คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 6/2566 เรื่อง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ [ระหว่าง ศาลปกครองสูงสุด ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 6/2566 เรื่อง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ [ระหว่าง ศาลปกครองสูงสุด ผู้ร้อง - ผู้ถูกร้อง]
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย ศาลรัฐธรรมนูญ คําวินิจฉัยที่ 6/2566 เรื่องพิจารณาที่ 3/2566 วันที่ 10 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2566 ศาลปกครองสูงสุด ผู้รอง - ผู้ถูกรอง เรื่อง พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดสงคําโตแยงของผู้ฟ้องคดี (นายศุภวัฒน ไชโย) ในคดีหมายเลขดํา ที่ อบ. 247/2563 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ขอเท็จจริง ตามหนังสือสงคําโตแยงของผู้ฟ้องคดีและเอกสารประกอบ สรุปได้ดังนี้ นายศุภวัฒน ไชโย ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องศึกษาธิการจังหวัดนครพนม ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองอุดรธานีวา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม2560 ผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตําแหนงครูผู้ชวย โรงเรียนศรีโคตรบูรณ อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 22 ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการ จังหวัดนครพนม ที่ 1/2562 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เนื่องจากเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ระหวาง ้ หนา 47 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) กรณีเป็นผู้บกพรองในศีลธรรมอันดีสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเคยถูกจับกุมและถูกดําเนินคดีอาญา รวม 2 คดี ครั้งที่ 1 ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2543 ศาลชั้นตนมีคําพิพากษาวาผู้ฟ้องคดีมีความผิด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และศาลอุทธรณภาค 4 มีคําพิพากษาในคดีหมายเลขดํา ที่ 169/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 496/2549 วาผู้ฟ้องคดีมีความผิดฐานรวมกันมีเมทแอมเฟตามีน ไวในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ครั้งที่ 2 ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 ศาลชั้นตนมีคําพิพากษาวาผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และศาลอุทธรณภาค 4 มีคําพิพากษาในคดีหมายเลขดําที่ 1052/2549 คดีหมายเลขแดงที่ 1663/2549 วาผู้ฟ้องคดีมีความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ผู้ฟ้องคดีเห็นวาคําสั่งสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครพนมดังกลาวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลปกครองอุดรธานีพิพากษาเพิกถอนคําสั่งดังกลาวและให้ผู้บังคับบัญชามีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดี กลับเขารับราชการตามตําแหนงหน้าที่เดิมและคืนสิทธิประโยชนอันพึงมีพึงได้ให้แกผู้ฟ้องคดีนับแต่วันที่มีคําสั่งให้ ออกจากราชการ ศาลปกครองอุดรธานีพิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีอุทธรณต่อศาลปกครองสูงสุด ระหวางการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ผู้ฟ้องคดีโตแยงวา พระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ไม่ได้กําหนดให้การกระทํา เชนใดถือเป็นการประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพรองในศีลธรรมอันดี ซึ่งกรณีพิพาทของผู้ฟ้องคดี เป็นความผิดเล็กนอย มิใชการประพฤติชั่วอยางรายแรงและไม่กอให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือกระทบกระเทือนต่อประโยชนสาธารณะ และบทบัญญัติดังกลาวไม่ได้กําหนดระยะเวลาการจํากัดสิทธิไว จึงเป็นการจํากัดสิทธิการมีสวนรวมในการเขารับราชการตลอดชีวิต กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ฟ้องคดี อยางรายแรงเกินเหตุ ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองสูงสุด สงคําโตแยงดังกลาวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ศาลปกครองสูงสุดเห็นวา ผู้ฟ้องคดีโตแยงวาพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 ซึ่งศาลปกครองสูงสุ ด จะใชบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกลาวบังคับแกคดี และยังไม่มีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในสวนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินี้ จึงสงคําโตแยงดังกลาวต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง ้ หนา 48 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาเบื้องตนมีวา ศาลรัฐธรรมนูญมีอํานาจรับหนังสือ สงคําโตแยงของผู้ฟ้องคดีไวพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นวา ศาลปกครองสูงสุดสงคําโตแยงของผู้ฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยวา พระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแยง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ บทบัญญัติดังกลาวเป็นบทบัญญัติที่ศาลปกครองสูงสุดจะใชบังคับแกคดี เมื่อผู้ฟ้องคดีโตแยงพรอมด้วยเหตุผลวาบทบัญญัติดังกลาวขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคําวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญในสวนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินี้ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง จึงมีคําสั่งรับไวพิจารณาวินิจฉัย และเพื่อประโยชนแห่งการพิจารณาให้หนวยงานที่เกี่ยวของ จัดทําความเห็นและจัดสงเอกสารหลักฐานยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หนวยงานที่เกี่ยวของจัดทําความเห็น ดังนี้ 1. รัฐมนตรีวาการกระทรวงศึกษาธิการจัดทําความเห็นสรุปได้วา พระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ที่บัญญัติคุณสมบัติทั่วไป สําหรับผู้ซึ่งจะเขารับราชการเป็นขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวาต้องไม่เป็นผู้บกพรอง ในศีลธรรมอันดีสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น เป็นการกําหนด คุณสมบัติเชนเดียวกับพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครู พ.ศ. 2523 และพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งใชบังคับอยู่ในขณะนั้น รวมถึงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ซึ่งตราขึ้นภายหลังและมีผลใชบังคับอยู่ในปจจุบัน ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 52 บัญญัติให้กระทรวงศึกษาธิการสงเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับ การเป็นวิชาชีพชั้นสูง จึงมีความจําเป็นต้องกําหนดคุณสมบัติสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษาให้เหมาะสมกับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง เนื่องจากเป็นวิชาชีพ ที่ให้บริการสังคม ต้องอาศัยความรู ความสามารถ และสติปญญาอยางมากในการประกอบวิชาชีพ ซึ่งนอกจากต้องเป็นผู้ได้รับการศึกษาอบรมในสาขาวิชาชีพของตนมาเป็นเวลานานแล้ว ยังเป็นวิชาชีพ ที่ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และมีมาตรฐานจรรยาบรรณและวินัย เพื่อให้ได้รับการยอมรับ และมีฐานะทางสังคมในระดับสูง ้ หนา 49 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
- เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทําความเห็นสรุปได้วา สํานักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณารางพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. … โดยเป็นการตรวจพิจารณาแกไขรูปแบบของกฎหมายและแกไขถอยคําให้สอดคลองกันเทานั้น มิได้ตรวจพิจารณารายละเอียดในปญหาขอกฎหมายและเนื้อหาสาระเป็นรายมาตรา จึงไม่มีขอมูล หรือเอกสารเกี่ยวกับหลักการและเหตุผลในการยกรางพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. … มาตรา 30 (7) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคําโตแยงของผู้ฟ้องคดี ความเห็นของหนวยงานที่เกี่ยวของ และเอกสารประกอบแล้วเห็นวา คดีเป็นปญหาขอกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไตสวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยวา พระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ขัดหรือแยง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นวา รัฐธรรมนูญ มาตรา 26 เป็นบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพ ของปวงชนชาวไทย มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “ การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว กฎหมายดังกลาวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล เกินสมควรแกเหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระ บุเหตุผล ความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพไวด้วย ” และวรรคสอง บัญญัติวา “ กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใชบังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุงหมายให้ใชบังคับแกกรณีใดกรณีหนึ่งหรือแกบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นการเจาะจง ” พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มีหลักการ และเหตุผลในการประกาศใชวา เนื่องจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กําหนดให้มีการจัดระบบขาราชการครู คณาจารย และบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหม ตามที่บัญญัติไว ในหมวด 7 โดยเฉพาะในมาตรา 54 กําหนดให้มีองคกรกลางบริหารงานบุคคลของขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยให้ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งของหนวยงานการศึกษา ้ หนา 50 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
ในระดับสถานศึกษาของรัฐและระดับเขตพื้นที่การศึกษาเป็นขาราชการในสังกัดองคกรกลางบริหารงานบุคคล ของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยยึดหลักการกระจายอํานาจการบริหารงานบุคคล สูสวนราชการที่บริหารและจัดการศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา เห็นควรกําหนดให้บุคลากร ที่ทําหน้าที่ดานการบริหารและการจัดการศึกษาสังกัดอยู่ในองคกรกลางบริหารงานบุคคลเดียวกัน และโดยที่องคกรกลางบริหารงานบุคคลและระบบการบริหารงานบุคคลของขาราชการครูตามพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการครู พ.ศ. 2523 ที่ใชบังคับอยู่ในปจจุบัน มีหลักการที่ไม่สอดคลองกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ให้ยึดหลักการกระจายอํานาจการบริหารงานบุคคล สูเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา อีกทั้งไม่สอดคลองกับหลักการปฏิรูประบบราชการ สมควรยกรางกฎหมาย วาด้วยระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหมแทนพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครู พ.ศ. 2523 และเพื่อให้เอกภาพทางดานนโยบายการบริหารงานบุคคลของขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาทั้งหมด โดยมาตรา 30 บัญญัติวา “ ภายใตบังคับกฎหมาย วาด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ซึ่งจะเขารับราชการเป็นขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังต่อไปนี้ … (7) ไม่เป็นผู้บกพรองในศีลธรรมอันดีสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา … ” ขอโตแยงของผู้ฟ้องคดีที่วา พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) เป็นบทบัญญัติที่ไม่ได้กําหนดให้การกระทําเชนใดถือเป็นการประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพรองในศีลธรรมอันดี และไม่ได้กําหนดระยะเวลาการจํากัดสิทธิไว เป็นการจํากัดสิทธิ ในการเขารับราชการตลอดชีวิต กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ฟ้องคดีอยางรายแรงเ กินเหตุ ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 นั้น เห็นวา พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 มีความมุงหมายในการกําหนดคุณสมบัติทั่วไป ของผู้ที่จะเขารับราชการเป็นขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวาจะต้องไม่เป็นผู้บกพรอง ในศีลธรรมอันดีสําหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่มีคุณภาพ และมาตรฐานที่เหมาะสมแกการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูงในการรวมจัดทําบริการสาธารณะดานการศึกษา ซึ่งสอดคลองกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติวา “ ให้กระทรวงสงเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย และบุคลากรทางการศึกษา ้ หนา 51 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกํากับและประสานให้สถาบัน ที่ทําหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพรอมและมีความเขมแข็ง ในการเตรียมบุคลากรใหมและการพัฒนาบุคลากรประจําการอยางต่อเนื่อง ” โดยบทบัญญัติมาตรา 30 เป็นบทบัญญัติที่กําหนดคุณสมบัติทั่วไปของผู้จะเขารับราชการเป็นขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งขาราชการครูคือผู้ประกอบวิชาชีพทําหน้าที่หลักทางดานการเรียนการสอนและสงเสริมการเรียนรู ของผู้เรียนด้วยวิธีการตาง ๆ ในสถานศึกษาของรัฐ สวนบุคลากรทางการศึกษานั้นคือผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทําหน้าที่ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับ การจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ การบริหารการศึกษา และปฏิบัติงานอื่นในหนวยงานการศึกษา อันแสดงให้เห็นถึงลักษณะหน้าที่เฉพาะของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่แตกตางจากอาชีพอื่น ต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง นอกจากเป็นผู้มีความรูความสามารถที่ดีแล้ว ยังต้องมีความประพฤติดี มีคุณธรรม จริยธรรม ไม่กระทําการใด ๆ อันเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม ในเกียรติของอาชีพ ต้องครองตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี ประพฤติตนเป็นแบบอยางที่ดีในการวางตน และยึดมั่นในมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพขององคกร ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแกผู้เรียน ชุมชน และสังคม การที่พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) กําหนดคุณสมบัติทั่วไปให้ผู้ซึ่งจะเขารับราชการเป็นขาราชการครูและ บุคลากร ทางการศึกษาได้ต้องไม่เป็นผู้บกพรองในศีลธรรมอันดี เป็นมาตรการเพื่อคัดกรองและปองกันบุคคล ที่มีพฤติกรรมเสื่อมเสียบกพรองในศีลธรรมอันดีไม่ให้เขามารับราชการเป็นขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงคของกฎหมาย แมโดยสภาพหรือลักษณะของบทบัญญัติดังกลาว ไม่อาจกําหนดได้วาขอเท็จจริงใดหรือการกระทําใดที่จะถือเป็นการบกพรองในศีลธรรมอันดี เนื่องจากศีลธรรมอันดี เป็นกฎเกณฑที่คนในสังคมสวนใหญถือปฏิบัติตามความเชื่อ ตามธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของสังคม หรือศาสนา อันเป็นสิ่งสําคัญที่ทําให้สังคมดํารงอยู่ได้อยางสงบสุข และถือเป็นเครื่องวินิจฉัยความประพฤติ ของคนในสังคม แต่กฎเกณฑดังกลาวมีลักษณะเป็นพลวัต มีความผันแปรไปตามบริบทของสังคม ต้องพิจารณาให้สอดคลองเหมาะสมกับยุคสมัย สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง วัฒนธรรม และประเพณีที่เปลี่ยนแปลงไป ฝ่ายนิติบัญญัติจึงตรากฎหมายโดยใชถอยคําที่ไม่มีคําจํากัดความเจาะจง เพื่อให้อํานาจแกฝ่ายปกครองในการบังคับใชกฎหมายให้เป็นไปอยางยืดหยุนและสอดคลองเหมาะสมกับ ้ หนา 52 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
ขอเท็จจริงตามพฤติการณของผู้กระทําและผลของการกระทํา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงคของกฎหมาย และเพื่อให้เกิดความยุติธรรมเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี และโดยที่กําหนดลักษณะดังกลาวให้เป็นเรื่องของ คุณสมบัติทั่วไป ดังนั้น คุณสมบัติของบุคคลดังกลาวจะต้องมีอยู่ตลอดเวลาที่ประกอบวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษาจึงไม่อาจกําหนดระยะเวลาจํากัดสิทธิได้ อยางไรก็ดี การพิจารณาวาบุคคลใด จะเป็นผู้บกพรองในศีลธรรมอันดีตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) จะต้องพิจารณาจากขอเท็จจริงและพฤติการณแห่งการกระทํา หรือเคยกระทําในอดีตในแต่ละกรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยคํานึงถึงเกียรติของขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาประกอบกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น มีคณะกรรมการขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ซึ่งเป็นองคกรกลางบริหารงานบุคคลของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีหน้าที่และอํานาจกําหนดมาตรฐาน พิจารณา และให้คําแนะนําเกี่ยวกับการ ดําเนินการทางวินัย การออกจากราชการ การอุทธรณและการรองทุกข รวมทั้งกํากับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการบริหารงานบุคคลของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อรักษาความเป็นธรรม และมาตรฐานดานการบริหารงานบุคคล ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ค.ศ . ถูกตรวจสอบได้ โดยองคกรฝ่ายตุลาการหรือศาล อันเป็นการควบคุมการใชอํานาจให้เป็นไปโดยรอบคอบ รัดกุม และอยู่บนพื้นฐานของการกระทําที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของบุคคล บทบัญญัติดังกลาวแมจะจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอยู่บาง แต่เมื่อชั่งน้ําหนักระหวางผลกระทบ จากการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลกับประโยชนสาธารณะที่จะได้รับตามวัตถุประสงคของกฎหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่เป็นขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสม กับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพดังกลาวแล้ว กรณีเป็นไปตามหลักความได้สัดสวน ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแกเหตุ และไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย ทั้งได้ระบุเหตุผลความจําเป็นในการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพไวแล้ว บทบัญญัติดังกลาวมีผลใชบังคับ เป็นการทั่วไป ไม่มุงหมายให้ใชบังคับแกกรณีใดกรณีหนึ่งหรือแกบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ไม่ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 ้ หนา 53 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566
อาศัยเหตุผลดังกลาวขางตน จึงวินิจฉัยวา พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 30 (7) ไม่ขัดหรือแยงต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 นายวรวิทย กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร เมฆไตรรัตน์ นายปญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห แสงเทียน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายจิรนิติ หะวานนท นายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายบรรจงศักดิ์ วงศปราชญ นายอุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ้ หนา 54 ่ เลม 140 ตอนที่ 33 ก ราชกิจจานุเบกษา 1 มิถุนายน 2566