Mon Oct 24 2022 00:00:00 GMT+0000 (Coordinated Universal Time)

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565


พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

พระราช บัญญัติ ป้องกันและปราบปราม กา รทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 25 6 5 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทาให้ บุคคลสูญหาย พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทาได้ โด ยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจาเป็นในการจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้ ความคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกั น ปราบปราม และเยียวยาผู้เสียหาย จากการกระทำในลักษณะดังกล่าว ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติ ไว้ ในมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ้ หนา 43 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของรัฐสภา ดั งต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ” มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกาหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ในพระราชบัญญัติ นี้ “ ผู้เสียหาย ” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ จากการทรมาน การกระทาที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทาให้ บุคคล สูญหาย และให้หมายความรวมถึงสามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยา ซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้อุปการะและผู้อยู่ในอุปการะของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ” หมายความว่า บุคคลซึ่งใช้อานาจรัฐหรือได้รับมอบอานาจ หรือได้รั บ การแต่งตั้ง อนุญาต สนับสนุน หรือยอมรับโดยตรงหรือโดยปริยาย จากผู้มีอานาจรัฐให้ดาเนินการ ตามกฎหมาย “ คณะกรรมการ ” หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและ การกระทำให้บุคคลสูญหาย “ ควบคุมตัว ” หมายความว่า การจับ คุมตัว ขัง กักตัว กักขัง หรือกระทาด้วยประการอื่นใด ในทำนองเดียวกันอันเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคล มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 5 ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือ ความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (1) ให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคารับสารภาพจากผู้ถูกกระทำหรือบุคคลที่สาม (2) ลงโทษผู้ถูกกระทาเพ ราะเหตุอันเกิดจากการกระทาหรือสงสัยว่ากระทาของผู้นั้นหรือ บุคคลที่สาม ้ หนา 44 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(3) ข่มขู่หรือขู่เข็ญผู้ถูกกระทำหรือบุคคลที่สาม (4) เลือกปฏิบัติไม่ว่ารูปแบบใด ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำทรมาน มาตรา 6 ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐลงโทษหรือกระทำด้วยประการใดที่โหดร้าย ไร้ มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจที่มิใช่การกระทา ความผิดตามมาตรา 5 ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทาการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ การกระทำตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงอันตรายอันเป็นผลปกติหรือสืบเนื่องจากการลงโทษทั้งปวง ที่ชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 7 ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมตัว หรือลักพาบุคคลใด โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิเสธว่ามิได้กระทาการดั งกล่าว หรือปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่ปรากฏตัวของบุคคลนั้นซึ่งส่งผลให้ บุคคลนั้นไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นความผิดต่อเนื่องจนกว่าจะทราบชะตากรรม ของบุคคลนั้น มาตรา 8 ผู้ใดกระทำค วามผิดฐานกระทำทรมานตามมาตรา 5 ความผิดฐานกระทำการ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 หรือความผิดฐานกระทาให้ บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 นอกราชอาณาจักร ต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ ในพระราชบัญญัตินี้ โดยให้นาความใ นมาตรา 10 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้บังคับด้วย โดยอนุโลม มาตรา 9 การกระทำความผิดฐานกระทำทรมานตามมาตรา 5 และการกระทำความผิด ฐานกระทำให้บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 มิให้ถือว่าเป็นความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และความผิดทา งการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ ในเรื่องทางอาญา มาตรา 10 ในคดีความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 ให้ดำเนินการ สืบสวนจนกว่าจะพบบุคคลซึ่งถูกกระทำให้สูญหายหรือปรากฏหลักฐานอันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้น ถึงแก่ความตายและทราบรายละเอียดของการกระทำ ความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ้ หนา 45 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

มาตรา 11 ในคดีความผิดฐานกระทาทรมานตามมาตรา 5 หรือความผิดฐานกระทาการ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 ซึ่งผู้เสียหายไม่อยู่ในฐานะ ที่จะร้องทุกข์หรือกล่าวโทษด้วยตนเองได้ หรือความผิดฐานกระทาให้บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 ให้สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้อุปการะ และผู้อยู่ในอุปการะของผู้ถูกกระทำทรมาน ผู้ถูกกระทาการที่โหดร้ำย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ หรือผู้ถูกกระทำให้สูญหายตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี เป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย มาตรา 12 พฤติการณ์พิเศษใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงครามหรือภัยคุกคามที่จะเกิด สงคราม ความไม่มั่น คงทางการเมืองภายในประเทศ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินสาธารณะอื่นใด ไม่อาจ นำมาอ้างเพื่อให้การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 13 ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคล เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรั ฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูก กระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือ ถูกกระทำให้สูญหาย หมวด 2 คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มาตรา 14 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ” ประกอบด้วย (1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ (2) ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ (3) กรรมการโดยตาแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระ ทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายกสภาทนายความ และประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ (4) กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนหกคน ดังต่อไปนี้ ้ หนา 46 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(ก) ผู้มีความรู้ ความ เชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านสิทธิมนุษยชน จำนวนสองคน ด้านกฎหมาย และด้านนิติวิทยาศาสตร์ ด้านละหนึ่งคน (ข) แพทย์ทางนิติเวชศาสตร์จำนวนหนึ่งคน และแพทย์ทางจิตเวชศาสตร์จำนวนหนึ่งคน ให้อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีกรมคุ้มครอง สิทธิและเสรีภาพแต่งตั้งข้าราชการของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจำนวนไม่เกินสองคนเป็น ผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา 15 กรรมการตามมาตรา 14 (4) ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (1) มีสัญชาติไทย (2) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (3) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (4) ไม่เป็นผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการ หรือผู้ดำรงตาแหน่งบริหารในพรรคการเมือง (5) ไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างถู กสั่งให้พักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน (6) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะกระทำผิดวินัย (7) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก รวมทั้งคาพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แต่ให้รอการลง โทษหรือรอการกาหนดโทษ เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท (8) ไม่เคยต้องคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ารวย ผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ มาตรา 16 กรรมการตามมาตรา 1 4 (4) มีวาระการดารงตาแหน่งคราวละสี่ปี เมื่อครบกาหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับ แต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการซึ่งพ้นจากตาแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดารงตาแหน่งติดต่อกัน เกินสองวาระไม่ได้ ้ หนา 47 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

มาตรา 17 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการตามมาตรา 14 (4) พ้นจากตาแหน่ง เมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่ อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 15 มาตรา 18 ในกรณีที่กรรมการตามมาตรา 14 (4) พ้นจากตาแหน่งก่อนวาระ ให้แต่งตั้ง กรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายในหกสิบวัน เว้นแต่วาระของกรรมการเหลือไม่ถึงเก้ ำสิบวัน จะไม่แต่งตั้งกรรมการแทนก็ได้ และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตาแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตาแหน่งเท่ากับวาระ ที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ในกรณีที่กรรมการตามมาตรา 14 (4) พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระให้คณะกรรมการ ประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดที่มีอยู่ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการตามวรรคหนึ่ง มาตรา 19 คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือมาตรการอื่นที่จำเป็นตามพระราชบัญญัตินี้ (2) กำหนดนโยบาย แผนงาน และมาตรการเ พื่อป้องกันและปราบปรามการทรมาน การกระทาหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำ ให้บุคคลสูญหาย (3) กำหนดนโยบายและมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหาย อย่างครอบคลุม โดยคำนึงถึงการทำให้กลับสู่สภาพเดิมเท่าที่จะเป็นไปได้ (4) กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือและเยียวยาผู้เสียหายด้านการเงินและจิตใจ รวมถึงการฟื้นฟูระยะยาวทางการแพทย์ให้แก่ผู้เสียหาย โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง (5) กำหนดมาตรการป้องกันการกระทาความผิ ดซ้าและการปกปิดการควบคุมตัวบุคคล รวมทั้งมาตรการคุ้มครองผู้แจ้งข้อมูลการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ ้ หนา 48 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(6) ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทาให้บุคคลสูญหายตามพระรำชบัญญัตินี้ รวมทั้ง รับ และติดตามตรวจสอบข้อร้องเรียน (7) พิจารณารายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการทรมาน การกระทาที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทาให้บุคคลสูญหาย และรายงานผลการดาเนินการ ประจาปี เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเสน อต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเผยแพร่ให้ประชาชน ทราบเป็นการทั่วไป (8) แต่งตั้งที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการเพื่อปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (9) วางระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น โดยได้รับความเห็นชอบจากก ระทรวงการคลัง (10) วางระเบียบอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 20 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ไ ด้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งใน การลงคะแนน ถ้าค ะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด มาตรา 21 ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพรับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการ และให้มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) ประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการสืบหา ติดตาม และช่วยเหลือผู้เสียหาย (2) สนับสนุนให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วม ในการป้องกันและปราบปรามการทรมาน การกระทาหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นม นุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ้ หนา 49 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(3) ศึกษา วิจัย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทรมาน การกระทำหรือการลงโทษ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทาให้บุคคลสูญหาย รวมทั้ง ให้ความรู้และฝึกอบรมแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (4) รวบรวมข้อมูล สถิติคดี และจัดทารายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการทรมาน การกระทำ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย และรายงานผลการดาเนินงานประจำปี พร้อมทั้งแนวทางการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ตามพระ ราชบัญญัตินี้ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณา (5) ปฏิบัติการอื่นตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย หมวด 3 การป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มาตรา 22 ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียง อย่างต่อเนื่องในขณะจั บและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้บันทึกเหตุนั้นเป็นหลักฐานไว้ในบันทึกการควบคุมตัว การควบคุมตัวตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้งพนักงานอัยการและ นายอาเภอ ในท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที สาหรับในกรุงเทพมหานครให้แจ้งพนักงานอัยการและ ผู้อานวยการสานักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง หากผู้รับแจ้งเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่า จะมีการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือการกระทำ ให้บุคคลสูญหาย ให้ผู้รับแจ้งดาเนินการตามมาตรา 26 ต่อไป มาตรา 23 ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูก ควบคุมตัวโดยอย่างน้อยต้องมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ (1) ข้อมูลอัตลักษ ณ์เกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว เช่น ชื่อ นามสกุล หรือตาหนิรูปพรรณ (2) วัน เวลา และสถานที่ของการถูกควบคุมตัว และข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ทำการควบคุมตัว ในกรณีที่มีการย้ายสถานที่ดังกล่าว จะต้องระบุถึงสถานที่ปลายทางที่รับตัว ผู้ถูกควบคุมตัว รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบการย้ายนั้น (3) คำสั่งที่ให้มีการควบคุมตัว และเหตุแห่งการออกคาสั่งนั้น (4) เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ออกคำสั่งให้ควบคุมตัว ้ หนา 50 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(5) วัน เวลา และสถานที่ของการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัว และผู้มารับตัวผู้ถูกควบคุมตัว (6) ข้อมูลเกี่ยว กับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ถูกควบคุมตัว ก่อนถูกควบคุมตัว และ ก่อนการปล่อยตัว ในกรณีที่ผู้ถูกควบคุมตัวถึงแก่ความตายระหว่างการควบคุมตัว จะต้องระบุถึงสาเหตุ แห่งการตายและสถานที่เก็บศพ (7) ข้อมูลอื่น ๆ ที่คณะกรรมการกาหนดเพื่อป้องกันการทรมาน การกระทาที่โหด ร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย มาตรา 24 เพื่อประโยชน์ของผู้ถูกควบคุมตัว ผู้มีส่วนได้เสียโดยชอบด้วยกฎหมายใน การ เข้าถึงข้อมูลของผู้ถูกควบคุมตัว เช่น ญาติ ผู้แทนหรือทนายความ หรือคณะกรรมการ คณะอนุกรรมกา ร หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ มีสิทธิร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ ของรัฐผู้รับผิดชอบให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวตามมาตรา 23 หากเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ผู้ร้องขอมีสิทธิยื่นคาร้อง ต่อศาลที่ตน เองมีภูมิลาเนา ศาลอาญาหรือศาลจังหวัดแห่งท้องที่ที่เชื่อว่ามีการทรมาน การกระทา ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือพบเห็นผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ครั้งสุดท้าย แล้วแต่กรณี เพื่อให้ศาลสั่งเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหนึ่งเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ตามมาตรา 23 ให้แก่ผู้ร้องขอได้ ในกรณีที่ศาลมีคาสั่งไม่เปิดเผยข้อมูล ผู้ร้องขออาจอุทธรณ์ไปยัง ศาลอุทธรณ์ คาสั่งศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด มาตรา 25 เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบหรือศาลอาจไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ตามมาตรา 23 หากผู้นั้นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายโดยเป็นผู้อยู่ในอำนาจศาล และ การเปิดเผยดังกล่าวอาจละเมิดต่อความเป็นส่วนตัวหรือก่อให้เกิดผลร้ายต่อบุคคล หรือเป็นอุปสรรค ต่ อการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา มาตรา 26 เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิยื่นคาร้องต่อศาลท้องที่ ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาเพื่อให้มีคำสั่ง ยุติการกระทำเช่นนั้นทันที (1) ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 24 (2) พนักงานอัยการ ้ หนา 51 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

(3) ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง หรือนายอำเภอ ตามมาตรา 22 หรือพนักงานฝ่ายปกครองซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อานวยการสานักการสอบสวนและ นิติการ กรมกำรปกครอง หรือนายอำเภอ (4) พนักงานสอบสวนหรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (5) คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ (6) บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย เมื่อได้รับคาร้องตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวโดยพลัน โดยให้ศาลมีอานาจเรียก เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใดมาให้ถ้อยคาหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุอื่นใดประกอบการไต่สวนหรือ สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนำตัวผู้ถูกควบคุมตัวมาศาลด้วยก็ได้ มาตรา 27 เพื่อประโยชน์ในการยุติการกระทำที่อ้างตามมาตรา 26 และเยียวยา ความเสียหายเบื้ องต้น ศาลอาจมีคาสั่ง ดังต่อไปนี้ (1) ให้ยุติการทรมาน หรือการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (2) ให้เปลี่ยนสถานที่ควบคุมตัว (3) ให้ผู้ถูกควบคุมตัวได้พบญาติ ทนายความ หรือบุคคลอื่นซึ่งไว้วางใจเป็นการส่วนตัว (4) ให้มีการรั กษาพยาบาล และการประเมินโดยแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ และแพทย์ ทางจิตเวชศาสตร์ที่รับรองโดยแพทยสภา รวมทั้งให้มีการจัดทำบันทึกทางการแพทย์ ตลอดจน การ ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ (5) ให้เปิดเผยเอกสารบันทึกหรือข้อมูลอื่นใด (6) กำหนดมาตรการอื่นใดที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ใ นการยุติการทรมานการกระทำ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหายหรือเยียวยา ความเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้เสียหาย กรณีที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุจาเป็นในการควบคุมตัวต่อไป ให้ศาลสั่งปล่อยตัว ผู้ถูกควบคุมตั วไปทันที คำสั่งศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นที่สุด มาตรา 28 ในกรณีที่ผู้ถูกควบคุมตัวถึงแก่ความตาย ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้ง คณะกรรมการทราบเพื่อให้มีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรมาน ในระหว่างควบคุมตัวโดยพลัน ้ หนา 52 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

มาตรา 29 ผู้ใดพบเห็นหรือทราบการทรมาน การกระทาที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้แจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน คณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายโดยไม่ชักช้า ผู้แจ้งตามวรรคหนึ่ ง ถ้าได้กระทาโดยสุจริตไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แม้ภายหลังปรากฏว่าไม่มีการกระทำความผิดตามที่แจ้ง หมวด 4 การดำเนินคดี มาตรา 30 อายุความสาหรับความผิดตามมาตรา 7 มิให้เริ่มนับจนกว่าจะทราบชะตากรรม ของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย มาตรา 31 ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นนอกจากพนักงานสอบสวนตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ให้พนักงานฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่ พนักงานฝ่ายปกครองตาแหน่ง ตั้งแต่ปลัดอาเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พนักงานสอบสวน คดีพิเศษ และพนักงานอัยการ เป็นพนักงานสอบสวนมีอานาจสอบสวนและรับผิดชอบตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และดาเนินคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้และความผิดอื่นที่เกี่ยวพันกัน ในกรณีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทาการสอบสวนคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้คดีใด ให้คดีนั้นเป็ นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการสอบสวนโดยหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่พนักงานอัยการ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แจ้งเหตุแห่งคดีให้พนักงานอัยการทราบ เพื่อเข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนทันที ในกรณีไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนท้องที่ใดหรือหน่วยงานใด เป็ นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้อัยการสูงสุดหรือผู้ทำการแทนเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่ผู้กระทาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามกำรทุจริตแห่งชาติ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัตินี้ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ มาตรา 32 ให้หน่วยงานที่มีอานาจสืบสวนสอบสวนในคดีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ รายงานให้ผู้เสียหายทราบถึงผลความคืบหน้าข องคดีอย่างต่อเนื่องและให้คณะกรรมการ ้ หนา 53 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

คณะอนุกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการมีหน้าที่และอานาจติดตามผล ความคืบหน้าของคดีและดาเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัย ชดเชย เยียวยา และฟื้นฟูความเสียหายทางร่างกายและจิตใจ ให้คำปรึกษาแนะนาด้านกฎหมาย และสนับสนุน ช่วยเหลือด้านการดาเนินคดี โดยการมีส่วนร่วมจากผู้เสียหาย มาตรา 33 เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้เสียหาย ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงาน อัยการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากกำรกระทำ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ในกรณีที่ผู้เสียหายมีสิทธิและประสงค์ที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ให้พนักงานอัยการเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนผู้เสียหายด้วย มาตรา 34 ให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเ ป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดี ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และให้รวมถึงคดีซึ่งผู้กระทาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นบุคคล ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำความผิดด้วย หมวด 5 บทกำหนดโทษ มาตรา 35 ผู้กระทาความผิดฐานกระทาทรมานตามมาตรา 5 ต้องระวางโทษจาคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่งเป็น เหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงสามสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท มาตรา 36 ผู้กระทาความผิดฐานกระทาการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ายีศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 ต้อ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้ง จำ ทั้งปรับ มาตรา 37 ผู้กระทาความผิดฐานกระทาให้บุคคลสูญหายตามมาตรา 7 ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท ้ หนา 54 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงสามสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท มาตรา 38 ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา 35 หรือมาตรา 36 เป็นการกระทาแก่ บุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี หญิงมีครรภ์ ผู้พิการทางร่างกายหรือจิตใจ หรือผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะอายุ หรือความป่วยเจ็บ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นกึ่งหนึ่ง ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา 37 เป็นการกระทาแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง ผู้กระทา ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นกึ่งหนึ่ง มาตรา 39 ผู้ใดสมคบเพื่อกระทาความผิดตำมมาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 37 หรือมาตรา 38 ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันนั้น ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ในกรณีที่ความผิดได้กระทำถึ งขั้นลงมือกระทำความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวาง ของผู้สมคบทาให้การกระทานั้นกระทาไปไม่ตลอดหรือกระทาไปตลอดแล้วแต่การกระทานั้นไม่บรรลุผล ศาลจะลงโทษผู้สมคบที่กระทำการขัดขวางนั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ มาตรา 40 ผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดตามมาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 37 หรือมาตรา 38 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น มาตรา 41 ถ้าผู้กระทาความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 38 วรรคสอง มาตรา 39 หรือมาตรา 40 ช่วยให้มีการค้นพบผู้ถูกกระทาให้สูญหายก่อนศาลชั้ นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับ อันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์ ในการดาเนินคดี ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ มาตรา 42 ผู้บังคับบัญชาผู้ใดทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชำซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตน จะกระทาหรือได้กระทาความผิดตามมาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 37 หรือมาตรา 38 และ ไม่ดาเนินการที่จาเป็นและเหมาะสม เพื่อป้องกันหรือระงับการกระทาความผิด หรือไม่ดาเนินการหรือ ส่งเรื่องให้ดาเนินการสอบสวนและดาเนินคดีตามกฎหมาย ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กาหนดไว้ สำหรับความผิดนั้น ้ หนา 55 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

ผู้บังคับบัญชาตามวรรคหนึ่งจะต้องเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบและมีอานาจควบคุมการกระทำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดฐานกระทาทรมาน ความผิดฐานกระทาการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุ ษย์ หรือความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย บทเฉพาะกาล มาตรา 43 ให้นำความในมาตรา 10 มาใช้บังคับแก่การกระทำให้บุคคลสูญหายก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้รับสนองพระ บรม ราชโองการ พลเอก ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ้ หนา 56 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565

หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้พระราช บัญญัติ ฉบับนี้ คือ โดยที่การทรมานและการกระทำให้ บุคคลสูญหายซึ่งกระทาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่ไม่อาจกระทาได้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ ดังนั้น เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้ง การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย สมควรกาหนดฐานความผิด มาตรการป้องกันและปราบปราม และมาตรการเยียวยาผู้เสียหาย ตลอดจนมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่า ยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่าง ประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ้ หนา 57 ่ เลม 139 ตอนที่ 66 ก ราชกิจจานุเบกษา 25 ตุลาคม 2565