครบวงจร รวมถึงเปิดพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ธุรกิจเพื่อพัฒนาความร่วมมือที่ยั่งยืน และขยายผลไปสู่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในทุกระดับ กลยุทธ์ที่ 5 การ ยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ของภาครัฐ กลยุทธ์ย่อย 5 . 1 ขยายการให้บริการพัฒนาธุรกิจที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ และพัฒนา ระบบส่งต่อการให้ความช่วยเหลือ โดยขยายผลคูปองภาครัฐ พัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนและระบบ การประเมิน ศักยภาพผู้ให้บริการพัฒนาธุรกิจภาคเอกชน เพื่อให้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เลือกใช้บริการพัฒนาธุรกิจ ที่ได้คุณภาพมาตรฐานผ่านการรับรองจากภาครัฐ กลยุทธ์ย่อย 5 . 2 สนับสนุนสานักงานส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในฐานะหน่วยงาน นโยบายให้ทาหน้าที่เป็นผู้ บูรณาการการให้ความช่วยเหลือและ ส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อย่างครบวงจร รวมทั้งจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้เพียงพอ และต่อเนื่อง ผ่านกองทุนส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กลยุทธ์ย่อย 5 . 3 ปรับกลไกและกระบวนการติดตามประเมินผล โดยกาหนดให้มีตัวชี้วัดร่วมระหว่าง หน่วยงาน และให้ผู้แทน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้แทนภาคเอกชนและภาควิชาการมีส่วนร่วม ในกระบวนการมากขึ้น เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของนโยบายร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และป ระชาชน กลยุทธ์ที่ 6 การ พัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการสร้างธุรกิจ สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วย นวัตกรรม รวมทั้งให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม และเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายระดับโลก และ ยกระดับ สู่ตลาด ต่างประเทศ กลยุทธ์ย่อย 6 . 1 ปรับปรุงกฎหมายและความยากง่ายในการประกอบธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ สตาร์ทอัพ อาทิ การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในระดับโลก และ ผู้เชี่ยวชาญ การจัดตั้งบริษัท เพื่อพัฒนาระบบนิเวศและผลักดันสตาร์ทอัพ ซึ่งต้องการระบบนิเวศเพื่อการเริ่มต้นและการประกอบธุ รกิจ ที่ต่างจากธุรกิจปกติ ให้ สามารถเติบโตสู่การยกระดับในระยะต่อไป กลยุทธ์ย่อย 6 . 2 ผ่อนคลายข้อจากัดด้านการระดมทุน โดยร่วมลงทุนกับภาคเอกชน พัฒนากองทุน ซีดดิ้ง และธุรกิจเงินร่วมลงทุนส่วนบุคคล ที่เอื้ออานวยให้สตาร์ทอัพมีพี่เลี้ยงในการสร้างธุรกิจ สามารถ เข้าสู่

88 แหล่งเงินทุนและระดมทุนได้อย่างต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายกับแหล่งทุนในต่างประเทศ และดึงดูดผู้มีความสามารถ ให้เข้ามาเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ย่อย 6 . 3 ส่งเสริมการเชื่อมโยงธุรกิจสตาร์ทอัพสู่ตลาดโลก โดยส่งเสริมให้สตาร์ทอัพ เข้า สู่ โครงการ บ่มเพาะ โดยเฉพาะโครงการบ่มเพาะในต่างประเทศ ร่วมงานกับพื้นที่พัฒนาพิเศษสาหรับสตาร์ทอัพ และมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสให้สตาร์ทอัพรุ่นเยาว์ก้าวไปถึง ซีรีส์ ซี ขึ้นไป กลยุทธ์ที่ 7 การ ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมให้มีศักยภาพการดำเนินการในเชิงธุรกิจ กลยุทธ์ย่อย 7 . 1 เร่งออกกฎหมายลำดับรองภายใต้ พระราชบัญญัติ ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 เพื่อลดข้อจากัดการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมสาหรับวิสาหกิจที่ยังไม่เป็นนิติบุคคลให้สามารถ ขึ้นทะเบียนได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม กลยุทธ์ย่อย 7 . 2 ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงและยั่งยืนของวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยใช้กลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมธุรกิจเพื่อสังคม พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับ ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ กลยุทธ์ย่อย 7 . 3 ให้สิทธิประโยชน์และสิ่งจูงใจให้เกิดการร่วมทุนกับวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อดึงดูด บริษัทเอกชนรายใหญ่ให้ดาเนินการตามแนว ทางความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ในการสนับสนุนการเติบโต ของวิสาหกิจเพื่อสังคมในประเทศ

89 หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา ผลการพัฒนาที่ผ่านมา ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 9 ของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งให้ความสำคัญกับการกระจายความเจริญและยกระดับรายได้ของประชาชน และลดการกระจุกตัวของ การพัฒนาในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคตะวันออกไปสู่ภาคอื่น ๆ ของประเทศ ปรากฏว่าการพัฒนา ของไทย ยังไม่ประสบความสาเร็จเท่าที่ควร แม้ว่า การพัฒนาภาค ส่วนใหญ่จะสามารถลดความไม่เสมอภาคในการกระจาย รายได้ลงได้ แต่การพัฒนายังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงที่สุด และเป็นพื้นที่เดียวซึ่งมีสัดส่วนเ พิ่มขึ้น จากร้อยละ 32 . 7 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 33 . 8 ในปี 2562 ในขณะที่ภาคอื่น ๆ มีสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์ภาค ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลง โดยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน มีสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์ต่อประเทศเพียงร้อยละ 7 . 7 9 . 4 7 . 9 และ 0 . 8 ตามลำดับ ในส่วน ของ การพัฒนา ในระดับ พื้นที่ พบว่า มีความก้าวหน้าการดาเนินงานในทุกพื้นที่ โดยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 พื้นที่ นับตั้งแต่ ปี 2558 ถึงเดือนมิถุนายน 2564 มีมูลค่าการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน (สกท.) รวม 8 , 658 ล้านบาท มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในพื้นที่ จานวน 4 , 975 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวม 9 , 823 . 03 ล้านบาท มีการจ้างงานแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ ปี 2560 ถึงเดือนพฤษภาคม 2564 จานวนทั้งสิ้น 456 , 052 คน และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ปี 2559 – 2564 วงเงินรวม 47 , 223 . 45 ล้านบาท เช่น ทางหลวง อาคารท่าอากาศยาน สะพาน และด่านพรมแดน เป็นต้น สาหรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีมูลค่าการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจาก สกท. ในปี 2559 – 2563 รวม 1 , 455 , 121 ล้านบาท และ การพัฒนา ในระดับเมือง พบว่าประเทศไทยมีความเป็นเมือง เพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2563 ประชากรในเขตเมือง (เทศบาล) มีประมาณ 23 ล้านคน (ร้อยละ 34 . 47 ) เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ซึ่งมีประชากรในเมืองประมาณ 21 ล้านคน (ร้อยละ 33 . 91 ) ปัจจุบันการพัฒนาประเทศทุกระดับได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา และการแพร่ระบาด ของ โควิด - 19 ที่ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ส่งผลให้ ในแต่ละภาค มีภาวะเศรษฐกิจหดตัวจากการหยุดหรือชะลอการดาเนินกิจกรรมของสาขาการผลิตและบริการ โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก มีผลต่อการลดและเลิกจ้างแรงงานจานวนมาก ประชาชนมีรายได้ ลดลงและบางส่วนขาดรายได้ การว่างงานเพิ่มขึ้น และแรงงานบางส่วนเคลื่อนย้ายกลับภูมิลาเนาเดิมเพื่อประกอบ อาชีพด้านการเกษตร ดังนั้น การพัฒนาการผลิตและการบริการ ในระยะต่อไป จึง ต้อง มีการ ปรับตัว โดยให้ ความสาคัญกับการพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษ ฐกิจฐานราก เน้นการผลิตและบริการเพื่อการบริโภค ภายในประเทศ ตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะความต้องการสินค้าประเภทสุขอนามัย ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการลงทุน แต่บางกิจการยังได้รับความ สนใจจากนักลงทุนและมีกำรลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจการเป้าหมายในพื้นที่ ดังนั้น จึง ต้องให้ความสาคัญ กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อม และการทบทวนและปรับมาตรการให้พร้อมรองรับการลงทุน ซึ่งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด - 19 คลี่คลาย จะทาให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นที่สนใจและสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่มากขึ้น และ ในพื้นที่เมือง ซึ่ง ประสบผลกระทบ

90 เช่นเดียวกับในระดับภาค โดยการค้าและบริการ ในพื้นที่เมือง ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการให้สอดคล้องกับ ภาวะวิถีความ ปรกติ ใหม่ ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเดินทาง การเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวอาจสร้างผลกระทบเชิงลบตามมา โดยเฉพาะต่อมิติสิ่งแวดล้อมและสังคมของเมือง ดังนั้น ประเทศไทย จึงจาเป็นต้องเร่งแก้ปัญหำดังกล่าว เพื่อ นาไปสู่ การพัฒนา เชิงพื้นที่และการพัฒนา เมือง ที่มี ความยั่งยืน ยืดหยุ่น พร้อมรับมือและ สามารถ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการ สาธารณะ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยง ของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโต ได้อย่างยั่งยืน มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580 ) ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ ชำ ติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในเป้าหมาย ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโต อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ ชาติ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ในเป้าหมาย การกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่ วนเข้ามาเป็นกำลังของการพัฒนา ประเทศในทุกระดับ และการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งตนเองและการจัดการ ตนเองเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ และยุทธศาสตร์ ชาติ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ในเป้าหมาย การใช้ประโยชน์และสร้างการเติบโตบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุล ภายในขีดความสามารถของระบบนิเวศ นอกจากนั้น แผนกลยุทธ์ของหมุดหมายที่ 8 ยังสนับสนุน 5 เป้าหมาย หลักของแผน พัฒนา ฯ ฉบั บที่ 13 ดังนี้ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้าง ภาค การผลิต และบริการ สู่เศรษฐกิจ ฐานนวัตกรรม โดยสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นและยกระดับผู้ประกอบการให้สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่าของ ภาคการผลิตระดับประเทศ กระจายผลประโยชน์สู่เศรษฐกิจฐานราก เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสู่ โลกยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการพัฒนากาลังคนให้มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและส่งเสริมความมั่นคง ในชีวิตของประชาชนผ่านการพัฒนาพื้นที่และเมือง เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดยมุ่งพัฒนาเมืองให้น่าอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำ หรับประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง โดยคานึงถึงภูมินิเวศ เป้าหมายที่ 4 ) การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้เมืองใช้ทรัพยากร อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ลดการสร้างขยะและมลพิษ เพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกกลุ่ม และ เป้าหมายที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยง ภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยส่งเสริม ให้ เมืองยกระดับ สู่การ เป็นเมืองอัจฉริยะ เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาครัฐดิจิทัล ในระดับท้องถิ่น รวมทั้งผลักดันให้เมืองเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติแล ะ มี ความสามารถในการ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมาย ของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคและการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษขยายตัวเพิ่มขึ้น ตัว ชี้วัดที่ 1 . 1 อัตราการเติบโตของรายได้ต่อประชากรในภาค เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าอัตราการเติบโตของรายได้ ต่ อ ประชากรของประเทศ

91 ตัว ชี้วัดที่ 1 . 2 มูลค่าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ที่ 9 เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมีมูลค่าการลงทุน รวม 500 , 000 ล้านบาท พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้มีมูลค่าการลงทุน รวม 100 , 000 ล้านบาท และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมีมูลค่า การลงทุนรวม 10 , 000 ล้านบาท เป้าหมายที่ 2 ความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้ของภาคลดลง ตัว ชี้วัดที่ 2 . 1 สัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้ของภาค ต่ากว่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค ของประเทศ ตัว ชี้วัดที่ 2 . 2 สัดส่วนผู้มีงานทาในแต่ละภาค เพิ่มสูงขึ้นกว่าสัดส่วนผู้มีงานทาของภาคในปี 2563 ยกเว้น กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนผู้มีงานทำไม่เกินร้อยละ 13 ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด เป้าหมายที่ 3 การพัฒนาเมืองให้มีความน่าอยู่ อย่างยั่งยืน มีความพร้อมในการรับมือและปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง ตัว ชี้วัดที่ 3 . 1 เมืองอัจฉริยะมีจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 105 พื้นที่ ภายในปี 2570 ตัว ชี้วัดที่ 3 . 2 เมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนมีจำนวนมากขึ้น

92 3 . แผนที่กลยุทธ์

93 3 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 พัฒนาภาคให้เป็นฐานเศรษฐกิจสาคัญของประเทศ โดยใช้แนวทางการพัฒนา ภายใต้แผนพัฒนาภาค และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคใต้ การพัฒนาเขต พัฒนา เศรษฐกิจพิเศษชายแดน และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นเครื่องมือสาคัญ ใน การกระจายความเจริญเติบโตไปสู่ภูมิภาคและการ พัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงทั้ง ภาย ในพื้นที่ พื้นที่ใกล้เคียง และต่างประเทศ มีการ กาหนดสาขากิจการเป้าหมำยในพื้นที่ฐานเศรษฐกิจใหม่ที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมถึงเชื่อมโยงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชนเข้ากับห่วงโซ่อุปทาน ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ กระจายผลการพัฒนาสู่ประชาชน และสามารถ พัฒนาเป็นฐานเศ รษฐกิจหลักที่รองรับการลงทุนและการจ้างงาน การ พัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อเป็นฐานอุตสาหกรรมและบริการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง โดยส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงานในพื้นที่ รวมทั้ง มี การถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน โดยใช้เครือข่ายที่มีอยู่ในชุมชนเป็นกลไก หลักในการขับเคลื่อน อาทิ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) สร้างเสริม องค์ความรู้ให้กับชุมชนจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อสร้างความสามารถในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ ทุนทาง สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงศักยภาพของ พื้นที่ ส่งเสริมการพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน มีความปลอดภัย โดยใช้งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ภูมิปัญญาท้อง ถิ่น รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูล และแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลเพื่อการวางแผนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน ให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน สนับสนุนการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่าย ที่เข้มแข็งเพื่อให้ชุมชนมีภูมิคุ้มกั นต่อการเปลี่ยนแปลงในภาวะวิกฤตทุกรูปแบบ อาทิ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม กลุ่มเกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการถือหุ้นโดยสมาชิกในชุมชน สร้างความเข้มแข็งสถาบัน การเงินในระดับชุมชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการและธุรกิจในชุมชน โดย ให้สถาบัน การเงินในพื้นที่มีบทบาทในการทาหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารเงินทุน สภาพคล่อง และ การบริหาร จัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบ และ พัฒนาสินเชื่อรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของชุมชน รวมทั้งส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างงานใน ชุมชนและโอกาสในการเข้าถึงงานอย่างเท่าเทียม กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 ส่งเสริมการจัดการกลไกตลาดของท้องถิ่น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิต และการบริโภคใน พื้นที่ รวมทั้งสร้าง รายได้จากตลาดภายนอก โดย ส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ในระดับพื้นที่ เพื่อลดความสูญเสียจากการผลิตมากเกินความต้องการ ลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งสินค้า ระหว่างพื้นที่และภูมิภาค รวมทั้งรักษาคุณภาพของผลผลิต สนับสนุนการสร้าง งาน และจ้างงานคนในท้องถิ่น ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับประชากรวัยแรงงานในพื้นที่และที่กลับภูมิลำเนาเพราะผ ลกระทบ จากการแพร่ระบาดของ โควิ ด - 19 สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการกระจายสินค้าและบริการให้หมุนเวียน ในพื้นที่และเมือง ใน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่ม เกษตรกร กระตุ้นการบริโภค ให้สอดคล้องและสมดุลกับการผลิตในท้องถิ่น ตามแนวทางการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน ปรับแก้กฎระเบียบ

94 และนโยบายของภาครัฐที่ก่อให้เกิดการรวมศูนย์สินค้าเกษตรบางประเภท และเป็นอุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้าง จากผู้ผลิตในพื้นที่เดียวกับการบริโภค กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 แก้ปัญหาของกลุ่มเปราะบางใน เมือง โดยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบโครงสร้าง พื้นฐานเมือง อาทิ การออกแบบเมืองตามหลักอารยสถาปัตย์ ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย จัดให้มีระบบสวัสดิการ ที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มในเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเ ปราะบางให้มีสุขภาพกายและจิตใจ ที่สมบูรณ์ และส่งเสริมศักยภาพเครือข่ายชุมชนเมือง ในการช่วยเหลือและดูแลกลุ่มเปราะบางเบื้องต้น ทั้งในภาวะ ปกติและเมื่อเกิดภัยพิบัติ กลยุทธ์ที่ 2 การส่งเสริมกลไกความร่วมมือภาครัฐ เอกชน ประชาชน และประชาสังคมเพื่อการพัฒนาพื้นที่และเมือง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่และเมืองด้วยความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ หลากหลาย รูปแบบ โดยส่งเสริมการพัฒนาเมืองด้วยรูปแบบต่าง ๆ อาทิ กฎบัตรการพัฒนาเมือง บริษัทพัฒนาเมือง ด้วยการศึกษา ความเหมาะสมในการยกระดับกลไกขับเคลื่อนกฎบัตรการพัฒนาเมืองให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน การถอดบทเรียนจากพื้นที่ซึ่งประสบความสาเร็จ อาทิ ขอนแก่นโมเดล ซึ่งสามารถดึงดูดการลงทุน พร้อมกับการจ้างงาน ในพื้ นที่ให้เป็นต้นแบบสาหรับขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ เสริมสร้างบทบาทของวิสาหกิจเพื่อสังคมในการพัฒนาพื้นที่และ เมือง การพัฒนาธุรกิจใหม่ การ สร้างงานสร้างอาชีพ โดยมีมาตรการ รองรับความเสี่ยงทางธุรกิจและการเงินในช่วง เริ่มต้น พร้อมกับถ่ายทอดทักษะและองค์ความรู้ให้ชุมชนสำมารถดาเนินการต่อไปด้วยตนเอง อาทิ วิสาหกิจสุขภาพเพื่อสังคม ซึ่งมุ่งเน้นเกษตรในเมือง และช่วยสร้างเมืองให้เป็นเขตอาหารปลอดภัย ขยายเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจเพื่อสังคมในพื้นที่ และเมือง เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน แก้ไขกฎระเบี ยบภาครัฐให้เอื้ออานวยต่อ การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคีการพัฒนาอื่น ๆ ได้แก่ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชา สังคม ส่งเสริมให้เมืองที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกันเชิงนิเวศร่วมวางแผนพัฒนาและดาเนินการได้อย่างสอดคล้องกับส ภาพปัญหา ในพื้นที่ มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการพัฒนาพื้นที่และเมืองร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ เอกชนและประชาชน โดย ปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศเพื่อสนับสนุน การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีการ พัฒนา สนับสนุนการเปิดเผยและแบ่งปันข้อมูลสารสนเทศ ระหว่างภาครัฐ เอกชน และ ประชาชน เพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาพื้นที่และ เมือง ส่งเสริมการศึกษาวิจัยนวัตกรรม การรวบรวมและประมวลผลข้อมูลสารสนเทศที่เข้าถึงได้โดยสาธารณะ เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการพื้นที่ และเมือง เช่น ระบบจัดเก็บและบริหารข้อมูลเมือง ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงบประมาณโครงการพัฒนา ระดับพื้นที่ และ การพัฒนา ทักษะดิจิทัล เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 ส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง และภัยพิบัติ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ โดย ให้ความสาคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ที่คำนึงถึงคุณค่าดั้งเดิมของชุมชนตามเป้าหมายในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ด้วยความร่วมมือ จากภาคเอกชน ประชาชน และประชาสังคมในพื้นที่ ในการ ประเมินความพร้อมด้านดิจิ ทัลของเมือง และเสริมสร้างความสามารถเมืองที่มีศักยภาพให้พร้อมยกระดับเป็นเมืองอัจฉริยะ ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจ ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลที่เหมาะสม ออกแบบกลไกภาคประชาชนเพื่อร่วมวางแผนการใช้ประโยชน์ จาก เทคโนโลยีในการบริหารจัดการเมืองอย่างโปร่งใสและมีประสิท ธิภาพ

95 กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในเมือง โดยคานึงถึงการวางและจัดทา ผังเมืองที่ครอบคลุมทุก มิติ ส่งเสริมกระบวนการจัดรูปที่ดินควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาพื้นที่จัดรูปดังกล่าว โดยการมีส่วนร่วมของประชา ชน ตามแนวทางการพัฒนาเมืองให้น่า อยู่อย่างยั่งยืน ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สอดรับ กับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมในเมือง สนับสนุนการศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และอาคาร เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน เพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะของเมือง และลดปัญหาเมืองที่เติบโตแบบไร้ระเบียบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมือง กลยุทธ์ที่ 3 การสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ และดิจิทัลรองรับพื้นที่เศรษฐกิจหลักและเมือง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และ ระบบดิจิทัล อย่างต่อเนื่อง เพียงพอ และได้มาตรฐาน เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่และเมือง สามารถรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความต้องการของประชาชน โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยง การเดินทางและการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบ ให้มีความปลอดภัย สะดวก และ มีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ โทรคมนาคมพื้นฐาน ที่ทันสมัย ทั่วถึง และได้คุณภาพ พัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่อยอดขยายผลในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลในการสร้างมูลค่าเพิ่มทา งธุรกิจ และส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทาธุรกิจ ให้เป็นระบบดิจิทัล ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอานวยความสะดวกของเมือง เพื่อเตรียมความพร้อม รองรับการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 พัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้มีคุณภาพ เพียงพอ และปรับตัวได้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายในพื้นที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของ ภาคอุตสาหกรรมและบริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบุคลากรด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยว เกษตรและ อุตสาหกรรมชี วภาพ และอุตสาหกรรมอนาคตที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง โดยสนับสนุนให้ เกิดความร่วมมือ ระหว่าง สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ภาครัฐ และเอกชน ในการ ผลิตบุคลากรด้านงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อตอบสนอง การแก้ปัญหาและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ ทั้งด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภั ณฑ์ต่าง ๆ ให้ มีคุณภาพสูงเทียบเท่า ระดับสากล ตรงกับความต้องการของ ตลาด ควบคู่ไปกับพัฒนาวิสาหกิจทุกระดับในพื้นที่ให้มีความสามารถในการแข่งขัน และเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ ภายนอก ยกระดับความสามารถเกษตรกร ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจเริ่มต้น สู่เกษตรกรอัจฉริยะ และ วิสาหกิจเริ่มต้น ด้านเทคโนโลยี ตลอดจน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานรองรับบริการสร้างสรรค์ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 สนับสนุนปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในพื้นที่ บนการแข่งขันที่เป็นธรรมและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทพัฒนา อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดย อานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ด้วยการกาหนดมาตรการ ให้เกิดการรวมกลุ่มของอุตสาหกรรมและบริการ การกาหนดสิทธิประโยชน์ที่สามารถดึงดูดกา รลงทุน การดึงดูด ผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติให้มาทางานและอาศัยอยู่ในพื้นที่ การ อานวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และนวัตกรรมในการประกอบการและการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จโดยใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ การ ปรับปรุงกฎหมาย ให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการยอมรับและสนับสนุนการพัฒนา

96 กลยุทธ์ที่ 4 การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการพื้นที่และเมือง กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 เสริมสร้างสมรรถนะของท้องถิ่นทุกระดับ ให้มีศักยภาพในการบริหารจัดการพื้นที่ และเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ส่งเสริมการวางแผนพัฒนาพื้นที่และเมืองในอนาคตให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งกาหนดขอบเขตพื้นที่ตาม แผน ผังภูมิ นิเวศ ใช้ระบบข้อมูลและตัวชี้วัดในการประเมินความยั่งยืนของเมือง และจัดทายุทธศาสตร์การพัฒนาด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคีในพื้นที่ทุกขั้นตอน ทั้งนี้ พื้นที่และเมือง ที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนจะให้ความสาคัญกับการใช้ทรัพยากรอ ย่างมีประสิทธิภาพ การลดการสร้างของเสียและมลพิษ ทุกรู ปแบบ รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะมูลฝอยและน้าเสียอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ความปลอดภัยในเมือง และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผลักดันให้ พื้นที่และเมืองจัดทำ แผนการลงทุน ที่ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเมืองที่จัดทาโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน อาทิ แผนพัฒนาเมืองในอนาคตให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน กฎบัตรการพัฒนาเมือง เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เช่น แผนการลงทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของเมืองในพื้นที่เฉพาะหรือย่านที่มีเศรษฐกิจมูลค่าสูง และ แผนการลงทุนพัฒนา ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเมืองให้เชื่อมต่อและรองรับการสัญจรของประชาชนทุกกลุ่ม เป็นต้น สนับสนุน การศึกษาวิจัยเรื่องเครื่องมือและอานาจของท้องถิ่นในการบริหารจั ดการพื้นที่และเมือง ให้สามารถรับมือกับ ความท้าทายของโลกยุคใหม่ที่มีความผันผวนไม่แน่นอน มีค วามสลับซับซ้อนและคลุมเครือ สร้างพื้นที่เรียนรู้ของ เมืองสำหรับบ่มเพาะนวัตกรรมในการบริหารจัดการพื้นที่และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งอาจนาไปสู่การจัดทำ แซนด์บ๊อกซ์ เพื่อทดสอบ แนวทางดำเนินงานใหม่ ๆ อาทิ การเปิดเผยและแบ่งปัน ข้อมูล การ สร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักของท้องถิ่นด้านสุขอนามัย ระบบผลิตอาหาร และพฤติกรรมการบริโภค ที่เสริมสร้างสุขภาพผ่านเครือข่ายอาสาสมัครชุมชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อพร้อม รับมือกับภัยพิบัติจากโรคระบาดและโรคอุบัติใหม่ เป็นต้น กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 ยกระดับความสามารถทางการเงิน การคลังและการจัดการทุนในระดับพื้นที่ โดยแก้ไขกฎระเบียบเพื่อเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการด้านการเงินได้อย่างคล่องตัว ทั้งการจัดหา รายได้และการระดมทุนจากประชาชนในพื้นที่ การ ปรับปรุงมาตรการทางภาษี เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนา เมืองหรือการใช้ที่ดินในเมืองให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งดาเนิ นงานโดยวิสาหกิจเพื่อสังคม อาทิ การเกษตร ในเมือง การ ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนสาหรับส่งเสริมเมืองให้ริเริ่มดาเนินงานตามแนวทางใหม่ ๆ อาทิ กองทุนพัฒนาอาคารและสภาพแวดล้อมสุขภาวะที่มุ่งเน้นการออกแบบ ปรับปรุง ฟื้นฟูอาคารและ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การอยู่อาศัย การป้องกันควบคุมโรคติดต่อ และศึกษา การออกแบบและทดลองใช้กลไกสร้างผลประโยชน์รูปแบบต่าง ๆ เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ และเมือง ได้แก่ พื้นที่เมืองเก่า กลุ่มอาคารประวัติศาสตร์ แ ละชุมชนที่แวดล้อมหรืออยู่อาศัยร่วมกัน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 สร้างระบบตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการพัฒนาพื้นที่และเมือง ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์การพัฒนาท้องถิ่น โดยสนับสนุนทุนวิจัย เพื่อประเมินผลการพัฒนาพื้นที่และเมือง ซึ่งเน้นเป้าหมาย ผลลัพธ์ และผลกระทบ โดยเฉพาะโครงการที่มี ความสาคัญในเชิงงบประมาณและความครอบคลุมของพื้นที่ สร้างการมีส่วนร่วมและการรับรู้ของประชาชน ในกระบวนการประเมินผลการพัฒนาพื้นที่และเมือง เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถให้ข้อเสนอแนะ เพื่อสร้าง ภาระรับผิดชอบของท้ องถิ่นต่อประชาชนในพื้นที่

97 หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา ความยากจนข้ามรุ่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีต สืบเนื่องถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้ม ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต แม้ว่าสัดส่วนคนจนของไทย จะ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมี คนจนจานวนหนึ่ง ที่ติดอยู่ในกับดักความยากจนมาเป็นเวลานาน โดยขาดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ และต้องส่งต่อความยากจนไปสู่ลูกหลาน โดย ข้อมูลจากระบบบริหารจั ดการข้อมูลการพัฒนาคน แบบชี้เป้า ปี 2565 พบว่า ครัวเรือนที่มีแนวโน้ม จะตกอยู่ในความ ยากจนข้ามรุ่น หรือเรียกโดยย่อว่า ครัวเรือน ยากจนข้ามรุ่น 2 มีจานวนถึงประมาณ 597 , 248 ครัวเรือน หรือ ประมาณ ร้อยละ 15 ของครัวเรือนที่มีเด็ก และเยาวชนเป็นสมาชิก นอกจากนี้ จำนวนของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากผลของ การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ที่คาดว่าจะ นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน อันจะส่งผลให้โอกาสในการหลุดพ้นจากกับดักความยากจนยากยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ลักษณะของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่ นพบว่า ครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น ส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม การศึกษาต่า และอัตราการพึ่งพิงสูง โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทาให้ครัวเรือนเข้าข่ายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น คือ การขาดความมั่นคงทางการเงินเนื่องจากไม่มีเงินออม (ร้อยละ 73 . 4 ) รองลงมาคือความขัดสนทางการศึกษำ จากการที่เด็กอายุ 6 - 14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับครบ 9 ปี (ร้อยละ 17 . 2 ) โดยเด็กจำนวนมาก ต้องหลุดออกนอกระบบการศึกษาเนื่องจากครอบครัวไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาได้ ในขณะเดียวกัน ยังพบว่าเกือบร้อยละ 70 ของหัวหน้าครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นมีการศึกษาเพียงระดับประถม ศึกษา หรือต่ำกว่า และเมื่อพิจารณาโครงสร้างประชากรภายในครัวเรือน พบว่า อัตราส่วนการพึ่งพิงของเด็กและผู้สูงอายุ ต่อวัยแรงงานสูงถึงร้อยละ 90 และสัดส่วนของสมาชิกวัยเรียนอายุ 6 - 14 ปี มีมากถึงร้อยละ 23 . 7 ทั้งนี้ อาชีพ ของหัวหน้าครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นส่วนใหญ่ คือ อาชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 48 . 5 ) รองลงมา คือ รับจ้างทั่วไป ( ร้อยละ 28 . 8 ) โดยกว่าร้อยละ 30 ของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นอยู่ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาค ใต้ (ร้อยละ 25 ) และภาคเหนือ ( ร้อยละ 19 ) การขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและการทักษะความรู้ที่จาเป็นต่อการประกอบอาชีพ ในอนาคต ของเด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น ทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานในฐานะแรงงานทักษะต่า หรือแรงงานกึ่งมีทักษะเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเด็กในอนาคต ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย ซึ่งเป็นผลให้ประชากรวัยเด็กในปัจจุ บันต้องรับ ภาระที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุเมื่อเข้าสู่วัยแรงงาน ดังนั้น การขจัดปัญหาความยากจนข้ามรุ่น เพื่อให้เด็ก 2 ครัวเรือน ที่มีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือน ยากจนข้ามรุ่น คือ ครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนอายุ 0 - 18 ปี ซึ่ง มี โอกาสที่จะส่งต่อความยากจนและ ความขัดสนไปยังรุ่นลูกหลาน ประเมินจาก ความขัดสน ด้าน รายได้ หรือ มิติอื่น ๆ ที่ มิใช่รายได้ โดยมีความขัดสน อย่างน้อยอย่างใดอย่างหนึ่งจาก 4 มิติ ดังต่อไปนี้ ได้แก่ มิติด้านสุขภาพ (เด็กแรกเกิดมีน้าหนักไม่ถึง 2 , 500 กรัม หรือเด็ก 0 - 12 ปี ได้รับวัคซีนไม่ครบ) มิติด้านสภาพแวดล้อม (ไม่มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย หรือขาดแคลนน้าสะอาดสาหรับบริโภค) มิติด้านการศึกษา (เด็กขาดการเตรียมพร้อมก่อนวัยเรียน ไม่ได้รับ การศึกษาภาคบังคับ หรือไม่ได้เรียนต่อชั้น ม. 4 หรือเทียบเท่า หรือมีคนในครัวเรือนที่ไม่มีงานทา ไม่ได้รับการฝึกอาชีพ หรือขาดทักษะในการ อ่าน เขียน และคิดเลขอย่างง่าย) และ มิติด้านความมั่นคงทางการเงิน (รายได้ครัวเรือนต่ากว่า 38 , 000 บาท/คน/ปี หรือไม่มีเงินออม) โดย ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นมาจากระบบข้อ มูลขนาดใหญ่สาหรับการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต

98 จากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นมีโอกาสได้รับการศึกษาและพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มศักยภาพ และครัวเรือนสามารถ หลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 นอกเหนือจากการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบความคุ้มครอง ทางสังคมที่เพียงพอสำหรับกลุ่มคนในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้สามารถรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง ประชากรและปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทย ในปัจจุบันยังมีช่องว่างและระดับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับยังไม่เพียงพอต่อความจาเป็นพื้นฐานในการดารงชีวิต โดยในกรณีของความคุ้มครองทางสั งคมสาหรับเด็กปฐมวัย ยัง พบ ปัญหาการตกหล่น ของ การจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ถึง ร้อยละ 30 ของ ครัวเรือน ที่เข้าข่ายมีสิทธิ์ รับเงินอุดหนุน ขณะที่จานวนของ เงินอุดหนุน ที่ได้รับ ( 600 บาท) คิดเป็นเพียงร้อยละ 16 ของรายจ่ายเฉลี่ยของประชากรวัยนี้ อีกทั้งปัญหาการเข้าถึง สถานรับเลี้ยงเด็ก 0 - 2 ปี ยังเป็นอุปสรรคต่อครัวเรือนจานวนมาก เนื่องจากในช่วงอายุ 3 เดือนถึง 2 ปี เป็นช่วง ที่สิทธิ์ลาคลอดของแม่ครบกาหนดและสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยของรัฐยังไม่สามารถรับเด็กเข้าดูแลได้ ในขณะที่ สถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชนมีจำนว นน้อยและมีค่าบริการสูง ครัวเรือนจำนวนมากจึงต้องส่งลูกไปอยู่กับ ปู่ย่าตายายตามภูมิลาเนาเดิม ทาให้เด็กขาดโอกาสที่จะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทาให้เด็ก มีพัฒนาการล่าช้า โดยมีเด็กอายุ 0 - 4 ปี กว่าร้อยละ 22 ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ในส่วนของวัยแรงงาน ยังคงมีแรงงานจานวนมากที่ขาดหลักประกันทางรายได้ที่เหมาะสม โดยในปี 2564 มีจำนวนแรงงานที่อยู่นอกระบบประกันสังคมหรือสวัสดิการพนักงานของรัฐจานวน เกือบ 20 ล้านคน หรือ ประมาณร้อยละ 52 ของ กาลังแรงงานรวม ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ขาดแคลนหลักประกันทางรายได้ เมื่อต้องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือว่างงาน ในขณะเดียวกัน แม้ว่าแรงงานนอกระบบจะมีทางเลือกในการเข้าร่วมระบบการออม เพื่อการเกษียณภาคสมัครใจที่ภาครัฐร่วมจ่ายสมทบ ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยสร้างหลักประกันทางรายได้ ในวัยสูงอายุ แต่ยังคงมีจานวนผู้เข้าร่วมเพียงประมาณร้อ ยละ 35 ของแรงงานนอกระบบทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่นาไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของแรงงานชั่วคราว โดยเฉพาะแรงงาน ในระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ขาดส วัสดิการขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับและมีความเสี่ยงที่จะได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ในขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุยังขาดสวัสดิการทางสังคมที่จาเป็นต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยในปี 2563 มีผู้สูงอายุที่ตกอยู่ในความยากจนเป็นสัดส่วนร้อยละ 8 . 30 ซึ่งผู้สูงอายุ ที่ไม่มีรายได้หรือหลักประกันในรูปแบบอื่น รองรับ จะมีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 – 1 , 000 บาท เพื่อใช้สำหรับการดำรงชีพ นอกจากนี้ ยังมีผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงอีกจานวนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม โดย ณ เดือนมกราคม 2565 มีผู้สูงอายุที่อ ยู่ในภาวะพึ่งพิงซึ่งสามารถเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข ในระบบหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ เพียงร้อยละ 54 . 20 ขณะที่สภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยถือเป็นปัจจัยสาคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผล ต่อสวัสดิภาพของผู้สูงอายุ เนื่องจากความไม่ ปลอดภัยของ สถานที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ต่อร่างกาย จนนาไปสู่ ภาวะพึ่งพิงได้

99 นอกจากความเพียงพอและ ความ ครอบคลุม ของความคุ้มครองทางสังคมที่จาเพาะ ในแต่ละช่วงวัยแล้ว ความคุ้มครองทางสังคมของไทย ในภาพรวม ยังขาดการพัฒนาเชิงระบบ เนื่องจากการจัดความคุ้มครอง ทางสังคมดาเนินงานโดยหลายหน่วยงาน โดย ที่แต่ละหน่วยงานมีการดาเนินงานอย่างแยกส่วน ขาดการบูรณาการ ตั้งแต่ระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ จนถึงระดับฐานข้อมูล ส่งผลให้ ระดับสิทธิประโยชน์ยังไม่เพียงพอ ในบางกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังขาดการติดตามประเมินผล ซึ่งอาจทาให้เกิดการสูญเสียงบประมาณไปกับโครงการ ที่มีผลกระทบต่า จนส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลัง นอกจากนี้ ยังขาดการเตรียมความพร้อมระบบการให้ ความช่วยเหลือในภาวะวิกฤต ส่งผลให้การช่วยเหลือล่าช้า ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และไม่มีประสิทธิภาพ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่ อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 9 มุ่งตอบสนองต่อเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคนสาหรับโลกยุคใหม่ ในด้านการสร้างหลักประกันและความคุ้มครองทางสังคม เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงในชีวิต และ เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดยการสนับสนุนให้กลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสมีโอกาสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้น นอกจากนี้ หมุดหมายที่ 9 ยังมีความสอดคล้องกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติใน 2 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ในประเด็นเป้าหมาย สังคมไทยมีสภาพแวดล้อมที่ เอื้อและสนับสนุนต่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต และ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอ ภาค ทางสังคมใน 2 ประเด็นเป้าหมาย คือ สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้าในทุกมิติ และกระจายศูนย์กลาง ความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อ เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังของการพัฒนาประเทศในทุกระดับ 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 ครัวเรือนที่มีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น มีโอกาสในการเลื่อนสถานะ ทางเศรษฐกิจและสังคม จนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 ทุกครัวเรือนที่ถูกคัดกรองว่ามีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นในปี 2565 สามารถ หลุดพ้นจากสถานะการมีแนวโน้มเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 อัตราการเข้าเรียนสุทธิแบบปรับของเด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 100 และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 เด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น เติบโตไปเป็นแรงงานที่มีทักษะ หรือสำเร็จการศึกษา ในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 สัดส่ วนของเด็กปฐมวัยในครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น มีปัญหาพัฒนาการไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ลดลงร้อยละ 20

100 เป้าหมายที่ 2 คนทุกช่วงวัยได้รับความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 ดัชนีรวมของความคุ้มครองทางสังคมมีค่าไม่ต่ากว่า 100 โดยดัชนีรวมของความคุ้มครอง ทางสังคมประกอบด้วย 3 มิติ โดยมีตัวชี้วัดในแต่ละมิติ ดังนี้ 1 ) ความคุ้มครองทางสังคมสำหรับวัยเด็ก ( 1 ) อัตราการเข้าถึงบริการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ( 0 - 2 ปี) เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 2 ) ความคุ้มครองทางสังคมสำหรับวัยแรงงาน ( 1 ) แรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของกำลังแรงงานรวม ( 2 ) จำนวนผู้ที่อยู่ในระบบการออมเพื่อการเกษียณภาคสมัครใจที่ภาครัฐจ่ายสมทบ เพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 100 ( 3 ) แรงงานที่อยู่ภายใต้การจ้างงานทุกประเภทได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายแรงงาน 3 ) ความคุ้มครองทางสังคมสำหรับ ผู้สูงวัย ( 1 ) สัดส่วนผู้สูงอายุที่ยากจนลดลง เหลือไม่เกินร้อยละ 4 ( 2 ) สัดส่วนของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เข้าถึงบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำว่าร้อยละ 70

101 3 . แผนที่กลยุทธ์

102 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นแบบมุ่งเป้าให้ครัวเรือนหลุดพ้นความยากจนอย่างยั่งยืน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 ให้ความช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น เพื่อสร้าง สภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเด็ก โดยให้ความคุ้มครองทางสังคมอย่างเฉพาะเจาะจงในกลุ่ม ที่มีข้อจากัดด้านศักยภาพ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพที่มีผลิตภาพและรายได้สูงขึ้น ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงาน การหางานที่เหมาะสมกับศักย ภาพของครัวเรือน บริบทของพื้นที่ และทิศทาง การพัฒนาประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทรัพยากรที่จาเป็นในการประกอบอาชีพ ถ่ายทอดความรู้และทักษะทางการเงิน พร้อมทั้งจัดหาพี่เลี้ยงในการให้คาแนะนา สร้างแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ และให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ตลอดกระบวนการ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 พัฒนากลไกการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นในระดับพื้นที่ มุ่งเน้นการยกระดับ ศักยภาพ และเพิ่มบทบาทของหน่วยงานส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นในการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น พร้อมทั้ง บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การพัฒนา โดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล ใน การคัดกรองครัวเรือนที่มีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น พร้อมทั้งระบุปัญหา ความจำเป็น ความต้องการ แนวทางการดาเนินการปฏิบัติ และการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด ในการลดปัญหาความยากจนข้ามรุ่น อย่างยั่งยืน กลยุทธ์ที่ 2 การสร้างโอกาสที่เสมอภาคแก่เด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 สนับสนุนครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นให้สามารถเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึง ปฐมวัยได้อย่างมีคุณภาพ พัฒนาระบบการให้เงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการแก้ไขปัญหาผู้มีสิทธิ์ที่ตกหล่น ปรับใช้วิธีการจ่ายเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขที่สามารถจูงใจให้เกิดผลลัพธ์ ตามที่มุ่งหวัง รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้อง กับสภาพเศรษฐกิจและสังคม กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพที่มีคุณภาพ จัดสรรเงิน อุดหนุนและทรัพยากรที่จาเป็นแก่เด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ในโรงเรียนและการเรียนรู้ภายนอกห้องเรียน ทั้งแหล่ งเรียนรู้บนพื้นที่กายภาพและพื้นที่เสมือนจริงหรือออนไลน์ พร้อมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวังและติดตามช่วยเหลือเด็กยากจนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือการพัฒนา ทักษะอาชีพตามความเหมาะสม กลยุทธ์ที่ 3 การยกระดับความคุ้มครองทางสังคมสำหรับคนทุกช่วงวัย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 ยกระดับความคุ้มครองทางสังคมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ส่งเสริมการเข้าถึง และเร่งรัดพัฒนาคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) ทั่วประเทศให้ได้มาตรฐาน พร้อมทั้งเพิ่ม การเข้าถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก 0 - 2 ปี ที่มีคุณภาพ โดยสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีความพร้อม ขยายการดำเนินงานของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ครอบคลุมเด็กอายุ 0 - 2 ปี และส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็ก ที่มีคุณภาพในชุมชน สถานประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กสามารถ กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยที่เด็กยังอยู่อาศัยกับพ่อแม่ได้

103 กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ยกระดับความคุ้มครองทางสังคมเพื่อสร้างหลักประกันสำหรับวัยแรงงาน พัฒนาระบบประกันสังคมให้สามารถตอบสนองความต้องการของแรงงานนอกระบบ โดยการปรับปรุงรูปแบบ การจ่ายเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ ให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่น พร้อมทั้งส่งเสริมการออมเพื่อเตรียม ความพร้อมสาหรับวัยเกษียณอายุ ด้วยการจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าร่วมระบบการออมภาคสมัครใจ ปรับปรุง เงื่อนไขด้านการออมและสิทธิประโยชน์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสามารถออมและได้ผลประโยชน์ ในอัตราที่ เพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาระบบบริการข้อมูลทางการเงินเพื่อการเกษียณ เพื่อช่วยให้ผู้ออมสามารถ วางแผนการออมของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนปรับปรุงหรือจัดทำกฎหมายเพื่อพัฒนาระบบ การคุ้มครองสวัสดิการแรงงานให้ครอบคลุมการจ้างงานรูปแบบใหม่ ให้ผู้ที่อยู่ภายใต้การจ้างงานแบบชั่วคราว หรือการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ แพลตฟอร์ม สามารถได้รับความคุ้มครองที่เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับลูกจ้าง ตามกฎหมาย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 ยกระดับความคุ้มครองทางสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ มุ่งสนับสนุนระบบสวัสดิการ ทางเลือกที่จัดโดย อปท. และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการบูรณาการข้อมูล ด้านสวัสดิการและเงินช่วยเหลือทั้งหมดของผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันความซ้าซ้อนและเอื้อต่อการให้ความช่วยเหลือ ผู้สูงอายุที่ยากจนแบบมุ่งเป้ามากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มการเข้าถึงบริการดูแลระยะยำวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยการเพิ่มศักยภาพของบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสนับสนุน บทบาทของ อปท. สถานบริการเอกชน ผู้ดูแลอิสระ และสมาชิกในครอบครัวที่ผ่านการฝึกอบรมทักษะที่จาเป็น และได้รับการรับรองมาตรฐานแล้ว ตลอดจ นส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่อาศัยในบ้านตนเอง ด้วยการสนับสนุน การปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ยากจน ควบคู่กับการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีทางเลือก ของที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย ทั้งบ้านพักสาหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และที่ อยู่อาศัยที่ออกแบบ เพื่อผู้สูงอายุ อย่างเพียงพอต่อความต้องการ กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมให้มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 บูรณาการระบบความคุ้มครองทางสังคม โดยเริ่มตั้งแต่การกาหนดเป้าประสงค์ ของการจัดความคุ้มครองทางสังคมร่วมกัน การกาหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นในการจัดความคุ้มครองทางสังคมให้ชัดเจน รวมถึงการเชื่อมโยง ฐานข้อมูลให้ทุกหน่วยงานสามารถทา งานบนฐานข้อมูลเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อลดความทับซ้อนระหว่างโครงการ / มาตรการ เพิ่มความเพียงพอของสิทธิประโยชน์ และลดการตกหล่นของกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้พิการ คนไร้บ้าน ผู้ที่มีปัญหาซ้ำซ้อน และผู้ที่ประสบความเดือดร้อน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 ปรับปรุงรูปแบบการจัดความคุ้ม ครองทางสังคม ให้ทุกกลุ่มคนได้รับสวัสดิการ ที่เหมาะสมบนฐานของความยั่งยืนทางการคลัง โดยการประเมินผลทุกโครงการ / มาตรการอย่างรัดกุม เพื่อพัฒนา ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ / มาตรการ พร้อมทั้งยกเลิกหรือลดทอนงบประมาณของโครงการ / มาตรการที่ไม่มีผลกระทบหรือมีผลกระทบต่า เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนา ประเทศอย่างแท้จริง ตลอดจนส่งเสริมการจัดความคุ้มครองทางสังคมแบบร่วมจ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีศักยภาพ สนับสนุนให้ อปท. มีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการให้แก่คนในพื้นที่ และจู งใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น

104 กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 จัดทำระบบการเยียวยาช่วยเหลือในภาวะวิกฤต กำหนดระดับ แนวทาง และช่องทางการจัดสรรการเยียวยาช่วยเหลือ ทั้งในรูปแบบตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน พร้อมทั้งจัดเตรียมฐานข้อมูล ของกลุ่มเป้าหมาย แหล่งงบประมาณเบื้องต้น ตลอดจนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้พร้อมช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ สังคม และภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ที่ 5 การบูรณาการฐานข้อมูลเพื่อลดความยากจนข้ามรุ่นและจัดความคุ้มครองทางสังคม กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 พัฒนาฐานข้อมูลรายบุคคล ที่ครอบคลุมประชากรจากครัวเรือนที่มีแนวโน้ม กลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นทุกคน ให้ เป็นปัจจุบัน และเชื่อมโยงข้อมูลที่สาคัญต่อการลดความยากจนข้ามรุ่ น และการบูรณาการความคุ้มครองทางสังคม พร้อมทั้งวางรากฐานให้ข้อมูลชุดนี้เป็นข้อมูลตัวอย่างซ้าในระยะยาว ของประเทศที่มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล ในการออกแบบนโยบาย / มาตรการ และการติดตามประเมินผล เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนยากจนข้ามรุ่นเป้าหมาย จัดสวัสดิการทางสังคม อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแบ่งปันข้อมูล ระหว่าง ภาคส่วน ต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ เพื่อใช้ประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง

105 หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์ บอนต่า 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา การสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดช่วงที่ผ่านมาพึ่งพิงการใช้วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในเกณฑ์สูง ในขณะที่ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการยังอยู่ในระดับต่า โดยข้อมูลปี 2562 สัดส่วนค่าใช้จ่ายขั้นกลางต่อมูลค่าผลผลิตรวม ที่ร้อยละ 61 . 85 สูงกว่าสัดส่วนของประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี ที่มีค่าร้อยละ 46 . 38 (ปี 2559 ) และ 58 . 65 (ปี 2561 ) ตามลาดับ รวมถึงข้อมูลรายงานของคณะกรรมการ เศรษฐกิจและสังคมของเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติชี้ให้เ ห็นว่าปริมาณการใช้วัสดุภายในประเทศ ของประเทศไทยในปี 2559 (ค.ศ. 2016 ) อยู่ที่ 2 . 06 กิโลกรัมต่อเหรียญสหรัฐ มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ กลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิ ก และค่าเฉลี่ยของกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรพื้นฐาน (ชีวมวล โลหะ อโลหะ และพลังงานฟอสซิล) ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยยังต่ำ มีการใช้อย่างสิ้นเปลือง และสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อยกว่าที่ควร การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เกินขีดความสามารถของระบบนิเวศ ท่ามกลางข้อจากัดด้าน การบริหาร จัดการ ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ในขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความรุนแรงมากขึ้น การขยายตัว ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพิงการใช้วัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง และประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่ยังอยู่ ในระดับต่า ทาให้ความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มสู งขึ้นเกินกว่าความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ในขณะที่ปัญหาของเสียและมลพิษมีความรุนแรงมากขึ้น ในด้านทรัพยากร ทรัพยากรดินเสื่อมโทรม ความหลากหลายทางชีวภาพถูกคุกคาม ระบบนิเวศชายฝั่งถูกทาลาย ทรัพยากรน้า ไม่สามารถจัดสรรได้เพี ยงพอต่อความต้องการ ในขณะที่พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังต่ากว่าค่าเป้าหมาย ณ สิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่กาหนดไว้ร้อยละ 40 ในด้านปัญหาของเสียและมลพิษ 1 ) ขยะ ปริมาณขยะ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2553 - 2562 ) โดยขยะชุมชนประมาณร้อยละ 22 หรือ 6 . 4 ล้านตัน ในปี 2562 ยังไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสมและกลายเป็นปัญหาสาคัญที่ส่งผลกระทบต่อ คุณภาพน้าและสิ่งมีชีวิตในน้า ขยะในทะเลซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นปีละ 21 , 700 - 32 , 600 ตัน ส่งผลกระทบต่อระบบ นิเวศ ทางทะเลและชายฝั่ ง ของเสียอันตรายจากชุมชนและภาคอุตสาหกรรม ในปี 2562 มีจานวน 2 . 041 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ ยังไม่มีการบริหารจัดการที่ถูกวิธีหรือครบวงจร 2 ) มลพิษทางอากาศ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2 . 5 ไมครอน มีปริมาณเกินค่ามาตรฐานเป็นประจาทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม และเมืองใหญ่ที่มี ประชากรและการจราจรหนาแน่น 3 ) มลพิษทางน้า ในปี 2563 ยังมีปริมาณน้าเสียชุมชนที่ไม่ได้รับการบาบัด อย่างถูกต้อง 1 . 7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของปริมาณน้าเ สียชุมชนที่เกิดขึ้นทั้งหมด และปัญหาการปนเปื้อนของไมโครพลาสติก ซึ่งข้อมูลจากการวิจัยพบว่า ร้อยละ 90 ของกุ้ง หอย และปะการัง ที่ได้รับการสำรวจมีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางการแสดง เจตจำนงการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ของ 173 ประเทศทั่วโลก ( ข้อมูล ณ ธั นวาคม 2563 ) โดยข้อมูล รายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 3 ปี 2559 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีปริมาณการปล่อย

106 ก๊าซเรือนกระจกจาก กิจกรรมต่าง ๆ ทั้งหมด 354 . 36 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก จานวน 342 . 11 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยภาคพลังงานและขนส่ง ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด 253 . 89 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ร้อยละ 71 . 65 ) ภาคเกษตร 52 . 16 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิต 31 . 53 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า และภาคของเสีย 16 . 77 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อรวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งมีปริมาณการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก 91 . 13 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เที ยบเท่า พบว่ามีปริมาณ การ ปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิทั้งหมด 263 . 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ความท้าทายในการขับเคลื่อนหมุดหมาย การลดลงของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างต่อเนื่อง เป็นปัญหาท้าทายที่สาคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สังคมไทยและประชาคมโลก ตระหนักและให้ความสาคัญมากขึ้น รวมทั้งเป็นปัจจัยกาหนดความสาเร็จ ที่สาคัญต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สอดคล้องกับการดาเนินงานของรัฐบาล ที่ได้ให้ ความสาคัญ กับการขับเคลื่อน โมเดล กำรพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน การขับ เคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง การขับเคลื่อนแผนที่นาทางการจัดการขยะพลาสติก ( พ.ศ. 2561 – 2573 ) และแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 ( พ.ศ. 2561 – 2565 ) รวมทั้งได้ระบุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศกาหนด ตามความตกลงปารีส ขั้นต่าที่ร้อยละ 20 – 25 จาก ปริมาณก๊าซเรือนกระจกปกติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในปี 2573 ( ค . ศ . 2030 ) นอกจากนั้น ประเทศไทยกาลังอยู่ในระหว่างการจัดทำยุทธศำสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อย ก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทยในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยคาดการณ์ประเทศไทย จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ในช่วงปี พ.ศ. 2573 – 2583 ( ค.ศ. 2030 – 2040 ) อย่างไรก็ตาม การพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว ยังต้องการการขับเคลื่อนโดยการบูรณาการจาก ทุกภาคส่วนและในทุกระดับของแผนที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สูงขึ้น และสอดคล้องกับกระแสโลก ยังเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย รวมทั้งต้องการแนวท ำงและการขับเคลื่อน อย่างเป็นรูปธรรมและมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในด้านอื่น ๆ 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 10 มีความสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 จานวน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ) การปรับโครงสร้าง ภาคการผลิตและบริการ สู่เศรษฐกิจ ฐานนวัตกรรม ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้น ด้วยการใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้ำงสรรค์ และนวัตกรรม เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม เพื่อการสร้างโอกาสและการกระจาย รายได้สู่ชุมชน เป้าหมายที่ 4 ) การเปลี่ยนผ่าน การผลิตและบริโภค ไปสู่ความยั่งยืน โดยเน้นการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและบริโภค อย่าง มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับขีดความสามารถในการรองรับ ของระบบนิเวศ และเป้าหมายที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

107 นอกจากนี้ หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจห มุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำมีความเชื่อมโยง กับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580 ) โดยสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 3 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคง ในด้านการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ และให้ผลประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ในการอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ขับเคลื่ อนประเทศไทย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมและบริการที่เหมาะสม และสนับสนุน การพัฒนาอุตสาหกรรมและ บริการอย่างยั่งยืน และ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างสัง คมคาร์บอนต่า สนับสนุนการลงทุนในโครงสร้าง พื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนา และใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อลดมลพิษและผลกระทบสิ่งแวดล้อม 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 การเพิ่มมูลค่าจากเศรษฐกิจหมุนเวียน และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จาก เศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มขึ้น สามารถสนับสนุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 1 ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 การบริโภควัสดุในประเทศ มีปริมาณ ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุสาหรับผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (พลาสติก , วัสดุก่อสร้าง , เกษตร - อาหาร) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในปี 2570 เป้าหมายที่ 2 การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 คะแนนดัชนีสมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดย มีคะแนนไม่น้อยกว่า 55 คะแนน ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น โ ดยเป็นป่าไม้ธรรมชาติ ร้อยละ 33 และพื้นที่ป่าเศรษฐ กิจ เพื่อการใช้ประโยชน์ ร้อยละ 12 ของพื้นที่ประเทศ ภายในปี 2570 เป้าหมายที่ 3 การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืน ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 สัดส่วนของการใช้พลังงานทดแทนต่อปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้น มีสัดส่วนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 24 ภาย ในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 การนาขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราการนาขยะกลับมาใช้ใหม่ของประเทศ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของปริมาณขยะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2570 ตัวชี้วัดที่ 3 . 3 ปริมาณขยะต่อหัวในปี 2570 ลดลง จากปี 2560 ร้อยละ 10

108 3 . แผนที่กลยุทธ์

109 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 เพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมและบริการ โดยการพัฒนาสินค้า บริการ และ ตลาดที่สร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาเครื่องมือและกลไก รวมถึงสนับสนุนการวิจัย การใช้องค์ความรู้เพื่อต่อยอดการใช้ วัสดุหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตสู่การเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการตามแนวทางทางเศรษฐกิจ หมุน เวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ นำหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตมาใช้ ผลักดันให้ภาคเอกชน มีการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการใช้ ที่ น้อย ลง ใช้ซ้า นากลับมาใช้ใหม่ และส่งเสริมให้นาหลักการลดของเสียให้เหลือ น้อยที่สุดมาใช้ในขั้นตอนการผลิต และบริการ การใช้พลังงานสีเขียว ส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงกลไกสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจ ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปสู่การลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 สร้างความเชื่อมโยงกับสาขาเศรษฐกิจอื่น ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว โดยสร้างระบบการผลิตที่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ภาคการผลิตต้นน้าจนถึง ภาคการผลิตและ การบริโภคที่เป็นปลายน้ำตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการ จัดทำมาตรฐาน กระบวนการผลิตสินค้าแล ะบริการ ระบบรับรองมาตรฐานสินค้าและบริการ และแนวทางการปฏิบัติตาม หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 5 การใช้เครื่องมือและกลไกในตลาดเงินตลาดทุนและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อการเจริญเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ส่งเสริมมาตรการ ทาง การเงินและการลงทุนสีเขียว ส่งเสริมและสนับสนุนมาตรฐานการรายงานแห่งความยั่งยืน มาตรฐานทางบัญชี ความยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่ อสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ที่ 2 การสร้างรายได้สุทธิให้ชุมชน ท้องถิ่น และเกษตรกร จากเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 เพิ่มรายได้ชุมชนจากแนวทาง ขยะสุทธิเป็นศูนย์ ทั้งจากขยะและวัสดุทาง การเกษตร ส่งเสริมให้ชุมชนนาขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในชุมชนมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ ๆ ที่มีมูลค่า เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้ กับชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับผู้ประกอบการในพื้นที่ ในการนำของเหลือในกระบวนการผลิตมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในชุมชน กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 ส่งเสริมการสร้างรายได้ชุมชนบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ส่งเสริมแนวคิดการสร้างรายได้จากการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม พัฒนาขีดความสามารถ คนในท้องถิ่นให้มีองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สืบทอดอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น พัฒนาระบบ การจัดการสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยว กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 ส่งเสริมแ ละพัฒนาระบบตลาดคาร์บอนและการสร้างรายได้จากการเก็บกัก คาร์บอนในภาคป่าไม้ วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ จัดทำฐานข้อมูลสำหรับการซื้อขายคาร์บอน ได้แก่

110 ข้อมูลการตรวจวัดปริมาณคาร์บอนในการผลิตสินค้าและ บ ริการ การประเมินขีดความสามารถในการกักเก็บ คาร์บอนของภาคป่าไม้ และกิ จกรรมการกักเก็บคาร์บอนอื่น ๆ พัฒนาระบบการรับรองปริมาณการปล่อย และกักเก็บคาร์บอนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และส่งเสริมอำนวยความสะดวกในการเข้าซื้อขาย ในตลาดคาร์บอนของผู้ปล่อยและผู้กักเก็บคาร์บอน กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการขยะอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่ ในระดับชุมชน สนับสนุนการลดและคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบในชุมชน ส่งเสริมให้เกิดกลไกการคัดแยกขยะ ก่อนทิ้งเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการนำมาเป็นวัสดุในการผลิตในชุมชนและเป็นวัตถุดิบ ให้โรงงาน ส่งเสริมการแปรรูปขยะมูลฝอยและวัตถุดิบที่เหลือจากกระบวนการผลิตเป็นพลังงาน สร้างชุมชน ต้นแบบที่มีความสามารถในการคัดแยกขยะและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ โดยใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 5 ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการเรียน รู้ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุน การสร้างชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ตอบรับกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้เกิด การถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ให้ถอดบทเรียนจากชุมชนต้นแบบ รวมทั้งยังเป็นการยกระดับคุณภาพ ชีวิตและสร้างเครือข่ายชุ มชนเพื่อขยายผลต่อไปอย่างยั่งยืน กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 6 พัฒนาระบบและกลไกสร้างแรงจูงใจการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจเพื่อเศรษฐกิจชุมชน สร้างกลไกจูงใจให้มีการปลูกป่าในพื้นที่ที่ถูกทาลายหรือ พื้นที่ว่าง ดาเนินโครงการธนาคารต้นไม้ พัฒนาระบบ ตรวจสอบย้อนกลับการผลิต การแปรรูปและการค้าตลอดห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมไม้ สนับสนุน การศึกษาวิจัย พัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ พัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากไม้ และสร้างมาตรการจูงใจ ในการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ กลยุทธ์ที่ 3 การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด บนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 สร้างฐานทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการผลิตให้เพียงพอและมีการใช้อย่าง มีประสิทธิภาพ มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติโดยคานึงถึงขีดจากัดและขีดความสามารถในการฟื้นตัว สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ดาเนินการประเมินมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธ รรมชาติที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากส่วนเหลือ ของกระบวนการผลิต ให้เกิดประโยชน์ที่ หลากหลายปราศจากเศษเหลือและของเสียจากอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และขยะอาหาร เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ดาเนินการศึกษาวิเคราะห์การไหลของวัสดุ เพื่อบริหารจัดการของเหลือจากการผลิตและการบริโภคอย่าง มีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบกลไกหมุนเวียนใช้ประโยชน์เศษเหลือในภาคอุตสาหกรรม เศษวัสดุการเกษตร ลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นในขั้นตอนก่อนถึงผู้บริโภคและขยะอาหาร รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยง ผู้ประกอบการเศรษฐ กิจหมุนเวียนให้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนปรับปรุงกฎระเบียบ ให้สนับสนุนการนำของเสียจากอุตสาหกรรมที่ยังมีประโยชน์ให้สามารถนำกลับมาใช้ได้

111 กล ยุทธ์ ย่อยที่ 3 . 3 บริหารจัดการกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับศักยภาพทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ บริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน แก้ปัญหาความขัดแย้งด้าน ท รัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กำหนดการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างเหมาะสมกับศักยภาพทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนาและยกระดับ มาตรฐานการบริหารจัดการ พื้นที่ พัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมใน พื้นที่ สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมและกลไกสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ส่งเสริมงานวิจัยเทคโนโลยีและพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนธุรกิจรูปแบบ เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่า นาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และนวัตกรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดของเสียจากกระบวนการผลิต ส่ง เสริมการ พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลและแพลตฟอร์มเสริมสร้างความสามารถในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่า การบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ เชิงนิเวศ การจัดการของเสีย การพัฒนาธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ร ะหว่างธุรกิจและอุตสาหกรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต้นแบบโมเดลธุรกิจ และกลไกความร่วมมือ ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างครบวงจร นาหลักการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมาใช้ประกอบธุรกิจ ส่งเสริม ให้ ผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจตามหลักเศรษฐกิ จหมุนเวียน สร้างธุรกิจใหม่ที่มีการออกแบบสินค้า และบริการที่มีอายุการใช้งานยาวนาน เลือกใช้วัสดุที่สามารถใช้รีไซเคิลได้ ธุรกิจบริการในรูปแบบเช่า หรือจ่ายเมื่อใช้งาน แทนการซื้อขาด ใช้และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลดและหมุนเวียนการใช้ทรัพยากร และเพิ่มมูลค่าของเสีย ส่งเสริมการนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุชนิดเดียว การใช้วัสดุ รอบสอง การอัพไซเคิล มาใช้ในการผลิตและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิม กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 4 ส่ง เสริมเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน ดักจับ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนเงินลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนา เพิ่มมาตรการจูงใจทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ อการขนส่งกักเก็บคาร์บอน กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 5 สร้างความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีกับต่างประเทศ พัฒนาเครือข่ายเพื่อสร้าง ความร่วมมือระหว่างประเทศ ส่งเสริมการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนและพัฒนาองค์ความรู้ด้านนโยบาย ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม ด้านการวิจัย และด้านการนำไปประยุกต์ใช้ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 6 พัฒนาฐานข้อมูล/องค์ความรู้/มาตรฐาน/กฎหมาย/มาตรการ สนับสนุน และสร้างแรงจูงใจ ปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกในทุกภาคส่วน ใช้มาตรการทางการเงินและการคลัง เพื่อสนั บสนุนกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐาน ลดมลพิษ และใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพ พัฒนาระบบฐานข้อมูล องค์ความรู้และแนวปฏิบัติ ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร

112 และหน่วยงานส่วนกลาง ท้องถิ่นและชุมชนในการใช้ทรัพ ยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการก่อมลพิษ และส่งเสริม การถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ที่ 5 การปรับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจและการดารงชีพเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างยั่งยืน กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 สร้างความตระหนักรู้ให้เกิดในสังคม ดาเนินชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ส่งเสริมการสร้างความตระหนัก จิตสานึก ทัศนคติแก่ทุกภาคส่วนให้คานึงถึงความสำคัญของการดาเนินการ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และสังคมคาร์บอนต่า เร่งผลักดันให้มีการนาไปใช้อย่างแพร่หลายในทุกภาคส่วน ส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 สร้างแรงจูงใจ และทัศนคติในการดารงชีวิตของผู้บริโภคเพื่อการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสู่การบริโภคที่ยั่งยืน พัฒนากลไก เครื่องมื อทางเศรษฐศาสตร์ และไม่ใช่เศรษฐศาสตร์เพื่อจูงใจ และกระตุ้น ให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สู่วิถี ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้และมีความโปร่งใส ส่งเสริมแนวปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการรีไซเคิลขยะและบรรจุภัณฑ์ในบ้านเรือน ส่งเสริมการติดฉลากผลิตภัณฑ์ อาทิ ฉลากสีเขียว ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ฉลากพลังงาน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของผู้บริโภค กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 3 ส่งเสริมแพลตฟอร์มเศรษฐกิจแบ่งปันและตลาดสินค้ามือสอง จัดทาระเบียบ ข้อบั งคับ กฎหมายเพื่อส่งเสริมและกำกับดูแล ธุรกิจประเภทเศรษฐกิจแบ่งปัน สร้างและพัฒนาเครือข่าย ความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค สร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เพื่อหมุนเวียนและใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 4 ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและนวัตกรรมประหยัดพลังงานในครัวเรือน พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูลการบริหารจัดการ การผลิตและการใช้พลังงานทดแทน สนับสนุนการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนที่มีป ระสิทธิภาพ ส่งเสริมนวัตกรรมประหยัดพลังงานที่มีราคาที่เหมาะสม และผู้ใช้สามารถจ่ายได้ สร้างการรับรู้และให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยี ที่มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 5 ส่งเสริมการเดิ นทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่ง มวลชน พัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุม ทั่วทั้งประเทศ และส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาดและประหยัดพลังงาน กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 6 ส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญา วัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งเสริมแนวคิดการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระดับชุมชน สนับสนุนการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาต่อยอด การพัฒนาสินค้าและบริการจากนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และยึดการพึ่งพาตนเองเป็นสาคัญ ฟื้นฟู พัฒนา ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์ และรักษาภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของชุมชน

113 หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายถิ่นฐานที่อยู่ และการพัฒนาทางกายภาพได้ทาลายความสมดุล ของสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลก ขึ้นบ่อยครั้ง สำหรับประเทศไทยเผชิญปัญหาภัยธรรมชาติหลากหลายประเภทและบ่อยครั้ง อาทิ พา ยุหมุน เขตร้อน พายุฝนฟ้าคะนอง หรือพายุฤดูร้อน คลื่นพายุซัดฝั่ง ดินโคลนถล่ม อุทกภัย ภัยแล้ง ไฟป่าและหมอกควัน แผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ ข้อมูลจากรายงานความเสี่ยงด้านภูมิอากาศโลก ปี ค.ศ. 2020 ระบุว่า ประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 8 โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เกิดภัยธรรมชาติจำนวนถึง 147 ครั้ง โดยเฉพาะในปี 2547 เกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิซัดถล่มชายฝั่งอันดามันของประเทศไทย ปี 2554 เกิดเหตุ การณ์มหาอุทกภัย และ ปี 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาดความรุนแรง 6 . 3 ที่จังหวัดเชียงราย ขณะเดียวกัน รายงานความเสี่ยงโลกปี 2020 จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในลำดับที่ 90 จากการประเมินทั้งหมด 181 ประเทศ โดยมีค่าดัชนีความเสี่ยงโดยรวมในระดับที่ 3 (ปานกลาง) จากความเสี่ยงทั้งหมด 5 ระดับ โดยในรายละเอียดพบว่า ประเทศไทย มีความล่อแหลม อยู่ในระดับสูง มี ความเปราะบาง อยู่ในระดับปานกลาง อันเนื่องมาจากจุดอ่อน ด้านความสามารถในการปรับตัว อยู่ในเกณฑ์ต่ำ และความสามารถในการรับมือ อยู่ในระดับปานกลาง แม้ว่าความอ่อนไ หวต่อความเสี่ยงจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นภัยที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นประจำตามฤดูกาล สามารถ คาดการณ์ได้ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจก ในชั้นบรรยากาศ ทาให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ส่งผลให้ภัยธรรมชาติที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบันมีแนวโน้ม ที่จะมีระดับความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนประสบภัยธรรมชาติประเภทอื่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และมีภัยบางประเภทที่เกิดขึ้นโดยไม่เลือกช่วงเวลา อาทิ ภัยจากแผ่นดินไห ว คลื่นสึนามิ ซึ่งเป็นสาเหตุสาคัญ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายและความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน และทรัพยากรธรรมชาติ ภัยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยมากที่สุด คือ อุทกภัย โดยในปี 2554 ได้เกิด เหตุการณ์มหาอุทกภัยก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายและค วามสูญเสียกว่า 1 . 4 ล้านล้านบาท (รายงานของ ธนาคารโลก) ส่งผลกระทบถึง 65 จังหวัด และกรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบมากกว่า 13 ล้านครัวเรือน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิต 813 คน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังประสบกับปัญหาน้าท่วมซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังอยู่อย่างสม่าเสมอ โดยในปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่มีปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศมีค่าสูงกว่าปกติมากที่สุดในรอบคาบเวลา 67 ปี ได้สร้าง ความเสียหายมูลค่าถึง 1 , 050 . 3 ล้านบาท มีผู้ได้รับผลกระทบจานวน 3 . 6 ล้านคน ขณะเดียวกัน ประเทศไทย ยังประสบปัญหา ภัยแล้ง อย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในปี 2562 มู ลค่าความเสียหาย จากภัยแล้งสูงถึง 797 . 7 ล้านบาท ผู้ได้รับผลกระทบจานวน 18 . 7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ซึ่งมีมูลค่า ความเสียหายอยู่ที่ 73 . 5 ล้านบาท มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 0 . 06 ล้านคน ภาคเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด จากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เนื่องจากเป็นภาคกำรผลิตที่มีการใช้น้ำในสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณ การใช้น้าทั้งหมดของประเทศ โดยทุกปีจะมีพื้นที่การเกษตรจานวนมากที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจาก

114 อุทกภัยและภัยแล้ง และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นแม้ว่าพื้นที่การเกษตรโดยรวมของประเทศมีแนวโน้มลดลงก็ตาม แต่หา กพิจารณาในมิติของจานวนครัวเรือนเกษตรไทยที่เกือบร้อยละ 40 ยังมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าเส้นความยากจน ของประเทศ อาจสะท้อนให้เห็นได้ว่า ผลกระทบจากอุทกภัยและภัยแล้งในภาคเกษตรมีแนวโน้มที่จะส่งผล ต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ภัยธรรมชาติอื่น ๆ ที่สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ได้แก่ วาตภัย โดยมีสาเหตุ มาจากพายุฝนฟ้าคะนอง พายุฤดูร้อน พายุลมงวง และพายุหมุนเขตร้อน (ดีเปรสชั่น โซนร้อน ไต้ฝุ่น) ซึ่งหากมี กาลังแรงขึ้นอาจก่อให้เกิดอุทกภัย และคลื่นพายุซัดฝั่ง จากตัวเลขล่าสุดของกรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัย ในปี 2562 วาตภัยก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 130 ล้านบาท และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 900 คน ดินโคลนถล่ม ที่มักเกิดขึ้นพร้อมกันหรือเกิดหลังจากน้าป่าไหลหลากอันเนื่องมาจากพายุฝนที่หนักอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันปัญหาดินโคลนถล่มเกิดบ่อยครั้งแล ะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การ ตัดไม้ทาลายป่า การทำการเกษตรในพื้นที่ลาดชัน การทำลายหน้าดิน เป็นต้น นอกจากนี้ ภัยแผ่นดินไหว และสึนามิ ที่แม้เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจานวนมาก โดยเมื่อปลายปี 254 7 มี 6 จังหวัด ได้รับผลกระทบจากภัยคลื่นสึนามิ โดยมีผู้เสียชีวิต 5 , 395 คน บาดเจ็บ 8 , 457 คน สูญหายกว่า 2 , 187 คน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดชายฝั่งอันดามันได้รับความสูญเสียกว่า 30 , 000 ล้านบาท สาหรับภัยแผ่นดินไหว แม้ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนขนาดใหญ่ แต่ยังคงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ ประมาณปีละ 5 - 6 ครั้ง จากแผ่นดินไหวในประเทศพม่า ลาว อินโดนีเซีย และแผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อน ขนาดเล็กลงมาในภาคตะวันตกและภาคเหนือ โดยในปี 2557 เกิดแผ่นดินไ หวขนาด 6 . 3 ซึ่งเป็นครั้งรุนแรงที่สุด ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย มีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณรอยเลื่อนพะเยา ในเขต อ.พาน จ.เชียงราย การจัดการและป้องกันสาธารณภัย มีการวางแนวทางเพื่อบริหารจัดการหรือป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่า งเกิดเหตุ และหลังจากเกิดเหตุจนครบกระบวนการ แม้กระนั้นก็ตาม การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติของหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงมีอุปสรรคและความท้าทาย หลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขีดความสามารถในการจัดการกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรงสูงยังค่อนข้าง จำกั ด และแม้ว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศส่วนใหญ่เป็นภัยซึ่งคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่หน่วยงานให้ ความสำคัญกับมาตรการเชิงรับในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและการฟื้นฟูตามบทบาทภารกิจ ภายใต้งบประมาณที่หน่วยงานได้รับ การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐยังไม่ได้ ให้ความสำคัญกับมาตรการ ในการจัดการเชิงรุก อาทิ การเตรียมความพร้อม การป้องกันและ ลดผลกระทบล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดภัยธรรมชาติ เนื่องจากผลลัพธ์เชิงปริมาณที่เกิดจากมาตรการเชิงรุกค่อนข้างวัดได้ยาก ด้านการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ บางภาคส่วนของสังค มไทยเริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้น แต่การขับเคลื่อนหรือผลักดันมาตรการ ให้เกิดผลยังเป็นไปอย่างล่าช้า ท่ามกลางข้อมูลบ่งชี้ว่า ประเทศไทยมีความล่อแหลม ต่อความเสี่ยงจาก ภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในเกณฑ์สูง ในขณะที่มีขีดจากัดในด้านความสามารถในการรับมือกับภัยและ การปรับตัวต่อสภาวการณ์และความเสี่ยง จึงมีความจาเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องลดความล่อแหลม รวมทั้ง สร้างขีดความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อ ภัยธรรมชาติและ การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นประเด็นการพัฒนาที่สาคัญในช่วงแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 เพื่อลด และป้องกันผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะภายใต้สภาพแวดล้อมที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภู มิอากาศและ

115 ภัยธรรมชาติมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับประเทศเศรษฐกิจหลักให้ความสาคัญกับการสร้าง ความร่วมมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน และนาประเด็นการค้าการลงทุนระหว่าง ประเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจ กมากขึ้น รวมทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย และข้อจากัดทางการคลังที่ทาให้ประชาชนและสังคมไทยมีความเปราะบางต่อผลกระทบจากภัยธรรมชาติและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ เป้าหมายการพัฒนาของหมุดหมายที่ 11 ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จานวน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4 ) การเปลี่ยนผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน และเป้าหมาย ที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลก ใหม่ หากพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ พบว่าเป้าหมายการพัฒนาของหมุดหมายที่ 11 มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 ยุทธศาสตร์ ชำติ ด้านความมั่นคง ในเป้าหมายที่ 2 บ้านเมืองมีความมั่นคงในทุกมิติและทุกระดับ เพื่อบริหารจัดการสภาวะแวดล้อมของประเทศให้ มีความมั่นคง ปลอดภัย และมีความสงบเรียบร้อยในทุกระดับ และเป้าหมายที่ 3 กองทัพ หน่วยงานด้านความมั่นคง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มีความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคง เพื่อให้มีความพร้อม สามารถรับมือกับภัยคุกคามและภัยพิบัติได้ทุกรูปแบบและทุกระดับความรุนแรง ด้านที่ 2 ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ในเป้าหมายที่ 1 ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจ เ ติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ในประเด็นอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ มีเนื้อหาด้านการพัฒนา อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงระบบการเตือนภัย การเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ และการให้ความช่วยเหลือทั้งในระหว่างและหลังเกิดภัยพิบัติ และ ด้านที่ 5 ยุทธศาสตร์ชาติ ด้าน การสร้าง การเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในเป้าหมายที่ 3 ใช้ประโยชน์และสร้างการเติบโต บนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุลภายในขีดความสามารถของระบบนิเวศ โดยสร้างการเติบโต อย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ มุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างสังคมคาร์บอน ต่า ปรับปรุงการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ และการสร้างขีดความสามารถของประชาชนในการรับมือและ ปรับตัวเพื่อลดความสูญเสียและเสียหายจากภัยธรรมชำติและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ และดูแลภัยพิบัติ จากน้าทั้งระบบ โดยมีการจัดระบบการจัดการน้าในภาวะวิกฤติ ให้สามารถลดสูญเสีย ความเสี่ยง จากภัยพิบัติ ที่เกิดจากน้ำ ตามหลักวิชาการให้อยู่ในขอบเขตที่ ควบคุมที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มความร่วมมือ ในเรื่องการจัดการภัยพิบัติในภูมิภาคได้อย่างทั่วถึงและทันการณ์ 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 ความเสียหายและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลดลง ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 จำนวนประชาชนที่เสียชีวิต สูญหาย และได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยธรรมชาติลดลง เมื่อเทียบกับ ค่าเฉลี่ยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ในแต่ละภัย

116 ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ( รวมถึง ความเสียหายที่เกิดกับโครงสร้างพื้นฐานและการหยุดชะงักของการบริการขั้นพื้นฐานที่สาคัญ) ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 จานวน พื้นที่และมูลค่าความเสียหายจากภัยธรรมชาติลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 เป้าหมายที่ 2 ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลดลง ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 มีแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่สาคัญด้านต่างๆ หรือระดับจังหวัดอย่างครอบคลุม เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของ มิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 การมีแผนจัดการป้องกันความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญ ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 การเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ (ครอบคลุมภัยสาคัญ สามารถเชื่อมโยงระดับพื้นที่ ระดับประเทศ และระดับโลก มีความแม่นยำ ทันต่อเวลา และสำมารถเข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้) เป้าหมายที่ 3 สังคมไทย มีภูมิคุ้มกันจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 ชุมชน ท้องถิ่น อาสาสมัคร และเครือข่าย ที่สามารถจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 ภายใน ปี 2570 และมีการจัดฝึกอบรมด้านการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 ระดับความสาเร็จในการสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน และการ มีส่วนร่วมในการส่งข้อมูล จากพื้นที่เกิดภัยเข้าสู่ระบบเตือนภัยส่วนกลาง ตัวชี้วัดที่ 3 . 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีองค์ความรู้ และมีแผนในการจัดการด้านภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวชี้วัด ที่ 3 . 4 ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตร และภัยธรรมชาติ ตัวชี้วัดที่ 3 . 5 มีกองทุนเพื่อสนับสนุนการป้องกันและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ รวมถึงการศึกษาวิจัยและเป็นแหล่งเงินรับประกันภัยต่อ

117 3 . แผนที่กลยุทธ์

118 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การป้องกันและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่สำคัญ 3 กล ยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 ส่งเสริมการใช้มาตรการเชิงป้องกันก่อนเกิดภัยในพื้นที่สาคัญ อาทิ การวางผังเมือง การจัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเป็นระบบ การกำหนดพื้นที่ปลอดภัยจากภัย ทุกประเภท ตลอดจน การ ปรับปรุงมาตรฐานและหลักเกณฑ์ในการออกแบบก่อสร้างอาคารให้ครอบคลุมเรื่องการลดผลกระทบจาก ภัยธรรมชาติการกาหนดรูปแบบและแนวทางการใช้พื้นที่ลุ่มต่าเป็นพื้นที่รับน้านอง ระบบกำรระบายน้าตามผังน้า และการพัฒนารูปแบบของสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ แนวคิดสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ระบุพื้นที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศจำแนกตามประเภทภัย โดยการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแผนที่เสี่ยงภัยของภัย แต่ละประเภท เพื่อจัดทาแผนในการป้องกันและแก้ไขปัญหา บูรณาการความร่วมมือของประชาชน ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการบูรณาการงบประมาณ และมีเจ้าภาพหลักในการดำเนินการตามแผนที่ชัดเจน กลยุทธย่อย ที่ 1 . 3 ทบทวนการจัดสรรงบประมาณ โดยให้ความสาคัญกับมาตรการลดความเสี่ยง และมาตรการเชิงป้องกัน มากกว่ามาตรการเผชิญเหตุฉุกเฉินและฟื้นฟู โดยมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบต้นทุน และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการดาเนินมาตรการเชิงป้องกันและลดความเสี่ยงประกอบการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณโดยให้ความสำคัญกับพื้นที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 4 นา แบบจาลองระดับชาติเพื่อประเมินความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ประเภทต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีแผนแก้ไขปัญหาและเจ้าภาพที่ชัดเจน มาใช้ในพื้นที่ สาคัญ เพื่อใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของมาตรการเชิงป้องกัน ให้สามารถจัดทาแผนบริหารจัดการได้อย่าง เหมาะสม กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนาและเพิ่มศักยภาพประชาชนและชุมชน ในการรับมือกับภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 ส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีความรู้ความเข้าใจตระหนักถึงความเสี่ยง และปรับตัวรับมือผลกระทบจาก ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้ความสำคัญกับ การบูรณาการองค์ความรู้ด้านการจัดการ ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในหลักสูตรการศึกษา ทุกระดับ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ การสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึง รวมทั้งแจ้งเตือนภัย และใช้ประโยชน์ จากข้อมูลเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและชุมชนในการรับมือและปรับตัว ต่อภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 เพิ่มศักยภาพของประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการรับมือ กับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะชุมชนพื้ นที่เสี่ยงและกลุ่มคนเปราะบาง 3 พื้นที่สาคัญ ได้แก่ พื้นที่ชุมชนเมืองและสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่ที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจและประวัติศาสตร์

119 ทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายในการจัดการภัยพิบัติระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับ ชุมชนและภาคประชาชน เพื่อให้ประชาชน และชุมชน สามารถป้องกันและบริหารจัดการผลกระทบ จากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ด้วยตนเองมากขึ้น กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 4 สนับสนุนมาตรการที่ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง ในการบริหารจัดการภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพและรวบรวมจัดหมวดหมู่ กฎหมายที่เกี่ยวข้ องกับการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมมาตรการจูงใจเพื่อรับมือ ภัยธรรมชาติ และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดสร้างระบบประกันภัยและการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการป้องกัน และลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการจัดทำ แผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ กลยุทธ์ที่ 3 การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 สนับสนุนการสร้างบุคลากร นักวิจัย รวมทั้งสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัย ด้านภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง ครอบคลุมประเด็นสำคัญ สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และของประเทศ และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 พัฒนาประสิทธิภาพของระบบเตือนภัย ให้มีความแม่นยำ ครอบคลุม ภัยต่าง ๆ ที่ยังไม่มีระบบเตือนภัยในปัจจุบัน รวมทั้งการจัดทาระบบเตือนภัยในระดับพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับ ระบบเตือนภัยส่วนกลาง โดยให้ความสาคัญกับการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องมือ เทคโนโลยีให้รองรับกับระบบเตือน ภัยในปัจจุบันและสามารถเชื่ อมโยงกับต่างประเทศ ตลอดจนนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการให้ ข้อมูลแจ้งเตือนภัยแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อเวลา และสามารถเข้าถึงกลุ่มเปราะบางได้โดยง่าย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 3 พัฒนาระบบข้อมูลสาหรับการจัดทำแบบจำลองระดับชาติเพื่อประเมินความเสี่ยง และผลกระทบจากภัยธรรมชาติประเภทต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในพื้นที่สำคัญของประเทศไทย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 4 สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการภัยธรรมชาติ และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ที่ 4 การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติระบบนิเวศเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 สร้างจิตสานึกและแรงจูงใจให้ประชาชนทุกระดับอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทางบกและทางทะเล ส่งเสริมและปลูกฝังจิตสานึกให้ทุกภาคส่วนร่วมกันให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 เพิ่มบทบาทภาคประชาชน ชุมชน และภาคเอกชน ในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากำศ และเพิ่ม ศักยภาพการดูดซับและเก็บกักก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะป่าต้นน้า ป่าชายเลน แหล่งน้ำธรรมชาติ และพื้นที่ชุ่มน้ำ

120 กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 3 สนับสนุนการใช้แนวทางธรรมชาติในการจัดการปัญหาภัยธรรมชาติและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน อาทิ การแก้ปัญหาน้าท่วม โดยการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้าที่คอยรับน้า ดักตะกอน การแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำโดยการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ สร้างระบบกักเก็บน้ำย่อยๆ ในระดับท้องถิ่น การปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดิน การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งดั้งเดิมที่เป็นปรากา ร ทางธรรมชาติที่สำคัญ กลยุทธ์ที่ 5 การส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อบริหารจัดการ และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 1 พัฒนากลไกความร่วมมือกับต่างประเทศในการจัดการภัยธรรมชาติและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน อาทิ การบริหาร จัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้าโขง การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยการจัดทา บันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือทางวิชาการด้านการลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภา พ ภูมิอากาศกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกัน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกัน กลยุทธ์ย่อยที่ 5 . 2 แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างประเทศในด้าน ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้มีการจัดการองค์ความรู้ แนวทางปฏิบัติที่ดี จากต่างประเทศมาประมวลและประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทย

121 หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนา แห่งอนาคต 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา การพัฒนากาลังคนของไทยเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สาคัญ ได้แก่ การเป็นสังคมสูงวัย ส่งผลให้ประเทศจะขาดกาลังคนในเชิงปริมาณ ประกอบกับผลิตภาพแรงงานที่ลดลงในช่วงโควิด - 19 เพิ่มปัญหา ด้านกาลังคนเชิงคุณภาพ จนอาจเป็นข้อจากัดในการข ยายตัวทางเศรษฐกิจ การเติบโตของนวัตกรรมแหล่งความรู้ ระดับโลกออนไลน์ที่มีต้นทุนและราคาต่ำ วงจรชีวิตของความรู้สั้นลงโดยเฉพาะด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และแนวโน้มความต้องการเรียนรู้ตามความสนใจรายบุคคล รวมถึงภาคเอกชนที่เริ่มให้ ความสำคัญกับการสรรหาและการจ้างงานตามสมรรถนะในการทางานมากกว่าคุณวุฒิทางการศึกษา อีกทั้ง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ส่งผลต่อวิถีการดารงชีวิตและพฤติกรรมของคน และสะท้อนถึง บทบาทของเครือข่ายภาคประชาสังคมที่มีความเข้มแข็งในการร่ วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ยังขาดการสนับสนุน ที่มีประสิทธิภาพจากภาครัฐ จึงต้องเร่งขยายผลและต่อยอดประเด็นการพัฒนาเพื่อนาไปสู่การพลิกโฉมกาลังคน สมรรถนะสูงที่มีภาวะผู้นาสูง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศได้ การพัฒนาทุนมนุษย์ทุกช่วงวัยที่ผ่า นมาได้มีความพยายามปรับปรุงคุณภาพการศึกษาทุกระดับ ทั้งการยกระดับมาตรฐานการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรม การเรียน รวมถึงการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมที่เป็นแบบอย่าง ด้าน การศึกษา ทำให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระควบคู่ กับมีความรับผิ ดชอบต่อสังคมมากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมภาคีการพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษา และการเรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะการจัดการอาชีวศึกษาและการอุดมศึกษาในหลายรูปแบบ อาทิ การจัดการศึกษา ทวิภาคี สหกิจศึกษา รวมถึงความพยายามในการลดความเหลื่อมล้าทางการศึกษา โดยค้นหาเด็กแล ะผู้เรียน ที่ด้อยโอกาส และจัดสรรเงินอุดหนุนผ่านกลไกของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตลอดจนรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้กำหนดให้รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รวมถึงรัฐพึงให้ความช่วยเหลือ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลให้ มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เอื้อให้การจัดการศึกษามีความคล่องตัวและสอดคล้องกับ ควำมเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น อาทิ พระราชบัญญัติปฐมวัย พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ . ศ . 2562 ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทุนมนุษย์ทุกช่วงวัยยังคงต้องมีการยกระดับการพัฒนาในแต่ละช่วงวัย ได้แก่ เด็กตั้งแต่ในครรภ์ถึงปฐมวัยมีแนวโน้มพัฒนาการดีขึ้น แต่ยังคงต้องสร้างทักษะด้านอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับ พัฒนาการของสมอง รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ได้มาตรฐานมากขึ้น ช่วงวัยเรียน ใน ระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ยังมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาขั้นพื้นฐานต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ของกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียง กัน การเรียนรู้ในระบบยังไม่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งขาดความเชื่อถือในระบบการศึกษา จึงต้องสร้างโอกาสให้ได้รับการพัฒนาความรู้ตามแนวทางพหุปัญญาพร้อมทั้งสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการศึกษา เพื่อสร้างกา รเติบโตของความคิด และการพัฒนาตนเองให้ทาสิ่งใหม่ ๆ ระดับการอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา พบว่าการผลิตกาลังคนยังมีสมรรถนะไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน ถึงแม้ว่า การอาชีวศึกษา

122 จะมีการปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พัฒนารูปแบบการจัดการเรี ยนการสอน เพื่อดึงดูดคนเก่งเข้ามาเรียน อาทิ อาชีวศึกษาฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่ยังมีข้อจำกัดในการเรียนต่อ ในระดับ ปวส. อีกทั้งค่าจ้างที่จ่ายตามคุณวุฒิการศึกษายังไม่สามารถดึงดูดให้มีผู้เรียนเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่ มหาวิทยาลัยประสบปัญหานักศึกษาน้อยลง และมีความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้ การจัดการเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีต้นทุนการ ดำเนินงานต่ำและตอบสนอง ความต้องการได้เป็นรายบุคคล มหาวิทยาลัยจึงไม่สามารถมุ่งเฉพาะกลุ่มนักศึกษาในระบบได้อีกต่อไป ต้องเปลี่ยนเป็นการจัดการศึกษำที่มีคุณภาพ เน้นประสบการณ์สำหรับคนทุกช่วงวัยให้เข้าถึงได้จากทุกที่ และทุกเวลา รวมทั้งมีต้นทุนที่ไม่สูงเกินไปจนเป็นอุปสรรคในการเข้าถึง นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ทาให้ต้องปิดโรงเรียนเป็นเวลานาน มีผลกระทบต่อคุณภาพของผู้เรียนทุกระดับชั้น เกิดภาวการณ์ถ ดถอยของ การเรียนรู้ที่มีแนวโน้มการเกิดขึ้นซ้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัยแรงงาน เผชิญความท้าทายจากการขาดกำลังคนทั้งใน เชิงปริมาณและคุณภาพ โดยเฉพาะความสามารถในงาน หรือขีดความสามารถตามตาแหน่งงาน ทักษะในการใช้ ชีวิต การแก้ปัญหา การมีแนวคิดของผู้ประกอบการมากขึ้น รวม ถึงความสามารถในการบริหารตัวเอง และการบริหารคนเพื่อทำงานร่วมกัน การนำทักษะของสมาชิกทีมที่หลากหลายมาประสานพลังรวมกัน ในการปฏิบัติงานได้อย่างสร้างสรรค์ นอกจากนั้น แรงงานนอกระบบมีสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 52 ของแรงงาน ทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนรูปแบบการทางาน และผู้ที่ทางานอิสระเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นครั้งคราว หรือแรงงานแบบกิ๊ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ที่ต้องสร้างแรงจูงใจให้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ผู้สูงวัย ยังมีศักยภาพในการทำงานและต้องการพัฒนาตนเองหลังเกษียณ การพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อพลิกโฉมประเทศไปสู่การขับเคลื่อนที่ใช้นวัตกรรมเป็นฐาน มีหลายปัจจัยที่สนับสนุน ทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีบทบาทในการเรียนรู้และเสริมสร้าง สมรรถนะมากขึ้น มีสถาบันการศึกษาและแพลตฟอร์มฝึกอบรม จำนวนมาก รวมถึงคนไทยมีความคุ้นเคยกับการใช้ เทคโนโลยีมากขึ้นที่สามารถฝึกอบรมทั้งการฝึกซ้ำและการฝึกยกระดับเพื่อเพิ่มสมรรถนะ อย่างไรก็ตาม ยังขาดระบบฐานข้อมูลอุปสงค์และอุปทานกาลังคนของประเทศ และข้อมูลสมรรถนะที่จาเป็นในการทำงาน ของแต่ละอาชีพ เพื่อการวางแผนจัดกา รเรียนและการอบรม ทั้งนี้ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาคนในสังคมสูงวัยที่มีช่วงชีวิตที่หลากหลาย มากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อระบบการเรียนรู้ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาสมรรถนะให้ได้ตลอดเวลา รวมทั้งสามารถ เชื่อมโยงและเทียบโอน สมรรถ นะ อย่างมีคุณภาพและไร้รอยต่อ ในขณะที่คนไทยยังขาดทักษะชีวิต ในหลายด้าน อาทิ ความรอบรู้ด้านการเงินที่ทาให้บางคนเข้าไปอยู่ในวงจรของหนี้นอกระบบและในระบบ ความรอบรู้ด้านดิจิทัลที่รวม ถึง ความสามารถใน การ รับมือกับข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาด การรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงระบบ นิเวศ ควรเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับประชากรทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพทั้งบนพื้นที่กายภาพ และบนพื้นที่เสมือนจริง ขณะที่กลุ่มเข้าไม่ถึงจะต้องมีมาตรการกาจัดอุปสรรคต่าง ๆ ให้สามารถเข้ามาเรียนรู้ และพัฒนาทักษะได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

123 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกาลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต มุ่งตอบสนองเป้าหมายหลักของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 จำนวน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 2 ) การพัฒนาคน สาหรับ โลก ยุคใหม่ โดยคนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ การพัฒนากาลังคนสมรรถนะสูงสอดคล้องกับ ความต้องการของภาคการผลิตเป้าหมาย สามารถสร้างงานอนาคต และสร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะ ที่มีความสามารถในการสร้างและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้ง เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาส และความเป็นธรรม ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และพัฒนาทางเลือกในการเข้าถึงการเรียนรู้สาหรับผู้ที่ไม่สามำรถเรียนในระบบการศึกษาปกติ นอกจากนี้ หมุดหมายที่ 12 ยังมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติใน 3 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในประเด็นเป้าหมาย ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากร มนุษย์ ในประเด็นเป้าหมาย คนไทยเป็นคนดี คนเก่งมีคุณภาพ พร้อมสาหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และสังคมไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุนต่อการพัฒนาคนตลอด ช่วงชีวิต และ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ในประเด็นเป้าหมาย การ สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้าในทุกมิติ และ การ กระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ และสังคม เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกาลังของการพัฒนาประเทศในทุกระดับ 2 . 2 เป้าหมาย และผลลัพธ์ของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 คนไทยได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย มีสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับ โลกยุคใหม่ มีคุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม มีคุณธรรม จริยธรรม และมีภูมิคุ้มกัน ต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมฉับพลันของโลก สามารถดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ได้อย่างสงบสุข ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 ดัชนีพัฒนาการเด็กสมวัยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88 เมื่อ สิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 1 . 2 ร้อยละของนักเรียนที่มีสมรรถนะ จากการประเมินโปรแ กร มประเมินสมรรถนะนักเรียน มาตรฐานสากล ไม่ถึงระดับพื้นฐานของทั้ง 3 วิชาในแต่ละกลุ่มโรงเรียน ลดลงร้อยละ 8 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 1 . 3 ทุนชีวิตเด็กและเยาวชนไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 1 . 4 จำนวนนักศึกษาที่เข้าร่วมการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบัณฑิตฐานสมรรถนะเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ตัวชี้วัดที่ 1 . 5 ผลิตภาพแรงงาน เพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 1 . 6 จำนวนผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาความยากจนหลายมิติลดลงร้อยละ 20 ต่อปี

124 เป้าหมายที่ 2 กาลังคนมีสมรรถนะสูง สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตเป้าหมาย และสามารถ สร้างงานอนาคต ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของสภาเศรษฐกิจโลกด้านทักษะ คะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อสิ้นสุดแผน ตัวชี้วัดที่ 2 . 2 การจัดอันดับในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถ ของ สถาบัน การจัดการนานาชาติ มีคะแนนเพิ่มขึ้ น ร้อยละ 3 ต่อปี ตัวชี้วัดที่ 2 . 3 จำนวนและมูลค่าของธุรกิจสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้น เป้าหมายที่ 3 ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตัวชี้วัดที่ 3 . 1 การประเมินสมรรถนะผู้ใหญ่ในระดับนานาชาติ ของคนไทยในทุกด้านไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ของประเทศที่เข้ารับการประเมิน ตัวชี้วัดที่ 3 . 2 กลุ่มประชากรอายุ 15 - 24 ปี ที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทางาน หรือไม่ได้ฝึกอบรม ไม่เกินร้อยละ 5 เมื่อสิ้น สุด แผน

125 3 . แผนที่กลยุทธ์

126 4 . กลยุทธ์ การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 คนไทยทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 พัฒนาเด็กช่วงตั้งครรภ์ถึงปฐมวัยให้มีพัฒนาการรอบด้าน มีอุปนิสัยที่ดี โดย 1 ) การเตรียมความพร้อมพ่อแม่ผู้ปกครองและสร้างกลไกประสานความร่วมมือ เพื่อดูแล หญิงตั้งครรภ์ให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพ และดูแลเด็กให้มีพัฒนาการสมวัย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ – 6 ปี 2 ) การพัฒนาครูและผู้ดูแลเด็กปฐมวัยให้มีความรู้และทักษะการดูแลที่เพียงพอ มีจิตวิทยา การพัฒนาการของเด็กปฐมวัย สามารถทางานร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการสมวัยตามหลักการพัฒนาสมองและกระบวนการเรียนรู้แก่เด็ก ควบ คู่กับ การพัฒนาการด้านร่างกาย สาธารณสุข และโภชนาการเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีอย่างรอบด้าน ก่อนเข้าสู่วัยเรียน 3 ) การยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ได้มาตรฐาน และจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับ การดำเนินงาน เพื่อให้เป็นกลไกการพัฒนาเด็กปฐมวัยรายพื้นที่ ที่มีคุณภาพ 4 ) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการดูแลปกป้องเด็กปฐมวัย ให้มีพัฒนาการที่ดี รอบด้าน สติปัญญาสมวัย โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน รวมถึงพัฒนาระบบสารสนเทศเด็กรายบุคคลเพื่อการส่งต่อไปยังสถานศึกษาและการพัฒนา ที่ต่อเนื่อง กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 พัฒนาผู้อยู่ในช่วงวัยการศึกษาระดับพื้นฐานให้มีความตระหนักรู้ในตนเอง มีทักษะดิจิทัลและมีสมรรรถนะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ การดำรงชีวิตและการทำงาน โดย 1 ) การ พัฒนาการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ และขับเคลื่อน สู่การปฏิบัติ เพื่อ ให้ผู้เรียนสามารถ จัดการตนเอง มีความสามารถในการสื่อสาร สามารถรวมพลังทางานเป็นทีม มีการคิดขั้นสูงด้วยการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก และขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติโดยนาร่องกับสถานศึกษาที่มีความพร้อม และมีมหาวิทยาลัยในพื้นที่สนับสนุน ความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ 2 ) การ ยกระดับการอาชีวศึกษา โดยการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ร่วมกับกลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการ และสถาบันอุดมศึกษาสายปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามความต้องการของตลาดงาน มีงานทำและมีรายได้ตามสมรรถนะ และเป็นผู้ประกอบการใหม่ได้ 3 ) การยกระดับการผลิตและพัฒนาครูทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวางแผนจำนวน ความต้องการครูในแต่ละสาขา พัฒนาหลักสูตรการผลิตครูที่มีการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการและด้านทักษะ การจัดการเรียนรู้ การใช้เทคโนโล ยี นวัตกรรมผ่านแพลตฟอร์ม ออนไลน์ต่าง ๆ พัฒนาระบบการคัดกรองที่สะท้อน สมรรถนะวิชาชีพครู ปรับบทบาทของครูจาก “ ผู้สอน ” เป็น “ โค้ช ” ที่อำนวยการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง และมุ่งสู่การยกระดับครูสู่วิชาชีพชั้นสูง

127 4 ) การปรับปรุงระบบวัดและประเมินผู้เรียนให้มีความหลากหลายตามสภาพจริง ตลอดจน มีการประเมินการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล ที่เชื่อมโยง สู่ การทำงานในอนาคต 5 ) การพัฒนาระบบสนับสนุนการเรียนรู้ โดย 1 ) การแก้ไขภาวะการถดถอยของความรู้ในวัยเรียน โดยสถานศึกษาพัฒนาแนวปฏิบัติและระบบสนับสนุนที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน และการเรียนรู้ที่บ้านในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 ) การพัฒนาระบบแนะแนวให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาครู และผู้ประกอบอาชีพแนะแนวให้สามารถร่วมวางแผนเส้นทางการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการดาเนินชีวิต ของผู้เรียนได้ตามความสนใจ ความถนัด 3 ) พัฒนาสถานศึกษา และ สร้างสังคมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างปลอดภัยทั้ง ในสังคมจริง และสังคมเสมือน โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ สร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียน ถึงแนวทางการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข บนหลักของการเคารพความหลากหลายทั้งทางความคิด มุมมองของคนระหว่างรุ่น และอัตลักษณ์ส่วนบุคคล เพื่อกำรวางอนาคตในการพัฒนาประเทศร่วมกัน การส่งเสริมการเรียนรู้วิชาชีวิตในโรงเรียน ให้หลีกเลี่ยงยาเสพติด การพนัน และมีแนวปฏิบัติในการคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะจากการถูกกระทาโดยวิธีรุนแรง ทั้ง ทาง กาย ทาง วาจา และการกลั่นแกล้ง ในรูปแบบต่าง ๆ 4 ) การปรับปรุง ระบบการจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากรทางการศึกษา ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ และอยู่บนหลักความเสมอภาค และเป็นธรรม รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและดิจิทัลให้มีความครอบคลุมในทุกพื้นที่ 5 ) การกระจายอานาจ ไปสู่สถานศึกษาและเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการสนับสนุน การจัดการศึกษา โดยปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ที่เอื้อให้สถานศึกษามีความเป็นอิสระในการบริหาร ด้านการจัดการศึกษา ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ และด้านบุคลากร รวมทั้งขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม ทางการ ศึกษาตามบริบทของโรงเรียนและพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคมในการจัดการเรียนรู้ และการร่วมลงทุนเพื่อการศึกษา 6 ) การส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ โดยพัฒนาระบบเสาะหาและกลไกการบริหารจัดการและส่งเสริมผู้มีความสามาร ถพิเศษตามแนวคิดพหุปัญญา อย่างเป็นระบบ อาทิ การสนับสนุนทุนการศึกษาต่อ ฝึกประสบการณ์ทำงานวิจัยในองค์กรชั้นนา ตลอดจนส่งเสริม การทางานที่ใช้ความสามารถพิเศษอย่างเต็มศักยภาพ 7 ) ผู้มีความต้องการพิเศษได้รับโอกาสและเข้าถึงการศึกษา และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยสถานศึ กษาจัดการศึกษาที่หลากหลายและเหมาะสมเฉพาะกลุ่มให้เป็นทางเลือก แก่ผู้เรียนเพื่อยุติการออกกลางคัน และพัฒนากลไกสนับสนุนรวมถึงการปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์การที่ไม่แสวงหากาไรในการดูแลกลุ่มผู้มีความต้องการพิเศษ อาทิ การวางแนวทาง ให้เอ กชนสามารถจัดตั้งสถานฝึกอบรม หรือมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาผู้ต้องคำพิพากษา 6 ) การเสริมสร้าง คุณธรรม จริยธรรมและเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง รวมถึงการ รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยมไทยให้สอดคล้อง เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นพื้นฐานของสังคมไทย และ เป็น “ ซอฟต์พาวเวอร์ ” ในการสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศไทยและนำเสนอความเป็นไทยสู่สากล

128 กล ยุทธ์ย่อยที่ 1 . 3 พัฒนาผู้เรียน ช่วงวัยการศึกษา ระดับอุดมศึกษาให้มีสมรรถนะที่จำเป็น และเชื่อมโยงกับโลกของการทำงานในอนาคตและการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดย 1 ) ปฏิรูประบบอุดมศึกษาและการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นไปตามอุปสงค์ โดยการจัดสรร งบประมาณตรงสู่ผู้เรียน มีการพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการจัดการศึกษา มาตรฐานการอุดมศึกษา และระบบประกันคุณภาพการศึกษา และส่งเสริมการมีส่วนร่วมรับผิดชอบและระดมทรัพยากรจากภาคเอกชน ในการจัดการศึกษา 2 ) ส่งเสริมบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ในการแก้ปัญหาภาวการณ์ถดถอยของการเรียนรู้ จาก การแพร่ระบาดของโควิด - 19 เชื่อมโยงโลกของการเรียนและการทางานตลอดชีวิตด้วยการจัดการเรียนรู้ ตามความสนใจรายบุคคล สร้างและขยายความร่วมมือในการจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนให้เข้มแข็ง และส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยกลไกนวัตกรรมการศึกษาขั้นสูง เพื่อผลิตกาลังคนตามความต้องการ ของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ พัฒนาคุณภาพการศึก ษาและพัฒนาบุคลากร รองรับการพัฒนาที่เข้าใจบริบทสังคมและชุมชนในท้องถิ่น 3 ) การเชื่อมโยงระบบและกลไกการทำงานวิจัย ของเครือข่ายวิจัยกับศูนย์ความเป็นเลิศ ทั้งใน และ ต่างประเทศ เพื่อรวมนักวิจัยและนักเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าในระดับโลกทางานพัฒนาและต่อยอด งานวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาทางานร่วมกับนักวิจัยและผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้งเพื่อการพัฒนาธุรกิจฐานนวัตกรรม รวมถึง ผลักดันให้สถาบันอุดมศึกษาทางำนวิจัยร่วมกับ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคการผลิตและบริการให้สามารถปรับสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ และ นวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเรียนรู้เทคโนโลยีเสมือน เพื่อการเตรียมพร้อม สำหรับโลกอนาคต กล ยุทธ์ ย่อยที่ 1 . 4 พัฒนาวัยแรงงานให้มีสมรรถนะที่จาเป็นเพื่อการประกอบอาชีพและเชื่อมโยง กับโลกของการทำงานในอนาคต โดย 1 ) ส่งเสริมและกระจายโอกาสในการพัฒนาสมรรถนะให้กับแรงงานทุกกลุ่ม ทั้งการเพิ่มพูน และพัฒนาทักษะความรู้ใหม่ เพื่อให้มีทักษะตรงกับงานและอาชีพที่เปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาทักษะเดิม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทางาน โดยให้สถาบันการศึกษาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานพัฒนาของรัฐ วางแผนสารวจข้อมูลและจัดทำหลั กสูตรระยะสั้น เพื่อพัฒนาทักษะ พื้นฐานและทักษะที่จาเป็นในการทางานและการใช้ชีวิต โดยมีการปรับกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุน การดาเนินการในรูปแบบที่หลากหลายได้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและรูปแบบการทางานในอนาคต และประชาชนควรได้รับเครติตในทักษะอ นาคต เพื่อใช้พัฒนาทักษะในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองและสนับสนุน จากภาครัฐ 2 ) การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ และการเข้าสู่เส้นทางอาชีพ เข้าด้วยกันอย่างเบ็ดเสร็จ และมีหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการพั ฒนาทักษะ สามารถต่อยอดสู่การทางาน และเชื่อมโยงการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีการรับรองมาตรฐาน รวมถึง การเสริมสร้าง ผู้ประกอบการที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตและบริการในพื้นที่

129 3 ) ปรับรูปแบบการทางาน ในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีความคล่องตัวในการทางาน ได้ทุกที่ และสร้างวัฒนธรรมการทางานในทุกองค์กรที่ส่งเสริมให้คนเก่งได้แสดงความสามารถและแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อขจัดปัญหาทุจริตคอ ร์ รัปชันและเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะ สิทธิด้านแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีความมั่นคงและปลอดภัย กล ยุทธ์ย่อยที่ 1 . 5 พัฒนาผู้สูงอายุให้เป็นพลเมืองมีคุณค่าของสังคม โดย 1 ) พัฒนาผู้สูงอายุให้เป็นพลังของสังคม ให้ผู้สูงอายุเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ภูมิปัญญา ที่สั่งสมมาตลอดช่วงชีวิตสู่คนรุ่นหลัง เพื่อให้เกิดการสืบสานและต่อยอดการพัฒนาสังคมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกับคนต่างวัย และส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ทางานตามศักยภาพ รวมทั้งพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ที่ทันสมัย และหลักสูตรระยะสั้น เพื่อพัฒนาความรู้ สมรรถนะทางดิจิทัล ทักษะทางธุรกิจ และการใช้ชีวิต ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม 2 ) พัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยต่อการดาเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ อย่างมีความสุข และการสร้างความ เข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุแก่คนวัยอื่น ๆ รวมทั้งพัฒนา นวัตกรรมรองรับการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 พัฒนากาลังคนสมรรถนะสูง สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิต เป้าหมาย และสามารถสร้างงานอนาคต โดย 1 ) ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนบูรณาการและเชื่อมโยงความร่วมมือด้านการศึกษาฝึกอบรม และร่วมจัดการระบบการเรียนรู้ที่เป็นระบบเปิด และเข้าถึงง่าย รวมทั้งพัฒนาและยกระดับระบบรองรับ และ สภาพแวดล้อมที่สามารถดึงดูดและเก็บรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ตามโลกสมัยใหม่ที่ครอบคลุม ทั้งความสามารถในงาน ทักษะในการใช้ชีวิต สมรรถนะดิจิทัลเพื่อการประกอบอาชีพ การดาเนินชีวิตประจาวัน และการใช้สิทธิในการเข้าถึงบริการพื้นฐานภาครัฐและสินค้าบริการได้อย่างเท่าทัน การแก้ปัญหา การมีแนวคิดของ ผู้ประกอบการ รวมถึงความสามารถในการบริหารตัวเอง และการบริหารคนเพื่อนำทักษะของสมาชิกทีม ที่หลากหลายมาประสานพลังรวมกัน การปฏิบัติงานได้อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้ งกาหนดมาตรการจูงใจ และกลไก การสนับสนุนการฝึกอบรมและร่วมจัดการเรียนรู้ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากรขั้นสูงเพื่อการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงที่สอดคล้องกับ ทิศทางการพัฒนาประเทศ 2 ) พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการ วางแผนและพัฒนากาลังคน ทั้งข้อมูลอุปสงค์ อุปทานของแรงงาน และการเชื่อมโยงกับสมรรถนะตลอดห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่คุณค่าตามรายอุตสาหกรรมของการผลิตและบริการ เป้าหมาย รวมถึงการเชื่อมโยงระบบสมรรถนะกับค่าจ้าง 3 ) กาหนดมาตรการในการผลิตกาลังคนแบบเร่งด่วน โดยจัดการศึก ษารูปแบบจาลองในสาขา ที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ อาทิ ด้านปัญญาประดิษฐ์ ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล

130 กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 2 เพิ่มกาลังคนที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาภาคการผลิตเป้าหมาย โดย 1 ) สร้างกลไกระดับชาติเพื่อรวบรวมกาลังคนที่มีสมรรถนะสูง ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่กาเนิด ในประเทศไทย และสนับสนุนให้ได้แสดงศักยภาพและใช้ความสามารถในการทำประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งในภาครัฐและเอกชน มีรูปแบบการทางานที่เอื้อให้ทางานข้ามพรมแดนกับสถาบันชั้นนาทั้งภาครัฐและเอกชน ในระดับโลกได้ ให้มีการให้ลาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ มาผสานใช้กับการเพิ่มพูนความรู้และศักยภาพของแรงงาน ที่มีสมรรถนะสูง ควบคู่กับสร้างวัฒนธรรมการทางาน วัฒนธรรมองค์กร และสภาพแวดล้อมการทางานที่เอื้อให้ กำลังคนคุณภาพทางานหรือแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่และทำงานอย่างมีความสุข 2 ) ส่งเสริมการนำเข้าผู้เชี่ยวชาญต่างชา ติทักษะสูง โดยกำหนดมาตรการจูงใจเพื่อดึงดูด กลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างชาติให้เข้ามาทำงานด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการดึงนักศึกษาต่างชาติ ที่จบการศึกษาในไทยให้สามารถอยู่ต่อในประเทศเพื่อพัฒนานวัตกรรม กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 3 สร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะที่มีความสามารถในการสร้าง ออกแบบ และใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดกระบวนการผลิตและบริการ การจัดการและการตลาด โดย 1 ) การสร้างและพัฒนาทักษะองค์ความรู้รอบด้านที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจยุคใหม่ โดยการสร้างความเชื่อใหม่ที่ส่งผลต่อการปรั บพฤติกรรม ให้ตระหนักรู้ รับรู้องค์ความรู้ใหม่ ฝึกทักษะ สามารถ นำไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการวางแผนธุรกิจ และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจได้ โดยมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ง่าย กระชับ และรวดเร็ว ตอบสนองการเรียนรู้ที่แตกต่างของแต่ละบุคคลผ่านการเรียนรู้ ในระบบและการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ด้วยเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เป็นเรื่องง่าย รวมถึงการสร้างชุมชน ผู้ประกอบการแบ่งปันการเรียนรู้และแรงบันดาลใจเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง 2 ) ส่งเสริมผู้ประกอบการใ นการสร้างนวัตกรรม เพื่อต่อยอดสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มของ อุตสาหกรรมในอนาคต โดยการสร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้แข่งขันทดลองความคิด ส่งเสริมการลงทุน สำหรับการสร้างนวัตกรรม การจับคู่ทางธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนด้านเงินทุน กลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชี วิต กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 พัฒนาระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดย 1 ) ส่งเสริมให้ภาคส่วนต่าง ๆ สร้างและพัฒนาเมืองเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ และพื้นที่สร้างสรรค์ ที่หลากหลาย ทั้งพื้นที่กายภาพ และพื้นที่เสมือนจริง โดยกาหนดมาตรการจูงใจที่เหมาะสมเพื่อให้สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ สร้างพัฒนาแหล่งเรียนรู้ และพื้นที่สร้างสรรค์ที่มีคุณภาพ มีสาระที่ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ทุ กกลุ่ม ครอบคลุมทุกพื้นที่ เข้าถึงได้ง่ายทั้งพื้นที่กายภาพ และพื้นที่เสมือนจริง เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้ และใช้ประโยชน์ในการพัฒนาและแสดงศักยภาพอย่างสร้างสรรค์ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างค่านิยม และพฤติกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

131 2 ) สร้างสื่อการเรียนรู้ ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยการสร้างสื่อที่ใช้ภาษาถิ่นเพื่อให้ประชาชนที่ไม่ได้ ใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาหลักเข้าถึงได้ สื่อทางเลือกสาหรับผู้พิการทางสายตาและผู้พิการทางการได้ยิน รวมถึง สนับสนุนกลุ่มประชากรที่มีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจให้เข้าถึงสื่อในราคาที่เข้าถึงได้ 3 ) การพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิตของประเทศให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ที่สามารถเชื่อมโยง การเรียนรู้ในทุกระดับและประเภททั้งในระบบสายสามัญ สายอาชีพ การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ตั้งแต่มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา และนอกระบบ เพื่อสร้างความคล่องตัว และเปิดทางเลือก ในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนทุกระดับ 4 ) กาหนดมาตรการจูงใจ ให้ประชาชนพัฒนาตนเองด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยจัดให้มีแหล่งเงินทุนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาทิ การพัฒนาเครดิตการฝึกอบรมสำหรับคนทุกกลุ่ม การจัดสรรสิทธิพิเศษในการเข้ำรับบริการฝึกอบรม การเข้าชมแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ส่งเสริมให้เอกชนที่ผลิต นวัตกรรมทางการศึกษา จัดทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร โดยกำหนดเงื่อนไขการให้ใช้ ผลิตภัณฑ์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 พัฒนาทางเลือกในการเข้าถึงการเรียนรู้สาหรับผู้ที่ไม่สามารถเรียนในระบบ การศึกษาปกติ โดยจัดทำข้อมูลและส่งเสริมการจัดทำแผนการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย ของกลุ่มเป้าหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวางเส้นทางการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อ จุ ดมุ่งหมายในอนาคตของตนเอง และสามารถเทียบโอนประสบการณ์ได้ ทั้งนี้ ให้มีการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในทุกระดับให้มีความเข้าใจและมีสมรรถนะในการพัฒนาผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายพิเศษที่มีความต้องการที่ซับซ้อน

132 หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน 1 . สถานการณ์การพัฒนาที่ผ่านมา ภาครัฐเป็นกลไกหลักกลไกหนึ่งในการดูแลประชาชนให้กินดีอยู่ดี สามารถประกอบอาชีพได้ และขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศ โดยมีหน้าที่และบทบาทสำคัญในการให้บริการประชาชน และการนานโยบายสาธารณะ แผนการพัฒนาประเทศ และกฎหมาย สู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ของภาครัฐในการดาเนินการดังกล่าวจาเป็นต้องอาศัยภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัว ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว สถานการณ์ความไม่แน่นอนและมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ภา ครัฐไทยยังคงมี ข้อจากัดในหลายประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะการที่ โครงสร้างภาครัฐยังมีขนาดใหญ่ มี ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจำนวนมากที่มีการทางาน ซ้าซ้อนกัน ขาดการบูรณาการการทางานร่วมกัน ในขณะ ที่การมีส่วนร่วมของภาคีพัฒนาอื่น ๆ ในการบริการ ภาครัฐยังมีข้อจากัด ส่งผลให้การทางานและการให้บริการของภาครัฐมักเกิดปัญหาความล่าช้า ไม่ตอบโจทย์ ความต้องการของประชาชน การ ให้ บริการไม่ครอบคลุมพื้นที่อย่างทั่วถึง ซึ่งสะท้อนจากมิติด้านความมีประสิทธิผล ของภาครัฐ ของดัชนีชี้วัดธรรมาภิบาลโลก พบว่า ปี 2562 ค่าดัชนีของไทยมีค่าที่ 65 . 87 คะแนน ลดลงจาก 66 . 83 คะแนน ในปี 2561 และน้อยกว่าประเทศสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย รวมถึงการที่ ภาครัฐยัง ขาดการมุ่งเน้น ให้มีการประสานการดำเนินงานกับทุกภาคส่วนเพื่อให้บรรลุเป้าหมา ยร่วมกัน สะท้อนจากสถานการณ์การบรรลุ เป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ยังมีสัดส่วนของเป้าหมายแผนแม่บทย่อยภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ยังอยู่ในสถานการณ์บรรลุเป้าหมายต่ำกว่าค่าเป้าหมาย ณ ปี 2563 เป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 80 . 71 นอกจากนี้ สัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนต่อการลงทุนรวมในการจัดบริการสาธารณะในปี 2563 อยู่ที่ เพียงร้อยละ 10 . 7 เท่านั้น ต่ากว่า ค่าเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ร้อยละ 20 ในปี 2565 ซึ่งรวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการติดตาม ตรวจสอบกา รดำเนินงาน ภาครัฐอาจยังมีข้อจากัด และไม่สามารถ ดำเนินการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อจากัดที่สาคัญอีกประการ คือ การที่ โครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการทางานของหน่วยงานของรัฐ ยังไม่สนับสนุนการทางานรัฐบาลดิจิทัลแบบครบวงจร โดย หน่วยงานของรัฐขาดการจัดเก็บและการเชื่อมโยง ข้อมูล ในรูปแบบดิจิทัลที่เป็นระบบและบูรณาการ ส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลมีความซ้าซ้อน กระจัดกระจาย ไม่มีการจัดกลุ่ม จัดหมวดหมู่ ข้อมูลไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรฐาน ไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่เป็นปัจจุบัน และไม่อยู่ ในรูปแบบที่ พร้ อม ต่อการใช้งานโดยเฉพาะกระบวนการขอใช้ข้อมูลซับซ้อนและใช้เวลานาน รวมถึง ข้อมูลทรัพยากรต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อการพัฒนาประเทศยังขาดการบูรณาการและการบริหารอย่างเป็นระบบ ขาดการนามาวิเคราะห์และใช้งานในการตัดสินใจ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จาก ผลการสารวจ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2563 ซึ่งประกอบด้วย ดัชนีรัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์ ที่ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 57 และมีค่าคะแนน 0 . 7565 เทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่ได้รับการจัดอันดับที่ 11 และมีค่าคะแนน 0 . 9150 ดัชนีการมีส่วนร่วม ทางอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าคะแนน 0 . 7738 ดัชนีทุ นมนุษย์ มีค่าคะแนน 0 . 7751 และดัชนีการให้บริการภาครัฐ ออนไลน์ มีค่าคะแนน 0 . 7941

133 ในขณะเดียวกัน บุคลากรภาครัฐยัง คุ้นชินกับ วิถี การทำงานในรูปแบบเดิม ขาดทักษะด้านดิจิทัล และการคิดสร้างสรรค์ ขาดการสร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้บุคลากรภาครัฐพัฒนาตนเองให้ทันต่อบริบทปัจจุบัน บุคลากรไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ขาดวัฒนธรรมของภาครัฐ และบางกรณีเป็นเหตุผลสาคัญ ในการขัดขวางการนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัด การภาครัฐ ซึ่งปัจจัยสาคัญประการหนึ่ง คือ การที่ ระบบการจ้างงานภาครัฐไม่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งในมิติระบบการสรรหา ค่าตอบแทน การบริหารผลการทางาน ความก้าวหน้าในอาชีพ หรือการประเมินศักยภาพ รวมทั้งวัฒนธรรมองค์กร ที่ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมือ อาชีพ ทำให้ ไม่ ส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐพัฒนาตนเองและเกิดความผูกพันต่อองค์กร ไม่เอื้อให้เกิดกรอบความคิดที่ต้องการจะพัฒนาตนเอง และความผูกพันต่อองค์กร ส่งผลให้ส่วนราชการ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกำลังคนได้เต็มศักยภาพ นอกจากนั้น กฎหมายไทยจานวนมากมีความล้าสมัย ไม่เอื้อต่อการ ทางาน และการปรับตัวของภาครัฐ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึง การอานวยความสะดวกแก่ประชาชนและภาคเอกชน กระบวนการแก้ไข กฎหมายมีระยะเวลานานทาให้ไม่สามารถปรับปรุงกฎหมายให้รองรับการเปลี่ยนแปลงและ ขาดกำรนาเครื่องมือ และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการแก้ไขปรับปรุง พัฒนา กฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมาย ขาดฐานข้อมูล ด้านกฎหมายของประเทศ เพื่อรองรับการเข้าถึงกระบวนการของกฎหมาย ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ในการกาหนดกฎหมาย ขาดความตระหนักถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและผลที่จะได้รับอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ เกิด ความไม่เท่าเทียมกันของการบังคับใช้กฎหมา ย โดยสะท้อนได้จากประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ของ ประเทศไทย เทียบเคียงจากมิติด้านการบังคับใช้กฎหมายของดัชนีนิติธรรม พบว่า ในปี 2563 ประเทศไทย มีคะแนน 0 . 47 คะแนน จัดอยู่ลำดับที่ 83 จาก 128 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ คะแนนในการบังคับใช้กฎหมาย ของ ประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง อย่างต่อเนื่อง จาก 0 . 50 คะแนนในปี 2561 เป็น 0 . 48 คะแนนในปี 2562 และ 0 . 47 คะแน น ในปี 2563 2 . เป้าหมายการพัฒนา 2 . 1 ความเชื่อมโยงของหมุดหมายกับเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ชาติ ภาครัฐจาเป็นต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวเพื่อลดช่องว่างของการปฏิบัติงานให้มีศักยภาพที่เหมาะสม ในฐานะที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศบนหลักการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ คือ การปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภาครัฐ โดยนำหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการและ การแสวงหา ประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการที่มุ่งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศ โดยมีประเด็นที่ต้องดาเนินการ เพื่อรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความสามารถของภาครัฐ ประกอบด้วย 1 ) พัฒนาการให้บริการ ภาครัฐที่ตอบโจทย์ สะดวก ประหยัด แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม 2 ) ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการและโครงสร้างของภาครัฐ ให้ยืดหยุ่น เชื่อมโยง เปิดกว้าง และมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ 3 ) ปรับเป ลี่ยนภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่ใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาประเทศ และสร้าง ระบบบริหารจัดการ และ 4 ) การสร้างระบบบริหารภาครัฐที่ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนและพัฒนาบุคลากร ให้มี ทักษะที่จำเป็นในการให้บริการภาครัฐดิจิทัลและปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ มาตรการภา ครัฐให้เอื้อต่อ การพัฒนาประเทศ ซึ่งตอบสนองต่อเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จานวน 2 เป้าหมาย ได้แก่

134 เป้าหมายที่ 3 ) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดยมีบริการสาธารณะทั่วถึง เท่าเทียม และ เป้าหมายที่ 5 ) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลง ภายใต้บริบทโลกใหม่ การพัฒนาตามหมุดหมายฯ จะสามารถส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติใน 4 ด้าน ได้แก่ 1 ) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ในประเด็นเป้าหมาย ประชาชนอยู่ดี กินดี และมี ความสุข 2 ) ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ใน 2 ประเด็นเป้าหมาย คือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน และประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น 3 ) ยุทธศาสตร์ ชาติ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ใน 2 ประเด็นเป้าหมาย คือ สร้างความเป็นธร รม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ และเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งตนเอง และการจัดการตนเองเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ 4 ) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบ การบริหาร จัดการภาครัฐ 2 ประเด็นเป้าหมาย คือ ภาครัฐมีวัฒนธรรมการทางานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส และภาครัฐมีขนาดที่เล็กลง พร้อมปรับตัว ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ หมุดหมายที่ 13 ยังมีค วามเชื่อมโยงกับเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติใน 4 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ 17 ความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคม ประเด็นที่ 20 การบริการ ประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประเด็นที่ 22 กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 2 . 2 เป้าหมาย ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายของการพัฒนาระดับหมุดหมาย เป้าหมายที่ 1 การบริการภาครัฐ มีคุณภาพ เข้าถึงได้ ตัวชี้วัดที่ 1 . 1 ความพึงพอใจในคุณภาพการให้บริการของภาครัฐ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เป้าหมายที่ 2 ภาครัฐที่มีขีดสมรรถนะสูง คล่องตัว ตัวชี้วัดที่ 2 . 1 ผลการสำรวจรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ในองค์ประกอบ ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ดัชนีการมีส่วนร่วม ทางอิเล็กทรอนิกส์ ดัชนีทุนมนุษย์ และดัชนีการให้บริการภาครัฐออนไลน์ ไม่ เกิน อันดับที่ 40 ของโลก และมีคะแนนไม่ต่ำกว่า 0 . 82

135 3 . แผนที่กลยุทธ์

136 4 . กลยุทธ์การพัฒนา กลยุทธ์ที่ 1 การ พัฒนา คุณภาพ การให้บริการภาครัฐที่ตอบโจทย์ สะดวก และ ประหยัด กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 1 ยกเลิกภารกิจการให้บริการที่ สามารถ เปิดให้ภาคส่วนอื่น ให้ บริการ แทน โดยยกเลิกภารกิจการให้บริการของภาครัฐที่ มีต้นทุนสูง เมื่อเทียบกับเอกชน หรือไม่มีความจาเป็นที่ภาครัฐ ต้องดำเนินการ โดยพัฒนากลไกและ สร้างแรงจูงใจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน วิสาหกิจเพื่อสังคม องค์การนอกภาครัฐ และภาคีการพัฒนาอื่น ๆ เข้ามาดาเนินการหรือ ร่วมดาเนินการ ในลักษณะนวัตกรรมการให้บริการ ในการ ตอบสนองความต้องการของ ประชาชนและการพัฒนาประเทศ ที่มีการร่วมรับผลประโยชน์และความเสี่ยงในการดำเนินการ กลยุทธ์ย่อยที่ 1 . 2 ทบทวนกระบวนการทางานของภาครัฐควบคู่กับ พัฒนาการบริการ ภาครัฐ ในรูปแบบดิจิทัล แบบเบ็ดเสร็จ โดย ปรับเปลี่ยน กระบวนการทำงานของภาครัฐจากการควบคุมมาเป็นการกากับ ดูแล หรือเ พิ่ม ความสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะ ขั้นตอน การ อนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ พร้อมทั้ง ปรับ กระบวนการ ทำงานภาครัฐโดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและ ให้มีการเชื่อมโยงการให้บริการระหว่างหน่วยงานให้เกิดการทางาน แบบบูรณำการ โดย กาหนดเป้าหมาย การบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จในทุกบริการ ที่ภาครัฐ ยังต้องดาเนิ น การ ให้เกิด การบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ระดับนโยบาย แผนงบประมาณ กาลังคน และ การติดตามประเมินผล ให้เป็นเอกภาพและมุ่ง สู่ เป้าหมายร่วมกัน กล ยุทธ์ที่ 2 การ ปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการและโครงสร้างของภาครัฐให้ยืดหยุ่น เชื่อมโยง เปิดกว้าง และมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 2 . 1 เร่ง ทบทวนบทบาทภาครัฐและ กระจายอานาจการบริหารจัดการ ภาครัฐ โดย ปรับบทบาทและภารกิจใหม่ให้รองรับแนวทางการพัฒนาประเทศและสถานการณ์ในอนาคต ส่งเสริม การกระจายอานาจ การบริหารจัดการภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างภาครัฐ อัตรากาลัง งบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ให้เกิดความยืดหยุ่น คล่องตัว มีประสิทธิภาพในการบริหารของส่วนราชการและจังหวัด และ แก้ไข ปรั บ ปรุง พัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ ให้เอื้อต่อการกระจายอานาจของส่วนราชการและการบูรณาการ การทางานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพพร้อมรับ ภารกิจจากส่วนกลางไปดาเนินการได้ ทั้งนี้ ควรมีการกาหนดกลไกที่สามารถให้หน่วยงานของรัฐสามารถ ปรับเปลี่ยนการทางานหรือสร้างนวัตกรรมโดยไม่ติดอยู่ภายใต้กรอบเงื่อนไขของกฎระเบียบเดิมโดยเร็ว เป็นอันดับแรก กลยุ ทธ์ย่อยที่ 2 . 2 สร้างความ โปร่งใส และธรรมาภิบาลภาครัฐ โดยเปิดเผยข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ต่าง ๆ ให้ประชาชน องค์กร เครือข่าย และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมในการให้ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และตรวจสอบการดาเนินงานของหน่วยงานรัฐผ่านช่องทางการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันที่หลากหลาย มีการบูรณาการการบริหารจัดการและนาไปประกอบการตัดสินใจของหน่วยงาน ของรัฐในการแก้ปัญหาและการพัฒนาร่วมกัน เพื่อลดการทุจริตคอร์ รัป ชัน กลยุทธ์ที่ 3 การ ปรับเปลี่ยนภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่ใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 1 ปรับเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐทั้งหมดให้เป็นดิจิทัล โดยจัดทำข้อมูลสำหรับ การบริหาร จัดการทรัพยากร ของประเทศ ทั้งในด้านงบประมาณ ทรัพยากรบุคคล และ ข้อมูล อื่น ของหน่วยงานของรัฐทั้งหมด อย่างบูรณาการให้เป็นดิจิทัลที่มีมาตรฐาน ถูกต้อง ปลอดภัย พร้อมใช้งาน มีการจัดเก็บที่ไม่ซ้าซ้อน ไม่เป็นภาระ

137 กับผู้ให้ข้อมูล มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐกับภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและการบริการภาครัฐให้สอดคล้องกับบริบท การพัฒนา ได้ อย่างเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นต่อสาธารณะในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ เร่งพัฒนาระบบที่บูรณาการข้อมูลสำหรับการบริหารจัดการทรัพ ยากรภาครัฐ ในภาพรวมที่สำคัญต่อการตัดสินใจในเชิงนโยบายให้แล้วเสร็จเป็น ลำ ดับแรก กลยุทธ์ย่อยที่ 3 . 2 ปรับเปลี่ยนกระบวนการทางานภาครัฐเป็นดิจิทัล โดย ออกแบบกระบวนการ ทำงานใหม่ ยกเลิกการใช้เอกสารและขั้นตอนการทำงานที่หมดความจำเป็นหรือมีความจำเป็นน้อย นาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการทางาน ตั้งแต่การวางแผน การปฏิบัติงาน และการติดตาม ประเมินผล โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนและผู้ประกอบการให้มีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว มีช่องทาง และรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายที่สอดคล้องกับการทำงานแบบดิจิทัล กล ยุทธ์ที่ 4 การ สร้างระบบบริหารภาครัฐที่ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนและพัฒนาบุคลากร ให้มีทักษะที่จำเป็น ในการให้บริการภาครัฐดิจิทัล และปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ มาตรการภาครัฐให้เอื้อต่อการพัฒนา ประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 1 ปรับระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐเพื่อดึงดูดและรักษา ผู้มีศักยภาพมาขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดย ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงแผนกลยุทธ์องค์กร และกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลที่สามารถดาเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง โดยจะต้องทบทวนแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อให้ภาครัฐมีขนาดและต้นทุนที่เหมาะสม ตลอดจน ปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานที่สามารถถ่ายโอนภารกิจมาเป็นตำแหน่งงานหลักที่มีความจำเป็น ต่อการพัฒนาประเทศ อีกทั้งปรับปรุงรูปแบบการจ้างงานภาครัฐให้หลากหลาย ยืดหยุ่น ครอบคลุม การจ้า งงานในรูปแบบสัญญา หรือรูปแบบการทางานไม่ตลอดชีพมากขึ้น และ ลดการจ้างงานแบบตลอดชีพ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อบริบทและเงื่อนไขการจ้างงานในปัจจุบันและดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถ เข้ามาปฏิบัติงานในภาครัฐเพื่อผลักดันภารกิจได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้ง ให้ความสาคัญ กับกา รสร้างพื้นที่นวัตกรรม รูปแบบการจ้างงานเพื่อให้การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรม และเหมาะสม รวมทั้ง ส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัลแบบองค์รวม ตลอดจนพัฒนาทัศนคติ จริยธรรม องค์ความรู้ และทักษะ พร้อมทั้งพัฒนาระบบการประเมินผลบุคลากร ภาครัฐที่สามารถส่งเสริมและสะท้อนศักยภาพในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับองค์กร ระดั บทีม และระดับบุคคล ตลอดจนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ที่สามารถยกระดับการใช้ทรัพยากรบุคคลทุกคนให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ กลยุทธ์ย่อยที่ 4 . 2 ยกเลิกกฎหมายที่หมดความจาเป็น และพัฒนากฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา ประเทศ ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยภาครัฐต้องให้ความสำคัญ กับการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง การปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้อำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน และประชาชนในการพัฒนา และปฏิรูปกฎหมาย ให้ มีเป้าหมาย ที่ วัดได้ในการ สร้าง ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีการทางานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดกระบวนการ ทำงานที่รวดเร็ว เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และอำ นวยความสะดวกแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งกาหนดให้มีหน่วยงานกลางดาเนินการเร่งรัดการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ที่ ล้าสมัย ยกเลิกกฎหมาย ที่หมดความจำเป็น ซ้าซ้อน หรือเป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงานและการปรับตัวให้ทันการณ์ของภาครัฐ

138 โดยเฉพาะกฎหมายที่ขัดกับการพัฒนารัฐบาล ดิจิทัลในทุกระดับและกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจสอบ การดำเนินการของภาครัฐที่ต้องมุ่งเป้าร่วมกันในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งจัดให้มีการพัฒนาและบูรณาการ ฐานข้อมูลกลางด้านกฎหมายของประเทศที่มีความปลอดภัยสูง สะดวก เข้าถึงได้ง่าย จำแนกประเภท ตามการใช้งานของผู้ใช้บริกา ร

139 ส่วนที่ 5 การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ

140 การบรรลุเป้าหมายของ แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ต้องอาศัย การ ดำเนินงานจากทุกภาคส่วน ที่เชื่อมประสานกันอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการขับเคลื่อนที่สามารถ ถ่ายทอด เป้าหมาย และกลยุทธ์ของแผนไปสู่การดำเนินงานในระดับมาตรการ แผนงาน และโครงการ ได้อย่าง สอดคล้อง เชื่อมโยง และ สามารถ สะท้อนถึงเป้าหมายการ พัฒนาได้อย่างแท้จริง รวมถึงการผลักดันให้เกิดการทำงาน อย่างบูรณาการในประเด็นการพัฒนาที่ครอบคลุมภารกิจของหลายหน่วยงาน และ การประสานความร่วม มือ กับภาคส่วนอื่น ๆ ที่เป็น ภาคีการพัฒนา เพื่อผนึกกำลังในการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาให้สัมฤทธิ์ผล ในขณะเดียวกัน การ ขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้ประสบผลสาเร็จยังต้องอาศัย กลไกการจัดสรร งบประมาณที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจน กระบวนการติดตามประเมินผล ที่มีประสิทธิภาพและ อยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม เพื่อสนับสนุนให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการ ปรับ ปรุง แผนงานและวิธีการดาเนินงานให้สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ การ ขับเคลื่อนแผน สู่การปฏิบัติ บรรลุผลสาเร็จ และสนับสนุนการพัฒนาให้ บรรลุตามวิสัยทัศน์ “ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ” ต่อไป 5 . 1 หลักการ ขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ 5 . 1 . 1 การใช้ วงจรกำ รบริหำ รงำ นคุณภำ พเป็นกรอบแนวทำ ง เพื่อให้เกิด กระบวนการทางาน ที่เป็นระบบและมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมการดาเนินงาน 4 ขั้นตอนที่มีความเชื่อมโยง กัน ได้แก่ การวางแผน การ ปฏิบัติตามแผน การ ติดตาม ตรวจสอบ ประเมิน ผลการดำเนินงาน และการปรับปรุง แก้ไขการดำเนินงานตามผลการตรวจสอบ 5 . 1 . 2 การมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ โดยให้ความสำคัญกับการ วัดผล สาเร็จของ การ ดำเนิน งาน ด้วยเป้าหมาย ตัวชี้ วัด และค่าเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในทุกกระบวนการ ของ วงจรการบริหารงานคุณภาพ 5 . 1 . 3 การผสมผสานกลไกในหลากหลายมิติ ทั้ง กลไกในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างปัจจัย ที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมาย พร้อมทั้งมีการจัดลำดับการดำเนินงานตามความสำคัญ และความเร่งด่วน กลไกตามภารกิจ ที่เป็นการดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามกฎหมาย และความเชี่ยวชาญของหน่วยงาน และ กลไกในเชิงพื้นที่ ที่เป็นการแปล งแผนพัฒนาฯ ไปสู่การปฏิบัติ ผ่านการมองภาพเชิงองค์รวมในระดับภาคและจังหวัด โดยคำนึงถึงความ สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคม ของพื้นที่ 5 . 1 . 4 การดำเนินงานโดยอาศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการยอมรับ และลดข้อจำกัดที่เกิดจากการดาเนินงานโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรือการดาเนินงานโดยภาครัฐ แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยให้ความสาคัญกับการดำเนินงานที่เชื่อมประสานกันและมีเป้าหมายร่วมกัน

141 5 . 2 แนวทางการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ กระบวนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สู่การปฏิบัติ 5 . 2 . 1 กลไกการขับเคลื่อน กลไกการขับเคลื่อน ประกอบด้วยการดำเนินงานผ่านกลไก สอง ส่วนที่คู่ขนานกัน ได้แก่ กลไกการบูรณาการ แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นกลไกที่มีจุดมุ่งหมายในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการทางานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและการสร้าง ความร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ และ กลไกตามภารกิจ รว ม ถึง กลไกในระดับพื้นที่ ซึ่งเป็น การขับเคลื่อนผ่าน การดำเนินงานตามภารกิจประจำของหน่วยงานและการดำเนินงานในระดับ พื้นที่ โดยสาระสำคัญ ของการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผ่านกลไกทั้งสองส่วน มีดังนี้ 1 ) กลไกการบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ เป็นกลไกการดาเนินงานในเชิงยุทธศาสตร์ ที่มุ่งเน้นให้เกิดการบูรณาการการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ เชื่อมโยงการทางาน กับคณะกรรมการระดับชาติที่มีอยู่ รวมถึง สร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนระหว่างภาครัฐกับภำคส่วนอื่น ๆ ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ประชาชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ การขับเคลื่อนหมุดหมายต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายได้ตามที่กาหนดอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะ ให้ความสาคัญกับ การจัดทาหรือขับเคลื่อนมาตรการ แผนงาน และโครงการ ที่มีความสาคัญในระดับสูงต่อการบรรลุ เป้าหมายของแต่ละหมุดหมาย โดยเฉพาะการดำเนินงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลาย หน่วยงาน การดำเนินงานที่เป็นการริเริ่มขึ้นใหม่ หรืออยู่นอกเหนือจากภารกิจปกติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กลไกนี้จะมีบทบาทในการกากับและติดตามควา มก้าวหน้าในการดำ เนินงาน รวมถึงให้ข้อเสนอแนะ แก่หน่วยงานในระดับปฏิบัติ

142 2 ) กลไกตามภารกิจ เป็นการ เชื่อมโยงการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน ให้สามารถสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 โดยหน่วยงานภาครัฐพิจารณา ดาเนินการจัดทาแผนระดับที่ 3 มาตรการ แผนงาน และโครงการ ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สู่การปฏิบัติ ผ่านกลไกของหน่วยงานที่เป็นภาคีการพัฒนาต่าง ๆ 3 ) กลไกในระดับพื้นที่ โดยจัดทาแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนาจังหวัด และแผนระดับพื้นที่ ต่าง ๆ ให้สนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในการกาหนดแนวทางการพัฒนาและแผนงาน โครงการที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 และแผนระดับที่ 2 อื่น ๆ พร้อม กับ การ แก้ปัญหาของพื้นที่และการพัฒนา พื้นที่ โดยสอดคล้องกับศักยภาพ ตลอดจนสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย ของยุทธศาสตร์ชาติ 5 . 2 . 2 กลไกงบประมาณ กลไกงบประ มาณเป็นเครื่องมือสา คัญในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้สามารถ บรรลุผลสัมฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประกอบด้วย 1 ) การบูรณาการ การขับเคลื่อน แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เข้ากับการจัดทางบประมาณ รายจ่ายประจำปี เพื่อให้ระบบงบประมาณสามารถสนับสนุนการบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยผนวก ประเด็นการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่ต้องมุ่งเน้นในแต่ละปี เข้ากับยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณ 2 ) การสนับสนุนให้หน่วยงานในระดับพื้นที่สามารถบริหารจัดการงบประ มาณได้ อย่างยืดหยุ่น และสอดคล้องเชื่อมโยงกับ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสา คัญ ที่เหมาะสมกับบริบท ศักยภาพ และความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง 3 ) การส่งเสริม การดาเนินงานของภาคีการพัฒนาต่าง ๆ โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุน ในภาคการผลิตและบริการเป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รวมถึง ดำเนินงานในกิจกรรมการพัฒนาที่เอกชนมีความเชี่ยวชาญ ภายใต้การกำหนดมาตรฐานและ การกากับดูแลที่โปร่งใส และสามารถสนับสนุน ให้การลงทุน เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผ ลสูงสุด 5 . 2 . 3 การเสริมสร้างบทบาทของทุกภาคส่วนในการร่วมขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยสนับสนุนการประสานกาลังของ “ บวร ” ( บ้าน วัด โรงเรียน) ซึ่งครอบคลุมถึงชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ศาสนสถาน สถาบันทางศาสนา บุคลากรและองค์กรทางการศึกษา อาสาสมัคร จิตอาสา และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อแปลงกลยุทธ์ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ไปสู่การ ร่วม แก้ไขปัญหา และการพัฒนา อย่างมีส่วนร่วม ของชุมชนท้องถิ่น รวมทั้ง สร้าง แพลตฟอร์มหรือ ช่องทางให้ ทุกภาคี มีโอกาส แสดงความคิดเห็น เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนา ของชุมชน และร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่ น และหน่วยงานในระดับพื้นที่อื่น ๆ ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูให้ชุมชนเข้มแข็ง และสนับสนุนให้ชุมชนเป็นกำลังที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ตลอดจนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผ่านการ เสริมสร้างความร่วมมือกับประชาคมและองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ ประเด็น การพัฒนา ที่มีความ สำ คัญ ในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค

143 5 . 3 การติดตามและประเมินผล การ ติดตาม และประเมินผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ครอบคลุมทั้งการติดตามประเมินผล ในระดับของแผนงานและโครงการ โดยเฉพาะแผนงานและโครงการ ที่มีความสาคัญในระดับสูงต่อการบรรลุ เป้าหมายของแต่ละหมุดหมาย เพื่อ ส่งข้อมูลย้อนกลับให้แก่หน่วยงาน และภาคีการพัฒนา ที่เกี่ยวข้องนาไปทบทวน และปรับปรุงแผนและวิธีการดาเนินงานให้เป็นไ ปตามเป้าหมาย รวมไปถึงการวัดผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนา ในภาพรวมของหมุดหมายและเป้าหมายหลักตามตัวชี้วัดที่กาหนดไว้ในแผน ทั้งนี้ ในการติดตามและประเมินผล ในทุกระดับต้องผลักดันให้มีการบูรณาการและการมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความโปร่งใส โดยการ ติดตาม และประเมินผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ประกอบด้วยการดาเนินงานใน 3 ส่วน ดังนี้ 5 . 3 . 1 การติดตามความก้าวหน้า เป็นการติดตามประเมินผลในระหว่างที่แผนงานโครงการต่าง ๆ อยู่ระหว่างการดาเนินการ เพื่อตรวจติดตามว่า การดาเนินการ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย กรอบระยะเว ลา และ การ สำรวจ ปัญหาอุปสรรค ที่อาจส่งผลให้การดำเนินการล่าช้าและไม่สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่กาหนด โดยอาศัยกลไกและหน่วยงานในทุกระดับที่มีภารกิจในการติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ อาทิ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ผู้ตรวจราชการในระดับต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่าน การบูรณาการการทางานร่วมกัน และจัดให้มีการรายงานผลการติดตาม และประเมิน ผล ต่อกลไกการบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม 5 . 3 . 2 การประเมินผลสัมฤทธิ์ เป็นการประเมินผลว่าแผนงานและโครงการที่ดาเนินกา รแล้วเสร็จ สามารถบรรลุเป้าหมาย ผลผลิต และผลลัพธ์ตามที่กาหนดไว้มากน้อยเพียงใด รวมถึงการประเมินความสำเร็จ ตามตัวชี้วัดในระดับของหมุดหมายและเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ทั้งในระหว่างและหลังจากสิ้นสุด ระยะเวลาของ แผน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานในส่วนกลาง และ หน่วยงานในระดับพื้นที่ รายงาน ความก้าวหน้าและ ผลสัมฤทธิ์การดาเนินงาน ตามแผนปฏิบัติราชการ ในระบบติดตามและประเมินผล แห่งชาติ โดยแสดงผลให้เห็นถึงการบรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เพื่อนาไปสู่กระบวนการประมวลข้อมูล และนาเสนอผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ในภาพรวม ของการขับเคลื่อน แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ต่อ กลไกการบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดย เผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ พร้อมทั้งจัดให้มีช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 5 . 3 . 3 การประเมิน ผลกระทบ เป็น การศึกษาวิเคราะห์ถึง การเปลี่ยนแปล งในทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดเนื่องมาจากการดาเนินงานที่สำคัญภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ทั้งการเปลี่ยนแปลง ในระดับมหภาค การเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ กลุ่มเป้าหมาย ตลอดจน ความสามารถในการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ