คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน [คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.7/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.3/2566 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นายบุญมา คำนิล ผู้ถูกกล่าวหา]
คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน [คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.7/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.3/2566 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นายบุญมา คำนิล ผู้ถูกกล่าวหา]
( อม.36 ) คําพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ คดีหมายเลขดําที่ อม.อธ. 7/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ. 3/2566 ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย ศาลฎีกา วันที่ 13 เดือน กุมภาพันธ พุทธศักราช 2566 คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้รอง นายบุญมา คํานิล ผู้ถูกกลาวหา เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้รองอุทธรณคัดคานคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมือง ลงวันที่ 8 เดือน มิถุนายน พุทธศักราช 2565 องคคณะวินิจฉัยอุทธรณ รับวันที่ 12 เดือน ตุลาคม พุทธศักราช 2565 ผู้รองยื่นคํารองขอให้วินิจฉัยวา ผู้ถูกกลาวหาเป็นผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองจงใจยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รองด้วยขอความอันเป็นเท็จหรือปกปดขอเท็จจริง ที่ควรแจงให้ทราบ และมีพฤติการณอันควรเชื่อได้วามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพนจากตําแหนงรองนายกองคการบริหารสวนตําบลสิงหโคก อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดรอยเอ็ด ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกลาวหา กับลงโทษฐานเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ระหวาง ้ หนา 15 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รองด้วยขอความอันเป็นเท็จ หรือปกปดขอเท็จจริงที่ควรแจงให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 , 114 , 167 และ 188 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษายกคํารอง ผู้รองอุทธรณต่อที่ประชุมใหญศาลฎีกา องคคณะวินิจฉัยอุทธรณพิเคราะหอุทธรณ คํารอง เอกสารประกอบคํารอง และพยานหลักฐาน ตามสํานวนการไตสวนของผู้รองแล้ว ขอเท็จจริงรับฟงได้วา ผู้ถูกกลาวหาได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหนง รองนายกองคการบริหารสวนตําบลสิงหโคก อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดรอยเอ็ด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 และพนจากตําแหนงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 ผู้ถูกกลาวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รองกรณีพนจากตําแหนง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2559 โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกลาวหาและ นางไพวรรณ คํานิล คู่สมรส รวม 9 รายการ ตามคํารอง เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ผู้รองยื่นคํารองเป็นคดีนี้ แต่ผู้ถูกกลาวหาไม่มาศาล และในวันเดียวกันศาลออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาแล้ว แต่ยังไม่สามารถจับตัวผู้ถูกกลาวหามาศาลได้ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ศาลมีคําสั่งรับคํารองไวพิจารณา และเห็นวาคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดไตสวน และมีคําพิพากษายกคํารอง คดีมีปญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณของผู้รองวา คดีของผู้รองขาดอายุความทางอาญาตามคําพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองหรือไม่ ผู้รองอุทธรณวา ผู้รองมีคําขอให้ลงโทษ ผู้ถูกกลาวหาทั้งในสวนโทษทางการเมืองและในสวนโทษทางอาญา ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม หมวด 3 วาด้วยการตรวจสอบ ทรัพย์สินและหนี้สิน กําหนดมาตรการโทษทางการเมืองไวในมาตรา 34 โดยมิได้กําหนดวิธีการ ดําเนินคดีอาญาไวอยางชัดแจง คดีนี้เป็นการดําเนินคดีอาญาแกเจ้าหน้าที่ของรัฐในตําแหนงรองผู้บริหารทองถิ่น ตามมาตรา 84 (5) ในหมวด 8 วาด้วยการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมิใชผู้ดํารงตําแหนงทางการเมือง ตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องนํามาตรา 97 และมาตรา 98 มาใชบังคับแกคดีนี้โดยอนุโลม ซึ่งมาตรา 98 บัญญัติให้นําบทบัญญัติมาตรา 74/1 ที่มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกลาวหาหลบหนี ในระหวางถูกดําเนินคดีหรือระหวางพิจารณาของศาลรวมเป็นสวนหนึ่งของอายุความมาใชบังคับโดยอนุโลม ้ หนา 16 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
ทั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 7 ยังได้บัญญัติรองรับหลักการดังกลาวไวจนถึงปจจุบัน เมื่อผู้รองยื่นคํารองพรอมกับขอให้ศาล ออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ภายในอายุความหาปนับแต่วันกระทําความผิด ถือได้วาผู้ถูกกลาวหาหลบหนีไปในระหวางถูกดําเนินคดีหรือระหวางการพิจารณาของศาล อายุความ ยอมสะดุดหยุดอยู่นับแต่วันดังกลาว คดีของผู้รองจึงไม่ขาดอายุความและสามารถลงโทษผู้ถูกกลาวหา ตามคํารองได้ องคคณะวินิจฉัยอุทธรณพิเคราะหแล้ว เห็นวา ขอเท็จจริงฟงได้วา เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ผู้ถูกกลาวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รอง กรณีพนจากตําแหนง โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกลาวหาและ นางไพวรรณ คํานิล คู่สมรส รวม 9 รายการ ตามคํารอง วันดังกลาวจึงเป็นวันที่ผู้ถูกกลาวหากระทําความผิด ผู้รองยื่นคํารองต่อศาลเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 และศาลได้ออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาในวันเดียวกัน แมตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม หมวด 8 มาตรา 98 บัญญัติให้นํามาตรา 74/1 มาใชบังคับกับการฟ้องคดีอาญาโดยอนุโลมก็ตาม ซึ่งตามมาตรา 74/1 บัญญัติมิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกลาวหาหลบหนีรวมเป็นสวนหนึ่งของอายุความ แต่มาตรา 84 ที่บัญญัติไวในหมวด 8 นั้น ต้องเป็นการดําเนินคดีอาญากลาวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐวา กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทําความผิดต่อตําแหนงหน้าที่ราชการ หรือกระทําความผิด ต่อตําแหนงหน้าที่ในการยุติธรรม อันเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริต เชนเดียวกับ การกลาวหาดําเนินคดีอาญาแกนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือขาราชการการเมือง อันเป็นผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญ ในหมวด 6 มาตรา 66 แต่ในหมวด 3 การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน อันเป็นบทบัญญัติ เกี่ยวกับการปองกันการทุจริต มิได้บัญญัติให้นํามาตรา 74/1 มาใชบังคับแกการดําเนินคดี อันสืบเนื่องมาจากการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน แสดงให้เห็นวาการดําเนินคดีตามมาตรา 66 และมาตรา 84 เป็นคนละกรณีกับการดําเนินคดีกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยขอความอันเป็นเท็จ หรือปกปดข อเท็จจริง ที่ควรแจงให้ทราบตามมาตรา 34 กรณีจึงไม่อาจนํามาตรา 98 ประกอบมาตรา 74/1 มาใชบังคับแกคดีนี้ได้ สวนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ้ หนา 17 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
มาตรา 7 นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการนับอายุความทางอาญา ที่บัญญัติขึ้นและมีผลใชบังคับ ภายหลังกระทําความผิด ทั้งยังมีความแตกตางกับกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด แมมิใชบทบัญญัติ วาด้วยการลงโทษ แต่มีผลให้ระยะเวลาการบังคับโทษขยายออกไป ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ไม่เป็นคุณแกผู้ถูกกลาวหา ไม่อาจนํามาใชบังคับแกคดีที่มีการกระทําความผิดกอนกฎหมายใชบังคับได้ เมื่อไม่อาจนํามาตรา 74/1 มาใชบังคับแกคดีนี้ได้โดยอนุโลมตามมาตรา 98 กรณีจึงต้องนับระยะเวลาที่ผู้ถูกกลาวหาหลบหนี รวมเป็นสวนหนึ่งของอายุความ ดังนั้น แมผู้รองยื่นคํารองต่อศาลภายในกําหนดอายุความหาปนับแต่วันที่ ผู้ถูกกลาวหากระทําความผิด แต่ผู้รองไม่ได้ตัวผู้ถูกกลาวหามาภายในกําหนดอายุความดังกลาว อายุความจึงไม่สะดุดหยุดอยู่ดังที่ผู้รองอุทธรณ คดีสวนอาญาจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (4) สิทธินําคดีอาญามาฟ้องของผู้รองยอมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) , 185 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคสาม สวนการสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นมาตรการจํากัดสิทธิทางการเมืองนั้นไม่อาจแยกออกจากการวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาได้ เมื่อการกระทําตามคํารองเป็นอันขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่อาจนํามาตรการจํากัดสิทธิทางการเมือง มาใชบังคับแกผู้ถูกกลาวหาได้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองพิพากษามานั้นชอบแล้ว องคคณะวินิจฉัยอุทธรณเห็นพองด้วย อุทธรณของผู้รองฟงไม่ขึ้น พิพากษายืน. นายภพพิสิษฐ สุขะพิสิษฐ นายเอกศักดิ์ ยันตรปกรณ นายอุดม วัตตธรรม นางสาวสิริกานต มีจุล นายกิตติพงษ ศิริโรจน นายพิชัย เพ็งผอง นายกษิดิศ มงคลศิริภัทรา นายจักรกฤษณ อนันตสุชาติกุล นางชนากานต ธีรเวชพลกุล ้ หนา 18 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566