คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 9/2566 เรื่อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง หรือไม่ [ระหว่าง ศาลอาญา ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 9/2566 เรื่อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง หรือไม่ [ระหว่าง ศาลอาญา ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย ศาลรัฐธรรมนูญ คําวินิจฉัยที่ 9/2566 เรื่องพิจารณาที่ 10/2566 วันที่ 14 เดือน มิถุนายน พุทธศักราช 2566 ศาลอาญา ผู้รอง - ผู้ถูกรอง เรื่อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง หรือไม่ ศาลอาญาสงคําโตแยงของจําเลยทั้งสอง (นายภาคิน ทิพภาเชาวคุณ ที่ 2 และ นางสาวปรียาภรณ แสงตา ที่ 3) ในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ 1194/2564 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ขอเท็จจริงตามหนังสือสงคําโตแยงของจําเลยทั้งสองและเอกสารประกอบ สรุปได้ดังนี้ พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 สํานักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวรัชญา ฐิติภาธนกร จําเลยที่ 1 กับพวก รวม 3 คน เป็นจําเลย ต่อศาลอาญา เนื่องจากในป 2559 ถึงป 2561 จําเลยทั้งสามในฐานะกรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทน บริษัท โอเพน เวย (เอ็กตรา) จํากัด รวมกันยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลคาเพิ่ม (แบบ ภ.พ. 30) โดยคํานวณจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี แต่ไม่นําใบกํากับภาษีซื้อมาให้เจ้าพนักงาน ระหวาง ้ หนา 24 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566
ประเมินตรวจสอบ และบริษัท โอเพน เวย (เอ็กตรา) จํากัด มีรายรับซึ่งถูกผู้อื่นหักภาษี ณ ที่จาย นําสงตามแบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จาย (แบบ ภ.ง.ด. 53) แต่กลับยื่นแบบ ภ.พ. 30 แสดงยอดขายเป็นศูนยโดยไม่นําใบกํากับภาษีซื้อมาให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ เป็นการยื่นแบบ ภ.พ. 30 อันเป็นเท็จโดยรูอยู่แล้ววาตนมีเงินได้และมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีมูลคาเพิ่ม อันเป็นการกระทําใด ๆ โดยความเท็จ โดยฉอโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน เจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลคาเพิ่ม รวมกันจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (แบบ ภ.ง.ด. 50) และแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (แบบ ภ.ง.ด. 51) สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกลาวภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โดยมีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ มาตรา 90/4 (6) และมาตรา 90/5 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 91 ระหวางการพิจารณาคดีของศาลอาญา จําเลยทั้งสองโตแยงวา ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 เป็นบทบัญญัติที่ให้ภาระการพิสูจนความบริสุทธิ์ตกแกจําเลยเพียงเพราะมีชื่อเป็นกรรมการซึ่งผู้กระทําความผิดหลัก เป็นนิติบุคคล ทําให้จําเลยทั้งสองถูกฟ้องแต่พนักงานอัยการไม่ฟ้องนิติบุคคลดังกลาวและไม่ได้พิจารณา วาจําเลยทั้งสองเป็นผู้กระทําความผิดหรือไม่ บทบัญญัติดังกลาวขัดต่อหลักนิติธรรม เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 ขัดต่อหลักการดําเนินคดีอาญาที่โจทก์มีภาระการพิสูจน และขัดต่อหลักสันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหา หรือจําเลยไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสอง จําเลยทั้งสองขอให้ศาลอาญา สงคําโตแยงดังกลาวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ศาลอาญาเห็นวา จําเลยทั้งสองโตแยงวาประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ขัดหรือแยง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 ซึ่งศาลอาญาจะใชบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกลาวบังคับแกคดี และยังไม่มีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในสวนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินี้ จึงสงคําโตแยงดังกลาว ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาเบื้องตนมีวา ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจรับหนังสือสงคําโตแยง ของจําเลยทั้งสองไวพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นวา ศาลอาญาสงคําโตแยงของจําเลยทั้งสองเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยวา ประมวลรัษฎากร ้ หนา 25 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566
มาตรา 90/5 ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 หรือไม่ บทบัญญัติดังกลาว เป็นบทบัญญัติที่ศาลอาญาจะใชบังคับแกคดี เมื่อจําเลยทั้งสองโตแยงพรอมด้วยเหตุผลวาบทบัญญัติดังกลาว ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในสวนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินี้ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง จึงมีคําสั่งรับไวพิจารณาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคําโตแยงของจําเลยทั้งสองและเอกสารประกอบแล้วเห็นวา คดีเป็นปญหาขอกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงไม่ทําการไตสวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยวา ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง หรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 26 เป็นบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพ ของปวงชนชาวไทย มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ รัฐธรรมนูญ มิได้บัญญัติเงื่อนไขไว กฎหมายดังกลาวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพไวด้วย ” วรรคสอง บัญญัติวา “ กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใชบังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุงหมายให้ใชบังคับแกกรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแกบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ” และมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติวา “ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และกอนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงวา บุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้ ” ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 บัญญัติวา “ ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามหมวดนี้ เป็นนิติบุคคล ถาการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทําของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกลาว มีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทําการและละเวนไม่สั่งการหรือไม่กระทําการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้น กระทําความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไวสําหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย ” ขอโตแยงของจําเลยทั้งสองที่วา ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 เป็นบทบัญญัติ ที่ให้ภาระการพิสูจนความบริสุทธิ์ตกแกจําเลยเพียงเพราะมีชื่อเป็นกรรมการ ขัดต่อหลักนิติธรรม ้ หนา 26 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566
เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ และกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย ของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 ขัดต่อหลักการดําเนินคดีอาญาที่โจทก์มีภาระการพิสูจน และขัดต่อขอสันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสอง นั้น เห็นวา เดิมประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 บัญญัติวา “ ในกรณีที่ผู้กระทําความผิด ซึ่งต้องรับโทษตามหมวดนี้เป็นนิติบุคคล กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไวสําหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เวนแต่จะพิสูจนได้วาตนมิได้ยินยอม หรือมีสวนในการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้น ” ซึ่งถือเป็นขอสันนิษฐานที่มีผลเป็นการสันนิษฐาน ความผิดทางอาญาของจําเลย โดยโจทก์ไม่ต้องพิสูจนให้เห็นกอนวาจําเลยได้มีการกระทํา หรืองดเวน หรือไม่กระทําการอันเป็นความผิดตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยที่ 12/2555 วาพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 เฉพาะในสวนที่สันนิษฐาน ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญารวมกับการกระทําความผิดของนิติบุคคล โดยไม่ปรากฏวามีการกระทํา หรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้น ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 วรรคสอง เป็นอันใชบังคับไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มา ตรา 6 ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคําวินิจฉัยในทํานองเดียวกันอีก คือ คําวินิจฉัยที่ 5/2556 กรณีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 74 คําวินิจฉัยที่ 10/2556 กรณีพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 78 คําวินิจฉัยที่ 11/2556 กรณีพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 28/4 และคําวินิจฉัยที่ 19 - 20/2556 กรณีพระราชบัญญัติปุย พ.ศ. 2518 มาตรา 72/5 ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และเป็นอันใชบังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 6 เพื่อแกไขบทบัญญัติของกฎหมายดังกลาวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกัน มิให้ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มีการตราพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560 เพื่อยกเลิกและแกไขกฎหมายที่มีบทบัญญัติ ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการแกไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ด้วย ตามบัญชีทาย พระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล ้ หนา 27 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566
พ.ศ. 2560 โดยประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ที่แกไขใหมนี้บัญญัติกรณีที่นิติบุคคลกระทําความผิด และการกระทําความผิดนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทํา หรือมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทําการ และละเวนไม่สั่งการหรือไม่กระทําการของกรรมการหรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงาน ของนิติบุคคลนั้น ก็ให้บุคคลที่กระทําการหรือละเวนไม่กระทําการตามหน้าที่ดังกลาว ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว สําหรับความผิดที่นิติบุคคลกระทําด้วย บทบัญญัติดังกลาวเป็นบทบัญญัติที่กําหนดตัวบุคคลที่ต้องรับผิด ในทางอาญารวมกับนิติบุคคลมิได้บัญญัติให้ต้องรับโทษเหมือนเชนในบทบัญญัติเดิมที่กําหนดให้บุคคล ต้องรับผิดในทางอาญาโดยอาศัยสถานะของบุคคลเป็นเงื่อนไขในการลงโทษ เนื่องจากนิติบุคคล เป็นบุคคลสมมุติตามกฎหมาย ไม่สามารถกระทําการใด ๆ ได้ด้วยตนเอง หรือไม่สามารถกอให้เกิดนิติสัมพันธ กับบุคคลภายนอกได้ หากปราศจากบุคคลผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย ให้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล และเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ถือเอาพฤติกรรมหรือการกระทํา ของผู้ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบซึ่งกอให้เกิดการกระทําความผิดของนิติบุคคลวาต้องรับผิดในผลของการกระทํา ของตนเอง มิใชเป็นบทสันนิษฐานความผิดของกรรมการหรือผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบ ในการดําเนินงานของนิติบุคคลเป็นผู้กระทําความผิดไวกอนตั้งแต่แรกเริ่มคดีโดยอาศัยสถานะของบุคคลอีกต่อไป หากแต่โจทก์ยังคงต้องมีหน้าที่พิสูจนการกระทําหรือละเวนไม่กระทําตามหน้าที่ของบุคคลดังกลาวกอนวา เป็นผู้สั่งการหรือกระทําการ หรือมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทําการและละเวนไม่สั่งการหรือไม่กระทําการ รวมทั้งมีความผิดตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไวหรือไม่ อันสอดคลองกับหลักเกณฑทั่วไป ในเรื่องความรับผิดทางอาญาที่ผู้กระทําความผิดจะต้องรับผลแห่งการกระทําการ หรือละเวนไม่กระทําการนั้น เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไววาเป็นความผิดและการกระทําหรือละเวนไม่กระทําการนั้นต้องครบองคประกอบความผิด ตามหลักพื้นฐานวาด้วยความรับผิดทางอาญาตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 บัญญัติไววา “ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา … ” กลาวคือ เมื่อนิติบุคคลถูกกลาวหาวา กระทําความผิด โจทก์ต้องพิสูจนให้ศาลเห็นโดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยวาการกระทําความผิดนั้น เกิดขึ้นจากการสั่งการหรือการกระทํา หรือมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทําการและละเวนไม่สั่งการ หรือไม่กระทําการของกรรมการหรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น และภาระการพิสูจนการกระทําความผิดของบุคคลดังกลาวยังคงต้องพิจารณาถึงมาตรฐานการพิสูจน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ศาลจะพิพากษาลงโทษจําเลยได้ ต่อเมื่อแนใจวามีการกระทําความผิดจริงตามที่กฎหมายบัญญัติ และในกรณีที่มีความสงสัย ้ หนา 28 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566
ตามสมควรวาจําเลยได้กระทําความผิดหรือไม่ ศาลจะต้องยกประโยชนแห่งความสงสัยให้แกจําเลย ในระหวางการพิจารณาของศาลหรือหนวยงานในกระบวนการยุติธรรมอื่นนั้น กรรมการหรือผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น ยังถือวาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกวาศาลมีคําพิพากษา อันถึงที่สุดวาจําเลยได้กระทําการอันเป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว ดังนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ ไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย และไม่ขัดต่อหลักสันนิษฐานไวกอนวาผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด ไม่ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง อาศัยเหตุผลดังกลาวขางตน จึงวินิจฉัยวา ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5 ไม่ขัดหรือแยง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง นายวรวิทย กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร เมฆไตรรัตน์ นายปญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห แสงเทียน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายจิรนิติ หะวานนท นายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายบรรจงศักดิ์ วงศปราชญ นายอุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ้ หนา 29 ่ เลม 140 ตอนที่ 41 ก ราชกิจจานุเบกษา 11 กรกฎาคม 2566