คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 24/2565 เรื่อง ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะส่วนที่เป็นการกำหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจากเพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสอง และวรรคสาม หรือไม่ [ระหว่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 24/2565 เรื่อง ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะส่วนที่เป็นการกำหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจากเพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสอง และวรรคสาม หรือไม่ [ระหว่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย ศาลรัฐธรรมนูญ คําวินิจฉัยที่ 24/2565 เรื่องพิจารณาที่ 12/2565 วันที่ 28 เดือน ธันวาคม พุทธศักราช 2565 ผู้ตรวจการแผนดิน - เรื่อง ผู้ตรวจการแผนดินเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) วา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะสวนที่เป็นการกําหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยโดยอาศัย เหตุอื่นนอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี มีปญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม หรือไม่ ผู้ตรวจการแผนดิน (ผู้รอง) เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ขอเท็จจริงตามคํารองและเอกสารประกอบคํารอง สรุปได้ดังนี้ ระหวาง ผู้ถูกรอง ผู้รอง ้ หนา 13 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
นายจิรัฏฐ รุงอุทัย ยื่นหนังสือรองเรียนขอให้ผู้รองเสนอเรื่องพรอมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นําเหตุที่จะออกหมายจับ ตามมาตรา 66 มาใชบังคับกับเหตุออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจําเลยโดยอนุโลม โดยมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) บัญญัติเหตุในการออกหมายจับจะออกหมายจับได้เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใด นาจะได้กระทําความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจําคุกอยางสูงเกินสามป หรือมีเหตุอันควรเชื่อวาจะไปยุงเหยิง กับพยานหลักฐาน หรือกอเหตุอันตรายประการอื่น เป็นการบัญญัติเหตุที่จะออกหมายขังโดยอาศัยเหตุอื่น นอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 29 วรรคสาม สวนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3) (4) (6) และ (7) บัญญัติให้การวินิจฉัยคํารองขอให้ปลอยชั่วคราวของเจ้าพนักงานหรือศาล จะต้องพิจารณาถึงความหนักเบาแห่งขอหา พยานหลักฐาน พฤติการณ ความเชื่อถือผู้รองขอประกัน หรือหลักประกัน ความนาจะเป็นในการหลบหนี ความเสียหายที่จะเกิดจากการปลอยชั่วคราว และคําคัดคาน ของบุคคลที่เกี่ยวของ และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) บัญญัติวาเหตุการสั่ง ไม่ให้ปลอยชั่วคราวจะกระทําได้เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อวาผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปยุงเหยิงกับพยานหลักฐาน จะไปกอเหตุอันตรายประการอื่น ผู้รองขอประกันหรือหลักประกันไม่นาเชื่อถือ หรือการปลอยชั่วคราว จะเป็นอุปสรรคหรือกอให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดําเนินคดีในศาล เป็นการบัญญัติหลักเกณฑการวินิจฉัยคํารองขอให้ปลอยชั่วคราวหรือเหตุสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราวโดยอาศัยเหตุอื่น นอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสาม ผู้รองมีความเห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติรับรองหลักการสันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยจะต้องกระทําเทาที่จําเป็น เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี เป็นการบัญญัติเงื่อนไขในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยไวเพียงประการเดียวเทานั้น คือ “ ให้กระทําได้เพียงเทาที่จําเป็น เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ” แตกตางจากรัฐธรรมนูญฉบับกอน ๆ อันแสดงให้เห็นวารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนารมณที่จะคุมครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและรางกาย ของผู้ต้องหาหรือจําเลยมากยิ่งขึ้น การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง กําหนดให้นําเหตุที่จะออกหมายจับในมาตรา 66 มาใชบังคับแกเหตุออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจําเลย ้ หนา 14 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
โดยอนุโลม ทําให้ศาลมีอํานาจออกหมายขังโดยอาศัยเหตุตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) เป็นการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยเกินความจําเป็นโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจากเพื่อปองกัน มิให้มีการหลบหนี โดยเฉพาะเหตุในการออกหมายขังกรณีเมื่อมีหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใดนาจะได้ กระทําความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจําคุกอยางสูงเกินสามปที่ต้องพิจารณาจากขอหาหรือฐานความผิด ตามขอกลาวหาของพนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน สวนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเหตุที่จะสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราว ถือเป็นการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหา หรือจําเลยที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสาม เชนกัน การที่ประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) บัญญัติเหตุในการสั่ง ไม่ให้ปลอยชั่วคราวทําให้เจ้าพนักงานหรือศาลมีอํานาจสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราวโดยอาศัยเหตุอื่น นอกจาก เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี มีผลเป็นการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติ ไวในรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสาม ละเมิดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและรางกาย เป็นการปฏิบัติ ต่อบุคคลเสมือนเป็นผู้กระทําความผิด ขัดต่อหลักสันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด ผู้รองจึงยื่นคํารองพรอมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) วา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) เฉพาะในสวนที่บัญญัติให้ออกหมายขังได้เมื่อมีหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใดนาจะได้กระทํา ความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อวาจะไปยุงเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกอเหตุอันตรายประการอื่น และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) มีปญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม หรือไม่ ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาเบื้องตนมีวา ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจรับคํารองของผู้รอง ไวพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) หรือไม่ เห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 231 บัญญัติวา “ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 230 ผู้ตรวจการแผนดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นวามีกรณี ดังต่อไปนี้ (1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปญหาเกี่ยวกับ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพรอมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักชา ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ… ” เมื่อขอเท็จจริงตามคํารองและเอกสารประกอบคํารองเป็นกรณีที่ผู้รองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ้ หนา 15 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
วินิจฉัยวา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) เฉพาะในสวนที่บัญญัติให้ออกหมายขังได้เมื่อมีหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใด นาจะได้กระทําความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อวาจะไปยุงเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกอเหตุอันตรายประการอื่น และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) มีปญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม กรณีเป็นไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (1) จึงมีคําสั่งรับคํารองไวพิจารณาวินิจฉัย และเพื่อประโยชน แห่งการพิจารณา อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 วรรคสาม ให้หนวยงานที่เกี่ยวของจัดทําความเห็นและจัดสงขอมูลพรอมเอกสารหลักฐาน ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หนวยงานที่เกี่ยวของจัดสงขอมูลพรอมเอกสารหลักฐาน ดังนี้ 1. เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สงเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 32 มาตรา 33 มาตรา 237 และมาตรา 239 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 และมาตรา 40 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29 ในชั้นการยกรางรัฐธรรมนูญ และเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณารางพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 66 มาตรา 71 และมาตรา 108/1 ของสภาผู้แทนราษฎร สรุปได้วา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กําหนดหลักการ สําคัญในการออกหมายจับและหมายขังจะกระทํามิได้เวนแต่มีคําสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอยางอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ และกําหนดเหตุในการออกหมายจับและหมายขังต้องมีหลักฐานตามสมควรวา บุคคลใดนาจะได้กระทําความผิดอาญาโดยแบงเป็น 2 กรณี คือ กรณีความผิดอาญารายแรงให้เป็นไป ตามอัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ และกรณีความผิดอาญาไม่รายแรงต้องมีเหตุอันควรเชื่อวาผู้นั้นจะหลบหนี จะไปยุงเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกอเหตุอันตรายประการอื่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยังคงกําหนดหลักการสําคัญ ในการออกหมายจับและหมายขังจะกระทํามิได้เวนแต่มีคําสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอยางอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29 ้ หนา 16 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
วรรคสาม กําหนดหลักการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเทาที่จําเป็น เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ซึ่งบทบัญญัติดังกลาวกําหนดขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังปรากฏ ในบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมคณะกรรมการรางรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 10 วันที่ 19 ตุลาคม 2558 มีการอภิปรายบทบัญญัติดังกลาววา การใสตรวนผู้ต้องหาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง การปฏิบัติในลักษณะดังกลาว เป็นการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเสมือนเป็นนักโทษ สําหรับพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 มีการแกไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคลองกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 การกําหนดอัตราโทษที่เป็นความผิดอาญารายแรงซึ่งเป็นเหตุ ในการออกหมายจับและหมายขังนั้น ต้องคํานึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนประกอบกับการควบคุม อาชญากรรมเพื่อให้การดําเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีประสิทธิภาพ หากกําหนดอัตราโทษ จําคุกอยางสูงตั้งแต่หาปขึ้นไปอาจมีผลกระทบต่อการบังคับใชกฎหมายและประสิทธิภาพในการดําเนินคดีอาญา จึงจําเป็นต้องกําหนดอัตราโทษจําคุกอยางสูงเกินสามปเป็นความผิดอาญารายแรงเพราะถือวาเป็นกรณี ที่มีพฤติการณแห่งคดีรายแรงที่อยู่ในเขตอํานาจของศาลจังหวัด และมีความเหมาะสมต่อการบังคับใชกฎหมาย และประสิทธิภาพในการดําเนินคดีอาญาของประเทศไทย 2. เลขาธิการวุฒิสภา สงเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณารางพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 66 มาตรา 71 และมาตรา 108/1 ของวุฒิสภา สรุปได้วา พระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ( ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1)และ (2) และมาตรา 108/1 มีการแกไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคลองกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 3. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สงเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณารางพระราชบัญญัติ แกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 66 มาตรา 71 และมาตรา 108/1 สรุปได้วา พระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 มีการแกไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคลองกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ้ หนา 17 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคํารอง ขอมูลของหนวยงานที่เกี่ยวของ และเอกสารประกอบแล้วเห็นวา คดีเป็นปญหาขอกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไตสวนตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยวา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะสวนที่เป็นการกําหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจาก เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี มีปญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม หรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม เป็นบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว กฎหมาย ดังกลาวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจําเป็นในการจํากัด สิทธิและเสรีภาพไวด้วย ” มาตรา 28 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ บุคคลยอมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และรางกาย ” และมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติวา “ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหา หรือจําเลยไม่มีความผิด และกอนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงวาบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติ ต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้ ” และวรรคสาม บัญญัติวา “ การควบคุมหรือคุมขัง ผู้ต้องหาหรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเทาที่จําเป็น เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ” ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 มาตรา 71 และมาตรา 108/1 เป็นบทบัญญัติที่มีการแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 มีเหตุผลในการประกาศใชเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บัญญัติรับรองและคุมครองสิทธิของผู้ถูกจับ ผู้ต้องหาและจําเลยในคดีอาญาไว หลายประการ อาทิ การจับกุมหรือคุมขังบุคคลและการคนในที่รโหฐานจะกระทํามิได้ เวนแต่มีคําสั่ง หรือหมายของศาล หรือมีเหตุจําเป็นอื่น ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ และผู้ต้องหาหรือจําเลยยอมมีสิทธิ ได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม รวมทั้งมีสิทธิได้รับ ้ หนา 18 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
ความชวยเหลือจากรัฐด้วยการจัดหาทนายความให้ โดยมาตรา 66 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ เหตุที่จะ ออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้ (1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใดนาจะได้กระทําความผิดอาญา ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกอยางสูงเกินสามป หรือ (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรวาบุคคลใดนาจะได้กระทํา ความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อวาจะหลบหนี หรือจะไปยุงเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกอเหตุ อันตรายประการอื่น ” มาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ เมื่อได้ตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาแล้ว ในระยะใดระหวางสอบสวน ไตสวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ศาลจะออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจําเลยไว ตามมาตรา 87 หรือมาตรา 88 ก็ได้ และให้นําบทบัญญัติในมาตรา 66 มาใชบังคับโดยอนุโลม ” และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ การสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราว จะกระทําได้ต่อเมื่อมีเหตุ อันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปยุงเหยิง กับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปกอเหตุอันตรายประการอื่น ( 4) ผู้รองขอประกัน หรือหลักประกันไม่นาเชื่อถือ (5) การปลอยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือกอให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน ของเจ้าพนักงานหรือการดําเนินคดีในศาล ” ขอกลาวอางของผู้รองที่วา รัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสาม บัญญัติเงื่อนไขในการควบคุม หรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยด้วยเหตุเพียงประการเดียวคือ ให้กระทําได้เพียงเทาที่จําเป็น เพื่อปองกัน มิให้มีการหลบหนีเทานั้น การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง กําหนดเงื่อนไข ในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี จึงขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสอง และวรรคสาม นั้น เห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้กรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเงื่อนไข อยางใดอยางหนึ่งในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพเรื่องใดไว การจํากัดสิทธิและเสรีภาพเรื่องนั้นจะกระทําได้ เฉพาะที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญเทานั้น และมาตรา 29 วรรคสาม ที่บัญญัติให้ การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเทาที่จําเป็น เพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ซึ่งมีการอภิปรายปรากฏในบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมคณะกรรมการรางรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 10 วันที่ 19 ตุลาคม 2558 สรุปได้วา การใสตรวนผู้ต้องหาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง การปฏิบัติ ในลักษณะดังกลาวเป็นการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาเสมือนเป็นนักโทษ จึงเป็นการกําหนดเงื่อนไขเพื่อปองกัน การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยด้วยวิธีการโหดรายทารุณ ไรมนุษยธรรม หรือกระทบต่อศักดิ์ศรี ้ หนา 19 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
ความเป็นมนุษย เชน การควบคุมหรือคุมขังในลักษณะประจาน การทํารายหรือลงโทษผู้ต้องหาหรือจําเลย มากกวาการควบคุมหรือคุมขังโดยปกติเพื่อจํากัดมิให้มีการหลบหนี เป็นบทบัญญัติที่จะใชเมื่อผาน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาตาง ๆ จนถึงขั้นตอนการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยแล้ว การใชเครื่องพันธนาการหรือการจัดสถานที่ควบคุมหรือคุมขังต้องกระทําเทาที่จําเป็นเพื่อปองกันไม่ให้ ผู้ต้องหาหรือจําเลยหลบหนีเทานั้น โดยมีเจตนารมณเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ทางอาญาของผู้ต้องหาหรือจําเลยบนพื้นฐานของหลักการสันนิษฐานไวกอนวาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกวาจะมีคําพิพากษา ของศาลอันถึงที่สุดแสดงวาเป็นผู้กระทําความผิด ซึ่งรัฐจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจําเลยในคดีอาญา ที่อยู่ระหวางการดําเนินคดีของเจ้าพนักงานหรือการพิจารณาคดีของศาลโดยใชมาตรการ วิธีการ หรือพฤติการณ ในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยเชนเดียวกันกับกรณีของบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้วมิได้ กลาวได้วา รัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสาม มีเจตนารมณในการกําหนดมาตรการ วิธีการ หรือพฤติการณในการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจําเลยเมื่อถูกควบคุมหรือคุมขังอยู่ในอํานาจรัฐแล้ว สวนการได้ตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาอยู่ภายใตอํานาจรัฐไม่วาจะเป็นการออกหมายขังหรือการสั่งไม่ให้ ปลอยชั่วคราวบัญญัติไวในมาตรา 28 วรรคสอง ที่บัญญัติให้การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทํามิได้ เวนแต่มีคําสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอยางอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา 29 วรรคหา ที่บัญญัติให้คําขอประกันผู้ต้องหาหรือจําเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกัน จนเกินควรแกกรณีมิได้ การไม่ให้ประกันต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังกลาวมิได้กําหนดเงื่อนไขในการได้ตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาอยู่ภายใตอํานาจรัฐไวเป็นการเฉพาะ ฝ่ายนิติบัญญัติจึงมีอํานาจตรากฎหมายในการออกหมายขังและการสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราวโดยอาศัยเหตุอื่น นอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนีได้ ดังนั้น เงื่อนไขในการจํากัดสิทธิของบุคคลตามมาตรา 29 วรรคสาม เป็นคนละกรณีกับเงื่อนไขในการได้ตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาอยู่ภายใตอํานาจรัฐโดยการออกหมายขัง และการสั่งไม่ให้ปลอยชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 29 วรรคหา แมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) จะเป็นกฎหมายที่จํากัดสิทธิ และเสรีภาพในชีวิตและรางกายของบุคคลอยู่บาง แต่บทบัญญัติดังกลาวมีวัตถุประสงคเพื่อเป็นหลักประกันวา จะต้องมีตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาในชั้นการพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นการควบคุมบุคคลไวในอํานาจรัฐชั่วคราว ระหวางการดําเนินคดีอาญา การจํากัดสิทธิและเสรีภาพดังกลาวได้สัดสวนระหวางการคุมครองสิทธิและเสรีภาพ ้ หนา 20 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566
ของผู้ต้องหาหรือจําเลยในคดีอาญากับประโยชนในการดําเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้เป็นไป โดยเรียบรอย คุมครองผู้เสียหาย และเพื่อความสงบเรียบรอยของสังคม ดังนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะสวนที่เป็นการกําหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหา หรือจําเลยโดยอาศัยเหตุอื่นนอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ไม่ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม อาศัยเหตุผลดังกลาวขางตน จึงวินิจฉัยวา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 108/1 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) และ (5) เฉพาะสวนที่เป็นการกําหนดเหตุในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจําเลยโดยอาศัยเหตุอื่น นอกจากเพื่อปองกันมิให้มีการหลบหนี ไม่ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีปญหาเกี่ยวกับความชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสองและวรรคสาม นายวรวิทย กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ นายนครินทร เมฆไตรรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายปญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายวิรุฬห แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศปราชญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ้ หนา 21 ่ เลม 140 ตอนที่ 6 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 มกราคม 2566