คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน [คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.5/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.2/2566 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นายสามารถ หมวดมณี ผู้ถูกกล่าวหา]
คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน [คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.5/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.2/2566 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นายสามารถ หมวดมณี ผู้ถูกกล่าวหา]
( อม.36 ) คําพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ คดีหมายเลขดําที่ อม.อธ. 5/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ. 2/2566 ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย ศาลฎีกา วันที่ 9 เดือน กุมภาพันธ พุทธศักราช 2566 คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้รอง นายสามารถ หมวดมณี ผู้ถูกกลาวหา เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้รองอุทธรณคัดคานคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมือง ลงวันที่ 25 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2565 องคคณะวินิจฉัยอุทธรณ รับวันที่11 เดือน ตุลาคม พุทธศักราช 2565 ผู้รองยื่นคํารองขอให้วินิจฉัยวา ผู้ถูกกลาวหาเป็นผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองจงใจยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รองด้วยขอความอันเป็นเท็จหรือปกปดขอเท็จจริง ที่ควรแจงให้ทราบ และมีพฤติการณอันควรเชื่อได้วามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพนจากตําแหนงรองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ขอให้เพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกลาวหา กับลงโทษฐานเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ระหวาง ้ หนา 11 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รองด้วยขอความอันเป็นเท็จ หรือปกปดขอเท็จจริงที่ควรแจงให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 , 114 , 167 และ 188 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองพิจารณาแล้ว พิพากษายกคํารอง ผู้รองอุทธรณต่อที่ประชุมใหญศาลฎีกา องคคณะวินิจฉัยอุทธรณพิเคราะหอุทธรณ คําแกอุทธรณ คํารอง เอกสารประกอบคํารอง และพยานหลักฐานตามสํานวนการไตสวนของผู้รองแล้ว ขอเท็จจริงรับฟงได้วา ผู้ถูกกลาวหาได้รับแต่งตั้ง ให้ดํารงตําแหนงรองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 และพนจากตําแหนง เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 ผู้ถูกกลาวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ต่อผู้รองกรณีพนจากตําแหนงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ 2559 โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินของ นางอุไร หมวดมณี คู่สมรส คือ บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) บัญชีเลขที่218 - 2 - 12998 - 7 ชื่อบัญชี นางอุไร หมวดมณี จํานวนเงิน 1 , 000 , 000 บาท ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ 2564 ผู้รองยื่นคํารองเป็นคดีนี้ แต่ผู้ถูกกลาวหาไม่มาศาล และมีคําขอให้ศาลออกหมายจับผู้ถูกกลาวหา เพื่อนําตัวมาดําเนินคดี ในวันเดียวกันศาลออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาแล้ว แต่ยังไม่สามารถจับตัวผู้ถูกกลาวหามาศาล ตามหมายจับได้ วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ศาลมีคําสั่งรับคํารองไวพิจารณา และเห็นวาคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดไตสวนและมีคําพิพากษายกคํารอง คดีมีปญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณของผู้รองวา คดีของผู้รองขาดอายุความตามคําพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองหรือไม่ ผู้รองอุทธรณวา ผู้รองมีคําขอให้ลงโทษ ผู้ถูกกลาวหาทั้งในสวนมาตรการบังคับทางการเมืองและในสวนโทษทางอาญา ซึ่งตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม หมวด 3 วาด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน กําหนดมาตรการบังคับทางการเมืองไวในมาตรา 34 โดยมิได้กําหนดวิธีการดําเนินคดีในสวนอาญาไวอยางชัดแจง คดีนี้เป็นการดําเนินคดีอาญาแกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในตําแหนงรองผู้บริหารทองถิ่นตามมาตรา 84 (5) ในหมวด 8 วาด้วยการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมิใชผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องนําบทบัญญัติการฟ้องคดีอาญา ตามมาตรา 97 และมาตรา 98 มาใชบังคับแกคดีนี้โดยอนุโลม ซึ่งมาตรา 98 ให้นําบทบัญญัติ ้ หนา 12 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
ในมาตรา 74/1 ที่มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกลาวหาหลบหนีไปในระหวางถูกดําเนินคดีหรือระหวางพิจารณา ของศาลรวมเป็นสวนหนึ่งของอายุความมาใชบังคับโดยอนุโลม ทั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 7 ยังได้บัญญัติรับรองหลักการดังกลาวไว จนถึงปจจุบัน เมื่อผู้รองยื่นคํารองพรอมกับขอให้ศาลออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาภายในอายุความหาป นับแต่วันกระทําความผิด ถือได้วาผู้ถูกกลาวหาหลบหนีไปในระหวางถูกดําเนินคดีหรือระหวาง การพิจารณาของศาล อายุความยอมสะดุดหยุดอยู่ คดีของผู้รองจึงไม่ขาดอายุความและสามารถลงโทษ ผู้ถูกกลาวหาตามคํารองได้ องคคณะวินิจฉัยอุทธรณพิเคราะหแล้ว เห็นวา ผู้ถูก กลาวหายื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้รอง กรณีพนจากตําแหนงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ 2559 วันดังกลาวจึงเป็นวันที่ผู้ถูกกลาวหากระทําความผิด ผู้รองยื่นคํารองต่อศาล เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ 2564 และศาลได้ออกหมายจับผู้ถูกกลาวหาในวันเดียวกัน แมตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม หมวด 8 มาตรา 98 บัญญัติให้นํามาตรา 74/1 มาใชบังคับกับการฟ้องคดีอาญาโดยอนุโลมก็ตาม ซึ่งมาตรา 74/1 บัญญัติมิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกลาวหาหลบหนีรวมเป็นสวนหนึ่งของอายุความ แต่มาตรา 84 ที่บัญญัติไวในหมวด 8 นั้น ต้องเป็นการดําเนินคดีอาญากลาวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐวา กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทําความผิดต่อตําแหนงหน้าที่ราชการ หรือกระทําความผิด ต่อตําแหนงหน้าที่ในการยุติธรรม อันเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริต เชนเดียวกับ การกลาวหาดําเนินคดีอาญากับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือขาราชการการเมือง อันเป็นผู้ดํารงตําแหนงทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญ ในหมวด 6 มาตรา 66 แต่ในหมวด 3 การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน อันเป็นบทบัญญัติ เกี่ยวกับการปองกันการทุจริต มิได้บัญญัติให้นํามาตรา 74/1 มาใชบังคับแกการดําเนินคดี อันสืบเนื่องมาจากการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน แสดงให้เห็นวาการดําเนินคดีตามมาตรา 66 และมาตรา 84 เป็นคนละกรณีกับการดําเนินคดีกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยขอความอันเป็นเท็จ หรือปกปดขอเท็จจริงที่ควรแจงให้ทราบ ตามมาตรา 34 กรณีจึงไม่อาจนํามาตรา 98 ประกอบมาตรา 74/1 มาใชบังคับแกคดีนี้ได้ สวนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยการปองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ้ หนา 13 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566
มาตรา 7 นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการนับอายุความทางอาญาที่บัญญัติขึ้นและมีผลบังคับใช ภายหลังกระทําความผิด ทั้งยังมีความแตกตางกับกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด แมมิใชบทบัญญัติ วาด้วยการลงโทษ แต่มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงและระยะเวลาการบังคับโทษขยายออกไป ซึ่งเป็นบทบัญญัติ ที่ไม่เป็นคุณแกผู้ถูกกลาวหา จึงไม่อาจนํามาใชบังคับแกคดีที่มีการกระทําความผิดกอนกฎหมายใชบังคับได้ แมผู้รองยื่นคํารองต่อศาลภายในกําหนดอายุความหาปนับแต่วันที่ผู้ถูกกลาวหากระทําความผิด แต่ผู้รอง ไม่ได้ตัวผู้ถูกกลาวหามาภายในกําหนดอายุความดังกลาว อายุความจึงไม่สะดุดหยุดอยู่ดังที่ผู้รองอุทธรณ คดีจึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (4) สิทธินําคดีอาญามาฟ้อง ของผู้รองยอมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) , 185 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนงทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคสาม สวนมาตรการจํากัดสิทธิทางการเมืองนั้นไม่อาจแยกออกจากการวินิจฉัย ความรับผิดทางอาญาได้ เมื่อการกระทําตามคํารองเป็นอันขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่อาจนํามาตรการ จํากัดสิทธิทางการเมืองมาใชบังคับแกผู้ถูกกลาวหาได้ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหนง ทางการเมืองพิพากษามานั้นชอบแล้ว องคคณะวินิจฉัยอุทธรณเห็นพองด้วย อุทธรณของผู้รองฟงไม่ขึ้น พิพากษายืน. นายชัยเจริญ ดุษฎีพร นายภพพิสิษฐ สุขะพิสิษฐ นายประทีป อาววิจิตรกุล นายเอกศักดิ์ ยันตรปกรณ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง นายอุดม วัตตธรรม นายเธียรดนัย ธรรมดุษฎี นายสมเกียรติ ตั้งสกุล นายกิตติพงษ ศิริโรจน ้ หนา 14 ่ เลม 140 ตอนที่ 28 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 เมษายน 2566